เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 24 เมษายน 2025, 11:33:09
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  ใครเคยมีประสบการณ์ส่งลูกเรียนคุมองบ้างค่ะ
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน ใครเคยมีประสบการณ์ส่งลูกเรียนคุมองบ้างค่ะ  (อ่าน 12248 ครั้ง)
9mote
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 19


« เมื่อ: วันที่ 28 มีนาคม 2012, 16:00:46 »

อยากจะทราบแนวคิดในหลายมุมมองเพื่อประกอบการตัดสินใจเพราะเท่าที่ฟังมา บ้างก็ว่าดี บ้างก็ว่าไม่ค่อยดีเครียดไป ไม่ได้ตั้งกระืู้ทู้เพื่อโจมตีใครนะค่ะ อยากทราบเพราะจะเอาลูกมาเรียน แล้วมีที่อื่นพอจะให้คำแนะนำบ้างมั้ย เท่าที่ได้ยินมา จินตคณิต ต้นกล้าแต่ไม่ทราบในรายละเอียด หากมีใครที่พอให้ข้อมมูลก็ขอขอบคุณล่วงหน้านะค่ะ
IP : บันทึกการเข้า
9mote
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 19


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 28 มีนาคม 2012, 16:12:33 »

ไม่มีใครเข้ามาตอบเลยอะ่
IP : บันทึกการเข้า
@เชียงแสน
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ ป.ตรี
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,358


..ทุกลมหายใจคือการเปลี่ยนแปลง..


« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 28 มีนาคม 2012, 19:24:58 »

..อยู่ที่ความตั้งใจของเด็กน่ะครับ ที่บอกว่าไม่ได้ผล ไม่ดี เพราะบางที
เด็กไป เพราะพ่อแม่บังคับ แบบนี้จะให้เรียนได้ผลดีได้ยังไงครับ
แต่ถ้าเด็กเก่ง ตั้งใจเรียน แค่ในห้องเรียน ผมว่า ถ้าครูผู้สอนมีจิตสำนึก
ไม่กั๊กวิชา แค่นั้นก็เพียงพอครับผม ดูอย่างเด็กบางคนไม่เคยเรียนพิเศษ
ที่ไหนเลย แต่เรียนเก่ง และดี มีเยอะแยะครับผม...

...แต่เดี๋ยวนี้ครูผู้สอนบางคนกั๊กวิชา และบางคนไม่มีประสบการณ์ สอนไม่เป็น
และไปเรียนพิเศษ ได้ผล เพราะหลานผมเล่าให้ฟังว่า ในห้องเรียนจะสอนไม่ดี
แต่ถ้าไปสอนพิเศษ จะบอกวิธีลัดให้ บอกวิธีที่ง่ายกว่าที่สอนในห้องเรียน แปลกดี
ทั้ง ๆ ที่  "เป็นคนสอนคนเดียวกัน" อันนี้หลานเล่าให้ฟังน่ะครับ..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 28 มีนาคม 2012, 19:27:04 โดย ❤。◕‿◕。เชียงแสน。◕‿◕。❤ » IP : บันทึกการเข้า
inta
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,444


« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 28 มีนาคม 2012, 19:33:25 »

ควรจะให้เรียนตอนที่เด็กอยู่ประมาณ  ป 5 - 6    ถ้าเรียนแต่เล็กๆ    ใช้เงินไม่น้อย
ลูกผมเรียนตอน ป 6   จบคอร์สตอน ม 3   ที่บ้านดู่เมืองใหม่ครูดูแลดีครับ  ครูเป็นครู
ไม่ใช่นักธุรรกิจ
IP : บันทึกการเข้า


สนใจ โทร 086-9176511
ฟ้าใหม่
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 69


« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 29 มีนาคม 2012, 15:44:41 »

ลูกเรียนที่คุมองที่ห้าแยกฯ ค่ะ  ครูเค้าดูแลดีค่ะ  เริ่มแรกเอาเด็กไปทดสอบก่อนว่าเรียนไหวหรือเปล่า  แล้วก็เอาผู้ปกครองไปอบรมด้วยแล้วทดสอบผู้ปกครอง ถ้าผ่านถึงจะให้ลูกได้เรียน  เป็นการเรียนด้วยตนเองที่ดีมากค่ะ  เด็กจะได้มีความรับผิดชอบ มีการบ้านทุกวันค่ะ มีการจับเวลาด้วยค่ะ แต่เข้าเรียนอาทิตย์ละ 2 วันค่ะ สนุกมากค่ะ
IP : บันทึกการเข้า
kamonman
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 08 เมษายน 2012, 15:52:26 »

ดีมากเลย โดยเฉพาะสาขาที่ห้าแยกพ่อขุน เยี่ยมยกนิ้วให้เลย ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
Ossy
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 485



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 08 เมษายน 2012, 17:28:39 »

