1.
ใครที่รออ่านว่ามาเขมรคราวนี้ผมจะได้เสียเสร็จเป็นผัวเจ๊โธมัสรึเปล่า
ไม่ต้องรอครับ เพราะงานนี้เร้าใจกว่า ยังไม่ทันจะออกจากสนามบิน
ก็มีเรื่องสยิวมาต้อนรับกันถึงหน้าประตูสนามบินกันเลยทีเดียว
2.
ด้วยความที่คุ้นเคยกับประเทศกัมพูชามาสองสามปีแล้ว
เข้าๆออกๆสนามบินที่นี่มานับร้อยรอบ และรู้ทางหนีทีไล่จนพรุน
จากเดิมครั้งแรกๆ ก็มีพี่คนไทยมารอรับ หลังๆพี่ๆก็เริ่มให้น้องคนเขมรมารับ
พอตอนนี้ปีกกล้าขาแข็ง ก็ปล่อยให้ซ้อนท้ายมอไซค์ไปออฟฟิศ ...เอ้ย ไม่ใช่ครับ
เดี๋ยวนี้ก็ให้คนขับรถเขมรมารับคนเดียวเลย เพราะผมพอคุยภาษาเขมรงูๆปลาๆรู้เรื่อง
วันนี้ก็เช่นกันครับ ผมบอกพี่ๆที่เขมรว่าไม่ต้องให้ใครมารับหรอก
แค่ส่งคนขับรถมาให้ผมคนเดียว เดี๋ยวจัดการได้อยู่แล้ว...
ปรากฏว่า วันนี้ผมผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และรับกระเป๋าเร็วมาก
โผล่ออกมาด้านนอก terminal ยังไม่ถึงเก้าโมงเช้า (ในสภาพง่วงซอมบี้มากๆ)
ผมโทรหาคนขับรถ ถามว่าอยู่ไหน ... มันตอบเป็นภาษาเขมร
ฟังไม่ออกหรอกครับว่ามันอยู่ไหน รู้แต่ว่า “รอแป๊บๆ กำลังไปๆ”
โอเค ไม่เป็นไร คนขับรถไม่ผิดหรอก วันนี้ผมออกมาเร็วกว่าปกติเอง
ผมเลยลากกระเป๋าไปนั่งรอที่ร้านแดรี่ควีนหน้า terminal
พร้อมกับหยิบมือถือขึ้นมา ก้มหน้าก้มตา text ไปบอกพี่ๆ ว่ามาถึงแล้ว
ระหว่างที่นั่งพิมพ์ text อยู่นั้น ก็มีผู้ชายคนนึงเดินเข้ามายืนหน้าผม
แล้วพูดด้วยภาษาอังกฤษฟังชัดว่า “มาคนเดียวเหรอครับ”
3.
สามปีที่แล้ว
ตอน Passport Control ที่ ตม. เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังตรวจ passport ผมอยู่ก็มีบทสนทนาเกิดขึ้น
ข้างล่างคือสคริปต์บทสนทนา soundtrack ภาษาอังกฤษ
ขอบรรยายเป็น subtitle ภาษาไทย
ตม. : สวัสดี (พูดขึ้นมาแบบผมไม่ทันตั้งตัว)
ผม : ซัวสไดย (หลังจากตั้งตัวได้ แล้วโปรยยิ้มเล็กๆ 1 ที ตอนนั้นคิดว่าเป็นนางงามมิตรภาพ)
ตม. : อ้าว ... พูดขแมร์ได้ด้วยเหรอครับ
ผม : อ๋อ ได้นิดหน่อยน่ะครับ
ตม. : มาเที่ยวเหรอครับ
ผม : อ๋อ ป่าวครับ มีธุระนิดหน่อยน่ะครับ
ตม. : ธุระอะไรเหรอครับ
ผม : อ๋อ ขายซีเมนต์น่ะครับ
ตม. : ซีเมนต์

(ทำหน้างงนิดนึง)
ผม : อ่า ... ซีมองต์น่ะครับ (ภาษาขแมร์อ่านแบบฝรั่งเศสน่ะ)
ตม. : อ๋อออออ ... ซีมองต์ (ยิ้มกริ่ม พยักหน้าหงึกๆ)
ตม. : ยี่ห้ออะไรเหรอครับ
ผม : อ่า K cement น่ะครับ รู้จักมั้ยครับ
ตม. : ดำไรย

(ตราช้างเหรอครับ)
ผม : อ่า ไม่ใช่ครับ แต่ดำไรยนี่ก็ของผมครับ
ตม. : ดีจังเลยครับ แล้วจะมาอีกทีเมื่อไรครับ
ผม : อ๋อ เดือนหน้าครับ แต่ไปเสียมเรียบครับ ไม่ได้มาที่นี่
ตม. : อ๋อ เหรอครับ (ทำหน้าผิดหวังนิดนึง)
ตม. : ไม่ทราบว่า อยู่ที่นี่ มีเบอร์ติดต่อมั้ยครับ ..
