ขอนอกประเด็นหน่อยนะครับ
ผมว่าการเรียนพิเศษน่าจะเริ่มเรียนตอน ม.1 ดีกว่านะครับ
(จริง ๆ แล้วน่าจะเริ่มที่ ม.4 แต่เดี๋ยวนี้การแข่งขันด้านการศึกษามันสูง
โดยส่วนตัว สมัยผมเรียน ผมเริ่มเรียนพิเศษตอน ม.4 เนื่องจาก
อาจารย์ที่สอน เวลาสอนที่ห้องเรียนกับสอนพิเศษ สอนไม่เหมือนกัน
ไปเรียนพิเศษแล้ว ได้เทคนิคอะไรมาเยอะ แต่เลือกเรียนเฉพาะวิชา
ที่อาจารย์สอนในชั้นเรียน แล้วเราไม่รู้เรื่อง ไม่ได้เรียนพิเศษทุกวิชา)
ช่วงวัยเด็กควรจะให้เด็กเล่นซน สนุกสนานกับเพื่อนฝูง
มากกว่าที่จะเอาวิชาความรู้ยัดเยียดให้เด็กมากเกินไป
เลิกเรียนแล้ว ก็มาเล่นแบบเด็ก ๆ
(ผมหมายถึงแค่เรียนในโรงเรียนก็พอแล้ว เวลาที่เหลือก็ให้สนุกสนานแบบเด็กๆ)
แค่พ่อแม่ มีเวลาให้กับลูก สนใจ เอาใจใส่
ดูว่าวันนี้ลูกเรียนอะไรมาบ้าง มีการบ้านหรือเปล่า มีปัญหาข้อสงสัยหรือไม่
ผมว่าเนื้อหาการเล่าเรียนของเด็ก คงไม่ยากเกินกว่าที่พ่อแม่จะให้คำแนะนำได้
ดีกว่าที่จะให้ลูกไปเรียนพิเศษ
ทุกวันนี้ พ่อแม่ส่วนใหญ่ คิดอยากให้ลูกเป็นอย่างที่ตัวเองอยากให้เป็น
โดยที่ไม่ได้ถามความต้องการของลูกหรือมองดูความสามารถของลูกตัวเองอย่างแท้จริง
เอาลูกตัวเองเปรียบเทียบกับลูกคนอื่น ไม่ค่อยมีเวลามาใส่ใจลูกเท่าที่ควร
(มัวแต่ทำงานหาเงินอย่างเดียว)
ผมว่าสำหรับวัยเด็กเล็กแล้ว พ่อแม่คือครูที่ดีที่สุดครับ ไม่ต้องไปเรียนพิเศษที่ไหนหรอกครับ
ปล.1.ลูกผมยังไม่ถึงขวบครับ แต่ผมตั้งใจไว้ว่าจะให้เค้าสนุกสนานในวัยเด็กให้เต็มที่
2.เคารพทุกความคิดเห็นครับ
---------------------------------------------------
ผมคิดว่าที่กล่าวมาก็มีส่วนถูกนะ แต่นั้นมันใช้กับอดีตที่ผ่านมา ถ้าใช้เมื่อ 5-10 ปีที่แล้วก็ OK ครับ
ที่กล่าวมาผมหมายถึง เมื่อก่อน การค้าและเศรษฐกิจเราแข่งขันกันภายในประเทศ แต่ปัจจุบันมันไม่ใช่อย่างนั้นแล้วครับ !!! ตอนนี้เราแข่งขันกับต่างประเทศ ซึ่งไม่ใช่แต่อาเซียนนะ (ทั้งโลก)
ประเด็นที่ 1 :
มองดูให้ดีนะครับ มองดูรอบโลกด้วยนะครับ อย่างมองแต่ภายในประเทศ สังเกตุจาก
1. ตอนนี้พม่าเป็นอย่างไร (อ้างอิง
http://www.dailynews.co.th/businesss/19387 )
2. ตอนนี้เวียดนามเป็นอย่างไร (หาเองนะครับ เดี๋ยวเยอะ)
3. ประเทศรอบๆ เป็นอย่างไร ........
4. เชียงรายเราจะเป็นอย่างไร ..........
