baichar
บุคคลทั่วไป
|
 |
« เมื่อ: วันที่ 11 มีนาคม 2010, 09:38:52 » |
|
อิทธิฤทธิ์ของมนต์ดำที่คนเมืองเรียกว่า “ผ่าจ้าน” ผ่านพิธีกรรมและเครื่องรางหลายประเภท ทั้งตะกรุดยันต์ เทียนขี้ผึ้ง หรือหุ่นปั้น มีอำนาจลึกลับถึงขั้นทำให้ชาย – หญิงที่เคยรักใคร่ ต้องพรากจากกันได้จริงหรือ ??
อะไรคือ “ผ่าจ้าน” ? สังคมล้านนายุคใหม่อาจจะหลงลืมคำนี้ไปนานแล้ว หลายคนไม่รู้จัก แต่ก็ยังพอมีบางคนที่เข้าใจว่า “ผ่าจ้าน” คือมนต์ดำที่ใครก็ตามที่กระทำเข้าไปแล้วจะมีแต่การจากพราก เบาะแว้ง และเต็มไปด้วยทุกข์ !!
ขนบธรรมเนียมเรื่องคุณไสยในล้านนามีปรากฎเป็นหลักฐานไว้หลายกรณีแต่ที่เล่าขานกันมาสืบต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันเห็นจะไม่มีตำนานไหนร่ำลือเด่นชัดเท่ากรณีของพระนางจามเทวี ใช้ชายผ้าถุงพันรอบหมวกให้ขุนหลวงวิลังคะใส่ และใช้เหล้าใส่กระบอกลอดหว่างขาเพื่อข่มคาถาอาคม ทำให้ไม่สามารถพุ่งหอกไปถึงนครลำพูนได้
หรือในตำนานสิบห้าราชวงศ์ตอนพระยาร่วมจำแลงกายหลบหนีการจับกุมและตอนพระเจ้าติโลกราชสามารถจับตัวหมอไสยศาสตร์ที่เข้ามาทำพิธีได้ ไปจนถึงยันต์เทียนของกษัตริย์เชียงใหม่ที่ปรากฎอยู่ในสมัยพระเมืองแก้ว ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ.2503 – 2064 โดยการสู้รบกับพม่า นอกจากจะใช้กำลังทหารแล้วยังใช้พลังไสยศาสตร์ ทำให้ไม่เสียเมืองแก่พม่าอีกด้วย
ไพฑูรย์ พรมวิจิตร จากสถาบันวิจัยสังคม ม.ช. ศึกษาเรื่องยันต์ล้านนาระบุว่า ไสยศาสตร์ คือศาสตร์ที่ว่าด้วยการใช้พลังลึกลับให้เกิดประโยชน์แก่คน ทั้งทางสร้างสรรค์และทำลาย เป็นศาสตร์ว่าด้วยพลังของเวทย์มนต์และคาถาอาคม ตลอดถึงเครื่องรางของขลัง คนไทยน่าจะได้ศาสตร์นี้มาจากอาถรรพเวทของอินเดียและพุทธศาสนาแบบตันตระในยุคหลัง
ไสยศาสตร์มีทั้งขาวและดำ มีการกระทำทั้งสร้างสรรค์และทำลาย มักกระทำเลียนแบบของจริง โดยอาศัยหลักการเปรียบเทียบความคิด เช่น เมื่อชายต้องการให้หญิงรักตน อาจไปว่าจ้างหมอไสยศาสตร์ให้นำดินเหนียวมาปั้นหญิงและชายหันหน้าเข้าหากันและมัดติดกัน เสกคาถาแล้วนำไปฝังไว้ใต้บันไดบ้านหญิงสาว และเชื่อว่าหญิงจะรักชายทันที หรือในทางตรงกันข้าม ต้องการกระทำสิ่งร้ายต่อบุคคลใด ก็ทำหุ่นและสาบแช่งเข็มแทง ตัดคอ เผาไฟให้บุคคลนั้นตายในสามวันเจ็ดวันเป็นต้น
นอกจากการใช้คาถาอาคมเพื่อข่มหรือทำลายแล้ว ในล้านนายังมีความเชื่อและพิธีกรรมปรากฏออกมาในรูปการใช้ยันต์เทียนตะกรุดและผ้ายันต์ที่หลากหลาย รวมทั้งยันต์และพิธีผ่าจ้านด้วย
