เจริญธรรม คุณนารุ
1. การที่ท่านจะไม่แจงถึงการ “หยิบยืมภาษาพูด” จากแหล่งใดก็แล้วแต่ และจะโดยวิธีการใดก็แล้วแต่ ไม่ใช่สาระอีกต่อไป เนื่องเพราะถ้าอ่านและพิจารณาคำตอบที่ผมสงสัย ก็จะรู้ชัดได้เองว่าข้อสงสัยนั้น สงสัยตรงไหน และคำตอบนั้นตรงประเด็นหรือไม่
2. สมมุติสัจจะ เป็นของที่มีอยู่ในโลกจริง มีบัญญัติไว้ให้สื่อสารรู้ความกันได้จริง แม้ไม่ตรงเผ็งเสียทีเดียวแต่ก็ไม่ได้พลาดเป้าถ้าไม่เบี่ยงเบนและหลงประเด็น ชี้สีขาว แล้วเรียกสีขาว คนก็เข้าใจ แต่ชี้สีดำแล้วเรียกสีขาว แล้วจะมาบอกว่า “ผมเรียกอย่างนี้” ก็จนใจที่จะสื่อสารกันได้ครับ ในข้อสงสัยและคำตอบมีหลากกรรมหลายวาระที่พบว่าสมมุติสัจจะของเราทั้งคู่ไม่ตรงกัน ถูกของคุณ.
แต่ในข้อเขียนของท่านมิได้กล่าวถึง “ศีล” เลยแม้แต่น้อยนิด ของท่านกล่าวไปในช่วงที่ 2 ต่อที่ 3 เลย คือสมาธิและปัญญา ผมวนเวียนอยู่ในความทุกข์ เดินเข้าเดินออกอยู่กับครูบาอาจารย์มานานยังไม่มีปัญญารักษาศีลให้บริสุทธิ์ ได้เลย สมาธิและปัญญายังไม่เป็นที่พึ่งแก่ตัวเองเลย
อาตมาขอฝากพระสูตรนี้นะ
อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก อาสิงสวรรค
๖. กัญจนขันธชาดก ว่าด้วยการบรรลุธรรมอันเกษม
พระบรมศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า โย ปหฏฺเฐน จิตฺเตน ดังนี้.
ได้ยินว่า กุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีผู้หนึ่ง ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว บวชถวายชีวิตในพระศาสนา คือพระรัตนตรัย. ครั้งนั้น อาจารย์และอุปัชฌาย์ของเธอ กล่าวสอนถึงศีลว่า ผู้มีอายุ ที่ชื่อว่าศีล อย่างเดียวก็มี สองอย่างก็มี สามอย่างก็มี สี่อย่างก็มี ห้าอย่างก็มี หกอย่างก็มี เจ็ดอย่างก็มี แปดอย่างก็มี เก้าอย่างก็มี ที่ชื่อว่าศีลมีมากอย่าง นี้เรียกว่า จุลศีล นี้เรียกว่า มัชฌิมศีล นี้เรียกว่า มหาศีล นี้เรียกว่า ปาฏิโมกขสังวรศีล นี้เรียกว่า อินทริยสังวรศีล นี้เรียกว่า อาชีวปาริสุทธิศีล นี้เรียกว่า ปัจจยปฏิเสวนศีล.
ภิกษุนั้นคิดว่า ขึ้นชื่อว่า ศีลนี้มีมากยิ่งนัก เราไม่อาจสมาทานประพฤติได้ถึงเพียงนี้ ก็บรรพชาของคนที่ไม่อาจบำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ได้ จะมีประโยชน์อะไร. เราจักเป็นคฤหัสถ์ ทำบุญมีให้ทานเป็นต้น เลี้ยงลูกเมีย ครั้นคิดอย่างนี้แล้ว ก็เรียนอาจารย์และอุปัชฌาย์ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมไม่อาจรักษาศีลได้ เมื่อไม่อาจรักษาศีลได้ การบรรพชาก็จะมีประโยชน์อะไร? กระผมจะขอลาสิกขา โปรดรับบาตรและจีวรของท่านไปเถิด.