ประเด็นที่ 2 :
ตัวของเรารู้จักแผน asean เล่ม 1 เรื่องหรือยัง รู้ไหมว่ามันจะเกี่ยวกันยังไงกับชีวิตลูกหลานคุณ
1.การเคลื่อนยายแรงงานเสรีในประชาคมอาเซียน
2.ความร่วมมืออาเซียนด้านแรงงาน
3.การเคลื่อนยายแรงงานเสรีเฉพาะแรงงานฝีมือ 7 อาชีพ
ที่บอกหมายความว่าแรงงานที่มีความสามารถ เช่น จีน เวียดนาม สิงคโปรฯลฯ จะมาอยู่บ้านเรา คนพวกนี้ ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน แน่นกว่าเราแน่ๆครับ ถ้าเราไม่เริ่มสร้างศักยภาพให้ลูกตอนเด็ก แล้วจะไปสร้างตอนไหนละครับ!!!! ถามอีกนิดนะ แล้วคุณรู้ไหมละว่ามีอาชีพอะไรบ้าง

ประเด็นที่ 3 :
เศรษฐกิจเมืองไทยตอนนี้เป็นอย่างไรครับ เมื่อก่อนเงินเดือนป.ตรี 6,XXX บาท ตอนนั้นทองบาทละ 4,XXX หมายถึง 1 เดือน ก็สามารถซื้อได้ใช่ใหม แต่ตอนนี้เงินเดือนป.ตรี 15,XXX บาท แล้วทองบาทละ 24,xxx หมายถึงเก็บเงิน 2 เดือนถึงจะซื้อได้ ที่กล่าวมา หมายถึง คุณแน่ใจหรือว่าอนาคตเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร
สรุปดีกว่านะครับ เดี๋ยวจะเยอะ ตัวผมเองมองว่าเด็กทุกคนศักยภาพทางการศึกษาไม่เท่ากัน ทั้งด้านการเงิน, ด้านสมอง, ด้านภาวะทางอารมณ์ ,ด้านการจัดสรรเวลาฯลฯ และ อาจเป็นไปด้วยพรสวรรค์ แต่เราเป็นผู้ปกครองก็ต้องหาพรแสวงให้กับเขาด้วย
ในความคิดของผม ผมยอมให้ลูกเรียนพิเศษนะ ไม่ว่าจะเป็นคุมอง หรือ สถาบันอะไรต่างๆ จะเน้นด้านภาษา ,คณิตฯ และเรื่องค้าขาย(เศรษฐศาสตร์) ให้มีความรู้เบื้องต้น ตั้งแต่เด็ก เพราะคณิตศาสตร์ กับภาษา มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เรียนมากี่ปีๆ ก็เหมือนเดิม ไม่พ้น บวก ลบ คูณ หาร ล๊อก รูส อินทรีเกรต ดิฟ เซต และ ภาษาก็ไม่พ้นไวยากรณ์ ก็เหมือนเดิม แตกต่างก็เพียงเทคนิค // ยิ่งเรียนมาก เรียนซ้ำๆ ตั้งแต่เด็ก พอโตแล้วจะสามารถนำมาประยุกต์ได้ง่ายและเร็วกว่าเด็กที่พึ่งเรียน
อย่าลืมคำว่า "พ่อแม่รังแกฉัน" มันหมายความได้หลายอย่างนะ แต่ผมมองว่า การที่สนับสนุนให้เขาแกร่งด้านการศึกษา ณ ตอนนี้ หมายถึง เขาสามารถชนะเด็กอื่นได้จากคะแนน GPA ซึ่งเขาสามารถเลือกอยู่ในอาชีพที่การันตรีอนาคตเขาได้ หรือเลือกในอาชีพที่เขาต้องการได้มากกว่าลูกของคนอื่น
ส่วนเรื่องการเล่น ผมก็ปล่อยให้ลูกของผมเล่นเหมือนเด็กคนอื่น เพื่อสร้างพัฒนาการทางร่างกาย แต่ไม่ได้ลืมที่จะสร้างประสบการณ์ชีวิต และทักษะเพื่อใช้ในอนาคต เป็นได้ทั้งพ่อ ทั้งพี่ และเป็นได้ทั้งเพื่อน (ตรงนี้คนมีลูกคงเข้าใจ)
สังคมโลกเปลี่ยนไป รูปแบบชีวิตก็เปลี่ยนไป เราต้องตามโลกให้ทัน ต้องศึกษาและวางแผนชีวิตให้ดี เพราะหากคุณไม่เปลี่ยนไปตามสังคมโลก และยังยึดติดอะไรเดิมๆ ชีวิตก็ไม่ต่างจากไดโดเสาร์ ซึ่งสุดท้ายก็ต้องสูญพันธุ์....
*ลูกเปรียบเสมือนดวงใจ ,ความสำเร็จของลูกเกิดจากการวางแผนที่ดีจากพ่อแม่ึ 80% และโชคของลูกอีก 20%