เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 25 เมษายน 2024, 16:55:41
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ศาสนา กิจกรรมทางวัด (ผู้ดูแล: ap.41, ลุงหนาน)
| | |-+  เรื่องราวธรรมะ ที่ฟังแล้วอดกลั้นน้ำตาไม่ไหวจริงๆ
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน เรื่องราวธรรมะ ที่ฟังแล้วอดกลั้นน้ำตาไม่ไหวจริงๆ  (อ่าน 3106 ครั้ง)
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« เมื่อ: วันที่ 17 กรกฎาคม 2012, 11:10:13 »

เรื่องย่อ ลีลาวดี
บัญชา เกียรติจรุงพันธ์ ....เรียบเรียง..จากธรรมนิยายของ ส.ธรรมโฆษ...
(ได้รับอนุญาตจาก ศ.แสง จันทร์งาม แล้ว)

ลีลาวดี...เป็นชื่อเรื่องของนวนิยายที่ประพันธ์โดย
ธรรมโฆษ (แสง จันทร์งาม) มีความดีเด่นทั้งในด้านการผูกร้อยเรียง
เรื่องราวและแทรกข้อคิดคติธรรมตลอดเรื่อง
จัดพิมพ์และบันทึกเสียงอ่านโดย ธรรมสภา มีทั้งหมด 3 เล่มคือ
ภาค1 ภาค 2 และภาคสมบูรณ์ ผู้สนใจที่ได้อ่านส่วนใหญ่ต่างยอมรับว่า
ประทับใจ แต่ก็มีหลายคนที่ไม่มีเวลาที่จะอ่านจนครบทุกเล่ม

ข้าพเจ้าอ่านแล้วหลายรอบ รู้สึกพึงพอใจทุกครั้งเหมือนอ่านใหม่ทุกครั้ง
ข้าพเจ้ามักจะนำเกร็ดเรื่องนี้ไปเล่าอยู่บ่อยๆ คนที่ได้รับฟังต่างก็อยากจะ
อ่านหรือฟังตลอดเรื่อง เมื่อมีคนใกล้ชิดมาถามอยากจะทราบเรื่องย่อ
ข้าพเจ้าก็หนักใจเพราะจะย่อคติธรรมที่ดีเด่นในเรื่องก็ดูจะเสียความ
จึงได้แต่เล่าเรื่องของตัวเอกคือ ลีลาวดี ว่าเธอก้าวเดินไปอย่างไร
ต่อมาได้รับคำสนับสนุนให้สรุปเป็นเรื่องย่อเฉพาะที่กล่าวถึงเธอ
ข้าพเจ้าจึงรวบรวมมาไว้ที่บล็อคนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นธรรมทาน
ขอเชิญท่านเลือกรับโดยใช้วิจารณญาณและตามศักยภาพแห่งศรัทธา

ลีลาวดี...สตรีผู้ก้าวไป

บัญชา เกียรติจรุงพันธ์ ....เรียบเรียง..จากธรรมนิยายของ ส.ธรรมโฆษ

กรณีตัวอย่างของความรักที่สตรีได้แสดงออกต่อบุรุษอย่างดีที่สุดกรณีหนึ่ง.......
แต่...

http://www.dhammathai.org/webboard/dbview.php?No=340


* R340-18.jpg (48.71 KB, 315x313 - ดู 1382 ครั้ง.)

* 8o.gif (40.71 KB, 100x100 - ดู 1013 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
ap.41
ตอบแทนคุณแผ่นดิน
ผู้ดูแลบอร์ด
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 19,008


ไม่มีเทพไม่มีโปร..มีแต่เราที่จะก้าวไปพร้อมกัน...


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 17 กรกฎาคม 2012, 12:08:11 »

ทั้งอ่านและฟังมาหลายรอบเช่นกันครับ
ลีลาวดีเอ้ย..................ผู้อาภัพรักจนวันตาย
IP : บันทึกการเข้า

james_cr2001
magdafVE
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 276


« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 17 กรกฎาคม 2012, 12:46:28 »

อีกเรื่องนึงครับ  "กามนิต"

http://www.khonnaruk.com/html/book/liturature/kamanita/kamanita-index.html

หาอ่านดูครับ สนุก มีภาคพื้นดิน กับภาคสวรรค์

กามนิตได้พบพระพุทธเจ้าแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเป็นพระพุทธเจ้า เพราะความรักบังตา
แต่วาเสฏฐี มีดวงตาเห็นธรรม

"ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์"   รักสิ่งไหนก็จะทุกข์ใจเพราะสิ่งนั้น

