เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 มิถุนายน 2025, 11:22:45
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ตลาดกลางซื้อขายสินค้าออนไลน์
| |-+  พระเครื่อง-วัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง ความเชื่อ ลี้ลับ (ผู้ดูแล: NOtis, micky13)
| | |-+  ให้บูชาไม้ครูชี้ต้นตาย ชี้ปลายเป็น อ.ชุม ไชยคีรี สายเขาอ้อครับ
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน ให้บูชาไม้ครูชี้ต้นตาย ชี้ปลายเป็น อ.ชุม ไชยคีรี สายเขาอ้อครับ  (อ่าน 12280 ครั้ง)
phromwipol
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2012, 08:52:09 »

ตามตำราไม้เท้ากายสิทธิ์ ชี้ต้นตาย ชี้ปลายเป็น ได้พรรณาคุณวิเศษตามตำราท่านอาจารย์ผู้เฒ่าปรมาจารย์แห่งเขาอ้อเมืองพัทลุง อาจารย์ชุม ไชยคีรี อาจารย์ไสยาศาสตร์ท่านพูดและทำอย่างนักไสยศาสตร์ ให้ผู้เชื่อถือมั่นรับรองว่า คุณพระเป็นที่พี่งกำจัดภัยได้จริงแก่ผู้เข้าถึง ไม้เท้าการยสิทธิ์ขอให้มีฤทธิ์ มีอำนาจ เป็นทิทย์อำนาจในทางที่ชอบด้วยศีลธรรมผู้ใดนำไปใช้ทางที่ดีที่ชอบขอคุณพระ และ คุณมหาเทพ จงรักษาผู้นั้นตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ ไม่ต้องกลัวว่าเป็นดาบ ๒ คม ไสยศาสตร์ความสำคัญอยู่ที่คำสั่งอาจารย์ ผู้ผิดคำสั่งอำนาจทั้งปวงเสื่อมหมดไป อาจารย์ทำไม้เท้ากายสิทธิ์เพื่อแจกแก่นักรบของชาติ แจกแก่พลเมืองดีช่วยเหลือประเทศชาติ เพื่อคงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้อยู่รอดปลอดภัย เพื่อความไม่ประมาท เป็นการเตรียมพร้อม เพื่อต่อสู้กับเหตุการณ์ทั้งหลาย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ทุกโอกาส พร้อมกับความเชื่อตามตำราและเชื่อความสามารถของท่านเองว่า การสร้างไม้เท้ากายสิทธิ์นี้ก็คงเกิดผลเหมือนกับที่เคยสร้างวัตถุมงคลชนิดต่าง ๆ มาแล้วหลายๆ ครั้ง ซึ่งการสร้างทุกครั้งนั้น สามารถพิสูจน์ความจริงได้ เรียกร้องให้คนอื่นมาดูได้ มาเป็นเวลาถึง ๔๓ ปี สอนศิษย์ให้เข้าถึง สามารถพิสูจน์ความจริงได้ พิธีสร้างไม้กายสิทธิ์ก็คง ประสบผลตามตำราอย่างแน่นอน
สร้างจากไม้มงคลนามเช่น>>
ไม้มะคาตายพราย ไม้มะคาฟ้าผ่า ไม้ประดู่ทรงธรรม ไม้ราชพฤกษ์ ไม้ชัยพฤกษ์ ไม้มหาพรหม (?) ไม้กรรมจัด ไม้กรรมจาย ยาว ๓๕ ซม.
