เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย

ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย => นักลงทุน การเงิน การธนาคาร => ข้อความที่เริ่มโดย: วายุ ที่ วันที่ 04 กันยายน 2010, 15:50:47



หัวข้อ: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 04 กันยายน 2010, 15:50:47
     "เงิน กับ เวลา"
เมื่อเอาคำถามที่ว่า  ระหว่างเงินกับเวลา  คุณว่าอะไรสำคัญกว่ากัน  ไปถามกับคนทั่วๆไป  ผมเชื่อว่า  คำตอบที่ได้  น่าจะแตกต่างกัน  ด้วยเหตุผลที่ว่า  เราขาดอะไร  เราก็จะให้ความสำคัญกับสิ่งนั้น  บางคนที่นอนป่วยอยู่ใน รพ. ก็ว่าเวลาสำคัญ  เพราะเขาเหลือเวลาไม่มากนัก  บางคนยากจน  ก็ว่าเงินสำคัญกว่า  แต่แท้จริงแล้ว  "เวลา"  ต่างหากที่สำคัญกว่า  ทำไมผมจึงบอกอย่างนั้น
     สมมุติว่า  เราจะเดินทางจากเชียงรายไปกรุงเทพ  ถ้าเราเดินทางโดยรถทัวร์  เราจะใช้เวลาหลายชั่วโมง  แต่เราจ่ายค่าเดินทางไม่เกิน 1000 บาท  แต่ถ้าเราไปเครื่องบิน  เราจะใช้เวลาไม่กี่นาที  แต่เราต้องใช้เงินหลายพัน  นั่นเป็นเพราะว่า  เราได้"ซื้อ"เวลานั่นเอง  สิ่งสำคัญก็คือ  หากเป็นเงินทองแล้ว  เราสามารถเก็บไว้ใช้ในอนาคตได้  แต่หากเป็นเวลา  เราทุกคน  ถูกบังคับให้ใช้ให้หมดไปในทุกขณะ  ไม่สามารถเก็บเวลาไว้ใช้ในอนาคตได้เลย  เพราะฉะนั้นแล้ว  เวลาจึงมีค่ามากมายยิ่ง  ถ้าชีวิตของเรานี้  มัวแต่ทำงานเพื่อหาเงิน  บางคนอาจทำงานทั้งชีวิตเพื่อหาเงิน จนลืมนึกถึงสิ่งที่สำคัญกว่าเงิน  นั่นก็คือ "เวลา" นั่นเอง  เพราะคนที่ทำงานนั้น  ได้เอาเวลาที่เรามีอยู่  ไปแลกกลับมาเป็นเงินแล้ว  ชีวิตของเรา  จะเหลือเวลาที่มีค่า  เก็บไว้ใช้ในสิ่งที่เราอยากทำได้อีกสักเท่าไหร่  ผมว่า  ถ้าเราได้ใช้เวลาก่อนตาย  ไปกับสิ่งที่เราอยากทำแล้ว  ชีวิตคงมีความสุขมาก  ยิ่งเราเหลือเวลามากเท่าไหร่  เราก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น
     เพราะฉะนั้น  การลงทุน  จึงเป็นตัวช่วยอย่างหนึ่งที่จะทำให้เรามีเวลาเหลือมากขึ้น  มันจะดีขนาดไหน  หากเรามีชีวิตที่เหลืออยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานอีก  ซึ่งเราสามารถมีอิสระทำอะไรก็ได้ที่อยากจะทำ  ตัวอย่างเช่น  คนที่มีหอพักให้เช่าสัก 10 ห้อง  ค่าเช่าห้องละ 1500  รวมแล้วได้เดือนละ 15000  ตกแล้ว  มีรายได้วันละ 500 บาทโดยไม่ต้องทำงานอีกเลย  ถ้าราคาอาหารแพงขึ้น  เราก็สามารถขึ้นค่าเช่าตามได้  นี่ก็เป็นการมีชีวิตอิสระ  แต่การลงทุนแบบนี้  ต้องใช้ทุนมาก  หากใครมีกำลังลงทุนก็ดีครับ  แต่ถ้ามีเงินน้อย  ค่อยๆเก็บ  แล้วก็ลงทุนไปเรื่อยๆในหุ้นก็ใช้ได้เหมือนกัน  เพราะลงทุนหุ้น  ใช้เงินทีละไม่มาก  ทยอยซื้อได้  และแบ่งสามารถแบ่งขายได้เมื่อเราเดือดร้อนต้องการเงินก้อน  ช่วงที่ถือหุ้นอยู่  เราก็ได้รับเงินปันผลจากกำไรที่บริษัททำได้  และถ้าบริษัทขยายตัวมากขึ้น  ราคาหุ้นก็มักจะเพิ่มขึ้น  ทำให้ผู้ถือหุ้นได้กำไรจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น  เรามาเป็นนักลงทุนกันเถอะครับ  แล้วมีความสุขในบั้นปลาย  กับ"เวลา"ที่เหลืออยู่ของเรา


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Freedom ที่ วันที่ 04 กันยายน 2010, 17:31:06
ติดตามแนวคิดของท่านวายุ มาตั้งแต่กระทู้ ที่อยู่ในห้อง Hobby ( ที่พึ่งถูกลบไป )
พอดีสนใจ และ โดยส่วนตัวก็อยู่ด้าน I เป็นนักลงทุน ( รายเล็กๆ ) อยู่ด้วยเหมือนกัน  ;)
จึงขออนุญาติแจมกระทู้ แอบเรียนรู้วิทยายุทธจาก ท่านวายุ ด้วยอีกซักคนนะครับ  :) :)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 04 กันยายน 2010, 17:44:40
          "คนจน  คนรวย"
ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง  หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่น่าอยู่  แต่น่าเสียดายที่  เวลาฝนไม่ตก  ทุกคนในหมู่บ้านจะไม่มีน้ำใช้  ผู้ใหญ่บ้านจึงประกาศหาคนที่จะรับหน้าที่นำน้ำมาให้คนในหมู่บ้านใช้  มีชาย 2 คนประกาศตัวรับงานนี้  ซึ่งผู้ใหญ่บ้านก็เห็นว่าดี  เพราะหวังว่าเมื่อมีคนแข่งขันกันทำงาน  จะทำให้น้ำมีราคาเป็นธรรมและมีคุณภาพที่ดี  เมื่อได้งานเป็นที่เรียบร้อย  ชายคนแรก(1)และชายคนที่สอง(2)ก็เริ่มลงทุนทันที  ทั้งสองคนนี้  มีเงินลงทุนเริ่มแรกที่หนึ่งล้านบาทเท่ากัน  1 นำเงินไปซื้อรถปิคอัพและถังน้ำใบใหญ่เพื่อใช้ตวงน้ำและบรรทุกไปส่งให้คนในหมู่บ้าน
     ทุกๆวัน 1 จะตื่นก่อนใครในหมู่บ้านเพื่อไปนำน้ำจากแหล่งน้ำที่อยู่ไกลออกไปมาใส่ในตุ่มของทุกบ้านจนเต็ม  ถึงแม้จะเหนื่อย  แต่ 1 ก็มีความสุขกับงานดี  เพราะมีเพียงเขาและ 2 เพียงสองคนเท่านั้นที่ได้รับงานนี้  ส่วน 2 นำเงินไปซื้อปั๊มน้ำ  และจ้างคนมาวางท่อ จากแหล่งน้ำมาจนถึงหมู่บ้านและต่อท่อไปตามบ้านต่างๆ  เมื่อเดินท่อพร้อมแล้ว 2 ก็ประกาศว่า ทุกคนจะสามารถใช้น้ำได้ทุกเวลาตลอดทั้งวัน  โดยไม่ต้องรอให้เขาไปตักมาให้  และใช้ได้ทุกวันด้วย  ในขณะที่ 1 ไม่สามารถนำน้ำมาให้ชาวบ้านได้ในวันที่เขาหยุด
     1  ไม่ยอมแพ้  แก้เกมด้วยการไปซื้อถังน้ำเพิ่ม  เพื่อบรรทุกให้มากขึ้นในแต่ละรอบ  และพยายามไม่หยุดงาน  เพราะถ้าเขาหยุดงาน  รายได้ของเขาจะหยุดไปด้วย
     ในขณะที่ 2 เห็นว่า  ถ้าหมู่บ้านนี้ต้องการน้ำ  หมู่บ้านอื่นก็คงต้องการน้ำเหมือนกัน  2 จึงไปติดต่อที่หมู่บ้านอื่น  เพื่อนำน้ำไปให้คนในหมู่บ้านอื่นใช้  และเขาก็ได้งานเพิ่มขึ้น  ทุกๆวันที่ผ่านไป  ทุกครั้งที่ชาวบ้านเปิดน้ำของ 2 ใช้  เงินก็ไหลมาสู่กระเป๋าของเขาตลอดเวลา   2 ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยที่ไม่ต้องไปทำงานอีกเลย  ในขณะที่ 1 มีปัญหาเรื่องเงินไปจนวันตาย



     เรื่องเล่าเรื่องนี้จบลงพร้อมกับคำถามของผมที่ว่า  ตอนเริ่มต้น  คนทั้งคู่มีทุนเท่ากัน  แต่เมื่อเวลาผ่านไป  ทำไมคนทั้งสองจึงมีความเป็นอยู่ที่ต่างกัน  เรื่องทั้งหมดนั้น  ผมสรุปได้ว่า  เป็นเพราะวิธี"คิด"ของคนทั้งสองต่างกัน  จึงทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ต่างกัน   แม้ว่าเขาจะทำธุรกิจเดียวกัน  เพราะฉะนั้น  เราต้องคิดให้ได้ว่า  เราจะต้องไม่ทำงานเพื่อเงิน  แต่เราต้องคิดให้เป็น  และสร้างทรัพย์สินที่ช่วยให้เราไม่ต้องทำงานไปตลอดชีวิต  เหมือนกับเรื่องที่ได้อ่านไป
     แท้จริงแล้ว  คนจนและคนรวยต่างกันแค่วิธีคิดเท่านั้น  ถ้าคุณคิดเหมือนคนรวยคิดคุณก็จะรวย  เพราะความคิด  กำหนดการกระทำของคน  ผมเคยเห็นคนจนที่มีเงินมากมาแล้ว  ความหมายก็คือ  เขามีเงินมากก็จริง  แต่เขาไม่รู้วิธีทำให้เงินงอกเงย  และไม่รู้จักวิธีใช้ให้เงินไปทำงานแทนเขา  เขาจึงต้องทำงาน  และเก็บเงินไปเรื่อยๆ  โดยที่ชีวิตก็รู้จักอยู่แค่นั้น  บางคนร้ายไปกว่านั้น  เขามีโชคโดยการถูกหวยรางวัลใหญ่  แต่พอเวลาผ่านไปไม่นาน  เงินเขาก็หมด  และกลับมาเป็นคนจนอีกครั้ง  เพราะฉะนั้นแล้ว  ในสมัยนี้  ความฉลาดทางการเงินสำคัญมาก  เราต้องรู้ว่า  อะไรคือทรัพย์สิน  และเราจะใช้ทรัพย์สินเลี้ยงตัวเราได้อย่างไร  หรือใช้ให้เงิน  ไปทำงานแทนเราได้อย่างไร  แล้วเราจะไม่เหนื่อยมาก  การมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงาน  ผมว่า  เป็นความวิเศษสุดของชีวิตแล้ว


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวเริงปอย ที่ วันที่ 05 กันยายน 2010, 04:18:54
ติดตามท่านวายุมาด้วย ตั้งแต่ห้องHobby โดนปิดอะ ผมก็ลงทุนในหุ้นตั้งแต่อยู่ มหาวิทยาลัยปีสีี่ละ ผ่านมาหกปีวันนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวจนตกผลึกเป็น Value invester ตามแบบ warent E. buffet และ อ. นิเวศน์ เหมวชิรวรากรณ์ แล้วครับ ถึงขั้นลาออกจากงานประจำเงินเดือนครึ่งแสน เพื่อมาทำสิ่งนี้โดยเฉพาะ สิ่งที่ผมอยากบอกทุกท่านก็คือ      "เวลามีค่าดั่งทอง แต่ทองซื้อเวลาไม่ได้"


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: AIT ที่ วันที่ 05 กันยายน 2010, 14:06:53
ผมก็พยายามอยากจะทำให้ได้ตามความคิดของท่านวายุอ่ะครับ แต่ทุกวันนี้ก็ยังต้องทำงานแบบเอาแรงเข้าทุบย่างเดียวอยู่เลยครับ แย่เลย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 05 กันยายน 2010, 16:27:06
"ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป"
     ถ้าจะให้แยกยุคสมัยของมนุษย์ออกมา  เราสามารถแยกออกมาได้เป็น 4 ยุคใหญ่ๆคือ
1.ยุคมนุษย์หิน  ในยุคนั้น  มีแต่คนจน  ทุกคนต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพตัวเองด้วยการล่าสัตว์  ไม่มีใครมีทรัพย์สิน  ถ้าอยากจะได้อะไรต้อง"ทำเอง"เท่านั้น  ไม่มีใครทำให้ใครได้
2.ยุคเกษตรกรรม  ยุคนี้มีคนอยู่ 2 พวกคือ  คนจนกับคนรวย  คนรวยคือคนที่มีนามีไร่มากมาย  และมีคนจนทำงานเป็นคนงานในไร่ให้  ส่วนคนจนก็คือคนที่ทำงานให้คนรวย  หรือไม่ก็ทำนาทำไร่เอง  จะเห็นได้ว่า  ยุคสมัยนี้  คนส่วนมาก  นิยมลงทุนด้วยการมีลูกเยอะๆเป็นครอบครัวใหญ่  เพื่อหวังว่า  จะมีคนมาช่วยทำนาและเลี้ยงดูยามแก่ชรา  และความคิดในการลงทุนมีลูกมากๆเหล่านั้น  ยังตกทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ด้วย
3.ยุคอุตสาหกรรม  ยุคนี้มีคนจน  คนชั้นกลาง  และคนรวย  ในยุคนี้  คนที่นิยมลงทุนด้วยการมีลูก  เริ่มจะใช้ไม่ได้แล้ว  เนื่องจากว่า  การเลี้ยงดูลูกคนหนึ่ง  เสียค่าใช้จ่ายแพงมาก  ถ้าเรานำค่าใช้จ่ายมาคำนวณดูจะพบว่า  หมดเงินไปเป็นล้าน  กว่าที่เด็กคนหนึ่งจะเติบโตจนเลี้ยงดูตัวเองได้  ซ้ำร้าย...เมื่อลูกเราได้เติบโตขึ้น  ก็กลับไม่สามารถมาเลี้ยงดูเราซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดได้  บางคน...ขนาดโตแล้วก็ยังไม่พ้นเราเลย  เพราะฉะนั้น  คำแนะนำที่ให้มีลูกมากๆ  จึงเป็นคำแนะนำของคนยุคเก่าซึ่งล้าสมัยไปแล้ว  ในยุคนี้  คนจนก็คือพวกทำเกษตรกรรม  หรือเป็นพวกที่ไม่มีทรัพย์สิน ส่วนคนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นมา  ก็คือคนที่ทำงานให้กับเจ้าของกิจการ  ส่วนคนรวย  ก็คือคนที่มีกิจการและมีลูกจ้างทำงานให้
4.ซึ่งก็คือยุคปัจจุบัน  ยุคนี้จะมีชนชั้นเพิ่มขึ้นมาอีก 1 กลุ่ม  นั่นก็คือ  "มหาเศรษฐี"  ยุคนี้เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร  จะเห็นได้ว่า  ยุคนี้  การสื่อสารทำได้รวดเร็วและมีราคาถูกกว่าเมื่อก่อนมาก  ยุคนี้  ข้อมูลคือสิ่งล้ำค่า  เพราะถ้าเราเพียงรู้อะไรบางอย่าง  ก็สามารถทำให้เรารวยได้แล้ว  เช่น  เรารู้ว่า  จะมีการตัดถนนผ่านทางนี้  เราคาดว่า  ที่ดินแถวนี้จะมีราคาสูงขึ้น  เราจึงเข้าไปซื้อ  แล้วรอเวลาที่จะเกิดโครงการจริงๆ  แค่นี้เราก็มีเงินเพิ่มมากขึ้น  จากราคาที่ดินที่สูงขึ้น  หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง  เราสนใจในการทำธุรกิจบางอย่าง  อาจจะเป็นค้าปลีก  ขายวัสดุก่อสร้าง  ทำปั๊มน้ำมัน  แต่เราไม่อยากทำเอง  อาจจะเป็นเพราะขี้เกียจหรือเราสร้างธุรกิจนั้นไม่เป็น  เราก็ใช้เวลาศึกษาบริษัทที่เขาทำอยู่แล้ว  ซึ่งเขาทำได้ดีมีกำไร  มีความเป็นมืออาชีพ  และเป็นยี่ห้อที่ใครๆก็รู้จักดี  เราก็ร่วมลงทุนกับเขาโดยการซื้อหุ้นที่มีอยู่ในตลาดหลักทรัพย์  ซึ่งการที่เราจะรู้ข้อมูลของบริษัทเหล่านั้น  สำหรับสมัยนี้แล้วเป็นเรื่องง่ายมาก  ข้อมูลมีอยู่มากมาย  และที่สำคัญ  ข้อมูลเหล่านั้นเป็นของ"ฟรี"เสียด้วย  เพราะฉะนั้นแล้ว  แค่เรารู้ข้อมูล  เราก็สามารถรวยได้แล้ว  จากข้อมูลที่รับรู้มา  แถมยังไม่ต้องปวดหัวไปกับการบริหารงานเอง  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแรงงาน  ต้นทุนสินค้า  การตลาด  การขนส่งสินค้าและอีกหลายๆอย่างที่การทำธุรกิจพึงมี  เพราะฉะนั้น  ถ้าเราเริ่มต้นลงทุนในทรัพย์สินตั้งแต่วันนี้  อนาคต...ความเป็นอยู่ของเรา  คงต้องดีกว่านี้แน่นอน  ด้วยความรู้ทางการเงิน  เราอย่ายึดติดกับคำแนะนำในยุคเก่า  ที่แนะนำให้มีลูกเยอะๆเดี๋ยวจะไม่ทันใช้  หรือต้องขยันจะได้รวย  หรือคำแนะนำอะไรก็แล้วแต่  ผมอยากแนะนำว่า  "ขยันผิดที่ สิบปีก็ไม่รวย"  เพราะความสำคัญมันอยู่ที่ทิศทางที่เราจะมุ่งไป  ไม่ใช่การเริ่มก่อนแล้วจะได้เปรียบ  เพราะการที่เราเริ่มก่อน  แต่เราไปผิดทิศ  เราก็ต้องเสียเวลาในการกลับลำอยู่ไม่น้อย  คำแนะนำสำหรับยุคนี้ก็คือ   "คุณควรจะหัดว่ายน้ำได้แล้ว  มิฉะนั้นคุณจะจมเหมือนก้อนหิน"    ขอบคุณทุกท่านที่สนใจครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Freedom ที่ วันที่ 05 กันยายน 2010, 16:36:01
ติดตามท่านวายุมาด้วย ตั้งแต่ห้องHobby โดนปิดอะ ผมก็ลงทุนในหุ้นตั้งแต่อยู่ มหาวิทยาลัยปีสีี่ละ ผ่านมาหกปีวันนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวจนตกผลึกเป็น Value invester ตามแบบ warent E. buffet และ อ. นิเวศน์ เหมวชิรวรากรณ์ แล้วครับ ถึงขั้นลาออกจากงานประจำเงินเดือนครึ่งแสน เพื่อมาทำสิ่งนี้โดยเฉพาะ สิ่งที่ผมอยากบอกทุกท่านก็คือ      "เวลามีค่าดั่งทอง แต่ทองซื้อเวลาไม่ได้"

แจ๋วเลย ได้เจอคนคอเดียวกันแล้ว ...  ;D ;D
ลงทุนในหุ้นตั้งแต่ปีสี่นี่ ปานนี้พอร์ท ไม่เบ่งบานออกดอกออกผล เต็มมือไปหมดแล้วเหรอครับเนี้ยะ  :D ( ปันผลของช่วงต้นเดือนที่ผ่านมานี่้ คงจะเปรมเลยซิท่า  ;D ;D ) ไงมีอะไรน่าสนใจ ก็แนะนำ แบ่งปันกันมั่งนะครับ...ในเชียงราย หาคนคุยด้วยเรื่องหุ้น การลงทุนนี่ยากดีจริงๆ :) :)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: giftland ที่ วันที่ 05 กันยายน 2010, 17:45:06
เราก็เล่นอยู่เหมือนกัน แต่ยังใหม่ในวงการ ใครยังเล่นไม่เป็นลองหัดเล่นใน click2win ดูก็ได้ ลองเล่นมาตั้งแต่อยู่ปีสองละ ความจริงในเชียงรายก็มีคนเล่นเยอะนะ แต่เค้าไม่ค่อยเปิดเผยง่ะ ที่เชียงรายเห็นมีอยู่ สองถึงสามbroker ;)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวเริงปอย ที่ วันที่ 05 กันยายน 2010, 22:06:33
ติดตามท่านวายุมาด้วย ตั้งแต่ห้องHobby โดนปิดอะ ผมก็ลงทุนในหุ้นตั้งแต่อยู่ มหาวิทยาลัยปีสีี่ละ ผ่านมาหกปีวันนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวจนตกผลึกเป็น Value invester ตามแบบ warent E. buffet และ อ. นิเวศน์ เหมวชิรวรากรณ์ แล้วครับ ถึงขั้นลาออกจากงานประจำเงินเดือนครึ่งแสน เพื่อมาทำสิ่งนี้โดยเฉพาะ สิ่งที่ผมอยากบอกทุกท่านก็คือ      "เวลามีค่าดั่งทอง แต่ทองซื้อเวลาไม่ได้"

แจ๋วเลย ได้เจอคนคอเดียวกันแล้ว ...  ;D ;D
ลงทุนในหุ้นตั้งแต่ปีสี่นี่ ปานนี้พอร์ท ไม่เบ่งบานออกดอกออกผล เต็มมือไปหมดแล้วเหรอครับเนี้ยะ  :D ( ปันผลของช่วงต้นเดือนที่ผ่านมานี่้ คงจะเปรมเลยซิท่า  ;D ;D ) ไงมีอะไรน่าสนใจ ก็แนะนำ แบ่งปันกันมั่งนะครับ...ในเชียงราย หาคนคุยด้วยเรื่องหุ้น การลงทุนนี่ยากดีจริงๆ :) :)
พอร์ตผมไม่ได้ใหญ่อะไรมากมายครับ ปันผลก็นิดหน่อย ปีสองปีแรกไปหลงระเริงกะหุ้นปั่น เล่นเก็งกำไรซะส่วนใหญ่ ขาดทุนไม่เป็นท่า พึ่งจะมาลงทุนแบบเน้นคุณค่าของกิจการเมื่อสองสามปีหลังนี่เอง ไม่หวือหวาแต่เติบโตอย่างมั่นคงมากบ้างน้อยบ้าง โดยส่วนตัวผมทำตามหลักเศษฐกิจพอเพียงของในหลวงมาปฎิบัติครับ ถ้าท่านเข้าใจหลักเศษฐรกิจพอเพียงของในหลวงอย่างถ่องแท้ การลงทุนในหุ้นจะไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หรือเป็นเรื่องที่มีไว้สำหรับคนรวยเพียงอย่างเดียวเลยครับ คนธรรมดาอย่างเราๆก็ประสบความสำเร็จได้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: [T][o][d]SaPhon ที่ วันที่ 06 กันยายน 2010, 01:24:34
น่าจะให้เครดิตหนังสือด้วยน่ะครับ มากจาก พ่อรวยสอนลูก ตอนเงินสี่ด้าน ผมอ่านทุกวัน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: MCL.Morchula shop ที่ วันที่ 06 กันยายน 2010, 12:10:20
สนใจค่ะ
มีใครใจดี แนะนำวิธี ขั้นตอนให้หน่อยได้ไหมค่ะ
แบบว่าอยากเล่นหุ้นแต่ไม่รู้เรื่องเลยอะค่ะ
เอาแบบไม่เสี่ยงนะค่ะ เห็นมีคนบอกว่า ต้องหุ้นทอง มันเป็นยังไงค่ะ
แล้วหุ้นแบบที่ง่าย ๆ ได้กำไรตลอดมีไหมค่ะ

ขอบคุณค่ะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: giftland ที่ วันที่ 06 กันยายน 2010, 12:41:41
สนใจค่ะ
มีใครใจดี แนะนำวิธี ขั้นตอนให้หน่อยได้ไหมค่ะ
แบบว่าอยากเล่นหุ้นแต่ไม่รู้เรื่องเลยอะค่ะ
เอาแบบไม่เสี่ยงนะค่ะ เห็นมีคนบอกว่า ต้องหุ้นทอง มันเป็นยังไงค่ะ
แล้วหุ้นแบบที่ง่าย ๆ ได้กำไรตลอดมีไหมค่ะ

ขอบคุณค่ะ
เราว่าอาจจะลองเล่นเป็นกองทุนรวม หุ้นกู้ มะก็bond รัฐบาลอ่ะ ถ้าไม่ชอบเสี่ยงมาก แต่การลงทุนในหุ้นมันมีเยอะมากหลายประเภท เริ่มต้นใช้เงินไม่มากหรอก ค่อยๆศึกษาเอา ลองเข้าไปถามโบรกชั้นสองธ.กรุงไทยหน้าโรงเรียนสันติ เอเชียพลัสที่ธ.กรุงเทพห้าแยกพ่อขุน ไม่ก็csg ที่ตรงข้ามเชียงรายมอล แต่อยู่ที่ไหนเปิดโบรกที่ไหนก็เล่นได้ทั่วไทย  ;)ไม่ยากขยันหาข้อมูลก็พอ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: MCL.Morchula shop ที่ วันที่ 06 กันยายน 2010, 20:20:48
ขอขอบคุณ  คุณ giftland ที่ให้คำแนะนำค่ะ เดี๋ยวจะลองไปติดต่อที่แนะนำมาดูนะค่ะ แต่ก็ต้องมีข้อมูล มาลองดูก่อนเนอะ เพื่อนสอบถามก็บ่มีตวยเนี้ยยย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: AIT ที่ วันที่ 06 กันยายน 2010, 21:47:18
ตอนทำงานใหม่ ๆ เคยสนใจอยู่ช่วง แต่ก็ลืม ๆ มันไป มาถึงเวลานี้อาจต้องกลับมาคิดใหม่ละครับ ขอบคุณท่านวายุที่จุดประกายอีกครั้ง อีกหน่อยมีอะไรคงต้องปรึกษาท่านวายุบ้างนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Freedom ที่ วันที่ 07 กันยายน 2010, 04:06:31
ขอขอบคุณ  คุณ giftland ที่ให้คำแนะนำค่ะ เดี๋ยวจะลองไปติดต่อที่แนะนำมาดูนะค่ะ แต่ก็ต้องมีข้อมูล มาลองดูก่อนเนอะ เพื่อนสอบถามก็บ่มีตวยเนี้ยยย

มีอะไรก็มาสอบถาม พูดคุยกันในบอร์ดนี้ก็ได้

( หากไปคนเดียวแล้วกลัวเขินทำอะไรไม่ถูกไม่มีใครไปด้วย เดี๋ยวผมไปส่งเอง ;D .... อยากเห็นคนเชียงรายรักการลงทุน เรียนรู้ในเรื่องนี้กันเยอะๆ )

แลกเปลี่ยนแนวคิด ประสบการณ์การลงทุน แชร์ความคิดคิดเห็นกันครับ  :) :)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวเริงปอย ที่ วันที่ 07 กันยายน 2010, 11:47:58
 
http://www.youtube.com/watch?v=BAE-g6rxW7g
http://www.youtube.com/watch?v=-qfmS-IqLK4
              ท่านไหนสนใจลงทุนแบบระยะยาวถือหุ้นเอาปันผลไม่ต้องสนใจภาวะเศษกิจครับ ดูแค่ผลประกอบการบริษัทก็พอ
              แต่หากสนใจเก็งกำไรซื้อถูกขายแพงเปลี่ยนตัวเล่นไปเรื่อยๆ ควรศึกษาจิตวิทยาการลงทุนให้ดีนะครับ รวมทั้งจังหวะการซื้อขายโดยดูได้จากข้อมูลที่โบรคเกอร์ที่ท่านสมัคร ส่วนตัวผมใช้โปรแกรม e-financeในการจับจังหวะซื้อขายครับ  

              ตอนนี้ในตลาดหุ้นหลายตัวเริ่มแพง ราคาปิดต่อกำไรสุทธิ(PE) ค่อนข้างสูง ซื้อขายด้วยความระมัดระวังให้มากนะครับ ช่วงนี้มีแต่ข่าวดีเต็มตลาดล่อแมงเม่าเข้ากองไฟมานักต่อนักแล้ว



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ModernChi ที่ วันที่ 07 กันยายน 2010, 12:06:49
สนใจครับ อยากข้อมูลเพิ่มจัง เคยเล่นมาบ้างแล้วครับ
และตอนนี้เล่น Click2Win อยู่ครับ เชียงรายมีโบกเกอร์ไรบ้างอ่ะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 07 กันยายน 2010, 16:07:12
"ตุ๊กแก"
     ช่วงนี้ผมเห็นกระแสตุ๊กแกแรงมาก  เลยอยากเล่าเรื่องตลกร้ายให้รู้อยู่เรื่องหนึ่ง  เรื่องมีอยู่ว่า
     ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในป่า  ชาวบ้านอยู่กันอย่างสงบมานาน  แต่แล้วจู่ๆวันหนึ่ง  มีชาย 2 คนท่าทางภูมิฐานเข้าไปยังหมู่บ้านแห่งนั้นแล้วประกาศว่า  เขาจะรับซื้อลิงทั้งหมด  ใครเอามาขายจะรับซื้อตัวละ 100 บาท   ชาวบ้านสนใจเป็นยิ่งนัก  ต่างคนต่างรีบเข้าป่าไปจับลิงมาขาย  เจ้าสัวก็รับซื้อไว้หมด  จนกระทั่งไม่มีคนเอามาขายแล้ว  เขาก็ประกาศอีกว่า  ถ้าใครเอามาขาย  จะให้ตัวละ 200  บาท  คราวนี้ชาวบ้านเข้าป่าไปลึกกว่าครั้งแรก  บางคนก็จับได้  บางคนก็จับไม่ได้    เมื่อไม่มีใครนำมาขายอีก  เจ้าสัวก็ประกาศว่า  เขาจะไปธุระสักระยะหนึ่งก่อน  แต่ถ้าช่วงที่เขาไม่อยู่  ให้มาติดต่อกับผู้ช่วยเขาได้  เขาจะรับซื้อตัวละ 500  บาท   พอเจ้าจากสัวไป   ชาวบ้านก็เข้าไปปรึกษากับผู้ช่วยเจ้าสัวว่า  เขาก็อยากได้เงิน  แต่ไม่รู้จะไปจับลิงที่ไหนแล้ว   ผู้ช่วยก็บอกกับชาวบ้านว่า  เอาอย่างนี้สิ   ผมจะขายลิงที่ผมมีให้คุณตัวละ 300  บาท  แล้วคุณก็เอาไปขายต่อได้ตัวละ 500  บาท  กำไรอื้อเลย  ชาวบ้านได้ยินดังนั้นก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย  ต่างคนต่างก็ลงทุนซื้อลิงกลับคืนมาจำนวนมากหวังได้กำไร  บางคนไม่มีเงินก็ไปกู้เขามาซื้อ   หลังจากที่ผู้ช่วยขายลิงจนหมด  เขาก็หายตัวไป  ส่วนเจ้าสัว  ก็ไม่ได้กลับมาที่หมู่บ้านนั้นอีก  คงเหลือไว้แต่ลิงที่เต็มหมู่บ้าน
     เรื่องนี้เป็นตลกร้ายที่ขำไม่ออกถ้ามันเกิดขึ้นกับเรา   ถ้าสมมุติว่า  ผมมีเงินมากพอ  และเลี้ยงฟาร์มตุ๊กแกยักษ์อยู่   ผมไม่รู้จะทำอย่างไรกับตุ๊กแกเหล่านั้น  ผมเลยตั้งตัวเป็นเจ้ามือ"ปั่น"ราคาตุ๊กแกให้เพิ่มสูงขึ้น  และเมื่อเห็นว่าตลาดเริ่มมีการเคลื่อนไหว  เขาก็จะขายตุ๊กแกเข้ามาในตลาดการซื้อขาย  พอขายหมดแล้ว   เขาก็จะไม่รับซื้ออีกต่อไป  โดยให้เหตุผลต่างๆที่จะไม่รับซื้อ  แล้วคนที่ลงทุนซื้อตุ๊กแกมาในราคาแพง  จะทำอย่างไร......
     เรื่องนี้ก็เปรียบได้กับหุ้น  ซึ่งมีนักพนันที่เรามองไม่เห็นตัวอยู่เป็นจำนวนมาก  นั่งรอคอยอยู่ริมสนาม  รอให้ใครบางคนเขี่ยลูก  แล้วหลังจากนั้น  พวกนักพนันเหล่านี้  ก็พร้อมที่จะกรูกันลงมาในสนาม  ฉีกทึ้งหุ้นกันคนละชิ้นสองชิ้น  เพราะมีความหวังว่า  จะมีคนที่"ฉลาดน้อยกว่า"มารับซื้อต่อ   ปัญหาก็คือ  ถ้าเขาหาคนมารับซื้อต่อจากเขาไม่ได้แล้ว  อะไรจะเกิดขึ้น   หลายคนก็คงต่างคนต่างทิ้งของเอาทุนคืน  เมื่อแย่งกันขาย  ก็ยิ่งตก  ยิ่งตก  ก็ยิ่งแย่งกันขาย  มันเลยทำให้  ทุกครั้งที่หุ้นปั่นหมดแรง  เราจะเห็นศพเกลื่อน  ด้วยเหตุผลนี้  จึงทำให้คนส่วนใหญ่เห็นว่าหุ้นเสี่ยง  นั่นเป็นเพราะว่า  เขาไม่รู้จักหุ้นดีพอ  แต่ถ้าหุ้นนั้น  ขึ้นด้วยผลประกอบการที่ดีขึ้น  ถึงแม้หุ้นจะตกลงมาเพราะความบ้าคลั่งกลัวขาดทุนของคน  เราก็คงไม่ค่อยเดือดร้อน  เพราะยังไงแล้ว  ""ของมีค่าย่อมมีราคา"  เพราะฉะนั้น  เราอย่าซื้อหุ้นเพียงเพราะว่ามันวิ่งดี  เพราะคนที่คางเหลืองก็มีไม่น้อยเป็นตัวอย่าง   อย่างเรื่องตุ๊กแก  ถ้ามันเป็นความต้องการจริงๆของตลาด  มันก็เป็นเรื่องดี  แต่ถ้าเป็นเพราะเจ้ามือปั่นราคาเพื่อปล่อยของ  คุณจะทำอย่างไรกับ"ตุ๊กแก"


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: kanyawee ที่ วันที่ 08 กันยายน 2010, 17:59:46
เรามี3000JPเยน จ้าาา อ้าวววก็เคยไปเที่ยวญี่ปุ่นเลยแลกมาเก็บ แบบนี้ลงทุนไรได้บ้างเนี๊ะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Freedom ที่ วันที่ 08 กันยายน 2010, 18:17:53
สนใจครับ อยากข้อมูลเพิ่มจัง เคยเล่นมาบ้างแล้วครับ
และตอนนี้เล่น Click2Win อยู่ครับ เชียงรายมีโบกเกอร์ไรบ้างอ่ะครับ

ตามที่คุณ giftland บอกไว้เลยครับ (http://www.mybikestories.com/Smileys/default/AddEmoticons04233.gif)

เราว่าอาจจะลองเล่นเป็นกองทุนรวม หุ้นกู้ มะก็bond รัฐบาลอ่ะ ถ้าไม่ชอบเสี่ยงมาก แต่การลงทุนในหุ้นมันมีเยอะมากหลายประเภท เริ่มต้นใช้เงินไม่มากหรอก ค่อยๆศึกษาเอา ลองเข้าไปถามโบรกชั้นสองธ.กรุงไทยหน้าโรงเรียนสันติ เอเชียพลัสที่ธ.กรุงเทพห้าแยกพ่อขุน ไม่ก็csg ที่ตรงข้ามเชียงรายมอล แต่อยู่ที่ไหนเปิดโบรกที่ไหนก็เล่นได้ทั่วไทย  ;)ไม่ยากขยันหาข้อมูลก็พอ

เรามี3000JPเยน จ้าาา อ้าวววก็เคยไปเที่ยวญี่ปุ่นเลยแลกมาเก็บ แบบนี้ลงทุนไรได้บ้างเนี๊ะ

ถ้าเป็นผม ผมจะเอาไปลงทุน "ความรู้" ก่อนเลยเป็นอันดับแรกครับ  ;D

พ่อรวยสอนลูก เล่ม 1

(http://c.static.fsanook.com/shopping/uploaded/large/2008/12/19/81/rlOuN1229677191-1.jpg)

พ่อรวยสอนลูก เล่ม 2 เงินสี่ด้าน  

(http://lh3.ggpht.com/_cXTwRk4BKjk/TDLAx_Rl_-I/AAAAAAAABH0/Oru7nyvrncQ/1122.jpg)

และ 3 ( ล่าสุด ) THE Last Resignment การลาออกครั้งสุดท้าย

(http://image.ohozaa.com/id/dscf6945.jpg)

และความรู้(เบื้องต้น)จากในหนังสือ 3 เล่มที่ยกมา ... อาจจะกลายเป็น "ทรัพย์สิน" ที่มีค่ามากที่สุด ในอนาคตสำหรับคุณเหมือนกับผมก็ได้ .... ไงลองหามาอ่านดู ทั้ง 3 เล่มนี้ ใช้เงินลงทุนไม่ถึง 2000 เยน หรอกครับ  ;D ;D (http://www.mybikestories.com/Smileys/default/AddEmoticons04233.gif)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 กันยายน 2010, 15:20:49
"คุณค่า กับ ราคา"
     โดยปกติแล้ว คุณค่า กับ ราคา มักไปในทิศทางเดียวกัน  กล่าวคือ  หากของสิ่งนั้นมีคุณค่ามาก  ก็มักจะมีราคามากตามไปด้วย  ยกตัวอย่างเช่น  "อสังหา"  ถ้าเราลองมาดูความเป็นจริงในวันนี้  อสังหาที่อยู่ในเมือง  เมื่อเทียบพื้นที่ต่อพื้นที่แล้วกับรอบนอกแล้ว  ที่ในเมืองมักมีราคาแพงกว่า  นั่นเป็นเพราะคุณค่าของมันมีมากกว่า  คุณค่าของอสังหาก็มาจากทำเล  และทำเลก็มาจาก"ความสะดวก"    ความสะดวกในที่นี้ก็คือ  อยู่ใกล้หลายๆอย่างเช่น แหล่งท่องเที่ยว  ตลาด  โรงเรียน  โรงพยาบาล  และอื่นๆอีกมาก  เมื่อความสะดวกมีมากกว่า  มันจึงมี"ราคา"ที่แพงกว่า  และโดยความเห็นส่วนตัวแล้ว  มันจะยังเป็นอย่างนี้ไปอีกนาน  เพราะเมื่อกำลังซื้อในเมืองมีมากกว่า  การที่นักธุรกิจจะมาดำเนินงาน  ก็มักจะเล็งในจุดที่มีคนอยู่มากกว่า  โดยไม่ค่อยจะสนใจว่า  ที่ตรงนั้นมันจะแพงกว่ารอบนอกมากเท่าไหร่  เพราะเมื่ออยู่กลางเมือง  กำลังซื้อก็มักจะดีกว่าที่จะให้เขาตามไปซื้อถึงนอกเมือง  ซึ่งเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง  เพราะฉะนั้นแล้ว  คุณค่าในเมืองจึงมี"มากกว่า"  และเมื่อต่างคนต่างก็แย่งกันเข้ามาในเมือง  ที่ในเมืองจึงน่าจะมีราคาขึ้นที่เร็วกว่านอกเมือง
     หุ้นก็เหมือนกัน  หากดูเผินๆแล้ว  หุ้นก็เหมือนกันไปหมด  แต่ถ้าเราวิเคราะห์ให้ดีถึงแก่นแท้ของบริษัท  เราจะพบว่า  มันมีความแตกต่างกันมากกว่าแค่ราคาหุ้น  เพราะคนที่ทำธุรกิจได้กำไรมากกว่า  มีคนนิยมใช้บริการมากกว่า  หรือสินค้าเป็นที่รู้จักมากกว่า  มักจะมีคุณค่าของธุรกิจที่มากกว่า  เพราะฉะนั้น  หุ้นของบริษัทนั้น  ก็จะมีคุณค่าที่มากกว่า
     ในด้านการลงทุน  เมื่อใดก็ตามที่คุณค่ากับราคาไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน  เช่น  ราคาเกินไปกว่าคุณค่า  หรือคุณค่ามากกว่าราคา  เมื่อนั้น  ก็เป็นจังหวะของนักลงทุน"ผู้ชาญฉลาด"จะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ต่อไป