ครั้งหนึ่งนั้น “กามนิต”หนุ่มเมืองอุชเชนี ได้เดินทางไปกรุงโกสัมพีและได้พบรักอันหวานชื่นกับ“วาสิฏฐี”นางผู้งดงาม “สาตาเศียร”บุตรประธานมนตรีผู้มีอำนาจล้นหลงรักวาสิฏฐี ลักลอบทำร้ายกามนิตขณะพรอดรักกันบนลานอโศก นางจึงขอให้กามนิตออกจากโกสัมพีเพื่อความปลอดภัย และให้สัตย์สัญญาว่าจะรักกันมั่นคงทั้งโลกนี้และโลกหน้า

   ระหว่างทาง“องคุลิมาล”จับตัวกามนิตเรียกค่าไถ่ ได้ทรัพย์จึงปล่อยตัวไป ฝ่ายสาตาเศียรเมื่อจับจอมโจรได้ ก็วางแผนหลอกให้ไปบอกวาสิฏฐีว่าได้ฆ่ากามนิตแล้วพร้อมอวดสร้อยที่ได้จากเรียกค่าไถ่ วาสิฏฐีตรอมตรมด้วยผูกใจรักกามนิตหมดหวังในชีวิต ในที่สุดก็แต่งกับสาตาเศียรเพราะพ่อแม่ร้องขอ ขณะมีขบวนแห่นั้น กามนิตก็กลับมาโกสัมพี ได้พบภาพบาดหัวใจ ถึงกับตรอมตรมกลับไปจนเสียผู้เสียคน

   องคุลิมาลได้ลอบเข้ามาหาวาสิฏฐีพร้อมเล่าเรื่องถูกสาตาเศียรล่อลวง นางจึงวางแผนกับจอมโจรดักฆ่าสามี ระหว่างนั้นจอมโจรผู้ชาวเมืองครั่นคร้าม ได้พบพระบรมศาสดา จึงกลับใจเป็นสาวก แล้วกลับไปโปรดนางผู้ชอกช้ำ ผู้หมดหวังในความรัก นางถึงกับบวชเป็นภิกษุณี พร้อมกับตามรอยทางเพื่อเข้าพบพระบรมศาสดา ภิกษุณีวาสิฏฐีมีโอกาสได้ประทานพระอนุศาสน์จากพระพุทธเจ้าเพียงบทเดียวว่า ...ที่ใดมีความรัก ที่นั้นมีความทุกข์...

**------------------------------------------------**
รักสิ่งไหน จะทุกข์ใจเพราะสิ่งนั้น
**------------------------------------------------**