๑. เลขยันต์ทำผงและดวงยันต์ ที่บรรจุในหัวไม้กายสิทธิ์ เป็นไปในทางอิทธิฤกธิ์ทางมหาอำนาจ ปราบศัตรู ทำให้ศัตรูเกรงกลัว ไม่คิดต่อสู้ ฆ่าศัตรูให้ตาย โดยไม่ต้องใช้อาวุธด้วย การอธิษฐานระลึกถึงพระแม่ธรณี ให้มาช่วยกำจัดอริราชศัตรู ที่เข้ามาเบียดเบียนมนษย์เบียดเบียนพระศาสนา หรือองค์พระมหากษัตริย์ หากว่าศัตรูผู้รุกรานล่วงล้ำเขตแดนเข้ามาขอให้พ่ายแพ้ ให้เจ็บ ให้ตาย หรือมีอันเป็นไปต่างๆ นานา นอกจากนั้นสามารถกำจัด ขับไล่ภูตผีปีศาจกันและแก้วตามตำราว่า ชี้ต้นตาย คือถ้าหากชี้ด้วย ต้นไม้เท้าทำให้ข้าศึกตาย ฉิบหาย หรือมีอันเป็นไป (ว่าตามตำรา) เป็นมหาอำนาจข่มนาม>>
๒. เลขยันต์ที่บรรจุในปลายไม้เท้ากายสิทธิ์ วิเศษทางเมตตา ความสุข ความเจริญ แก้ถอดถอน ให้พรให้มีอายุมั่นขวัญยืน มีโชคลาภ ชี้อธิษฐานรักษาโรคภัย ที่เบียดเบียนมนุษย์ ตำราจึงว่า ชี้ด้วยปลายเป็น หมายถึงใช้ถอดถอนคำอธิษฐานที่สาปแช่งได้>>
๓. รวมพระอาจารย์และอาจารย์สำนักกุญแจไสยศาสตร์ ที่มีความรู้ได้รับการศึกษาแนวเดียวกันรู้ตำราพิชัยสงคราม วิธีสร้างไม้เท้ากายสิทธิ์ตามตำราท่านอาจารย์ผู้เฒ่าปรมาจารย์แห่งเมืองพัทลุง ๒๐ กว่าอาจารย์ มีอาจารย์ชุม ไชยคีรี เป็นประธาน ได้อุดมฤกษ์ เขียนดวงยันต์ในแผ่นตะกั่ว วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ เวลา ๑๙.๐๐ น. ใช้เวลาเขียนยันต์ และชักยันต์ลบผง ณ สำนักกุญแจไสยาศาสตร์ ๗๐ วัน ครบถ้วนตามตำรา วันพุทธที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔ คณะพระอาจารย์ทุกท่านนำไม้เท้าเข้าไปทำพิธีในถ้ำแฝด วัดถ้ำแฝด อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี บริกรรมบรรจุตระกรุด และผงวิเศษเข้าไปในหัวและปลายไม้เท้า วันอังคารที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔ ตรงกับเดือน ๓ ขึ้น ๑๓ ค่ำ ได้อุดมฤกษ์จุดเทียนชัย เวลา ๒๓.๑๙ น. เป็นเสร็จพิธีนำกลับไปสำนักกุญแจไสยศาสตร์
เป็นวัตถุมงคลเครื่องรางอันวิเศษที่ท่านอ.ชุมได้สร้างเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อ 2524 ก่อนท่านจะเสีย ซึ่งคงไม่มีผู้ใดสามารถสร้างได้อีกต่อไป เป็นคุณวิเศษมากมายเป็นอาวุธที่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีจำนวนไม่มาก
ชิ้นนี้สร้างจากไม้ชัยพฤกษ์ ขนาดยาว 13 นิ้ว (มีขนาดเล็ก ขนาดปากกาด้วยครับ)
เปิด 5000 รับประกันความแท้ตลอดไป/ความพอใจ 7 วัน
ครับ ชื่อบัญชี นาย จิรวัฒน์ พร้อมไวพล ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาถนนรัชดาฯ2 ออมทรัพย์ 075-245063-2
โทร 087-9087437 สนใจวัตถุมงคลท่านอ.ชุมชิ้นอื่นสอบถามได้ครับ
IP : บันทึกการเข้า
phromwipol
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2012, 09:06:39 »