ขอนอกประเด็นหน่อยนะครับ

ผมว่าการเรียนพิเศษน่าจะเริ่มเรียนตอน ม.1 ดีกว่านะครับ
(จริง ๆ แล้วน่าจะเริ่มที่ ม.4 แต่เดี๋ยวนี้การแข่งขันด้านการศึกษามันสูง
โดยส่วนตัว สมัยผมเรียน ผมเริ่มเรียนพิเศษตอน ม.4 เนื่องจาก
อาจารย์ที่สอน เวลาสอนที่ห้องเรียนกับสอนพิเศษ สอนไม่เหมือนกัน
ไปเรียนพิเศษแล้ว ได้เทคนิคอะไรมาเยอะ แต่เลือกเรียนเฉพาะวิชา
ที่อาจารย์สอนในชั้นเรียน แล้วเราไม่รู้เรื่อง ไม่ได้เรียนพิเศษทุกวิชา)

ช่วงวัยเด็กควรจะให้เด็กเล่นซน สนุกสนานกับเพื่อนฝูง
มากกว่าที่จะเอาวิชาความรู้ยัดเยียดให้เด็กมากเกินไป
เลิกเรียนแล้ว ก็มาเล่นแบบเด็ก ๆ
(ผมหมายถึงแค่เรียนในโรงเรียนก็พอแล้ว เวลาที่เหลือก็ให้สนุกสนานแบบเด็กๆ)

แค่พ่อแม่ มีเวลาให้กับลูก สนใจ เอาใจใส่
ดูว่าวันนี้ลูกเรียนอะไรมาบ้าง มีการบ้านหรือเปล่า มีปัญหาข้อสงสัยหรือไม่
ผมว่าเนื้อหาการเล่าเรียนของเด็ก คงไม่ยากเกินกว่าที่พ่อแม่จะให้คำแนะนำได้
ดีกว่าที่จะให้ลูกไปเรียนพิเศษ

ทุกวันนี้ พ่อแม่ส่วนใหญ่ คิดอยากให้ลูกเป็นอย่างที่ตัวเองอยากให้เป็น
โดยที่ไม่ได้ถามความต้องการของลูกหรือมองดูความสามารถของลูกตัวเองอย่างแท้จริง
เอาลูกตัวเองเปรียบเทียบกับลูกคนอื่น  ไม่ค่อยมีเวลามาใส่ใจลูกเท่าที่ควร
(มัวแต่ทำงานหาเงินอย่างเดียว)

ผมว่าสำหรับวัยเด็กเล็กแล้ว พ่อแม่คือครูที่ดีที่สุดครับ ไม่ต้องไปเรียนพิเศษที่ไหนหรอกครับ

ปล.1.ลูกผมยังไม่ถึงขวบครับ แต่ผมตั้งใจไว้ว่าจะให้เค้าสนุกสนานในวัยเด็กให้เต็มที่
      2.เคารพทุกความคิดเห็นครับ
IP : บันทึกการเข้า

จุดยืนของทุกคนคือ ส้นตีนตัวเองครับ
HARLEY DAVIDSON
BIKER
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,536


HARLEY DAVIDSON & MERCEDES BENZ


« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 08 เมษายน 2012, 17:34:18 »

ขอนอกประเด็นหน่อยนะครับ

ผมว่าการเรียนพิเศษน่าจะเริ่มเรียนตอน ม.1 ดีกว่านะครับ
(จริง ๆ แล้วน่าจะเริ่มที่ ม.4 แต่เดี๋ยวนี้การแข่งขันด้านการศึกษามันสูง
โดยส่วนตัว สมัยผมเรียน ผมเริ่มเรียนพิเศษตอน ม.4 เนื่องจาก
อาจารย์ที่สอน เวลาสอนที่ห้องเรียนกับสอนพิเศษ สอนไม่เหมือนกัน
ไปเรียนพิเศษแล้ว ได้เทคนิคอะไรมาเยอะ แต่เลือกเรียนเฉพาะวิชา
ที่อาจารย์สอนในชั้นเรียน แล้วเราไม่รู้เรื่อง ไม่ได้เรียนพิเศษทุกวิชา)

ช่วงวัยเด็กควรจะให้เด็กเล่นซน สนุกสนานกับเพื่อนฝูง
มากกว่าที่จะเอาวิชาความรู้ยัดเยียดให้เด็กมากเกินไป
เลิกเรียนแล้ว ก็มาเล่นแบบเด็ก ๆ
(ผมหมายถึงแค่เรียนในโรงเรียนก็พอแล้ว เวลาที่เหลือก็ให้สนุกสนานแบบเด็กๆ)