กาลกิริยา ของ กามนิต

 เมื่อพระศาสดาตื่นบรรทมเวลาเช้าตรู่ ทอดพระเนตรเห็นกามนิตตื่นอยู่ก่อนแล้ว กำลังม้วนเสื่อ เอาน้ำเต้าขึ้นสะพายบ่า แล้วกวาดตามองหาไม้เท้าซึ่งเดิมวางพิงไว้ที่มุมห้อง แต่เลื่อนล้มอยู่กับพื้นซึ่งไม่สังเกตเห็น ขณะที่มองหาอยู่นั้นมีกิริยาอาการรีบร้อนมาก
              พระพุทธเจ้าประทับนั่ง ตรัสปราศรัยว่า “ดูก่อนภราดา นี่ท่านจะไปเที่ยวหรือ?”
              กามนิต ตอบด้วยอาการตื่นเต้นว่า “แน่นอน ขอให้ท่านคิดดูเถิดว่าจะขบขันก็ขันเหลือ จะว่าประหลาดก็ประหลาดจริง แทบไม่เชื่อว่าจะมีโชคเป็นพิเศษ ดั่งนี้ คือ เมื่อสักครู่นี้ข้าพเจ้าตื่น รู้สึกคอแห้งผากเพราะสนทนากันเมื่อคืนนี้นาน ไม่มีอะไรจะทำจึ่งลุกขึ้นไปที่สระถัดทางโน้นไปใต้ต้นมะขามนั่น พบหญิงสาวคนหนึ่งกำลังตักน้ำ ท่านทราบหรือไม่ว่าข้าพเจ้าได้ข่าวอะไรจากหญิงคนนั้น? คือ ได้ทราบว่าพระศาสดามิได้ประทับอยู่ ณ จังหวัดสาวัตถีแล้ว รู้หรือไม่ละท่านว่าพระองค์เสด็จประทับอยู่ที่ไหน? เมื่อวานนี้เองพระองค์พระพุทธเจ้า มีกล่าวสรรเสริญกันไว้แล้วมิใช่หรือว่า มีคุณให้เกิดผลบันเทิงสุขในเบื้องต้น พร้อมด้วยสาวกสามร้อยได้เสด็จมาถึงกรุงราชคฤห์นี้ และขณะนี้ประทับอยู่ที่สวนมะม่วงถัดออกไปนอกกรุงทางโน้น ในเวลาอีกชั่วโมงเดียว หรือบางทีจะเร็วกว่านั้นด้วยซ้ำ ข้าพเจ้าจะได้เฝ้าพระองค์ ผิดคาดหมายที่นึกไว้ว่าจะได้พบพระองค์ต่อเวลาตั้งสี่สัปดาห์ เห็นอย่างไรละท่าน อีกชั่วโมงเดียวเท่านั้น? หญิงตักน้ำบอกว่า ถ้าไม่ไปทางถนนใหญ่ แต่ลัดตรอกซอกถนนตัดข้ามออกไปทางประตูด้านตะวันตกเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นก็จะถึง ไม่เคยนึกฝันเลยใจเร่งร้อนเต็มที ขอลาท่านละ ท่านเป็นผู้มีความหวังดีในตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ลืมกลับมาพาท่านไปเฝ้าพระศาสดา ขอลาที จะชักช้าอยู่อีกไม่ได้”
              กล่าวแล้ว กามนิต ก็ขมีขมันออกจากบ้านไป วิ่งไปตามถนนโดยเร็ว ครั้นไปถึงประตูกำแพงกรุงราชคฤห์ยังไม่ถึงเวลาเปิด กามนิตจำต้องรอคอยอยู่เป็นครู่หนึ่ง ซึ่งรู้สึกว่านานตั้งกัลป์ ทำให้ใจเดือดพลุ่งพล่านเป็นอันมาก ได้ใช้เวลาที่รอคอยถามหาความรู้จากหญิงแก่ซึ่งนำผักจะเข้าไปขายในเมือง แต่ต้องนั่งคอยอยู่เหมือนกันว่าทางลัดที่ใกล้ที่สุดไปทางไหน จนได้ความรู้ดี พอดีถึงเวลาเปิดประตูเมือง กามนิตก็วิ่งเข้าไปตามที่หญิงแก่บอกไว้ อารามจะไปให้ถึงเร็วไม่ได้ดูเหนือใต้พุ่งไปชนเด็กหกล้มสองสามคน แล้วโดนหญิงคนหนึ่งกำลังล้างชามอยู่ข้างถนนจนชามกลิ้งตกแตก ถัดจากนั้นไปโดยคนหาบน้ำ ถูกใครต่อใครตะโกนด่าว่าอย่างโกรธจัด แต่กามนิตจะได้ยินก็หาไม่ เพราะกำลังตื่นปลื้มในลาภ ที่จะได้เฝ้าพระพุทธเจ้าในเวลาอันเร็ว ผิดความคาดหมายมาก
              บังเกิดปีติซาบซ่านว่า “ช่างโชคดีจริงหนอ? กว่าพระพุทธเจ้าจะมาตรัสสักองค์หนึ่งก็เป็นเวลาหลายชั่วอายุคน ถึงแม้ว่าในรุ่นอายุสมัยที่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ผู้จะได้เห็นพระองค์ก็น้อยนัก บัดนี้ความสุขที่เราจะได้เฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นของแน่แล้ว หวั่น ๆ อยู่ว่าจะต้องเดินทางไกล เผชิญอันตรายตลอดทางด้วยโจรและสัตว์ร้าย จะทำให้ไม่มีโอกาสได้เฝ้าพระองค์ แต่คราวนี้เป็นอันสมประสงค์เทียวละ”
              เมื่อกามนิตวิ่งเลี้ยวลัดเข้าในทางตรอกที่แคบที่สุด กำลังมีใจตื่นมุ่งอย่างนี้ จนไม่ได้สังเกตเห็นโคบ้าตัวหนึ่งกำลังวิ่งไล่คนแตกกระจายมาข้างหน้า ต่างหนีเข้าไปในร้านบ้าง หลบซ่อนหรือปีนขึ้นไปอยู่บนกำแพงบ้าง หญิงคนหนึ่งอยู่บนมุขบ้านตะโกนบอกให้ระวังตัว แต่กามนิตก็มิได้ยิน ตาจ้องอยู่ที่ยอดหอคอย ซึ่งเป็นที่มุ่งหมายอยู่ตรงหน้าเพื่อมิให้เลี้ยวผิดทาง กว่าจะรู้สึกตัวก็พอดีโคบ้ากรากเข้ามาถึงตัวเสียแล้ว หนีไม่ทัน ทันใดนั้นโคก็ขวิดกามนิตร้องเสียงโอยล้มลงอยู่ริมกำแพง ส่วนโคเมื่อขวิดกามนิตแล้ว ก็วิ่งเลยหายไปในอีกทางหนึ่ง
              ขณะนั้น มีผู้คนวิ่งกันมาสอ ๆ บางคนเพียงมาดู แต่บางคนก็มาช่วยเหลือ หญิงคนที่ตะโกนบอกให้ระวังตัวเอาน้ำชำระบาดแผลให้ ฉีกเอาผ้าที่กามนิตห่มมาพันมัดบาดแผล เพราะโลหิตไหลพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ
              ในขณะนั้น กามนิตยังไม่สิ้นสติทีเดียว แต่คะเนรู้ตัวแน่ว่าอย่างไรเสียตนก็จะต้องตาย อันความตายหรือความเจ็บปวดอยู่นี้ ไม่ทำให้กามนิตรู้สึกหวาดหวั่นเป็นทุกขเวทนา มากเท่ากับที่วิตกว่าจะไม่ได้เฝ้าพระพุทธเจ้า ถึงกับขอร้องผู้ที่อยู่ใกล้ โดยมีเสียงอันสั่นเครือให้ช่วยพาเอาไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่ป่ามะม่วงด้วย
              “ท่านสหายทั้งหลาย ข้าพเจ้าเดินทางมาไกลจนจวนจะถึงที่มุ่งหมายแล้ว กรุณาช่วยพาข้าพเจ้าไปเดี๋ยวนี้เถิดอย่าได้ชักช้าเลย ไม่ต้องวิตกถึงความเจ็บปวด หรือกลัวว่าข้าพเจ้าจะตาย ข้าพเจ้ายังไม่ยอมตายจนกว่าท่านจะช่วยวางข้าพเจ้าไว้แทบบาทพระพุทธเจ้า แล้วจึ่งจะตายด้วยความสุขและไปเกิดมีความสุขใหม่”
              คนที่อยู่นั้นบางคนวิ่งไปหาเสื่อ หาคานหาม ส่วนหญิงคนนั้นเอายาชูกำลังให้กามนิตดื่มสองสามช้อนพอให้ชุ่มชื่น พวกเหล่านั้นกำลังออกความเห็นโต้แย้งกัน ถึงเรื่องว่าจะไปทางไหนดีจึ่งจะใกล้ที่สุด ถ้าไปผิดทางช้าเพียงก้าวเดียวจะไม่ทันการ เพราะกามนิตกำลังมีอาการทรุดลงรวดเร็ว
              ขณะนั้น ชายคนหนึ่งเอามือชี้ไปทางถนนเล็กร้องว่า “นั้นแน่ สาวกของพระพุทธเจ้า ท่านคงจะบอกให้ทราบได้ว่าไปทางไหนจึ่งจะเหมาะ”