ขนาดกลางไม้มหาพรหม ยาวประมาณ 6 นิ้ว
 
ไม้ครูเป็นศาตราวุธอันดับหนึ่งของสายเขาอ้อครับ ตำราตกทอดมาหลายร้อยปี สร้างยากและศักสิทธิ์มาก ครูแรง ท่านอ.ชุม ต้องการรักษาวิชานี้ไม่ให้สูญไป เพราะทราบการณ์ข้างหน้าเขาอ้อจะเสื่อมลง สังคมจะอันตราย จึงได้จัดสร้างขึ้นในปี 2524 และเป็นวัตถุมงคลชิ้นสุดท้ายที่ท่านสร้าง บุตรสาวท่านเล่าว่าด้วยแรงครูที่แรง และต้องใช้กำลังจิตมาก ทำให้ท่านล้มป่วยและเสียชีวิตในปีถัดมา (สังขารท่านไม่เน่าเปื่อยครับ) เท่ากับเป็นไม้ครูที่สมบูรณ์แบบในพิธีกรรมและวิชา เพราะท่านเป็นผู้รวบรวมตำราเก่าที่สูญหายและกระจัดกระจายไปก่อนหน้านั้น มาเกือบสมบูรณ์ครบถ้วนในช่วงชีวิตของท่าน หลังจากท่านเสียตำราต่างๆก็กระจัดกระจายสูญหายอีกครั้ง ครูบาอาจารย์ก็ทยอยมรณภาพจนเขาอ้อเสื่อมลงจนปัจจุบัน
IP : บันทึกการเข้า
phromwipol
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2012, 09:18:48 »

วัดเขาอ้อเป็นแหล่งวิทยาคมทางไสยศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาแล้ว ตั้งแต่สมัยโบราณ พระเกจิอาจารย์ผู้สืบต่อวิชาทางไสยศาสตร์ ต่างก็เป็นที่พึ่งที่เคารพศรัทธาของประชาชนทั่วไป เช่น พระอาจารย์ทองเฒ่า พระครูสิทธิยาภิรัต (เอียด) พระอาจารย์นำ แก้วจันทร์ พระอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา พระครูพิพัฒน์สิริธร (อาจารย์คง) วัดบ้านสวน พระอาจารย์ปาน วัดเขาอ้อ และ ที่เป็นฆราวาสที่คนทั่วไปรู้จักกันดีได้แก่ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช อ.ชุม ไชยคีรี เป็นต้น

ความเชื่อทางไสยศาสตร์ของสำนักวัดเขาอ้อที่สำคัญถือเป็นหลัก นิยมใช้ประกอบพิธีกรรมให้สานุศิษย์และประชาชนที่ศรัทธาโดยทั่วไปมี 4 พิธี คือ พิธีเสกว่านให้กิน พิธีหุงข้าวเหนียวดำ พิธีเสกน้ำมันงานดิบ และพิธีแช่ว่าน
นอกจากนี้ก็ยังมีพิธีอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่น พิธีสอนให้ชักยันต์ด้วยดินสอ และการสร้างพระเครื่องรางของขลัง วิชาดูฤกษ์ยาม ตำรารักษาโรคภัยไข้เจ็บจากสมุนไพร และการรักษาด้วยคาถาอาคม เพื่อประโยชน์ของการศึกษาทางด้านความเชื่อทางไสยศาสตร์ จึงขอนำเอาพิธีกรรมที่กล่าวแล้วข้างต้น มาอธิบายไว้ในที่นี้พอสังเขป