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 กันยายน 2010, 16:01:15
ผลตอบแทนของทรัพย์สินต่างชนิด
     เมื่อพูดถึงนักลงทุนแล้ว  การที่เราจะลงทุนอะไร  ต้องได้ผลตอบแทนในอัตราที่คุ้มค่ากับเงินลงทุนด้วย  แต่การที่เราจะได้รับผลตอบแทนกลับคืนให้ได้สูงสุดนั้น  จำเป็นต้องพิจารณาเป็นอย่างๆไปเช่น  หากเราต้องการบรรทุกของ  ถ้าเราใช้รถเก๋ง  ก็คงจะได้ไม่มากนัก  และถ้าเราชอบเดินทางแบบสะดวกสบายหลายคน  รถปิกอัพก็ไม่ค่อยเหมาะ  ควรใช้รถตู้มากกว่า  โดยความเห็นของผม  การลงทุนในอสังหา  เราควรพิจารณาจาก  ทำเลที่ตั้งของอสังหา  ว่าจะสามารถเพิ่มค่าขึ้นได้หรือไม่เมื่อเวลาผ่านไป  และเราสามารถเก็บค่าเช่าเพื่อรอให้วันนั้นมาถึงได้ไหม  แต่สิ่งที่สำคัญ  ผมคิดว่า  หัวใจของอสังหา  ควรมาจาก"กระแสเงินสด"  มากกว่าที่จะมาจากการเพิ่มค่าของทรัพย์สิน  เพราะลักษณะของอสังหา  เป็นแบบมีความมั่นคงสูง  แต่มีสภาพคล่องต่ำ  การที่เราจะซื้อมาซ่อมแซมแล้วขายไป  นอกจากเราจะเหนื่อยแล้ว  รายได้ของเราก็จะถูกเบียดจากภาษีซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก  ยิ่งถ้าใช้เงินกู้มาซื้อเพื่อรอขายยิ่งลำบากใหญ่  เพราะถ้ามันยิ่งขายออกช้า  ค่างวดและดอกเบี้ยก็จะมากินกำไรเราให้เหลือน้อยลง  แต่ถ้าเป็นหุ้น  ความเห็นผมอาจจะขัดแย้งกับใครหลายคน  เพราะบางคนจะลงทุนซื้อหุ้นแบบ"ถือยาว"  แต่จากประสบการณ์ในตลาดหุ้นของผมบอกว่า  หุ้นนั้นมีขึ้นมีลง  มันมีหลายปัจจัยมากที่ทำให้หุ้นเป็นแบบนั้น  เพราะฉะนั้นเราควรลงทุนตามจังหวะมากกว่าที่จะซื้อแล้วถือยาว  แต่มันไม่ได้หมายถึงการซื้อขายบ่อยป็นรายวันหรอกนะ  เพราะนั่นจะทำให้เราเสียค่าคอมเยอะเกินไป  และโอกาสผิดพลาดมีสูง  เราควรจะดูที่"แนวโน้ม"มากกว่า"ความผันผวนรายวัน"  เพราะการซื้อขายตามจังหวะนั้น  เป็นการเพิ่มผลตอบแทนให้เราได้ดีพอควร  ลองถามนักลงทุนหุ้นดูก็ได้ว่า  เขาชอบแบบไหนมากกว่ากัน  ระหว่างได้ปันผลปีละ 1 บาทต่อหุ้น  หรือหุ้นขึ้นไปปีละ 10  บาท   เพราะหุ้นมีความผันผวนมากกว่าอสังหา  การหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินควรต่างออกไป  เหมือนเราใช้รถผิดประเภทนั่นแหละครับ  เราก็จะได้ประโยชน์จากมันไม่เต็มประสิทธิภาพของมัน  สมมุติว่าหุ้นนั้นเคยราคา 50 บาท  แล้วจู่ๆก็ตกลงมาเหลือ 20 บาท  ทั้งๆที่มันก็ยังมีพื้นฐานธุรกิจที่ดีอยู่  แต่เราจำเป็นต้องขายออกก่อน  เพิ่อเล่นตามจังหวะ  โดยสมมุติว่าเราเคยมีหุ้นนั้นอยู่ 1000 หุ้น  เมื่อขายที่ราคา 50 บาท  เราจะได้เงินมา 50000 บาท  แล้วเราก็นำเงิน 50000 บาทนั้น  กลับมาซื้อตอนที่ราคาหุ้นเหลือ 20 บาททั้งหมด  วิธีนี้มันจะทำให้เรามีหุ้นกลายเป็น 2500  หุ้น  และเมื่อปันผลออกมา  สมมุติว่าได้หุ้นละ 50 สตางค์  จากเดิมเราจะได้ปันผลเป็นเงิน 500 บาท  แต่พอเรามีหุ้นอยู่ 2500 หุ้น  เราก็จะได้ปันผลเป็น 1250 บาท  จะเห็นได้ว่าวิธีนี้  เป็นการใช้ประโยชน์จากความผันผวนของหุ้น
     ในตอนต่อๆไป  ผมจะมาบอกรายละเอียดเกี่ยวกับการเลือกซื้อหุ้นของผม  และจังหวะเวลาที่ควรซื้อหรือขายหุ้นเพื่อเพิ่มผลตอบแทน  ขอบคุณที่สนใจครับ
     ปล.บางครั้งอาจหายไปเป็นเวลานาน  แต่ก็อย่าลืมกันนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: jomyoot ที่ วันที่ 09 กันยายน 2010, 20:05:01
หุ้นมันไม่รวยเสมอไปหรอกครับ งั้นเขาก็รวยกันทังบ้านทั้งเมืองแล้ว(แต่ดีกว่าหวยและบอล)

ดูจากคำของ จขกท เงินเย็น น่าจะ ชวนเล่นหุ้นคงที่ หรือ พวกเงินหุ้นกองทุนเปิดกระมัง

เชียวชาญวิชาละอย่าไปริลองเล่น หุ้นปั่น หุ้นรายวันละกัน ขาใหญ่ขยับที ลูกจ๊อกพินาศ

ถามพวกเก๋าเกมส์มีแต่คนอยากมีความรุ้สึกในการเล่นหุ้นในทีแรกที่ก้าวมาเลยนะ คึคึ

สิ่งสำคัญสุด ขอให้ขยันทำงาน ไม่อายที่จะทำครับ

ยิ่งการพนัน และ การใช้ดวง เป็นไปได้เลี่ยงไปดีกว่านะครับ เงินหายไปแล้วจะรู้สึกเสียดาย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: jomyoot ที่ วันที่ 09 กันยายน 2010, 20:14:35
ผมขอเสริมว่า ถ้าผมไม่ไปลงทุนธุรกิจคาร์แคร์ ผมก็คงเอาไปเล่นกองทุนรวมครับ

ผมก็ดูๆไว้อยู่ เพราะมันเสี่ยงต่ำ แบบ7วัน มันได้ดอก1% เหรอครับ ที่ผมอ่านๆดูน่ะ

สมมุติว่าผมมีเงิน 5แสน ภายใน 7วัน ผมได้เงินดอกคือ 5000 บาท เดือนผมได้ 2หมื่น

งี้ไม่ต้องทำงานทำการอะไรแล้วสิ อิอิ ผมยังแค่งูๆปลาๆน้องใหม่ในวงการ ถ้ายังไงให้ รุ่นพี่ช่วย

แนะนำ ให้อีกทีแล้วกันนะครับ ถ้ามันได้แบบนี้ก็เจ๋งเป้งเลย

อ้อ ที่ผมดู ของ ธนาคารกรุงไทยนะคับ กรุงไทย ฟอร์ ซัน ไลท์ อะไรสักอย่างนี่แหละคับ

มีแบบ7 วัน 15วัน 30วัน 3เดือน และอีกมากมาย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 09 กันยายน 2010, 20:24:06
ดีมากเลยครับ เห็นด้วย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: jomyoot ที่ วันที่ 09 กันยายน 2010, 20:33:02
บ่ะลืม คุณวายุเลย สนใจเล่นหุ้นคงที่ แบบ เย็นที่คุณวายุแนะนำครับ บ่ะเอาแบบหุ้นปั่น หุ้นราย

วันเน้อ มาไวไปไว เคลมไว อ๊ากกกก  :-[

สนใจหุ้นพลังงาน เช่น ptt cp อะไรพวกนี้ครับ ถ้ามีโอกาส อยากนั่งถกเรื่องหุ้นกับคุณวายุมากๆ

จะได้เป็นแบบอย่างที่ควรศึกษา


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวเริงปอย ที่ วันที่ 09 กันยายน 2010, 22:52:04
ท่าน jomyoot สังเกตมั๊ยครับว่าทำไมหลายคนในห้องนี้ชวนมาลงทุนในหุ้น แ่ต่ไม่มีใครเอ่ยถึงชื่อหุ้นแม้แต่ตัวเดียว หลายท่านเข้ามาอ่าน ค่อนข้างผิดหวังนึกว่าจะได้ หุ้นตัวเด็ดๆกลับไป ผมค่อนข้างเชื่ิอว่าท่านเหล่านั้น อยากจะบอกใจจะขาด แต่อยากให้ทุกๆท่านศึกษา และเรียนรู้พื้นฐานหุ้นให้ได้เสียก่อน ด้วยตัวท่านเอง แล้วค่อยมาถามว่าตัวนี้ดีมั๊ย อันนี้ประโยชน์จะตกอยู่ที่ท่านเอง และถ้าเกิดบอกไปก่อนแล้วมันไม่เป็นดังคาด ก็จะมาขุ่นข้องหมองใจกันอีก        ส่วนลงทุนในกองทุนรวม7วัน1%ถ้าในระยะยาว(5ปีขึ้นไป)มันให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณนี้จริงผมก็คงจะขายหุ้นแล้วเอาไปลงทุนกองนี้ มันก็ขึ้นอยู่กับสไตล์การลงทุนอีกแหละครับว่ารับความเสี่ยงได้แค่ไหน มากสุดก็ซื้อล๊อตเตอรี่ น้อยสุดก็ฝากแบงค์ ที่หลายๆท่านในเวบก็คงจะทำได้เพียงชี้แนะให้ความรู้ไปเรื่อยๆ ไม่อยากให้ก้าวกระโดดไวสำหรับมือใหม่  ส่วนการตัดสินใจนั้นขึ้นอยู่กับท่านเอง


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: jomyoot ที่ วันที่ 09 กันยายน 2010, 23:01:43
ผมว่านะ ถ้าคนสนใจในเรื่องหุ้นจริง ผมว่ามานัดทานข้าว นัดทานกาแฟ แลกเปลี่ยน แชร์ความรุ้กันดีกว่าครับ เรื่องแบบนี้มันต้องพูดสนทนากันถึงได้รสชาติและเป็นมิตรมากกว่าครับ ยังไงถ้าผมได้ขึ้นไปเจียงฮาย ก็อยากนัดเจอ ใครสักคนที่อยุ่ในวงการนี้ มาแชร์ๆความรุ้หน่อยนะครับ เผื่อช่วยๆกันไป ลุ้นๆกันไป เล่นเองมันก่าบ่ะม่วนคับ เหมือนเล่นบอล ลุ้นอยุ่คนเดียวง่อม ลุ้นกันหลายๆคน ฮา ตรึม คึคึ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 15 กันยายน 2010, 16:18:55
วิธีเลือกหุ้นตามแบบฉบับของผม
     ผมมีวิธีเลือกลงทุนในหุ้นแบ่งเป็นหัวข้อใหญ่ๆได้เป็น 4 อย่างตามลำดับขั้นตอนคือ  เลือกลักษณะธุรกิจ  เลือกความเป็นผู้นำในธุรกิจนั้น  การทำกำไรของบริษัท  และจังหวะในการลงทุน
1.เลือกลักษณะธุรกิจ  เราต้องดูว่า  ธุรกิจนั้น  ยังมีคนต้องการสินค้าและใช้บริการ  หรือยังขายได้หรือไม่  เช่น  จากข้อมูลที่ผมได้รับรู้มา  ทำให้ผมทราบว่า  เสื้อผ้าในโลกทุกวันนี้  มีมากเพียงพอสำหรับทุกคนไปอีก 50 ปีโดยไม่ต้องผลิตเพิ่ม  คำถามก็คือ  แล้วธุรกิจเสื้อผ้ายังจะสามารถโตได้อีกหรือไม่  อันนี้ถ้าดูจากข้อมูล  เราก็จะรู้ได้ว่า  ของ"มีมาก"กว่าความต้องการ  เพราะฉะนั้นแล้ว  ธุรกิจนี้  ก็ไม่น่าลงทุนสำหรับผม  ถ้าเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่  ค้าปลีก  อินเตอร์เนต  แก๊ส  น้ำมัน  อาหาร  วัสดุก่อสร้าง  ของเหล่านี้  ยังมีความต้องการในตลาดอยู่  เพราะฉะนั้นแล้ว  ก็น่าลงทุนครับ  ถ้าเราสนใจผิดธุรกิจตั้งแต่แรกแล้ว  เงินลงทุนของเรามันก็ไม่โตครับ  เราต้องดูว่า  ในอนาคตแล้ว  ธุรกิจนี้  ยังมีคนต้องการมันอยู่หรือไม่  ถ้ามี  มันยังโตไปได้อีกไหม  อันนี้ก็แล้วแต่ขอบเขตความรอบรู้ของแต่ละคนครับ  บางคนทำธุรกิจรับสร้างบ้าน  ก็อาจจะรู้ว่าเขามักใช้ปูนยี่ห้อไหน  อันนี้ก็ลงทุนในบริษัทผลิตปูนได้เช่นกันครับ
2.เลือกความเป็นผู้นำในธุรกิจนั้น   เมื่อเราเลือกลักษณะธุรกิจได้แล้ว  เราก็ต้องมาดูว่า  ในธุรกิจนั้น  ใครมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด  เรื่องนี้สำคัญมาก  เพราะมันหมายถึง  ตำแหน่งในตลาดของเรา  การเป็นเบอร์ 1 นั้น  มีหลายแบบ  บางทีอาจเป็นที่ยี่ห้อ  บางทีอาจมีสาขามาก  จนครอบคลุมทั้งประเทศ  คนสามารถไปใช้บริการที่ไหนในประเทศก็ได้  หรือ  บางทีอาจมีโรงงานเดียว  แต่สามารถผลิตของที่คนต้องการแล้วส่งไปขายยังที่ต่างๆ  สามารถไปหาซื้อที่ไหนก็ได้เช่น  มาม่า  โค้ก  รถยนต์  นม วัสดุก่อสร้าง ฯลฯ  อันนี้ก็ถือว่าเป็นผู้นำทางตลาดได้  และธุรกิจนั้นมีคู่แข่งที่ใกล้เคียงไหม  ถ้าบริษัทนั้นไม่มีคู่แข่งเลย  หรือมี  แต่ห่างชั้นกันมาก  ก็ถือว่าดีน่าลงทุนครับ  แต่ถ้ามีคู่แข่งที่สูสีกันแล้ว  อัตราการทำกำไรมักจะไม่ค่อยดีครับ  เพราะต่างฝ่ายต่างก็มักจะใช้กลยุทธ์ลดราคาสู้กัน  จนทำให้ต่างคนต่างก็ไม่เหลือกำไร  กว่าใครจะแพ้ไปสักคน  อีกฝ่ายก็เจ็บหนักน่าดู
3.การทำกำไรของบริษัท   อันนี้ก็สำคัญครับ  เพราะถึงแม้จะเป็นเบอร์ 1  มีส่วนแบ่งทางตลาดเยอะ  แต่ไม่มีกำไรเลย  แล้วเราจะได้ผลตอบแทนจากไหนล่ะครับ  อันนี้มีกรณีศึกษาให้ด้วย  ผม"ย้ำ"นะครับว่าเป็นกรณีศึกษาเท่านั้น  ไม่ได้คิดจะชี้นำให้ลงทุนในบริษัทนี้แต่อย่างใดwww.cpallnews.com/images/1/pdf/annual_report/CPALLAR_2009_TH.pdf  ผมเอารายงานประจำปีของ 7-11 มาให้ดูครับ  ดูที่หน้า 4  จะเห็นว่า  ยอดขายและรายได้จะลดลงเล็กน้อยจากปี 51  แต่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างมาก  แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการไปในทางที่ดีครับ  บางทีอาจเป็นไปได้ว่า  เขาสามารถบริหารต้นทุนได้ดี  จึงมีกำไรเพิ่มมากขึ้น  ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นก็เพิ่มขึ้น  ความหมายก็คือ  ถ้าเอาทรัพย์สินของบริษัททั้งหมดมาแปลงเป็นเงิน  แล้วแบ่งออกมาให้ผู้ถือหุ้นให้เท่าๆกันแล้ว  บริษัทมีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้น  อันนี้ก็ถือว่าดีครับ  และลองดูหัวข้ออัตราส่วนทางการเงินครับ  กำไรและผลตอบแทนเพิ่มขึ้นทุกตัว  ถ้าดูที่หน้า 5  จะเป็นกราฟให้เราดูได้ง่ายขึ้นครับ  และดูหน้า 24 ครับ  เป้าหมายของธุรกิจชัดเจนมาก  เพราะประกาศว่าจะเปิดให้ได้ 7000  สาขา  อันนี้เราก็ต้องดูด้วยนะครับว่า  ทำได้จริงไหม  แต่จากการที่เราได้พบเห็น  ผมคิดว่า  เขาสามารถทำได้ครับ  เพราะฉะนั้น  อนาคตสดใสมาก  ถึงแม้ว่าคนในประเทศจะมีอยู่เท่าเดิม  แต่กำไรที่เพิ่มขึ้น  มาจากการชิงส่วนแบ่งการตลาดมาจากคนอื่น(อาจเป็นร้านของชำโชห่วยต่างๆ)  แต่มีคู่แข่งอีกรายคือโลตัสครับ  แต่เท่าทีวิเคราะห์ดูแล้ว  โลตัสจะมีรูปแบบคล้ายห้างย่อส่วนมากกว่าครับ  แต่ 7-11  จะเน้นไปที่ความสะดวกเรื่องอาหาร  เพราะฉะนั้น  ลูกค้าจึงแยกออกจากกันชัดเจน  ทำให้ไม่แย่งลูกค้ากัน
4.จังหวะในการลงทุน   ถึงแม้ว่าเราจะศึกษาบริษัทจนทะลุแล้ว  แต่ถ้าราคาหุ้นขณะนั้นมีราคาแพงอยู่  เราก็ควรรอจังหวะในการซื้อก่อนครับ  เพราะตลาดหุ้นมีขึ้นมีลง  เหมือนเราอยากซื้อของห้าง  แต่เราอยากได้ของถูก  เราก็รอจนกระทั่งเขาขนออกมาเลหลังขายนั่นแหละครับ  ระยะเวลาในการรอก็ไม่แน่นอน  บางทีรอเป็นปี   หรือหลายปี  แต่เราต้องใจเย็นครับ  เรื่องจังหวะในการลงทุนนี้  มีรายละเอียดปลีกย่อยมาก  เอาไว้คราวหน้า  ผมจะมาบอกวิธีดูครับ  โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 16 กันยายน 2010, 16:06:59
จังหวะลงทุน
     การเข้าตลาดนั้น  ควรดูว่า  เป็นขาขึ้นหรือขาลง  เพราะการที่รู้ว่าเราได้เข้าตลาดช่วงไหน  จะทำให้เรารู้ถึงภาพรวมใหญ่  และจะไม่ก่อให้เกิดการฝืนแนวโน้วของตลาด  การดูจังหวะซื้อหรือขายเราควรดู"นักลงทุนต่างชาติ"เป็นหลัก  จากประสบการณ์ของผม  นักลงทุนรายใหญ่ที่เป็นคนกำหนดแนวโน้มต่างๆในตลาดหุ้นก็มักจะเป็นนักลงทุนต่างชาตินี่แหละ  และการที่เขาจะซื้อหรือขายหุ้นนั้น  มักจะอิงกับค่าเงินเป็นหลัก  หมายความว่า  ถ้าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น  เขาก็จะเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อให้ได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย  และหากค่าเงินมีแนวโน้มอ่อนค่าลง  เขาก็จะรีบขายหุ้นออกมา  และรอจนกว่าค่าเงินจะนิ่งเสียก่อน  แล้วจึงค่อยเข้ามาลงทุนใหม่  ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า  นักลงทุนต่างชาติ  จะบันทึกหน้าลงทุนเป็นค่าเงินดอลล่าร์ ยกตัวอย่างเช่น  เขาเอาเงิน 1 ดอลล์มาแลกเป็นเงินไทยได้ 30 บาท  และสมมุติว่าเขาเอา 30 ไปซื้อหุ้นราคา 30 บาทก็จะได้ 1 หุ้นพอดี  แต่ถ้าค่าเงินอ่อนลงเป็น 31 บาท  และถ้าเขาขายหุ้นออกมาในราคา 30 บาท  ซึ่งไม่ได้ขาดทุนราคาหุ้น  แล้วเอาไปแลกกลับเป็นเงินดอลล์  เขาจะแลกได้แค่ 0.967 ดอลล์  ซึ่งทำให้เขาขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 3 %   เพราะฉะนั้นแล้ว  หากเขาดื้อไม่ยอมขายหุ้นออกมา   เขาก็จะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ  เราจึงต้องรู้เขารู้เราด้วยครับ  ดังตำราพิชัยสงครามซุนวูได้กล่าวไว้ว่า  "รู้เขารู้เรา  ร้อยศึกร้อยชัย"  เพราะฉะนั้นแล้ว  การลงทุนในหุ้น  เราสามารถจำกัดความเสี่ยงได้ด้วย"ความรู้"   บางคน  ซื้อหุ้นโดยไม่ได้ศึกษาเลยด้วยซ้ำว่าเขาทำธุรกิจอะไร  พอเห็นหุ้นเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลง  ก็กระโดดเข้าไปร่วมตะลุมบอนกับเขาเสียแล้ว  และเวลาเขาเสียเงินขึ้นมา  ก็มักจะโทษว่าหุ้นมันเสี่ยง  ซึ่งเขาไม่ยอมโทษตัวเองเลยสักนิดว่า  เหตุผลที่ทำให้เขาเสียเงินมันเพราะอะไร  และก็ชอบไปป่าวประกาศกับใครต่อใครว่าหุ้นมัน"เสี่ยง"
     การลงทุนในหุ้นนั้น  เราสามารถคาดการณ์แนวโน้มของธุรกิจ  หรือแม้แต่วงจรของตลาดได้   เพราะฉะนั้น  ถ้าเราศึกษาข้อมูลโดยละเอียด  เราก็จะพบว่า  มันเป็นการลงทุน  ไม่ใช่"การพนัน"  ขอให้โชคดีในการลงทุนทุกท่านนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: AIT ที่ วันที่ 16 กันยายน 2010, 17:46:36
เยี่ยมครับ เรียนถามนิดท่านวายุ อยู่ในเชียงรายละเปล่าครับ ว่าง ๆ คิดว่ามีหลายท่านอยากปรึกษาแลกเปลี่ยนความรู้กับท่านนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 20 กันยายน 2010, 16:58:18
     ก่อนอื่นผมต้องขอออกตัวก่อนว่า  เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้   ไม่ได้เป็นการอวดตัวแต่ประการใด   จริงๆแล้ว   ผมต้องการให้กำลังใจกับคนที่กำลังไม่แน่ใจในตัวเองอยู่มากกว่า  หลายครั้งที่เราพูดกับตัวเองว่า  เราจะทำได้จริงหรือเปล่า   ผมอยากบอกว่า  เราอย่าดูถูกความสามารถของตัวเองเลย  เพราะผมเคยผ่านมันมาแล้ว  เพียงแค่เรามีความมุ่งมั่น   มันก็เป็นต้นทุนที่ดีแล้ว  เราแค่มีความปรารถนาว่าอยากจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้  หรืออยากมีเงินมากกว่านี้  แต่เราไม่รู้วิธี  เราก็ต้องศึกษาหาความรู้ให้มากๆ  ขอแค่ตั้งใจ  เราก็จะไปถึงจนได้...
     “กว่าจะมาเป็นผม”
ผมเกิดและโตที่กรุงเทพ  พอขึ้นชั้น ม.ต้น ผมก็ได้รู้จักกับเพื่อนคนหนึ่ง  ซึ่งเขามีสมุดบัญชีเงินฝาก  ตอนผมเห็นครั้งแรก  ผมรู้สึกอยากเป็นเจ้าของมันเหมือนกัน  ผมอยากมีเงินเยอะๆ   ทั้งที่ตอนนั้น  ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีเงินเก็บไปทำไม  แต่พอเริ่มเก็บและเห็นตัวเลขค่อยๆเพิ่มขึ้น  ผมก็รู้สึกดีทุกครั้ง  ก่อนจบ ม.3 ไม่นาน  พ่อกับแม่ผมเลิกกัน  ผมก็เลยไม่ได้เรียนต่อ  ตอนที่จบ ม.3 ออกมา  ผมก็ได้เกรดแค่หนึ่งกว่าๆ  ผมไม่ได้เป็นคนฉลาดอะไรเลย  หัวไม่ค่อยดีด้วยซ้ำไป  แต่เมื่อผมไปปิดบัญชี  ผมมีเงินเก็บอยู่สองพันกว่าบาท  ตอนนั้นดีใจมาก
     “เริ่มทำงาน”
ตอนนั้นคนรอบข้างผม  มีแต่คนไม่มีความรู้ทั้งนั้น  ไม่ว่าจะเป็นแม่หรือน้า  ไม่มีใครแนะนำอะไรผมได้เลย  มีแต่คนชวนผมไปทำงาน  เขาบอกว่า  ทำงานแล้วได้เงินนะ   ผมก็เลยเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ  15 ปี   ไปเป็นเด็กร้านอะไหล่รถ  เงินเดือนสามพันกว่าบาท  แต่ผมก็ทำนะ  ถึงแม้ว่างานจะหนักมากสำหรับเด็กที่ไม่เคยทำงานมาก่อน  แต่ผมก็ทำเพราะได้เงิน  เมื่อเริ่มออกสู่โลกกว้าง  สังคมก็สอนให้ผมรู้ว่า  แค่จบ ม.3 มันอยู่ไม่ได้หรอก   ผมก็เลยไปลงเรียน กศน.   ช่วงนั้นทำงานจันทร์ถึงเสาร์   ส่วนวันอาทิตย์ก็ไปเรียน   ผมเรียนจนได้วุฒิ ม.6 มา   แล้วก็ย้ายมาอยู่ที่เชียงรายตามแม่ที่ย้ายมาก่อนแล้วตอนที่ผมจบ ม.3
     “ลงทุนในการเรียน”
ตอนที่ผมมาเชียงราย   ผมมีเงินมาด้วยแปดหมื่นบาท   ผมจบ ม.6 กศน. มา  ซึ่งใครๆก็รู้ว่า   ความรู้มันไม่แน่นเหมือนเด็กภาคปกติหรอก  ตอนแรกกะว่าจะทำงานด้วยเรียนด้วย  แต่ด้วยความที่เราฐานไม่แน่น  ก็เลยต้องล้มเลิกการทำงานไป  จึงต้องเรียนอย่างเดียว  ผมมาลงเรียน ปวส. แบบ  3  ปีจบ  เพราะผมไม่ได้เรียนมาทาง ปวช. ก่อน  ต้องปรับพื้นฐานก่อน 1 ปี   ที่เทคนิคเชียงราย  ผมเรียนจนครบ 3 ปี  เหลือเงินอีกนิดหน่อย
     “เริ่มลงทุนทำธุรกิจ”
พอผมเรียนจบ  ผมก็ไปสมัครงานไว้หลายที่  แต่ไม่มีใครเรียกตัวเลย  พอดีช่วงนั้น  เขาฮิตการตั้งโต๊ะโทรศัพท์  โทรทั่วไทยนาทีละ 2 บาทกัน  ผมก็เลยทำบ้าง  เพราะคิดว่า  ระหว่างรองาน  ก็จะได้มีอะไรทำไปก่อน  ผมก็เลยเอาเงินที่เหลืออยู่นิดหน่อยไปซื้อโทรศัพท์มาใช้ตั้งโต๊ะ  แต่แล้วผมก็โดนตำรวจจับ  ตอนนั้นเห็นเขาหนีกัน  แต่ผมไม่หนี  เพราะคิดว่า   ผมใช้ชื่อผมไปเปิดเอง  ไม่ได้ใช้ชื่อใคร  มันก็คงไม่ผิด  แต่ตำรวจตั้งข้อหาว่า  ผมประกอบธุรกิจโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต   สรุปแล้ว  ผมโดนยึดโทรศัพท์ไปทั้งหมด  และต้องรอขึ้นศาลตัดสินความผิด
     “อะไรก็ทำ”
ตอนนั้นผมแทบไม่มีเงินเหลือติดตัวแล้ว   เพราะเอาไปลงทุนซื้อโทรศัพท์เกือบหมด  แต่พอโดนจับ  ต้องรอเสียค่าปรับซึ่งก็ไม่รู้เท่าไหร่   ถ้าไม่มีเงินจ่าย   ก็ต้องไปนอนคุกใช้หนี้วันละ 200    ตอนนั้นผมก็คิดว่า  งานอะไรก็ได้   ขอทำให้มีพอค่าปรับไปก่อนก็แล้วกัน   พอดีมีคนรู้จัก   บอกให้ไปสมัครที่โรงแรมแห่งหนึ่ง  ผมก็ไปสมัคร  ตอนนั้นกรอกว่า  ตำแหน่งอะไรก็ได้   ทางโรงแรมก็ให้ไปเป็นบาร์น้ำ   ผมจึงได้ทำงาน    ช่วงที่ทำงานอยู่ที่โรงแรม  เขามีอาหารเลี้ยงพนักงาน  ซึ่งอาหารก็ไม่ดีนัก  แต่ผมก็กินมันทุกมื้อ  เพื่อให้ประหยัดเงินมากที่สุด  ผมเก็บทิปที่ได้ทุกวัน  และเก็บเงินเดือนให้ได้มากที่สุด   จนเวลาผ่านไป 9 เดือน  ผมก็ขึ้นศาล   ศาลพิพากษาปรับ 5000 บาท  และให้ริบโทรศัพท์ไว้เป็นของกลางต่อไป   ผมก็เลยชำระไป   หมดเวรหมดกรรมกันไปที
     “เริ่มนับหนึ่งใหม่”
หลังจากที่หมดเรื่องแล้ว   ผมก็ทำงานเก็บเงินต่อ   ผมทำงานอยู่หลายปี   จนสามารถเก็บเงินได้ประมาณห้าหมื่นบาท   แล้วมีอยู่วันหนึ่ง   ผมก็ไปฝากเงินเหมือนเช่นเคย   แต่วันนั้นผมถามพนักงานธนาคารว่า  มีการฝากเงินประเภทไหนบ้างที่ได้ผลตอบแทนสูงๆ   พนักงานพูดว่า  คุณรับความเสี่ยงได้ไหมล่ะ  ถ้ารับได้  เราขอแนะนำกองทุนเปิดที่ลงทุนในหุ้น  ผลตอบแทนสูง  แต่ความเสี่ยงก็สูงเช่นกัน  ตอนนั้นผมยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหุ้นเลย   ที่ผมรู้จักหุ้นมันก็แค่...เขาบอกว่าหุ้นมันเสี่ยง  แล้วมันเสี่ยงขนาดไหนล่ะ  ผมชักอยากลองซะแล้ว  สรุปแล้ว  ผมก็เปิดบัญชีซื้อขายกองทุนกับเขา  แล้ววันนั้น  ซึ่งเป็นวันที่ผมลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนเป็นครั้งแรกในชีวิตของผมด้วยเงิน 20000 บาท  ตลกไหมล่ะ  ผมไม่รู้จักมันเลย  แต่ผมกล้าลงทุนถึง 40 % ของเงินที่ผมมีอยู่   เพราะผมมีความมุ่งมั่นในการทำเงินมากนั่นเอง  และผมคิดว่า  ความฉลาดจะเกิดขึ้นเร็วมากกว่า  หากเราลงมือทำ
     “เริ่มลงทุนในการศึกษา”
หลังจากที่ชีวิตผมได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหุ้นแล้ว  ผมก็พยายามหาความรู้ใส่ตัวให้มากๆ   ช่วงที่ลูกค้าโรงแรมยังไม่เข้า   ผมก็จะไปเอาหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับธุรกิจที่อยู่ตรงล็อบบี้มาอ่าน  ตอนแรกๆก็ไม่เข้าใจหรอก  แต่ผมพยายามอ่านมากๆ  และทำความเข้าใจกับมัน  ซึ่งพออ่านบ่อยๆเข้า  ก็เริ่มจะมีความรู้ขึ้นมาบ้างเล็กน้อย  แต่ผมสังเกตว่า  หนังสือพิมพ์มีแต่ข่าว   แต่ไม่เคยสอนอะไรให้เรารู้เกี่ยวกับการลงทุนเลย  ตอนนั้นคิดเอาเองว่า  เขาคงขายหนังสือพิมพ์ให้กับคนที่รู้เรื่องเหมือนเขา  แล้วผม...ซึ่งไม่มีความรู้เรื่องการลงทุนเลย   จะทำอย่างไรถึงจะอ่านเข้าใจ  แล้วยังมีกองทุนที่ผมไปลงทุนอีก  ผมได้ลงทุนไปแล้ว  แต่ผมไม่ได้ความรู้อะไรเกี่ยวกับการลงทุนนั้นเลย  เพราะการลงทุนมันก็แค่  ส่งเงินไปให้มืออาชีพลงทุนให้เราเท่านั้น   แล้วเราจะมีชีวิตอยู่อย่างไรโดยที่ต้องพึ่งคนอื่นเขาไปตลอด
     “จุดเปลี่ยน”
หลังจากที่ผมลงทุนไปได้ไม่นาน   กิจการร้านอาหารในโรงแรมก็มีปัญหา   แขกเริ่มไม่ค่อยมี   ซึ่งสัญญาณแบบนี้ไม่ดีเลย  ผมก็เลยคุยกับแฟนซึ่งทำงานที่เดียวกันว่า   เราออกไปค้าขายกันดีไหม  เพราะดูท่าทางเหมือนร้านจะไม่ไหวแล้ว   แต่ให้ออกไปคนเดียวก่อน  แล้วผมจะทำงานในร้านอาหารไปคนเดียวสักพัก  ถ้าแฟนออกไปค้าขายแล้วดี  เราค่อยออกไปช่วยกันเต็มตัวทั้ง 2 คน  แฟนก็ตกลง  ผมก็เลยไปถอนเงินที่มีอยู่ในธนาคารมาทั้งหมดสามหมื่นกว่าบาทเพื่อลงทุนค้าขาย
     “ข้ามช่อง”
พอแฟนออกมาค้าขายแล้วดี  และพอดีกับที่ร้านอาหารเจ๊ง  ผมก็ออกมาช่วยแฟนค้าขาย  ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่ามันเป็นการข้ามช่องของทฤษฏีเงินสี่ด้าน  แต่ผมมารู้หลังจากที่มาค้าขายเองและเริ่มมีเวลามากขึ้น  ช่วงนั้นก็เป็นช่วงเปลี่ยนแปลงของชีวิตอีกครั้ง  ซึ่งปกติแล้ว  ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ  และผมมักจะไปซื้อหนังสือมือสองมาอ่าน  เพราะว่าราคาถูกดี  แต่วันที่ผมไปหาซื้อหนังสือนั้น  พลันสายตาก็ไปเห็นหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง  ชื่อพ่อรวยสอนลูกตอนเงินสี่ด้าน  ซึ่งพอเปิดอ่านเนื้อหาในหนังสือเล่มนั้น  พบว่าในหนังสือ  จะกล่าวถึงอิสรภาพทางการเงิน  ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมกำลังค้นหาอยู่พอดี  ผมจึงซื้อกลับมาอ่าน  หลังจากอ่านจบแล้ว  ทำให้ผมมีความคิดที่เปิดกว้างและพบว่า  นี่แหละคือคำตอบของชีวิตเรา  และหลังจากหนังสือเล่มนั้นที่มาจุดประกายให้ชีวิตผมแล้ว  ผมก็ซื้อหนังสืออีกหลายเล่มที่เกี่ยวกับทางด้านนี้   อันนี้ผมอยากแนะนำให้คนที่ยังไม่รู้ว่าชีวิตในอนาคตจะไปทางไหน  ลองลงทุนกับหนังสือดีๆสักเล่ม  เผื่อว่ามันอาจเปลี่ยนชีวิตคุณได้
     “เริ่มลงมือเอง”
เมื่อผมได้อ่านหนังสือหลายเล่ม  ซึ่งในหลายเล่มนั้น  ก็มีเรื่องของการลงทุนอยู่ด้วย  ทำให้ผมตัดสินใจว่า  เราจะลิขิตชีวิตตัวเองซะที  เราจะหวังพึ่งคนอื่นอย่างเดียวไม่ได้แล้ว   แล้วผมก็ไปที่ธนาคาร  จัดการปิดบัญชีกองทุนหุ้นที่ผมเคยเปิดไว้  ผมได้เงินคืนมาเพิ่มจากเดิมไม่เท่าไหร่  แต่ผมก็ไม่ได้หวังอะไรมากอยู่แล้ว  หลังจากนั้น  ผมก็ไปที่โบรกเกอร์เพื่อขอเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นทันที
     “ผิดหวังอย่างแรง”
ช่วงแรกที่ผมเข้าไปลงทุนในหุ้น  ผมก็คงเหมือนกับคนทั่วๆไปนั่นก็คือ  เล่นหุ้นที่หวือหวาปั่นขึ้นปั่นลง  โดยมี“ความหวัง”ว่าจะรวยเร็ว  บางทีซื้อหุ้นมาแล้วก็นอนไม่หลับ  กังวลว่าพรุ่งนี้หุ้นจะเป็นยังไง  ทำให้ชีวิตไม่ค่อยมีความสุข  ผมจึงศึกษาไปเรื่อยๆ  แล้วก็มีคำแนะนำหลายอย่างมากในตลาด  ผมก็ลองผิดลองถูกไปเรื่อยเพราะไม่มีใครสอน  แล้วก็มาลงตัวที่การซื้อหุ้นบลูชิพ(หุ้นบลูชิพหมายถึงหุ้นที่มีความมั่นคงสูง  มีมูลค่าตลาดมาก)  แต่แล้วเมื่อเกิดวิกฤตซับไพรม์   หุ้นก็ลงกันขนานใหญ่   ทำให้ผมขาดทุนเป็นเงินหมื่นกว่าบาท  ซึ่งในขณะนั้นผมมีเงินลงทุนอยู่หกหมื่นบาท  ทำให้เงินผมลดลงเหลือห้าหมื่นบาท   ตอนนั้นผมก็รีบขายหุ้นทิ้งโดยคิดว่า  เสียแขนขารักษาชีวิตไว้ก่อน  ซึ่งประสบการณ์ในครั้งนั้นได้สอนผมว่า  หุ้นมีขึ้นก็มีลง  แม้จะเป็นหุ้นมั่นคงแค่ไหนก็ตาม  ประสบการณ์ในชีวิตจริงมันโหดร้ายมากนะ  เพราะมันลงโทษคุณก่อนแล้วค่อยสอนคุณ  ไม่เหมือนในโรงเรียนที่ต้องสอนก่อนแล้วค่อยลงโทษ  แต่หากเราได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีแล้ว   และเราไม่ได้อะไรจากมันเลย  ผมว่า   มันเลวร้ายกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเสียอีก   หลังจากที่ขาดทุนจากหุ้น  ผมก็เข็ดกับการลงทุนหุ้นมาก  ผมจึงเอาเงินที่เหลือทั้งหมด  ไปซื้อตราสารหนี้ของธนาคาร  ซึ่งในตอนนั้นผมคำนวณผลตอบแทนแล้ว   มันได้ตกวันละ 3 บาทกว่าๆ  ซึ่งช่วงที่ผมได้ไปซื้อตราสารหนี้ไว้   ผมไม่ได้สนใจตลาดหุ้นเลย  โดยในช่วงนั้น  ตลาดหุ้นอยู่ในภาวะขาลงเต็มตัว   พูดง่ายๆคือลงทุกวัน  แต่ผมก็มานั่งคิดว่า  ถ้าเราอยากขี่จักรยานเป็น  แต่การล้มเพียงแค่ครั้งเดียวในตอนหัดจักรยาน  มันจะทำให้เราขี่ไม่เป็นเลยทั้งชีวิต  ผมสมควรจะทำอย่างนั้นหรือไม่  ผมก็เลยตั้งต้นใหม่  และคิดว่า  การพ่ายแพ้ในวันนี้  มันจะเป็นประสบการณ์ที่ดีที่จะทำให้เราแข็งแกร่งในอนาคต  และอย่างที่ผมบอกไป  เราต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากเหตุการณ์เลวร้ายที่มันเกิดขึ้นกับเรา  ผมก็เลยมานั่งคิดว่า  หากเราอยากชนะ  เราไม่ควรพูดกับตัวเองว่า”เราทำไม่ได้”  แต่เราควรพูดว่า”จะทำอย่างไร”  เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว  ผมก็เลยไปหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับหุ้นโดยเฉพาะมาอ่าน  ซึ่งเมื่ออ่านมากๆ  ก็ทำให้ผมเข้าใจหุ้นมากขึ้น  และในช่วงจังหวะนั้น  หุ้นซึ่งตกมานานแล้ว  ได้ชะลอการตกลง  ซึ่งหุ้นต่างๆในตลาด  มีราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ  ผมจึงขายตราสารหนี้ออกมา  และเอาเงินที่มีอยู่ทั้งหมดในขณะนั้นประมาณห้าหมื่นกว่าบาท  เข้าไปลงทุนซื้อหุ้น
     “ฟ้าหลังฝนย่อมสดใส”
พอผมซื้อหุ้นได้ไม่นาน  หุ้นก็ดีดกลับอย่างแรง  เนื่องจากว่า  ช่วงที่มันตก  มันก็ตกแรงเช่นกัน  ผมก็เลยรู้ว่า  จังหวะในการลงทุนหุ้นนั้น  สำคัญไม่แพ้การดูที่ตัวบริษัทเลย  ซึ่งในช่วงเวลานั้น  จากเงินห้าหมื่นของผม  เพิ่มขึ้นมาเป็นสองแสนบาทอย่างรวดเร็ว  ผมดีใจมาก  เพราะไม่เคยมีเงินเกินแสนเลยในชีวิต  แต่ผมก็ตระหนักดีว่า  ในอีกไม่นาน  วงจรของตลาดหุ้นก็คงจะมาเยือนอีกครั้ง
     “ลงทุนอสังหาฯ”
เมื่อผมเริ่มมีเงินแล้ว  ผมจึงคิดว่า  เราควรมีบ้านเป็นของตัวเองเสียที  เหตุที่ทำให้ผมคิดอยากมีบ้านนั่นก็คือ 
1.ช่วงนั้น  ผมเช่าหอพักอยู่กับแฟน  และเจ้าของหอมาขอขึ้นค่าเช่า  ซึ่งหอนั้น  ผมก็อยู่มานานแล้ว   อยู่มาตั้งแต่ค่าเช่า 1300 แล้วก็เป็น 1500  หลังสุดเป็น 1700   ผมก็เลยคิดว่า  ขืนอยู่ต่อไปเรื่อยๆ  คงไม่แคล้วได้ทำงานหาเลี้ยงเจ้าของหอเป็นแน่
2.ผมเริ่มมีเงินขึ้นมาบ้างแล้ว
3.จากทฤษฏีเงินเฟ้อ  ทำให้ผมมองว่า  หากเราเอาบ้านตอนนี้  และเรากู้เงินจากธนาคารมาซื้อ  เราจะชำระหนี้ในอนาคตด้วยเงินที่ด้อยค่าลง  ซึ่งมันมีผลทำให้  เหมือนมูลหนี้นั้นมีค่าลดลง   แต่มันจะเป็นผลดีกับเรา  หากราคาบ้านเพิ่มขึ้นมากกว่าภาวะเงินเฟ้อ(ถ้าใครติดตามอ่านกับผมมานาน  จะรู้ว่าเงินเฟ้อคืออะไร)
     ด้วยเหตุผลดังกล่าว  ผมจึงเข้ามาในเว็บเชียงรายโฟกัสเพื่อลงข้อความหาซื้อบ้านซึ่งราคาไม่แพงแต่อยู่ในเมือง  ผมต้องขอขอบคุณเจ้าของเว็บมาในโอกาสนี้ด้วยครับ  ซึ่งในเวลาไม่นานก็มีคนติดต่อเข้ามาขายให้ในราคาไม่แพง  ที่ไม่แพงก็เนื่องจากว่า  ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำพอดี  บางคนที่โดนผลกระทบจากวิกฤตนั้น  ก็ต้องขายของออกมาในราคาถูกเพราะร้อนเงิน  ผมจึงใช้ความรู้ในหนังสือเข้ามารับซื้อไปในจังหวะนั้น  ในหนังสือบอกว่า  เราควรรอซื้อบ้านในช่วงจังหวะที่เศรษฐกิจตกต่ำ  เพราะเราจะสามารถซื้อของได้ในราคาถูก  และในช่วงเดียวกันนั้น  ดอกเบี้ยก็ลดลงต่ำเป็นประวัติการณ์  ทำให้ค่าผ่อนส่งต่องวดไม่ต้องโดนดอกเบี้ยกินมากนัก  แถมรัฐบาล  ยังลดภาษีโอนบ้านเหลือแค่ 0.01 %  จากเดิม 1 %  หรือพูดง่ายๆก็คือ  ถ้าบ้านหนึ่งล้านบาท  ต้องเสียค่าโอนหนึ่งหมื่นบาท  แต่ถ้าในจังหวะนั้นก็เสียแค่หนึ่งร้อยบาท  และบ้านที่ผมซื้อมาในราคาเจ็ดแสนบาท  ผมก็เสียค่าโอนเพียง 70 บาท  แทนที่จะเป็น 7000 บาท  ซึ่งช่วงที่ผมซื้อบ้าน  มันจึงเป็นจังหวะที่ดีที่สุดก็ว่าได้
     ผมซื้อบ้านมาซ่อมแซมนิดหน่อย  หมดเงินไปแสนกว่าบาท  ซึ่งเงินที่ผมเอามาซ่อมนั้น  มันก็มาจากการขายหุ้นออกไปบางส่วน  และเมื่อผมเอาบ้านเข้าประเมินเพื่อกู้แบงค์  เขาประเมินว่า  บ้านมีราคาเจ็ดแสนหก  ซึ่งมันต่ำกว่าราคาที่ผมซื้อมาเสียอีก  เมื่อประเมินได้สูงกว่า  ผมก็เลยกู้ได้เต็มราคาที่ได้ตกลงกันไว้กับเจ้าของบ้าน  ทำให้ผมไม่ต้องเสียเงินดาวน์บ้านเลย  นี่แหละคือประโยชน์จากจังหวะในการซื้อ  ทำให้ผมเหลือเงินเอาไว้ลงทุนในหุ้นต่อไป
     “ผมในวันนี้”
ตอนนี้  ชีวิตผมก็มีความสุขพอประมาณ  มีงานทำ  ซึ่งเป็นธุรกิจส่วนตัว  มีเงินลงทุนในหุ้น  ถึงแม้ว่าจะไม่มีเงินของผมอยู่ในนั้นแล้วก็ตาม  เพราะผมเอามันออกมาเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ตอนทำบ้าน  ซึ่งก็เท่ากับว่าในขณะนี้  ความเสี่ยงที่ผมจะสูญเสียเงินของผมเองนั้นเป็นศูนย์ไปแล้ว    ถึงแม้ว่าในตอนนี้ผมจะเสียเงินที่มีทั้งหมดไปในตลาดหุ้นก็ตาม  แต่ผมคิดว่า  ผมคงจะทำได้ดีกว่าในอดีตแน่นอน  ซึ่งการที่ผมมั่นใจอย่างนั้นก็เพราะ   ผมได้ลงมือทำและผ่านมันมาแล้ว  ไม่เหมือนกับหลายคน  ที่อยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้น  แต่ก็ไม่เคยลงมือทำอะไรสักที  ได้แต่กลัวต่างๆนานา  คนที่ไม่ทำอะไร  ดูๆไปแล้วเหมือนคนฉลาด  เพราะว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด  แต่ผมอยากบอกว่า  คนที่กล้าทำผิดพลาดบ่อยๆ  และเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น  ในที่สุดแล้ว  คนๆนั้นจะกลายเป็นคนฉลาด  และคนที่ฉลาดจากความผิดพลาดมากๆนั้น  เขาเรียกว่าคนมีประสบการณ์ยังไงล่ะครับ  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  เราก็ควรจะเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างได้แล้ว  ดังเช่นวลีของไนกี้ที่บอกว่า  JUST  DO  IT  ซึ่งแปลว่า “ลงมือทำ”  นั่นเอง
     จากการวิเคราะห์ชีวิตของผมเอง  ทำให้ได้รู้ว่า  ผมไม่มีต้นทุนชีวิตเหมือนใครหลายคน  ต้องหาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เด็ก  ไม่มีใครให้ปรึกษา  ไม่มีความรู้สูงถึงขั้นปริญญา  ไม่มีใครสอนเรื่องการลงทุน  ไม่มีใครให้เงินลงทุน  ซึ่งการที่ผมมีเงินลงทุนได้  มันก็มาจากการเก็บออมของผมเองทั้งสิ้น  แต่ชีวิตของผมในปัจจุบัน  มาจากความมุ่งมั่นว่า  สักวันหนึ่งเราจะต้อง“มี”ให้ได้  และศึกษาหาความรู้ใส่ตัวให้มากๆ  พร้อมทั้งต้อง“ลงมือทำ”ด้วย  และถึงแม้ว่าเราจะทำพลาดและสูญเสียบางอย่างไป  แต่เราก็จะได้รับประสบการณ์อันมีค่าจากความผิดพลาดนั้นมาแทน  ผมขอเป็นกำลังใจให้กับคนที่มีความมุ่งมั่น  จงรีบลงมือทำเถิด   เพราะหากเราก้าวเดินก่อนคนอื่น  และมีทิศทางการมุ่งไปที่ถูกต้อง  ผมเชื่อว่า  เราต้องไปถึงจุดหมายก่อนคนอื่นแน่นอน  ซึ่งจุดหมายนั้น  มันคุ้มค่ากับการมุ่งไปจริงๆ  ขอบคุณที่เสียเวลาอ่านเรื่องของผมครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: เสือไฟ ที่ วันที่ 20 กันยายน 2010, 17:12:15
อ่านจนจบซาบซึ้งใจมากเลยครับ นับถือพี่วายุจากใจจริงเลยครับ รู้ไหมครับ พี่ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้หลายๆ คนในที่นี้ครับ ขอสนับสนุนเป็นกำลังใจและติดตามผลงานของพี่วายุตลอดไปนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 21 กันยายน 2010, 16:17:59
ตอบคุณ AIT
     ผมอยู่ในเชียงรายนี่แหละครับ  ถ้าอยากปรึกษาอะไรก็พิมพ์ถามมาได้  แต่ผมไม่ได้ดูเว็บทุกวันนะครับ  บางทีอาจต้องรอบ้าง  หรือบางที  อาจมีผู้รู้ท่านอื่นช่วยตอบให้  อันนี้ก็ดีครับ  เพราะจะเป็นการมองปัญหาในหลายแง่มุม
ส่วนคุณ Freedom
     ผมสังเกตว่าคุณชอบลงรูปคาราวานมอเตอร์ไซค์  ไม่ทราบว่าเป็นหนึ่งในแก๊งค์นั้นหรือเปล่าครับ  ไม่ได้ละลาบละล้วงนะ  แต่รูปนั้นมันให้ความรู้สึกดี  เพราะถึงแม้ว่าจะขี่รถไปกันเยอะ   ก็ไม่ได้กร่างขี่กันล้ำเส้นถนน  แต่กลับขี่ตามๆกันไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย  น่าชื่นชมครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Rooney2549 ที่ วันที่ 24 กันยายน 2010, 10:31:25
สนใจมาตลอด แต่เล่นไม่เป็น