แค่พ่อแม่ มีเวลาให้กับลูก สนใจ เอาใจใส่
ดูว่าวันนี้ลูกเรียนอะไรมาบ้าง มีการบ้านหรือเปล่า มีปัญหาข้อสงสัยหรือไม่
ผมว่าเนื้อหาการเล่าเรียนของเด็ก คงไม่ยากเกินกว่าที่พ่อแม่จะให้คำแนะนำได้
ดีกว่าที่จะให้ลูกไปเรียนพิเศษ

ทุกวันนี้ พ่อแม่ส่วนใหญ่ คิดอยากให้ลูกเป็นอย่างที่ตัวเองอยากให้เป็น
โดยที่ไม่ได้ถามความต้องการของลูกหรือมองดูความสามารถของลูกตัวเองอย่างแท้จริง
เอาลูกตัวเองเปรียบเทียบกับลูกคนอื่น  ไม่ค่อยมีเวลามาใส่ใจลูกเท่าที่ควร
(มัวแต่ทำงานหาเงินอย่างเดียว)

ผมว่าสำหรับวัยเด็กเล็กแล้ว พ่อแม่คือครูที่ดีที่สุดครับ ไม่ต้องไปเรียนพิเศษที่ไหนหรอกครับ

ปล.1.ลูกผมยังไม่ถึงขวบครับ แต่ผมตั้งใจไว้ว่าจะให้เค้าสนุกสนานในวัยเด็กให้เต็มที่
      2.เคารพทุกความคิดเห็นครับ

เห็นด้วยครับ
IP : บันทึกการเข้า

ขาดแคลนเงินตรา  แต่งชุดนักศึกษามาหาพี่
สุขใดไหนจะเท่า เมื่อล้วงกระเป๋าแล้วเจอตังค์
Mrplatoon
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 09 เมษายน 2012, 01:54:45 »

เคยส่งลูกเรียน ตอนประถม จะเป็นระบบทำซ้ำมากกว่า บางครั้งเด็กก็เบื่อมากๆ กับการทำซ้ำ ระบบของเขา ถ้าเด็กไม่ผ่านเกณฑ์หรือมาตรฐานของเขาก็จะให้ซ้ำของเดิม บางครั้งเมื่อเทียบกับการเรียนในโรงเรียน...จะช้ากว่าที่โรงเรียนไปสองสามขั้น บางทีที่โรงเรียนเรียนหารแล้ว แต่คุมองยังเรียนบวกอยู่เลย จะว่าดีก็ดี..สำหรับเด็กบางคนนะ ถ้าจะให้เรียน แนะนำให้เรียนตอนเด็กดีกว่า เพราะพอขึ้นม.ต้นแล้ว จะต้องไปเรียนพิเศษอย่างอื่นจะไม่มีเวลามานั่งเรียนคุมอง เด็กจะเครียดเอา...  ส่งลูกเรียนได้ 3 ปี เลยเลิกเพราะไม่คืบหน้า ตอนนี้ลูกจบม.6 แล้ว
IP : บันทึกการเข้า
fluke_ind
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 302



« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 09 เมษายน 2012, 12:03:45 »

ขอนอกประเด็นหน่อยนะครับ

ผมว่าการเรียนพิเศษน่าจะเริ่มเรียนตอน ม.1 ดีกว่านะครับ
(จริง ๆ แล้วน่าจะเริ่มที่ ม.4 แต่เดี๋ยวนี้การแข่งขันด้านการศึกษามันสูง
โดยส่วนตัว สมัยผมเรียน ผมเริ่มเรียนพิเศษตอน ม.4 เนื่องจาก
อาจารย์ที่สอน เวลาสอนที่ห้องเรียนกับสอนพิเศษ สอนไม่เหมือนกัน
ไปเรียนพิเศษแล้ว ได้เทคนิคอะไรมาเยอะ แต่เลือกเรียนเฉพาะวิชา
ที่อาจารย์สอนในชั้นเรียน แล้วเราไม่รู้เรื่อง ไม่ได้เรียนพิเศษทุกวิชา)

ช่วงวัยเด็กควรจะให้เด็กเล่นซน สนุกสนานกับเพื่อนฝูง
มากกว่าที่จะเอาวิชาความรู้ยัดเยียดให้เด็กมากเกินไป

เลิกเรียนแล้ว ก็มาเล่นแบบเด็ก ๆ
(ผมหมายถึงแค่เรียนในโรงเรียนก็พอแล้ว เวลาที่เหลือก็ให้สนุกสนานแบบเด็กๆ)

แค่พ่อแม่ มีเวลาให้กับลูก สนใจ เอาใจใส่
ดูว่าวันนี้ลูกเรียนอะไรมาบ้าง มีการบ้านหรือเปล่า มีปัญหาข้อสงสัยหรือไม่
ผมว่าเนื้อหาการเล่าเรียนของเด็ก คงไม่ยากเกินกว่าที่พ่อแม่จะให้คำแนะนำได้
ดีกว่าที่จะให้ลูกไปเรียนพิเศษ