1.พิธีเสกว่านให้กิน หมายถึง การนำเอาว่านที่เชื่อว่ามีสรรพคุณทางด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรี หรือทางด้านมหาอุด มาลงอักขระเลขยันต์ทางเวทมนต์คาถา แล้วนำไปให้พระอาจารย์ผู้ชำนาญเวท ปลุกเสกด้วยอาคมกำกับอีกครั้งหนึ่ง ว่านที่นิยมใช้ในพิธี ได้แก่ ว่านขมิ้นอ้อย ว่านสบู่เลือด ว่านสีดา ว่านเพชรตรี ว่านเพชรหน้าทั่ง ต้นว่านเหล่านี้เชื่อกันว่ามีเทพารักษ์คอยคุ้มครองรักษา พันธุ์ว่านบางชนิดต้องไปทำพิธีกินในสถานที่พบ ที่นิยมมาก ได้แก่ การกินว่านเพชรหน้าทั่ง
การทำพิธีกินต้องหาฤกษ์ยามเสียก่อน เมื่อได้ฤกษ์แล้วพระอาจารย์จะนำสายสิญจน์ไปวนไว้รอบต้นว่าน แล้วตั้งหมากพลูบูชาเทพารักษ์ ปลุกเสกอาคมทางหลักไสยศาสตร์ เมื่อเสร็จพิธีแล้วนำมาแจกจ่ายกินกัน เชื่อว่าจะทำให้ผู้นั้นเป็นคนอยู่ยงคงกระพันชาตรี
การเสกว่านให้กิน เมื่อสิ้นพระอาจารย์ทองเฒ่าแล้ว นิยมไปทำกันที่วัดดอนศาลา ต.มะกอกเหนือ โดยมีพระครูสิทธิยาภิรัต (เอียด) เจ้าอาวาสวัดดอนศาลาเป็นผู้ประกอบพิธี เช่น การประกอบพิธีกินว่านหน้าทั่ง เมื่อวันพุธ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 พ.ศ.2473 มีพระอาจารย์นำ แก้วจันทร์ (ยังเป็นฆราวาส) เป็นผู้หาฤกษ์ยาม ผู้ร่วมกินมี พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช และพระเณรในวัดดอนศาลา