ทุกวันนี้มัวแต่ไปลงทุนกับแทงบอลหรือไม่ก้อคาสิโนออนไลน์

เสี่ยงสูง ได้สูง เสียก้อสูง

เริ่มๆจะเบื่อละ อยากลองศึกษาเรื่องหุ้นดูบ้าง

จะตามเข้ามาอ่านบ่อยๆ นะคับ ขอบคุณความรู้และประสบการณ์ดีๆของท่านทั้งหลายคับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Freedom ที่ วันที่ 24 กันยายน 2010, 14:37:22
สนใจมาตลอด แต่เล่นไม่เป็น

ทุกวันนี้มัวแต่ไปลงทุนกับแทงบอลหรือไม่ก้อคาสิโนออนไลน์

เสี่ยงสูง ได้สูง เสียก้อสูง

เริ่มๆจะเบื่อละ อยากลองศึกษาเรื่องหุ้นดูบ้าง

จะตามเข้ามาอ่านบ่อยๆ นะคับ ขอบคุณความรู้และประสบการณ์ดีๆของท่านทั้งหลายคับ

หุ้น กับ การพนัน มีความเสี่ยงเหมือนกัน...แต่ต่างกันที่

หุ้น เราสามารถจัดการ บริหารความเสี่ยงได้ ในขณะที่การพนัน...เราไม่สามารถจะจัดการ จำกัด หรือบริหารความเสี่ยงอะไรได้เลย  :) :)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 26 กันยายน 2010, 15:23:06
ประกาศครับ!!!
     ใครอยากคุยเรื่องลงทุนกัน  เรามาคุยกันได้ครับ  ผมว่างทุกวันเสาร์  อยู่ในตัวเมืองเชียงรายนี่แหละ  บางทีการนั่งคุยกัน  มันจะได้สาระมากกว่า  เพราะการที่ผมลงข้อความให้อ่าน  มันเป็นการสื่อสารด้านเดียว  บางที  คุณๆอาจจะอยากถามบางเรื่องบางประเด็น  หรือไม่ค่อยมีเวลาเข้ามาอ่านข้อความ  หรือบางที  มีเวลามาอ่าน  แต่ผมยังไม่ได้มาอัพ  ก็อาจจะเซ็งอารมณ์กันไป  ตอนนี้ก็อยากเจอคนที่มีความชอบด้านเดียวกันบ้าง  ผมก็ไม่ได้ว่าตัวเองเก่งนะครับ  มีผู้รู้มาคุยกันก็ได้  ผมจะได้ถามไถ่เรื่องที่ผมไม่รู้บ้าง  และท่านอื่นๆจะได้มีความรู้พร้อมกันไปด้วย  เรามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันดีกว่า  แต่ผมยังไม่รู้ว่าจะนัดเจอกันที่ไหน  หรือจะเริ่มต้นยังไง  เอาเป็นว่า  ใครมีที่เหมาะๆที่จะนั่งคุยกัน  ก็แนะนำมาได้นะครับ  แล้วเดี๋ยวพอลงตัวแล้ว  ก็ค่อยนัดกันเป็นเรื่องเป็นราวอีกทีหนึ่ง  คุณคิดว่าเป็นไงบ้างครับ  ผมนี่คุยได้ทุกเรื่องนะครับ  ยกเว้นยืมเงิน...555  แล้วเวลาเจอหน้าอย่าตกใจนะครับ  เพราะใครๆเขาก็พูดว่า  หน้าผมเหมือนฟิล์ม(ถ่ายแล้วแต่ยังไม่ได้ล้าง)  ล้อเล่นนะครับ  แค่นี้ก่อนแล้วกัน  ขอบคุณที่สนใจเรื่องการลงทุนครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Rooney2549 ที่ วันที่ 26 กันยายน 2010, 16:09:34
เสนอนิดนึง น่าจะมีคนสนใจนะ

อยากให้ท่านวายุ จัดอบรมเรื่องของการลงทุนโดยการเล่นหุ้นน่ะ
ไม่ต้องเป็นพิธีการมากก้อได้ แค่ชักชวนคนที่สนใจมาร่วมอบรมกัน แลกเปลี่ยนกัน โดยมีท่านวายุเป็นผู้อบรม สอนวิธีการลงทุน แชร์ประสบการณ์ ประมาณนี้อ่ะคับ ส่วนเรื่องค่าอบรมเอาแค่พอเป็นพิธีก้อได้ ผมว่ามีคนสนใจนะ ไม่ถึง 10 คน ก้อยังจัดได้เลย เอาเรื่องของการพบปะกันเป็นหลัก อย่างน้อยก้อผม 1 คนล่ะ

เสนอนะ ใครสนอง บอกกกันด้วยเด้อ ขอบคุณ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: AIT ที่ วันที่ 27 กันยายน 2010, 23:58:43
อยากเรียนถามท่านวายุว่าในเชียงราย ตามความเห็นของท่านวายุ โบรกเกอร์ไหนเข้าท่าสุดครับ ในภาพรวม ๆ CGS หน้า Crmall เป็นไงบ้าง


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 29 กันยายน 2010, 16:13:47
ตอบคุณ AIT
     ไม่ทราบว่าคุณเป็นมาร์เก็ตติ้งที่นั่นหรือเปล่า  ถ้าใช่  คุณคงเคยเห็นหน้าผมบ่อยๆ  เพราะคนที่นั่นชอบเรียกผมว่านินจา  เพราะเวลาผมผ่านไปทางนั้น  ผมชอบแวะเข้าไปดูราคาหุ้น  พอดูเสร็จ  ผมก็จะหายตัวไป  เนื่องจากว่าบ้านผมไม่ติดเนต  ทุกวันนี้เวลาดูหุ้นต้องดูทางช่อง 9(ชีวิตน่าสงสารจัง)  อย่าลืมนะครับ  ใครมีที่นั่งคุยกันก็บอกได้  ช่วงนี้ตลาดหุ้นกระทิงเต็มตัวเลย  เงินทะลักเข้ามาจากนอก  ใครไม่มีของก็เข้าได้ครับ  แต่ถ้ามันหันหัวกลับ  ต้องออกให้ไว  ใครไม่มีเวลา...อย่าเพิ่งเสี่ยงเลยครับ  รอรอบหน้าก็ได้  ค่อยๆศึกษาหุ้นไปเรื่อยๆ  มาคุยกันคนน้อยๆเหมือนคุณรูนี่ก็ได้  ส่วนค่าอบรม  ผมไม่คิดหรอก  อยากให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้นครับ  ตอนนี้ใจดีอยู่เพราะหุ้นที่ผมถือไว้ขึ้นแรงมาก  ซื้อตอน 29 บาท  ตอนนี้ 43 บาท  กำไรอยู่ห้าหมื่นกว่าแล้ว  รอไว้ถ้าหุ้นตกก่อน  แล้วค่อยเก็บค่าเรียนครับ(ล้อเล่นน่ะ)  ถ้าหุ้นตก  มันก็มีวิธีได้กำไรจากหุ้นตกด้วยนะครับ  เล่นตราสารอนุพันธ์ไงครับ  ใครรู้จักบ้างเอ่ย  ถ้าเรามีความรู้  ไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง  เราก็สามารถทำเงินได้ทั้งนั้น  ถ้าใครสนใจ  เดี๋ยวหาที่คุยกันได้แล้ว  จะแฉหมดเปลือกเลยครับ  ขอบคุณที่สนใจ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: เสือไฟ ที่ วันที่ 29 กันยายน 2010, 16:31:53
เห็นว่าน่าสนใจดีครับ เป็นการจำลองการเล่นหุ้นเสมือนจริงครับ เลยเอามาฝาก

http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/stockgame/welcome.php


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 30 กันยายน 2010, 16:22:17
     ใจเย็นครับ...ผมยังไม่รู้เลยว่าจะมีใครบ้าง  แล้วยังหาที่ลงไม่ได้  ใจเย็นๆครับ  ตลาดช่วงนี้น่ากลัวมาก  เดี๋ยวเราค่อยๆฝึกวิทยายุทธกันไปก่อน  เพราะตอนนี้เงินนอกมันหาผลตอบแทนดีๆไม่ได้  มันก็เลยมะรุมมะตุ้มเข้ามาเอเชีย  แต่ถ้าถามผมว่าช่วงนี้เสี่ยงไหม  ผมว่า"เสี่ยงมากๆ"  เพราะมันขึ้นมาสูงมากแล้ว  ราคาหุ้นบางตัวไปไกลมาก  อีกไม่นานพอเศรษฐกิจบ้านเขาดีขึ้น  เดี๋ยวเขาก็ดึงเงินกลับไปเองล่ะครับ  แล้วพอถึงตอนนั้น  หุ้นก็คงจะลงมาบ้าง  ทุกวันนี้  หุ้นมันขึ้นได้เพราะแรงซื้อต่างชาติน่ะครับ  และสำหรับผม  มีต้นทุนถูกอยู่แล้ว  ช่วงนี้ก็เลยรอได้ครับ  เพราะถ้าหุ้นมันหันหัวลง  ผมก็ยอมกำไรลดลงหน่อยขายออกมาก่อน  แล้วพอฝุ่นหายตลบ  ผมก็ค่อยกลับเข้ามาซื้อใหม่น่ะครับ
     ส่วนเรื่องที่ผมมาชวนเล่นหุ้นก็เนื่องจากว่า  มีหลายท่านที่อยากเป็นนักลงทุน  แต่ไม่รู้จะเริ่มจากจุดไหน  ผมก็เลยว่า  หุ้นนี่แหละเหมาะที่สุด  เพราะมีเงินน้อยก็ลงทุนได้  ตอนนี้ใครเป็นลูกจ้างกินเงินเดือนก็ลงทุนได้  ใครเป็นเจ้าของกิจการก็ลงทุนได้  แต่ผมอยากให้คนที่เป็นลูกจ้างเริ่มลงทุนเพื่ออนาคตได้แล้ว  เพราะความมั่นคงในงานมันไม่แน่นนอนอีกแล้ว  สมมุติว่าคนที่เป็นเจ้าของบริษัทเค้าอยากลดค่าใช้จ่ายลง  เค้าก็ต้องคัดคนออกบ้างเพื่อความอยู่รอดของตัวเขาเอง  แล้วถ้าคนที่เขาเอาออกเป็นเรา  แล้วเราจะทำอย่างไรครับ  แต่ถ้าเรามีวิชาการลงทุนอยู่กับตัว  มันก็สามารถทำประโยชน์ได้บ้าง  เพราะ"รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา"  และ"รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม"  การที่เรามีความรู้  มันก็ไม่ได้แบกไว้นี่ครับ...จริงไหม  และผมถือคติที่ว่า  การที่เราจะช่วยใครสักคน  เราก็ควรที่จะสอนให้เขาตกปลากินเอง  ไม่ใช่ตกปลาให้เขากินทุกครั้งที่เขาหิว  เอาไว้หาที่ลงได้แล้วจะแจ้งให้ทราบครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: HeinekeN ที่ วันที่ 01 ตุลาคม 2010, 17:42:23
เขียนได้ดีครับ ผมเองก็กำลังศึกษาอยู่เหมือนกัน
ขอบคุณที่นำความรู้และประสบการณ์มาแชร์ให้แง่คิดครับผม
ได้แต่มัวศึกษา ไม่ยอมลงไปทดสอบของจริงสักที
พอดีเห็นลุงกะน้าเค้าลงทุนอยู่ แล้วเค้าได้ผลตอบแทนค่อนข้างสูงมากๆ
จึงบอกให้ผมมาลองศึกษาดูน่ะครับ
คงต้องติดตามบทความคุณวายุมากๆแล้วครับ ^^


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: QingGE ที่ วันที่ 02 ตุลาคม 2010, 12:27:45
         "คนจน  คนรวย"
ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง  หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่น่าอยู่  แต่น่าเสียดายที่  เวลาฝนไม่ตก  ทุกคนในหมู่บ้านจะไม่มีน้ำใช้  ผู้ใหญ่บ้านจึงประกาศหาคนที่จะรับหน้าที่นำน้ำมาให้คนในหมู่บ้านใช้  มีชาย 2 คนประกาศตัวรับงานนี้  ซึ่งผู้ใหญ่บ้านก็เห็นว่าดี  เพราะหวังว่าเมื่อมีคนแข่งขันกันทำงาน  จะทำให้น้ำมีราคาเป็นธรรมและมีคุณภาพที่ดี  เมื่อได้งานเป็นที่เรียบร้อย  ชายคนแรก(1)และชายคนที่สอง(2)ก็เริ่มลงทุนทันที  ทั้งสองคนนี้  มีเงินลงทุนเริ่มแรกที่หนึ่งล้านบาทเท่ากัน  1 นำเงินไปซื้อรถปิคอัพและถังน้ำใบใหญ่เพื่อใช้ตวงน้ำและบรรทุกไปส่งให้คนในหมู่บ้าน
     ทุกๆวัน 1 จะตื่นก่อนใครในหมู่บ้านเพื่อไปนำน้ำจากแหล่งน้ำที่อยู่ไกลออกไปมาใส่ในตุ่มของทุกบ้านจนเต็ม  ถึงแม้จะเหนื่อย  แต่ 1 ก็มีความสุขกับงานดี  เพราะมีเพียงเขาและ 2 เพียงสองคนเท่านั้นที่ได้รับงานนี้  ส่วน 2 นำเงินไปซื้อปั๊มน้ำ  และจ้างคนมาวางท่อ จากแหล่งน้ำมาจนถึงหมู่บ้านและต่อท่อไปตามบ้านต่างๆ  เมื่อเดินท่อพร้อมแล้ว 2 ก็ประกาศว่า ทุกคนจะสามารถใช้น้ำได้ทุกเวลาตลอดทั้งวัน  โดยไม่ต้องรอให้เขาไปตักมาให้  และใช้ได้ทุกวันด้วย  ในขณะที่ 1 ไม่สามารถนำน้ำมาให้ชาวบ้านได้ในวันที่เขาหยุด
     1  ไม่ยอมแพ้  แก้เกมด้วยการไปซื้อถังน้ำเพิ่ม  เพื่อบรรทุกให้มากขึ้นในแต่ละรอบ  และพยายามไม่หยุดงาน  เพราะถ้าเขาหยุดงาน  รายได้ของเขาจะหยุดไปด้วย
     ในขณะที่ 2 เห็นว่า  ถ้าหมู่บ้านนี้ต้องการน้ำ  หมู่บ้านอื่นก็คงต้องการน้ำเหมือนกัน  2 จึงไปติดต่อที่หมู่บ้านอื่น  เพื่อนำน้ำไปให้คนในหมู่บ้านอื่นใช้  และเขาก็ได้งานเพิ่มขึ้น  ทุกๆวันที่ผ่านไป  ทุกครั้งที่ชาวบ้านเปิดน้ำของ 2 ใช้  เงินก็ไหลมาสู่กระเป๋าของเขาตลอดเวลา   2 ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยที่ไม่ต้องไปทำงานอีกเลย  ในขณะที่ 1 มีปัญหาเรื่องเงินไปจนวันตาย



     เรื่องเล่าเรื่องนี้จบลงพร้อมกับคำถามของผมที่ว่า  ตอนเริ่มต้น  คนทั้งคู่มีทุนเท่ากัน  แต่เมื่อเวลาผ่านไป  ทำไมคนทั้งสองจึงมีความเป็นอยู่ที่ต่างกัน  เรื่องทั้งหมดนั้น  ผมสรุปได้ว่า  เป็นเพราะวิธี"คิด"ของคนทั้งสองต่างกัน  จึงทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ต่างกัน   แม้ว่าเขาจะทำธุรกิจเดียวกัน  เพราะฉะนั้น  เราต้องคิดให้ได้ว่า  เราจะต้องไม่ทำงานเพื่อเงิน  แต่เราต้องคิดให้เป็น  และสร้างทรัพย์สินที่ช่วยให้เราไม่ต้องทำงานไปตลอดชีวิต  เหมือนกับเรื่องที่ได้อ่านไป
     แท้จริงแล้ว  คนจนและคนรวยต่างกันแค่วิธีคิดเท่านั้น  ถ้าคุณคิดเหมือนคนรวยคิดคุณก็จะรวย  เพราะความคิด  กำหนดการกระทำของคน  ผมเคยเห็นคนจนที่มีเงินมากมาแล้ว  ความหมายก็คือ  เขามีเงินมากก็จริง  แต่เขาไม่รู้วิธีทำให้เงินงอกเงย  และไม่รู้จักวิธีใช้ให้เงินไปทำงานแทนเขา  เขาจึงต้องทำงาน  และเก็บเงินไปเรื่อยๆ  โดยที่ชีวิตก็รู้จักอยู่แค่นั้น  บางคนร้ายไปกว่านั้น  เขามีโชคโดยการถูกหวยรางวัลใหญ่  แต่พอเวลาผ่านไปไม่นาน  เงินเขาก็หมด  และกลับมาเป็นคนจนอีกครั้ง  เพราะฉะนั้นแล้ว  ในสมัยนี้  ความฉลาดทางการเงินสำคัญมาก  เราต้องรู้ว่า  อะไรคือทรัพย์สิน  และเราจะใช้ทรัพย์สินเลี้ยงตัวเราได้อย่างไร  หรือใช้ให้เงิน  ไปทำงานแทนเราได้อย่างไร  แล้วเราจะไม่เหนื่อยมาก  การมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงาน  ผมว่า  เป็นความวิเศษสุดของชีวิตแล้ว

แต่ในความเป็นจริง การวางท่อของ 2 ในหมู่บ้านไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ ต้องผ่านขั้นตอนกฎหมายมากมาย เผลอๆอาจมีใต้โต๊ะคอรับชั่น ยุ่งยากมาก การเปรียบเทียบแบบนี้ผมว่าไม่ค่อยสมเหตุผลเพราะผลมันเห็นอยู่แล้วในทางทฤษฎี .... ในสภาพจริงนาย 2 ทำได้อยากมาก ตัวอย่างเช่น...ถ้าจะเปรียบเทียบเรื่องนี้ในสภาพจริงในปัจจุบัน  ทำไม ปตท ไม่วางท่อน้ำมัน อย่างที่ นาย 2 คิดล่ะ ลดค่าใช้จ่ายได้ตั้งมากไม่ต้องซื้อรถ จ้างคน ในการบรรทุกน้ำมัน แบบนาย 1 หรือว่า คน ปตท คิดแบบนาย 2 ไม่ออกสักคน แต่ ปตท ก็รวยขึ้นๆๆ ไม่แน่นาย 1 อาจรวยแบบ ปตท ก็ได้นะ

การลงทุนหุ้นมีรายได้ดีก็จริง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะการจะรู้ และวิเคราะห์ ราคาหุ้นขึ้นหุ้นลงนั้นสำหรับเราคนธรรมดาไม่มีข้อมูลเบื้องลึกไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้เลย ก็ตามเค้า ตามคนวิเคราะห์ทางทีวี ทางหนังสือพิมพ์ จริงบ้างไม่จริงบ้าง ........แต่คนที่เก่งๆรวยด้วยหุ่นก็มีอยู่

ถ้าทำได้ เศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงดีที่สุดครับ:)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Freedom ที่ วันที่ 03 ตุลาคม 2010, 02:18:22
แต่ในความเป็นจริง การวางท่อของ 2 ในหมู่บ้านไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ ต้องผ่านขั้นตอนกฎหมายมากมาย เผลอๆอาจมีใต้โต๊ะคอรับชั่น ยุ่งยากมาก การเปรียบเทียบแบบนี้ผมว่าไม่ค่อยสมเหตุผลเพราะผลมันเห็นอยู่แล้วในทางทฤษฎี .... ในสภาพจริงนาย 2 ทำได้ยากมาก ตัวอย่างเช่น...ถ้าจะเปรียบเทียบเรื่องนี้ในสภาพจริงในปัจจุบัน  ทำไม ปตท ไม่วางท่อน้ำมัน อย่างที่ นาย 2 คิดล่ะ ลดค่าใช้จ่ายได้ตั้งมากไม่ต้องซื้อรถ จ้างคน ในการบรรทุกน้ำมัน แบบนาย 1 หรือว่า คน ปตท คิดแบบนาย 2 ไม่ออกสักคน แต่ ปตท ก็รวยขึ้นๆๆ ไม่แน่นาย 1 อาจรวยแบบ ปตท ก็ได้นะ

น่าจะเป็นเพียงอุปมา อุปมัย ที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อให้ผู้อ่านได้ "เห็น" และ "เข้าใจ"
ความหมาย และ ความแตกต่างของการ
"สร้างระบบ" และ "การเป็นระบบเสียเอง" ( แบบให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายๆ ) มากกว่าครับ :) :)

1 ในข้อคิดจากผู้เขียน ที่ผมได้รับ :
คนรวย(2) มัก สร้างระบบ... ส่วน คนชั้นกลางหรือชนชั้นผู้ใช้แรงงาน(1) มักเป็นฟันเฟืองอยู่ในระบบ หรือทำตัวเป็นระบบเสียเอง.... เมื่อรู้เคล็ดลับข้อนี้แล้ว ใครยังอยากเป็นฟันเฟืองหรือ ทำตัวเป็นระบบเสียเองอยู่...ก็เชิญตามสะดวกเลยครับ ;)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 03 ตุลาคม 2010, 16:15:16
ตอบคุณธุลีดิน
     ที่ผมได้ยกตัวอย่างไปมันเป็นเพียงการเปรียบเทียบแนวคิดเท่านั้น  ผมยกตัวอย่างให้ดูง่ายๆนะครับ  คุณจะได้เข้าใจ   สมมุติว่ามีคนสองคนคือนาย(1)  และ(2)  อีกแล้ว  กำลังเข้ามาทำธุรกิจอสังหาฯ(บ้าน)  นาย 1 ซื้อบ้านมาซ่อมแซมแล้วขายไป  ได้กำไรมาเข้ากระเป๋า  แล้วหลังจากนั้น  ถ้าเขาหาบ้านมาซ่อมขายไม่ได้  เขาจะได้เงินไหมครับ  ส่วน 2  ซื้อบ้านมาซ่อมแซมนิดหน่อยให้ดูน่าอยู่  จากนั้นเขาก็หาผู้เช่า  และตราบที่เขามีผู้เช่าอยู่  เงินก็จะไหลเข้ามาหาเขาเรื่อยๆโดยที่เขาไม่ต้องทำงานอีกเลย  นั่นก็คือการ"สร้างท่อน้ำ"เพื่อส่งรายได้มาเข้ากระเป๋าเรานั่นเอง  เมื่อเปรียบกับ 1 แล้ว  เขาทำอย่างนั้นโดยคล้ายกับว่า  ไปขนน้ำมาส่ง  ซึ่งก็คือ  ถ้าไม่ทำงานก็ไม่ได้เงินไงครับ  ทีนี้คุณคงจะกระจ่างกับแนวคิดนี้แล้วนะครับ  ถ้าอย่างไร  อยากมีความรู้เพิ่มมากขึ้น  เรามานั่งคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันก็ได้นะครับ  ยินดีที่ได้รู้จักนักลงทุนทุกท่าน  ที่เรามาโพสข้อความตอบโต้กันนี้  ผมไม่ได้มองว่าเราทะเลาะกันนะครับ  เพียงแต่มุมมองของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน  และคนที่เข้ามาอ่านก็ได้รับประโยชน์ด้วยครับ
     และประกาศครับ   ผมไปดูสถานที่คุยกันแล้วครับ  ผมว่า CR MALL ชั้น 3 เป็นไงครับ  มีที่จอดรถ  มีแอร์  มีขนมและน้ำขาย  มีห้องน้ำด้วย  แต่ไม่รู้ว่ามีเนตให้เล่นฟรีหรือเปล่านะครับ  เสียอย่างตรงที่เสียงคาราโอเกะดังไปนิดนึง  วันเสาร์ผมว่างพอดี  เอาว่าเริ่ม  4 โมงเย็นเป็นไงครับ  คุยเสร็จเที่ยวถนนคนเดินต่อเลย  ไม่เสียเที่ยวสำหรับคนเดินทางมาไกล  เอาเป็นว่า  เชิญผู้รู้ทุกท่านนะครับ  ใครมีความรู้เยอะก็เอามาแบ่งผมบ้าง  ใครมีน้อยก็มาเก็บไป  แล้วยังไงจะเข้ามาอัพอีกทีครับ  ขอบคุณที่สนใจ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 04 ตุลาคม 2010, 15:57:36
ประกาศ!!!
     วันเสาร์ที่ 9 ต.ค.เวลา 4 โมงเย็น CR MALL ชั้น 3 นะครับ  ใครจะมาช่วยบอกผมด้วย  ผมจะได้เตรียมตัวหาข้อมูลไว้  หรือถ้าใครมีที่ดีกว่านี้ก็ช่วยบอกหน่อยครับ  สำหรับคนขี้สงสัย  เชิญมาถล่มผมได้เลย  ถ้าตอบได้ก็ตอบ  ตอบไม่ได้ก็ต้องพึ่งอับดุล...เอ๊ยไม่ใช่  ถ้าตอบไม่ได้แล้วผมค่อยหาข้อมูลมาตอบให้ภายหลัง  แต่ถ้าใครไม่มีข้อสงสัย  อาจเป็นไปได้ว่า  คุณไม่รู้อะไรเลย  ก็เลยไม่รู้จะถามอะไรใช่มะ  ถ้าไม่รู้อะไรเลย  ผมก็จะอธิบายให้คุณรู้และเข้าใจเอง OK นะครับ  สำหรับนักลงทุนทุกท่าน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: AIT ที่ วันที่ 04 ตุลาคม 2010, 19:46:33
ผมจอง 1 ที่ครับ ผมก็คนธรรมดาที่ไม่ค่อยรู้เรื่องการเล่นหุ้นเท่าไหร่ แต่อยากเล่นเป็นครับ เพราะจะเริ่มลุยกับเค้าด้วยแล้ว ไปด้วยนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 08 ตุลาคม 2010, 16:19:42
     เมื่อคืนผมได้เห็นข่าวเกี่ยวกับ"สงครามค่าเงิน"ที่ต่างประเทศกำลังทำกันอยู่  ผมรู้สึกว่า  มันต้องมีผลกระทบกับพวกเราแน่นอน  เพราะฉะนั้น  คนที่สามารถแปลงข้อมูลให้เป็นการปฏิบัติจริงๆได้  จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างดีในโลกทุนนิยมอย่างทุกวันนี้  ซึ่งทุกวันนี้  กระแสเงินมีการเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก  หากเราอยากชนะ  เราต้องตื่นตัวอยู่เสมอ  คนหลายคนในทุกวันนี้  เล่นเกมการเงินเพียงเพื่อไม่ให้แพ้เท่านั้น  หากอยากชนะ  เราต้องรู้จักและทำความเข้าใจกับกติกาของเกมด้วย
     สงครามค่าเงินคืออะไร....ในข่าวยังไม่ชัดนัก  แต่เท่าที่ผมวิเคราะห์ดูแล้วทำให้ทราบว่า  ในอนาคต  เราจะไม่ได้ใช้อาวุธมารบกัน  แต่เราจะใช้เศรษฐกิจมารบกัน  ใครสามารถทำกำไรได้มากกว่า  ได้เปรียบดุลการค้ามากกว่า  คนนั้นจะเป็นผู้กำชัย
     ทุนนิยมคืออะไร  ในความเห็นของผมแล้ว  ระบบทุนนิยมเป็น"การทำลายอย่างสร้างสรรค์"  เพราะของที่ดีกว่า  หรือบริการที่ดีกว่า  จะเป็นผู้ทำลายของที่ด้อยกว่าให้ออกจากตลาดไป  แล้วเราค่อยเจอกันพรุ่งนี้นะครับ....ตามนัด


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 ตุลาคม 2010, 16:29:06
ผมไปแล้วนะครับ  แต่ไม่รู้จะทักใคร  เพราะดูเหมือนไม่มีใครจะมาหาผมเลย  มีแต่คนนั่งอยู่มุมส่วนตัวทั้งนั้น  เอาไว้ค่อยนัดกันอีกทีแล้วกัน  เอาแบบชัวร์ๆ  ใส่เสื้ออะไร  หน้าตายังไง  อายุเท่าไหร่  OK  นะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: AIT ที่ วันที่ 09 ตุลาคม 2010, 16:34:35
ผมไปแล้วนะครับ  แต่ไม่รู้จะทักใคร  เพราะดูเหมือนไม่มีใครจะมาหาผมเลย  มีแต่คนนั่งอยู่มุมส่วนตัวทั้งนั้น  เอาไว้ค่อยนัดกันอีกทีแล้วกัน  เอาแบบชัวร์ๆ  ใส่เสื้ออะไร  หน้าตายังไง  อายุเท่าไหร่  OK  นะครับ

คุณวายุใช่คนที่ใส่เสื้อสีแดง ๆ ละเปล่าครับ ผมไปเดินดู ไม่เห็นใครเช่นกันครับ เสียดายจริง ๆ สงสัยสมาชิกจะไม่ว่างกันนะครับ โอกาสหน้าคงต้องนัดกันดี ๆ อีกที


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: เสือไฟ ที่ วันที่ 09 ตุลาคม 2010, 16:47:43
ผมก็ไปครับ ไม่เห็นใครซักคน เห็นพี่เสื้อแดง ผมเข้าไปทักใช่พี่วายุไหม เขาบอกว่าไม่ใช่นะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: QingGE ที่ วันที่ 10 ตุลาคม 2010, 00:32:08
ตอบคุณธุลีดิน
     ที่ผมได้ยกตัวอย่างไปมันเป็นเพียงการเปรียบเทียบแนวคิดเท่านั้น  ผมยกตัวอย่างให้ดูง่ายๆนะครับ  คุณจะได้เข้าใจ   สมมุติว่ามีคนสองคนคือนาย(1)  และ(2)  อีกแล้ว  กำลังเข้ามาทำธุรกิจอสังหาฯ(บ้าน)  นาย 1 ซื้อบ้านมาซ่อมแซมแล้วขายไป  ได้กำไรมาเข้ากระเป๋า  แล้วหลังจากนั้น  ถ้าเขาหาบ้านมาซ่อมขายไม่ได้  เขาจะได้เงินไหมครับ  ส่วน 2  ซื้อบ้านมาซ่อมแซมนิดหน่อยให้ดูน่าอยู่  จากนั้นเขาก็หาผู้เช่า  และตราบที่เขามีผู้เช่าอยู่  เงินก็จะไหลเข้ามาหาเขาเรื่อยๆโดยที่เขาไม่ต้องทำงานอีกเลย  นั่นก็คือการ"สร้างท่อน้ำ"เพื่อส่งรายได้มาเข้ากระเป๋าเรานั่นเอง  เมื่อเปรียบกับ 1 แล้ว  เขาทำอย่างนั้นโดยคล้ายกับว่า  ไปขนน้ำมาส่ง  ซึ่งก็คือ  ถ้าไม่ทำงานก็ไม่ได้เงินไงครับ  ทีนี้คุณคงจะกระจ่างกับแนวคิดนี้แล้วนะครับ  ถ้าอย่างไร  อยากมีความรู้เพิ่มมากขึ้น  เรามานั่งคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันก็ได้นะครับ  ยินดีที่ได้รู้จักนักลงทุนทุกท่าน  ที่เรามาโพสข้อความตอบโต้กันนี้  ผมไม่ได้มองว่าเราทะเลาะกันนะครับ  เพียงแต่มุมมองของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน  และคนที่เข้ามาอ่านก็ได้รับประโยชน์ด้วยครับ
     และประกาศครับ   ผมไปดูสถานที่คุยกันแล้วครับ  ผมว่า CR MALL ชั้น 3 เป็นไงครับ  มีที่จอดรถ  มีแอร์  มีขนมและน้ำขาย  มีห้องน้ำด้วย  แต่ไม่รู้ว่ามีเนตให้เล่นฟรีหรือเปล่านะครับ  เสียอย่างตรงที่เสียงคาราโอเกะดังไปนิดนึง  วันเสาร์ผมว่างพอดี  เอาว่าเริ่ม  4 โมงเย็นเป็นไงครับ  คุยเสร็จเที่ยวถนนคนเดินต่อเลย  ไม่เสียเที่ยวสำหรับคนเดินทางมาไกล  เอาเป็นว่า  เชิญผู้รู้ทุกท่านนะครับ  ใครมีความรู้เยอะก็เอามาแบ่งผมบ้าง  ใครมีน้อยก็มาเก็บไป  แล้วยังไงจะเข้ามาอัพอีกทีครับ  ขอบคุณที่สนใจ
ขอบคุณที่พยายามอธิบายครับเราไม่มาทะเลาะกันเรื่องแบบนี้แน่นอนครับผมก็แค่ขอแชร์ในฐานะคนซื้อหุ้นคนหนึ่งเท่านั้นเองและ ขออนุญาติใช้คำว่าแชร์ความคิดกันดีกว่า ผมเข้าใจสิ่งที่คุณพยายามจะสื่อครับเห็นด้วยบ้างไม่เห็นด้วยบ้างเป็นธรรมดา

จุดประสงค์ที่ผมเขียนแย้งนั้นเป็นเพราะเพียงแค่ต้องการจะสื่อว่า การลงทุนหุ้นมีความเสี่ยง(สูง)ไม่ได้ง่ายเหมือนแนวคิดที่คุณนำเสนอการหาเงินของนาย 2  เพราะถ้าเชื่อตามแนวคิดนี้ก็ซื้อหุ้นเก็บให้มันทำงานทำเงินให้เราอย่างเดียวเราขายได้กำไรก็มีเงินใช่ไหมครับ แต่ปัจจัยเกี่ยวกับความผันผวนของหุ้นไม่คิดเหรอครับทั้ง เศษฐกิจ การเมือง ค่าเงิน ทั้งในและต่างประเทศ ผลประกอบการบริษัทฯลฯ ถ้าจะอุปมาอุปมัยเปรียบเทียบกับ นาย 2 ที่ซ่อมบ้านให้เช่า ปัจจัยความผันผวนในรายได้ของนาย2ก็คือ ต้องหาผู้เช่าให้ได้ ต้องซื้อบ้านที่อยู่ในทำเลที่ดี ซึ่งทำเลดีก็คงราคาไม่ถูก ค่าบำรุงรักษาบ้าน + ความเสี่ยงที่ผู้เช่าจ่ายเงินค่าเช่าไม่ตรงเวลา ระยะในการเช่าฯลฯ

ขอบคุณที่ชวนครับ แต่คงไปไม่ได้เพราะผมไม่ได้อยู่ในเชียงรายครับกลับบ้านนานๆที






หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: QingGE ที่ วันที่ 10 ตุลาคม 2010, 00:45:51
แต่ในความเป็นจริง การวางท่อของ 2 ในหมู่บ้านไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ ต้องผ่านขั้นตอนกฎหมายมากมาย เผลอๆอาจมีใต้โต๊ะคอรับชั่น ยุ่งยากมาก การเปรียบเทียบแบบนี้ผมว่าไม่ค่อยสมเหตุผลเพราะผลมันเห็นอยู่แล้วในทางทฤษฎี .... ในสภาพจริงนาย 2 ทำได้ยากมาก ตัวอย่างเช่น...ถ้าจะเปรียบเทียบเรื่องนี้ในสภาพจริงในปัจจุบัน  ทำไม ปตท ไม่วางท่อน้ำมัน อย่างที่ นาย 2 คิดล่ะ ลดค่าใช้จ่ายได้ตั้งมากไม่ต้องซื้อรถ จ้างคน ในการบรรทุกน้ำมัน แบบนาย 1 หรือว่า คน ปตท คิดแบบนาย 2 ไม่ออกสักคน แต่ ปตท ก็รวยขึ้นๆๆ ไม่แน่นาย 1 อาจรวยแบบ ปตท ก็ได้นะ

น่าจะเป็นเพียงอุปมา อุปมัย ที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อให้ผู้อ่านได้ "เห็น" และ "เข้าใจ"
ความหมาย และ ความแตกต่างของการ
"สร้างระบบ" และ "การเป็นระบบเสียเอง" ( แบบให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายๆ ) มากกว่าครับ :) :)

1 ในข้อคิดจากผู้เขียน ที่ผมได้รับ :
คนรวย(2) มัก สร้างระบบ... ส่วน คนชั้นกลางหรือชนชั้นผู้ใช้แรงงาน(1) มักเป็นฟันเฟืองอยู่ในระบบ หรือทำตัวเป็นระบบเสียเอง.... เมื่อรู้เคล็ดลับข้อนี้แล้ว ใครยังอยากเป็นฟันเฟืองหรือ ทำตัวเป็นระบบเสียเองอยู่...ก็เชิญตามสะดวกเลยครับ ;)


ขอบคุณครับ เราจับประเด็นกันคนละจุดครับ  ;) :) ;)

การเป็นผู้สร้างระบบ ในยุคโลกาภิวัฒน์อย่างนี้ เก่งอย่างเดียวก็ไม่ได้แล้ว ต้องเก่งบวกเฮง บวกโอกาส บวกกัลยานิตร หมดยุคเสื่อผืนหมอนใบอย่างเจ้าสัวซีพีแล้วครับ ใครก็ไม่อยากเป็นขี้ข้าใครแต่ก็ต้องจำใจเพราะจำเป็น... ได้ครับพี่ ดีครับท่าน ถูกต้องครับจ้าาาวนาย เฮ้อชีวิต!