ลำดับนั้น อาจารย์และอุปัชฌาย์จึงบอกกะภิกษุนั้นว่า ผู้มีอายุ เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอจงไปถวายบังคมพระทศพล ดังนี้แล้ว พาเธอไปยังธรรมสภาอันเป็นที่ประทับของพระศาสดา.
พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นภิกษุนั้น ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพาภิกษุผู้ไม่ปรารถนา (บรรพชาเพศ) มาหรือ? ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ภิกษุนี้บอกว่า เธอไม่อาจรักษาศีลได้ จึงมอบบาตรและจีวรคืน เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายจึงพาเธอมา.
พระบรมศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหตุไร พวกเธอจึงได้บอกศีลแก่ภิกษุนี้มากนักเล่า ภิกษุนี้อาจรักษาได้เท่าใด ก็พึงรักษาเท่านั้นแหละ ตั้งแต่นี้ไป พวกเธออย่าได้พูดอะไรๆ กะภิกษุนี้เลย ตถาคตเท่านั้นจักรู้ ถึงการที่ควรทำ แล้วตรัสกะภิกษุนั้นว่า มาเถิดภิกษุ เธอจะต้องการศีลมากๆ ทำไมเล่า เธอจักไม่อาจเพื่อจะรักษาศีล ๓ ประเภทเท่านั้นหรือ?
ภิกษุนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ข้าพระองค์อาจรักษาได้ พระเจ้าข้า.
มีพระพุทธดำรัสว่า ถ้าเช่นนั้น ตั้งแต่บัดนี้ เธอจงรักษาทวารทั้ง ๓ ไว้ คือกายทวาร วจีทวาร มโนทวาร อย่ากระทำกรรมชั่วด้วยกาย อย่ากระทำกรรมชั่วด้วยวาจา อย่ากระทำกรรมชั่วด้วยใจ ไปเถิด อย่าสึกเลย จงรักษาศีล ๓ ข้อ เหล่านี้เท่านั้นเถิด.
ด้วยพระพุทธดำรัสเพียงเท่านี้ ภิกษุนั้นก็มีใจยินดี กราบทูลว่า ดีละ พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จักรักษาศีล ๓ เหล่านี้ไว้ ดังนี้แล้ว ถวายบังคมพระศาสดา ได้กลับไป พร้อมกับอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ทั้งหลาย.
เมื่อเธอบำเพ็ญศีลทั้ง ๓ เหล่านั้นอยู่นั่นแล จึงได้สำนึกว่า ศีลที่อาจารย์และอุปัชฌาย์บอกแก่เรา ก็มีเท่านี้เอง แต่ท่านเหล่านั้นไม่อาจให้เราเข้าใจได้ เพราะท่านไม่ใช่พระพุทธเจ้า. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงจัดศีลทั้งหมดนี้เข้าไว้ในทวาร ๓ เท่านั้น ให้เรารับเอาไว้ได้ เพราะพระองค์เป็นพระพุทธเจ้า ทรงรู้ดี (และ) เพราะพระองค์เป็นพระธรรมราชาชั้นยอด พระองค์ทรงเป็นที่พำนักของเราแท้ๆ ดังนี้ แล้วเจริญวิปัสสนา ดำรงอยู่ในพระอรหัตผล โดย ๒-๓ วันเท่านั้น.
ภิกษุทั้งหลายทราบความเป็นไปนั้นแล้ว ประชุมกันในธรรมสภา ต่างนั่งสนทนาถึงพระพุทธคุณว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ได้ยินว่า ภิกษุนั้นกล่าวว่า ไม่อาจรักษาศีลทั้งหลายได้ กำลังจะสึก พระศาสดาทรงย่นย่อศีลทั้งหมดโดยส่วน ๓ ให้เธอรับไว้ได้ ให้บรรลุพระอรหัตผลได้ โอ ขึ้นชื่อว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอัจฉริยมนุษย์.
พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร?
ครั้นพวกภิกษุกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ภาระแม้ถึงจะหนักยิ่ง เราก็แบ่งโดยส่วนย่อยให้แล้ว เป็นดุจของเบาๆ แม้ในปางก่อน บัณฑิตทั้งหลายได้แท่งทองใหญ่ แม้ไม่อาจจะยกขึ้นได้ ก็แบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆ แล้วยกไปได้ ดังนี้แล้ว
ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี. พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นชาวนาอยู่ในหมู่บ้านตำบลหนึ่ง.