              อันที่จริง เวลานั้นพระภิกษุหลายองค์ห่มคลุมด้วยกาสาวพัสตร์มืออุ้มบาตรเดินมา พระภิกษุเหล่านี้ล้วนมีอายุอยู่ในวัยหนุ่ม แต่ข้างหน้ามีพระภิกษุผู้แก่อาวุโสสององค์ องค์หนึ่งเส้นผมหงอกแล้วท่าทางมีสง่าผ่าเผยบอกว่าทรงความเฉียบขาดสามารถ อีกองค์หนึ่งมีอายุอยู่ในวัยต้น พระภิกษุองค์นี้ถึงผู้ที่ไม่ชำนาญดูลักษณะ ก็อาจทราบได้ว่าองค์แก่คงอยู่ในวรรณพราหมณ์ ส่วนองค์หนุ่มอยู่ในวรรณกษัตริย์
              เมื่อหมู่พระภิกษุหยุดลงที่ฝูงชนออกันอยู่ ก็มีผู้แย่งกันอธิบายเรื่องให้ฟังจนไม่เป็นศัพท์ แล้วว่ากำลังจะหามชายอาคันตุกะที่ถูกโคขวิดคนนี้ไปยังป่ามะม่วง เพื่อเฝ้า พระพุทธเจ้า ตามความประสงค์ยิ่งใหญ่ของเขา จึ่งอยากจะขอให้ช่วยชี้ทางที่จะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ซึ่งใกล้ที่สุด
              พระภิกษุองค์ที่สูงอายุตอบว่า “เวลานี้พระศาสดาไม่ได้ประทับอยู่ที่ป่ามะม่วง และพวกอาตมาก็ยังไม่ทราบว่าเสด็จไปประทับอยู่ที่ไหน”
              “พอกามนิตได้ยินดั่งนี้ ก็ถอนหายใจยาว มีอาการเสียใจว่าหมดหวัง”
              พระภิกษุองค์ที่มีอายุรองลงมา กล่าวว่า “แต่เห็นจะไม่ประทับอยู่ไกลจากที่นี่นัก เพราะก่อนหน้าที่จะเสด็จมากรุงนี้ รับสั่งให้ภิกษุบวชใหม่ล่วงหน้ามาก่อน ส่วนพระองค์เสด็จตามหลังมาลำพังแต่เมื่อวานนี้ บางที่จะเสด็จมาถึงเป็นเวลาเย็นมาก คงจะประทับแรมอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง บางทีจะในเขตชายกรุงนี้ ที่อาตมาพากันมานี้ก็เพื่อตามมาเฝ้า”
              กามนิต ร้องวิงวอนว่า “ขอได้โปรดตามหาด้วยเถิดท่านเจ้าขา”
              พระภิกษุองค์สูงอายุว่า “ถึงหากจะตามหาจนพบว่าเสด็จประทับอยู่ที่ไหน ก็จะหอบหิ้วคนไข้ไปไม่ได้ เพราะจะกระเทือนทำให้อาการทรุดลงเร็ว เมื่อไปถึงอาจจะสิ้นสติได้แล้ว คงไม่สามารถฟังพระโอวาทได้ ควรจะช่วยกันรีบหาหมอเสียเดี๋ยวนี้ เพื่อแก้ไขประทังไปพลางก่อนดีกว่า บางทีจะมีทางฟื้นกำลังพอได้ฟังพระโอวาท”
              แต่กามนิตเอามือชี้ไปที่เปลหาม พูดขาดระยะเป็นห้วง ๆ ว่า “อย่าช้า-จวนตาย-โปรดนำ-เฝ้าพระองค์-ถูกต้อง-ตายเป็นสุข-โปรดเร็ว”
              พระภิกษุสูงอายุยกไหล่ ( ตามวาสนาที่ตัดไม่ขาด ) หันไปพูดกับเพื่อนภิกษุด้วยกันว่า
              “ชายคนนี้ ยึดถือพระพุทธเจ้าดั่งรูปบูชา นึกว่า เมื่อได้สัมผัสแล้วก็พ้นบาป”
              องค์ที่มีอายุรองมาพูดว่า “ท่านสารีบุตร ชายผู้นี้เลื่อมใสในพระศาสดา แม้ว่าจะยังขาดความเข้าใจในหลักธรรมอันสูง” แล้วก้มลงไปพิจารณากามนิตเพื่อให้ทราบว่า จะมีกำลังอยู่บ้างหรือไม่ พลางพูดว่า “น่าจะลองพยายามดู น่าสมเพชอยู่ ถ้าช่วยเหลืออย่างอื่นไม่ได้พยายามลองสักหน่อยจะเป็นไร”
              กามนิต แลดูเป็นที่รู้สึกขอบคุณที่ได้ฟังความเห็นนี้
              พระสารีบุตรคล้อยตามว่า “ลองดูซี ท่านอานนท์”
              ขณะนั้น มีชายผู้หนึ่งเดินปราดมาในทางที่กามนิตมาแล้ว ชายผู้นั้นคือ ช่างหม้อ ทูนหม้อต่าง ๆ มาตะกร้าใหญ่ ครั้นเห็นเขากำลังยกกามนิตลงในเปลหามอย่างบรรจง แต่ก็ยังทำให้กามนิตเจ็บปวดไม่น้อย ก็หยุดชะงักกึกลงทันที หม้อที่ทูนไว้พลัดตกแตกกระจายจ้องดูด้วยความตกใจ
              “ตายจริง! นี่เกิดเหตุอะไรกัน? ชายอาคันตุกะคนนี้ได้ไปอาศัยพักนอนอยู่ที่บ้านเมื่อคืนนี้ พร้อมกับพระภิกษุองค์หนึ่งนุ่งห่มเหมือนท่านภิกษุเหล่านี้”
              พระสารีบุตร “พระภิกษุองค์นั้นมีอายุสูง และรูปร่างสูงด้วยหรือเปล่า?”
              ชายปั้นหม้อ “อย่างนั้น ท่านผู้เจริญ และดูเหมือนมีรูปลักษณะไม่ผิดจากท่าน”
              พระภิกษุทั้งหลายก็ทราบได้ในขณะนั้นว่าไม่ต้องไปตามหาพระพุทธเจ้าที่ไหนอีก พระศาสดาคงได้เสด็จแรมอยู่ในบ้านช่างหม้อ เพราะสาวกที่มีรูปลักษณะคล้าย พระพุทธเจ้า ก็คือ พระสารีบุตร ซึ่งใคร ๆ ทราบกันอยู่
              พระอานนท์มองดูกามนิต ซึ่งขณะนั้นไม่ได้สติแล้วและไม่รู้สึกถึงนายช่างปั้น เพราะถูกยกขึ้นเปลหามได้รับความเจ็บปวด อันทุกขเวทนาครอบงำมาก แล้วพูดว่า “หรือบางทีชายผู้นี้จะได้เฝ้าพระศาสดาอยู่แล้วตลอดคืน โดยไม่รู้สึกแม้สักน้อยว่าเป็น พระพุทธเจ้า?”
              พระสารีบุตร “ผู้โง่เขลาเบาปัญญาก็เช่นนั้น ควรพาไปได้แล้ว”
              พระอานนท์ “ประเดี๋ยวก่อน เวทนากล้าจนสิ้นสติเสียแล้ว”