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 10 ตุลาคม 2010, 19:28:55
ใครว่างอยากนั่งคุยกัน  พรุ่งนี้คาดว่าผมจะว่างอีกวันครับ  เมลมาที่  vayuasanee@yahoo.co.th  แล้วผมจะส่งเบอร์โทรไปให้ครับ  แล้วเราค่อยนัดเจอกันอีกที  ทั้คุณเสือและคุณอิฐ(ชื่อย่อ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: AIT ที่ วันที่ 10 ตุลาคม 2010, 20:10:21
ใครว่างอยากนั่งคุยกัน  พรุ่งนี้คาดว่าผมจะว่างอีกวันครับ  เมลมาที่  vayuasanee@yahoo.co.th  แล้วผมจะส่งเบอร์โทรไปให้ครับ  แล้วเราค่อยนัดเจอกันอีกที  ทั้คุณเสือและคุณอิฐ(ชื่อย่อ)

PM เบอร์โทรมาก็ได้ครับคุณวายุ เบอร์ผม 0815317814 นะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 11 ตุลาคม 2010, 16:12:03
ตอบคุณธุลีดิน
     ผมจะตอบคำถามเป็นข้อๆไปเพื่อความกระจ่างนะครับ
1.หุ้นมีความเสี่ยงสูง  อันนี้จริงไหม?  ผมขอตอบว่าความเสี่ยงมันมีอยู่ทุกที่ล่ะครับ  แต่เราจะสามารถทำให้มันลดลงหรือหมดไปได้ไหม  คำตอบคือ"ได้"ด้วยความรู้ทางการเงิน  สมมุติว่า  หุ้นตัวหนึ่งเคยซื้อขายกันที่ราคา 10 บาท  มีเงินปันผลให้ปีละ 1 บาท ซึ่งเท่ากับว่าได้ผลตอบแทนปีละ 10 % แต่ถ้าจู่ๆเกิดราคาหุ้นพุ่งขึ้นโดยที่พื้นฐานบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลง  ราคาหุ้นไปอยู่ที่ 20 บาท  เมื่อดูผลตอบแทนที่ได้ปีละ 1 บาทแล้ว  ราคาหุ้น ณ ขณะนั้นให้ผลตอบแทนเหลือเพียง 5 % เท่านั้น  และถ้าเรายังไม่มีหุ้นตัวนั้นอยู่  ผมถามว่าถ้าเราจะเข้าไปซื้อ  นั่นเป็นความเสี่ยงหรือไม่  และในทางกลับกัน  ถ้าราคาหุ้นตกลงมาโดยที่พื้นฐานบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลง  เหลือหุ้นละ 5 บาท  เมื่อดูผลตอบแทนที่ได้ปีละ 1 บาทแล้ว  อัตราผลตอบแทนที่ได้เท่ากับ 20 %  และถ้าเรายังไม่มีหุ้นตัวนั้นอยู่  ถ้าเราเข้าไปซื้อ  จะเสี่ยงไหมครับ  เพราะผลตอบแทนที่ได้เท่ากับ 20 %นั้น  แค่ถือหุ้นไว้ 5 ปีก็คืนทุนหมดแล้ว  และหลังจากนั้น  เราก็จะได้เงินปันผลเข้ามาฟรีๆทุกปี  เพราะฉะนั้น  เวลาที่เราจะลงทุน  ก็ควรรอจังหวะในการเข้าซื้อ  ไม่มีใครชอบของแพงหรอกครับจริงไหม  ไม่ว่าเราจะซื้ออะไรก็ตาม  ทั้งบ้านและหุ้น  ถ้ามันยังแพงอยู่  แล้วคุณจะซื้อไหม?   ผมมองว่าหุ้น"เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ"  ไม่ได้มองว่าหุ้นเป็นการพนันครับ
2.ความผันผวน  อันนี้มันเป็นธรรมชาติของหุ้นครับ  เนื่องจากว่า  มันเป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องสูง  แต่เราก็สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้  เพราะหุ้นมีขึ้นมีลง  เราจึงมีโอกาสและจังหวะในการเข้าลงทุนไงครับ  แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าต้องซื้อขายหุ้นบ่อยๆ  เพราะการทำแบบนั้น  มันจะทำให้เราได้ผลตอบแทนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น  เราควรจะดู"แนวโน้ม"ของธุรกิจที่คุณอยากมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ  ว่ามันจะสามารถอยู่ต่อไปได้อีกหรือไม่  หรือจะโตได้อีกไหม  และมีคู่แข่งหรือเปล่า  เพราะอย่างนี้ไงครับ  ผมถึงได้ชวนมานั่งคุยกัน  และเราอย่าให้"ความผันผวน"  มาชี้นำการตัดสินใจลงทุนของเราเลย  เพราะถ้าคุณทนไม่ได้กับการขึ้นลงของราคาหุ้น  คุณก็ไม่ควรซื้อมันมาเลยจะดีกว่า  เพราะมันก็มักจะมีคนที่เป็นนักพนันอยู่ในตลาดเสมอ  เมื่อหุ้นที่เขาซื้อไว้มันไม่ขึ้น  เขาก็จะขายทิ้งเพื่อจะไปซื้อหุ้นตัวใหม่ที่หวือหวากว่า
3.เศษฐกิจและการเมือง  จริงๆแล้วการเมืองมันมีผลน้อยมากเมื่อเทียบกับปัจจัยอื่น  และผมจะไม่ขอกล่าวถึง  แต่เรื่องเศษฐกิจ  ถ้าช่วงไหนที่เศษฐกิจตกต่ำ  นั่นหมายถึงว่า  เรากำลังจะได้รับโอกาสในการลงทุนครั้งใหม่  เนื่องจากเศษฐกิจตกต่ำ  มันเป็นเรื่องธรรมชาติ  มันเป็นการหดตัวของเศษฐกิจเท่านั้น  ส่วนมากเมื่อคนพูดถึงเศษฐกิจตกต่ำ  ก็มักจะรู้สึกไม่ค่อยดี  เลยทำให้พาลขายหุ้นและทรัพย์สินอื่นๆทิ้ง  ผมก็ลงทุนซื้อบ้านในช่วงนี้นั่นแหละ  เมื่อปีที่แล้วผมซื้อบ้านมาหลังหนึ่งในราคาเจ็ดแสน  ซึ่งราคาประเมินของมันเท่ากับเจ็ดแสนหก  ทำให้ผมกู้เงินจากธนาคารได้โดยที่ไม่ต้องวางดาวน์เลย  นี่เป็นประโยชน์จากการที่เรารู้จังหวะลงทุนนั่นเอง
4.ค่าเงิน  อันนี้ถ้าเราจะลงทุนหุ้น  ผมว่ามันเป็นปัจจัยหลักๆในการลงทุนเลยทีเดียว  แต่ถ้าอยากรู้ว่าทำไม  ลองไปดูในกระทู้เก่าๆของผมได้  ในหัวข้อ"วิธีเลือกหุ้นตามแบบฉบับของผม"
5.ปัจจัยความผันผวนในรายได้ของนาย2ก็คือ ต้องหาผู้เช่าให้ได้  อันนี้มันก็มีบ้างครับ  แต่ถ้าเรามีค่า"ความเผื่อ"ไว้  ซึ่งก็คือการมีหลายๆหลังหน่อย  ก็ช่วยทำให้เราปลอดภัยขึ้นครับ  เหมือนหอพัก  เวลาเขาสร้างที  เขาก็สร้างหลายๆห้อง  เพราะต้องมีค่าความเผื่อตัวนี้ไว้
6.ต้องซื้อบ้านที่อยู่ในทำเลที่ดี ซึ่งทำเลดีก็คงราคาไม่ถูก  อันนี้มันก็อยู่ที่จังหวะในการลงทุนไงครับ  เพราะผมเคยทำมันมาแล้ว  รอซื้อตอนที่เศษฐกิจไม่ดี  แล้วเราจะได้ของถูก  ถ้าเขาขายแพง  ก็อย่าไปซื้อสิ  เวลาเราซื้อของ  ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า  เครื่องใช้ไฟฟ้า  หุ้น  หรือบ้าน  เราก็รอให้เขาเอามาขายลดราคาให้เราก่อนแล้วค่อยซื้อ  เหมือนของห้าง  เขาจะมีการลดล้างสต็อค  เราก็เข้าไปซื้อในช่วงนั้น
7.ค่าบำรุงรักษาบ้าน อันนี้มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ  แต่มันก็สามารถชดเชยได้จากมูลค่าบ้านที่สูงขึ้น  และเราก็บวกมันเข้าไปในค่าเช่าสิครับ
8.ความเสี่ยงที่ผู้เช่าจ่ายเงินค่าเช่าไม่ตรงเวลาและระยะในการเช่า  เราก็ต้องทำสัญญาข้อตกลงก่อนเช่าสิครับ  หรือเรียกเงินค้ำประกัน  และคัดกรองผู้เช่าก่อน  เช่น  ไม่รับนักศึกษา  ไม่เอาคนทำงานกลางคืน เป็นต้น  แล้วคนที่เขาประกอบธุรกิจการเช่า  เขาอยู่ได้อย่างไรล่ะครับ
     และอีกหนึ่งกระทู้ การเป็นผู้สร้างระบบ ในยุคโลกาภิวัฒน์อย่างนี้ เก่งอย่างเดียวก็ไม่ได้แล้ว ต้องเก่งบวกเฮง บวกโอกาส บวกกัลยานิตร.....แต่จริงๆแล้ว  ในโลกปัจจุบัน  เราไม่จำเป็นต้องสร้างระบบขึ้นมาเองก็ได้  เพราะระบบ  มีวางขายอยู่เยอะแยะไป  อย่างเช่นแฟรนไชส์ 7-11 เป็นต้น  เมื่อเราเห็นว่ายี่ห้อเขาขายได้  เราก็ซื้อระบบเขามาใช้สิครับ
     ผมตอบคำถามเสร็จแล้วนะครับ  หากมีข้อสงสัยอะไรอีกก็ถามมาได้  ขอบคุณที่สนใจเรื่องการลงทุนครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ผู้หมวดหญิง ที่ วันที่ 16 ตุลาคม 2010, 04:05:19
ไม่ค่อยรู้อะไรเหมือนกัน แต่สงสัยค่ะ ถ้าหุ้นขึ้นเราก็ขายจนหมดได้กำไรมาก้อนนึง
แล้วจะลงทุนต่ออีก ต้องซื้อตัวใหม่เลยรึเปล่าคะ หรือควรจะลงทุนยังไง เพราะมันเป็นขาขึ้น ตัวไหนก็แพงหมดเลย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: QingGE ที่ วันที่ 16 ตุลาคม 2010, 10:23:03
ขอบคุณสำหรับคำตอบที่ร่ายมาซะยาว

ขอเสนอสั้นๆว่า แค่ความรู้ทางการเงินนั่นไม่พอกับการควบคุมความเสียงในการเล่นหุ่นครับขนาด บิลเกตส์ ให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร Time (นานมาแล้ว)ยังบอกว่าไม่พอ แต่นั้นก็คงแล้วแต่มุมมองของนักลงทุนว่ากันไม่ได้ แต่สำหรับผม ผมก็คิดว่าไม่พอครับ และถ้าคิดว่าการเมืองมีผลน้อยในการลงทุนหุ้นนั้นคิดผิดครับ ใครที่ซื้อหุ้นตอนสมัยประกาศค่าเงินบาทลอยตัว หรือที่ชัดๆคือ ทักษิณขายสัมปทานไทคม ให้สิงคโปร์ หรือล่าสุด การทำรัฐประหารของ ค.ม.ช. จะรู้ดีครับว่าการเมือง เศรษฐกิจ ฯลฯ มีผลต่อการเล่นหุ้นหรือไม่

ที่บอกว่าหุ่นราคา 10 บาทแล้วจู่ขึ้นไปอยู่ 20 บาท ตรงนี้แหละครับ คำว่าจู่ๆนี่แหละ ข้อมูลที่จะทำให้มันขึ้นแบบกระทันหัน ไม่มีใครล่วงรู้ได้หรอกครับ ข้อมูลเบื้องลึกของทางบริษัทใครจะเอามาบอกเพราะเค้ากลัวหุ้นตก ขาดทุน ฯลฯ

นักวิเคราะห์ก็ต้องไปวิเคราะห์ผลกระทบ ตอนนี้แหละเศรษฐกิจ การเมืองระดัโลกก็จะเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่นสมมุติว่า หุ่น 10 บาทที่คุณว่าเป็นของ ปตท. ที่เมืองไทยนี่แหละ แต่ว่าเกิดสถานการณ์คือก่อน อเมริกา ไปยึดอิรัก ข่าวนี้ไม่มีใครทราบ หุ่น ปตท จะเริ่มโดนกวาดซื้อจากวงในโดยเฉพาะนักลงทุนชาวต่างชาติ ผ่านนอมินี ที่เมืองไทยทำให้เหมือนเป็นการซื้อขายของนักลงภายในประเทศ ขณะนี้หุ่นจะเริ่มขึ้น น้ำมันจะเริ่มแพง แต่รัฐบาลไทยจะปิด โดยใช้เงินอุตหนุนไม่ต้องการให้มีประท้วงโวยวาย พอ เมกาฯ ประกาศบุก ค่าน้ำมันพุ่งพรวดๆ กลุ่มเอเป็กเห็นโอกาสเรื่องน้ำมันไม่ยอมผลิตเพิ่มเพื่อผลประโยชน์ รัฐบาลรับภาระไม่ไหว ปล่อยลอยตัว ตอนนี้หุ้น ปตท ดีดสูงสุด สมมุติว่า 20 บาท พอเอเป็ก ได้ประโยชน์พอแล้ว(ตอนนี้อีกใครจะรู้) แล้วประกาศผลิตน้ำมันเพิ่ม หุ้นเริ่มลง แต่ คนใน ปตท ฯลฯ ปูดข่าวการสต๊อกน้ำมันฯลฯ โอ๊ย!ขี้เกียจพิมพ์ เอาเป็นว่า ต่างคนต่างความคิด...สวัสดี :)




หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: QingGE ที่ วันที่ 16 ตุลาคม 2010, 10:34:40
ไม่ค่อยรู้อะไรเหมือนกัน แต่สงสัยค่ะ ถ้าหุ้นขึ้นเราก็ขายจนหมดได้กำไรมาก้อนนึง
แล้วจะลงทุนต่ออีก ต้องซื้อตัวใหม่เลยรึเปล่าคะ หรือควรจะลงทุนยังไง เพราะมันเป็นขาขึ้น ตัวไหนก็แพงหมดเลย

การจะขายหุ้นทิ้งเพื่อได้กำไรแล้ว ซื้อใหม่ ก็เป็นวิธีหนึ่งครับ แต่คุณก็ต้องไปศึกษาเพื่อซื้อหุ้นตัวใหม่เพื่อลงทุนอีก

แต่ถ้าหุ้นที่คุณซื้อเป็นหุ้นที่มีอนาคตไม่ควรขายทิ้งทั้งหมดครับโดยธรรมชาติหุ้นจะมีขึ้นลง ดังนั้นควรขายออกบางส่วนเพื่อเอากำไรตอนหุ้นขึ้น ทำนองซื้อถูกขายแพง แล้วดักซื้ออีกทีตอนหุ้นลงเป็นการซื้อเข้ามาเก็บเพื่อเก็งกำไรต่อ เป็นการเพิ่มหุ่นในพอร์ตไปในตัว เพื่อรอรับเงินปันผลครับ เป็นคำแนะนำคร่าวๆนะครับหากสนใจการลงทุนหุ้นจริงๆแนะนำให้ไปหาข้อมูล ที่ pantip.com ห้องสินทร ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวเริงปอย ที่ วันที่ 16 ตุลาคม 2010, 20:25:03
คิดจะลงทุนในหุ้น อย่าไปเดาแนวโน้มเศษฐกิจให้เสียเวลาเลยนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดแหละ มันไม่ต่างอะไรกับโยนเหรียญหัวก้อย ศึกษาข้อมูลเป็นตัวๆเหมือนเราทำธุรกิจเองเลยเอาธุรกิจที่คนต้องกินต้องใช้และแบรนด์มั่นคง ก่อนอื่นแนะนำอ่านสองเล่มนี้ก่อน แล้วจะเข้าใจครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวเริงปอย ที่ วันที่ 17 ตุลาคม 2010, 12:40:43
ถ้าโบรกเกอร์เป็นสมาชิกเวบ settrade.com จะลิ้งไปใช้ กราฟของ efinanceได้ฟรีครับ ดูตั้งแต่รายนาที จนถึงกราฟแท่งเทียนรายปีเลย ตอนนี้ผมใช้ efin smart portal version 3.2.6 ผ่านโบรค กิมเอง indicatorใหม่ๆมีให้ใช้เยอะดี แต่ที่ถนัดๆก็มีindicator ไม่กี่อย่างเท่านั้นที่เลือกใช้... แบบจ่ายเป็นแพคเกจนี่ก็ยังไม่เคยใช้ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 18 ตุลาคม 2010, 16:11:23
มึน!!!!!
     ผมไม่ดูกราฟหรอกนะครับ  ที่พวกท่านบอกมานั้น  ผมไม่รู้จักเลย...เหอ เหอ  ผมไม่ชอบเทคนิค  เพราะศัพท์ทางเทคนิคมันน่าปวดหัว  และหลายครั้งผมพบว่า  "มันไม่เป็นความจริง"  ก็อย่างที่บัฟเฟตบอกนั่นแหละครับ  เค้าไม่สนใจเรื่องตลาด  เค้าสนใจแต่ตัวธุรกิจ  เหตุผลเดียวที่เขาจะไปตลาดคือ  "ไปดูว่ามีใครกำลังทำอะไรโง่ๆอยู่หรือเปล่า"
     ส่วนวันนี้  ผมเอาเรื่องประเทืองปัญญามาฝากครับ  สำหรับท่านผู้อ่านทั่วๆไป
"สองอาชีพ"
     ในโลกทุกวันนี้  เราควรมีสองอาชีพได้แล้ว  อาชีพหนึ่งสำหรับเรา  และอีกอาชีพสำหรับเงินของเรา  หน้าที่ของนักลงทุนก็คือ  หาที่ๆเหมาะสมให้เงินเราอยู่  ถ้าเราทำงานหนัก  โดยปล่อยให้เงินของเราอยู่นิ่งๆ  เราจะเหนื่อย  และเงินของเราจะถูกขโมยมูลค่าไปโดยเงินเฟ้ออีกด้วยถ้ามันไม่มีจำนวนที่เพิ่มขึ้น  แต่ถ้าเราใช้เงินของเราทำงานให้หนัก  อนาคตเราจะสบายครับ  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  การที่เราจะหาที่อยู่ให้เงินของเราได้นั้น  มันก็ไม่เหมือนกันสำหรับทุกคน  มันแล้วแต่ว่า  คนๆนั้นรู้เรื่องการลงทุนมากชนิดแค่ไหน  หรือมีความเข้าใจในการลงทุนชนิดนั้นลึกซึ้งดีหรือไม่  ลงทุนอะไรก็ลงได้ครับ  แต่อยากให้มีเหตุผลก่อนลงทุนว่า  "ทำไม"   คุณจึงลงทุนชนิดนั้น  เพราะฉะนั้นแล้ว  "ความรู้"   สำคัญที่สุดครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: AIT ที่ วันที่ 18 ตุลาคม 2010, 22:20:51
มึน!!!!!
     ผมไม่ดูกราฟหรอกนะครับ  ที่พวกท่านบอกมานั้น  ผมไม่รู้จักเลย...เหอ เหอ  ผมไม่ชอบเทคนิค  เพราะศัพท์ทางเทคนิคมันน่าปวดหัว  และหลายครั้งผมพบว่า  "มันไม่เป็นความจริง"  ก็อย่างที่บัฟเฟตบอกนั่นแหละครับ  เค้าไม่สนใจเรื่องตลาด  เค้าสนใจแต่ตัวธุรกิจ  เหตุผลเดียวที่เขาจะไปตลาดคือ  "ไปดูว่ามีใครกำลังทำอะไรโง่ๆอยู่หรือเปล่า"
     ส่วนวันนี้  ผมเอาเรื่องประเทืองปัญญามาฝากครับ  สำหรับท่านผู้อ่านทั่วๆไป
"สองอาชีพ"
     ในโลกทุกวันนี้  เราควรมีสองอาชีพได้แล้ว  อาชีพหนึ่งสำหรับเรา  และอีกอาชีพสำหรับเงินของเรา  หน้าที่ของนักลงทุนก็คือ  หาที่ๆเหมาะสมให้เงินเราอยู่  ถ้าเราทำงานหนัก  โดยปล่อยให้เงินของเราอยู่นิ่งๆ  เราจะเหนื่อย  และเงินของเราจะถูกขโมยมูลค่าไปโดยเงินเฟ้ออีกด้วยถ้ามันไม่มีจำนวนที่เพิ่มขึ้น  แต่ถ้าเราใช้เงินของเราทำงานให้หนัก  อนาคตเราจะสบายครับ  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  การที่เราจะหาที่อยู่ให้เงินของเราได้นั้น  มันก็ไม่เหมือนกันสำหรับทุกคน  มันแล้วแต่ว่า  คนๆนั้นรู้เรื่องการลงทุนมากชนิดแค่ไหน  หรือมีความเข้าใจในการลงทุนชนิดนั้นลึกซึ้งดีหรือไม่  ลงทุนอะไรก็ลงได้ครับ  แต่อยากให้มีเหตุผลก่อนลงทุนว่า  "ทำไม"   คุณจึงลงทุนชนิดนั้น  เพราะฉะนั้นแล้ว  "ความรู้"   สำคัญที่สุดครับ

เห็นด้วยครับกับท่านวายุ ณ ปัจจุบัน คนเราต้องมี 2 อาชีพจริง ๆ ครับ ผมคิดแบบนี้มา 17 ปี แล้วตั้งแต่เริ่มทำงาน เพียงแต่เมื่อก่อน 2 อาชีพต้องใช้แรงทั้งคู่ มา ณ จุดนี้เริ่มคิดแบบท่านวายุแล้วครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวเริงปอย ที่ วันที่ 19 ตุลาคม 2010, 00:49:18
ดูขำๆถ้ายังไม่ได้เป็นจ้าวมือ




หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวเริงปอย ที่ วันที่ 19 ตุลาคม 2010, 00:58:46
the scam 20009


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวเริงปอย ที่ วันที่ 19 ตุลาคม 2010, 01:06:29
และแล้วความหมายของตลาดหุ้นของผู้กุมชะตากรรม.....



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: เสือไฟ ที่ วันที่ 23 ตุลาคม 2010, 02:42:41
เป็นนิทานที่ให้ข้อคิดดีครับ เลยเอามาฝาก

นักลงทุนชาวอเมริกัน..กำลังยืนอยู่ที่ท่าเรือ
ณ ชายฝั่งหมู่บ้านเม็กซิกัน..แห่งหนึ่ง

ขณะที่มีเรือประมงลำหนึ่ง..เข้ามาจอด
แล้วเขาก็ได้เห็น..ปลาโอครีบเหลืองกองโตๆ.. วางอยู่บนเรือลำนั้น

ชาวอเมริกัน..เอ่ยชมชาวประมงท้องถิ่นว่า..จับปลาได้เก่ง

ก่อนจะถามว่า..

“คุณใช้เวลาในการจับปลาพวกนี้นานไหม?”

ชาวประมงตอบว่า..

“ครู่เดียวเท่านั้นล่ะครับ”

“อ้าว ถ้าอย่างนั้น.. ทำไมไม่อยู่นานอีกหน่อย.. เพื่อจะได้ปลามามากกว่านี้ล่ะ?”

คนถูกถามตอบเรียบๆ

“นี่ก็พอเลี้ยงครอบครัวในวันนี้แล้วครับ”

“แล้วคุณเอาเวลาที่เหลือไปทำอะไรล่ะ”
นักลงทุนถาม

“ผมก็ยุ่งทั้งวันแหละครับ ..นอนตื่นสายๆ.. จับปลาวันละนิดละหน่อย ..เล่นกับลูกๆ ..นอนพักกลางวันกับมาเรีย ..ภรรยาของผม ..เดินเล่นในหมู่บ้าน.. จิบไวน์และเล่นกีตาร์กับเพื่อนฝูงในตอนเย็น”

คนอเมริกันจึงพูดอย่างกระหยิ่มว่า..

“ผมจบเอ็มบีเอจากฮาร์วาร์ดมา ..ผมให้คำแนะนำคุณได้นะ.. อันดับแรกก็คือ.. คุณน่าจะจับปลาให้เยอะกว่านี้ ..เพื่อจะได้ซื้อเรือลำโตๆ ...ผลจากการที่มีเรือลำโตๆ... ก็จะทำให้คุณมีเงินมากพอ...ที่จะซื้อเรือเพิ่มขึ้น

จากนั้น..คุณก็นำปลาที่หาได้ ..ไปขายให้โรงงานเสียเอง.. ซึ่งคุณก็จะควบคุมได้ทั้งหมด ..นับตั้งแต่กระบวนการผลิต.. ผลผลิต ..ตลอดจน..การจัดจำหน่าย..

ถึงตอนนั้น.. คุณก็สามารถย้ายจากหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แห่งนี้ ..ไปอยู่ที่เมืองเม็กซิโกซิตี้..จากนั้นก็ขยับขยาย ..ย้ายไปแอลเอ.. แล้วไปยังนิวยอร์ก ..ที่ซึ่งคุณสามารถขยายกิจการให้เจริญรุ่งเรืองได้ยิ่งขึ้น”

เมื่อฟังมาถึงตอนนี้.. ชาวประมงก็ถามว่า..

“แล้วทั้งหมดนี้..ต้องใช้เวลาสักกี่ปี”

“15-20 ปี”

“จากนั้นล่ะ?”

คนอเมริกันหัวเราะร่วน..และบอกว่า ..
“ที่นี้..ก็จะถึงช่วงที่สำคัญที่สุดในชีวิตล่ะ... เมื่อมีโอกาสเหมาะ คุณก็ทำหนังสือชี้ชวนขายหุ้น... เพื่อขายหุ้นทั้งหมดแก่สาธารณะ...แล้วคุณก็จะกลายมาเป็นมหาเศรษฐี... อาจทำเงินได้เป็นล้านๆ เหรียญเลยก็ได้นะ”

“เป็นล้านๆ..แล้วยังไงล่ะ?”

คนอเมริกัน..แจกแจงต่ออย่างเพลิดเพลิน
“จากนั้น..คุณก็ค่อยเกษียณตัวเอง ..ย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ...นอนตื่นสายๆ ...ตกปลาวันละเล็กๆ น้อยๆ.. เล่นกับลูก ๆ ...นอนพักกลางวันกับภรรยาที่บ้าน... ตอนเย็นก็เดินเล่นในหมู่บ้าน ..จิบไวน์ ..และเล่นกีตาร์กับเพื่อนฝูง....”


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 24 ตุลาคม 2010, 19:48:43
ตอบคุณ beell  และ  anurakshop
     การที่คุณบอกว่า  การลงทุนนั้นมันเสี่ยง  แล้วผมอยากถามว่า  มันเสี่ยงอย่างไร  อธิบายหน่อยได้ไหมครับ  เพราะผมไม่อยากให้ใครต่อใครบอกขึ้นมาลอยๆแบบไม่มีเหตุผล  แต่อย่ามาบอกว่า“เค้าว่า”นะครับ  เพราะมันเป็นคำพูดที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง  คุณต้องมีเหตุผลรองรับการกระทำให้ได้ว่า  ที่คุณพูด  คุณคิด  คุณทำนั้น  มันมีเหตุผลอะไร  แล้วถ้าเทียบกับการเล่นหวยแล้ว  อะไรมันเสี่ยงกว่ากัน  เอาง่ายๆ  ถ้าคุณเล่นหวยเลขท้าย 2 ตัว  คุณมีโอกาสแค่ 1 ใน 100 เท่านั้นที่จะสำเร็จ  หรือถ้าคุณพนันบอล  มันแบ่งออกมาได้เป็น 3 กรณีคือ  ได้  เสีย  และเท่าทุน  ซึ่งถ้าเสียแล้ว  เงินก็หมดไปอยู่ดี  หรือจะเล่นปั่นแปะ  ถ้าเล่นแบบสองเหรียญ  มันก็สามารถออกได้เป็น 3 แบบคือ  หัวกับหัว  หัวกับก้อย  และก้อยกับก้อย  ซึ่งถ้าคุณทายผิด  ก็เสียเงินอยู่ดี  แต่ถ้าคุณคิดจะเล่นหุ้น  มันแบ่งออกมาได้เป็น 3 กรณีคือ  ขึ้น  ลง  และ  ไม่ขึ้นไม่ลง  สองในสามกรณีนี้ไม่เสียหาย  คือขึ้นและเท่าทุน  แต่ถ้ามันลงแล้วคุณติดอยู่ตรงนั้น  คุณก็ยังเก็บหุ้นไว้รอมันขึ้นมาใหม่ได้  แต่ถ้าคุณขี้เกียจรอ  ก็ยอมขายขาดทุน  เพื่อนำเงินมาเล่นต่อ  แต่ถ้าเป็นการพนันอย่างอื่นแล้ว  มันไม่มีรางวัลปลอบใจนะครับ  ถ้าไม่ถูกแล้วก็อดเลย  เงินสูญสลายหายไปในอากาศ  แต่ผมก็ไม่ได้แนะนำให้ไปเล่นหุ้นแบบนี้หรอกนะ  เพราะถ้าเล่นแบบนี้  มันเป็นการพนัน  ผมแนะนำให้ลงทุนในกิจการผ่านตลาดหุ้น  เพราะตลาดหุ้น  มันเป็นศูนย์กลางการซื้อขายแลกเปลี่ยนเท่านั้น  สิ่งที่ผมทำคือ  ทำกำไรจากบริษัท  ไม่ใช่ทำกำไรจากตลาดหุ้น  เราต้องทำความเข้าใจด้วยว่า  “หุ้น”คือส่วนหนึ่งของกิจการ
     ส่วนที่คุณบอกว่ามันสำเร็จยากนั้น  ผมอยากเปรียบเทียบง่ายๆกับการไปเรียนนะครับ  คุณรู้สึกไหมว่า  กว่าที่เราจะจบมหาลัยได้  มันทั้งเหนื่อยยากและขี้เกียจเรียนขนาดไหน  แต่ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จในการเรียน  เราก็ต้องอดทนและพยายามเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด  เพื่อเราจะได้ไปสอบให้ได้คะแนนสูงๆ  ได้เกรดดีๆ  และเมื่อคุณได้ทำมันสำเร็จ  สิ่งที่คุณจะได้ตอบแทนจากการเรียนก็คือ  ใบปริญญานั่นเอง
     ในการเรียนนั้น  คะแนนคือตัวชี้วัดว่า  คุณสนใจเรียนขนาดไหน  แต่ถ้าเป็นการลงทุน  ถ้าคุณสนใจใฝ่รู้และทำมันได้ดี  สิ่งที่จะตอบแทนคุณก็คือความมั่งคั่ง  ส่วนที่คุณบอกว่า  มันสำเร็จได้ยาก  อันนี้มันก็เหมือนการเรียนคือ  คุณคิดว่าการเรียนให้จบเป็นสิ่งที่ยากไหม  ถ้าคุณเป็นคนที่รักษาคำพูดเพียงพอ  แล้วคุณตอบว่าคงเรียนไม่จบหรอก  นี่มันก็หมายถึงว่า  การที่คุณพูดว่าคุณเรียนไม่จบแล้วทำตามนั้น  มันเป็นการง่ายกว่าที่คุณจะพูดว่าเรียนจบ  แล้วคุณต้องอดทนเรียนให้จบให้ได้  การลงทุนก็เช่นกัน  ถ้าคุณบอกว่า  คุณคงไม่ประสบความสำเร็จหรอก  นั่นก็หมายความว่า  คุณเป็นคนที่ขี้เกียจ  คุณก็เลยใช้คำพูดง่ายๆ  เพื่อจะได้ทำตัวง่ายๆตามไปด้วย  เหมือนกับที่คุณพูดว่าเรียนไม่จบนั่นแหละ  คุณขี้เกียจศึกษาและไม่มีความอดทนในการที่จะทำให้มันสำเร็จ  สิ่งสำคัญก็คือ  ถ้าคุณอยากสำเร็จ  คุณควรพูดกับตัวเองว่า “จะทำอย่างไร”  แทนที่จะพูดว่า  “ทำไม่ได้”
     และที่คุณบอกว่ามีข้อมูลมากมายให้ดูนั้น  มันก็เทียบกับการเรียนได้อีก  เวลาที่คุณไปรับหนังสือเรียน  แล้วคุณคิดว่า  เพื่อนๆจะได้หนังสือแบบเดียวกับคุณไหม  แน่นอน...มันเหมือนกัน  แต่ทำไมเมื่อตอนเราสอบ  เราถึงได้คะแนนไม่เท่ากันล่ะ  นั่นเป็นเพราะความสนใจใฝ่รู้ในข้อมูลนั้นต่างกัน  แม้เราจะอ่านหนังสือเล่มเดียวกันก็ตาม  เพราะฉะนั้นแล้ว  ถ้าเราเอาใจใส่ในข้อมูลที่ได้รับมา  และทำความเข้าใจกับมันให้ถ่องแท้  และสามารถแปลความหมายในข้อมูลนั้นให้เป็นความเข้าใจ  เราก็จะได้คะแนนที่ดี  เมื่อเปรียบกับการลงทุนหุ้นแล้ว  เมื่อเราได้รับข้อมูลมา  สิ่งที่เราต้องทำคือ  ทำความเข้าใจกับข้อมูลนั้น  และแปลงข้อมูลนั้นมาเป็นการปฏิบัติ  เพื่อที่เราจะได้มีความมั่งคั่งที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
จริงๆแล้วหัวข้อกระทู้ที่ผมได้มาเปิดไว้  ต้องการเปิดไว้เพื่อให้กำลังใจคนที่ล้มเหลว  แต่พร้อมที่จะลุกขึ้นมาฝ่าฟันกับมันอีกครั้ง  หรือเพื่อคนที่ต้องการเริ่มต้น  แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน  ซึ่งการที่สอบถามเข้ามา  คำถามพวกนั้นจะได้รับคำตอบที่ดี  โดยมีเพื่อนนักลงทุนที่อาจจะแสดงตัวหรือไม่ก็ตาม  เข้ามาตอบให้  แต่เท่าที่ผมเห็น  มีแต่คน“คิดลบ”เข้ามาแสดงความเห็นส่วนตัว   โดยที่บางที  เขายังไม่รู้จักด้วยซ้ำไปว่า  หุ้นคืออะไร  หรือบางที  อาจจะยังไม่เคยลงทุนด้วยตนเองเลย  เหมือนกับคนที่ยืนอยู่กับที่  แล้วตะโกนบอกพวกที่กำลังหัดจักรยานว่า  มันอันตราย  โดยที่ตัวเองยังไม่เคยลองขี่มันด้วยซ้ำ  ซึ่งคนพูด  ได้แต่เคยเห็นคนที่ขี่ล้มแล้วมีบาดแผลน่ากลัว  แต่ถ้าคุณเคยเห็นคนที่เขาขี่จักรยานได้แล้ว  คุณเคยลองถามเขาบ้างหรือเปล่าว่า  การขี่จักรยานเป็นแล้ว  มันมีความรู้สึกอย่างไร 
     แต่ผมก็ชอบนะ  ที่ได้เห็นคำโต้แย้งเหล่านี้  เพราะมันทำให้ผมได้เค้นความสามารถและมันสมองมาตอบพวกคุณได้  ซึ่งมันก็มีผล  ทำให้ผมฉลาดขึ้นด้วย  ถ้าคุณเข้ามาแนะนำคนอื่นว่าไม่ควรลงทุนเพราะมันเสี่ยง  ผมอยากบอกคุณว่า  การลงทุนทุกอย่างก็มีความเสี่ยงทั้งนั้น  เช่น  คุณลงทุนแต่งงานกับผู้ชายสักคน  แล้วคุณคิดว่า  ผู้ชายคนนั้นจะเป็นสามีที่ดีหรือเปล่า  และคุณจะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิตได้หรือไม่  อันนี้เสี่ยงไหม  หรืออีกกรณี   คุณคิดว่า  ถ้าคุณลงทุนเปิดร้านขายอะไรสักอย่างหนึ่ง  อาจจะเป็นก๋วยเตี๋ยว  ข้าวแกง  หรือร้านเสื้อผ้า  คุณคิดว่ามันจะเจ๊งหรือไม่   แล้วคุณบอกได้ไหมว่า  ที่คุณแนะนำไม่ให้คนอื่นเขาลงทุนน่ะ  คุณจะให้เขาเอาเงินไปทำงานแทนเขาได้อย่างไร
     ส่วนมาก...คนที่คิดลบ  มักจะเป็นลูกจ้าง  และไม่ชอบความเสี่ยง  แต่ผมอยากแนะนำคุณว่า  ถ้าคุณเป็นลูกจ้างเขาไปเรื่อยๆ  จนวันหนึ่งที่คุณทำงานไม่ไหวแล้ว  คุณจะทำอย่างไรกับชีวิต  คุณจะรอความช่วยเหลือจากลูกหลานรึ? หรือคุณจะมีชีวิตอยู่จากเบี้ยยังชีพคนชรา  หรือจะกินบุญเก่าจากเงินเก็บ  แล้วถ้าเงินหมดก่อนคุณตายล่ะ....โอ้พระเจ้าจอร์จ  ผมไม่อยากคิดเลย  และเพราะการเป็นลูกจ้างนั้น  ไม่สามารถยกตำแหน่งของคุณที่อยู่ในองค์กรนั้นๆให้กับลูกหลานได้  หรือจะเซ้งตำแหน่งก็ไม่ได้  แต่ถ้าคุณมีกิจการส่วนตัว  หรือมีการลงทุนในทรัพย์สิน คุณสามารถยกให้ลูกหลานได้  หรือคุณสามารถขายทรัพย์สินเหล่านั้นก็ได้  หรือคุณไม่ต้องขายทรัพย์สินพวกนั้นก็ได้แต่คุณต้องรู้ว่า  จะหาประโยชน์จากทรัพย์สินเหล่านั้นได้อย่างไร  ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่า  เงินปันผลหรือแม้แต่กำไร   และถ้าคุณอยากสำเร็จในการลงทุน  คุณก็ต้องขยันศึกษาหาความรู้ใส่ตัวให้เยอะๆ  คุณจะได้มีความมั่งคั่งเพิ่มพูนทวีคูณ  ถ้าคุณได้รับรู้เรื่องราวของคนที่สำเร็จการศึกษาแล้วได้ใบปริญญา  แล้วคุณไม่อยากรู้เหรอว่า  คนที่เขาลงทุนแล้วสำเร็จ  ชีวิตมันเป็นอย่างไร


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 24 ตุลาคม 2010, 19:53:23
ส่วนเรื่องของคุณเสือไฟ
     ผมสรุปโดยความเห็นส่วนตัวของผมนะว่า  ถึงแม้ว่าในที่สุด  บั้นปลายชีวิตจะไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม  แต่สิ่งที่มันเปลี่ยนไปคือความมั่งคั่ง  แทนที่เราจะออกไปหาปลาทุกๆวัน  เพราะถ้าไม่ไปหาก็ไม่มีกิน  กลายเป็นว่า  เราอยากจะทำอะไรก็ได้ตามที่ใจอยากทำ  เพราะเรามีเงินมากพอโดยที่ไม่ต้องออกไปหาปลาแล้ว  ชีวิตเรามันก็ต้องการแค่นี้  แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นได้  มันก็ต้องพยายามพอควร  เอาใจช่วยสำหรับนักลงทุนทุกท่านนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Freedom ที่ วันที่ 25 ตุลาคม 2010, 13:18:57
การลงทุนไม่มีอะไรได้มาง่ายๆหรอกค่ะ

เห็นด้วยครับ แค่ทำตัวให้หลุดออกจากกรอบความคิด"เดิมๆ" เหมือนที่เห็นได้ทั่วไป ( อาทิความคิดเรื่อง การใช้แรงแลกเงินไปตลอดชีวิต ) ก็นับว่าเป็นเรื่อง "ยาก" สุดๆแล้วล่ะครับ  ;)  ;D ;D

ถ้ามันได้ง่ายขนาดนั้นคนทำงานคงลาออกไปทำกันหมดแล้วค่ะ

การทำอย่างนั้น ก็ไม่ต่างอะไรไปจากการกระโดดออกจากเรือ ทั้งๆที่ไม่ได้ใส่เสื้อชูชีพแถมยัง "ว่ายน้ำ" ไม่เป็นหรอกครับ :)

ขนาดตลาดของไทย มีข้อมูลครบด้าน ยังร่วงลงมาได้เลย

ขนาดดวงอาทิตย์ที่ว่าแน่ ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่ง ยังมีขึ้นมีลงทุกวัน .... ดังนั้นทุกอย่างในโลกก็คงไม่ต่างกัน  ;D ;D ... ส่วนตลาดหุ้นช่วงนี้ SET ขึ้นมาแตะที่ระดับ 1,000 จุด +/- เรียบร้อยแล้วครับ  ;D

( ใครที่ทำความรู้จักกับหุ้น ตั้งกะตอนที่หุ้นร่วงลงมาวิ่งเล่นอยู่ที่ระดับ 5-600 จุดบ้างเอ่ย...  8) ;D ;D )

ควรใช้วิจารณญาณ อย่าไปหลงคำชวนเชื่อให้มากค่ะ ทำงานพอมีพอกินก็ได้แล้ว

(อย่าโลภ)