วันหนึ่ง กำลังไถที่นาอยู่ในเขตบ้านร้างแห่งหนึ่ง. แต่ครั้งก่อนในบ้านหลังนั้น เคยมีเศรษฐีผู้สมบูรณ์ด้วยสมบัติผู้หนึ่ง ฝังแท่งทองใหญ่ขนาดโคนขา ยาวประมาณ ๔ ศอกไว้ แล้วก็ตายไป. ไถของพระโพธิสัตว์ไปเกี่ยวแท่งทองนั้น แล้วหยุดอยู่.
พระโพธิสัตว์คิดว่า คงจะเป็นรากไม้ จึงคุ้ยฝุ่นดู เห็นแท่งทองนั้นแล้ว ก็กลบไว้ด้วยฝุ่น แล้วไถต่อไปทั้งวัน ครั้นดวงอาทิตย์อัสดงแล้ว จึงเก็บสัมภาระมีแอกและไถเป็นต้น ไว้ ณ ที่สมควรแห่งหนึ่ง คิดว่า จักแบกเอาแท่งทองไป ไม่สามารถจะยกขึ้นได้ เมื่อไม่สามารถจึงนั่งลง แบ่งทองออกเป็น ๔ ส่วน โดยคาดว่า จักเลี้ยงปากท้องเท่านี้ ฝังไว้เท่านี้ ลงทุนเท่านี้ ทำบุญให้ทานเป็นต้นเท่านี้. พอแบ่งอย่างนี้แล้ว แท่งทองนั้นก็ได้เป็นเหมือนของเบาๆ. พระโพธิสัตว์ยกเอาแท่งทองนั้นไปบ้าน แบ่งเป็น ๔ ส่วน กระทำบุญมีให้ทานเป็นต้น แล้วก็ไปตามยถากรรม.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาดังนี้
ครั้นได้ตรัสรู้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
นรชนผู้ใด มีจิตร่าเริงแล้ว มีใจเบิกบานแล้ว บำเพ็ญธรรมเป็นกุศล เพื่อบรรลุความเกษมจากโยคะ นรชนนั้น พึงบรรลุความสิ้นสังโยชน์ทุกอย่างได้โดยลำดับ. ดังนี้
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปหฏฺเฐน ได้แก่ปราศจากนิวรณ์.
บทว่า ปหฏฺฐมนโส ความว่า เพราะเหตุที่มีจิตปราศจากนิวรณ์นั่นแล จึงชื่อว่ามีใจเบิกบานแล้ว เหมือนทองคำ คือเป็นผู้มีจิตรุ่งเรือง สว่างไสวแล้ว.
พระบรมศาสดาทรงยังเทศนาให้จบลงด้วยยอด คือพระอรหัต ด้วยประการดังนี้.
แล้วทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดกว่า
บุรุษผู้ได้แท่งทองในครั้งนั้น ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
-----------------------------------------------------
.. อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก อาสิงสวรรค ๖. กัญจนขันธชาดก ว่าด้วยการบรรลุธรรมอันเกษม จบ.