              อันที่จริงกามนิตลืมตาโพลงนั้น แสดงว่าไม่รู้สึกถึงเหตุการณ์ที่เป็นอยู่รอบตัวในเวลานั้น ดวงตาชักมืดลง ๆ คงเห็นแต่ท้องฟ้าขาวในเวลาเช้าเป็นทางอยู่ในระหว่างกำแพง ซึ่งให้กามนิตรู้สึกอยู่บ้าง แต่เข้าใจไปว่าเป็นทางช้างเผือก ที่ผ่านในอากาศอันมืดในเวลาเที่ยงคืน ริมฝีปากขมุบขมิบแล้วค่อย ๆ เผยอพูดออกมาว่า “แม่คงคา”
              พระอานนท์ “เพ้อแล้ว”
              ผู้ยืนอยู่ใกล้หลายคน ได้ยินกามนิตพูดได้ถนัด ตีความหมายของกามนิตว่า “เห็นจะต้องการให้พาไปยังฝั่งแม่คงคา ณ บัดนี้เพื่อชำระล้างบาปมลทินด้วยน้ำอันศักดิ์สิทธิ์นั้น แต่แม่คงคาอยู่ไกลมากใครจะหามไปถึงได้”
              ทันใดนั้น กามนิตค่อยมีสติขึ้น ดวงตาสดใส มีอาการยิ้มดูประหนึ่งว่าอิ่มใจ พยายามจะลุกขึ้น พระอานนท์ เข้าประคอง
              “แม่คงคาในสวรรค์!” กามนิตกระซิบเสียงแผ่วแต่แจ่มใส เอามือขวาชี้ไปบนฟ้าเหนือศีรษะพูดว่า “แม่คงคาในสวรรค์เราได้ปฏิญญาแทบกระแสคลื่น-วาสิฏฐี”
              กามนิตกล่าวได้เท่านี้ ตัวสั่นเทิ้ม กระอักโลหิตออกจากปากสิ้นเสียงสิ้นใจอยู่ในวงแขนพระอานนท์