เห็นด้วยว่าอย่าโลภ .... ไงตั้งใจทำงานต่อไปนะครับ ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: มะหินฝน ที่ วันที่ 25 ตุลาคม 2010, 23:28:01
จะลงทุนก็ต้องมีทุนก่อน มีทุนเท่าไหร่ แล้วจะลงทุนได้เท่าไหร่และลงทุนกับใครไม่ใช่จะตอบได้ง่ายๆ หรือคิดเอาง่ายๆ ถ้าจะลงทุนในบริษัท คุณต้องรู้จักผู้บริหารและวิธีการทำงานหาเงินของเค้า ถ้ามีห้องให้เช่าแล้วไม่มีคนเช่า ก็ขาดทุน มีสินค้าแล้วขายไม่ได้ มันก็ขาดทุน แล้วถ้าคุณทุนน้อยกว่าเขาคุณก็หมดสิทธิไม่มีเสียง บริษัทมีเงินได้มากกลับกลายเป็นค่าใช้จ่ายของผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัทมีรายได้น้อยกิจการตก เค้าขอเพิ่มทุน คุณก็ต้องหาให้เขา ม่ายงั้นสัดส่วนของคุณก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ ที่คุณเป็นก็เพียงแค่ผู้ถือหุ้นเล็กๆ ที่ไปช่วยลดความเสี่ยงให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ไม่ต้องควักกระเป๋าตัวเองทั้งหมด เอาเงินไปให้เค้าใช้เปล่าๆ  ปล่อยเงินไปทำงาน ไม่ได้หมายความว่าคุณจะนั่งจิบไวน์ได้ทั้งวันหรอกครับ ดูนายทุนยุโรป อเมริกาซิครับวันนี้คนของเขาเป็นอย่างไร คิดว่าตัวเองรวยจากการซื้อขายหุ้น ราคามันขึ้นก็นึกว่าได้กำไร เอาไปใช้กันล่วงหน้าอย่างสนุก ซื้อสิบขายยี่สิบก็เอาเงินไปใช้ แต่มูลค่าหุ้นจริงมันมีราคาเท่าไหร่ ซักวันนึงเมื่อตลาดไม่ต้องการ มันจะกลับมาทวงหนี้อันนี้เหมือนกรรมตามทันนะครับ เห็นด้วยกับคุณBellจัง




หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 01 พฤศจิกายน 2010, 16:03:29
น้ำท่วมกับการลงทุน
     น้ำท่วมปีนี้ได้สร้างความเสียหายให้กับพี่น้องในประเทศไทยอย่างมาก  และในจำนวนผู้เสียหายทั้งหลาย  ก็ยังมีนักลงทุนรวมอยู่อีกส่วนหนึ่งด้วย  ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในภาคเกษตร  เช่น  ชาวนาชาวไร่  หรือการประมง  เช่น  เลี้ยงปลาในกระชัง  ในความเสียหายทั้งหมดนี้  ส่วนหนึ่งนั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามาจากภัยธรรมชาติ  และอีกส่วนหนึ่งนั้นก็มาจากตัวการลงทุนนั่นเอง!  หลายคนอาจจะงงว่า  เป็นไปได้ยังไง  แต่ลองคิดดูนะครับ  ถ้าสมมติว่า  เรารู้ว่าน้ำกำลังจะท่วมนาข้าว  แต่เราก็ไม่สามารถที่จะเคลื่อนย้ายนาแห่งนั้นไปไว้ในที่ๆปลอดภัยได้  เพราะฉะนั้น  นาข้าวเหล่านั้นก็เลยเสียหาย  มันก็เลยเป็นที่มาของตัวการลงทุนนั่นเอง  แต่น้ำท่วมคราวนี้  ไม่มีผลกระทบกับตลาดหุ้นเลย  บางทีอาจเป็นเพราะว่า  น้ำที่กำลังท่วมอยู่นี้  ยังไม่ส่งผลกระทบกับบริษัทที่อยู่ในตลาดมากนัก  แต่ผมก็ไม่ได้หมายความว่า  ตลาดหุ้นจะไม่มีภัยธรรมชาติแบบนี้  ตลาดหุ้นก็มีภัยธรรมชาติเหมือนกันครับ  แต่ว่าเป็นธรรมชาติของตลาดหุ้น  ธรรมชาติของตลาดหุ้นก็คือวัฎจักร  ตลาดนั้นมีขึ้นมีลง  ถ้าเราเป็นนักลงทุนตัวจริงแล้วล่ะก็  เราจะต้องรู้ว่า“ดอกไม้จะบานเมื่อไหร่  และจะบานนานแค่ไหน”  เพราะฉะนั้น  การลงทุนในหุ้นเราต้องรู้ว่า  เราควรจะเข้าไปซื้อหุ้นเมื่อไหร่  และจะขายหุ้นเมื่อไหร่  เพราะเมื่อเวลาลมฝนมา  หุ้นเราก็ต้องพลอยฟ้าพลอยฝนไปกับเขาด้วย  ซึ่งนั่นเป็นการทำตัวโอนอ่อนไปตามธรรมชาติของตลาดหุ้น  และเราไม่ควรฝืนแนวโน้มของตลาด  ถึงแม้ว่าบริษัทที่เราถือหุ้นอยู่จะดีมากแค่ไหนก็ตาม  แต่เราก็ควรขายออกไปก่อน  พอพายุสงบแล้ว  เราค่อยกลับมาเก็บของกันใหม่  เปรียบได้กับเราไปถามขายแอร์ตอนหน้าหนาว  ถึงแม้ว่าแอร์ของเราจะมีประสิทธิภาพสุดยอดกว่าแอร์ยี่ห้อใดๆในท้องตลาด  แต่เมื่อไปขายตอนที่เขาไม่ต้องการ  มันก็เหมือนกับเป็นการฝืนแนวโน้มของตลาดไป
     ข้อดีของหุ้นก็คือ  มีสภาพคล่องสูง  เมื่อเวลาพายุพัดกระหน่ำตลาดหุ้น  และเราไม่แน่ใจในพายุลูกนั้น  เราก็สามารถขายหุ้นแล้วออกมารอดูสถานการณ์ต่างๆให้แน่ใจก่อน  เมื่อแน่ใจว่าเหตุการณ์สงบลงแล้ว  เราก็กลับไปซื้อหุ้นคืนมาได้  เมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในภาคเกษตรและประมงแล้ว  ผมเห็นว่าหุ้นสามารถเคลื่อนย้ายการลงทุนได้ดีกว่า  ซึ่งบางที  มันอาจจะหลบไม่ได้ 100 %  แต่มันก็ยังไม่เสียหายไปทั้งหมด  และยังเหลือทุน “ส่วนใหญ่” ไว้ให้เราเอาไปลงทุนต่อ  ไม่ได้สูญเสียไปทั้งหมดเหมือนกับที่คนโดนน้ำท่วมเขาโดนกัน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 01 พฤศจิกายน 2010, 16:05:40
High risk-High return
     เชื่อว่านักลงทุนหลายท่านคงเคยได้ยินคำนี้อยู่บ่อยๆ  เสี่ยงสูง-ผลตอบแทนสูง  แต่โดยความเห็นส่วนตัวแล้วผมว่าไม่จริง  เรื่องเสี่ยงสูง-ผลตอบแทนสูงนั้น  ผมว่าเป็นเรื่องของการพนันมากกว่า  เหมือนเช่นการแทงหวย  ถ้าอยากได้เยอะ  ก็ต้องแทงเยอะๆ  หรือพนันบอล  ถ้าอยากได้มากๆ  ต้องแทงหนักๆ
     ถ้าเป็นการลงทุนแล้ว  เหตุการณ์มันจะออกมากลับกันเป็น  เสี่ยงน้อย-ได้มาก  เสี่ยงมาก-ได้น้อย  ผมจะอธิบายให้เข้าใจนะครับ  สมมติว่าถ้าเรายืนอยู่บนบันไดขั้นที่ 1  ถ้าเรากระโดดลงมาคุณคิดว่า  เราจะเจ็บไหม  แน่นอน...มันจะไปเจ็บได้อย่างไร  ก็ในเมื่อมันสูงกว่าพื้นไปแค่นิดเดียวเอง  แล้วถ้าเรากระโดดลงมาจากบันไดขั้นที่ 10 ล่ะ.....
     ที่ผมสื่อเรื่องบันไดนั้น  ความหมายก็คือ  เวลาคุณซื้อหุ้นที่ราคาต่ำๆ  คุณคิดว่ามันเป็นความเสี่ยงมากหรือไม่  เพราะถ้ามันจะตกลงไปอีก  มันก็คงตกอีกได้ไม่เท่าไหร่...ถูกต้องไหมครับ  แต่โอกาสที่ราคาหุ้นจะขึ้นสูงมีมากกว่า  เพราะฉะนั้นแล้ว  อย่างนี้เรียกว่า  เสี่ยงน้อย-ได้มาก  แต่ถ้าเป็นกรณีกลับกัน  หุ้นราคาขึ้นไปสูงมากแล้ว  จนเรารู้สึกว่า  ถ้ามันจะขึ้น  มันคงขึ้นได้อีกไม่เท่าไหร่  แต่ถ้ามันตกล่ะ...คงยาว  อย่างนี้เรียกว่า  เสี่ยงมาก-ได้น้อย
     ในเรื่องของการลงทุน  จังหวะและราคาเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งทีเดียว  สมมติว่ามีคนเดือดร้อนเงิน  และเขาเอาบ้านมาขายให้คุณในราคา 8 แสนบาท  แต่คุณรู้ว่า  บ้านสภาพนี้  ที่ดินขนาดนี้  และทำเลตรงนี้  เขาซื้อขายกันอยู่แถวๆ 1 ล้านบาท  ถ้าสมมติว่าคุณมีเงิน  คุณจะซื้อไหมครับ  ใช่...คุณต้องตอบว่าซื้อแน่นอน  เพราะฉะนั้นแล้ว  “กำไรตอนซื้อ”  ไม่ใช่ตอนขายนะครับ  หุ้นก็เหมือนกัน  ให้คุณคิดไว้ก่อนเลยว่า  ราคาที่คุณกำลังจะซื้อนี้  กำไรตอนซื้อหรือเปล่า  เพราะถ้าคุณไม่สนใจราคาตอนซื้อแล้ว  คุณได้แต่ฝันว่าคุณจะ“ซื้อถูก”แล้วไป“ขายแพง”ตะบัน  แล้วถ้าเกิดมันไม่มีคนฉลาดน้อยกว่าคุณมารับซื้อต่อ  แล้วคุณจะทำอย่างไรครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 02 พฤศจิกายน 2010, 15:40:12
ตอบคุณมะหินฝน
     เท่าที่อ่านข้อความของคุณ  พอจะประเมินได้ว่า  คุณก็มีความรู้เรื่องหุ้นพอสมควร  แต่ผมมีคำถามอยากถามคุณหน่อยนะครับ  และคุณก็ควรจะตอบผมด้วยสักหน่อยว่า  คุณเคยซื้อหุ้นไหม  คุณซื้อตัวไหน  และทำไมคุณถึงซื้อหุ้นตัวนั้น  เมื่อคุณตอบคำถามผมเสร็จแล้ว  ผมก็จะเข้ามาตอบคำถามของผมบ้างเหมือนกัน  ตกลงเรามีนัดกันนะครับ  แต่ถ้าคุณไม่ตอบก็ไม่เป็นไร  บางทีคุณอาจจะกลัวคำตอบของตัวเองก็ได้.....


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ⒷⒼ* ที่ วันที่ 03 พฤศจิกายน 2010, 09:09:07
เข้ามาอ่านในกระทู้นี้บ่อย มีหลายๆคนที่เป็นนักสู้ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความคิด ;D
สอบถามผู้รู้ทั้งหลายครับ เท่าที่ผมติดตาม ตอนนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามลำดับ
และก็ยังไม่มีท่าทีจะลดลง หน่ำซ้ำผมว่าอาจจะแข็งขึ้นๆเรื่อยๆ เนื่องจากอากาศหนาว ;D
ผู้รู้ คิดว่าอนาคตเราจะลงทุนหรือมีวิธีตั้งรับอย่างไร กับสถาณการณ์ต่อไปหลังจากนี้
ผมคิดว่า เหตุการณ์ที่ค่าเงินผันผ่วนแปลกๆนี้ (หรือว่าผมคิดไปเอง)ย่อมส่งผลเสียไปมากกว่าผลดี
ขอบคุณที่ผู้รู้มาตอบกระทู้นะครับ ขอบคุณครับ :)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวเริงปอย ที่ วันที่ 03 พฤศจิกายน 2010, 12:54:27
เรียนคุณ BabyGun ในความคิดของผม ถูกผิดไม่รู้ แต่ที่รู้คือ มันไม่ได้แข็งเฉพาะสกุลเงินบาท มันแข็งค่าขึ้นทั้งภูมิภาคเอเชีย แต่มันไปอ่อนฝรั่งยุโรป กับอเมริกัน ดังนั้นอะไรที่มันแพงๆทางฝั่งโน้น ยิ่งบาทแข็งเราจะซื้อมันได้ในราคาถูกลงเรื่อยๆ ทั้งสินค้าและบริการ เป็นโอกาสที่ดีที่จะนำเข้าของดีราคาถูก หรือ ไปท่องเที่ยวเมืองฝรั่งสักครั้ง กลับกันผู้ประกอบการส่งออกสินค้า ตอนนี้มีแต่ทรงกับทรุด ได้อย่างเสียอย่าง....


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 03 พฤศจิกายน 2010, 15:42:44
ตอบคุณ เบบี้
     ก่อนอื่นเราต้องไปดูที่รากของปัญหาก่อนนะครับว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร  การที่เงินสกุลอื่นแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลล่าร์นั้น  เป็นเพราะว่าทางสหรัฐพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นมาแล้วอัดฉีดเข้าไปในระบบ  เมื่อใดก็ตามที่ของมีมาก  ของสิ่งนั้นก็จะด้อยค่าลง  เพราะฉะนั้น  การที่เงินบาทแข็งขึ้นก็เนื่องจากว่า เราไม่ได้พิมพ์เงินเพิ่มขึ้นมา  เพราะฉะนั้นแล้ว  เงินบาทมันยังมีปริมาณคงที่อยู่  มันจึงทำให้  ต้องใช้เงินดอลจำนวนมากขึ้น  เพื่อมาแลกกับเงินบาทในจำนวนเท่าเดิมครับ  และตอนนี้ก็ได้ข่าวว่า  รัฐบาลสหรัฐจะอัดฉีดเงินเข้ามาอีกรอบ  ซึ่งมันก็คงจะมีผลทำให้  ประเทศที่ไม่ได้ผลิตเงินเพิ่มเช่นไทย  เงินจะแข็งค่ากว่าที่เป็นอยู่ครับ
     ส่วนเรื่องการแก้ไขปัญหานี้  เราคงต้องคิดเอาเองแล้วล่ะครับว่า  จะแก้ปัญหาอย่างไร  เพราะเมื่อเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น  ย่อมทำให้บางคนได้ประโยชน์  และบางคนเสียประโยชน์  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าน้ำมันขึ้นราคา  คนที่ได้ประโยชน์ก็คือพวกที่มีบ่อน้ำมันเป็นของตัวเอง  แต่คนที่เสียประโยชน์ก็คือพวกที่บริโภคน้ำมันเช่น  สายการบินต่างๆ  บริษัทเดินเรือ  บริษัทขนส่งต่างๆ
     แต่ถ้าคุณเบบี้อยากได้เปรียบล่ะก็  ผมขอแนะนำให้หอบเงินไปเที่ยวสหรัฐเลยดีกว่าครับ  เพราะเงินบาทเรากำลังแข็ง  ใช้เงินน้อยลง  แต่ซื้อของได้เท่าเดิม 555 ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 03 พฤศจิกายน 2010, 16:16:22
ตอบคุณมะหินฝน
     ในช่วงที่กำลังรอคำตอบจากคุณ  ผมก็จะขอตอบข้อความของคุณไปพลางๆก่อนแล้วกันนะครับ
     1.จะลงทุนก็ต้องมีทุนก่อน มีทุนเท่าไหร่ แล้วจะลงทุนได้เท่าไหร่และลงทุนกับใครไม่ใช่จะตอบได้ง่ายๆ หรือคิดเอาง่ายๆ ถ้าจะลงทุนในบริษัท คุณต้องรู้จักผู้บริหารและวิธีการทำงานหาเงินของเค้า.....อันนี้ถูกต้องครับ  เวลามีใครมายืมเงินเรา  เราก็ยังต้องรู้จักเขาเลยว่าเป็นใครมาจากไหน  และมีปัญญาใช้หนี้เราหรือไม่  เพราะฉะนั้น  เวลาเราจะลงทุนกับใคร  เราก็ควรรู้จักคนที่เราเอาเงินไปให้เขาก่อนครับ
     2.ถ้ามีห้องให้เช่าแล้วไม่มีคนเช่า ก็ขาดทุน มีสินค้าแล้วขายไม่ได้ มันก็ขาดทุน.....เรื่องห้องเช่านั้น  ถ้าคุณไม่มีภาระหนี้สินแล้ว  คุณจะขาดทุนได้อย่างไรครับ  ถ้าไม่มีคนเช่า  มันก็แค่ไม่มีรายได้เท่านั้น  แต่ถ้าคุณกำลังกู้และผ่อนชำระอยู่  คุณก็ควรจะมีแหล่งรายได้อื่นไว้สำรองด้วยในกรณีที่ไม่มีผู้เช่า  ส่วนเรื่องขายสินค้าแล้วขายไม่ได้นั้น  ผมเห็นด้วย  ผมก็เลยถามว่า  ถ้าไปค้าขายเองแล้ว  เราจะรู้ได้ไงว่าไม่เจ๊ง  ที่ผมชอบหุ้นก็เพราะว่า  ผมรู้แน่นอนว่าสินค้าของบริษัทที่ผมกำลังจะไปลงทุนนั้นขายได้แน่นอน  บางท่านอาจจะถามว่า  "ดูจากไหน"   เราก็ดูตามท้องตลาดทั่วไปสิครับ  คุณคิดว่าโค้กขายได้ไหม  รถกระบะวีโก้ขายได้ไหม  โทรศัพท์ I-Phone และ BB ขายได้ไหม  และอื่นๆอีกมากมาย  เมื่อคุณเห็นบริษัทพวกนี้ขายของได้  แล้วคุณไม่คิดว่าเขาจะมีกำไรเหรอครับ  และถ้าเราอยากรู้ว่าเขาทำกำไรได้มากแค่ไหน คุณก็ไปดูที่งบการเงินเขาสิ
     3.บริษัทมีรายได้น้อยกิจการตก เค้าขอเพิ่มทุน คุณก็ต้องหาให้เขา ม่ายงั้นสัดส่วนของคุณก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ ที่คุณเป็นก็เพียงแค่ผู้ถือหุ้นเล็กๆ ที่ไปช่วยลดความเสี่ยงให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ไม่ต้องควักกระเป๋าตัวเองทั้งหมด เอาเงินไปให้เค้าใช้เปล่าๆ  ปล่อยเงินไปทำงาน ไม่ได้หมายความว่าคุณจะนั่งจิบไวน์ได้ทั้งวันหรอกครับ .....อันนี้ผมอยากถามคุณหน่อยว่า  บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ขอเพิ่มทุนทุกบริษัทหรือเปล่าครับ  ทำไมคุณไม่พูดถึงบริษัทที่เขาได้เงินทุนไปแล้วทำได้ดีมีกำไรจนสามารถนำกำไรนั้นมาแบ่งปันผู้ถึอหุ้นบ้างล่ะครับ  ตามความเห็นของผมแล้ว  บริษัทที่ขอเพิ่มทุน  เป็นบริษัทที่ "ใช้ไม่ได้"  เพราะการที่เขาได้เงินทุนไปแล้ว  และไปทำให้ขาดทุน  ซ้ำยังมีหน้ามาขอเงินเพิ่มเพื่อไปลงทุนต่อ  ถ้าผมมีหุ้นประเภทนี้  ผมจะขายหุ้นทิ้งโดยเร็ว  ผมจะไม่ยอมให้เงินกับคนประเภทนี้อีกแล้ว  และก่อนที่เขาจะเพิ่มทุน บริษัทก็ต้องมีการออกข่าวหรือประกาศให้ทราบโดยทั่วกันทั้งทางเนตและ นสพ.  เมื่อเรารู้ว่าเขาจะขอเงินเราเพิ่ม  แล้วเรื่องอะไรจะไปยอมจ่ายเพื่อรักษาสถานะผู้ถือหุ้นอีก  ขายหุ้นแล้วเอาเงินไปซื้อหุ้นของบริษัทที่มีกำไรไม่ดีกว่าเหรอ  หรือว่าคุณเคยให้เงินเพิ่มทุนเขาไป  แล้วก็มานั่งตีอกชกหัวตัวเอง  ผมว่าคุณน่ะคิดลบนะครับ  เปรียบเหมือนกับคุณโดนผู้หญิงเลวๆคนหนึ่งทำให้ช้ำใจ  แล้วคุณก็มาคิดแค้นว่า  ผู้หญิงเลวเหมือนกันหมด  มันไม่ใช่นะครับ  ผู้หญิงดีๆก็ยังมีอยู่  เพียงแต่คุณยังไม่เจอเท่านั้นเอง  เพราะฉะนั้น  หุ้นดีๆก็มีอยู่อีกมาก  มันไม่ได้เลวไปหมดทุกตัวหรอกนะครับ
     4.ดูนายทุนยุโรป อเมริกาซิครับวันนี้คนของเขาเป็นอย่างไร คิดว่าตัวเองรวยจากการซื้อขายหุ้น ราคามันขึ้นก็นึกว่าได้กำไร เอาไปใช้กันล่วงหน้าอย่างสนุก ซื้อสิบขายยี่สิบก็เอาเงินไปใช้ แต่มูลค่าหุ้นจริงมันมีราคาเท่าไหร่.....จริงๆแล้วหัวข้อนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับหุ้นเลย  มันเกี่ยวกับความสุรุ่ยสุร่ายฟุ้งเฟ้อของคนต่างหาก  เพราะถ้าผมบอกว่า  ผมได้เงินเดือนหนึ่งหมื่น  แต่ผมใช้เดือนละสองหมื่น  มันเหมือนกับกรณีที่คุณยกตัวอย่างไหมครับ  การใช้เงินเกินตัว  มันไม่ได้เกี่ยวกับหุ้น  ไม่ว่าเราจะมีรายได้จากไหน  ถ้าเราใช้เงินเกินตัว  มันก็ล่มจมทุกคนแหละครับ
     เอาล่ะ  ผมจะรอคำตอบจากคุณนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: มะหินฝน ที่ วันที่ 03 พฤศจิกายน 2010, 17:48:00
ได้เสนอความคิดในส่วนของผมไปแล้วในเรื่องการลงทุนว่าไม่ได้เป็นเรื่องง่ายๆสำหรับคนทั่วไปอย่างผมและอีกหลายๆคน  เงินส่วนเกินที่ผมใช้ทุนเล็กน้อยในตลาดก็มีอยู่ตัวเดียวคือบริษัทปั่นไฟ จากที่ซื้อ หก เจ็ดสิบบาท ก็พอได้ปันผลประมาณ10เปอร์เซ็นต์กว่าๆ ไม่ได้ทำให้ร่ำรวยจากการซื้อขายหุ้นอะไร ถ้าขายตอนนี้ได้กำไร ก็ไม่สามารถซื้อคืนมาในราคาถูกๆเพื่อทำกำไรได้อีกเป็นกอบเป็นกำเลี้ยงดูลูกเมีย นั่นเป็นความคิดสำหรับการมีหุ้นในตลาดของผมที่ไม่ซื้อความเสี่ยง ผมดูอะไรในบริษัท ผมดูทรัพย์สิน หนี้สิน มูลค่าหุ้น ต่อไปก็ดูผลการทำงาน สัดส่วนผลตอบแทน ROA ROE ROI การบริหารจัดการ และผู้บริหาร ดู PER ว่าราคามันสะท้อนความจริง เกินจริงมากน้อยแค่ไหน ผู้ที่ลงทุนในหุ้นถ้าเขาสามารถหาข้อมูลได้ง่ายๆ หาประโยชน์จากข้อมูลนั้นได้ง่ายๆ โลกก็มีแต่คนรวยได้แต่กำไรอย่างคุณวายุ ไม่มีต้มยำกุ้ง และแฮมเบอร์เกอร์อย่างทุกวันนี้

ส่วนการลงทุนร่วมหุ้นอย่างอื่นเช่นบ้านเช่า หอพักนั้น ถ้ามีรายได้มาเลี้ยงไม่พอกับ ค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเสื่อมราคา ค่าดูแลรักษา ซ่อมแซม ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าจ้าง ภาษีโรงเรือน ที่ดิน เงินได้ และภาษีมูลค่าเพิ่ม บวกกับดอกเบี้ยธนาคารตามวงเงินที่อาจต้องกู้มา มันก็กลายเป็นเรื่องได้ แล้วถ้าเราเข้าหุ้นไปมันเป็นยังไง ลงทุนเพิ่ม หรือขายทิ้ง?

ถ้าผมไม่ลงทุนในหุ้นกับใครเรื่อยเปื่อย ผมอาจจะไม่ร่ำรวยตัวเงิน แต่ผมจะจนหรือโง่ไปกว่านี้มั้ย ผมว่าไม่นะ

 


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Freedom ที่ วันที่ 04 พฤศจิกายน 2010, 11:23:56
ท่านมะหินฝน บริษัทปั่นไฟที่ว่า EGCO แม่นก่อ เป็นตัวนึงที่ผมชอบมากตัวนึงเลยทีเดียวแต่ไม่เคยซื้อ เพราะถ้าซื้อแล้วกลัวตัดใจขายมันออกไม่ลง แปลกคนมั๊ย 555

ถ้าใช่นะแหล่มเลย...ชอบเหมือนกันครับ EGCO :) เป็นหุ้นอีกตัวที่มีอนาคตที่ดีมั่กมาก
จับตามองหาข้อมูลมาหลายเดือน กว่าจะเริ่มซื้อเก็บก็ตอน 6-70 กว่าๆ ขายทำกำไรไปก็หลายครั้ง ... ตอนนี้มาไกล ใกล้จะแตะ 100 บาทอยู่แล้ว  :) ....ราคามาได้ไกลกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มาก :o มากซะจนตัดใจขายหุ้นตัวนี้ไม่ออกอย่างที่คุณบ่าวเริงปอยว่าไว้จริงๆ ...เลือกไม่ถูกระหว่างกำไรก้อนโต (ซื้อรถได้อีกคัน) หรือ ปันผลเรื่อยๆปีล่ะ 2 ครั้ง

...แต่จะว่าไปถ้ายังไม่จำเป็นอะไรคงจะเก็บไว้ เพราะตอนนี้ก็ Happy มีความสุขดี อยู่กับปันผลที่ได้เฉลี่ยเดือนล่ะประมาณ 5,000 บาท แต่ถ้าราคาแตะ 100 เมื่อไหร่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าจะยังเก็บหุ้นตัวนี้ไว้อยู่รึเปล่า ::) 8)

(http://image.ohozaa.com/ic/dscf6942.jpg)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: toyaom123 ที่ วันที่ 04 พฤศจิกายน 2010, 14:35:16
อยากได้ ความรู้ เกี่ยว กับการซื้อ ขายหุ้น อ่ะครับ พอดีมีเงินก้อนอยู่ นิด หน่อย อ่ะครับ
toyaom123@hotmail.com อยากศึกษา ม๊ากมาก


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 04 พฤศจิกายน 2010, 15:38:03
ตอบคุณมะหินฝน
     เท่าที่ผมได้อ่านคำตอบของคุณ  ผมพบว่า  คุณก็เป็นนักลงทุนที่มีความรู้ดีมาก  แต่บางทีอาจเป็นได้ว่า  คุณกับผม  ลงทุนคนละสไตล์กัน  คุณเป็นคนที่ลงทุนแบบเชิงรับ  แต่ผมเป็นคนที่ชอบแบบเชิงรุก  เอาไว้ว่างแล้วเดี๋ยวเราค่อยมาแลกเปลี่ยนความรู้กันนะครับ
     ส่วนคุณบ่าวเริงปอย  ช่วงนี้ LPN แย่หน่อยนะครับ  เอาใจช่วยให้ฝ่ามรสุมไปให้ได้  ถ้าของเราดีจริงก็ต้องทนไฟครับ
     ส่วนคุณ FREEDOM  โอ้โห  เห็นปันผลแล้วตกใจ  นี่ไม่ใช่ย่อยเลยนะเนี่ย  ปันผลเลี้ยงตัวเองได้เลย  แหม...เห็นแล้วอิจฉาจัง


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวเริงปอย ที่ วันที่ 04 พฤศจิกายน 2010, 18:14:30
คุณ freedom อย่าลืมเอาใบรับงินปันผลไปเครดิตภาษีคืนเน้อ ที่สรรพกร ช่วงต้นปี น่าจะได้คืนสัก10-20%ของยอดเงินปันผล ไม่แน่ใจเหมือนกันของกลุ่มโรงไฟฟ้าว่าได้คืนเท่าไหร่

คุณวายุLPN ต้นทุนผมแถว 2.5 บาท หนังชีวิตครับตัวนี้ (แต่ก็แอบหวั่นอยู่ลึกๆเหมือนกัน กลุ่มอสังหาก็งี้)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Freedom ที่ วันที่ 04 พฤศจิกายน 2010, 20:46:42
อยากได้ ความรู้ เกี่ยว กับการซื้อ ขายหุ้น อ่ะครับ พอดีมีเงินก้อนอยู่ นิด หน่อย อ่ะครับ
toyaom123@hotmail.com อยากศึกษา ม๊ากมาก

อยากทราบอะไรเกี่ยวกับการลงทุน ลองโพสสอบถามที่หน้าบอร์ดนี้ก็ได้ครับ :)

มีพี่ๆน้องๆสมาชิกหลายท่านก็กำลังศึกษาทางด้านนี้อยู่

เผื่อมีอะไรแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์กันครับ  ;) ;D

     ส่วนคุณ FREEDOM  โอ้โห  เห็นปันผลแล้วตกใจ  นี่ไม่ใช่ย่อยเลยนะเนี่ย  ปันผลเลี้ยงตัวเองได้เลย  แหม...เห็นแล้วอิจฉาจัง
ขอบคุณครับท่านวายุ :)
อย่าอิจฉาผมเลยครับ ผมก็แค่นักลงทุนรายย่อยมือสมัครเล่นอีกคนหนึ่งเท่านั้นเอง ;)
ยังมีอะไรที่จะต้องขอคำแนะนำปรึกษา ศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมอีกเยอะเลยครับ :) :)

คุณ freedom อย่าลืมเอาใบรับงินปันผลไปเครดิตภาษีคืนเน้อ ที่สรรพกร ช่วงต้นปี น่าจะได้คืนสัก10-20%ของยอดเงินปันผล ไม่แน่ใจเหมือนกันของกลุ่มโรงไฟฟ้าว่าได้คืนเท่าไหร่

ขอบคุณท่านบ่าวเริงปอยมากเช่นกันครับสำหรับคำแนะนำข้อมูลนี้  :) :)
ไงหากมีอะไรดีๆ แนะนำกันได้ตลอด ยินดีมากมายเลยครับ ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 06 พฤศจิกายน 2010, 18:46:50
วันนี้เอาสาระมาฝากครับ


เลือก 'หุ้นห่านทองคำ' ตำรับเซียน..เทพ รุ่งธนาภิรมย์

“หุ้นห่านทองคำ” หรือ “หุ้นปันผล” กลายเป็นทางเลือกที่ 3 “เพิ่มเติม” จากทางเลือกลงทุนแบบ “เทรดหุ้น” และ ”หุ้นมูลค่า”

เป้าหมายหลักของการลงทุนหุ้นประเภทนี้ก็เพื่อที่จะมีอิสระทางการเงิน มีรายได้ที่มาจาก ”ไข่ทองคำ” อย่างเพียงพอ



นี่คือ เหตุผลที่ “เทพ รุ่งธนาภิรมย์” เจ้าของหนังสือ”กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ” ที่โด่งดังเมื่อ 3 ปีก่อน และเจ้าของผลงานเล่มล่าสุด ”วิถีแห่งเซียน หุ้นห่านทองคำ” จึงรักเดียวใจเดียวกับการเลือกห่าน (หุ้น) ที่ไข่ออกมาเป็น ”ทองคำ” ...

"เทพ รุ่งธนาภิรมย์" ไม่ใช่เป็นนักลงทุนหน้าใหม่ในตลาดหุ้น แต่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนหุ้นปันผลที่ประสบความสำเร็จมายาวนานเกือบ 30 ปี

จุดเริ่มต้นก่อนที่จะมาเป็นนักลงทุนในหุ้นปันผลที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ เทพ บอกว่า เกิดจากการได้อ่านหนังสือเล็กๆ เล่มหนึ่งชื่อว่า “บุรุษผู้มั่งคั่งในบาบิโลน” (The Richest Man in Babylon) หรือในชื่อไทยว่า “เศรษฐีชี้ทางรวย” เขียนโดย George S.Clason

ทำให้เขารู้จักการเก็บเงินและรู้จักการลงทุน

ห่านทองคำในความหมายของ "เทพ" จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เป็นหุ้นอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงทรัพย์สินที่สามารถทำให้เกิดรายได้ที่สม่ำเสมอขึ้นมาได้ อย่างเช่น การฝากเงินกินดอกเบี้ย การลงทุนสร้างคอนโดมิเนียมเก็บค่าเช่า เป็นต้น เพียงแต่สถานการณ์ปัจจุบันทำให้การลงทุนในทรัพย์สินประเภทอื่นไม่ให้ผลตอบแทนเท่าที่ควร

“ทุกคนสามารถมีห่านทองคำได้ทั้งนั้น แต่ปัจจุบันการฝากแบงก์เพื่อเก็บกินดอกเบี้ย ทำให้ได้ห่านทองคำลำบากเพราะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ หรือมีบ้านให้เช่า ได้ค่าเช่ามาก็ต้องจ่ายค่าซ่อมแซมเป็นเงินก้อนใหญ่ ไม่เหมือนลงทุนในหุ้นปันผล มีเงินเท่าไรก็ซื้อได้ หุ้นบางตัวซื้อได้1-2 หมื่นเท่านั้น”

แล้วทำไมต้องเลือกหุ้นห่านทองคำ...??

เทพบอกว่า เขาเลือกกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นห่านทองคำเป็นทางเลือกที่ 3 ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับการลงทุนแบบหุ้นมูลค่าหรือหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่า แต่ต่างกันตรงที่หุ้นห่านทองคำจะให้ความสำคัญกับหุ้นปันผลมาก

“ทำไมต้องหุ้นห่านทองคำ ก็เพราะผมต้องการเป็นไททางการเงินอย่างยั่งยืน ไม่ทำงานใดๆก็อยู่ได้ด้วยรายได้เงินปันผล”

ถามต่อว่า..แล้วกลยุทธ์ในการเลือกหุ้นห่านทองคำอยู่ตรงไหน...???

เทพ กล่าวว่า หุ้นห่านทองคำหัวใจของหุ้นห่านทองคำหรือหุ้นที่จ่ายปันผลได้ ต้องมีลักษณะเด่น 9 อย่าง..

หนึ่ง.. ต้องเป็นหุ้นที่บริษัททำ "กำไร" ได้ เพราะถ้ามีผลขาดทุนก็จ่ายปันผลไม่ได้

สอง..กำไรที่ทำได้ต้องมี "คุณภาพ"

“ไม่ใช่มีกำไรเฉพาะในงบขาดทุนอย่างเดียว แต่ต้องมีกำไรเป็นเงินสดส่วนใหญ่ โดยกระแสเงินต้องเป็นบวก เคยมีหุ้นบางตัวประกาศผลกำไรก้าวกระโดด แต่พอดูเงินสดกลับติดลบ เช่น ขายการ์ดอินเทอร์เน็ต แต่ไม่ขายจริง ก็ฝากตัวเลขลงบัญชีลูกหนี้ และยอดขาย ส่วนของลูกหนี้จึงโตขึ้น ทำให้ส่วนค่าใช้จ่ายไม่เกิด รายได้จึงเกิดขึ้นสูงลิ่ว ราคาหุ้นขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ ด้านเจ้าของบริษัทขายหุ้นออกหมด จนเป็นเรื่องเป็นราวขณะนี้ เป็นต้น”

วิธีดูว่าหุ้นนั้นๆ กำไรมีคุณภาพหรือไม่ ต้องดูที่งบกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ถ้าเป็นยอดบวกและใกล้เคียงกับกำไรสุทธิ ถือว่า "เจ๋ง"

สาม.. ต้องมีกำไร "สะสม" เพราะถ้าบริษัทขาดทุนสะสมอยู่ บริษัทจะไม่สามารถจ่ายปันผลได้

สี่..ต้องมีเงินสดในมือ เพราะบริษัทที่จะจ่ายเงินปันผลได้มักจะมีเงินสดในมือสูง ซึ่งบางแห่งมีเงินสดมากจนต้องนำบางส่วนไปลงทุนแบบสั้นๆ เพื่อให้ได้ดอกผลที่สูงกว่าฝากแบงก์

“ผมเคยซื้อหุ้นธุรกิจโฆษณาตัวหนึ่ง ราคา 62 บาท เพราะเห็นว่าบริษัทมีเงินสดต่อหุ้นสุทธิสูงถึงหุ้นละ 34 บาท ซึ่งไม่น่ามีปัญหาจ่ายเงินปันผล พอบริษัทมีกำไรต่อหุ้น 9 บาท ก็จ่ายเงินปันผล 6 บาท เท่ากับผมได้ Yield เกือบ 10% ในขณะที่ราคาคาขยับขึ้นสูงกว่า 120 บาท เป็นของแถมอีกด้วย”

ห้า..มีภาระหนี้สินน้อย แม้บริษัทจะมีกำไร มีสภาพคล่อง มีเงินสด กำไรสะสมเป็นบวก แต่ถ้ามีหนี้มาก ผู้บริหารบริษัทก็มักจะนำกำไรไปชำระหนี้ก่อน ฉะนั้นหุ้นที่มี D/E ต่ำๆ มักจะมีโอกาสจ่ายปันผลสูงกว่า หุ้นที่มี D/E สูงๆ

หก..การขยายงาน เป็นทั้งเรื่องดีและไม่ดี ขึ้นอยู่กับผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้

“ถ้าผลตอบแทนที่ได้สูงและทำได้จริง การขยายงานก็เป็นประโยชน์ เพราะช่วยสร้างมูลค่าหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้น และยังมีโอกาสจ่ายปันผลสูงในอนาคต”

เจ็ด..มีนโยบายปันผล โดยให้ดูสถิติการจ่ายเงินปันผลย้อนหลังไปหลายๆ ปี จะช่วยทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ซึ่งดูได้จากรายงานประจำปีหรือเช็คจากตลาดหลักทรัพย์ และโบรกเกอร์

แปด..จำนวนหุ้นไม่มาก

“ผมไม่ชอบบริษัทที่เอะอะอะไรก็เพิ่มทุน เพราะมักจะทำให้มูลค่าต่อหุ้นลดลง เนื่องจากเมื่อมีจำนวนหุ้นมากขึ้น ตัวหารก็เพิ่มขึ้น กำไรสุทธิต่อหุ้นแต่ละหุ้นก็จะลดลง ที่เรียกว่า Dilution Effect นอกจากว่าบริษัทจะเก่งจริง สามารถทำให้กำไรสุทธิสูงกว่าการเพิ่มจำนวนหุ้น

สุดท้าย ข้อที่เก้า..ต้องมีอัตราการเติบโต ถ้าบริษัทมีการขยายงาน อัตราการเติบโตของยอดขายสูงกว่าอัตราการเติบโตของต้นทุนและค่าใช้จ่าย ถือว่าเจ๋งเลย

“อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าการเติบโตของยอดขาย ถือว่าเป็นหุ้นห่านทองคำ ลงทุนแล้วนอนหลับฝันดีได้เลย”

เมื่อได้กลยุทธ์เลือกหุ้นแล้ว “วิธีการที่ดี” ถึงจะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จได้..

เทพบอกว่า เขาได้พยายามคิดค้นวิธีการหรือตัวช่วยให้สะดวกและรวดเร็ว ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหุ้น ในที่สุดก็ได้ “คำถามยุทธศาสตร์ 4 ข้อ” เพื่อทำให้สามารถ “โฟกัส” ธุรกิจได้มากขึ้น

ข้อแรก..ลักษณะธุรกิจ คืออะไร

ข้อสอง..คุณสมบัติของผู้บริหาร เป็นอย่างไร

ข้อสาม..ผลงานที่ผ่านมาดีหรือไม่

และสี่..แนวโน้มอนาคตเป็นอย่างไร

“คำถามยุทธศาสตร์ 4 ข้อ คือ ต้องมีความรู้ อย่างผมเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ใช้วิธีหาข้อมูลโดยนำรายงานประจำของบริษัทมาดู พออ่านไป มันเยอะมาก ก็มานั่งคิดว่าทำอย่างไรไม่ต้องดูทั้งหมด จึงคิดว่า ควรหาคำถามที่จะช่วยให้รู้ข้อมูลธุรกิจ

ผมคิดว่า ธุรกิจก็เปรียบเหมือนกองทัพ ผู้บริหารเหมือนแม่ทัพที่ดี ตัวเลขการเงินหรือผลงานอดีต คือสิ่งที่จะบอกว่าดีจริง ไม่จริง จึงคิดสูตรนี้ขึ้นแล้วสร้างตาราง เมื่อมีข้อมูลก็ใส่ลงไป เอามาชั่งน้ำหนัก ถ้าพอใจถึงลงทุน แต่สุดท้ายต้องดูเรื่องราคาด้วย ถ้าหุ้นดี ราคาต้องถูกด้วย”

เทพบอกว่า การลงทุนจึงต้องรู้เขา รู้เรา รู้จักธุรกิจ รู้จักเจ้าของ ยุทธศาสตร์ 4 อย่างนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญ จะทำให้เราหนักแน่น เป็นการทดสอบพื้นฐานหุ้นว่าพื้นฐานเปลี่ยนหรือไม่

นอกจากนั้น เขาให้คำแนะนำว่า นักลงทุนหุ้นห่านทองคำ ต้องทำตัวให้เหมือนกับ ”มดงาน”

คือ จะต้องร่วมกิจกรรมนักลงทุน โดยมีหน้าที่ไปประชุมผู้ถือหุ้น ไปฟังข้อมูลบริษัท(Opportunity Day ) และเยี่ยมชมกิจการ

“ผมเคยไปประชุมผู้ถือหุ้น บริษัทอิสต์วอเตอร์ ผมถามคำถามหลังจากได้วิเคราะห์รายงานประจำปี ทำให้ผู้บริหารตอบคำถาม หรืองานออฟเดย์ ที่ตลาดจัดขึ้น ก็จะมีบริษัทมาเสนอข้อมูล วิสัยทัศน์บริษัท ทำให้เราเห็นภาพของธุรกิจเร็วขึ้น ไม่ใช่ฟังทุกครั้งต้องซื้อหุ้นเสมอไป

ครั้งหนึ่งบริษัทขยายงาน ใช้เงินมาก ผมถามว่า จะใช้เงินจากไหนมาขยายงาน ผู้บริหารบอกเงินกู้ ตรงนี้น่ากลัว หลังจากนั้นเข้าใจว่าหุ้นตัวนั้นมีปัญหา ตรงนี้จะทำให้เราเห็นภาพธุรกิจและผู้บริหารชัดเจน รวมถึงสามารถซักถามได้ด้วย”

ในวัย 62 ปีวันนี้ของ ”เทพ รุ่งธนาภิรมย์” จึงนั่งอยู่อย่างมีความสุข เพียงแค่คอยตกแต่งสวน (ปรับพอร์ต) จากการมีหุ้นห่านทองคำออกไข่ให้เก็บกิน เขาบอกว่า ตอนนี้มีหุ้นทิปโก้ 8 หมื่นหุ้นที่ต้นทุนเหลือ “ศูนย์” แม้จะขาดทุนหุ้นที่ลงทุนใหม่บางตัว แต่ยังสบายใจ เพราะมีหุ้นห่านทองคำคอยทำงานให้และสู่เป้าหมายอิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริง..