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=369&Z=374- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่
DhammaPerfect@yahoo.com ศีลทั้งหมดรวมลงที่ทวารทั้งสาม คือ กาย วาจาและใจ จึงขอเพียงมีสติรักษาใจอย่างเดียวถือได้ว่าได้รักษาศีลทั้งหมดแล้ว
นอกจากนั้นก็ยังมีนักเขียนท่านอื่นทยอยเขียนออกมาเรื่อย ๆ แต่ทุกฉบับล้วนได้รับการ “ปฏิเสธ” จากสำนักมาตรฐานของวัดป่าหลายแห่ง เพราะท่านผู้แต่งหนังสือ “เด็ดยอด” ของการปฏิบัติ โดยไม่ได้ใส่ใจ “พื้นฐาน คือศีล และสมาธิ” หนังสือหลายฉบับยังกล่าวพรรณาถึงลักษณะอาการแห่งการบรรลุความทุกข์ หรือบรรลุธรรมชั้นต่าง ๆ ว่ามีลักษณะและกริยาเช่นใดทั้งโดยตรงและโดยอ้อมที่ส่อเจตนาให้ผู้อ่านเข้าใจว่าท่านผู้แต่งหนังสือเอง “บรรลุ” แล้ว เช่นเดียวกันกับท่าน แต่พอถูกถามจี้จุดตรง ๆ ก็ย้อนผู้ถามในลักษณะเดียวกันนี้ว่า “คำถามนี้ไม่สมควรถามลองพิจารณาดูให้รอบคอบหน่อยนะอีกอย่างถ้าคุณได้คำตอบจะส่งผลให้คุณเป็นหรือไม่เป็นอะไร?” มันไม่ได้สำคัญที่ว่าถ้าผมได้คำตอบแล้วจะมีใครเป็นอะไร หากแต่สำคัญตรงที่ อาการที่ท่านว่าอย่างนั้น “มันเป็นของจริงหรือเปล่า?” เป็นเครื่องวัดการปฏิบัติได้จริงหรือเปล่า? มีใครที่รับรองได้จริง ๆ หรือ? ก็เท่านั้นเอง! เพราะถ้าเป็นจริงอย่างท่านว่าก็แล้วกันไป โลกจะได้เข้าใจและมั่นใจ (หรือเปล่า) ว่าการบรรลุนั้น อาการเป็นแบบนี้นี่เอง แต่ถ้ามันไม่จริง “ปาราชิก” ก็เป็นเรื่องของท่าน การหาบุคคลเพื่อยืนยันในความถูกต้องในผลของการปฏิบัติธรรมอาตมาขอแนะนำให้อ่านพระสูตรนี้นะ
อินทขีลสูตร
ผู้รู้ตามเป็นจริง ย่อมรู้ผู้อื่นว่ารู้หรือไม่รู้
[๑๗๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมไม่รู้ชัด
ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อม
ต้องมองดูหน้าของสมณะหรือพราหมณ์อื่นว่า ท่านผู้นี้ เมื่อรู้ ย่อมรู้แน่ เมื่อเห็น ย่อมเห็นแน่
เปรียบเหมือนปุยนุ่นหรือปุยฝ้าย เป็นของเบา คอยจะลอยไปตามลม บุคคลวางไว้ที่ภาคพื้นอัน
ราบเรียบแล้ว ลมทิศบูรพา พึงพัดปุยนุ่นหรือปุยฝ้ายนั้นไปทางทิศประจิมได้ ลมทิศประจิมพึงพัด
เอาไปทางทิศบูรพาได้ ลมทิศอุดรพึงพัดเอาไปทางทิศทักษิณได้ ลมทิศทักษิณพึงพัดเอาไปทางทิศ
อุดรได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะปุยนุ่นหรือปุยฝ้ายนั้นเป็นของเบาฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกข-
*นิโรธคามินีปฏิปทา สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมต้องมองดูหน้าของสมณะหรือพราหมณ์
อื่นว่า ท่านผู้นี้ เมื่อรู้ ย่อมรู้แน่ เมื่อเห็น ย่อมเห็นแน่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะไม่เห็น
อริยสัจ ๔ ฉันนั้นเหมือนกัน.