ทุกวันนี้ พ่อแม่ส่วนใหญ่ คิดอยากให้ลูกเป็นอย่างที่ตัวเองอยากให้เป็น
โดยที่ไม่ได้ถามความต้องการของลูกหรือมองดูความสามารถของลูกตัวเองอย่างแท้จริง
เอาลูกตัวเองเปรียบเทียบกับลูกคนอื่น  ไม่ค่อยมีเวลามาใส่ใจลูกเท่าที่ควร
(มัวแต่ทำงานหาเงินอย่างเดียว)

ผมว่าสำหรับวัยเด็กเล็กแล้ว พ่อแม่คือครูที่ดีที่สุดครับ ไม่ต้องไปเรียนพิเศษที่ไหนหรอกครับ

ปล.1.ลูกผมยังไม่ถึงขวบครับ แต่ผมตั้งใจไว้ว่าจะให้เค้าสนุกสนานในวัยเด็กให้เต็มที่
      2.เคารพทุกความคิดเห็นครับ

---------------------------------------------------
ผมคิดว่าที่กล่าวมาก็มีส่วนถูกนะ แต่นั้นมันใช้กับอดีตที่ผ่านมา ถ้าใช้เมื่อ 5-10 ปีที่แล้วก็ OK ครับ
ที่กล่าวมาผมหมายถึง เมื่อก่อน การค้าและเศรษฐกิจเราแข่งขันกันภายในประเทศ แต่ปัจจุบันมันไม่ใช่อย่างนั้นแล้วครับ !!! ตอนนี้เราแข่งขันกับต่างประเทศ ซึ่งไม่ใช่แต่อาเซียนนะ (ทั้งโลก)

ประเด็นที่ 1 :
มองดูให้ดีนะครับ มองดูรอบโลกด้วยนะครับ อย่างมองแต่ภายในประเทศ สังเกตุจาก
   1. ตอนนี้พม่าเป็นอย่างไร  (อ้างอิง http://www.dailynews.co.th/businesss/19387 )
   2. ตอนนี้เวียดนามเป็นอย่างไร (หาเองนะครับ เดี๋ยวเยอะ)
   3. ประเทศรอบๆ เป็นอย่างไร ........
   4. เชียงรายเราจะเป็นอย่างไร ..........

ประเด็นที่ 2 :
ตัวของเรารู้จักแผน asean เล่ม 1 เรื่องหรือยัง รู้ไหมว่ามันจะเกี่ยวกันยังไงกับชีวิตลูกหลานคุณ
   1.การเคลื่อนยายแรงงานเสรีในประชาคมอาเซียน
   2.ความร่วมมืออาเซียนด้านแรงงาน
   3.การเคลื่อนยายแรงงานเสรีเฉพาะแรงงานฝีมือ 7 อาชีพ
ที่บอกหมายความว่าแรงงานที่มีความสามารถ เช่น จีน เวียดนาม สิงคโปรฯลฯ จะมาอยู่บ้านเรา คนพวกนี้ ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน แน่นกว่าเราแน่ๆครับ ถ้าเราไม่เริ่มสร้างศักยภาพให้ลูกตอนเด็ก แล้วจะไปสร้างตอนไหนละครับ!!!! ถามอีกนิดนะ แล้วคุณรู้ไหมละว่ามีอาชีพอะไรบ้าง ยิ้ม

ประเด็นที่ 3 :
เศรษฐกิจเมืองไทยตอนนี้เป็นอย่างไรครับ เมื่อก่อนเงินเดือนป.ตรี 6,XXX บาท ตอนนั้นทองบาทละ 4,XXX หมายถึง 1 เดือน ก็สามารถซื้อได้ใช่ใหม แต่ตอนนี้เงินเดือนป.ตรี 15,XXX บาท แล้วทองบาทละ 24,xxx หมายถึงเก็บเงิน 2 เดือนถึงจะซื้อได้  ที่กล่าวมา หมายถึง คุณแน่ใจหรือว่าอนาคตเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร

สรุปดีกว่านะครับ เดี๋ยวจะเยอะ
    ตัวผมเองมองว่าเด็กทุกคนศักยภาพทางการศึกษาไม่เท่ากัน ทั้งด้านการเงิน, ด้านสมอง, ด้านภาวะทางอารมณ์ ,ด้านการจัดสรรเวลาฯลฯ และ อาจเป็นไปด้วยพรสวรรค์ แต่เราเป็นผู้ปกครองก็ต้องหาพรแสวงให้กับเขาด้วย
    ในความคิดของผม ผมยอมให้ลูกเรียนพิเศษนะ ไม่ว่าจะเป็นคุมอง หรือ สถาบันอะไรต่างๆ จะเน้นด้านภาษา ,คณิตฯ และเรื่องค้าขาย(เศรษฐศาสตร์) ให้มีความรู้เบื้องต้น ตั้งแต่เด็ก เพราะคณิตศาสตร์ กับภาษา มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เรียนมากี่ปีๆ ก็เหมือนเดิม ไม่พ้น บวก ลบ คูณ หาร ล๊อก รูส อินทรีเกรต ดิฟ เซต และ ภาษาก็ไม่พ้นไวยากรณ์ ก็เหมือนเดิม แตกต่างก็เพียงเทคนิค // ยิ่งเรียนมาก เรียนซ้ำๆ ตั้งแต่เด็ก พอโตแล้วจะสามารถนำมาประยุกต์ได้ง่ายและเร็วกว่าเด็กที่พึ่งเรียน
      อย่าลืมคำว่า "พ่อแม่รังแกฉัน" มันหมายความได้หลายอย่างนะ แต่ผมมองว่า การที่สนับสนุนให้เขาแกร่งด้านการศึกษา ณ ตอนนี้ หมายถึง เขาสามารถชนะเด็กอื่นได้จากคะแนน GPA ซึ่งเขาสามารถเลือกอยู่ในอาชีพที่การันตรีอนาคตเขาได้ หรือเลือกในอาชีพที่เขาต้องการได้มากกว่าลูกของคนอื่น
      ส่วนเรื่องการเล่น ผมก็ปล่อยให้ลูกของผมเล่นเหมือนเด็กคนอื่น เพื่อสร้างพัฒนาการทางร่างกาย แต่ไม่ได้ลืมที่จะสร้างประสบการณ์ชีวิต และทักษะเพื่อใช้ในอนาคต เป็นได้ทั้งพ่อ ทั้งพี่ และเป็นได้ทั้งเพื่อน (ตรงนี้คนมีลูกคงเข้าใจ)
      สังคมโลกเปลี่ยนไป รูปแบบชีวิตก็เปลี่ยนไป เราต้องตามโลกให้ทัน ต้องศึกษาและวางแผนชีวิตให้ดี เพราะหากคุณไม่เปลี่ยนไปตามสังคมโลก และยังยึดติดอะไรเดิมๆ ชีวิตก็ไม่ต่างจากไดโดเสาร์ ซึ่งสุดท้ายก็ต้องสูญพันธุ์....


*ลูกเปรียบเสมือนดวงใจ ,ความสำเร็จของลูกเกิดจากการวางแผนที่ดีจากพ่อแม่ึ 80% และโชคของลูกอีก 20%
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 09 เมษายน 2012, 12:08:11 โดย fluke_ind » IP : บันทึกการเข้า
romeo28
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 513


« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 09 เมษายน 2012, 19:28:09 »



...แต่เดี๋ยวนี้ครูผู้สอนบางคนกั๊กวิชา และบางคนไม่มีประสบการณ์ สอนไม่เป็น
และไปเรียนพิเศษ ได้ผล เพราะหลานผมเล่าให้ฟังว่า ในห้องเรียนจะสอนไม่ดี
แต่ถ้าไปสอนพิเศษ จะบอกวิธีลัดให้ บอกวิธีที่ง่ายกว่าที่สอนในห้องเรียน แปลกดี
ทั้ง ๆ ที่  "เป็นคนสอนคนเดียวกัน" อันนี้หลานเล่าให้ฟังน่ะครับ..

[/quote]มีจริงๆครับ+10000 ให้เลยครับ ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า
fluke_ind
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 302



« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 10 เมษายน 2012, 00:38:45 »



...แต่เดี๋ยวนี้ครูผู้สอนบางคนกั๊กวิชา และบางคนไม่มีประสบการณ์ สอนไม่เป็น
และไปเรียนพิเศษ ได้ผล เพราะหลานผมเล่าให้ฟังว่า ในห้องเรียนจะสอนไม่ดี
แต่ถ้าไปสอนพิเศษ จะบอกวิธีลัดให้ บอกวิธีที่ง่ายกว่าที่สอนในห้องเรียน แปลกดี
ทั้ง ๆ ที่  "เป็นคนสอนคนเดียวกัน" อันนี้หลานเล่าให้ฟังน่ะครับ..

มีจริงๆครับ+10000 ให้เลยครับ ยิ้มกว้างๆ
[/quote]

ออ..ขอรายละเอียดเพิ่มอีกหน่อยนะครับ ที่บอกว่าต้องไปเรียนพิเศษเพิ่ม แล้วไปเรียนวิชาอะไรหรอครับ? เรียนระดับไหน เรียนวิชาอะไร คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ

ข้อแนะนำนะครับ ถ้าผู้ปกครองท่านใดพอมีเวลา ควรทำการสอนลูกเองไม่ดีกว่าหรือครับ ยิ้ม
ค่อยๆ สอน ค่อยๆทำความเข้าใจร่วมกับลูก (สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว และเป็นการทบทวนสิ่งเก่าที่เราเคยเรียนมา)
ถ้าเป็นวิชาระดับมัธยมต้น เราๆผู้ปกครองก็เรียนกันมาแล้วนิครับ  คิดว่าพอสอนกันเองได้นะ