ถ้าอ่านจบแล้วอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกล่ะก็  ไปหาซื้อหนังสือ"กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ"  มาอ่านดูนะครับ  ผมก็ได้ความรู้การดูงบการเงินมากจากหนังสือเล่มนี้นี่แหละ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 06 พฤศจิกายน 2010, 18:53:33
ส่วนหัวข้อนี้  สืบเนื่องมาจากที่คุณเบบี้ถามมาเรื่องค่าเงินบาท  ผมไปเอาบทความของนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของเมืองไทยมาให้อ่านครับ


ค่าเงินบาท
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ผมเพิ่งกลับจากการส่งลูกไปเรียนที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ  เวลาประมาณเกือบสองสัปดาห์ที่อาศัยอยู่ในอพารตเม้นท์ใจกลางลอนดอนที่ผมเช่าให้ลูกพักอาศัยนั้น  ผมพบประสบการณ์หลายอย่างที่อาจจะเป็นสัญญาณบอกว่าอังกฤษซึ่งเป็นประเทศพัฒนาแล้วอันดับต้น ๆ  ของโลกนั้น   น่าจะมีระดับการพัฒนาที่เสื่อมถอยลงเมื่อเทียบกับประเทศไทยที่กำลังพัฒนามากขึ้น  พูดง่าย ๆ   ความห่างระหว่างรายได้หรือระดับการพัฒนาของอังกฤษกับไทยตามสถิตินั้น  น่าจะลดลงในอนาคต  ว่าที่จริง  ผมเองคิดว่าตัวเลขสถิติความห่างชั้นในปัจจุบันเองนั้น  ก็อาจจะไม่ใช่  “ของจริง” ตามพื้นฐาน  แต่เป็นเรื่องของตัวเลขที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินบาทกับค่าเงินปอนด์ที่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง  ทำให้ดูเหมือนว่าเศรษฐกิจของอังกฤษเหนือกว่าของไทยมากมายกว่าสิบเท่า

เริ่มตั้งแต่การตรวจคนเข้าเมือง  ผมต้องใช้เวลาเข้าคิวรอก่อนที่จะผ่านการตรวจประมาณสองชั่วโมง  คิวนั้นยาวมากเป็นร้อย ๆ  คนแต่พนักงานตรวจมีน้อยและไม่ได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากนัก   เปรียบเทียบกับการตรวจของสนามบินสุวรรณภูมิของเราแล้ว  ผมคิดว่าของเราเหนือกว่ามาก  การรอส่วนใหญ่ไม่น่าจะเกิน 15 นาที   จริงอยู่ที่สนามบินลอนดอนอาจจะมีป้ายบอกขออภัยในความล่าช้าเนื่องจากประเด็นเรื่องการก่อการร้าย  แต่ผมดูแล้วก็ไม่เห็นมีการตรวจสอบอะไรเป็นพิเศษที่จะทำให้เสียเวลาเพิ่ม  ดังนั้น  ข้อสรุปของผมก็คือ  ความประทับใจในเรื่องของประสิทธิภาพเสียไปตั้งแต่  “ก้าวแรก”

ห้องที่ผมเช่านั้น  ผมติดต่อไว้ตั้งแต่อยู่เมืองไทย  ราคาค่าเช่านั้นค่อนข้างสูง  ค่าเช่านั้นแพงพอ ๆ  กับค่าเล่าเรียน  สาเหตุอาจจะเป็นเพราะในลอนดอนไม่มีการอนุญาตสร้างตึกสูงทำให้ราคาอพารตเม้นท์แพงส่งผลให้ค่าเช่าแพงตามไปด้วย  ห้องที่ผมอยู่นั้นมีขนาดเล็กเช่นเดียวกับห้องเช่าทั่ว ๆ ไป  แต่ทุกอย่างออกแบบไว้อย่างมีประสิทธิภาพ  เตียงสามารถพับเก็บเข้าผนังได้  ห้องน้ำใหม่และสะอาด  ห้องครัวมีอุปกรณ์ทุกอย่างที่จำเป็น  โต๊ะสำหรับนั่งทำงานไม่มี  นี่อาจจะเป็นวัฒนธรรมว่าเขาไม่ทำงานในห้องพัก  อย่างไรก็ตาม  สิ่งที่ผมแปลกใจก็คือ  เราต้องติดต่อขอใช้บริการกับบริษัทที่ให้บริการน้ำ  ไฟฟ้า  และแก๊สเอง  ซึ่งมีหลายบริษัท  นอกจากนั้น  ผมเพิ่งทราบว่าถ้าเราจะดูทีวี  เราต้องขออนุญาต  และใบอนุญาตนั้นเราต้องเสียเงินเดือนละประมาณห้าร้อยบาท  ทั้งหมดนั้น  สำหรับผมแล้ว  มันเป็นความยุ่งยากโดยเฉพาะถ้าภาษาอังกฤษคุณไม่ดีพอในการติดต่อผ่านทางโทรศัพท์และทุกอย่างคุณต้องทำเอง

สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าอังกฤษอาจจะค่อย ๆ  ตกต่ำลงในแง่ของการเป็นประเทศชั้นนำมากที่สุดของโลกก็คือ  การที่ผมขอติดอินเตอร์เน็ตที่ห้องพัก  เพราะคำตอบที่ได้ก็คือ  จะต้องใช้เวลา 2-3 สัปดาห์กว่าจะใช้การได้  ผมไม่ทราบว่าอะไรทำให้การขอใช้อินเตอร์เน็ตนั้นยุ่งยากนัก  แต่นี่คือเครื่องมือที่สำคัญมากในยุคปัจจุบัน  ผมเองคิดว่าถ้าประเทศพัฒนามาก ๆ  แล้ว  ห้องพักแทบทุกห้องน่าจะต้องมีอินเตอร์ติดอยู่เป็นพื้นฐานเหมือนกับน้ำ  ไฟฟ้า  หรือโทรศัพท์  อย่างไรก็ตาม  โชคดีที่ประเด็นนี้สามารถแก้ไขได้โดยการใช้ระบบอินเตอร์เน็ตไร้สายแต่ก็ต้องจ่ายแพงกว่ามาก

การเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมต้องทำ  ความสะดวกสบายนั้นผมคิดว่าเทียบกับธนาคารของไทยไม่ได้  ผมต้องรอประมาณครึ่งชั่วโมงเหตุเพราะพนักงานให้บริการมีน้อย   การเปิดบัญชีที่จะทำให้ผมสะดวกในการโอนเงินหรือทำธุรกรรมต่าง ๆ  นั้น  ผมต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเดือนละไม่ต่ำกว่า 500 บาท  เปิดเสร็จแล้วเราต้องรออีกหลายวันกว่าจะได้บัตรเอทีเอ็ม  นอกจากนั้น  เครื่องเอทีเอ็มของแบ็งค์เท่าที่เห็นตามสถานที่ต่าง ๆ  นั้น  น้อยกว่าของไทยเรามาก และนี่คือแบ็งค์ชั้นนำในเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ผมมีโอกาสไปเที่ยวที่ตลาดขายของเก่าย่านน็อตติงแฮมในลอนดอนซึ่งผู้คนมากมายไปช็อปปิงในวันหยุด  วันนั้น  ลูกสาวผมถูกล้วงกระเป๋า  เงินสูญไปไม่มากนักแต่บัตรเครดิตที่หายทำให้ผมกังวล  ผมรีบโทรติดต่อกลับมาที่เมืองไทยเพื่ออายัดบัตร  ทุกอย่างทำได้อย่างรวดเร็ว  พนักงานของแบ็งค์ถามว่าจะให้ส่งบัตรไปที่ลอนดอนหรือส่งไปที่บ้านในกรุงเทพ  ผมเลือกอย่างหลังและได้รับบัตรเมื่อผมกลับมาที่เมืองไทยแล้ว  ผมคิดว่าธุรกิจ  บริการ  และความสามารถในการแข่งขันของแบ็งค์ไทยเรานั้นไม่เบาทีเดียว  และนี่อาจจะไปถึงธุรกิจอื่น ๆ  ด้วย

เป็นเรื่องปกติที่ผมจะต้องเดินห้างและหาร้านหนังสือโดยเฉพาะเมื่ออยู่ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ   ผมค่อนข้างผิดหวังที่พบว่าร้านหนังสือส่วนใหญ่ไม่ได้ขายหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจและการลงทุนโดยเฉพาะในเรื่องของหุ้นมากนัก  ดูเหมือนว่าร้านหนังสือใหญ่ ๆ ของไทยจะขายหนังสือแนวธุรกิจและการลงทุนมากกว่าร้านหนังสือในอังกฤษ  นี่แสดงให้เห็นถึงความ “คึกคัก”  ของความ “เป็นธุรกิจ”  ของไทยที่เหนือกว่าหรือไม่แพ้อังกฤษได้เหมือนกัน

นอกจากร้านค้าใหญ่โตหรูหราอย่างห้างแฮร็อดแล้ว  สิ่งที่น่าสนใจก็คือ  อังกฤษนั้นแทบไม่มีร้านสะดวกซื้อที่เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่เลย  ร้าน “โชห่วย”  ที่มีเต็มบ้านเต็มเมืองนั้นเป็นร้านแบบครอบครัวที่ส่วนใหญ่บริหารโดยคนที่มีเชื้อสายอื่นเช่นอินเดียเป็นต้น  ดังนั้น  คุณภาพจึงสู้ร้านสะดวกซื้อของไทยไม่ได้แม้ว่าสินค้าจะมีค่อนข้างครบเหมือนกัน

สิ่งที่อังกฤษดีกว่าไทยมากจริง ๆ  นั้นผมคิดว่าอยู่ที่ระบบการเดินทาง  ระบบรางทั้งที่เป็นรถไฟบนดิน  ใต้ดิน  และรถบัส  นั้น  ต้องเรียกว่า “สุดยอด”   เพราะเราสามารถซื้อตั๋วรายวัน  รายสัปดาห์  หรือรายเดือน ที่ใช้บริการได้ทุกอย่าง  ดังนั้น  จะไปที่ไหนก็สะดวกและรวดเร็วมากด้วยราคาที่ไม่แพง

ผมคงต้องจบประสบการณ์สั้น ๆ  จากอังกฤษด้วยการบอกว่า  สิ่งที่เป็นข้อด้อยที่ผมพบที่อังกฤษนั้น   ผมไม่ได้พบในประเทศย่านเอเซียที่เจริญแล้ว  หลายประเทศในเอเซียที่ผมไปนั้น  ประสิทธิภาพคล้าย ๆ หรือดีกว่าประเทศไทย  นี่อาจจะเป็นการบอกให้เรารู้ว่า  เอเซีย  ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในนั้นดีกว่าที่ตัวเลขรายได้ประชาชาติแสดงให้เห็นเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วในยุโรปและอนาคตก็น่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ   ดังนั้น  ค่าเงินบาทและค่าเงินของเอเซียที่แข็งค่าขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว  เพราะมันจะเป็นตัวบอกว่าเราไม่ได้จนและแย่กว่าประเทศพัฒนาแล้วมากขนาดนั้น  และดังนั้น  คนที่ “โวย” และต้องการให้เงินบาทอ่อนค่าลงจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุผลกับพื้นฐานของประเทศและในระยะยาวแล้วก็คงจะฝืนไม่ได้



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 15:33:18
การเงินที่เปลี่ยนไป
     นับตั้งแต่ผู้นำสหรัฐที่ชื่อนิกสัน  นำสหรัฐออกจากการค้ำค่าเงินด้วยทองคำ  โลกการเงินก็ได้เปลี่ยนไป  กล่าวคือ  ในสมัยก่อน  การที่เราจะพิมพ์เงินออกมาใช้และได้รับการยอมรับในเงินนั้นจากนานาประเทศ  เราต้องมีทองคำมาค้ำประกันว่า  เงินที่เราพิมพ์ออกมาใช้  มีการค้ำประกันด้วยทอง  เพราะถ้าหากเกิดอะไรขึ้น  เราสามารถนำทองคำที่เราเก็บไว้  มาชำระหนี้แทนเงินที่เราพิมพ์ขึ้นมาได้  แต่เมื่อนิกสันออกมาประกาศว่า  รัฐบาลสหรัฐ  ไม่ต้องค้ำประกันค่าเงินด้วยทองคำอีกต่อไป  และสามารถพิมพ์ขึ้นมาได้ตามต้องการ  และหลังจากนั้น  มูลค่าเงินของสหรัฐ  ก็ถูกค้ำประกันด้วยภาษีของประชาชนแทน  เราจะสังเกตได้ว่า  ทุกครั้งที่รัฐบาลสหรัฐต้องการเงินมากขึ้น  เขาก็จะขึ้นภาษีที่เก็บจากคนทำงาน  แต่การขึ้นภาษีนั้น  ถ้าไม่มีสิ่งตอบแทนให้กับประชาชน  เราจะได้เห็นการประท้วงเกิดขึ้น  เพราะฉะนั้น  รัฐบาลจึงตอบแทนประชาชนด้วยการให้สิทธิประโยชน์ในด้านการรักษาพยาบาลและเงินช่วยเหลือสำหรับผู้ที่ไม่มีงานทำ  แต่นั่นก็เป็นระเบิดเวลาลูกโตที่รอวันแตก  เพราะค่ารักษาพยาบาลนั้น  มันมากมายเกินกว่าที่จะทดแทนด้วยภาษีได้  เพราะฉะนั้นแล้ว  รัฐบาลจึงแก้ปัญหาด้วยการออกพันธบัตร  (พันธบัตรคือ  การยืมเงินของประชาชน  และรัฐรับปากว่าจะใช้คืนให้เมื่อถึงกำหนดเวลาพร้อมดอกเบี้ย)  แต่เมื่อถึงเวลาครบอายุต้องไถ่ถอนพันธบัตร  รัฐบาลกลับไม่มีเงินที่จะมาซื้อพันธบัตรเหล่านั้นคืนกลับ  ดังนั้น  จึงแก้ปัญหาด้วยการพิมพ์เงินเพิ่มและไปซื้อพันธบัตรเหล่านั้นคืน  และปัญหาเหล่านี้ก็เกิดขึ้นวนซ้ำไปเรื่อยๆ  มันจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อขึ้นในโลกนี้  เราจะสังเกตได้ว่า  สิ่งของต่างๆในโลก  ได้แพงขึ้นตลอดเวลา  ก็เนื่องจากสหรัฐนั่นเอง  และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่า  ทำไมเราต้องลงทุน
     เมื่อเราทำงานเก็บเงินตามคำสอนของพ่อแม่  เราแน่ใจแล้วหรือว่า  เราจะใช้เงินนั้นเลี้ยงตัวเองไปได้ตลอดชีวิต  เพราะในโลกนี้มีเงินเฟ้อ  มันจึงทำให้เงินที่มีอยู่  ด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ  มันจะดูแย่สำหรับคนที่ทำงานแล้วออมเงิน  เพราะว่า  เงินที่มันด้อยค่าลงไปทุกขณะ  มันจะทำให้คนที่ฝากเงินกลายเป็นผู้แพ้  แต่มันจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่เป็นหนี้  เพราะเรายืมเงินมาซื้อของในวันนี้  แต่ใช้คืนโดยเงินที่มีค่าน้อยกว่าให้กับเจ้าหนี้ในวันข้างหน้า  เพราะฉะนั้นแล้ว  มันจึงทำให้คนเป็นหนี้  กลายเป็นผู้ชนะไป  แต่การที่เราจะได้เปรียบในเหตุการณ์แบบนี้ได้นั้น  เราต้องรู้ด้วยว่า  การที่เราจะคงสภาพความได้เปรียบอย่างนี้  เราคงต้องมีความรู้พอสมควร  นั่นคือ  เราต้องรู้ด้วยว่า  เรายืมเงินมาซื้ออะไร  ที่มันจะสามารถเพิ่มค่าขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปตามภาวะเงินเฟ้อ  ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออสังหาริมทรัพย์นั่นเอง
     อสังหาริมทรัพย์  เป็นหนึ่งในทรัพย์สินที่ธนาคารสามารถให้เรายืมเงินมาซื้อได้มากกว่าทรัพย์สินประเภทอื่น  และถ้าเรายืมเงินมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์  เราก็จะยิ่งได้เปรียบทั้งในจำนวนหนี้ที่ต้องชำระในอนาคต  และในด้านการเพิ่มค่าขึ้นของทรัพย์สิน  และหากเรานำอสังหาพวกนั้นมาให้เช่า  ก็เท่ากับเรามีผู้มาชำระเงินแทนเราได้อีก  แต่เรายังสามารถครอบครองสิทธิ์ในทรัพย์เหล่านั้นอยู่  เมื่อเวลาผ่านไป  ค่าเงินด้อยลง  เราก็สามารถเพิ่มค่าเช่าขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อได้  โดยที่เรายังส่งค่างวดในอัตราเท่าเดิม  เพียงเท่านี้  เราก็สามารถรักษาสถานะความได้เปรียบในโลกการเงินปัจจุบันนี้ได้แล้ว  แต่ถ้าเป็นการยืมมาซื้อรถยนต์เพื่อให้เช่า  ผมไม่นับว่าเป็นการลงทุนที่ฉลาด  เนื่องจากราคาของรถยนต์นั้นด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ   ส่วนคนที่มีเงินเก็บอยู่แล้วและไม่ต้องการเป็นหนี้  เราอาจจะเอาไปลงทุนทางอื่นได้อีกเช่น  ทองคำ
     ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า  ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา  ราคาของทองคำได้ขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ  นั่นเป็นเพราะว่า  จำนวนทองคำบนโลกนี้มีจำกัด  เมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลสหรัฐพิมพ์เงินเพิ่มขึ้น  ราคาทองคำก็จะเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน  เพราะตลาดค้าทองคำนั้น  อยู่ที่สหรัฐ  แต่ผมไม่ชอบทองคำตรงที่  ในระหว่างที่เราถือครองมันอยู่  เราจะไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆในระหว่างที่ถือมันเลย  เราจะได้ผลตอบแทนก็ต่อเมื่อ  เราได้ขายมันออกไปในราคาที่สูงกว่าตอนซื้อมา  แต่ว่าทรัพย์สินชนิดนี้เป็นสินค้าโภคภัณฑ์  สามารถนำไปขายที่ไหนก็ได้ในโลก  มันจึงเป็นทรัพย์สินที่เป็นสากล  คนจึงนิยมลงทุนกันพอสมควร  และเป็นทรัพย์สินที่ไม่ต้องใช้ความสามารถด้านการเงินมากเท่าอย่างอื่นเช่น  หุ้น  เป็นต้น
     สำหรับหุ้นแล้ว  ใช้ความสามารถในการลงทุนมากพอสมควร  เพราะต้องมีความรู้ทางด้านการเงินช่วยประกอบการตัดสินใจในการลงทุน  และถ้าเราลงทุนในหุ้นที่ดีแล้ว  เราสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้สบายมาก  เพราะตามสถิติแล้ว  เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 3 % ซึ่งเคยมีเซียนหุ้นบางท่านได้กล่าวไว้ว่า  เงินเฟ้อมาจากไหน  เงินเฟ้อก็มาจากการที่ข้าวของแพงขึ้นใช่ไหม  และถ้าของแพงขึ้นแล้วใครเป็นคนได้ประโยชน์  ก็ต้องเป็นคนที่ผลิตของพวกนั้นขายจริงไหม  เพราะฉะนั้นแล้ว  ถ้าเราอยู่ข้างเดียวกับผู้ประกอบการ  เงินเฟ้อก็ทำอะไรเราไม่ได้...  การลงทุนในหุ้น  เหมาะสำหรับคนที่ชอบประกอบธุรกิจ  แต่ขี้เกียจไปทำเอง  เพราะเรื่องมากและอีกจิปาถะ  หรือถ้าไปทำเอง  อาจทำได้ไม่ดีเท่าคนที่ทำอยู่แล้ว  เพราะฉะนั้น  ถ้าเราทำสู้เขาไม่ได้  เราก็ไปเป็นพวกเดียวกับเขาเลยจะดีกว่า  ดังนั้น  เราก็ศึกษาดูว่า  ธุรกิจอะไรที่เรามองออก  และเข้าใจธุรกิจนั้นดี  เราก็มองดูบริษัทที่เขากำลังทำธุรกิจนั้นอยู่และสามารถทำได้ดี  เราก็ซื้อหุ้นของเขา  ข้อห้ามสำหรับผมก็คือ  ผมจะไม่ลงทุนในบริษัทที่ผมไม่เข้าใจการทำธุรกิจนั้น  เพราะเมื่อมองไปข้างหน้าแล้ว  ผมไม่สามารถเห็นอนาคตได้  ยกตัวอย่างเช่น ผมซื้อหุ้นของ 7-11  เพราะผมเข้าใจดีว่า  เขาเป็นพ่อค้าที่ขายทุกอย่างที่สามารถขายได้  และใน 7-11 ทุกสาขาไม่จำเป็นต้องมีสินค้าที่เหมือนกันเสมอไป  ดังนั้น  การทำธุรกิจของเขาจึงมีความยืดหยุ่นสูง  และในประเทศไทยทุกวันนี้  ยังไม่มีใครเป็นคู่แข่งที่สูสีกัน  เพราะฉะนั้น  ผลกำไรจากการดำเนินงานก็ยังมีกำไรดีอยู่  และส่วนที่ดีอีกอย่างก็คือ  เขายังไม่หยุดโต  เขายังสามารถขยายสาขาเพิ่มได้อีก  ดังนั้น  แสดงว่าผลกำไรในอนาคตยังสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกจากปัจจุบัน  ส่วนธุรกิจที่ผมไม่เข้าใจเช่นปิโตรเคมี  ผมมองไม่เห็นอนาคตเลย  ซึ่งหมายถึงว่า  ผมไม่รู้ว่าปิโตรเคมีคืออะไร  มันมีกี่ชนิด  นำไปทำอะไรได้บ้าง  และมีคู่แข่งเยอะไหม  การทำกำไรเป็นอย่างไร  ขายให้ใครได้บ้าง  ราคาซื้อขายในตลาดอิงกับอะไร  ถ้ามันออกมาในลักษณะนี้แล้ว  ผมจะไม่ซื้อหุ้นนั้นเลย  เพราะผมไม่เข้าใจมัน  ถ้าเราจะซื้อหุ้น  เราต้องสร้าง  “ขอบเขตความรอบรู้”  และอยู่ในขอบเขตนั้น  และเราอย่าเสียดายกับโอกาสที่เกิดขึ้นนอกขอบเขตความรอบรู้ของเราเช่น  เมื่อเห็นหุ้นปิโตรเคมีวิ่งหน้าตั้ง  แต่เราไม่รู้ว่ามันขึ้นเพราะอะไร  เราก็อย่าไปเสียดายกับสิ่งที่เราไม่รู้จักมันเลยจะดีกว่า


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2010, 16:16:55
กระจายความเสี่ยง
     การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงนั้น  ควรจะลงทุนให้หลากหลายในทรัพย์สินหลายประเภทเช่น  เงินฝาก  สลากออมสิน  พันธบัตร  ทองคำ  อสังหาริมทรัพย์  และหุ้น  แต่หลายๆคน  ลงทุนในทรัพย์สินประเภทเดียวเช่นหุ้น  แต่ทำการซื้อหลายๆตัว  เพราะคนพวกนี้มีความคิดว่า  อย่าเอาไข่ทั้งหมดไปใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว  จริงๆแล้ววิธีการแบบนี้  น่าจะเรียกว่า"กระจัดกระจาย"มากกว่า  เนื่องจากว่า  เวลาที่หุ้นขึ้นหรือลงแล้ว  มันก็มักจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน  ซึ่งเวลามันตก  มันก็มักจะตกพร้อมๆกัน  เพราะฉะนั้นแล้ว  มันจึงเป็นภาระให้กับเรามากกว่า  เนื่องจากว่า  เราจะขายหุ้นหลายตัวในเวลาพร้อมๆกันไม่ค่อยทัน  กลยุทธ์ที่คนอื่นว่าเสี่ยง  แต่ผมกลับคิดว่าไม่เสี่ยงนั่นก็คือ  การลงทุนแบบ"โฟกัส"  ถ้าถามว่าการลงทุนแบบนี้เสี่ยงเป็นพิเศษไหม  เพราะถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับบริษัทที่เราถือหุ้นอยู่เพียงบริษัทเดียว  ก็อาจทำให้เราเจ็บหนักมากกว่าลงทุนในหลายๆบริษัท  คำตอบอาจจะใช่ก็ได้  แต่การลงทุนในตลาดหุ้น  มันเป็นความรับผิดชอบส่วนตัวของเราอยู่แล้วว่า  เราต้องรู้จักสิ่งที่เราลงทุนให้ถ่องแท้เสียก่อน  เหมือนถ้าคุณจะซื้อรถยนต์  แต่คุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับรถที่คุณจะซื้อเลย  อย่างนี้ต้องบอกว่า  เป็นการลงทุนที่ไม่ค่อยฉลาดเลย
     เวลาเราบอกว่าจะกระจายความเสี่ยงในการลงทุนชนิดเดียวกัน มันดูคล้ายกับว่า  เราไปที่ร้านขายรถมือสองแล้วถามเซลล์ว่า  ถ้าผมซื้อรถไปแล้วใช้ไม่ได้ล่ะ  เซลล์ก็จะแนะนำว่า  คุณควรกระจายความเสี่ยง  ด้วยการซื้อรถหลายๆคัน  เพราะถ้าหากว่าคันหนึ่งเสีย  ก็ยังเหลือรถคันอื่นที่ยังใช้งานได้อยู่
     การตอบสนองของทรัพย์สินแต่ละประเภทในแต่ละสถานะการณ์นั้นไม่เหมือนกัน  เช่นถ้าดอกเบี้ยขึ้น  คนที่ฝากเงินจะได้ประโยชน์มากขึ้น  แต่คนที่ลงทุนในพันธบัตรจะเสียประโยชน์  เนื่องจากดอกเบี้ยในพันธบัตรนั้นระบุดอกเบี้ยไว้คงที่  ซึ่งคนที่ถือพันธบัตรจะไม่ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยที่กำลังขึ้น  หรือว่าจะเป็นตลาดหุ้น  ซึ่งก็จะเสียประโยชน์ด้วยเช่นกัน  เนื่องจากว่าผู้ประกอบการต่างๆในตลาดหุ้นที่กู้เงินมาทำธุรกิจ  จะมีภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มมากขึ้น  จึงอาจทำให้จ่ายปันผลได้น้อยลง  และสำหรับคนที่จะนำเงินไปซื้อหุ้น  ก็จะเสียโอกาสทางการเงินด้วย  เพราะถ้าเขาเอาเงินไปฝากในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น  เขาก็จะได้ผลตอบแทนมากขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาด  เพราะฉะนั้น  การกระจายความเสี่ยงเป็นเรื่องที่ควรทำ  แต่ต้องมีให้ต่างชนิดกัน  และตอบสนองต่อตัวแปรที่ต่างกัน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2010, 16:31:29
วินโดว์เดรสซิ่ง
     ทุกวันปิดท้ายไตรมาสในตลาดหุ้น จะเป็นช่วงเวลาของสิ่งที่วงการเรียกกันว่า วินโดว์ เดรสซิ่ง ซึ่งมักจะทำให้ราคาปิดหุ้นจำนวนมากในตลาดดูดีกว่าปกติเสมอ แต่หลายต่อหลายครั้ง สถานการณ์ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะอาจจะมีลูกเล่นที่ทำให้สถานการณ์แปรเปลี่ยนได้

คำถามก็คือ แล้วนักลงทุนรายย่อย จะเรียนรู้เพื่อที่จะจับได้ไล่ทันว่า จะมีวินโดว์เดรสซิ่งเพื่อทำกำไรระยะสั้นได้หรือไม่

คำถามดังกล่าว ต้องย้อนกลับไปที่รากเหง้าของพฤติกรรมวินโดว์ เดรสซิ่ง

คำคำนี้ แรกเริ่มเดิมที มาจากศัพท์ที่ใช้กันในงานแต่งหน้าร้านของร้านค้าปลีก หรือร้านขายสินค้าแฟชั่นทั้งหลาย ที่พยายามตกแต่งหน้าร้านให้สวยหรูชวนฝัน เพื่อหลอกล่อให้ลูกค้าที่เดินผ่านไปมาตามท้องถนนเดินเข้าไปชมสินค้าภายในร้าน

ความหมายแรกเริ่มก็คือ การแต่งหน้าร้านนั่นเอง

เมื่อคำนี้ถูกนำมาใช้เปรียบเทียบโดยนักการเงิน สาระก็ยังคงมีลักษณะใกล้เคียงกัน นั่นคือ การตกแต่งรูปลักษณ์ภายนอกให้ดูดีเกินจริงชั่วคราว

ในทางการเงิน ความหมายของวินโดว์ เดรสซิ่ง มีความแตกต่างกันระหว่างในวงการบัญชี กับวงการหุ้น

ในวงการบัญชี ความหมายของวินโดว์ เดรสซิ่ง คือ การแต่งบัญชี ซึ่งมีความหมายทางลบ โดยถือเป็นกลยุทธ์ที่เรียกว่า ?ลับลวงพราง? (Trojan Horse Tactic) โดยการเคลื่อนย้ายตัวเลขทางบัญชีในงบการเงินทุกอย่างเพื่อให้ดูดีเกินจริง ทำให้ดูเหมือนว่าบริษัทดูดี

ส่วนใหญ่แล้ว กรรมวิธีวินโดว์ เดรสซิ่งทางบัญชีนี้ จะใช้กับกิจการที่มีปัญหาทางการเงิน และความสามารถของผู้บริหารหย่อนยาน จึงต้องใช้เล่ห์เพทุบายที่ฉ้อฉลทำให้ตัวเลขสวยงามเกินจำเป็นเพื่อปิดบังความไม่ปกติของกิจการ

วิธีการทางบัญชีที่นิยมใช้ในการทำวินโดว์ เดรสซิ่ง ประกอบด้วยหลายวิธีคือ 1.ซื้อหรือเช่าคืน 2.กู้เงินระยะสั้น 3.สร้างลูกหนี้เทียม 4.เอาตัวเลขขายสินค้าล่วงหน้ามาบันทึกลงบัญชีก่อน 5.เปลี่ยนนโยบายค่าเสื่อมราคา 6.เพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ และ 7.ปรับเปลี่ยนมูลค่าสินค้าคงค้าง

กิจการใดที่ถูกตรวจสอบพบว่า มีการทำวินโดว์ เดรสซิ่งทางบัญชี ถือว่า เป็นกิจการที่ต้องระมัดระวังการฉ้อฉลและสุ่มเสี่ยงล้มละลายได้ง่าย ดังเช่นกรณีของกลุ่มเอนรอนของอเมริกา ที่ใช้วิธีควบรวมกิจการและสร้างหนี้พร้อมกันขยายสินทรัพย์ใหญ่โตจนดูดีเกินเหตุ ก่อนที่จะล้มลงอย่างกะทันหัน

ในวงการหุ้น วินโดว์ เดรสซิ่ง ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอย่างที่เกิดขึ้นในวงการบัญชี เพราะคนที่ชอบใช้และจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์นี้ จะเป็นพวกผู้จัดการกองทุนทั้งหลายที่ลงทุนในตลาดหุ้น เพื่อทำให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของหน่วยลงทุนเมื่อวันสิ้นงวดแต่ละไตรมาสดูดี เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ถือกองทุนนั้นๆ เพราะมันเกี่ยวข้องกับโอกาสในการไถ่ถอน

ผลงานที่วัดกันได้จากวันสิ้นงวดไตรมาสของกองทุนแต่ละชนิด คือความจำเป็นที่จะต้องสร้างวินโดว์ เดรสซิ่งขึ้นมา ดังนั้น สิ่งที่จะต้องแต่งหน้าตาของมูลค่าสินทรัพย์ให้ดูดีก็จึงเกิดขึ้น

วิธีการแต่งหน้าตา ก็คือการปรับพอร์ตการลงทุนที่มีทั้งขายและซื้อพร้อมกัน โดยผลลัพธ์ท้ายที่สุดก็คือการที่ทำให้มูลค่าของหน่วยลงทุนหรือสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วย สวยงามมากขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเปรียบเทียบกับผลงานในไตรมาสก่อนหน้า หรือระยะเดียวกันปีก่อน

ที่ต้องทำก็เพราะว่า มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของหน่วยลงทุนของกองทุนแต่ละแห่งนั้น เขาวัดกันที่ราคาตลาดของหุ้น (มาร์ก ทู เดอะ มาร์เกต-mark to the market) เป็นสำคัญ

การปรับพอร์ต? กลยุทธ์ ?ปรับเปลี่ยน? (switching strategy) ก็คือ การเร่งขายหุ้นที่มีผลประกอบการไม่ดี หรือซื้อมาแล้วขาดทุนออกไป แล้วซื้อหุ้นที่มีผลประกอบการดีหรือมีอนาคตสดใสเข้ามาแทนที่ หรือกำลังจะประกาศผลประกอบการที่ดีเป็นพิเศษในช่วงใกล้สิ้นไตรมาส

การปรับพอร์ตถือหุ้นมีอนาคตสดใสขึ้น ละทิ้งหุ้นที่มีอนาคตย่ำแย่ออกไปจากมือ เป็นกลยุทธ์ที่ไม่ใช่เรื่องประหลาด และไม่ควรจะถือเป็นเรื่องของการฉ้อฉลแต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่มายาคติของนักลงทุนที่ไม่เข้าใจในกลยุทธ์การปรับพอร์ตของผู้จัดการกองทุน ทำให้เข้าใจกันผิดๆ ต่อเนื่องมาว่า การทำวินโดว์ เดรสซิ่งคือการดันราคาหุ้น หรือการเข้าซื้อทางเดียวของกองทุนเพื่อให้หุ้นราคาวิ่งแล้วตัวเลขกองทุนดูดีกว่าปกติ

ความไม่เข้าใจเช่นนี้ ทำให้คนเชื่อกันว่า เมื่อวันสิ้นงวดไตรมาสทุกครั้ง ดัชนีตลาดหรือหุ้นบลูชิพทั้งหลายในตลาดจะต้องถูกดันราคาหุ้นสูงขึ้น

หากว่าข้อเท็จจริงตรงกันข้ามกับความเชื่อ คนที่เข้าใจผิดทั้งหลายก็จะพาลเข้าใจอีกว่า ไตรมาสนั้นไม่มีการทำวินโดว์ เดรสซิ่ง ทั้งที่โดยความเป็นจริงเบื้องลึกแล้ว การทำวินโดว์ เดรสซิ่งได้กระทำตลอดเวลา

การทำวินโดว์ เดรสซิ่งเพื่อปรับพอร์ตลงทุนให้ดูดี กับราคาหุ้นหรือดัชนีตลาดหุ้น จึงอาจจะมีทิศทางเดียวกัน หรือขัดแย้งกันได้

การหาประโยชน์จากธุรกรรมวินโดว์ เดรสซิ่งในตลาด จึงอยู่ที่จะต้องจัดการซื้อหุ้นที่คาดว่าจะมีผลประกอบการล่วงหน้าสวยงามกว่าระยะเดียวกันปีก่อน หรือดีกว่าไตรมาสที่ผ่านมา หรือมีราคาต่ำกว่าบุ๊คเก็บเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อรอให้ผู้จัดการกองทุนเข้ามาซื้อเพื่อปรับพอร์ตในเวลาก่อนสิ้นไตรมาส

แล้วก็ควรจะรีบขายหุ้นเน่า แม้จะเป็นหุ้นบลูชิพที่คาดว่าจะมีผลประกอบการย่ำแย่ลง ออกไปจากมือ ก่อนที่บรรดาผู้จัดการกองทุนจะขายก่อน

คำว่า ?ให้ดูดี? ของการทำวินโดว์ ?เดรสซิ่ง จึงไม่ใช่ความหมายของการไล่ซื้อหุ้นอย่างเดียวตามที่เข้าใจกัน

ขณะเดียวกัน นักลงทุนที่ชาญฉลาด ก็คงจะต้องดูด้วยว่า ทิศทางการถือลงทุนในพอร์ตลงทุนของบรรดาผู้จัดการกองทุนนั้น มุ่งไปทางทิศใด เช่น ก่อนจะสิ้นไตรมาส กองทุนมีการซื้อหุ้นเข้าพอร์ตจำนวนมากผิดปกติ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาจะทำวินโดว์ เดรสซิ่งตอนปิดไตรมาส ก็น่าจะเป็นการขายออกเพื่อ ?ตัดขาดทุน? ซึ่งเป็นการทุบราคามากกว่า

ส่วนในกรณีตรงกันข้าม ก็อาจจะหมายถึงการดันราคาหุ้นจริง

ความเข้าใจในเรื่องวินโดว์ เดรสซิ่งของตลาดหุ้น จึงไม่ได้หมายความถึง การปั้นแต่งราคา แต่เป็นการปั้นแต่งพอร์ตลงทุนต่างหาก

ในตลาดหุ้นไทย ความเชื่อว่า การทำวินโดว์ เดรสซิ่ง ในช่วงไตรมาสแรกและสองจะมีการทำน้อยมาก แต่จะทำกันประจำในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี กลายเป็น ?ปรากฏการณ์ธันวาคม? (January Effect)

ความเชื่อเช่นนี้จะจริงหรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องสังเกตกันเอาเอง


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2010, 16:19:17
P/E  เรโช
     คำว่า P/E  เรโช มาจากการวัดราคาหุ้นในตลาดว่าถูกหรือแพง  ซึ่งได้จาก  การนำราคาหุ้นหารผลตอบแทน  เมื่อได้ตัวเลขออกมาก็จะเรียกกันเป็นเท่า  เช่น ราคาหุ้น 10  บาท  แต่ให้ผลตอบแทนปีละ 1 บาท  เพราะฉะนั้น  10/1  ได้ 10  ซึ่งความหมายก็คือ  เราต้องถือหุ้นนั้นเป็นเวลา  10  ปี  จึงจะคุ้มทุนเท่ากับเงินลงทุนเริ่มแรกของเรา  แต่ถ้าเราลงทุนในบริษัทที่มีการเติบโตแล้ว  ผลตอบแทนที่ได้  มักจะเพิ่มขึ้นทุกปี  เพราะฉะนั้นแล้ว  ค่า PE ในวันนี้  ไม่สำคัญเท่าค่า  PE ในอนาคต  โดยส่วนตัวแล้ว  ผมไม่ค่อยมองที่ค่า PE  มากนัก  ผมจะดูที่การเติบโตของบริษัทมากกว่า  เพราะเมื่อผลตอบแทนในอนาคตเพิ่มขึ้น ค่า PE  ก็จะลดลงมาเอง  หรือในอีกลักษณะหนึ่ง  ถ้าตลาดจะให้ค่า  PE  เท่าเดิม  ราคาหุ้นก็ควรจะเพิ่มขึ้นครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: jomyoot ที่ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2010, 06:55:01
ผมสนใจลงทุนหุ้นที่มีเงินปันผลครับ งบที่ลงทุน50k-100k หรือมากกว่า

(อยากลองเม็ดเงินไม่มากลงทุนไปก่อนน่ะครับ ดูผลตอบกลับว่าเป็นไงบ้าง)

รบกวนพี่ๆที่มีความรู้ ช่วยแนะนำ ช่วยให้ความรู้หน่อยนะครับ ว่าคุ้มค่าเงินไหม

หรือต้นลงทุนมากๆ ถึงจะได้เงินปันผลเยอะๆ ผมต้นครับ 086-9124262 ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2010, 11:14:30
ตอบคุณจอมยุทธ์
     ถ้าชอบแบบปันผลเยอะๆก็ต้อง ADVANC ครับ  เขาทำมือถือค่าย AIS อยู่  ทุกวันนี้ปันผล 100 % ครับ!!!  พูดง่ายๆว่า หามาได้เท่าไหร่  จ่ายปันผลอย่างเดียว  และจ่ายดีด้วย  ปีนึงไม่ต่ำกว่า 6.30 บาท  ช่วงนี้ราคาหุ้นตกลงมา  เหลือไม่ถึง 90 บาทแล้ว  ถ้าจะเอาปันผล  ก็น่าเก็บครับ  และถ้า 3G เกิดล่ะก็  คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น  แต่ถ้าชอบแบบโตเร็ว  ผมชอบ CPALL มากครับ  เพราะขยันเปิดสาขาเหลือเกิน  และยังไม่มีใครเป็นคู่แข่งที่ใกล้เคียงด้วย  หรือถ้าชอบแบบตามวงจร  ก็เลือกหุ้นที่แบบว่า  เวลาเศรษฐกิจดีแล้วมักจะดีตามเช่น  รถยนต์  มือถือ  หรือของฟุ่มเฟือยต่างๆครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 01 ธันวาคม 2010, 15:48:15
     อย่าเรียกท่านเลยครับ  ผมไม่ได้รวยสักหน่อย  ถ้าอยากถามก็ถามในห้องกระทู้นี้เลยครับ  เพราะจะได้เผื่อแผ่ความรู้ให้ท่านอื่นด้วย  และตัวผมเอง  ไม่ค่อยได้เข้าใช้เนตบ่อย  ถึงให้เมลไป  ผมก็ไม่ค่อยได้ดู  เวลาผมจะเล่นเนต  ผมก็จะเข้าเว็ปนี้ก่อนครับ  สงสัยอะไรก็ถามได้  เพราะบางที  เราจะได้รู้มุมมองจากท่านอื่นๆด้วย  ซึ่งมันก็มีประโยชน์กับทุกคน  ไม่ต้องอายครับ  คนเราก็ต้องไม่รู้มาก่อนทั้งนั้น  อย่างน้อย...เราก็ยังดีที่ได้เริ่มก่อนคนอื่นแล้ว