.....ณ วินาทีนั้น อึ้งไปสักพัก ...นี่กูกำลังโดน ตม.ที่สนามบินกัมพูชาขอเบอร์ ...
...และเมื่อปรับโฟกัสสายตาให้ไกลออกไปอีกนิด เพิ่งจะรู้ว่า พี่โพโรจน์ (นายใหญ่)
มองผมอยู่...คงงงว่าผมคุยอะไรกับ ตม. เยอะแยะนักหนา ...
ผม : อ๋อ ไม่มีหรอกครับ ผมใช้แต่มือถือน่ะ
ตม. : อืม แย่จัง ขอบคุณมากครับ ขอให้เดินทางปลอดภัยครับ
ผม : ขอบคุณครับ
ตม. : มาพนมเปญบ่อยๆนะครับ ผมอยากจะ make friend กับคุณ
... แล้วพาสปอร์ตสีน้ำตาลก็วางนิ่งอยู่บนเคาเตอร์ มีผู้ชายนั่งยิ้มเป็นฉากหลัง ...
อา .... นี่กูโดนผู้ชายจีบอยู่ใช่ไหม ... ผู้ชายแขมร์พันธุ์แท้เลยด้วย ...
อา .... หน้าตากูเองก็ไม่ได้หล่อเลยนะ ... มึงก็ไม่หล่อเหมือนกัน ดำอีกตะหาก
...นี่ถ้ามึงหล่อกูคงให้จดเบอร์กูใส่ passport ให้ไปแล้ว ...เฮ้ย ไม่ใช่ๆๆๆๆๆ
เออ ...ตลกดีนะ ... นี่ยังดีที่มันยังคืน passport ให้ผม
นี่ถ้าไม่ให้เบอร์มันแล้วมันยึด passport ผมไปไม่ให้กลับไทยนี่จะยุ่งเอา ...
ผมเดินลากกระเป๋า หัวเราะหึหึกับเหตุการณ์ย่อหน้าข้างบนไปจนขึ้นเครื่อง
4.
ใช่ครับ ... อ่านไม่ผิด ผมเคยโดน ตม.ผู้ชายชาวเขมร flirt กันจะๆ แบบไม่มีกั๊ก
ที่ผ่านไปนั่นคือครั้งแรกเท่านั้น แต่มันไม่ใช่ครั้งเดียวหรอกนะครับ
ผมว่าพรหมลิขิตบันดาลชักพาให้ผมเจอไอ้หมอนี่ไม่ต่ำกว่าสามสี่ครั้ง
มีอยู่ครั้งนึง ตอนนั้นเจอตอนผ่านด่าน passport control ขาเข้าเช่นกัน
ผมเขียนในใบ immigration form ว่าพักที่โรงแรม Phnom Penh Hotel
ไอ้ ตม. คนนี้ก็ถามผมว่า “พักห้องเบอร์อะไรเหรอ”
โหมึง ... นี่ยังไม่ทันจะอะไร มึงกะบุกเข้ามาทำประตูป้าบตูดกูเลยใช่มั้ย...
ผมก็ตอบไปว่า “จะรู้ได้ไงละครับ ... นี่เพิ่งมา ยังไม่ได้เช็คอินเลย...”
มันก็บอกว่า “งั้น ผมขอเบอร์โทรได้มั้ยครับ คืนนี้จะโทรไปหา ...”
....เอ่อ...มึงเอากันอย่างนี้เลยเรอะ
“คือ ...ผมมีแต่เบอร์เมืองไทยครับ โทรมาเสียตังค์นาทีละหลายสิบนะครับ
ผมไม่มีเบอร์เขมรหรอก เพราะมาทำงานแค่แป๊บเดียวเอง...”
หึหึ... เจอไม้นี้เข้าไป เงียบเลยมึง ...ก้มหน้าก้มตาตรวจเอกสารของแกไปซะ
...ปรากฏว่า พอตรวจเอกสารปั๊มนู่นปั๊มนี่เสร็จ ตานี่ก็ยื่นพาสปอร์ตของผมคืน
พร้อมกับแนบเศษกระดาษชิ้นเล็กๆอีกใบนึงติดมากับพาสปอร์ตของผม
“นี่เบอร์โทรศัพท์ของผมครับ ถ้ากลางคืนเหงา โทรมาหาผมแทนได้นะ...”
... โอว ช่างเป็นคำเชิญชวนที่ทิ่มแทงทะลุรูตูดผมมากครับ T^T
เป็นการ flirt ที่น่ากลัวชวนขนลุกยามเก้าโมงเช้าเป็นที่สุดจริงๆ
5.