ส่วนมัธยมปลาย หรือสายอาชีพ คณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ หลักสูตรไม่ค่อยต่างกันมากนัก
หนังสือก็มีให้ เน็ตก็มีให้ ซึ่งเราๆ ผู้ปกครองก็เรียนกันมาแล้วไม่ใช่หรือครับ (หรือส่งคืนอาจารย์กันหมดแล้ว)

ประเด็นมันอยู่ที่ว่า
1. การกั๊กความรู้ของผู้สอน เพื่อต้องการเปิดสอนพิเศษ ตรงนี้ผมจะไม่แก้นะ เนื่องจากเป็นปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุม
2. คุณผู้ปกครองมีเวลาให้ลูกหรือไม่
3. ความรู้ความสามารถของผู้ปกครอง (สมัยคุณๆผู้ปกครองเรียน คุณตั้งใจเรียนไหม)

 ยิ้ม ตัวผมเองผมจะไม่โทษระบบการศึกษา เพราะผมควบคุมปัจจัยต่่างๆ เหล่านั้นไม่ได้
 ยิ้ม ผมจะไม่โยนความผิดไปให้แก่ผู้อื่น แต่ผมจะมองย้อนกลับมามองตัวเอง ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นสามารถแก้ไขปัญหาเองได้อย่างไร
 ยิ้ม สิ่งหนึ่งที่ผมทำ คือการให้ความรู้แก่ลูก  ด้วยความรู้ความสามารถที่ผมมี ถ้าข้อไหนไม่รู้ก็อ่านหนังสือเพิ่มเอา หรือเปิดอ่านในเน็ตฯ หรือถ้าไม่ได้จริงๆ ยอมเสียหน้าไปถามครูที่สอนเอาเลย อย่างน้อยผมก็ได้ความรู้เพิ่ม อะ...จริงไหม ยิงฟันยิ้ม

//
ผู้ปกครองส่วนมากกลับมา แทบไม่มีเวลาให้ลูก ผู้ปกครองบางคนติดหนัง ติดละคร ติดงานสังคม ฯลฯ แล้วใช้เงินแก้ปัญหา ส่งลูกไปเรียนพิเศษบ้าง ซื้อเกมส์ให้ลูกบ้าง ฯลฯ  สุดท้ายแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ เพราะเลือกใช้เครื่องมือในการแก้ปัญหาที่ผิด

คนเป็นพ่อแม่ ย่อมรักลูก และทำทุกอย่างเพื่อลูก เพราะลูกเปรียบเสมือนดวงใจ
ผู้ปกครองอย่างเรา ยอมที่จะส่งลูกให้ไปเรียนพิเศษ เรียนเสริม ฯลฯ แต่ผมขอถามว่า เมื่อลูกกลับมาจากโรงเรียน หรือกลับมาจากเรียนพิเศษ คุณเคยมีเวลานั่งทำการบ้านร่วมกับเขาบ้างไหม ,เคยถามถึงสิ่งที่เป็นเกิดขึ้น ,หรือสิ่งที่เขาประทับใจบ้างไหม (ตอนคุณถามเขา คุณถามในฐานะอะไร ฐานะผู้ปกครอง หรือฐานะเพื่อน)

สุดท้ายก่อนจะเยอะไปกว่านี้ ลองคิดดีๆ นะ ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไข และปัญหาทุกอย่างมีเหตุมีผลเป็นของมันเอง ถ้าคิดดีๆ วิเคราะห์ดีๆ ใจเย็นๆ เราจะรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณของการเป็นพ่อแม่ ว่าจะแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างไร......
IP : บันทึกการเข้า
satun
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 71


« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 10 เมษายน 2012, 09:30:15 »

เห็นด้วยกับหลายๆคน แต่แค่อยากให้หลายคนลองคิดว่า คุณกำลังคิดแทนเด็กอยู่หรือเปล่า เพราะว่าเด็กแต่ละคนมีความพร้อมไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเราสร้างบรรยกาศในการเรียนรู้ให้เด็ก ไม่กดดันมากเกินไป ไม่รู้สึกเสียหน้ามากเกินไปถ้าลูกเราเรียนช้ากว่าลูกคนอื่น เพราะถ้าเด็กมีความสุขเขาจะเรียนรู้ได้ และทำให้เขาสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต โดยไม่รู้สึกว่าถูกบังคับให้เรียนตลอดเวลา แล้วเราจะได้เห็นศักยภาพที่แท้จริงของเด็ก ถ้าไม่เช่นนั้นเราจะได้เห็นเด็กรุ่นต่อไปมีความเบื่อหน่ายกับสิงที่เรียน และอาชีพ เพราะเขาไม่ได้เป็นคนตัดสินใจตั้งแต่เริ่มต้นแต่เป็นการตัดสินใจ และความต้องการของพ่อ แม่ ต่างหาก
IP : บันทึกการเข้า
fluke_ind
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 302



« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 11 เมษายน 2012, 12:00:14 »

เห็นด้วยกับหลายๆคน แต่แค่อยากให้หลายคนลองคิดว่า คุณกำลังคิดแทนเด็กอยู่หรือเปล่า เพราะว่าเด็กแต่ละคนมีความพร้อมไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเราสร้างบรรยกาศในการเรียนรู้ให้เด็ก ไม่กดดันมากเกินไป ไม่รู้สึกเสียหน้ามากเกินไป ถ้าลูกเราเรียนช้ากว่าลูกคนอื่น เพราะถ้าเด็กมีความสุขเขาจะเรียนรู้ได้ และทำให้เขาสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต โดยไม่รู้สึกว่าถูกบังคับให้เรียนตลอดเวลา แล้วเราจะได้เห็นศักยภาพที่แท้จริงของเด็ก ถ้าไม่เช่นนั้นเราจะได้เห็นเด็กรุ่นต่อไปมีความเบื่อหน่ายกับสิงที่เรียน และอาชีพ เพราะเขาไม่ได้เป็นคนตัดสินใจตั้งแต่เริ่มต้นแต่เป็นการตัดสินใจ และความต้องการของพ่อ แม่ ต่างหาก

มีคำพูดที่เปรียบเปรยว่า "พื้นฐานดี ย่อมก่ออิฐได้สูง"
การวางความพร้อมที่ดี สามารถสร้างพัฒนาการของเด็กได้สูง
ตรงที่บอกว่า
1. คุณกำลังคิดแทนเด็กอยู่หรือเปล่า
    ก็ถ้าไม่ลองให้เด็กทำ แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กชอบไม่ชอบ ก็ต้องให้เขาลองไปก่อน แล้วค่อยพิจารณาผลซิครับ
2. ถ้าลูกเราเรียนช้ากว่าลูกคนอื่น
    ตรงนี้ต้องระวังนะครับ ถ้าปล่อยให้เรียนช้า แล้วไม่มีการกระตุ้น(วิธีกระตุ้นที่ดีมีมากมาย หาอ่านเองนะครับ) เด็กจะเฉื่อย และอาจทำให้พัฒนาการในการเรียนอนาคตด้อยลง

ตรงนี้ของเกริ่นนำก่อนว่าการเลี้ยงลูกของผมแบ่งได้เป็นสองมุมมองอนาคต คือ
1. ทางด้านศึกษาศาสตร์
2. ทางด้านเศรษฐศาสตร์
ฮะๆๆ ตรงนี้ไม่ต้องเครียดนะครับ อ่านแบบสบายๆ ไปก่อน

แต่จากกระทู้ขอแสดงความคิดเพียง ทางด้านศึกษาศาสตร์ ก่อน(ถ้าใครมาแย้ง เดี๋ยวเอาด้านเศรษฐศาสตร์ เข้าอธิบาย)
ประเด็น เราผู้ปกครองรู้สึกอย่างไร
- ถ้าลูกกลับมาบอกว่า เทอมนี้เรียนเกรด 1.xx หรือ เรียนได้อันดับ Top Last ของห้อง
- เมื่อเรียนจบระดับมัธยม ได้ GPA ไม่ค่อยดี ไม่สามารถเข้าเรียน เพื่อให้ได้ระดับงานที่มั่นคง เช่น หมอ พยาบาล วิศวกร ทหารระดับสัญญาบัตร นักบิน แอร์ หรือ สายงานที่ต้องมี GPA สูงๆ ในการเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
- เมื่อเรียนจบปริญญาตรี ได้เกรดเฉลี่ยที่ต่ำ ไม่สามารถขอทุนไปเรียน ป.โท เพื่อพัฒนาศัยภาพ (ทุนในและนอกประเทศ ปรกติ 2.50 ขึ้น)ได้ และงานก็มีน้อย และเงินเดือนต่ำ
- เมื่อเรียนจบปริญญาโท ได้เกรดเฉลี่ยที่ต่ำ ไม่สามารถขอทุนไปเรียน ป.เอก เพื่อพัฒนาศัยภาพ (ทุนในและนอกประเทศปรกติ 3.00 ขึ้น)ได้ และงานมีมากกว่า ป.ตรี แต่เงินเดือนพออยู่ได้
- การเปิดเสรีแรงงานเสรีของอาเซียน มีผลต่อลูกคุณไหม แข่งกับ คนจีน มาเลฯ ฟิลิปินส์
- การเรียนระดับที่สูง(ป.โท ป.เอก) สร้างหนทางในการเลือกทำงานได้มากกว่า