[๑๗๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งย่อมรู้ตามความ
เป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่
ต้องมองดูหน้าของสมณะหรือพราหมณ์อื่นว่า ท่านผู้นี้ เมื่อรู้ ย่อมรู้แน่ เมื่อเห็น ย่อมเห็นแน่
เปรียบเหมือนเสาเหล็กหรือเสาหินมีรากลึก เขาฝังไว้ดีแล้ว ไม่หวั่นไหว ไม่เอนเอียง ถึงแม้
ลมฝนอย่างแรงจะพัดมาแต่ทิศบูรพา ... ทิศประจิม ... ทิศอุดร ... ทิศทักษิณ ก็ไม่สะเทือนสะท้าน
หวั่นไหว ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะรากลึก เพราะเสาหินเขาฝังไว้ดีแล้ว ฉันใด สมณะ
หรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินี-
*ปฏิปทา สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ไม่ต้องมองดูหน้าของสมณะหรือพราหมณ์อื่นว่า ท่านผู้นี้
เมื่อรู้ ย่อมรู้แน่ เมื่อเห็น ย่อมเห็นแน่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะเห็นอริยสัจ ๔ ดีแล้ว
ฉันนั้นเหมือนกัน อริยสัจ ๔ เป็นไฉน? คือ ทุกขอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า
นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
หรือในพุทธธรรมฉบับสมบูรณ์ของท่านเจ้าคุณประยุทธ(ป.อ.ประยุตฺโต)ใน การทำหน้าที่ของกัลยาณมิตร หน้า733(ตามโปรแกรมอ่าน)หรือ642(ในหน้าหนังสือ)และหลักศรัทธาโดยสรุป หน้า739(647)และพุทธพจน์แสดงหลักศรัทธาหน้า742(650)ในนั้นมีการกล่าว
ถึงข้อความในพระสูตรต่างๆดังท่านได้อ้างอิงไว้ซึ่งถ้าสรุปตามประสาอาตมาจะมีความหมายประมาณว่า''การที่คนเราขณะรับประทานอาหารนั้นทำไมจะต้องไปถามคนอื่นด้วยว่าสิ่งที่เรากินน่ะเราอร่อยไหม และเมื่อรับประทานจนพอแล้วยังต้องไปถามคนอื่นเพื่อให้เขามารับรองยืนยันว่าเราอิ่มหรือไม่อิ่ม? สิ่งนี้มันรู้ได้เฉพาะตนมิใช่หรือ?''
และที่อาตมาไม่ยกข้อธรรมหรือกล่าวถึงครูบาอาจารย์นั้นก็เพื่อหลีกเลี่ยงการถกเถียงจนลามไปเป็นกรณีย์พิพาทจนมีการตั้งอธิกรณ์ขึ้นมาตามที่เป็นข่าวนั่นแหละ อีกอย่างธรรมะครูบาอาจารย์แต่ละองค์นั้นย่อมทรงคุณค่าตามคุณแห่งสาวกของพระศาสดาเหนือเศียรเกล้าทั้งสิ้นหากเรานำมาเป็นข้อตัดสินในมุมมองของแต่ละคนซึ่งเห็นไม่ตรงกันข้อเสียย่อมตกที่เราเป็นแน่แท้และในความเห็นของอาตมานักมวยในค่ายๆหนึ่งเรียนมาเหมือนกันหมดทุกกระบวนท่าและเคล็ดวิชาแต่พอขึ้นชกบนเวทีไม่มีรายไหนได้รับบาดแผลตรงกันสักรายเดียวบ้างคิ้วแตก,บ้างปากเจ่อ,บ้างหัวปูด,บ้างดั้งหัก มีแต่ผลเท่านั้นที่ตรงกันคือชนะก็ได้รางวัลไปใครแพ้ก็ไปฝึกมาใหม่
ท่านรู้โดยอาศัยเจโตฯ หรือท่าน “ทักจิต”
หากมีใครถามอาตมาว่า"ทักจิตหรือ"ถ้าเป็นการพูดคุยต่อหน้าอาตมาจะตอบว่าทักจิตทักเจิตบ้าบอคอแตกอะไร เราไม่ได้เรียนมาทางนี้ และที่เรียนมามันก็ไม่มีของแถมเป็นสิ่งนี้
แต่นี่เป็นภาษาเขียนจึงต้องให้เหมาะสมกับความเป็นสาธารณะหน่อย คำตอบจึงได้ดังนี้ "อาตมามิได้ทักจิตดอกเพียงแต่อาศัยการคำนวณแบบบ้านๆทั่วไปแหละ ในจากน้ำเสียง และท่วงทำนองที่คุณใช้ถาม และเมื่อผิดก็ขออภัยด้วย"
ส่วนคำถามที่ถามถึงความรู้สึกของคุณเมื่อคุณตอบว่ารู้สึกเฉยๆนั่นก็ดีแล้วและคำถามมันก็หมดความหมายในตัวอยู่แล้วด้วย
สุดท้ายอาตมาขอขอบคุณมากที่ให้เกียรติวิจารย์นะ,รู้สึกยินดีที่ได้คุยกับคุณ.
คุยกันได้เรื่อยๆนะ จะเล่าเรื่องการภาวนาของคุณมาเป็นวิทยาทานบ้างก็ได้
เจริญธรรม.