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Bluebird ที่ วันที่ 01 ธันวาคม 2010, 16:17:12
คุณวายุค่ะ ขอความคิดเห็นด้วยค่ะ คือแพลนไว้ว่าอีกสี่เดือนข้างหน้าจะลาออกงานประจำแต่ยังคิดไม่ตกว่าจะรับเป็นบำเหน็จหรือบำนาญดี อยากมีเงินเย็นไว้เล่นหุ้นด้วยเผื่อลาออกมาแล้วมีเวลาว่าง ขอขอบคุณล่วงหน้าค่ะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 02 ธันวาคม 2010, 16:04:46
ตอบคุณบลูเบิร์ด
     จริงๆแล้ว  การใช้เงินของแต่ละคนไม่เหมือนกัน  เพราะมีหลายๆปัจจัยที่เป็นแบบนั้นเช่น  เป็นคนชอบเก็บออม  เป็นคนขี้สงสาร  เป็นคนหน้าใหญ่  เป็นคนชอบช็อปปิ้ง  ฯลฯ  และแต่ละคน  ใช้เงินวันหนึ่งไม่เท่ากัน  เพราะฉะนั้นแล้ว  เราต้องรู้ตัวเองดีที่สุดว่า  เราต้องการอะไร  ผมจะไม่ตอบว่าคุณจะรับเงินแบบไหน  เพราะคุณย่อมรู้ใจคุณเองดีที่สุด  แต่ถ้าเป็นการเล่นหุ้น  คุณก็ควรรู้อีกว่า  คุณเป็นคนแบบไหน  เพราะมันจะเป็นตัวกำหนดสไตล์การลงทุนของคุณเองเช่น  ถ้าเป็นคนไม่ชอบตามตลาด  ก็ควรลงทุนในหุ้นปันผลสูงๆ  เพราะไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง  หุ้นนั้นก็ปันผลสูงอย่างสม่ำเสมอเช่น  หุ้นของแอดวานซ์  เขาทำธุรกิจโทรศัพท์มือถือค่าย 1-2-CALL  และนโยบายปันผล  ให้สูงถึง 100 %  ในปีหนึ่งๆ  เขาจะจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 6.30 บาท ราคาหุ้นช่วงนี้ประมาณ 90 บาท เมื่อเอาผลตอบแทนมาหารราคาหุ้น  ได้ผลตอบแทน 7 % ต่อปี  ซึ่งก็สูงกว่าเงินฝากมาก  และในปีนี้  เขาปันถึง 3 รอบ  รวมกันแล้วเป็นเงินที่ได้ต่อหุ้นถึง 17.3 บาท  เมื่อคิดเป็นผลตอบแทนได้เท่ากับ 19 % กว่าๆ  ซึ่งก็ดีมากๆเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝาก
     แต่ถ้าคุณเป็นคนที่รับความเสี่ยงและความผันผวนได้  และมีเวลาติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด  หุ้นที่หวือหวาคงจะเหมาะกับคุณเช่น  หุ้นน้ำมัน  ถ่านหิน  ฯลฯ
     ถ้าสนใจเรื่องหุ้นยังไงแล้ว  เอาไว้คราวหน้าเราค่อยมานั่งคุยกันก็ได้ครับ  บางทีผมอาจแนะนำกลเม็ดเคล็ดลับในการดูตัวหุ้น  จังหวะเข้าซื้อ  การลดต้นทุนของราคาหุ้น  ใช้ความผันผวนให้เป็นประโยชน์  และอีกหลายอย่าง  ขอบคุณที่สนใจการลงทุนครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 04 ธันวาคม 2010, 18:34:41
ตอบคุณบลูเบิร์ด
     สมมติถ้าคุณจะลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศไทย  แต่ตัวคุณอยู่ต่างประเทศ  คุณก็สามารถส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นผ่านทางเว็บของโบรกเกอร์ที่เป็นนายหน้าได้เลยครับ  ถ้าสนใจรายละเอียดมากกว่านี้  ก็ลองไปสอบถามดูที่โบรกเกอร์ครับ

ตอบคุณT2K
     จริงๆแล้วการที่คุณมาขอความเห็นจากผมคนเดียว  อาจจะเป็นอันตรายกับตัวคุณเองก็ได้นะครับ  เนื่องจากว่า  ผมจะให้คำปรึกษาในมุมมองของผมคนเดียวเท่านั้น  ซึ่งบางที  ข้อมูลที่ผมรู้มา  อาจจะล้าสมัยไปแล้ว  ซึ่งนั่นหมายถึง  เราได้พลาดอะไรบางอย่างไป  ผมแนะนำให้คุณถามมาที่ห้องกระทู้นี้เลยดีกว่าครับ  เพราะบางที  อาจจะมีผู้รู้ท่านอื่นมาบอกข้อมูลหลายอย่าง  ซึ่งบางทีผมอาจจะไม่รู้และหลายคนก็ไม่รู้เหมือนกัน  เป็นการแบ่งปันข้อมูลกันดีกว่านะครับ
     ยกตัวอย่างเช่น  คุณถามว่าหุ้นแอดวานซ์เป็นยังไงบ้าง  ผมก็อาจจะตอบว่า  เป็นหุ้นที่ดีตัวหนึ่งในความเห็นของผม  เนื่องจากว่า  มีผู้ประกอบการน้อยราย  เพราะต้องขอสัมปทาน  และตำแหน่งในตลาดของเขาก็เป็นอันดับหนึ่ง  เพราะมีลูกค้าอยู่ในมือมากที่สุด  ส่วนลักษณะธุรกิจ  สินค้าของเขาก็เป็นของที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน  และผมเชื่อว่า  สมัยนี้จะหาคนที่ไม่มีมือถือคงน้อยมาก  แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเรื่องหนึ่งคือ  มันใกล้ถึงจุดอิ่มตัวของธุรกิจแล้ว  แต่ธุรกิจของเขาดีตรงที่  เสาโครงข่ายตั้งไปมากแล้ว  ตอนนี้ก็ไม่ค่อยได้ลงทุนเพิ่มมากนัก  เพราะฉะนั้น  รายได้ที่เข้ามาในตอนนี้  จึงไม่ค่อยได้นำไปใช้อะไร  มันจึงเหลือเป็นเงินปันผลเยอะ  และในประเด็นของ 3G  ถ้ามันไม่เกิดก็ไม่เป็นไร  เนื่องจากว่า  ถ้ายังไม่เกิด  เขาก็ยังไม่ต้องลงทุนเพิ่ม  เพราะฉะนั้น  เงินปันผลก็จะจ่ายในระดับสูงต่อไป  แต่ถ้ามันเกิด  อันนี้มันก็จะต้องลงทุนเพิ่ม  อาจจะทำให้ปันผลลดลง  แต่หลังจากลงทุนไปแล้ว  ก็จะทำให้มีลูกค้าใหม่ๆเพิ่มเข้ามา  แม้แต่คนใบ้หรือหูหนวกก็จะสามารถใช้โทรศัพท์ได้แล้ว  เพราะฉะนั้น  เมื่อวิเคราะห์แล้ว  ในความเห็นของผม  จึงเป็นหุ้นที่น่าลงทุนตัวหนึ่งครับ   นี่เป็นตัวอย่างนะครับ  ผมไม่ได้เชียร์ให้ซื้อหุ้นตัวนี้  เพราะแต่ละคนมีความรอบรู้ไม่เหมือนกันและไม่เท่ากัน  ยังไงแล้วก็ถามมาที่กระทู้นี้แหละครับดีที่สุด  บางทีข้อมูลที่ผมได้บอกไป  อาจมีผู้รู้ท่านอื่นเข้ามาบอกข่าวให้เรารู้ตัวได้เช่น  อาจมีคนมาบอกว่า  อายุสัมปทานใกล้หมดแล้ว  และรัฐบาลไม่ต่อสัญญาให้  อันนี้ถือเป็นข่าวร้ายครับ  ถ้าเรากำลังจะลงทุน  หรือลงทุนไปแล้ว  เราจะได้กลับตัวได้ทัน  ยังไงก็ขอบคุณที่สนใจการลงทุนครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 05 ธันวาคม 2010, 14:04:59
ตอบคุณT2K
     จริงๆแล้วความเสี่ยงมันมีทุกที่แหละครับ  แต่ถ้าเป็นการซื้อขายรายวันเค้าเรียกว่า"เทรด"   ซึ่งในความหมายแล้วมันไม่ใช่การลงทุนนะครับ  แต่เป็นการพนันมากกว่า  ซึ่งข้อเสียของการเทรดก็คือ  คุณจะเสียค่าคอมฯมาก  เสียสุขภาพจิต  และไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น  เพราะคุณต้องนั่งเฝ้าตลาดอยู่ตลอดเวลา  ผมเคยเห็นคนที่เทรดหุ้นแบบนี้  ดูแล้วเขาไม่มีความสุขในชีวิตเลย  ขนาดจะลุกไปเข้าห้องน้ำยังกลัวหุ้นตกแล้วขายไม่ทัน  หรือบางทีอย่างนี้ก็อาจจะนับเป็นการลงทุนได้เหมือนกัน  แต่เป็นการลงทุนเพื่อให้ได้กำไร  แต่ถ้าคุณรู้เรื่องเงินสี่ด้านในหนังสือพ่อรวยสอนลูกแล้ว  คุณจะรู้ว่า  การทำแบบนี้  อยู่ในด้านซ้ายของเงินสี่ด้าน  เพราะถ้าคุณ"ไม่ทำ" คุณก็ "ไม่ได้"  แล้วคุณชอบแบบไหนมากกว่ากัน  ระหว่างไม่ทำก็ไม่ได้  หรืออยู่เฉยๆแล้วได้ตังค์  ถ้าเป็นการลงทุนแบบคนด้านขวาแล้ว  เขามักจะทำอย่างหลังมากกว่า  เพราะเขาให้เงินไปทำงานแทนเขา  โดยที่เขาอยู่เฉยๆ  หรืออาจจะทำอะไรที่เขาอยากทำเช่น  ท่องเที่ยว  ตกปลา  จีบสาว  หรือนอนหลับ  เป็นต้น  นั่นคือความหมายของ "นักลงทุน"  ครับ  เอาไว้เดี๋ยวผมจะลงความรู้ให้อ่านอีกทีแล้วกันนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 08 ธันวาคม 2010, 16:03:30
การทำกำไรจากราคาหุ้น
     ทุกครั้งที่คุณลงทุนโดยคาดหวังว่า  ราคาหุ้นที่คุณซื้อจะมีราคาสูงขึ้น  นั่นคือการพนันแบบหนึ่ง  ซึ่งผมไม่ได้บอกว่านี่คือเรื่องผิด  สิ่งสำคัญอยู่ที่คุณจะต้องรู้ว่าเป้าหมายในการลงทุนของคุณคืออะไร

ทำไมไม่ค่อยมีคนสนใจลงทุนเพื่อให้ได้กระแสเงินสด
     คำถามมีอยู่ว่า  ถ้าคุณให้เงินผม 10 บาทในวันนี้  แล้วผมจะคืนให้คุณปีละ 1 บาท  คุณคิดว่าเป็นการลงทุนที่ดีไหม  ผมคิดว่าคุณตอบว่าใช่  นั่นหมายความว่า  คุณจะได้เงิน 10 บาทคืนภายในเวลา 10 ปี  หลังจากนั้นก็จะได้เงินมาฟรีๆทุกปี

ทำไมคนจึงนิยมซื้อขายหุ้นเพื่อทำกำไร
     ถ้าการซื้อและขายเพื่อให้ได้กำไรจากส่วนต่างเป็นการเสี่ยงแล้ว  ทำไมจึงมีคนนิยมซื้อขายหุ้นเพื่อทำกำไร  คำตอบก็คือ  เพราะว่าอยากรวยเร็วน่ะสิ  วอร์เร็น  บัฟเฟต  นักลงทุนเอกของโลกเคยกล่าวไว้ว่า  เหตุผลที่งี่เง่าที่สุดในการซื้อหุ้นก็คือ  หวังว่ามันจะขึ้น  นักลงทุนส่วนมากลงทุนโดยหวังกำไรจากส่วนต่างของราคา  ดังนั้นบรรดานักวิเคราะห์จึงมักให้คำแนะนำผู้คนให้ลงทุนแบบนี้  จนทำให้นักลงทุนส่วนมากคิดว่าการลงทุนเป็นความเสี่ยง

     จริงๆแล้วสิ่งที่ผมอยากแนะนำก็คือ  ก่อนที่เราจะลงทุนซื้อหุ้น  เราควรดูที่เงินปันผลก่อนเป็นอันดับแรก  เพราะเราไม่สามารถคาดเดาตลาดได้ถูกต้องทุกครั้งหรอก  ฉะนั้นแล้ว  ถ้าหุ้นที่เราซื้อ  มีเงินปันผลรองรับไว้อยู่  ถึงแม้ราคาหุ้นจะตกลงไปมาก  เราก็ยังได้รับประกันการคืนเงินอยู่  เมื่อคุณลงทุนเพื่อให้ได้กระแสเงินสด  คุณกำลังลงทุนเพื่อรับประกันการคืนเงิน  ถ้าคุณลงทุนเพื่อต้องการกำไรจากส่วนต่างราคา  คุณกำลังลงทุนบนความหวัง  นักลงทุนที่ชาญฉลาด จะลงทุนเพื่อวันนี้  กล่าวคือ  เขาจะลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนในวันนี้ทันทีที่เขาลงทุนไป  ไม่ใช่ลงทุนโดยหวังว่า  พรุ่งนี้ราคาหุ้นจะขึ้น  คนที่ลงทุนเพื่อวันพรุ่งนี้  จะทำให้เขากลายเป็นนักพนัน  มีหลายคนที่นั่งคอยดูตลาดหุ้นขึ้นลง  พวกเขามีความสุขเมื่อตลาดหุ้นขึ้น  และผิดหวังเมื่อมันลง  คนเหล่านี้จริงๆแล้วเป็นนักลงทุนที่ต้องการกำไรจากส่วนต่างของราคา  พวกเขาถูกเรียกว่า  นักลงทุนตามเทคนิค  จากปรัชญาของนักลงทุนกลุ่มนี้  ทำให้หุ้นมีความผันผวนและมีความเสี่ยงสำหรับนักลงทุนคนอื่นๆ  ผมสนับสนุนให้มองการลงทุนเหมือนการทำธุรกิจ  เมื่อคุณพบธุรกิจที่ยอดเยี่ยมและจ่ายเงินสดให้คุณสม่ำเสมอ  ให้รักษามันไว้  การลงทุนบนราคาหุ้น  คือการลงทุนบนความเห็น  ซึ่งราคานั้นมันอาจจะไม่สมเหตุผลก็ได้  ผมเคยเห็นหุ้นหลายๆตัว  มีกำไรแต่ไม่เคยจ่ายปันผลเลย  แล้วอย่างนี้  จะถือมันไว้ทำไม  ในความเห็นของผม  ราคาหุ้นเป็นเพียงน้ำจิ้มเท่านั้น  เพราะราคาหุ้นนั้นมีขึ้นมีลง  ถ้าเราไม่รู้จักขายทำกำไรออกไป  เราก็จะไม่ได้อะไรเลย  แต่ถ้าเป็นเงินปันผลแล้ว  ถึงเราไม่ได้เฝ้าดูตลาดหุ้น  ก็ยังมีเงินไหลเข้ามาหาเราไม่ขาด

หาอาชีพให้เงินของคุณ
     ผมจะเล่าเรื่องนี้ให้คุณอ่านเพื่อเป็นแนวทางการทำเข้าใจนะครับ  เรื่องนี้เป็นบทสนทนาระหว่างผู้ให้คำปรึกษา  กับผู้สอบถาม  โดยจะสมมติแทนเป็นตัวเลขแล้วกันนะครับ  โดยผู้ให้คำปรึกษาใช้เลข 1  และผู้สอบถามใช้เลข 2
2:คุณคือคนที่บอกให้ผู้คนเอาเงินไปลงทุนใช่ไหม
1:ครับ
2:ผมกำลังจะออกจากงาน 3 เดือนข้างหน้านี้  และผมต้องการให้เงินของผมงอกเงย  เพราะหลังจากนี้ผมจะไม่มีรายได้  คุณช่วยผมได้หรือไม่
1:ผมช่วยคุณได้ถ้าคุณพร้อมที่จะเรียนรู้การเป็นนักลงทุน
2:ผมต้องใช้เงินเพื่อการเรียนรู้เท่าไหร่
1:ขึ้นอยู่กับคุณ  คุณมีเงินที่จะลงทุนแค่ไหนล่ะ
2:ผมมีเงินเก็บอยู่ 18000  มีบ้านเล็กๆและรถยนต์ที่ผ่อนหมดแล้ว  ไม่มีหนี้สินอะไร  ผมเป็นวิศวกรในบริษัทเล็กๆ  แต่โชคร้ายที่บริษัทไม่ค่อยเติบโต  โดยส่วนตัวแล้วผมก็ชอบงานที่ทำอยู่  แต่เงินเดือนน้อยไปนิด  และดูเหมือนว่าจะไม่มั่นคง
1:ภายใต้ความเงียบวูบนั้น  ผมรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดหลังจากที่เขาพูดจบลง  ความรู้สึกของเขาก็ไม่ต่างจากความเจ็บปวดของใครหลายคนที่มองหางานทำหลังจากเกษียณ  ผมตอบเขาว่า  บางทีนี่อาจจะยังไม่ใช่เวลาที่คุณจะลาออกจากงาน  ทำไมคุณไม่ฝากเงินไว้ในธนาคาร  แล้วทำสิ่งที่คุณอยากทำ
2:ผมรู้ตัวดี  ผมรู้มาตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่าผมต้องลงทุน  ผมไม่สามารถโกหกตัวเองว่าสามารถทำงานหาเงินได้ตลอดไป  วันหนึ่งผมก็ต้องหยุดทำงาน  มันน่ากลัวเมื่อคิดว่าผมซึ่งเป็นคนที่มีการศึกษา  วันหนึ่งต้องกลายเป็นภาระของสังคม  เพียงเพราะว่าไม่สามารถทำงานเลี้ยงดูตัวเองได้  ทุกวันนี้ผมจึงทำงานหนัก  แต่ผมรู้ดีว่าวันที่ผมไม่สามารถทำงานได้จะต้องมาถึง
1:คราวนี้เราสองคนเงียบไปพักใหญ่  นั่นเป็นเพราะว่า  ผมไม่มีคำตอบง่ายๆเหมือนปาฏิหาริย์ที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้น  การบริหารเงิน  การลงทุน  การวางแผนการเงินระยะยาว  ไม่ใช่คำตอบสำหรับคำถามทำนองนี้
2:บอกได้มั๊ยว่าอะไรที่จะช่วยให้ผมเป็นนักลงทุนที่ดีขึ้น
1:ผมคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามเขาว่า   คุณทำอาชีพอะไร
2:ผมเป็นวิศวกรโรงงาน  ผมมีลูกน้อง 25 คนที่ทำงานตามที่ผมสั่งทุกวัน
1:ดีล่ะ   แล้วเงินของคุณล่ะทำอาชีพอะไร
2:อาชีพของเงิน!ผมไม่รู้  ผมฝากเงินไว้ในธนาคาร
1:นั่นล่ะ  อาชีพของเงินคุณคือพนักงานธนาคาร
2:ผมไม่เข้าใจ  คุณกำลังบอกว่าเงินของผมมีอาชีพเป็นพนักงานธนาคารเหรอ
1:เพราะว่าเงินของคุณกำลังทำงานให้คุณ  ผมอยากให้คุณมองเงินเหมือนเป็นลูกจ้าง  อาชีพของผมคือนักลงทุนที่มองหางานให้ลูกจ้างของผม  ลูกจ้าง 18000 คนของคุณทำงานอยู่ในธนาคาร  นั่นหมายความว่าพวกนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน
2:เงินของผมเป็นพนักงานธนาคารเหรอ
1:ใช่แล้ว  พวกนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน  เพราะธนาคารจ่ายเงินเพื่อให้พวกเขาทำงานที่นั่น
2:ผมไม่เคยคิดแบบที่คุณบอกเลยนะ
1:และธนาคารปฏิบัติกับลูกจ้างของคุณยังไง  ธนาคารจ่ายค่าแรงให้ดีมั๊ย
2:ไม่ดีเลย
1:อ้าว..ธนาคารจ่ายค่าแรงไม่ดีเหรอ  ผมถามพร้อมรอยยิ้ม  เมื่อรู้ว่าเขาเริ่มเข้าใจที่ผมพูด
2:ไม่ดี  จริงๆแล้วธนาคารเคยจ่ายให้ 5 % แต่ตอนนี้ลูกจ้าง 18000 คนของผมได้แค่ 1 % ต่อปี
1:นั่นไม่มากเลยนะ  แล้วได้สิทธิพิเศษอะไรบ้างหรือเปล่า
2:สิทธิพิเศษ...สิทธิพิเศษอะไร
1:เช่นส่วนแบ่งจากผลกำไร
2:ไม่   ดอกเบี้ยที่ผมได้ก็ถูกหักภาษี  ผมไม่เคยได้รับการยกเว้นภาษีใดๆเลย
1:ผมมีเงินฝากในธนาคารเหมือนกันนะ  แต่ไม่มาก  เพราะธนาคารก็ดูแลลูกจ้างของผมไม่ดีไปกว่าที่ทำกับลูกจ้างของคุณ
     เราเงียบกันไปอีกครู่หนึ่ง  โดยที่วิศวกรคนนี้เริ่มเข้าใจบทบาทหน้าที่ของนักลงทุน  “หน้าที่ของผมก็คือ  การหาอาชีพที่เหมาะสมให้กับเงินของผม  นั่นคือสิ่งที่นักลงทุนทำกัน  ผมอยากหางานที่มั่นคงให้เงินของผม  และจ่ายค่าแรงงาม”  ผมพยักหน้าแล้วยิ้ม  ก็คล้ายๆกับที่ผู้ปกครองต้องดูแลลูกๆของพวกเขา  นักลงทุนก็ต้องดูแลสุขภาพของเงินและเลี้ยงดูลูกจ้างเหล่านี้  คนส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้เงินอยู่ผิดที่ผิดทาง  ทำเรื่องผิดพลาด  และให้ผลตอบแทนนิดเดียว  การหาความรู้เพิ่มขึ้นจะทำให้คุณปฏิบัติกับลูกจ้างของคุณด้วยความเอาใจใส่  หาที่ที่เหมาะในการทำงาน  ปกป้องดูแลพวกเขา  ทำให้แน่ใจว่าพวกเขาได้รับค่าจ้างที่ดี  และลูกจ้างของคุณก็จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นและทำงานหนักให้คุณ

     เรื่องก็จบลงเพียงเท่านี้  หวังว่าทุกท่านที่อ่านคงได้ความรู้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ  ยินดีกับทุกท่านที่สนใจเรื่องการลงทุนครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 24 ธันวาคม 2010, 16:06:48
ตอบคุณซาลาเปา
     ขอโทษที่หายไปนาน  แต่ที่คุณเข้าใจนั้นถูกต้องแล้ว  อุตส่าห์กบดานเงียบยังมีคนรู้อีก  สงสัยจะมาจากรายการแฉแต่เช้า  ผมก็สงสัยเหมือนกันว่า  คุณคือมาร์ประจำตัวผมแหง๋มๆเลย  ช่วงที่หายไปนี้  พอดีไปตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือที่ซื้อมาจากงานหนังสือที่คุกเก่า  หนังสือมีชื่อว่า  "เหนือกว่าวอลล์สตรีท"  เป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่ง  อ่านง่าย  แต่ตามความเห็นของผมแล้ว  หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผม  แต่อาจจะไม่เหมาะกับคนอื่นที่ชอบลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม  เพราะในหนังสือแนะนำว่า  ให้ซื้อ...และก็ขายในท้ายที่สุด  ที่ผมบอกว่ามันเหมาะกับผมก็คือ  ทุกอย่างในโลกนี้ย่อมเปลี่ยนแปลงได้เสมอ  เพราะฉะนั้นแล้ว  การที่หุ้นตัวหนึ่งในอดีตเคยดีมาก  มันอาจจะไม่ดีในวันนี้ก็ได้  เช่น  สมัยก่อนคนยังไม่มีอะไร  สินค้านั้นมันก็จะขายดีมาก  แต่ถ้าคนเขามีกันหมดแล้ว  มันก็จะไม่มีความต้องการซื้อมากเหมือนสมัยก่อนในตอนที่ยังไม่มีใครมีมัน  ตัวอย่างคือ  โทรทัศน์  เสื้อผ้า  บ้าน  มือถือ  รถ  ฯลฯ  เพราะฉะนั้น  ผู้เขียนได้ตระหนักดีว่า  ทุกอย่างไม่คงที่เสมอไป  เพราะอย่างนั้นแล้ว  เราก็ควรซื้อหุ้นนั้น  ตอนที่สินค้านั้นกำลังเป็นที่ต้องการ  และขายออกไป  ตอนที่สินค้านั้นไม่มีใครต้องการมันมากอีกแล้ว  และเรา...ก็ควรจะมองหาผู้ชนะในอุตสาหกรรมนั้นๆด้วย  ไม่ใช่เลือกที่ตัวอุตสาหกรรมอย่างเดียว  เพราะในระบบทุนนิยม  ไม่ยอมให้มีผู้ชนะทุกราย  เอาไว้เดี๋ยวมีเวลาแล้วค่อยมาลงรายละเอียดใหม่ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: J@de ที่ วันที่ 24 ธันวาคม 2010, 16:29:34
เจ้าของกระทู้

ตามกฎ กลต. ท่านผู้ไม่มีใบอนุญาติไม่สามารถแนะนำ ชักจูง เชิญชวน ผู้อื่นได้หนะครับ โปรดศึกษากฎหมายให้ชัดแจ้งเพื่อประโยชน์สุขของตัวท่านเอง

การบริหารการเงินเป็นเรื่องส่วนบุคคล เป็นการดีที่ผู้มีประสบการณ์และประสบความสำเร็จจะเล่าสู่กันฟัง แต่ด้วยความรู้แต่ละบุคคลไม่เท่ากัน กฎหมายท่านจึงได้กำหนดไว้ไม่ให้ผู้ที่แสวงหาประโยชน์หรืออาจจะแสวงหาประโยชน์โดยซ่อนเร้น กระทำการใดๆ อันจะเป็นการละเมิดได้



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: arm phan ที่ วันที่ 25 ธันวาคม 2010, 11:08:50
ถึงทุกท่าน
การเล่นหุ้นมีความเสียง แต่ท่านที่มีความเชี่ยวชาญสามารถทำเงินได้อย่างมหาศาล แต่เน้นท่าน ต้องมีเงินเย็น หุ้นแต่ละตัวมีความละเอียดอ่อน สำหรับตำราต่างๆที่เราอ่านเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ตำราของต่างประเทศบางอย่าง ใช้ไม่ได้กับเมืองไทย เพราะติดปัญหาหลายอย่างมาก ประเด็นแรก เรื่องกฏหมายไม่เข้มแข็ง ความไม่เป็นเสรีจริงของเมืองไทย ผู้มีทุนมากกำลังมาก เป็นผู้กุมอำนาจ อีกทั้งเรื่องอิทธิพลต่างๆมากมาย ผมเองอยู่มาหลายวงการ ไม่ว่าหุ้น ทองคำ ธุรกิจ ดำ หรือ ขาว พ่อค้าต่างๆ เห็นความจริงได้ว่า ปลาใหญ่มักกินปลาเล็กเสมอ แนะนำทุกท่าน ก่อนเริ่มทำอะไรให้กลับไปดูตนเองก่อนว่าท่านเป็นใคร อยู่ในตำแหน่งใหนของชีวิต สังคม ท่านมีความมุ่งมั่นมากน้อยเพียงไร ไม่ได้ให้ดูถูกตัวเองหรือคนอื่นครับ แต่อยู่กับความเป็นจริงครับ ปัจจุบันสังคมไทยเราหาเพื่อนที่ดีและจริงใจได้น้อยมาก การที่จะแบ่งกันรวยเป็นไปได้อยาก ท่านเองของคิดดูว่าท่านทำเงินได้มากมายอยู่แล้ว ท่านอยากแบ่งให้คนอื่นหรือเปล่า เราต้องยอมรับความจริงครับ แต่ถ้ามีใครสักคนทำได้เพื่อสังคมผมเองก็จะยอมรับ เริ่มจากอาชีพที่ท่านทำในปัจจุบันให้ดียิ่งๆขึ้นไป หาความรู้เพิ่มขึ้น คบมิตรที่ดีมากขึ้น เปิดใจรับมากขึ้น ท่านจะประสบความสำเร็จครับ.........


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: 3654 ที่ วันที่ 27 ธันวาคม 2010, 21:41:16
ผมอยากเล่นบ้างต้องปรึกษาคัยครับอยากมีคนปรึกษาเรื่องเล่นหุ้น
..ไปเล่นกันที่ไหน
..ใช้เงินเท่าไหร่
..ดูหุ้นได้จากที่ไหน
..เริ่มเล่นยังงัย
..จะไปขายที่ไหน
คือตอนนี้ไม่มีข้อมูลเบื้องต้นของการเล่นหุ้นเลยแต่อยากเล่นมากๆ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 28 ธันวาคม 2010, 16:10:31
ตอบคุณ 3654
     ลองไปปรึกษาโบรกเกอร์ดูครับ  ที่ผมใช้บริการอยู่ที่ตรงข้าม CR MALL เขาคงให้รายละเอียดได้มากอย่างที่เราอยากรู้
ตอบคุณ อำพัน
     ผมอยากติงนิดนึงนะครับเรื่องตำรา  จริงๆแล้วตามความเห็นของผม  มันน่าจะใช้ได้  เนื่องจากว่า  ในตำรานั้นมันเป็น"หลักการ"  มิใช่ความเห็น  เช่นการที่เขาสอนเรื่องการดูหุ้น  เราก็ศึกษาจากคนที่เขาประสบความสำเร็จว่าเขาทำอย่างไร  เหมือนอย่างเช่น  ถ้าเราอยากรู้เรื่องดินฟ้าอากาศ  เราก็ควรถามนักพยากรณ์อากาศน่ะครับ  หรือถ้าเป็นเรื่องพื้นๆ  บางอย่างเราก็สามารถรู้ได้ด้วยตัวเองเช่น  ถ้าไม่มีเมฆ  ฝนก็ไม่ตก  ถูกต้องไหมครับ  เพราะเราต่างก็รู้ว่า  ฝนนั้น  กลั่นตัวมาจากเมฆ  เพราะฉะนั้นแล้ว  รู้ไว้ใช่ว่าครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 29 ธันวาคม 2010, 16:01:17
ว่าด้วยเรื่องของทองคำ
     จากเรื่องที่คุณอำพันได้กล่าวอ้างว่า  ปลาใหญ่กินปลาเล็ก  สำหรับในเรื่องของทองคำนั้น  ในความเห็นของผม  "ทอง"  เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ระดับโลก  ซึ่งมีผู้คนเกี่ยวข้องมากมาย  ผมว่า  ในกรณีที่คนใดหรือองค์กรใด  จะสามารถกำหนดราคาทองให้เป็นเป็นได้อย่างใจชอบนั้น  เป็นไปได้ยากมาก  เพราะต้องมีทุนมหาศาลในการปั่นราคา  เช่นถ้ามีคนไปปั่นราคาทองในตลาดโลกขึ้นมา  แล้วประเทศจีนซึ่งมีทองสำรองไว้เยอะมาก  ก็ได้เทขายออกมาเมื่อเห็นว่าได้กำไร  ตลาดก็จะรับข่าวนี้ไป  และอาจจะทำให้ราคาทองไม่ขยับขึ้นไปได้ตามอย่างใจคนปั่น  ผมว่าราคาของอะไรก็ตามแต่  น่าจะมาจากการยอมรับของคนส่วนใหญ่ที่จะเห็นตรงกันว่า  มันควรจะมีราคาเท่าไหร่  ซึ่งถ้าเป็นอย่างที่คุณอำพันกล่าวจริง  การที่เรามีทองอยู่หนึ่งเส้น  ถ้าเขามากดราคาซื้อจากเรา  แต่เราก็รู้ว่า  ในตลาดเขาขายกันที่เท่าไหร่  แล้วอย่างนี้  เราจะขายไหมครับ  ทุกวันนี้  โลกไร้พรมแดน  ข้อมูลมีมากมาย  และการที่เราจะทำอะไรนั้น  เราก็ควรจะศึกษาในเรื่องนั้นๆให้เข้าใจเสียก่อน  จริงๆแล้วสมัยนี้  เรื่องปลาใหญ่กินปลาเล็กยังมีอยู่  แต่การที่เรามีความรู้มากพอ  มันก็จะเป็นเกราะป้องกันเราไว้ได้  เพราะถ้าสิ่งที่เราลงทุนไปแล้ว  เราได้วิเคราะห์มันอย่างถี่ถ้วนก่อนจะลงทุนไป  เมื่อเกิดเหตุการณ์บางอย่างซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เราลงทุน  เราก็ไม่ควรจะเป็นกังวลจนเกินไปนัก  หรือในบางที  มันอาจจะเป็นโอกาสครั้งใหม่สำหรับเราก็เป็นได้ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: arm phan ที่ วันที่ 29 ธันวาคม 2010, 16:47:11
ว่าด้วยเรื่องของทองคำต่อครับ ทองคำลักษณะการเล่นมีสองแบบ ครับเล่นแบบหุ้น และทองคำแท่ง เราต้องอาศัยซื้อจากร้านทอง ถ้ามีเงินเยอะเล่นได้บ่อยครับ ถ้ามีเงินน้อยเล่นได้ประมาณ สามถึง สี่ครับ ต่อปี ครับเพราะกำไรน้อย ส่วนใหญ่ชอบเล่นแบบ ซื้อจากร้านทอง อาศัยซื้อแบบสนิทกับเจ้าของร้าน ปรกติ อาจหัก 50 บาท ต่อทองหนึ่งบาท บางร้านไม่หัก (เขาเรียกว่าค่าขนส่ง) เล่นครั้งละ ร้อยถึงสองร้อย บาท ต่อครั้ง ลงทุนประมาณ สามล้าน ได้ประประมาณ หกหมื่น แต่ต้องขึ้นจากราคาซื้อ 300 บาท กว่าจะได้ต้องรอ บางทีโชคดี แค่ สิบกว่าวัน บางที เป็นเดือนสองเดือน ถ้าจังหวะเข้าซื้อไม่ดี ดีเราอาจไม่ดีเขา ราคาทองส่วนใหญ่ อิทธิพล มาจากเมืองนอก.........ถ้ามีเงินเงินได้กำไร แน่ๆ แต่ต้องใช้เงินเยอะ เงินเย็น


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: แมงมุม ที่ วันที่ 30 ธันวาคม 2010, 08:38:08
เจ้าของกระทู้

ตามกฎ กลต. ท่านผู้ไม่มีใบอนุญาติไม่สามารถแนะนำ ชักจูง เชิญชวน ผู้อื่นได้หนะครับ โปรดศึกษากฎหมายให้ชัดแจ้งเพื่อประโยชน์สุขของตัวท่านเอง

การบริหารการเงินเป็นเรื่องส่วนบุคคล เป็นการดีที่ผู้มีประสบการณ์และประสบความสำเร็จจะเล่าสู่กันฟัง แต่ด้วยความรู้แต่ละบุคคลไม่เท่ากัน กฎหมายท่านจึงได้กำหนดไว้ไม่ให้ผู้ที่แสวงหาประโยชน์หรืออาจจะแสวงหาประโยชน์โดยซ่อนเร้น กระทำการใดๆ อันจะเป็นการละเมิดได้


.

ไม่ได้ชักชวนให้มาลงทุนด้วยนี่ครับ...


เท่าที่อ่านดูก็แค่มีจุดประสงค์คือ ถึงเวลาที่คนต้องลงทุนแล้ว

ไม่ได้บอกว่าต้องลงทุนกับเค้าเองนิ - -

.