2.พิธีหุงข้างเหนียวดำ นิยมทำพร้อมกับพิธีเสกน้ำมันงาดิบ ชาวบ้านนิยมเรียกว่า "กินเหนียวกินมัน" แต่ละปีจะประกอบพิธีกิน 2 ครั้ง คือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 และ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10
พิธีหุงข้าวเหนียวดำ หมายถึง การนำเครื่องยาสมุนไพร หรือว่านชนิดต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 108 ชนิด มาผสมกันแล้วต้มเอาน้ำยามาใช้หุงข้าวเหนียวดำ
การประกอบพิธีนิยมทำกันภายในอุโบสถมากกว่าสถานที่อื่นๆ ในสมัยก่อนนิยมทำกันในถ้ำฉัตรทันต์ หม้อและไม้ฟืนทุกอัน จะต้องลงอักขระเลขยันต์กำกับด้วยเสมอ พระอาจารย์ผู้ประกอบพิธีจะเริ่มปลุกเสก ตั้งแต่จุดไฟ จนกระทั่งข้าวเหนียวในหม้อสุก แล้วนำข้าวเหนียวที่สุกแล้วไปประกอบพิธีปลุกเสกอีกครั้งหนึ่งจนเสร็จพิธี
พิธีกินข้าวเหนียวดำ จะทำพิธีกันภายในอุโบสถ ก่อนกินถ้าสานุศิษย์คนใดไม่บริสุทธิ์ต้องทำพิธีสะเดาะ หรือเรียกว่า "พิธีการเกิดใหม่" หรือ "พิธีบริสุทธิ์ตัว" เพื่อให้ตัวเองบริสุทธิ์จากสิ่งไม่ดีชั่วร้ายทั้งปวง
เมื่อถึงเวลาฤกษ์กินข้าวเหนียวดำ สานุศิษย์จะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นนุ่งด้วยผ้าขาวม้าโจงกระเบนไม่ใส่เสื้อ แล้วเข้าไปกราบพระอาจารย์ผู้ประกอบพิธี 3 ครั้ง เสร็จแล้วพระอาจารย์จะให้นั่งชันเข่าบนหนังเสือ เท่าทั้ง 2 เหยียบบนเหล็กกล้าหรือเหล็กเพชร ปิดศรีษะด้วยหนังหมี มือทั้ง 2 วางบนหลังเท้าของตัวเอง พระอาจารย์ใช้มือซ้ายกดมือทั้ง 2 ไว้ พร้อมกับภาวนาพระคาถา ส่วนมือขวาปั้นข้าวเหนียวดำเป็นก้อนป้อนให้ศิษย์ครั้งละ 1 ก้อน แล้วปล่อยมือศิษย์ที่กดไว้บนเหลังเท้า มือทั้ง 2 ของศิษย์จะลูบขึ้นไปตั้งแต่หลังเท้าจนทั่วตัวจดใบหน้า การลูบขึ้นนี้เรียกว่า "การปลุก" เสร็จแล้วลูบลง เอามือทั้ง 2 ไปวางไว้บนหลังเท้าทั้ง 2 เช่นเดิม โดยกะประมาณว่ากินข้าวเหนียวก้อนแรกหมดพอดี สำหรับผู้ที่ไม่เคยกินอาจกลืนลำบาก เนื่องจากว่าข้าวเหนียวมีรสขมมาก บางคนป้อนก้อนแรกถึงกับอาเจียนออกมาก็มี แต่ถ้ากลืนก้อนแรกจนหมดได้ ก้อนต่อไปจะไม่มีปัญหา พระอาจารย์จะป้อนจนครบ 3 ก้อน ในแต่ละครั้งจะลูบขั้นลูบลง เช่นเดียวกับครั้งแรก แต่ครั้งที่ 3 นั้นเมื่อศิษย์กินข้าวเหนียวหมดแล้ว พระอาจารย์จะใช้มือซ้ายกดมือทั้ง 2 ไว้ที่เดิมหัวแม่มือขวาสะกดสะดือศิษย์ ทำทักษิณาวัตร 3 รอบ พร้อมกับภาวนาพระคาถาไปด้วย เป็นการผูกอาคม
สำหรับคุณค่าของการกินข้าวเหนียวดำ สานุศิษย์ของสำนักเขาอ้อ เชื่อกันว่าใครกินได้ถึง 3 ครั้ง จะทำให้อยู่ยงคงกระพันชาตรี เป็นมหานิยม และยังเป็นยาแก้โรคปวดหลังปวดเอวได้เป็นอย่างดี

