ดู NCIS แม่นก่อเจ้า
หลายๆที่จ้า

แม้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดในหลายๆ ทาง แต่มีสิ่งบ่งชี้หลายอย่างที่ทำให้น่าเชื่อได้ว่า เหตุการณ์ระเบิดย่อมๆ กลางกรุงเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา น่าจะเกี่ยวพันกับการเมืองระหว่างประเทศ ว่าด้วยเรื่องความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านโดยตรง
ยิตซ์ฮัค โชฮัม เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ชี้ให้เห็นในแทบจะทันทีหลังเกิดเหตุถึงความคล้ายคลึงกันของวัตถุระเบิดที่ใช้ในไทยกับระเบิดที่ใช้ในการลอบสังหารนักการทูตอิสราเอลในกรุงนิวเดลี เป็นเหตุให้ภริยาและคนขับรถได้รับบาดเจ็บ
และยังเหมือนกันกับระเบิดที่ใช้ติดตั้งไว้ใต้ท้องรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ทูตอิสราเอล ในกรุงทบิลิซิ ประเทศจอร์เจีย แต่มีการตรวจพบและถอดชนวนได้ก่อนที่จะเกิดระเบิดขึ้น
เหตุการณ์ทั้ง 2 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ เพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมงก่อนเกิดเหตุในไทย
ในเมื่อเป้าหมายเป็น "บุคคล" ที่เป็นนักการทูต หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงอื่นใดของอิสราเอลที่มีกำหนดเดินทางเยือนไทย และผู้ลงมือเป็นบุคคลถือสัญชาติ "อิหร่าน" บรรดานักวิเคราะห์ก็ฟันธงได้ในแทบจะทันทีว่า เหตุการณ์ทั้งที่ไทย อินเดีย และจอร์เจีย เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการแบบ "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" ระหว่างทั้งสองฝ่ายที่เริ่มต้นมาเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน
เริ่มด้วยการที่ ทามีร์ พาร์โด ผู้อำนวยการ "มอสสาด" สำนักงานสืบราชการลับเลื่องชื่อของอิสราเอล เสนอวิธีการใหม่เพื่อยับยั้ง หรืออย่างน้อยที่ก็ชะลอโครงการพัฒนานิวเคลียร์ที่อิสราเอลเชื่อว่าเป้าหมายเป็นการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ในอิหร่าน ด้วยการ "ลอบสังหาร" บรรดานักวิทยาศาสตร์หรือใครก็ตามที่เกี่ยวข้องเป็นแกนนำอยู่ในโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน
ผลลัพธ์ก็คือ ในช่วง 2 ปีเศษที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงและนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำที่เกี่ยวเนื่องอยู่กับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านระหว่าง 5-10 คน ตกเป็นเป้าการล่าสังหารดังกล่าวนี้ ในจำนวนนี้มีนักวิทยาศาสตร์ระดับ "ผู้เชี่ยวชาญ" อยู่ด้วยอย่างน้อย 4 คน
เริ่มต้นจาก มาซูด อาลี โมฮัมมาดี้ เมื่อเดือนมกราคม 2010 ขณะนักฟิสิกส์ชาวอิหร่านรายนี้กำลังก้าวเข้าไปนั่งในรถยนต์ของตนเองที่จอดอยู่ในกรุงเตหะราน จู่รถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ข้างๆ ก็กลายเป็นระเบิดสังหารโมฮัมมาดี้ ซึ่งถูกผู้เชี่ยวชาญนิวเคลียร์ในโลกตะวันตกระบุในเวลาต่อมาว่าเป็นหนึ่งใน "นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ชั้นนำ" ของอิหร่าน เสียชีวิตจากระเบิดที่เชื่อกันว่าบังคับการจุดชนวนจากระยะไกลนั้นทันที
