การปฏิบัติธรรมก็มีอยู่ 2 อย่างครับ
1.สมถะกรรมฐาน ทำไปเพื่อให้จิตใจสงบ ได้พักผ่อน คือบังคับจิตให้อยู่ในอารมย์อันเดียว
ก็คือเพ่งจิตลงไป หรือให้จิตจดจ่อลงไปในอารมย์อย่างใดอย่างหนึ่งเช่น ลมหายใจเข้าออก
พุทธโท พองยุบ หรือเพ่งไปที่มือที่เคลื่อนไหว หรือจดจ่อไปที่เท้าที่เดิน หรืออะไรก็ได้
ที่เราเอาจิตไปแป๊ะไว้ หรือเพ่งไฟ เพิ่งกสิณ เพ่งสี เพ่งน้ำ
เมื่อเราทำวิธีการแบบนี้แล้ว จิตจะเกิดอาการแปลกๆ อย่างเช่น ขนลุก ขนชัน ซาบซ่าน
น้ำตาไหล ตัวโยก ตัวโคลง ตัวคลอน ตัวใหญ่ขึ้น เห็นโน่นเห้นนี่ เห็นเทวดา เห็นผี เหมือน
มดไต่ มีอาการแปลก ๆ เห็นแสงเห็นสีต่าง ๆ เห็นเป็นหลุมเป็นหลอด อาการทั้งหลายทั้งปวง
ข้างต้นนี้ เกิดจากการทำสมถะกรรมฐาน
ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดพิสดารอะไร มีชื่อเรียกว่า ปิติ ปิติจะเกิดขึ้นทันทีเมื่อจิตเริ่ม
สงบลงเล็กน้อย และมันก็คืออาการปรุงแต่งของจิตนั่นเองครับ
ส่วนมากจะติดอยู่ตรงนี้ครับ เพราะมันเพลินสนุกดี บางคนถ้าเกิดความกลัวขึ้นมาก็ลืมตาเลิก
ทำไปเลย ถูกกิเลสมันหลอกเอา กลัวตัวเองจะเป็นบ้าก็เลยเลิกทำ
ถ้าท่านใดผ่านช่วงปิตินี้ไปได้ อาการทั้งหลายทั้งปวงที่ว่านี้มันจะหายไป ร่างกายเริ่มจาง
หายไป มีความรู้สึกว่า ร่างกายที่นั่งอยู่มันเริ่มจะจางหายไป เหลือแต่ความรู้สึก เพราะอะไร
ก็เพราะว่าร่างกายมันหยาบเกินไป จิตเริ่้มละเอียดขึ้น ตรงนี้ถ้าสังเกตุให้ดีมันจะแสดง
ตัวอย่างให้เราดูว่าจริง ๆ แล้วร่างกายกับจิตมันเป็นคนละส่วนกันครับ จิตมันจะเริ่มไปจับเอา
สิ่งที่ละเอียดกว่า พอถึงตรงนี้แล้ว จะมีแต่ความรู้สึก และจะมีแสงสว่างข้างหน้าเรา เราจะรับ
รู้ได้ด้วยความรู้สึก เหมือนมีตามองเห็น เหตุผลก็เพราะ เลือดมาเลี้ยงสมองส่วนหน้ามากเข้า
มันจะเกิดอาการสว่างครับ พอมาถึงตรงนี้ใครที่เคยสั่งสมของเก่าๆ อะไรมาแต่ชาติปางก่อน
ก็ลองน้อมจิตอธิษฐาน สมมุติว่าอยากเห็น นรก ภาพก็จะปรากฏให้เห็น สิ่งที่เห็นขึ้นมานั้น
จิตมันถ่ายทอดออกมาครับเพราะว่ามันเคยผ่านนรกมาแล้ว แต่ถ้าท่านใดที่มีปัญญาแกร่ง
กล้าก็จะถอยจิตออกมานิดนึง แล้วมาสังเกตุดูความเกิดดับ ความรู้สึกหรืออะไรที่เกิดกับจิต
ก็จะสักว่ารู้ว่าดูอย่างเดียว ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ตรงนี้ท่านจะตัดเข้าวิปัสนาเลยครับ
คือจะใช้สมถะนำไปก่อน แล้วตัดเข้าวิปัสนา โดยใช้สมาธินำ พอออกจากสมาธิแล้วเวลา
เดิน ยืน นั่งนอน มันจะมีจิตผู้รู้ติดออกมาคือ มัีนจะแยกระหว่างจิต กับร่างกายออกอยู่ช่วงนึง
ตรงนี้ต้องรีบ ๆ ตักตวงครับ ท่านเรียกว่า นาทีทอง คือเอาจิตผู้รู้นี่แหละ มาดู ร่างกาย มัน
เดิน ยืน นั่ง นอน แต่จิตผู้รู้มันจะอยู่ได้ไม่นาน พอสมาธิที่หล่อเลี้ยง หายจิตผู้รู้ก็จะหายไป
ก็ต้องไปเริ่มทำสมาธิใหม่อีก สลับไป สลับมาแบบนี้ ทั้งวันครับ เป็นแนวทางที่สายพระป่า
ท่านปฏิบัติตามกันมา เรียกว่า สมถะยานิก ใช้สมาธินำไปก่อนแล้วค่อยขึ้นวิปัสนาครับ
วิธีการแบบนี้เหมาะสำหรับ คนที่มีนิสัยสันโดษ รักสงบ รักสวยรักงาม รักความสุข ไม่ชอบ
อะไรที่วุ่นวาย ยุ่งยาก จะทำสมาธิได้ง่าย ต้องเอาสมาธินำไปก่อนมันก็จะไปตรงกับ
มหาสติปัฐฐานสูตร คือ พิจารณาร่างกาย ก็คือ กายานุปัสนา คือการตามรู้กายเนือง ๆ
