มุสลิมทำลายรูปปั้นแต่มุสลิมไม่ดูหมิ่นรูปปั้น เพียงแค่เรื่องราวข้างต้นนี้ก็ถือว่าเป็นการเพียงพอที่จะเป็นการชี้แนะสัจธรรมให้แก่ผู้คน โดยไม่ต้องมีการทำร้ายจิตใจใครมากไปกว่านี้ เพราะศาสนาอิสลามนั้นห้ามไม่ให้มุสลิมไปดูถูกดูหมิ่นศาสนาอื่นหรือสิ่งที่คนศาสนิกอื่นเคารพบูชา อัลกุรอานได้กล่าวว่า “และพวกเจ้าจงอย่าด่าว่าสิ่งที่พวกเขาวิงวอนขออื่นจากอัลลอฮฺ ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็จะด่าว่าอัลลอฮฺ ซึ่งเป็นการละเมิดโดยปราศจากความรู้..” <คำแปลอัลกุรอาน 6:108> ดังนั้นมุสลิมจะเป็นกลุ่มชนที่รักษาน้ำใจคนศาสนิกอื่น โดยไม่มีการลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอื่นและสิ่งที่ศาสนิกอื่นเคารพบูชา ถึงแม้มุสลิมจะไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นมีอำนาจก็ตาม มุสลิมไม่เชื่อว่าพระเจ้าอื่นมีจริง แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ด่าทอซึ่งเป็นการทำร้ายจิตใจคนที่เขานับถือ และจะทำให้เขาโกรธแล้วก็อาจมาละเมิดต่อพระเจ้าของมุสลิมก็คืออัลลอฮฺ ซึ่งบางคนอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร!
ดังนั้นเราจึงไม่เห็นว่ามีมุสลิมแสดงพฤติกรรมต่อรูปเคารพของศาสนิกอื่นในทางดูหมิ่น เช่นที่มักมีข่าวชาวต่างชาตินิยมดูหมิ่นพระพุทธรูปโดยการนำไปไว้ในผับในบาร์ หรือตัดเศียรแล้วนำไปประดับบ้าน หรืออย่างล่าสุดที่ปั้นรูปผู้หญิงนั่งค่อมพระพุทธรูป! พฤติกรรมเหล่านี้มุสลิมทำไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะฉะนั้นเรื่องรักษาน้ำใจคนต่างศาสนิกนั้นมุสลิมมีเหนือกว่าคนศาสนิกอื่น มุสลิมไม่เคยล้อเลียนคนศาสนิกอื่นว่า ทำไมต้องนุ่งผ้าเหลือง นุ่งลายทหารไม่ได้หรือ? ..หรือ ทำไมต้องจุดธูปสามดอก จุดซักดอกครึ่งไม่ได้หรือ เท่ห์ดี? แต่ตรงข้าม ศาสนิกอื่นซึ่งอ้างนักอ้างหนาว่าใจกว้างกว่ามุสลิม แต่กลับชอบล้อเลียนศาสนิกอื่นโดยเฉพาะมุสลิม เช่น ทำไมต้องไม่กินหมู? ทำไมต้องจูบหินดำ น้ำลายไม่เปรอะหรือ? ทำไมต้องไว้เครา ขี้กลากไม่ขึ้นหรือ? ทำนองนี้เป็นต้น
ยิ่งไปกว่านั้น ล่าสุดชาวตะวันตกยังได้ทำการลบหลู่ดูหมิ่นท่านนบีมุฮัมมัดโดยวาดการ์ตูนล้อเลียนอย่างต่ำช้า สิ่งเหล่านี้มุสลิมก็ทำไม่ได้เช่นกัน ทั้งๆที่มนุษย์เราก็มีสมอง มีความคิดสามารถสรรสร้างมุขต่างๆมาด่าทอกันหรือมาโจมตีใส่ไคล้กันได้อย่างมากมาย แต่มุสลิมก็ไม่สามารถละเมิดกฎข้อนี้ได้ว่าห้ามไปดูหมิ่นศาสนาอื่น “ศาสนาของท่านก็สำหรับพวกท่าน ศาสนาฉันก็สำหรับฉัน” <คำแปลอัลกุรอาน 109:6> และสำหรับการทำลายพระพุทธรูปนั้นมุสลิมก็ไม่เคยไปละเมิดทรัพย์สินของใคร แต่ใน อัฟกานิสถานนั้นมันเป็นสมบัติของประเทศเขา