              ล่วงต่อมาไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมง พระสารีบุตร และ พระอานนท์ พร้อมด้วย พระภิกษุทั้งหลาย ก็ไปถึงบ้านช่างหม้อ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรมีส่วนสุดข้างหนึ่ง
              พระศาสดาตรัสสัมโมทนียกถาทักทายตามอาคันตุกวัตรแล้วตรัสถามว่า “สำแดงสารีบุตร ตัวท่านกับพวกภิกษุใหม่ผู้ถือนิสัยในท่าน เดินทางไกลมาถึงที่นี่เรียบร้อยดี หรือว่าประสบเหตุการณ์อะไรบ้าง? อาหารและเภสัช สำหรับภิกษุที่อาพาธลงกลางทางขาดแคลนบ้างหรืออย่างไร? บรรดาศานุศิษย์มีความสบายและทำความเพียรขยันขันแข็งดีอยู่หรือ?”
              “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์มีความยินดีที่จะกราบทูลว่า ไม่มีความขาดแคลนประการไรและภิกษุใหม่ก็มีความเพียรแข็งแรงดี แต่มีความปรารถนายิ่งอยู่อย่างเดียวคือเพื่อมาเฝ้า ภิกษุหนุ่มเหล่านี้ได้รู้แจ้งและมั่นในพรหมจรรย์แล้ว ข้าพระองค์จึ่งได้พามาเฝ้ามิได้ชักช้า”
              ขณะนั้น ภิกษุหนุ่มสามองค์ลุกขึ้นจากที่นั่งประคองอัญชลีถวายอภิวาทพระศาสดา พระองค์ทรงรับอภิวาทนั้นแล้วมีพระพุทธานุญาตให้นั่งลงตามปรกติได้
              “ข้าแต่พระศาสดาเจ้า พระองค์ได้เสด็จมาถึงที่นี้แต่เมื่อวานนี้ ทรงเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหรือประสบอุปสรรคสถานไรบ้าง? และได้เสด็จประทับแรมอยู่ในบ้านช่างหม้อนี้หรือพระเจ้าข้า?”
              “เออ! ภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตมาถึงเป็นเวลาเย็นมืดลงแล้ว ถึงว่าจะรู้สึกเหนื่อยมากก็จริง แต่ไม่ประสบอุปสรรคอย่างไรตลอดทาง ได้พักแรมคืนในนี้กับชายอาคันตุกะคนหนึ่งเรียบร้อยดีอยู่”
              พระสารีบุตร- “ชายอาคันตุกะคนนั้น บัดนี้กระทำ กาลกิริยา เสียแล้ว โดยถูกโคขวิดในกรุงราชคฤห์”
              พระอานนท์ “และทั้งเขาไม่นึกเฉลียวด้วยว่า ผู้ที่แรมคืนอยู่กับตนนั้นเป็นใคร ความประสงค์ของผู้นั้นมีอย่างเดียวคือใคร่จะเฝ้าพระองค์”
              พระสารีบุตร “แล้วล่วงมาไม่ช้า ขอให้พาไปแม่คงคา”
              พระอานนท์ค้าน “หามิได้ ท่านสารีบุตร เพราะพอเขาพูดถึงแม่คงคาในสวรรค์ ก็มีสีหน้าอาการสดใสขึ้น ดูเหมือนจะระลึกถึงข้อปฏิญญาอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วก็ออกชื่อผู้หญิงดูเหมือนชื่อ วาสิฏฐี แล้วก็สิ้นใจ”
              พระสารีบุตร “เมื่อจิตดับไป มีชื่อผู้หญิงติดอยู่ที่ริมฝีปากไปด้วย ใจคงเศร้าหมอง นี่จะไปเกิดในภพไหนหนอ?”
              พระพุทธเจ้า “อาคันตุกะ กามนิตเป็น ผู้โง่ที่หลงผิดคล้ายเด็กที่ดื้อ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชายอาคันตุกะผู้นี้สืบเสาะหาเรา เพื่อจะขอเป็นสาวกศึกษาหลักธรรม เราตถาคตเล็งเห็นอุปนิสัยแล้ว จึ่งแสดงหลักธรรมพอเป็นปัจจัย ในที่สุดก็สมเหตุ คือเขาแสดงความไม่พอใจ ดิ้นรนใฝ่มุ่งอยู่ในกามสุขทิพยารมณ์ และเพราะ จิตยึดหน่วงเอาตถาคต เป็นอารมณ์คู่กันไปด้วย ณ บัดนี้ได้ไปเกิดอยู่ใน สุขาวดีแดนสวรรค์ตะวันตก แล้ว และจะเสวย กามาพจรสุขอยู่ในนั้นนับเวลาได้หลายโกฏิปี.”