3.พิธีเสกน้ำมันงาดิบ การเสกน้ำมันงาดิบ ต้องมีเครื่องบูชาครูเช่นเดียวกับการหุงข้าวเหนียวดำ คือ หมาก 9 คำ ดอกไม้ 9 ดอก เทียน 1 เล่ม ธูป 3 ดอก สายสิญจน์ หนังเสือ หนังหมี เอาวางไว้ที่หน้าเครื่องบูชา การเสกน้ำมันส่วนใหญ่นิยมใช้น้ำมันงาดิบ หรือน้ำมันยางแดงประสมว่าน พระอาจารย์ผู้ประกอบพิธีจะนั่งบริกรรมพระคาถาจนน้ำมันแห้งเป็นขี้ผึ้ง เรียกว่า "พิธีตั้งมัน"
เมื่อเสกจนน้ำมันแห้งแล้ว พระอาจารย์จะทำพิธีป้อนน้ำมันให้สานุศิษย์แบบเดียวกับพิธีป้อนข้าวเหนียวดำ คือ ผู้ที่จะกินมันต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่เคยผิดศีลข้อกาเมมาก่อน ถ้าบุคคลใดไม่บริสุทธิ์ ต้องให้พระอาจารย์ทำพิธี "บริสุทธิ์ตัว" คือ "สะเดาะ" เสียก่อน เสร็จแล้วก็ทำเช่นเดียวกับกินข้าวเหนียวดำ โดยพระอาจารย์ ผู้ประกอบพิธีจะป้อนน้ำมันให้กิน 3 ช้อน แต่ละช้อนมีขมิ้นอ้อย 1 ชิ้น เมื่อกินช้อนที่ 3 หมด พระอาจารย์จะตักน้ำมันมาทาบบนฝ่ามือทั้ง 2 ของศิษย์ แล้วเขียนตัวอักขระตัว "นะโม" ข้างละ 1 ตัว จับมือศิษย์ทั้ง 2 ประกบกันละเลงให้น้ำมันทั่วฝ่ามือ แล้วนำไปทาบนหลังเท้าทั้ง 2 ข้าง ข้างละมือ พร้อมกับพระอาจารย์จะปลุกเสกคาถากำกับไปด้วย ต่อจากนั้นใช้มือลูบขึ้นและลูบลงเช่นเดียวกับการกินข้าวเหนียวดำ เสร็จแล้วมือซ้ายของอาจารย์จะกดมือทั้ง 2 ไว้หัวแม่มือขวาสะกดสะดือศิษย์ไว้ เช่นเดียวกับการกินข้างเหนียวดำ เพื่อเป็นการผูกอาคม เป็นอันเสร็จพิธีการกินน้ำมันงาดิบ
คุณค่าการกินน้ำมันงาดิบของสำนักวัดเขาอ้อ เชื่อกันว่ามีคุณค่าทางด้านอยู่ยงคงกะพัน มีเมตตามหานิยม แต่มีข้อห้ามไว้ว่า ถ้าผิดลูกเมียผู้อื่นเมื่อใด น้ำมันที่กินเข้าไปจะไหลออกมาตามขุมขนจนหมดสิ้น และถ้าจะกินน้ำมันใหม่ก็ต้องทำพิธีสะเดาะใหม่อีกครั้ง

4.พิธีแช่ว่านยา เป็นพิธีกรรมชั้นสูงทางไสยศาสตร์ของสำนักวัดเขาอ้อ การแช่ว่านยา หมายถึง การที่บุคคลหนึ่งบุคคลใด ลงไปนอนแช่ในน้ำว่านยาที่ได้ทำพิธีปลุกเสกตามหลักวิชาไสยศาสตร์ จากพระอาจารย์ผู้เรืองอาคม เพื่อประสงค์ให้ตัวเองอยู่ยงคงกระพันชาตรี วัดเขาอ้อจึงได้นามอีกอย่างหนึ่งว่า "วัดพระอาจารย์หลัง" หลายคนเชื่อกันว่าวัดเขาอ้อเป็นต้นตำรับพิธีการแช่ยา ต่อมาเมื่อมีลูกศิษย์มากขึ้น พิธีการนี้ก็แพร่หลายออกไปตามวัดต่างๆ เช่น วัดดอนศาลา วัดบ้านสวน อ.ควนขนุน วัดเขาแดงออก วัดยาง วัดปากสระ อ.เมือง พัทลุง เป็นต้น
พิธีการแช่ยาที่วัดเขาอ้อ นิยมประกอบพิธีบนไหล่เขาหรือภายในถ้ำฉัตรทันต์ ในราวเดือน 5 เดือน 10 ของทุกๆปี โดยก่อเป็นรูปอ่างน้ำสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือใช้เรือขุดจากไม้ก็ได้ให้มีขนาดพอที่จะให้คนลงไปนอนได้ประมาณ 3-4 คน ส่วนมากไม่มีการกำหนดขนาดที่แน่นอน อ่างน้ำนี้เรียกว่า "รางยา"
เนื่องจากพิธีกรรมแช่ว่าว่านยาเป็นพิธีใหญ่มาก และเป็นพิธีชั้นสูงของสำนักวัดเขาอ้อและทำได้ยากลำบาก เครื่องบูชาครูจึงต้องมีมากเป็นธรรมดา คือ หัวหมู บายศรีไหญ่ ยอดบายศรี สวมแหวนทองคำหนัก 1 บาท หมากพลู ธูปเทียน ดอกไม้ และมีหนังสือหนังหมี เหล็กกล้า เป็นเครื่องประกอบ