ผมคิดว่า ใครจะมองยังไงก็แล้วแต่นะ ลูกคุณ(คุณเลี้ยงเอง) ความคิดเห็นแบ่งปันกันได้ เพราะผมดูว่าการเป็นพ่อแม่ ไม่ใช่เพียงแค่ดูกับแล แต่ต้องเป็นโค๊ชให้กับลูกด้วย โค๊ชต้องมองว่านักกีฬาของตนชอบหรือไม่ชอบอะไร ถนัดหรือไม่ถนัดอะไร แล้วเติมเต็มให้เขาด้วยประสบการณ์ที่เรามีให้อย่างสมบูรณ์ และประสบการณ์ถือว่าเป็นเครื่องมือหนึ่งของโค๊ช
ประสบการณ์หรือองค์ความรู้(knowledge) ไม่ใช่มีไว้พูดให้สวยหรู แต่มันเป็นการบอกว่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เก็บข้อมูลมาอย่างไร ลองผิดลองถูกอย่างไร แล้วแบ่งปันข้อมูลแก่คนรุ่นลูก เพื่อให้เขาได้พิจารณามาประยุกต์ใช้กับชีวิต
ตัวอย่างเช่น
ตัวอย่างที่ 1.โค๊ชสอนนักกีฬา ทำไมต้องมีละครับ ฝึกเองก็ได้ใช่ไหม แต่ถ้ามีโค๊ช คุณก็จะได้เทคนิคที่ทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จได้สูง (การได้เรียนรู้จากผู้เชียวชาญเพียงหนึ่งวัน เทียบเท่ากับการศึกษาด้วยตนเองถึงหนึ่งปี <-ประโยคนี้เอามาจากหนัง)

ตัวอย่างที่ 2.การเดินทางจากเชียงรายไปเชียงใหม่ ถ้าให้เลือกเดินทางด้วยรถยนต์ และทำให้คุณถึงจุดหมายได้เร็วที่สุด คุณจะไปอย่างไรระหว่าง 1.เลือกบุกเบิกทางใหม่เอง หรือ 2.ขับไปทางถนนเส้นเชียงราย-เชียงใหม่ ที่เขามีให้อยู่แล้ว

ดังนั้น การใช้ชีวิตก็เช่นกัน ผมถึงเน้นเสมอว่า โลกสมัยใหม่ไม่ได้แข่งขันแค่ในประเทศแต่แข่งขันทั่วโลก อยากให้มองมุมเรื่องต่างๆให้ไกลกว่า มองให้ยาวๆ ไม่ใช่มองแค่วันนี้ พรุ่งนี้ หรือปีนี้

สุดท้ายก่อนจบ จะเล่าเรื่องที่น่าคิดอยู่อย่างหนึ่ง(จะไม่ขอเอ่ยชื่อบุคลที่ 3 นะ)
    ผมเคยได้มีโอกาสได้ไปพูดคุยกับนักธุรกิจท่านหนึ่ง (ผมขอเรียกว่าคนชั้นระดับบนๆ) ท่านบอกเรื่องทำนองนี้ ปรกติจะไม่มีใครมาปลูกฝัง หรือบอกให้เรารู้หรอกครับ พวกเขาจะไม่อยากให้เราโต เขาไม่อยากให้เรามองไกลๆ เพราะถ้าเราทำอย่างนั้นได้ เขาจะไม่มีแรงงานไว้ใช้ ไม่มีใครเติมน้ำมันให้ ไม่มีใครบริการที่ห้างฯ ฯลฯ

IP : บันทึกการเข้า
secrete
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 102


« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 12 เมษายน 2012, 11:13:50 »

ส่งลูกเรียนคุมองมาตั้งแต่ ป. เห็นว่าได้ผลดีในระยะยาว ซึ่งเด็กจะเห็นผลในระดับที่สูงขึ้น
ครูที่สอนอยู่ก็บอกตั้งแต่ตอนมาครั้งแรกแล้วว่าถ้าหากคุณต้องการให้เห็นผลในระยะสั้น
หรือมาติวเพื่อทำเกรด หรือสอบเข้าเรียน คุมองก็ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ  ตอนนี้ลูกเรียนชั้น ป.6
คณิตศาสตร์อยู่ในขั้นดีมาตลอด สาเหตุที่ส่งลูกมาเรียนคุมองก็เพราะคิดว่าตนเองไม่มีศักยภาพ
ในการสอนคณิตศาสตร์เรื่องที่ยาก ๆ ได้ ก็เห็นผลได้ดี ถ้าช่วงไหนลูกเกิดท้อขึ้นมาเพราะบาง
เรื่องยากมาก ก็ให้ลูกไปขอลดการบ้านจากครูได้ แล้วผู้ปกครองมีส่วนในการให้กำลังใจเด็ก
เป็นอย่างมาก
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!