**--------------------------------------------------------------------**

** น่าเสียดายกามนิตที่ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว แต่ใจดื้อไม่ยอมรับ **
พระพุทธองค์ทรงสนทนากับกามนิตหนุ่มที่ไม่ใช่ชื่อขจิต (เพราะคาดเดาจากคำบรรยายในหนังสือว่าคงเป็นหนุ่มรูปงาม จมูกโด่ง ผิวขาว เชื้อสายอารยัน) ว่าโดยสรุปจากเรื่องที่ฟังกามนิตเล่ามา ก็จะเห็นได้ว่า

เมื่อใดมีรัก เมื่อนั้นมีทุกข์

ซึ่งกามนิตหนุ่มก็ค้านอย่างเต็มที่ เพราะในความเห็นของเขา เมื่อชีวิตมีรัก ก็หมายถึงมีความสุขเกิดขึ้นในชีวิตทั้งนี้เป็นการมองชีวิตที่ยังไม่รอบ เพราะมองแค่ความสุขที่เกิดขึ้นในเบื้องต้นที่เกิดความรักขึ้นเท่านั้น

ถึงแม้พระพุทธองค์จะทรงตรัสสอนให้เห็นถึงความจริงของชีวิตต่อไปอีกว่า เมื่อคนเรามีความรักหรือมีสิ่งที่รัก ในบั้นปลายก็จะเกิดทุกข์ขึ้น คือ

ทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการพลัดพรากจากสิ่งรัก

โดยทรงตรัสต่อว่า ธรรมดาในชีวิตมนุษย์ย่อมประสบกับความทุกข์สองประการ คือหนึ่งการประสบกับสิ่งไม่รัก และการพลัดพรากจากสิ่งรัก ย่อมเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
ซึ่งในชีวิตของเรานั้นไม่สามารถปฏิเสธความจริงนี้ได้เลย หรือไม่อาจหาญที่จะกล่าวได้ว่าเราสามารถหลีกพ้นจากทุกข์สองประการในชีวิตนี้ได้

ในชีวิตของเรา จะเลือกพบหรือปรารถนาให้ในชีวิตมีแต่สิ่งที่ดีดีหรือประสบกับสิ่งที่รักและที่ชอบเสมอตลอดไปไม่ได้ ในทำนองเดียวกันก็ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงการพลัดพรากจากสิ่งที่รักได้ตลอดกาล เพราะไม่ช้าวันใดวันหนึ่ง สิ่งที่เรารักนั้นจำต้องพรากจากเราไปแน่นอน

ไม่เราพลัดไปจากเขาหรือเขาพรากจากเราไป
สิ่งที่เกิดขึ้นในใจเรา คือความทุกข์เสมอ

กามนิตหนุ่มได้ฟังก็คอตก เพราะเห็นจริงตามนั้น แต่อาศัยมานะทิฏฐิอันดื้อรั้น แทนที่จะกล่าวสาธุรับธรรมกลับไพล่เฉไฉกล่าวทำนองว่า