หลังจากที่เริ่มมีบทเรียน หลังๆ ก่อนจะเข้าด่านตรวจ ตม.
ผมก็จะด้อมๆมองๆ เล็งให้ดีก่อนว่า ไอ้หมอนี่มันอยู่ช่องไหนหรือเปล่า
ถ้าช่องไหนพนักงานเป็นผู้หญิงก็จะวิ่งเข้าไปเลยครับ เพราะรอดชัวร์
ซึ่งหลังจากเริ่มระมัดระวังมากขึ้น ผมก็ไม่ได้เจอไอ้หมอนี่อีก
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ผมพลาดครับ...
ช่วงเดือนตุลาคม 2009 ซึ่งช่วงนั้นผมอยู่เขมรมากกว่าเมืองไทยอีก
ผมลาพักร้อนยาว 6 วัน หลังจากทำโปรเจกต์ยักษ์ใหญ่เสร็จลุล่วง
โดยแทนที่จะกลับเมืองไทย ผมตีตั๋วไปเที่ยวฮ่องกงคนเดียวครับ
เป็นการวางแผนลับๆเงียบๆ แบบไม่ได้บอกใครเลยแม้แต่คนเดียว
ตอนนั้นชีวิตเหมือนขึ้นนิพพานครับ งานเสร็จ และกำลังจะไปเที่ยวอะ
นึกภาพออกแมะครับ ว่าจังหวะที่เรามีความสุข เราจะไม่ระวังตัวอะไร
ปรากฏว่า เดินลัลล้าสกิ๊ปๆ เข้าช่อง ตม. แบบไม่ดูตาม้าตาเรือ
ทันทีที่ยื่นพาสฟอร์ตให้เท่านั้นแหละ ...
ชิบหาย ... โอ้มายสิตธัตถะ...มันกลับมาแล้วครับ!
ผมเงียบ พยายามทำเป็นไม่รู้จัก ไม่สนใจ ...ถ้าแกล้งตายได้คงทำไปแล้ว
แต่ปรากฏว่าแผนล้มเหลวครับ เพราะมันยังจำผมได้!!!
“อ้าว ...ไม่ได้กลับเมืองไทยเหรอครับ” มันพูดพลางพลิกพาสปอร์ตไปมา
“ป่าวครับ... จะไปฮ่องกง”
“ไปทำอะไรครับ” อืม กูคงไปเรียนเต้นบัลเล่ต์มั้งครับ
“ไปเที่ยวครับ”
“ไปกับใครครับ” (จังหวะนี้มันหันมามอง ทำตาเยิ้มอย่างมีเลศนัย)
“ไปคนเดียวครับ”
“ไปคนเดียวก็เหงาสิครับ ให้ผมไปเที่ยวเป็นเพื่อนได้มั้ย...”
“....”
...หลังจากผ่านด่าน ตม. วันนั้นมาได้ ความ “ลัลล้าสกิ๊ปๆ” ที่เคยเต็มเปี่ยม
ก็ละลายหายไปกับสายลมในสนามบินจนหมดสิ้น ...
6.
“มาคนเดียวเหรอครับ” ... ผู้ชายในชุดพนักงานสนามบินคนนั้นถาม
“...เอ่อ... ครับ มาคนเดียว”
“รอใครมารับหรือเปล่าครับ”
“เอ่อ ครับ เพื่อนผมกำลังขับรถมารับ”
“เหรอครับ แหม แย่จังนะครับ เพื่อนมาไม่ตรงเวลาแบบนี้เนี่ย”
“ไม่เป็นไรครับ เพื่อนผมก็ยุ่งอยู่เหมือนกัน”
“ขอผมนั่งคุยด้วยคนได้มั้ยครับ”
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ในจังหวะที่ผมกำลังง่วงสุดๆ
เพราะต้องตื่นตีสี่ครึ่งมาขึ้นเครื่อง แล้วยังไม่ได้นอนบนเครื่องอีกตะหาก
... คือ ลองคิดดูนะครับ ว่าตรงที่ผมนั่งเนี่ย เป็นโต๊ะ มีเก้าอี้สองตัว
ซึ่งผมก็ไม่รู้จะทำไงอะครับ เพราะผมออกมาจากตึก terminal แล้ว
จะผละออกมาเลยก็กระไรอยู่ แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร
อีนี่มันก็ลากเก้าอี้ แล้วทรุดตัวลงนั่งเรียบร้อยแล้วครับ แม่งเอ๊ย T^T
ผมยังไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ... ไอ้นี่มันก็เอาสายตาโลมเลียผมไปทั้งตัว
คือที่ผ่านๆมาเนี่ย เจอกันที่ด่าน ตม. เคาน์เตอร์มันสูงจนเห็นแต่หัวผมไง
คราวนี้แม่งได้ที ส่องแม่งทุกมุมทุกรูทุกช่องของร่างกายผมเลยครับ
ส่องอย่างเดียวไม่พอ มันบอกว่า
“you’re very handsome and you have very good skin”
พร้อมกับสายตากะลิ้มกะเหลี่ยแบบไม่เก็บฟอร์มตุ๊ดเลยครับ...
ชิบหายแล้วมึงเอ๊ยยย ... ขออย่าให้มันโปะยาสลบลากผมขึ้นรถตู้เล้ย
ในใจก็ภาวนาให้อีคนขับรถ มึงช่วยเหยียบสัก 180 มารับกูโดยด่วนเดี๋ยวนี้!!!!
แล้วมันก็มองมาที่โทรศัพท์มือถือในมือของผม
(ผมเพิ่ง text เสร็จที่ไอ้นี่จะเดินมาไม่กี่วินาที เลยยังไม่ได้เก็บเข้ากระเป๋า)
พร้อมกับยิงไม้ตายขั้นสุดยอดอีกครั้ง “ผมขอเบอร์โทรคุณได้มั้ยครับ”
แม่ง .. มามุขเดิมเลยนะมึง สามปีไม่มีพัฒนา ขอเบอร์กันหน้าด้านๆ
งั้นกูก็ใช้มุขเดิมนั่นแหละ กูแต่มีเบอร์เมืองไทย ไม่ให้หรอกเฟ่ย
...ยังครับ มันยังไม่ยอมแพ้ คราวนี้มันได้เปรียบเรื่องภูมิศาสตร์มาก
เพราะที่ผ่านมา มันนั่งในเคาน์เตอร์ ยังไงก็หนีตามออกมาตื๊อไม่ได้
แต่คราวนี้เป็นที่โล่งแจ้ง ผมจะเดินหนีออกมาก็ลำบาก เพราะไม่มีเหตุผล
แถมคราวนี้ไม่มีเวลาจำกัดอีก จะจิกกัดแทะโลมขนาดไหนก็ทำได้
คราวนี้มันเลยได้ที ใส่ไม่ยั้งเลยครับพี่น้อง ...
“แล้วมาคราวนี้พักที่ไหนครับ ...”
...เอาอีกแล้ว มันเริ่มลากบอลเข้าสู่แดนหลังเตรียมยิงประตูอีกครั้ง
ผมเลยต้องตั้งด่านเสียบสกัด “นอนโรงแรมครับ” ...
หึหึ ไปต่อไม่ได้ล่ะสิ...
ปรากฏว่าไม่ครับ วันนี้มันมีท่าใหม่ เลื้อยสไลด์หลบด่านสกัดอย่างงดงาม
“ไปนอนบ้านผมก็ได้นะครับ จะได้ไม่ต้องเสียเงิน โรงแรมที่นี่แพงนะ”
...เย้ดดดดด ... กูไปนอนบ้านมึง ไม่เสียตังค์ แต่จะเสียตัวน่ะสิมึง
คราวนี้มันรุกหนักและทำการบ้านมาดีมากครับ ผมที่ง่วงๆอยู่นี่ตื่นทันทีเลยครับ
ตอนนั้นรู้สึกตัวเองเหมือนกระต่ายน้อยกำลังโดนไฮยีน่าจับแดกจริงๆ
เพราะไม่รู้ว่าจะหนียังไงดี เดินออกไปก็ไม่รู้จะไปไหนอีก แม่งเอ๊ย ...
แต่ในจังหวะที่ไม่รู้จะทำยังไง ก็เหมือนเทพบันดาลครับ
ทันใดนั้น อัศวินขี่กะบะวีโก้สีบรอนซ์ก็มาช่วยชีวิตผมครับ
ไอ้คนขับรถของผมมาแล้ว!!! โอ้วเย้ส!!! ตูดกูปลอดภัยแล้ว ฮาเลลูย่าห์!
ผมคว้ากระเป๋า ลุกขึ้นแล้วรีบบอก “เพื่อนผมมาแล้ว ต้องไปละครับ”
มันยังไม่ยอมแพ้ครับ ตื้อเป็นครั้งสุดท้าย “ผมขอเบอร์โทรไว้หน่อยไม่ได้เหรอครับ”
ผมบอกว่า “ไม่ได้ครับ ผมต้องรีบไปแล้วละ เดี๋ยวไปทำงานสาย ต้องไปแล้วๆ”
ว่าแล้วก็รีบลากกระเป๋าออกจากจุดเกิดเหตุทันทีครับ...
ปล่อยให้ไอ้ ตม.คนนั้นนั่งงงตาปริบๆ ในยามเช้าวันอังคารที่แสนสดใส...
งานนี้ต้องขอบคุณไอ้คนขับของผมที่มาแก้วิกฤติได้ทันเวลา