ใครจะเก็บใครจะทำลายนั่นก็เป็นสิทธิของเจ้าของสมบัตินั้นๆ แต่รัฐบาลตอลิบันผู้ปกครองอัฟกานิสถานในเวลานั้นเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่มุสลิมห้ามเคารพ และเป็นภาคีต่อพระเจ้า เขาจึงทำลายไป แต่ชาวตะวันตกกลับนำเรื่องนี้มาประนาม ทั้งๆที่พวกเขาก็ไม่ได้เคารพบูชารูปปั้นเหล่านั้นแต่อย่างใด ซึ่งในคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวว่า “อย่าทำรูปเคารพสำหรับตนเป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่อยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า” <อพยพ 20:4 –5> “พระเยซูจึงตรัสตอบว่า ‘ไอ้ซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่าจงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่านและปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’” <มัทธิว 4:10> ชาวตะวันตกไม่ได้เคารพนับถือหรือให้เกียรติพระพุทธรูปแต่ประการใด มิหนำซ้ำพวกเขายังถือว่าพฤติกรรมการลบหลู่ดูหมิ่นพระพุทธรูปที่พวกเขานิยมกระทำนั้นเป็นสิทธิเสรีภาพด้วยซ้ำ แต่ที่ชาวตะวันตกสร้างกระแสเรื่องนี้มาก็เพื่อจะหาแนวร่วมต่อต้านศาสนาอิสลาม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหาแนวร่วมต่อต้าน รัฐบาลตอลิบัน เพราะพวกเขาต้องการเสียงสนับสนุนในการถล่มอัฟกานิสถานนั่นเอง ความเชื่อของศาสนาหนึ่งมันอาจจะไปขัดกับความเชื่อของอีกศาสนาหนึ่งได้ แต่นั่นไม่ถือว่าเป็นการเจตนาดูหมิ่น ตัวอย่างเปรียบเทียบ เช่น ความเชื่อของชาวฮินดูนั้นถือว่าวัวเป็นเทพเจ้าหรือสัตว์พาหนะของเทพเจ้า เพราะฉะนั้นชาวฮินดูจะเคารพบูชาวัว ไม่ฆ่าและไม่กินวัว แต่สำหรับศาสนิกอื่นแล้ว ถามว่าฆ่าวัวไหม กินวัวไหม? แน่นอนว่าสำหรับศาสนิกอื่นนั้นไม่ได้เคารพบูชาวัว เขาจึงมีการเชือดและบริโภคเนื้อวัว ซึ่งแน่นอนชาวฮินดูย่อมไม่พอใจ แต่เขาก็ย่อมเข้าใจว่าศาสนิกอื่นนั้นไม่ได้เคารพบูชาวัวเหมือนตน ดังนั้นคนทั่วไปที่เชือดและบริโภคเนื้อวัวนั้นจึงไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นหรือล้อเลียนชาวฮินดูแต่อย่างใด เช่นเดียวกันชาวมุสลิมก็ไม่ได้เคารพบูชารูปปั้น ซึ่งการทำลายรูปปั้นของชาวมุสลิมนั้นก็ย่อมกระทบความรู้สึกของคนศาสนิกอื่นที่นับถือรูปปั้นนั้น แต่ข้อนี้ก็ควรเข้าใจว่ามุสลิมไม่ได้มีเจตนาละเมิดความเชื่อศาสนาอื่นแต่อย่างใด ซึ่งต่างจากที่ชาวตะวันตกได้กระทำการล้อเลียนดูหมิ่นท่านนบีมุฮัมมัด แล้วการกระทำของเขานั้นก็ไม่ได้อยู่ในกรอบคำสั่งสอนหรือความเชื่อทางศาสนาของพวกเขาเลย ดังนั้นมันจึงเป็นการนำคำว่าสิทธิเสรีภาพมาอ้างในการละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้อื่นโดยแท้