สิ่งที่ท่านกล่าวออกมานั้น ก็จริงอยู่ดูมีเหตุผล แต่เป็นคำที่ท่านกล่าวเองหรือว่าได้ยินมาจากพระพุทธองค์เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสว่าเป็นคำที่พระองค์พูดเอง(ในฐานะนักบวชในสายตาของกามนิต) กามนิตจึงถอนหายใจแสดงความโล่งอกและกล่าวเสริมว่า ตนอยากไปกราบทูลถามธรรมข้อนี้ต่อพระองค์ หากเป็นคำที่ได้ยินออกจากพระโอษฐ์พระพุทธองค์เองจึงจะเชื่อถือตาม

พระพุทธองค์ทรงได้ยินดังนั้น จึงแสดงอาการดุษฎี คือนิ่งเฉยเงียบไม่ต่อล้อต่อเถียงให้ยาวความ

ตอนรุ่งเช้ากามนิตเร่งรีบออกเดินทางแต่เช้าด้วยดวงจิตที่ร้อนรน กระหายที่อยากจะฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า โดยไม่เฉลียวใจเลยว่าตนมีโอกาสอันประเสริฐที่ได้สนทนาธรรมกับพระพุทธองค์อย่างใกล้ชิดตลอดคืน แต่อนิจจาชีวิตตนถึงวาระสุดท้ายถูกวัวบ้าที่วิ่งสวนมาขวิดตาย ในขณะสุดท้ายได้กล่าวร้องขอพระอานนท์และพระสารีบุตรพาไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแต่ก็ทนพิษบาดแผลไม่ได้สิ้นใจตายก่อน

เนื้อหาในบทนี้จึงมีชื่อว่า “เด็กดื้อ” ได้แก่ตัวกามนิตนั่นเอง

คงพอที่จะน้อมนำมาเป็นอุทธาหรณ์ของชีวิตเราได้ว่า ธรรมะไม่ว่าจะหลุดออกมาจากปากผู้ใด หากได้ยินได้ฟังแล้ว เป็นธรรมแท้หรือความจริงแท้ ก็ให้น้อมใจรับฟังไว้ อย่าได้ประมาทว่าจะต้องได้ยินจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าเลย
หรือเรื่องใดใดก็ตาม หากเกิดในชีวิตเราแล้ว ไม่ว่าจะดีหรือเลว ก็สามารถน้อมเอามาเป็นหลักธรรมสอนตนได้เสมอ
ทุกครั้งทุกครา ที่เกิดเรื่องใดก็ตามที่เป็นทั้งกุศลและอกุศล ผมมักได้ข้อคิดทางธรรมะดีดีเสมอ และกล่าวคำสาธุดังๆในใจทุกครั้ง เพราะจิตน้อมเห็นตามธรรมที่เป็นจริงอย่างนั้นชัดเจนขึ้น

เชิญชวนทุกท่านลองสำรวจดูว่า ท่านมีของอันเป็นที่รักอยู่กี่อย่าง ทั้งที่เป็นสิ่งของวัตถุ บุคคลหรือสัตว์เลี้ยงใดใดก็ตาม

ลองนั่งนับนิ้วดู แล้วจะประจักษ์ว่าท่านสะสมทุกข์ไว้เท่าจำนวนนิ้วที่นับได้นั่นแหละ
เตรียมตัวเตรียมใจรับความทุกข์ที่พึงจะเกิดขึ้นไว้ให้ดีเถิด

**-------------------------------------------------------------**

แล้วทราบหรือไม่ว่า กรรมอันใดที่กามนิตถูกวัวขวิดตาย
กามนิต องคุลีมาล และพระยัสสะ มีบุพกรรมเกี่ยวข้องกันยังไง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 17 กรกฎาคม 2012, 13:23:44 โดย james_cr2001 » IP : บันทึกการเข้า

๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 17 กรกฎาคม 2012, 13:26:38 »

ขอบคุณครับ เคยได้ยินชื่อกามนิตกับวาเสฎฐี ตั้งแต่ยังเด็กๆ
แต่ยังไม่เคยรู้ตำรับความเป็นมาเป็นเรื่องเป็นราว


* sx.gif (7.4 KB, 55x55 - ดู 964 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 17 กรกฎาคม 2012, 15:01:46 »

ความรักนี้มิอาจจะสมหวัง
เหมือนอยู่ฝั่งฟากหนึ่งซึ่งมองเห็น
ยากสมหมายในรักหลากประเด็น
อาจลำเค็ญหากข้องยากป้องกัน

เรื่องลีลาวดีชี้ไว้ชัด
ยากเจนจัดในรักประจักษ์มั่น
ยิ่งรักยิ่งห่วงหาสารพัน
แม้ชีวันม้วยมรณ์อาวรณ์รัก

สิ่งที่ได้จากเรื่องอันเปรื่องปราชญ์
ให้รู้ชาติมนุษย์พิสุทธิ์ศักดิ์
ย่อมสามารถพัฒนาสูงค่านัก
ก้าวสู่หลักอริยะอัศจรรย์

สุขสวัสดี
บ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก


* เศร้าจัง.gif (16.7 KB, 57x48 - ดู 1004 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!