มีหลักฐานว่าเขาอ้อมีอายุมากว่า 800 ปี เริ่มต้นจากพราหมณ์สายตะโกลาจากอินเดีย อพยพมาตั้งหลักแหล่ง และเปิดสอนวิชาการ ศิลปศาสตร์ 18 ประการ แก่ชนชั้นปกครอง เจ้าฟ้า ลูกเธอ พระมหากษัตริย์ในสมัยโบราณ ต่อมาเมื่อกระแสศาสนาพุทธรุ่งเรืองในดินแดนสุวรรณภูมิ พรามหมณ์รุ่นสุดท้ายต้องการรักษาวิชาการนี้ไว้จึงได้ไปนิมนต์ พระจากวัดใกล้เคียงมาเพื่อถ่ายทอดวิชาให้และกลายเป็นวัดในศาสนาพุทธในที่สุด ทำให้เขาอ้อเป็นแหล่งการเรียนรู้ทางไสยเวทย์ที่ยิ่งใหญ่ มีหลักฐานการที่ เจ้าฟ้ามะเดื่อ และเจ้าฟ้าอิ่ม ในปลายแผ่นอยุธยามาศึกษาวิชาการที่นี่และสร้างพระพุทธรูปไว้ และปรากฏในพงศาวดาร เจ้าอาวาสท่านนึงของเขาอ้อ นาม สมเด็จเจ้าจอมทอง เป็นสหธรรมมิกกับหลวงปู่ทวด ได้แล่นเรือใบไปฉลองมณฑปวัดพระโคะของหลวงปู่ทวด โดยบังคับเรือใบแล่นขึ้นฝั่งไปไกลถึงตีนเขา ยังปรากฏหลักฐานจนปัจจุบัน


IP : บันทึกการเข้า
anu40
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2012, 10:10:17 »

ได้รับความรู้เพิ่มขึ้นครับ..ช่วยดันครับ
IP : บันทึกการเข้า
phromwipol
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2012, 10:27:05 »

ขอบคุณมาครับ

เพิ่มเติมอีกหน่อย เขาอ้อนั้นก่อนสมัยพระอ.ปาลนั้นจะมีแต่เครื่องรางครับ จำพวกตะกรุด ลูกสะกด ลูกไม้มงคล มีดครู ไม้ครู ผ้ายันต์ ประเจียด ยิ่งครูบาอาจารย์เขาอ้อยุคเก่านั้น ใครมาขอของดีไปคุ้มตัว ท่านจะให้นั่งลงแล้วเป่าอาคมใส่ตัวศิษย์ไปเลย ไม่ต้องใช้ของ แม้แต่การจารยันต์ก็ไม่ใช้เหล็กจาร ใช้การกำหนดจิตเพ่งใส่แผ่นตะกั่ว มือลูบทีเดียวปรากฏเป็นยันต์เลย ด้วยวิชาสายเขาอ้อนั้นมีการฝึกจิตที่ซับซ้อนและมีอานุภาพมาก ขนาดท่านอ.ชุมสมัยท่านยังมีชีวิตอยู่ ทำการเป่าทองให้ศิษย์ ศิษย์นั่งต่อกัน  7 คน เป่าทั้งกระดาษจากคนแรกถึงคนสุดท้ายพลังจิตรุนแรงขนาดล้มหงายท้องทั้ง 7 คน ส่วนการฝังเหล็กไหลให้ศิษย์ ท่านฝังโดยไม่ผ่าใช้จิตบังคับให้เหล็กไหลอ่อนตัว แล้วเอามือเปล่าแหวกเนื้อตรงสีข้างฝังเขาไป ไม่เจ็บไม่มีแผลใดๆ แปลกมากครับ
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!