ศัพท์ “ผ่าจ้าน” ออกสู่สาธารณะผ่านภาพความทรมานในการพรากลูกช้างออกจากอกแม่ แต่คำว่า “ผ่าจ้าน” อันหมายถึงการทำให้แยกออกจากกันนั้น มิได้จำกัดเพียงเฉพาะช้างหรือสัตว์นั้น กับ “คน” ก็มีพิธีกรรมนี้ และไม่ได้ตีกรอบเฉพาะการพรากลูกออกจากแม่ ตรงกันข้าม การผ่าจ้านคน กลับมีข้อห้ามในเรื่องของการแยกแม่จากลูก แยกพี่จากน้องเสียด้วยซ้ำ หรือแม้แต่กับผัว–เมีย พิธีกรรมอันผสานกลมกลืนอย่างแยกไม่ออกกับวิถีพุทธ ยังมีคุณธรรมกำกับมิให้กระทำการผ่าจ้านความสัมพันธ์ทางสายเลือดและครอบครัวมิเช่นนั้นจะเป็นบาปหลวง
พระชื่อดังรูปหนึ่งในวัดกลางเมืองเชียงใหม่เล่าว่า การผ่าจ้านยังคงมีอยู่ในสังคมอยู่บ้าง เป็นพิธีกรรมที่เหมือนจะเป็นการปลดทุกข์ทางใจให้กับหญิงที่สามีนอกใจไปมีเมียใหม่ หากคนเป็นเมียหลวงมาขอให้หมอผ่าจ้านทำพิธีแยกผัวออกจากเมียน้อยกลับมาอยู่กับครอบครัวเดิม อาจมีเหตุผลเพียงพอต่อการประกอบพิธี แต่หากเมียน้อยมาขอให้แยกผัวออกจากเมียเก่า หมอที่มีคุณธรรมมักจะปฏิเสธ
แต่ทุกกติกาย่อมมีผู้แหกกฎ บางทีอามิสสินจ้างก็สามารถลบล้างคุณธรรมได้ ผ่าจ้านจึงกลายเป็นมนต์ดำ ที่เมียน้อยอาจใช้เป็นที่พึ่งเพื่อแย่งชิงของรักของผู้อื่นมาเป็นของตัว หรือพี่น้องต้องการแยกจากกันเพราะแคลงใจเรื่องมรดก ซึ่งถือเป็นการทำบาปใหญ่บาปหลวงถึงขั้นหมอผ่าจ้านจะต้องมีพิธีอีกพิธีหนึ่งขึ้นมาให้ผู้ว่าจ้างรับผลบาปของการกระทำนั้นตกอยู่แต่ที่ตัวเอง มิใช่ที่หมอและก่อนจะประกอบพิธีจะต้องมีการตรวจดูดวงชะตาของบุคคล ๆ นั้นด้วย หากเป็นผู้มีดวงแข็ง ทำผ่าจ้านไม่สำเร็จ มนต์ดำนั้นจะกลับมาถึงตัวผู้ว่าจ้าง ให้กลายเป็นคนบ้าใบ้เสียสติไปถึงขั้นนั้น
สนั่น ธรรมมิ นักล้านนาคดีแห่งเมืองเชียงใหม่ เล่าถึงวิธีทำผ่าจ้านคนของล้านนาว่า มีลักษณะของการทำยันต์เทียนลงอักขระเขียนยันต์เป็นรูปหุ่นหญิงและชายเขียนชื่อและวันเดือนปีเกิดของแต่ละคนไว้ โดยเขียนชื่อหญิงไว้ที่หุ่นหญิง ชื่อชายไว้ที่หุ่นชาย บางหมอให้นำเศษเล็บ เศษผม หรือเศษเสื้อผ้าของคน ๆ นั้นมาใส่ไว้ด้วย บริกรรมคาถาแล้ว นำหุ่นทั้งสองหันหลังชนกัน เสกคาถากำกับ ตัดแยกเอาเศษผู้ชายไปคลึงเป็นไส้เทียนของหญิง และนำเทียนไปจุดที่ปากแม่น้ำที่แยกจากกัน คนละฟากแม่น้ำ หรือจุดที่สองแพร่ง เพื่อให้คนทั้งสองเดินไปคนละทางโดยเชื่อกันว่าจะต้องจุดตอนกลางคืน ที่ขวัญของคนอ่อน พิธีกรรมจึงจะสัมฤทธิ์ผล
อีกวิธีหนึ่งคือวิธีตัดกระดาษ เช่น มีหญิงมาขอให้หมอผ่าจ้านประกอบพิธี แยกสามีของตนออกจากเมียน้อย หมอก็จะเขียนชื่อและวันเดือนปีเกิดของคนทั้งสองในกระดาษคนละฟาก และหมอถือส่วนที่เป็นชื่อของฝ่ายชายไว้ แล้วตัดกระดาษให้ขาดโดยให้ชื่อฝ่ายหญิงหล่นลงไป จากนั้นก็มอบกระดาษที่เป็นชื่อฝ่ายชายคืนให้แก่ภรรยานำไปไว้ใต้หมอน ส่วนชื่อของภรรยาน้อยที่หล่นลงไป หมอผ่าจ้านก็จะขยำ ๆ และเผาไฟเสีย
บางตำราก็ใช้วิธีผ่าจ้านด้วยผลไม้ที่สามารถตัดให้ขาดจากกันเป็น 2 ซีก ได้ เช่น มะนาว ส้ม ด้วยวิธีเขียนชื่อชายหญิงคนละฟากและบริกรรมคาถาตัดทั้งสองให้จากกันและบางตำราใช้ปู 2 ตัว โดยเขียนชื่อชายหญิงหลัง***งปูแต่ละตัว นำด้วยสายสิญจ์มาผูกปูติดกัน ว่าคาถาเสร็จก็ตัดสายสิญจ์ให้ปูทั้งสองแยกจากกันไม่กลับมาหากันอีกเลย
เป็นที่สังเกตว่า พิธีกรรมผ่าจ้านไม่ว่าจะทั้งช้างหรือคน มีลักษณะการกระทำเลียนแบบของจริงที่อาศัยหลักการเปรียบเทียบความคิด มีการผ่าการแยกออกจากหนึ่งเป็นสองที่สร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ให้ประกอบพิธีรับรู้ถึงผลของการแบ่ง การแยกให้เห็นกับตา ส่วนผลที่ปรากฏจริงสืบเนื่องจากพิธีกรรมเสร็จสิ้นลงไปแล้ว ชายกลับมาหาหญิงเดิมหรือแยกจากอีกฝ่ายหนึ่งแท้จริงอย่างไร เมื่อใดและจริงหรือไม่นั้น เราคงมิอาจนำมายืนยันหรือสรุปได้ ณ ที่นี้
การนำเสนอพิธีกรรมผ่าจ้านคนครั้งนี้ เป็นเพียงการฉายปรากฎการณ์หนึ่งที่ยังมีอยู่ในความเชื่อของสังคมล้านนา ซึ่งได้คลี่คลายลงไปมาก แต่ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าลบหายไปจากระบบ เพราะทุกวันนี้ คนที่เชื่อและประกอบพิธีกรรมผ่าจ้านคน ยังคงมีอยู่ในบางซอกมุมของล้านนา และพร้อมจะออกมาทำหน้าให้ สำหรับผู้ที่ต้องการที่พึ่งทางใจและเรียกร้องหาของรักของตนคืนมา…
จุดประสงค์= ทำไห้หญิงชายที่คบกันกันแตกแยกและเบื่อหน่ายกัน ทะเลาะกันจนแตกแยกกันไปในที่สุด หรือเหตุผลทางครอบครัว ผู้ใหญ่ทางฝ่ายหญิงไม่เห็นสมควร
วิธีทำมีหลายอย่าง เช่น
ทำเทียน แล้วนำไปจุดทางแยก บ้านร้าง น้ำบ่อร้าง วัดร้าง กองฟอน
เขียนชื่อไส่ประทัดยักษ์ จุดที่ทางแยก
เทียนแล้วตัดครึ่ง แยกไปจุดคนละฝั่งแม่น้ำ หรือ ครึ่งหนึ่งจุดหน้าพระ ครึ่งหนึ่งจุดหลังพระ
จะยังไงก็ดีปัจจุบันนี้ยังมีผู้นิยมผ่าจ้านอยู่ ส่วนใหญ่เรื่องผัว ๆ เมีย ๆ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 16 มีนาคม 2010, 09:47:24 โดย สาวแป่ »
|
IP :
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
baichar
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 11 มีนาคม 2010, 09:42:48 » |
|
ใช่ได้แต๊ก่นั้นข้าบ่หู้แต่เอามาฝาก อิอิ
คาถาสาวหุม
ข้อเขียนเรื่องนี้ขอเอาใจแต่คนหนุ่มบ่าวแถ่วบ่าวเฒ่ากับคนที่ยังไม่มีเมียเป็นตัวเป็นตน คือจะเอาคาถาสาวหุมมาฝาก ส่วนว่าจะเป็นสาวน้อยสาวมากแม่ร้างนางหม้ายทั้งหลายก็ขอให้อดใจติดตาม และที่สำคัญคือเรื่องนี้เป็นของต้องห้าม สำหรับคนมีเมียแล้ว ถ้าไม่เชื่ออาจต้องมีอันเป็นไปเพราะภัยจากคนร่วมเตียงก็อาจเป็นได้
อันว่า คาถาสาวหุม นี้ เป็นเรื่องเล่าขานกันในวงการหนุ่ม ๆ มานานแล้ว ตอนผู้เขียนจบชั้นประถมสี่ใหม่ ๆ พ่ออุ๊ยข้างบ้านถามว่า "มึงได้คาถาสาวหุมละยัง ถ้ายังบ่ได้หื้อเอาขันดอกไม้รูปเทียนมาเอา มาวันจันทร์เน้อ" จากนั้นไม่กี่วันผู้เขียนก็ได้คาถามสาวหุมติดตัวมาบทหนึ่ง แต่แปลกคือไม่เคยได้ใช้เลย เพราะส่วนมากอันที่สาวจะหุมเรา กลับกลายเป็นเราไปหุมสาวเสียมากกว่า
คำว่า หุมหรือหูม แปลว่า ชอบ ทำนองเดียวกับคำว่า ชอบสู้ หมายถึง ชอบใจหรือชอบในเชิงชู้สาวหรือชอบเหลือเกินทำนองนั้น คาถาสาวหุมมีทั้งที่เป็นภาษาบาลี ภาษาพื้นถิ่นล้านนา ภาษานานาชาติอื่น ๆ เช่น ไทใหญ่ พม่า ขอม หรือที่ไม่เป็นภาษาใด ๆ ก็มีคือแปลไม่ออก คาถาเป็นของคู่ตัวชายชาวล้านนา กล่าวกันว่า ชายใดบ่มีคาถา บ่ได้สักยันต์ขาลาย บ่เป็นชายแท้ ว่าอั้น ส่วนคนที่ถือคาถาขึ้น หมายถึงคนที่ใช้คาถาแล้วสัมฤทธิผลด้วยดี ส่วนมากจะเป็นคนดิบคือคนที่ยังไม่เคยได้บวชเรียน และถ้าได้คาถาโดยแอบจำมาหรือลักจำ เชื่อว่าจะถือขึ้นดีนักแล คือใช้ได้ขลังมีพลังสุด ๆ
คาถามหานิยมสาวหุมใช้เสกเป่าเพื่อให้บุคคลที่ตนหมายใจนั้นรู้สึกพอใจหรือมีไมตรีจิตต่อตัวเราเป็นพิเศษ วิธีใช้ เช่นท่องระลึกในใจแล้วเสกเป่า เสกใส่สิ่งของต่าง ๆ เช่น เสกแป้ง เสกน้ำล้างหน้า เป็นต้น ฉบับนี้ลองใช้คาถาสาวหุมสักสองสามบทก่อน ถ้าได้ผลก็พอแล้วหากยังบ่ได้ผล ค่อยว่าถึงบทอื่น ๆ ตอนต่อไป
คาถาสาวหุม บทที่ ๑ ใช้ภาวานาในใจเมื่อไปหาบุคคลที่ต้องการ เช่นหนุ่มไปแอ่วหาสาว ใช้ได้ผลดี ให้ว่าดังนี้ แล
"โอมสีสี มหาสีสี สีหน้ากูงามเพียงดั่งจันทร์ ฟันกูงามดั่งพระแมน แขนกูงามดั่งพระพรหม ผมกูงามดั่งพระอินทร์ สาวหันกูก็หื้อฮัก ลูกยังตักหันกูก็พอลืมแม่ สาวแก่หันกูก็พอลืมผัว แมงพู่ตัวองอาจ หันกูก็พอลืมเข้ากอไม้ เอกํสมยํ สพยํ สาวหุมติด" ...
คาถาสาวหุม บทที่ 2 ชื่อ คาถาทิพพยาธร และหัวใจทิพพยาธร ใช้เสกใส่อาหารให้สาวกิน ไม่แน่ใจว่าต้องเป็นกับข้าวเมืองหรือเปล่า ใช้กับพิชช่าโดนัท ก็คงได้ ส่วนหัวใจทิพพยาธร นิยมใช้เสกน้ำล้างหน้า เสกสีผึ้ง หรือจะเสกดอกไม้ใส่กระเป๋า ให้เสก 3 ครั้ง 7 ครั้ง คาถามีดังนี้
"โอมทิพยาธร ตนอยู่ฟ้า แกว่นกล้าปราบชมพู กูจักปากฮอดไผบ่ได้ เปรียบดั่งเปลวแดดไหม้ หื้อร้อนใจเขา โอมสาวหุมติด สเสมิ วาริตัง วยมัณฑลัง ปิยอิตถี หทยัง จิตตัง วรุตติ"
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 14 มีนาคม 2010, 12:48:13 โดย สาวแป่ »
|
IP :
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
taekeuk_poomse
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 12 มีนาคม 2010, 13:51:58 » |
|
ป่าาาาาาาาาาาา ละเอียดยิบเลยน้อ สาวน้อยเมืองแป่
|
|
|
|
|
taekeuk_poomse
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 12 มีนาคม 2010, 16:51:53 » |
|
ยั้ยสาวแป่ครับ ผมส่งข้อความพีเอ็มไป เปิดอ่านโตยเน้อครับ
อิอิ คำว่า ยั้ย นี้มันมาจากคำว่า อี่+เอื้อย แล้วอ่านเวยๆ แม่นก่อครับ
|
|
|
|
baichar
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 13 มีนาคม 2010, 16:16:08 » |
|
คราบ แปล๋ว่า เย้ยสาว
|
|
|
|
|
baichar
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 13 มีนาคม 2010, 21:43:40 » |
|
ฮ้า......คราวหน้าเอาเรื่องหยั๋งที่มันเกี่ยวกะคุณไสยมาหื้ออ่านดีว้า.....
|
|
|
|
|
maeyinglanna
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 14 มีนาคม 2010, 14:01:48 » |
|
เปิ้นบ่อมีกาถาบ่าวหุมกะเจ้า
|
|
|
|
nutjunior
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ ป.ตรี

ออฟไลน์
กระทู้: 2,131

น้องแพน แพน
|
 |
« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 14 มีนาคม 2010, 14:38:58 » |
|
เปิ้นบ่อมีกาถาบ่าวหุมกะเจ้า
555+
|
นัท 083-5752391 Line nutjuniorr
|
|
|
|
itimaun
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 14 มีนาคม 2010, 23:00:43 » |
|
คาถา สาวหูมกับบ่าวหูม ใจ้โตยกั๋นได้เน้อ เปิ้นฮ้องว่า คาถามหาเสน่ห์ เช่น คาถาจ๊างโขลงโทน มนต์ช้างโขลงเป็นมนต์ของหมอควาญช้างที่ใช้เสกหญ้าเสกอ้อยให้ช้างกิน ช้างที่ว่าดุก็จะเชื่อง แม้แต่วัวควายที่ว่าดุยังอ่อน ใช้เสกของให้คนกินคนก็ยังอ่อนและเชื่อฟังเรา คาถาที่นำมาลงเป็นคาถาที่ได้จากปั๊บสา คาถาว่าดังนี้ อมพระแม่กุ๋มเป็นเจ้า อมพระแม่เจ้ามากั้ง กูจักเอาเชือกหนังมาค้องติดแท้เนอเออนางรัก อะคัจไสยะอาคะสะหิเอ้หิคะมะมา ใจ้เสกน้ำ เสกของกิ๋นหื้อญิงกินรักเราใจ้ได้ทั้งจายและญิงแล(ของแบบนี้หากใช้ในทางผิดศีลธรรมจักเกิดผลร้ายกับตัวเอง อย่าคิดที่จะทำเป็นอันขาด ในสมัยก่อนผู้ชายคนใดหากใช้คาถานี้แล้วได้ผลจะรับผิดชอบและดูแลผู้หญิงคนนั้นไปจนตาย ครูอาจารย์ท่านสาปไว้ ที่นำมาลงเพื่อการศึกษาเท่านั้นไม่มีเจตนาจะนำมาไห้ท่านใช้) ที่มา http://forums.212cafe.com/konmuang/board-6/topic-4.html ดูได้เฉพาะสมาชิกเน้อครับ
|
|
|
|
baichar
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 16 มีนาคม 2010, 09:45:05 » |
|
ลืมบอกก่อนว่า เอามาหื้ออ่านบ่าจ้ายเอาไปหยะอย่างอื่นเน้อปี้น้อง
|
|
|
|
itimaun
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 16 มีนาคม 2010, 23:25:40 » |
|
เอามาลงอีกนะครับเพื่อเป็นการอนุรักษ์สืบสาน ประเภณีศิลปะวัฒนธรรม ล้านนาเฮา นับวันเรื่องคาถาต่างๆจะเลือนหายไปทุกทีครับ
|
|
|
|
|
|
|
|
@เชียงแสน
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ ป.ตรี

ออฟไลน์
กระทู้: 2,358

..ทุกลมหายใจคือการเปลี่ยนแปลง..
|
 |
« ตอบ #19 เมื่อ: วันที่ 28 พฤษภาคม 2012, 19:21:22 » |
|
|
|
|
|