หลายเดือนให้หลัง 29 พฤศจิกายน มาจิ๊ด ชาห์เรียรี่ ศาสตราจารย์ด้านนิวเคลียร์ฟิสิกส์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในเรื่องการถ่ายโอนนิวตรอน ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์ กำลังอยู่ในรถขณะที่มีจักรยานยนต์ 2 คันไล่ตามประกบ หนึ่งในจำนวนคนร้ายยื่นระเบิดแปะติดเข้ากับตัวถังรถยนต์ด้านที่ชาห์เรียรี่นั่งอยู่ เกิดระเบิดขึ้นในอีกไม่นานต่อมา เขาเสียชีวิตคาที่ในขณะที่ภรรยาได้รับบาดเจ็บสาหัสหลังการโจมตีดังกล่าว
อีกไม่นานให้หลังจากนั้น เฟอรีดูน อับบาซี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการแยกไอโซโทบนิวเคลียร์ ชาวอิหร่าน สังเกตเห็นจักรยานยนต์ต้องสงสัยสองคันไล่ตามรถที่เขาเป็นผู้ขับและมีภรรยานั่งไปด้วย ทั้งคู่ตัดสินใจกระโดดหนีลงจากรถทันก่อนที่ระเบิดจะเกิดขึ้นดังสนั่นตามมา ทั้งสองสามีภรรยาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากระเบิดดังกล่าวแต่รอดชีวิตมาได้ หลังจากที่อับบาซี่ฟื้นฟูร่างกายได้เต็มที่ มาห์มูด อาห์มาดิเนจาด ประธานาธิบดีอิหร่าน แต่งตั้งให้เขาเข้ารับตำแหน่งรองประธานาธิบดี ควบคู่ไปกับตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การพลังงานปรมาณูแห่งอิหร่านอีกด้วย
เหตุการณ์ที่ถือกันว่าเป็น "ฟางเส้นสุดท้าย" อย่างแท้จริงและนำไปสู่การตอบโต้ชนิด "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" นั้นเกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานี่เอง
มอสตาฟา อาห์มาดี้ โรชาน วัย 32 ปี ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหัวหน้าสำนักงานโครงการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมของอิหร่านที่เมืองนาทานซ์ ถูกสังหารด้วยระเบิดสังหารที่ถูกขนานนามกันแล้วในเวลานั้นว่าเป็น "สติ๊กกี้ บอมบ์" ระหว่างนั่งอยู่ในรถซึ่งกำลังเคลื่อนที่อยู่ ก่อนที่จะมีจักรยานยนต์สองคันวิ่งประกบแล้วแปะระเบิดสังหารเข้ากับตัวถัง
"สติ๊กกี้ บอมบ์" คือระเบิดเซมเท็กซ์ หรือซีโฟร์ ติดแผ่นแม่เหล็กแรงสูง จุดระเบิดด้วยชนวนหน่วงเวลา หรือจุดระเบิดด้วยรีโมตคอนโทรล ที่ใช้ในการสังหารอาห์มาดี้ โรชาน เป็นแบบเดียวกับที่ใช้ในการสังหารชาห์เรียรี่
การลอบสังหารอาห์มาดี้ โรชาน เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา สร้างปฏิกิริยารุนแรงให้กับทางการอิหร่านมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา กระทั่ง อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมนี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ถึงกับออกมาประกาศอย่างแข็งกร้าวว่า "เราไม่มีวันละเลยต่อการลงโทษผู้ใดก็ตามที่รับผิดชอบต่อการกระทำนี้"
นายพลมาห์ซูด จาซาเยรี ผู้อำนวยการกองบัญชาการร่วมกองทัพอิหร่าน ถึงกับหลุดปากอย่างตรงไปตรงมายิ่งกว่าว่า ศัตรูทั้งหลายของชาติอิหร่าน "โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ และอิสราเอล" ทั้งหมด "จำเป็นต้อง" รับผิดชอบต่อการกระทำทั้งหลายของพวกตน
นี่คือเบื้องหลังของเหตุการณ์รุนแรงที่กำลังลุกลามไปในหลายประเทศ
และเชื่อว่าจะยังไม่ยุติลงง่ายๆ ในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน