ให้เช่า พุทโธน้อย 2494 + บัตรรับรองของ G-pra สวยๆ แท้ๆ ชัดๆ ดูง่ายครับผม
ปิดการเช่า
การสร้างพระของคุณแม่บุญเรือน" พระพุทโธน้อย" เป็นพระเครื่องขนาดเล็กที่ท่านสร้างขึ้นและอธิษฐานจิตให้ไว้แก่วัดอาวุธ วิกสิตาราม ตำบลบางพลัดนอก ธนบุรี เมื่อปี พ.ศ.2494 เป็นพระพิมพ์แบบครึ่งซีก กรอบทรงสามเหลี่ยม ด้านหน้า องค์พระประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย เหนือฐานบัวสองชั้น พระเกศเป็นมุ่นเมาลี พระนาสิกเป็นสันนูน พระเนตรเป็นเม็ดกลมนูน และพระหัตถ์ซ้ายถือหม้อน้ำมนต์ ส่วนด้านหลัง มีอักขระขอมจารึกเป็นเส้นลึกอ่านว่า "พุทโธ" โดยมีทั้งพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก มีทั้งเนื้อดินเผา และเนื้อผงพุทธคุณครับ จำนวนการสร้างรวมทั้งสิ้น 100000 องค์
นอก จากพระพุทโธน้อยหลังยันต์พุทโธ แล้ว ยังมีพระพุทโธน้อย หลังยันต์เฑาะว์ / หลังยันต์เฑาะว์ดอกบัว / หลังยันต์นะอะระหัง/ หลังเรียบ (ไม่มียันต์ อีกด้วย) ซึ่งจำนวนสร้างน้อย และหายากมากครับ
ซึ่ง พระชุดนี้คุณแม่บุญเรือน ได้ถวายท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสกเถระ) เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2494ประมาณ 2,000 องค์ พระพุทโธน้อยที่นำมาถวายในปีนั้น มี พระพุทโธน้อย พิมพ์ใหญ่หลังยันต์เฑาะว์ เนื้อดิน และพระพุทโธน้อย พิมพ์หน้าจีนหลังยันต์ฑาะดอกบัว เนื้อดิน โดยคุณแม่ชีได้อธิษฐานจิตเรียบร้อยแล้วพระพุทโธน้อยชุดนี้ ได้รับการพุทธาภิเษกซ้ำอีกครั้งในคราวสมโภชพระประธานที่วัดสารนาถธรรมาราม อ.แกลง จ.ระยอง เมื่อวันที่ 5-30 มีนาคม พ.ศ.2499รวม 18วัน 18 คืน มีพระเถราจารย์มากมายเข้าร่วมพิธีนี้ เช่น พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม,หลวงปู่ขาว อนาลโย,หลวงปู่ดูลย์ อตุโล,พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ,พระอาจารย์วัน อุตตโม เป็นต้น โดยมีหลวงพ่อลี วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ เป็นองค์คอยประสานงานและการพิธีต่างๆ (พิธีเดียวกับ “พระมงคลมหาลาภ”)พระพุทโธน้อยที่กล่าวมานี้ มีในต่างจังหวัดมาก โดยเฉพาะในจังหวัดระยอง จังหวัดจันทบุรี
พระ พุทโธน้อย แม้จำนวนสร้างจะมาก แต่ด้วยความศรัทธาในตัวผู้สร้างและพุทธคุณเป็นเลิศปรากฏครบครันทั้งด้าน เมตตามหานิยม แคล้วคลาด เจริญด้วยโภคทรัพย์ และกำจัดโรคร้าย ทำให้ "พระพุทโธน้อย" หมดไปภายในเวลาอันรวดเร็ว
" พระพุทโธน้อย" นับเป็นพระเครื่องเก่าแก่และน่าสะสมมากพิมพ์หนึ่ง ด้วยพุทธคุณที่ปรากฏอย่างสม่ำเสมอแก่ผู้ที่เคารพศรัทธาและกราบไหว้สักการะ ไม่ขาด ว่ากันว่ามุ่งหวังสิ่งใดก็จะสำเร็จสมความตั้งใจอีกทั้งแคล้วคลาดภยันตราย ทั้งปวงครับผม
ประสบการณ์ของผู้ที่สัมผัสกับพลังพระพุทโธน้อย1.ผู้ปฏิบัติธรรม ที่ตรวจสอบพุทธคุณของพระพุทโธน้อย ท่านแรกพบว่า "สุดยอดจริงๆ สุดยอดที่สุด..หาที่เสมอเหมือนมิได้มีอีกแล้ว..!!!???" " พลังในองค์พระพุทโธน้อยนี้ เสมือนหนึ่งว่าได้เข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรงเลยทีเดียว!!!!!!"
หมายเหตุ , ผลการวิเคราะห์ดังกล่าวนี้ นับว่า ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะทราบมาก่อนล่วงหน้านี้แล้วว่า คุณแม่บุญเรือนอธิษฐานธรรมให้ขอพรกับพระพุทโธน้อยนี้ได้เสมือนได้ขอพรกับพระพุทธองค์โดยตรงเลยนั่นเทียว..!!!!)
"เมื่อ หยั่งจิตลงไปพระพุทโธน้อยนี้ จะเห็นเป็นคุณแม่บุญเรือนนั่งอยู่ต่อหน้าเฉพาะพระพักตร์องค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า โดยมีพลังที่พระคณาจารย์เจ้า(พระอริยเกจิสายกรรมฐานนับร้อยๆองค์ ที่ร่วมปลุกเสกด้วย) ก็หาได้ปิดทับหรือกลบพลังจิตอธิษฐานของคุณแม่บุญเรือนได้ แต่จะแวดล้อมเสริมเข้ามาอีก อย่างอลังการที่สุด ..."
"พลังแบบนี้ เป็นพลังจิต พลังบารมีของตัวคุณแม่เองโดยเฉพาะ อันจะหาใครเสมอเหมือนหรือทดแทนมิได้อีกแล้ว...."
2. ผู้ปฏิบัติธรรม ที่ตรวจสอบพุทธคุณของพระพุทโธน้อย ท่านที่สองพบว่า
พลังจิตของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม มีความแก่กล้าและสูงส่งอย่างยิ่ง เทียบเท่ากับ"หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง นนทบุรี" หรือ"หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท"เลยทีเดียว..!!!!!! และ..จากการส่งจิตเข้าไปสอบถามกับเทวดาที่รักษาองค์พระ ทำให้ได้ทราบอีกด้วยว่า พระพุทโธน้อยนี้ มีพลานุภาพดีรอบด้าน ถึงขั้นกัน"นิวเคลียร์"และ"กัมมันตภาพรังสี"ได้อีกด้วย...
3.อุบาสกท่านหนึ่ง ได้ใส่"พระพุทโธน้อย "ไป กราบพระวิปัสสนาองค์หนึ่งซึ่งขึ้นชื่อในเจโตปริยญาณอันสูงยิ่ง(อดีตฆราวาส โสดาบันที่หลวงปู่สิมพยากรณ์เมื่อครั้งกระนั้น) โดยเพียงกราบท่านอยู่ห่างๆ ท่านยังชี้มาพลางออกปากทักทีเดียวว่า
"นั่นพระแม่ชีบุญเรือนใช่ไหม พลังแม่ชีออกมาทีเดียว..!!!!?

"
นี่ก็ยังเป็นการคอนเฟิร์มและตอกย้ำความรู้ความเห็นของพลังภายในอันสุดยอดของ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมที่ได้นำเสนอมาทั้งหมดว่าเป็นเรื่องที่ "จริงแท้" และ "เยี่ยมยุทธ"สุดยอดอย่างแท้จริง
ประสบการณ์ อภินิหารพระพุทโธน้อย ที่เซียนใหญ่ท่าพระจันทร์ เคยสัมผัส และต้องอาราธนาขึ้นคอหากเอ่ยชื่อ “อรรถวัติ ศิริสิทธิธงไชย” แล้วน้อยคนนักที่รู้จักแต่ถ้าเอ่ยชื่อ “บอย ท่าพระจันทร์” บรรดานักเลงพระเครื่องเป็นรู้จักดีเพราะ “บอย ท่าพระจันทร์” จัดเป็น “เซียนเหรียญ” รุ่นใหม่ที่สายตาเฉียบคมชนิด “เหรียญยอดนิยม” หลาย ๆ เหรียญที่ “หลายเซียน” ดูแล้วไม่กล้าฟันธงว่า “แท้หรือเก๊” แต่ถ้า “บอย ท่าพระจันทร์” ฟันธงแล้วเจ้าของเหรียญที่ถูกเขาฟันธงว่า “แท้” ก็จะ “สบายใจ” ส่วนเหรียญใดที่เขาบอกว่า “ดูยาก” เจ้าของเหรียญนั้นก็จะ “หน้านิ่วคิ้วขมวด” ทันทีเพราะ “บอย ท่าพระจันทร์” นอกจากมีสายตาที่ “เฉียบคม” แล้วยังเป็น “เซียนเหรียญ” ที่สนใจพระเครื่องตั้งแต่สมัยบรรพชาเป็น “สามเณรภาคฤดูร้อน” ซึ่งช่วงนั้นมีอายุแค่ “๑๓ ปี” เท่านั้นส่วนที่สนใจ “พระเครื่อง” ก็เพราะเพื่อน ๆ ที่บรรพชาภาคฤดูร้อนด้วยกันชักชวนให้ “ดูพระเครื่อง” พร้อมอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับ “พระ เครื่อง” ซึ่งพออ่านแล้วก็รู้สึกชอบจึงเริ่ม “ศึกษาและสะสม” พระเครื่องของ “หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี” ก่อนสกุลใด ๆ เนื่องจากเรียนอยู่ที่ “โรง เรียนวัดประดู่ในทรงธรรม” ที่อยู่ติดกับ “วัดประดู่ฉิมพลี” ซึ่งช่วงนั้นสะสมไว้หลายรุ่นกระทั่งพอเริ่มชำนาญจึงมารู้ในภายหลังว่า “พระเครื่อง” ที่สะสมไว้หลายรุ่นนั้นไม่ทัน “หลวงปู่โต๊ะปลุกเสก” เลยเปลี่ยนแนวทางมาสะสมเฉพาะรุ่นที่ทัน “หลวงปู่โต๊ะ” ปลุกเสก
โดย ทำการศึกษาและสะสมพระเครื่องที่สร้างโดย “หลวงปู่โต๊ะ” อยู่ระยะหนึ่งจึงมีเพื่อน ๆ มาขอแบ่งไปบ้างเพราะเชื่อใจว่าไม่นำ “ของเก๊” ให้เขาจึงทำให้มีรายได้เลยยึดเป็น “อาชีพเสริม” เพราะช่วงนั้นต้องหาเงินเรียนหนังสือไปด้วยโดยอาศัยช่วงที่ว่างจากเรียนไป เปิดแผงพระที่ “สนามพระท่าพระจันทร์” อยู่ประมาณ 6 ปี จึงหันมาศึกษาของสำนักอื่นบ้าง ด้วยการเริ่มศึกษาประเภท “เหรียญ” กระทั่งปี ๒๕๓๘ เกิดน้ำท่วมใหญ่สนามพระท่าพระจันทร์จึงต้อง “ปิดแผงชั่วคราว” แล้วไปดูพระที่สนาม “ตลาดพญาไม้” จึงได้รู้จักกับ “อาจารย์วิรัติ ท่าพระจันทร์” ซึ่งต่อมาได้เป็น “ครูคนแรก” ที่สอนและชี้แนะเรื่อง “เหรียญ” ของคณาจารย์ต่าง ๆ โดยสอนให้ดู “ขอบข้างเหรียญ” เป็นหลักเพราะเหรียญพระคณาจารย์มีการ “ปลอมมากที่สุด” และปลอมได้ดีอีกด้วยจึงทำให้มีคนกลัวกันมากจากจุดนี้เอง จึงหันมาศึกษาและเก็บเหรียญคณาจารย์ที่ระบุปี “พ.ศ. เก่า ๆ” ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักและไม่มีราคาเนื่องจากเป็นเหรียญ “แจกในงานศพ” ซึ่งจากที่ได้ดูได้เห็นเหรียญมามากนี่เองจึงทำให้มี “ความชำนาญ”
ส่วน ทางด้านประสบการณ์นั้นก็มีหลายเรื่องแต่ที่จะ “จดจำแบบลืมไม่ได้” ก็คือเรื่องที่เกิดเมื่อไม่กี่ปีนี้เองคือเมื่อ “ปลายปี ๒๕๔๖” ได้เช่าบูชาพระเครื่องไว้ ๓ องค์เป็นเงิน “กว่า ๒ ล้านบาท” แต่ไม่สามารถออกตัวได้เนื่องจากราคาสูงจึงทำให้ “เงินขาดมือ” เพราะช่วงนั้นเพิ่งจะซื้อบ้านใหม่อีกด้วยจึงทำให้มีปัญหามากเลยตรงไปที่ “วัดอาวุธฯ” แล้วทำการจุดธูปอธิษฐานบอกกล่าวกับ “แม่ชีบุญเรือน โตงบุญเติม” ที่ “บอย ท่าพระจันทร์” ศรัทธาท่านอยู่ถึงขั้นอาราธนา “พระพุทโธน้อย” ของ “แม่ชีบุญเรือน” ขึ้นแขวนคอโดยบอกกล่าวถึงเรื่องที่กำลัง “มีปัญหา” ให้ท่านช่วยซึ่งหลังจากบอกกล่าวท่านแล้วผ่านไป ๓ วันก็มีเรื่อง “แปลก ๆ” เกิดขึ้นคือมีคนติดต่อมาขอเช่าพระเครื่องทั้ง “๓ องค์” ที่ยังออกตัวไม่ได้ทำให้ปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบอยู่ “คลี่คลายทันที” จึงถือเป็นเรื่องที่ “แปลกมาก” ส่วนอีกเรื่องที่ “ลืมไม่ได้” เช่นกันคือจะต้องเดินทางไป “จังหวัดตรัง” โดยรถทัวร์จึงไปซื้อตั๋วที่ “สถานีขนส่งสายใต้” โดยได้ตั๋วเที่ยว “หกโมงครึ่ง” ทั้งที่ตั้งใจจะไปเที่ยว “หกโมงตรง” เนื่องจากเหมือนมีอะไรมาบังตาให้ “มองไม่เห็นตั๋วเที่ยวหกโมง” เลยเสียเวลานั่งรอรถร่วมชั่วโมง เพราะตั๋วรถทัวร์นั้น “ซื้อแล้วคืนไม่ได้” นั่นเอง จึงต้องนั่งรถเที่ยวหกโมงครึ่งไปสว่างที่ “อำเภอทุ่งสง” ก็พบเห็นรถทัวร์เที่ยว “หกโมงเย็น” ประสบอุบัติเหตุ “พลิกคว่ำ” อยู่ตรงร่องเกาะกลางถนนและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ “หลายสิบคน” จึงนึกขึ้นได้ว่าคงมีอะไรมา “บังตา” ไม่ให้เห็น “ตั๋วรถเที่ยวหกโมงเย็น” ก็เลยทำให้แคล้วคลาดไม่ได้มาร่วมรับ “ชะตากรรม” กับรถเที่ยวที่พลิกคว่ำคันนั้นพร้อมนึกถึง “พุทธคุณ” ของพระเครื่องที่อาราธนาอยู่บนคอซึ่งก็คือ “พระพุทโธน้อยพิมพ์จัมโบ้” ของ “แม่ชีบุญเรือนวัดอาวุธฯ”