นั่นเองครับ
ตรงนี้ต้องสังเกตุนิดนึงไม่พลาดแน่นอนครับ สำหรับท่านที่มีจริตนิสัยแบบที่กล่าวมา
ข้างต้น คือ ต้องทำสมาธิก่อน ทำให้มาก ๆ ทำให้เย๊อะ ๆ ก่อนไปทำงาน ตอนเที่ยงพอมี
เวลาก็ทำเลยครับ ตอนเย็น ตอนดึก ทำให้มาก ๆ ครับ เป็นวันเป้นเดือนเป็นปี ห้ามหยุดทำ
สมาธิเป็นอันขาดครับ ห้ามทิ้งสมาธิเด็ดขาด มีเวลาเล็กน้อยก็ให้ทำครับ พอทำมาก ๆ เข้า
กายกับจิตมันจะเริ่มแยกออกจากกันก่อน แยกตรงนี้ไม่ได้หมายถึง ถอดจิตออกไปข้างนอก
น๊ะครับ มันรับรู้ได้ด้วยใจ แต่ใครถอดออกไปได้ ทำได้ก็ยิ่งดีครับ ลำดับแรก ร่างกายที่
เคลื่อนไหวมันจะอยู่ส่วนนึง ความปวดเมื่อยที่มันประกบกับร่างกายก็จะอยู่อีกส่วนหนึ่ง จิตอยู่
อีกส่วนนึง จิตที่รับรู้ว่ามันแยกออกก็อยู่อีกส่วนนึง พอนานเข้านานเข้าความรู้สึกนึกคิด มันจะ
เริ่มแยกออกอีกส่วนหนึ่งครับ ตรงนี้ท่านเรียกว่า ขันธ์ห้ามันกระจายตัวออกครับ ตรงนี้เท่าที่
ผมทราบคนเชียงรายก็ทำได้เย๊อะเหมือนกันครับ เฝ้ารู้เฝ้าดู หัดแยกขันธ์แบบนี้ไปเรื่อย ๆ
แต่ละตัวมันจะเด่นชัดขึ้นสติมันจะแกร่งกล้ามีกำลังครับ มันจะมองเห้นสิ่งที่เป็นตัวเราเริ่ม
กระจายตัวออกครับ พอมาถึงตรงนี้มันจะเริ่มเดินปัญญาแบบเต็มตัวแ้ล้วครับทำสมาธิเริ่มจะ
ทำไม่ลงแล้วใจมันจะไม่เอาแล้วเพราะว่าจิตมันเริ่มเดินวิปัสนา
** ข้อความข้างล่างต่อไปนี้ เป็นคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์๋ที่เล่าให้ฟังครับ**
ท่านบอกว่า พอขันธ์มันเริ่มกระจายตัวออก เราก็ต้องเพิ่มสติให้มาก ๆ โดยอย่าทิ้งสมาธิ
ถ้าใครทิ้งสมาธิตอนนี้ จิตมันจะไม่มีกำลังครับ พอสติมันมากเข้า เห้นความจริงของขันธ์
ห้ามากเข้า พอมันแ่ก่รอบคือต้องรอให้มันแก่รอบ อริยมรรคมันจะเกิดขึ้นครับท่านบอกว่า
มันจะสะท้านถึงจิตถึงใจเลยครับ และมันจะรู้ด้วยตัวเองเลยว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นอะไรถูกทำ
ลายลงไป ความเป็นตัวเป็นตนของเราจะถูกทำลายลงไปครับ เมื่องเรามองลงมาที่ตัวเรา
มันจะกลวง ๆ ครับไม่มีความเป็นตัวเป็นตนเหลืออยู่ เพราะถูกทำลายไปแล้ว
จุดมุ่งหมายของศาสนาพุทธในเบื้องต้น เพื่อให้่มาถึงที่จุดนี้ครับ ในเชียงรายก็มีอริยบุคคล
มีแน่นอนครับ
2.วิปัสนากรรมฐาน ทำไปเพื่อถอดทอนความเห็นผิด ว่ากายกับใจเป็นเราครับ
สมถะกรรมฐาน กับวิปัสนากรรมฐาน สองอย่างนี้ต้องเกี่ยวเนื่องกันครับ
วิธีการแบบนี้เรียกว่า วิปัสนายานิกครับ
เหมาะสำหรับบุคคลที่มีจริตนิสัย คิดมาก ชอบคิด วัน ๆ เอาแค่คิด ๆ
เจ้าความคิด เจ้าความเห็น อะไรพวกนี้ครับ ก็คือคนที่มีวิถีชีวิตในเมือง
มีงานมีการทำ ไม่มีเวลานั่งสมาธิ ถึงทำสมาธิก็ไม่สงบ เพราะนิสัย
เป็นพวกคิดมาก ฟุ้งซ่าน ทำสมาธิยังไงก็ไม่สงบครับ ถ้าจะให้สงบก็คงตายก่อนแหละครับ
ส่วนตัวผมเองไม่ได้เดินมาแบบวิปัสนายานิกตั้งแต่ต้น ผมไม่สามารถอธิบายได้ครับ
ต้องรอท่านอื่นมาอธิบายประสบการณ์ครับ
ผิดถูกยังไงก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ขอให้เจริญในธรรมครับ
แนวทางวิปัสนายานิก เข้าไปหาความรู้เพิ่มเติมท่านใดที่สนใจครับ เพื่อเป็นแนวทาง
ท่านที่ปฏิบัติมานานแล้ว ไม่รู้ทิศทาง หรือไม่ก้าวหน้า ลองทิ้งของเก่า ๆ ไปก่อนแล้ว
ลองเริ่มใหม่ดูครับ ไปที่นี่ครับ
www.wimutti.net