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 30 ธันวาคม 2010, 16:05:05
ขอบคุณคุณแมงมุมมากนะครับที่เข้าใจจุดประสงค์ของผม  เอาล่ะ...ผมจะต่อเรื่องของทองอีกนิดหน่อย  ตามที่คุณอำพันแสดงตัวอย่างการลงทุนในทองตามแบบฉบับของตัวเองมาแล้ว  ผมแนะนำได้แค่ว่า  การลงทุนบนราคานั้น  เป็นการลงทุนบน"ความเห็น"  นั่นหมายความว่า  ราคาทองนั้น  ตามความเห็นของคนส่วนใหญ่แล้ว  มันควรจะราคาเท่าไหร่  ซึ่งนั่นผมไม่ได้บอกว่าผิดนะครับ  แต่การลงทุนบนราคาแบบนั้น  มันค่อนข้างเสี่ยงไปนิด  เพราะมันไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่า  มันจะราคาขึ้นไปได้อีกจากที่เป็นอยู่  ซึ่งการที่ราคาทองเป็นอย่างทุกวันนี้  นั่นเป็นเพราะว่ามีคนนิยมมันเพียงเท่านั้น  ถ้าสมมติเทรนของโลกเปลี่ยนไป  กลายไปเป็นนิยมแร่เงินแทนล่ะครับ  เพราะแร่เงินนั้น  นับวันก็จะลดน้อยลงไป  และในอนาคตจะสูญหายไปจากโลก  ถ้าถึงเวลานั้น  คนที่เห็นความสำคัญของตรงนี้  กลับมาไล่ซื้อเงินกันอุตลุด  และเทขายทองคำกันวุ่นวาย  ถึงเวลานั้น  คุณจะอยากมีทองคำกันอยู่ไหม  เพราะทุกวันนี้  ถึงแม้ว่าทองคำจะขุดขึ้นมาจากใต้ดินได้น้อยกว่าในอดีต  ซึ่งหมายความว่าหายากขึ้น  แต่ทองคำนั้น  ก็ถูกเก็บไว้ในรูปแบบของเครื่องประดับและทุนสำรองเป็นจำนวนมาก  เพราะฉะนั้นแล้ว  ผมก็เลยไม่ค่อยแนะนำให้คนลงทุนในทองคำสักเท่าไหร่   เนื่องจากว่า  มันเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก  แต่ถ้าเป็นหุ้นนั้น  เราสามารถคาดการณ์ได้จากสิ่งที่เราพบเห็นในชีวิตประจำวันธรรมดาไม่ซับซ้อนครับ  เช่นเวลาเราไปตามสถานที่ต่างๆ  แล้วตามลานจอดรถมีรถยี่ห้อนี้จอดเยอะมาก  แสดงว่ารถยี่ห้อนี้ขายดี  เพราะฉะนั้นแล้ว  กำไรของบริษัทที่ผลิตรถยี่ห้อนี้  ก็ควรเพิ่มขึ้นด้วย  และเมื่อกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น  เราซึ่งร่วมเป็นเจ้าของกับบริษัทนั้น  ก็จะได้รับประโยชน์อย่างเดียวกับที่เจ้าของควรได้เช่น  เงินปันผลจากกำไร  หรือราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นตามการซื้อขายในตลาด  นี่เป็นตัวอย่างนะครับ  ยังมีอีกหลายอย่างที่เราสามารถสัมผัสได้จากชีวิตประจำวัน  โดยไม่ต้องใช้ความรู้อะไรซับซ้อนเลย  เพียงแค่ใช้การสังเกตุแค่เล็กน้อยเท่านั้น  ซึ่งมันอยู่ที่ว่า  เราเห็นอะไรแค่นั้นเอง  ไม่เหมือนอย่างทอง  ซึ่งตลอดเวลาที่เราได้ถือครองมัน  เราจะไม่ได้ผลตอบแทนอะไรเลย  นอกจากส่วนต่างของราคาในตอนที่เราขายออกไปครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 07 มกราคม 2011, 16:53:07
     ช่วงนี้ของแพงหน้าก็แดง  ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันรถ  น้ำมันปาล์ม  เนื้อไก่  และจิปาถะ  สำหรับคนทำงานกินเงินเดือนก็ลำบากหน่อยนะครับ  เพราะเงินเดือนไม่ค่อยขึ้น  แต่สำหรับคนที่ลงทุนผ่อนบ้านอยู่ก็ดีใจด้วย  ที่เหตุการณ์แบบนี้มันคล้ายกับว่า  เราส่งค่างวดราคาลดลง  เพราะเราส่งค่างวดเท่าเดิม(ถ้าเรามีรายได้เพิ่มขึ้น)  ส่วนราคาบ้านน่าจะสูงขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ  แต่น่าเห็นใจสำหรับคนที่ฝากเงินไว้ในธนาคาร  เพราะเหมือนกับว่า  เงินของเรากำลังลดมูลค่าลง  ยังไงก็เอาใจช่วยทุกคนนะครับ  และถ้าเป็นไปได้  เราควรนำเงินฝากมาลงทุนกันดีกว่า  เพื่อไม่ให้เสียเปรียบเงินเฟ้อ  ที่นับวันจะรุนแรงขึ้นตามการเก็งกำไรสินค้าต่างๆบนโลกใบนี้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 22 มกราคม 2011, 22:19:42
คนจนที่มีเงิน!!!
     หลายคนอาจสงสัยว่า  เป็นไปได้อย่างไร  ที่คนมีเงินมากแล้วยังจนอยู่  ลองนึกดูกันหน่อยดีไหมครับว่า  คุณเคยได้ยินประโยคพวกนี้บ้างหรือเปล่า  หรือว่าอาจจะเคยคิดเอาเองบ้างไหมว่า  ถ้าเราถูกหวยสักสิบล้าน  เราจะยังทำงานต่อไปเหมือนเดิม(อาจจะเป็นลูกจ้าง  ค้าขายส่วนตัว ฯลฯ)  เราจะยังไม่เปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตไปจากที่เป็นอยู่  เราจะเก็บเงินทั้งหมดไว้ในธนาคาร  โดยที่เรามีความอุ่นใจในชีวิตมากขึ้น  เนื่องจากว่า  ในบั้นปลายชีวิต  เราจะไม่ลำบากแล้ว  แต่ผมว่า  คนที่คิดอย่างนี้  อาจจะไม่รู้วิธีทำให้ตัวเองร่ำรวยขึ้น  หรืออย่างน้อยที่สุด  ก็ทำให้เงินที่เรามีอยู่  มันงอกเงยออกมามากกว่าที่จะทิ้งให้เงินอยู่เฉยๆ  ผมก็เลยอยากเรียกท่านพวกนี้ว่า  คนจนที่มีเงิน  บางคน...ไม่รู้จักวิธีทำให้งอกเงยยังไม่พอ  กลับใช้เงินพวกนั้นสนองตัณหาที่เก็บกดของตัวเองเช่น  ซื้อรถยนต์  เอาเงินไปท่องเที่ยว  ซื้อเสื้อผ้าราคาแพง  ทั้งๆที่บางที  มันอาจไม่จำเป็นเลยสักนิด  แล้วกว่าที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร  เขาจะเหลือเงินอยู่อีกเท่าไหร่
     ถ้าผมกล่าวลอยๆโดยไม่มีตัวอย่าง  บางท่านอาจติงได้ว่า  แล้วแบบไหนล่ะที่เรียกว่า"ฉลาด"  จริงๆแล้ว  การทำให้เงินงอกเงย  มันก็มีหลายวิธี  แต่ถ้าจะเอาแบบไม่เสี่ยง  ผมอาจจะแนะนำได้บ้างเช่น  เอาไปซื้อสลากออมสิน  ถ้าคุณเกิดโชคดีขึ้นมาจริงๆ  ถูกหวยได้เงินมาสักสิบล้าน  คุณคิดว่า  โอกาสแบบนี้จะเกิดขึ้นในชีวิตได้กี่ครั้ง  การรักษาเงินต้นให้อยู่กับเราก็ว่ายากแล้ว  เพราะต้องฝืนกับความรู้สึก"อยาก"ของเราเอง  แต่การที่จะทำให้มันงอกเงยยิ่งๆขึ้นไปนั้นยากกว่า
     เมื่อเรามีเงินสิบล้าน  ถ้าเราเอาไปซื้อสลากออมสินหน่วยละ 50 บาท  เราจะซื้อได้ทั้งหมด  สองแสนหน่วย  และในสองแสนหน่วยนี้  เราจะสามารถตรวจรางวัลเลขท้าย 4 ตัวได้ 40 หมายเลข  รางวัลหมายเลขละ  150  บาท  เราจะได้เงินต่องวด  6000  บาท และเราสามารถตรวจรางวัลเลขท้าย  5  ตัวได้  4  หมายเลข  รางวัลหมายเลขละ  300  บาท  เราจะได้เงินต่องวด  1200  บาท  รวมเป็นเงินทั้งสิ้นงวดละ  7200  บาท  ซึ่งการที่เราได้เงินขนาดนี้ต่อเดือน  ก็อาจจะทำให้เราไม่ต้องทำงานอีกเลยชั่วชีวิต  แต่ถ้าเรายังอยากร่ำรวยขึ้นไปอีก  เราก็สามารถดาวน์ตึกแถวหรือบ้าน  นำมาให้เขาเช่าได้  ถ้ามีคนเช่า  เราก็นำค่าเช่าไปส่งให้ธนาคาร  และเรายังสามารถสมทบเงินที่เราได้จากสลากเพิ่มเข้าไปได้อีก  ซึ่งจะทำให้หนี้สินนั้นหมดเร็วขึ้น  แต่ถ้าเราหาผู้เช่าไม่ได้  เราก็นำเงินที่ได้จากสลาก  เอาไปผ่อนธนาคารก่อน  ซึ่งก็จะทำให้เราไม่ลำบากมากนัก  หรือถ้ามีคนเช่า  แต่เราไม่อยากสมทบเงินที่ได้จากสลากเข้าไป  เราก็ออมไว้ก่อน  ซึ่งถ้าเราออมไว้เดือนละ 7200 บาท เมื่อครบอายุสลาก 3 ปี  เราจะออมเงินได้ทั้งหมด  259200 บาท  และเมื่อครบ 3 ปีตามอายุสลาก  เรานำไปขายคืน  เราจะได้ดอกเบี้ยหน่วยละ 2.75  เรามีทั้งหมดสองแสนหน่วย  ก็จะได้ดอกเบี้ยเป็นเงิน 550000  เมื่อรวมกับเงินถูกเลขรางวัล  เราจะได้เงินที่งอกออกมาจากสิบล้านบาทเป็นเงิน  809200  บาท  นี่ยังไม่รวมกับสิ่งที่คุณเป็นเจ้าของอื่นๆในระหว่างนั้นอีกนะครับเช่น บ้านหรือตึกแถวสำหรับเช่า  ถ้าคุณหาผู้เช่าได้ตลอด 3 ปี  ซึ่งคุณไม่ต้องใช้เงินรางวัลเลขท้ายสลากมาผ่อนส่งเลย
     น่าตื่นเต้นใช่ไหมครับ 3 ปีได้เงินมาแปดแสนกว่าบาท  แล้วหลังจากที่เราได้เงินมา  คุณก็คงจะรู้ว่า  คุณจะทำยังไงอีก  และเมื่อถึงเวลานั้น  คุณไม่ต้องทำงานอีกต่อไป  แต่คุณก็จะมีรายได้เพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ  อย่างนี้แหละครับ  ถึงจะเรียกว่า"คนรวย"จริงๆ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 07 กุมภาพันธ์ 2011, 15:16:34
     เมื่อกล่าวถึงธุรกิจเครือข่ายแล้ว  ในความเห็นของผม  อาชีพนี้ไม่ใช่อาชีพของนักลงทุน  เนื่องจากว่า  ถ้าเป็นนักลงทุนตัวจริง  เมื่อเขาได้ลงเงินไปแล้ว  เขาก็จะปล่อยให้เงินนั้นไปทำงานแทนเขา  เช่นเข้าหุ้นในกิจการ  แต่ให้คนอื่นบริหารแทน  ส่วนตัวเขาเอง  ก็รอรับผลตอบแทนจากเงินนั้น  ตัวอย่างคือ  มีคนไปเสนอว่า  จะลงทุนขายก๋วยเตี๋ยว  และตัวเขาเองนั้น  เคยเป็นลูกจ้างอยู่ในร้านชื่อดังมาเป็น  10  ปี  ได้ทำมาทุกตำแหน่ง  ได้เห็น  ได้เรียนรู้ขั้นตอนการทำทุกอย่างเพื่อให้ออกมาเป็นก๋วยเตี๋ยว  ไม่ว่าจะเป็น  ที่ซื้อวัตถุดิบ  การนำมาปรุง  และการขาย   เพราะฉะนั้นแล้ว  ตอนนี้เขาพร้อมที่จะเปิดร้านเอง  แต่ขาดทุนทรัพย์  จึงมาหาเราเพื่อขอเงินทุน  เมื่อเราทราบข้อมูลดังนี้แล้ว  เราก็เห็นว่าเขามีประสบการณ์  จึงได้ตกลงกันว่า  ไม่ว่าเขาจะขายได้กำไรเท่าไหร่  เขาต้องแบ่งกำไรนั้นมาให้เราในอัตรา  50  %  ของกำไร  จากนั้นเราจึงควักเงินเพื่อลงทุนให้  เมื่อเขาได้เงินเราไปทำทุนแล้ว  กิจการก็ขายดีมีกำไร  และเขาก็นำกำไรที่ได้นั้น  มาแบ่งให้เรา  โดยที่เราไม่ต้องไปทำเองเลย  และตราบใดที่กิจการยังดีอยู่  เราก็จะได้รับเงินส่วนแบ่งผลกำไรนั้นตลอดไป  ซึ่งหากว่า  ร้านที่เขาเอาไปทำแล้วดีมาก   50  %   ของกำไรหนึ่งหมื่นก็คือห้าพัน  แต่พอกิจการดีขึ้น  ส่วนแบ่ง  50  %   ของหนึ่งแสนก็เท่ากับห้าหมื่นเลยทีเดียว  นั่นจึงเป็นที่มาว่า  ถ้าเราซื้อหุ้นของกิจการที่ดีแล้ว  เราก็จะได้รับส่วนแบ่งจากผลกำไรนั้นตลอดไป  ตราบใดที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่  ส่วนหุ้นขึ้นหุ้นลงนั้น  มันเป็นเรื่องของการพนัน  ความโลภ  และความกลัว
     เมื่อมามองดูธุรกิจเครือข่ายแล้ว  มันมองดูเหมือนจะเป็นการทำธุรกิจมากกว่าเป็นการลงทุน  เนื่องจากว่า  ตอนแรกเราได้ควักเงินลงทุนสมัครไปก็จริง  แต่หลังจากนั้นแล้ว  เราก็ต้องควักเงินเพื่อซื้อแต้มทุกเดือน  หากเราไม่มีแต้มหรือแต้มไม่ถึงตามกำหนด  เราก็จะไม่ได้รับผลตอบแทน  ซึ่งดูไปแล้วเหมือนเป็นหนี้สิน  เพราะทำให้เงินไหลออกจากกระเป๋าเราทุกเดือน  แต่ผลตอบแทนที่ได้คืนกลับมานั้น  ช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย  ส่วนของที่เราไปซื้อมาในราคาแสนแพงนั้น  บ้างก็อวดอ้างสรรพคุณสารพัดว่าดีกว่าท้องตลาด  แล้วเราจะเชื่อได้ไหม  ยิ่งผ่านไปหลายเดือน  ของก็ยิ่งทับถมมากขึ้น  จนไม่รู้ว่าจะใช้มันได้ยังไงหมด  จะเอาไปถามขายคนอื่น  ก็ไม่มีใครอยากซื้อ  เนื่องจากว่า  ราคามันแพงกว่าที่เขาใช้อยู่อักโข  ส่วนเงินที่เราถมไปทุกเดือนนั้น  ก็กลายไปเป็นรถยนต์หรูหราให้กับคนที่ทำมาก่อนเรา  ซึ่งใช้นำมาเป็นเครื่องกระตุ้นความอยากในตัวของคนเรา  และโดยวลีเด็ดที่พูดว่า “ผมทำได้  คุณก็ทำได้”  วลีนี้คุ้นๆไหมครับ  แต่บางท่านที่ทำธุรกิจเครือข่ายอยู่  ก็อาจจะท้วงว่า  ถ้าทำสำเร็จมันก็ได้จริง  อันนี้ผมไม่เถียงนะครับ  มันก็ได้จริง....แต่ทำไมเราต้องบังคับด้วยล่ะว่า  ต้องซื้อของเท่านั้นเท่านี้  มิฉะนั้นแล้วจะไม่ได้ผลตอบแทน   ทำอย่างโลตัสไม่ได้หรือ  ไม่บังคับ  ซื้อเท่าไหร่คืนให้เท่านั้น  ถ้าไม่พอคืน  ก็ยกยอดไปรวมกันแล้วค่อยคืน  และสินค้าแต่ละอย่าง  ราคาก็ถูกและมีให้เลือกหลากหลาย  ไม่จำเป็นต้องอวดอ้างสรรพคุณให้เวียนหัว  นี่สิถึงจะเรียกว่าธุรกิจเครือข่ายจริงๆ  เป็นเครือข่ายของผู้บริโภคที่ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ  ซึ่งเท่าที่เจาะแผนงานของธุรกิจเครือข่ายดูก็พบว่า  งานนี้เป็นงานชวนคนมาต่อแถวมากกว่า  ยิ่งชวนได้เยอะ  ก็ได้ส่วนแบ่งเยอะ  ซึ่งบางที  การโน้มน้าวคนให้คล้อยตามอย่างนี้  ก็อาจจะสรรหาคำต่างๆนานามาพูดได้จนลิงหลับ  เช่น  บริษัทนี้เพิ่งมีสมาชิกแค่หมื่นคนเอง  ยังเหลือคนที่จะชวนได้อีกเยอะ  แต่เราลืมคิดไปว่า  นั่นมันแค่บริษัทนี้  แล้วคนที่เขาอยู่บริษัทอื่นล่ะ  คำนวณเข้าไปหรือยัง  แล้วคนที่ทำแล้วเลิกแล้วอีกล่ะ  เพราะทำแล้วไม่สำเร็จ  หรือเป็นคนที่เขาไม่สนใจธุรกิจเครือข่ายเลย  แล้วมันยังจะเหลือคนให้ชวนอีกกี่คน  เผลอๆไปชวนมากๆเข้า  เหม็นขี้หน้ากันซะเปล่าๆ  คนที่โดนชวนก็มัวแต่คิดอยากได้เงินของคนอื่นโดยลืมนึกไปว่า  “เราอยากได้เงินของคนอื่น  คนอื่นก็อยากได้เงินของเรา”   บางบริษัทก็บอกว่า  คนมาทีหลังแซงคนมาก่อนก็ได้ถ้าขยัน  อันนี้ผมอยากเปรียบเทียบกับผลของต้นไม้   เช่นถ้าเปรียบประเทศไทยเป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง  แล้วผลไม้ที่มีอยู่บนต้นก็คือประชากร  ซึ่งเราก็พอมองภาพออกใช่ไหมว่า  ต้นไม้หนึ่งต้นมันก็มีผลจำกัด  ถ้าคนที่เขาปีนขึ้นไปเก็บก่อน  เขาก็ย่อมได้มากกว่าคนที่ปีนขึ้นไปทีหลัง  แล้วคุณจะไปเก็บได้มากกว่าเขาได้ยังไง  ถ้าอยากได้มากกว่าเขา  คุณก็ต้องไปปีนที่ต้นอื่น  ซึ่งอาจหมายถึงประเทศอื่นเช่น  ลาว  พม่า  เป็นต้น  แต่แค่นั้นยังไม่พอ  ส่วนที่คุณไปเก็บได้ที่อื่น  ยังต้องนำมาแบ่งให้กับคนที่ชวนคุณ  ดูๆไปแล้วมันไม่ยุติธรรมเลยใช่ไหมครับ  กับการที่เราต้องถ่อสังขารไปไกลกว่าเขา  เพียงเพื่อจะหอบเอาส่วนนั้นมาแบ่งเขาด้วยเพียงเพราะว่า “เขาเป็นคนชวนคุณ” เท่านั้นเอง  ดูๆไปแล้วเหมือนเอาเปรียบเราไหมครับ  แน่นอน...คุณคิดว่าเอาเปรียบเราแน่  แล้วถ้าเราคิดว่าเขาเอาเปรียบเรา  แล้วทำไมเราต้องไปชวนคนอื่นเพื่อเอาเปรียบคนอื่นด้วยล่ะ  เพราะแม้แต่เราเองยังไม่ชอบเลย....ถูกต้องไหม   เผลอๆไปชวนเพื่อน  อาจเสียเพื่อนเลยนะ  แต่สำหรับในที่ประชุมของพวกนี้แล้ว  ใครที่ชวนคนใกล้ตัวมาฟังการบรรยายได้  กลับได้รับการยกย่องว่า “เก่ง” และถ้าทำให้คนมาด้วยยอมสมัครสมาชิกได้ด้วยแล้วล่ะก็  จะได้รับเสียงปรบมือเกรียวกราวทีเดียว  และที่มันไม่เป็นการลงทุนอีกก็คือ  ถ้าเป็นการลงทุนจริงๆ  เมื่อเราได้ลงทุนไปแล้ว  เราก็ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน  ปล่อยให้มันหาผลตอบแทนให้เราเรื่อยๆ   แต่นี่พอคุณสมัครแล้ว  คุณยังต้องตากแดดหัวแดงไปตะล่อมทั้งคนรู้จักและคนที่ไม่รู้จักอีก  เพียงเพื่อว่าอยากเอาเปรียบเขาเท่านั้นเอง  ผมเลยอยากถามว่า  ธุรกิจเครือข่ายนี้ใครสบายที่สุด  มันก็ไม่พ้นเจ้าของบริษัทกับคนที่เป็นเบอร์แรกๆนั่นแหละ  กินกันเป็นลำดับชั้น  กินกันจนเอียน  รวยไม่เลิก  ผมรวยได้  คุณก็รวยได้(แต่เป็นชาติหน้า)   เจ้าของบริษัทก็พุงปลิ้นกระดุมแทบแตก  เพราะคนซื้อไม่ไปซื้อยี่ห้ออื่นเลย  เพราะกลัวไม่ได้เศษตังค์คืน  แถมของที่ขายก็แพงโคตร  กำไรบานเบอะ  ไม่รวยตอนนี้จะไปรวยตอนไหน  แต่คนที่ทำแล้วสำเร็จอยู่ก็อย่าลำพองนะ  เพราะว่าคนเราไม่ได้โง่(แค่หนเดียว)  เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มีบริษัทใหม่เกิดขึ้นมา  และพวกบ้าก็ยังไม่เข็ด  พยายามจะเป็นเบอร์ต้นๆให้ได้  ก็จะแห่กันออกจากที่เก่า  ไปยัดทะนานกันอยู่ที่ใหม่  ใครเป็นใครไม่รู้  อุตลุดไปหมด  กว่าจะรู้อะไรเป็นอะไร  ก็ต้องรอให้เรียงเบอร์เสร็จแล้วนั่นแหละ  ถึงจะตัดสินใจว่า  จะทำต่อหรือเปล่า  จะเหลือคนให้ชวนอีกเท่าไหร่  ส่วนคนที่อยู่เป็นเบอร์ต้นที่เก่าก็ไม่อยากสละตำแหน่ง  พยายามยื้อลูกน้องไว้เต็มพิกัด  เพื่อจะไม่ให้รายได้ต้องตกต่ำลงไปจากที่เคยได้...เฮ้อ  เห็นแล้วเหนื่อย  เซ็งเป็ด
     เพราะฉะนั้นแล้ว  การจะทำอะไรก็แล้วแต่  โปรดใช้วิจารณญาณด้วยนะครับ  เพราะมีแต่คุณเท่านั้นที่เลือกจะทำได้  เพราะผมก็ไม่ได้บอกว่าซื้อหุ้นแล้วดีทุกตัว  เหมือนคนขายก๋วยเตี๋ยวนั่นแหละ  ถ้ามีคนมาขอเงินทุน  คุณก็ไม่จำเป็นต้องให้ทุกคน  คุณควรดูว่า  คุณรู้จักเขาแค่ไหน  การรู้จักในที่นี้มันกว้างนะครับ  รู้นิสัย  รู้ว่าเขาขยันหรือไม่  ซื่อสัตย์หรือไม่  และเขาเก่งพอที่จะไม่ทำให้เงินทุนของคุณนั้นสลายหายไปหรือเปล่า  คุณต้องมีความรู้อย่างลึกซึ้งในสิ่งที่ทำ  มันก็จะสำเร็จได้ครับ  “อันความรู้  รู้กระจ่าง  แต่อย่างเดียว  แต่ให้เชี่ยว  ชาญเถิด  จะเกิดผล”  ถึงแม้ว่าคุณจะทำเป็นแต่ไข่เจียว  แต่ถ้าคุณทำไข่เจียวได้รสชาติระดับเทพและไม่มีใครทำอร่อยเท่าคุณได้  คุณก็ขายได้ไม่อดตายแล้วครับ  และอย่าลืมนะครับ  ถ้าคุณเจียวไข่ได้ระดับเทพจริงๆ  อย่าลืมมาหาผมไปเป็นหุ้นส่วนด้วยนะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Yeti_@rt ที่ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2011, 20:17:07
เข้ามาทักทายครับ ผมชื่ออาร์ทนะครับ น้องใหม่เพิ่งหัดเล่นหุ้นครับ ชอบการเล่นแนว VI ครับ เป็นหนอนหนังสือครับอ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า หนังสือชุดโปรดก็คือ พ่อรวยสอนลูกของโรเบิร์ต ทีคิโยชากิ คิดว่าพี่ก็คงชอบหนังสือแนวนี้เหมือนกัน และก็หนังสือเกี่ยวกับธุรกิจทุกรูปแบบ ที่จะช่วยให้เราหาตังได้(อันนี้สำคัญ) ส่วนเรื่องหุ้นกำลังเริ่มศึกษาครับ ไงก็ขอรบกวนแชร์ความรู้กับพี่วายุด้วยละกันครับ
ปล.ผมเป็นลูกค้าขาประจำร้านข้าวมันไก่ครับ
ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคร๊าบบบบบบ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2011, 15:57:58
ตอบน้องอาร์ท
     เรารู้จักกันแล้ว  แต่ถ้าชอบอ่านหนังสือจริงๆล่ะก็  จะแนะนำให้หลายเล่ม  ที่เกริ่นๆออกมาว่าแนว VI  แสดงว่ารู้จักบัฟเฟตแล้ว  งั้นก็ขอข้ามไปไม่แนะนำแล้วกัน  ที่อยากแนะนำคือ  "เหนือกว่าวอลสตรีท" ของปีเตอร์  ลินช์  ไปซื้อมาอ่านเล่นๆก่อนแล้วกันนะครับ  มีขายที่ร้านซีเอ็ด  ราคาประมาณ  300

ตอบคุณเทพบุตร
     ใช้เงินไม่มากหรอกครับ  ไม่กี่หมื่นก็ลงทุนได้  เพราะโบรกเกอร์ตอนนี้แข่งกันหาลูกค้ามาก  เท่าไหร่ก็เอาครับ  ลองไปสอบถามดูที่ตรงข้าม  CR  MALL  เขาให้คำตอบได้มากกว่าถามผมครับ  ถ้าสมัครแล้ว  เราค่อยมาแชร์ความรู้กันครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2011, 16:10:52
รูปหนังสือ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: O-L-Y-G-O-N ที่ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2011, 21:28:19
รวย แปลว่า มีเงินเหลือ (Y-S=C)
มั่งคั่ง แปลว่า เอาเงินเหลือๆ นั้นไปลงทุนแล้วมีกำไร

ชีวิตกับการลงทุน มันเหมือนกันตรงที่ต้องวางแผนล่วงหน้า แล้วทำให้ได้ตามแผนที่ว่างไว้

ขอให้สนุกกับการลงทุนครับ ไว้เจอกันที่ตลาด(หุ้น)ในวันที่ฝรั่งเลิกขาย หุหุหุ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Yeti_@rt ที่ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2011, 17:10:50
 :oเล่มนี้เลย เหนือกว่าวอลล์สตีท ของปีเตอร์ ลิน เคยอ่านพอผ่านๆครั้งหนึ่ง ยังงงๆอยู่บ้าง สงสัยต้องกลับไปอ่านอีกรอบแล้วหละ
ผมว่าการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด น่าจะเกิดจากการลงทุนที่ความรู้
เสียเงินกับการหาชื้อหนังสือดีๆสักเล่มสองเล่มไว้อ่าน ยังดีกว่าไปเสียเงินให้กับการชื้อหุ้นที่เรายังไม่รู้จักมันดีพอ ชึ่งอาจจะเสียมากกว่าชื้อหนังสือเป็นไหนๆ
วันนี้วันวาเลนไทน์ ขอให้เพื่อนๆชาวเชียงรายโพกัส มีความสุขกันทุกคนนะครับ
 ;)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2011, 12:55:58
ตอบคุณ O-L-Y-G-O-N
     ยังมีการลงทุนอีกแบบที่นอกเหนือจากการได้กำไรที่ผมชอบมากคือ  การลงทุนเพื่อให้ได้  "กระแสเงินสด"  เนื่องจากว่าการลงทุนมีความเสี่ยง   มันไม่ได้มีแต่กำไรด้านเดียว  แต่มันยังมีขาดทุนด้วย  เพราะฉะนั้นแล้ว  การลงทุนเพื่อให้ได้กำไรจึงมีความเสี่ยง  แต่การลงทุนเพื่อให้ได้กระแสเงินสดเช่นเงินปันผล  มันก็มีความเสี่ยงเหมือนกัน  คือว่าได้มากหรือได้น้อย  แต่มันก็คือได้น่ะครับ  ถ้าเราลงทุนในกิจการที่ดี  เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป  สินค้าขายได้เรื่อยๆ  มีคู่แข่งน้อย  บริษัทไม่มีหนี้สินแล้ว  ผมว่าความเสี่ยงก็แทบเป็นศูนย์แล้ว  แต่การที่จะรู้จักบริษัทอย่างนั้นได้  เราต้องมี  "ความรู้ทางการเงิน"  ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: nisa26 ที่ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2011, 09:32:30
สนใจมากค่ะ
แต่มีเงินทุนไม่มาก ขั้นต่ำสุดเท่าไหร่ค่ะ อยากลงทุนเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ก่อนค่ะ
เบื่อเป็นมนุษย์เิงินเดือนแล้วค่ะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: suddum ที่ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2011, 16:29:34
เรียนเพื่อนๆที่สนใจ เราเล่นมาห้าปีเเล้ว ผ่านร้อน หนาว อุ่น มาพอควร  ก ารเล่นหุ้นสำคัญที่ใจต้องนิ่ง  ต้องขยันหาความรู้ สำคัญมากเเบบที่คุณ วายุ บอกมา ขอบคุณมากนะค่ะที่ตั้งกระทู้นี้ ตอนนี้ใครที่สนใจน่าจะหาหนังสือมาลองอ่านดูนะค่ะ เเละ ข่าว กับตัวหุ้นก็มีส่วน ส่วนตัวจะดูกราฟ เป็นสำคัญ กราฟมาข่าวจะตามมา เเต่ตอนนี้อยากดูงบเป็นจังเลยค่ะ ไม่ทราบที่นี้มีท่านไหนที่ดูงบเป็นมั่งค่ะ ขอบคุณมากค่ะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: nisa26 ที่ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2011, 13:21:21
กรุณาช่วยแนะนำหน่อยค่ะ
เบื่องานประจำเต็มทีแล้วค่ะ อยากวางแผนชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นบาง
อยากเล่นแบบน้อยๆก่อน และค่อยสะสมค่ะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2011, 18:25:55
ตอบคุณ suddum
     ถ้าอยากอ่านงบการเงินเก่งๆ  ขอแนะนำหนังสือ "กลยุทธหุ้นห่านทองคำ" ครับ  แต่จริงๆแล้ว  การดูงบการเงิน  คือการดูอดีตนะครับ  เหมือนเรารู้จักคนหนึ่งคน  คนๆนี้ฐานะดีมาก  แต่ในอนาคต  เราจะรู้หรือไม่ว่า  ฐานะเขาจะยังดีเหมือนเดิมหรือไม่เพราะ "การซื้อหุ้นคือการซื้ออนาคตครับ"  เราจะมัวแต่ดูอดีตอย่างเดียวไม่ได้  เราจะต้องมองไปข้างหน้า  ถ้าจะให้ผมยกตัวอย่างสักเล็กน้อย  ขอยกตัวอย่างธุรกิจเครือข่ายโทรศัพท์มือถือก็แล้วกันนะครับ  ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่มือถือกำลังมาใหม่  ใครๆก็ยังไม่มีใช้กัน  ถ้าเรามองว่า  มันเป็นสิ่งจำเป็น  และจะมีคนใช้กันเป็นจำนวนมาก  เราก็ซื้อหุ้นนั้นไว้  เมื่อเวลาผ่านไปพร้อมกับการเติบโตของธุรกิจ  ราคาหุ้นก็พุ่งขึ้นตามกำไรที่เติบโต  แต่เดี๋ยวนี้  ใครๆก็มีใช้กันหมดแล้ว  มันจึงถึงภาวะอิ่มตัวของธุรกิจ  ทำให้ราคาหุ้นไม่ไปไหนเหมือนกับการอิ่มตัวของธุรกิจนั่นเอง  แต่ถ้าจะให้ผมตอบแบบคร่าวๆหยาบๆว่า  เราจะดูว่าธุรกิจไหนดีหรือไม่  ให้ดูที่กำไรเป็นหลักครับ  เมื่อกำไรโต  ราคาหุ้นก็จะวิ่งไปพร้อมกับกำไร  ถ้าราคาหุ้นไม่วิ่ง  นั่นคือโอกาสในการซื้อของเราครับ  หรือในมุมกลับ  ถ้ากำไรตกแล้วราคาหุ้นไม่ตก  นั่นก็เป็นโอกาสในการขายของเราครับ  เพราะไม่ช้าก็เร็ว  ราคาหุ้นนั้นย่อมตกลงมาแน่นอน  แต่ถ้าอยากรู้อะไรที่มันครอบคลุมทุกมิติการลงทุน  ผมว่า  อ่านหนังสือเหนือกว่าวอลสตรีทของ  ปีเตอร์  ลินซ์  ครับ  และยังมีอีกหลายเล่ม เอาไว้คราวหน้าจะมาแนะนำเพิ่ม

ตอบคุณนิสา
     เล่นน้อยๆก่อนก็ดีครับ  เป็นการหาประสบการณ์  ถึงแม้ว่าเราจะอ่านคู่มือการขี่จักรยานจนเชี่ยวชาญเพียงใด  แต่ถ้าเราไม่เคยลงมือทำเลย  ของที่เรามีมันก็แค่ทฤษฏีเท่านั้น  ถึงแม้ว่าเราจะมีเงินมากมาย  แต่ถ้าเรา"ไม่เป็น"แล้ว  มันก็หมดได้ครับ  ผมอยากให้ข้อคิดนิดนึงว่า  ระหว่างเงินแปดหมื่นกับแปดแสน  ต่างกันตรงไหน ???     คำตอบคือ  เลขศูนย์ตัวเดียวครับ.....


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: boondin ที่ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2011, 15:45:30
ใครก็ได้ช่วยบอกผมทีครับโบรกเกอร์ของเชียงรายมีของบริษัทไหนบ้างครับแล้วอยู่แถวไหนครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: pandora ที่ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2011, 16:32:17
เท่าที่ทราบนะคะ
1. บล.ธนชาต ตั้งอยู่ในธนาคารนครหลวงไทยสาขาเชียงราย(ธ.ธนชาตจะควบรวมกับธ.นครหลวง)
2.บล.เอเชียพลัส ตั้งอยู่ในธนาคารกรุงเทพสาขาห้าแยกพ่อขุน
3.บล.ซีจีเอส อยู่ตรงข้ามทวียนต์
4.บล.เคจีไอ ใกล้ธนาคารออมสิน
5.บล.ฟินันเซีย  อันนี้อยู่แม่สายค่ะ
6.บล.เคทีซิมิโก้ ตั้งอยู่ที่ธนาคารกรุงไทยสาขาห้าแยกพ่อขุน

ผิดพลาดข้อมูลประการใดก็ขอสุมาตวยเน้อเจ้า  :)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2011, 13:01:38
กิจการ  VS  ตลาดหุ้น
     เมื่อเอ่ยถึงการลงทุนในหุ้นแล้ว  หลายคนมักคิดถึงตลาดหุ้นเป็นอันดับแรก  แต่ในความเป็นจริงแล้ว  ตลาดเป็นแค่สถานที่ซื้อขายเปลี่ยนมือของหุ้นในกิจการต่างๆเท่านั้น  และคนจำนวนมาก  ก็เข้ามาทำมาหากินในลักษณะซื้อมาขายไปเหมือนตลาดสดขายผักหรือผลไม้  ซึ่งถ้าจะดูให้ถึงต้นตอจริงๆ  เราควรดูที่ตัวกิจการจะสำคัญกว่า  เพราะราคามักจะสะท้อนกิจการเสมอ  สาเหตุที่หุ้นผันผวนในทุกวันนี้ก็เนื่องจากพวกที่มักเข้ามาซื้อมาขายไปในตลาดนั่นเอง  และนั่นก็เป็นคนส่วนใหญ่ของตลาดเสียด้วยสิ  นั่นเป็นเพราะว่า  หลายคนอยากทำเงินมากๆในเวลาสั้นๆ  แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้  เพราะที่สหรัฐ  จากการวิจัยพบว่า  ในจำนวนนักเล่นหุ้น 10 คน  จะมีคนขาดทุนอยู่ 7 คน  เท่าทุนอยู่ 2 คน  และได้กำไรเพียงคนเดียว  หากนักเล่นหุ้นได้ยินเขาพูดถึงสถิตินี้แล้ว  ก็คงจะแปลกใจมิใช่น้อย  ในเมื่อมีคนกำไรแค่คนเดียว  แล้วทำไมคนอเมริกันจึงพากันไปเล่นหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆล่ะ  เหตุผลไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรเลย  เพราะ 7 คนไม่ยอมแพ้  จะเอาคืนให้ได้  อีก 2 คนก็อยากสู้ต่อ  ส่วนที่ได้กำไรเพียงคนเดียวก็อยากได้เพิ่มขึ้น
     แต่ถ้าจะให้เอ่ยถึงการลงทุนทั้งสองแบบนี้  การลงทุนทั้งสองแบบนั้นใช้ทักษะต่างกัน  ทักษะที่จำเป็นสำหรับการดูกิจการก็คือ  งบการเงิน  ตำแหน่งความเป็นผู้นำของบริษัทในตลาด  สินค้าของบริษัท  คู่แข่งที่สำคัญ  ผู้บริหารบริษัท  เงินปันผล  การอิ่มตัวของกิจการ ฯลฯ  การลงทุนแบบนี้ดีตรงที่เราเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนไม่ซับซ้อน  วิเคราะห์ง่าย  แต่ต้องมีความรู้ทางการเงินและมีจินตนาการคาดเดาอนาคตของตัวบริษัท  และต้องอดทนพอควรเพื่อให้เวลากับบริษัทที่เราเลือกนั้นทำให้บรรลุตามเป้าหมาย  ถ้าเรามองอนาคตของบริษัทไม่ออกว่า  อีก 5  หรือ 10  ปีข้างหน้าบริษัทจะเป็นอย่างไร  เราก็ไม่ควรซื้อหุ้นของบริษัทนั้น  ยกตัวอย่างเช่น  คุณคิดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าระหว่าง KFC กับบริษัทเขียนโปรแกรมคอมฯ  ใครจะยังอยู่  และสินค้าของเขาจะยังขายได้อยู่หรือไม่  แน่นอน  เรารู้ว่า KFC ขายไก่ทอดมานาน  และจะยังขายอีกต่อไป  แต่บริษัทเขียนโปรแกรมคอม อาจจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ได้  เพราะทุกวันนี้  โลกไซเบอร์เราเปลี่ยนเทรนด์เร็วมาก  แต่นี่ผมแค่ยกตัวอย่างเท่านั้น  ไม่ได้ชี้นำในเรื่องไหนนะครับ
     ส่วนการลงทุนในตลาด  จะใช้ทักษะต่างออกไป  และต้องมีเวลาเหลือเฟือในการนั่งมองตลาดทุกวินาที  การลงทุนในตลาดนั้น  สิ่งที่ควรรู้ก็มี  การอ่านกราฟทางเทคนิค  จำนวนหุ้นที่ซื้อขายหรือที่เขาเรียกว่าโวลุ่ม  ราคาย้อนหลัง  แนวรับแนวต้าน  ค่าพีอี  การซื้อขายของนักลงทุนรายใหญ่(ต่างชาติ)  เทคนิคในการซื้อขาย  ฯลฯ
     สำหรับเรื่องเทคนิคในการซื้อขาย  ผมพอมีความรู้อยู่บ้าง  อาจจะแนะนำได้พอสมควร  แต่ผมไม่แนะนำให้คนเล่นด้วยวิธีพวกนี้แบบจริงจัง  เพราะมันไม่มีอะไรจะมารับรองได้ว่า  คุณจะได้ทุกคน  เพราะตามสถิติของสหรัฐ  คุณก็น่าจะเข้าใจว่า  มันเป็นการเล่นหุ้นมากกว่าการลงทุน  และผมก็เป็นคนหนึ่งซึ่งเคยลองทำมาก่อนและพบว่า  สุขภาพจิตเสีย  นอนไม่ค่อยหลับ  ถ้าจะให้ดีที่สุด  ตามความเห็นของผมแล้ว  ถ้าเราสามารถผสมผสานระหว่างการดูพื้นฐานกิจการที่จะซื้อก่อน  แล้วค่อยมาทำตามเทคนิคการซื้อขาย  ผมพบว่า  วิธีนี้  น่าจะให้ผลตอบแทนสูงสุดในการลงทุนถ้าเราทำเป็นทั้ง 2 วิธี  แต่สำหรับเรื่องเทคนิคในการซื้อขายนี้  มันมีรายละเอียดปลีกย่อยมาก  เอาไว้ผมจะทยอยลงให้อ่านก็แล้วกันนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2011, 16:32:51
คุยกันก่อน

     โดยทั่วไปแล้ววิธีการเล่นของแต่ละคน  มักจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างที่เป็นเรื่องเฉพาะเกี่ยวกับตัวผู้เล่นเอง  ทั้งในด้านกำลังเงิน  สภาพแวดล้อมของการดำเนินชีวิต  และนิสัยใจคอ  ผู้ที่มีความแตกต่างกันในปัจจัยเหล่านี้  เวลาเล่นหุ้นก็ควรเล่นคนละแบบ  ไม่ควรเอาอย่างกัน  แต่น่าเสียดายที่นักเล่นหุ้นหน้าใหม่  ส่วนใหญ่เมื่อก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้นแล้ว  จะพากันเล่นเก็งกำไรระยะสั้นทันที  การเข้าตลาดแบบนี้นับว่าเสี่ยงมาก  เพราะต้องเข้าไวออกไว  ที่เป็นเช่นนี้เพราะตลาดมีขึ้นมีลงตลอดเวลา  เมื่อคุณเล่นสั้นจนเป็นนิสัยแล้ว  หุ้นขึ้นก็เก็ง  หุ้นลงก็เก็ง  ไล่เล่นมันทั้งขึ้นทั้งลง  โดนค่าคอมฯหัวบานมากกว่า  การเล่นสั้นต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา  ใจจดใจจ่ออยู่กับเบาะแสและสัญญาณต่างๆ   เครียดหนักกว่าการทำงานธรรมดาเสียอีก  อย่างไรก็ดี  ถ้าคุณถลำตัวเข้าสู่วงจรเก็งกำไรไปแล้วก็ยังพอจะมีประโยชน์จากการเล่นเสียตรงที่  สำรวจดูว่ามันมีผลกระทบต่อจิตใจเราอย่างไร  หากรู้สึกว่าท้อแท้  อ่อนอกอ่อนใจกับความผิดพลาด  ก็อย่าเล่นแบบนี้อีก  แต่หากรู้สึกว่าสนุกดี  มันส์จริงๆ  ก็จัดได้ว่า  คุณยังเหมาะที่จะเล่นหุ้นแบบนั้นต่อไป  เพียงแต่ว่าต้องรีบสรุปหาบทเรียนขจัดข้อบกพร่องและความไม่รู้ของตนออกไปให้รวดเร็ว

     นักเก็งกำไรที่เราเห็นอยู่ในตลาดนั้นมีมากเหลือเกิน  และมีบางส่วนที่ไม่เหมาะมาเล่นหุ้นแบบนี้เลย  พวกเขาไม่เข้าใจตลาด  ไม่รู้จักเลือกหุ้น  ตัดสินใจไม่เป็น  จังหวะที่พอได้กำไรกลับขาดทุน  มักจะเข้าซื้อตอนที่ราคาเริ่มอ่อนลงหลังจากพุ่งแรงมาแล้ว  หรือไม่ก็เทขายตอนราคาใกล้จะเงยหัวขึ้นมา  เรียกว่าไม่ถูกจังหวะทั้งขึ้นทั้งล่อง  จากสถิติที่ผ่านมาพบว่า  การเล่นหุ้นระยะกลางและระยะยาวโดยอิงอยู่กับความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นที่เราจะซื้อขาย  จะมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าการเล่นสั้น  และไม่ต้องเครียดเกินไปด้วย  ดังนั้น  หากรู้ว่าตัวเองไม่อยู่ในประเภทเล่นสั้น  แต่เป็นนักลงทุนที่ต้องการมีรายได้และกำไรงอกเงยจากเงินที่เรามีอยู่  นอกเวลางานยังพอมีเวลาติดตามข่าวสาร  ก็จงเล่นแบบกลางถึงยาวจะดีกว่า  ซื้อแล้วติดตามไปเรื่อยๆ  ไม่ต้องตกใจกับความผันผวน  รอจนกระทั่งราคาขึ้นถึงระดับที่พอใจ  แล้วจึงขายเอากำไรเพิ่มเข้าไปในบัญชีเงินฝาก  หรือหมุนเข้าไปในการซื้อขายหุ้นอีกครั้งก็ยังได้  อย่างนี้แล้วคุณจะเป็นนักเล่นหุ้นที่มีความสุข  แม้จะไม่สะใจเท่าบรรดานักซิ่งในการเล่นสั้นก็ตาม
 


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2011, 18:15:10
ร่วมกันเลือกนางงาม

     การตัดสินใจเล่นหุ้นนั้น   ลำพังแค่สายตาเราคนเดียวยังไม่พอ  ยังต้องดูคนอื่นเขาด้วยว่า  เขาเล่นตัวไหนอยู่  นี่ผมพูดถึงเฉพาะพวกเก็งกำไรนะครับ  เราต้องวางตัวประหนึ่งว่าเป็นคณะกรรมการเลือกนางงาม  เพราะนางงามที่ได้รับเลือกนั้น  เป็นผลของการลงคะแนนของคณะกรรมการทั้งหมด  ซึ่งโดยส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกัน  กล่าวอีกนัยหนึ่ง  สาวงามที่คุณเห็นคนเดียวว่าสวยกว่าใคร  ไม่จำเป็นต้องได้รับตำแหน่งชนะเลิศ  ในการเลือกหุ้นที่จะวิ่งดีนั้น  จะใช้มุมมองของเราคนเดียวไม่ได้  แต่จะต้องมองว่า  บรรดานักลงทุนทั้งหลายเล็งกันอยู่หรือเปล่า  เพราะหุ้นนั้น  ซื้อคนเดียวมันก็ไม่ขึ้น  แต่จะดีกว่า  หากเราเล่นหุ้นนั้นโดยดูพื้นฐานกิจการด้วย
 


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2011, 14:04:43
กลยุทธ์กำหนดจุดขายแน่นอน

     เนื่องจากว่า  ตลาดมักจะผันผวนตลอดเวลา  ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจุดสูงสุดมันอยู่ตรงไหน  การกำหนดจุดขายแน่นอนจะช่วยเราไม่ให้ปวดหัวมากนัก  ในการขายสามารถขายได้ทั้งแบบจังหวะเดียวหรือทยอยขาย  เช่น  หากซื้อมาราคา 5 บาท  จำนวน  10000  หุ้น  เมื่อขึ้นไป 50  สตางค์เราก็แบ่งขายออกมา 5000  หุ้น  หากวิ่งขึ้นไปอีก  50  สตางค์เราก็อาจขายทั้งหมดเลยก็ได้  วิธีนี้จะช่วยในภาวะที่ว่า  หากเราขายหมดในคราวเดียวแล้วหุ้นวิ่งขึ้นต่อ  เราก็จะไม่เสียโอกาสที่จะได้ขายในราคาที่สูงขึ้นกว่ารอบแรก

     แต่ถ้าสมมติว่า  หุ้นขึ้นมา  50  สตางค์  แล้วก็ตกลงไป  เราก็ไม่เสียโอกาสในการแบ่งขายทำกำไรในรอบแรกแล้ว 5000 หุ้น  เมื่อราคาตกลงไป  เราก็เอาเงินที่ได้ขายไปในตอนแรก 5000 หุ้นเป็นเงิน  27500 บาท กลับมาซื้อคืน  แถมยังมีกำไรอีก 2500 บาท  เมื่อราคาหุ้นตกลงมาเหลือ 5 บาทอย่างเดิม เราสามารถซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นได้อีก  500  หุ้น  รวมเป็น 5500 หุ้น  และเราก็หมุนมันไปเรื่อยๆเพื่อเพิ่มจำนวนหุ้น


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2011, 20:08:25
 ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2011, 19:00:36
การขายแบบพีระมิดกลับหัว

     วิธีนี้ก็เป็นแบบการทยอยแบ่งขาย  แต่จะเป็นแบบขายตอนแรกน้อยๆ  และเริ่มขายจำนวนมากขึ้นเมื่อราคาสูงขึ้น  วิธีนี้จะช่วยให้ทำกำไรได้มากกว่าการแบ่งขายรอบละเท่าๆกัน  แต่โอกาสได้น้อยกว่าก็มี  ถ้าราคาหุ้นขึ้นไปนิดหน่อยแล้วตกลงมา  เนื่องจากว่า  เราได้แบ่งขายไปหน่อยเดียว  กำไรที่ได้ก็ได้นิดเดียว


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2011, 19:02:11
ขายแบบไม่ขอกำไร 100 %

     การทยอยแบ่งขายหุ้นเป็นงวดๆ  เหมาะสำหรับผู้ที่มีหุ้นอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก  แต่สำหรับรายย่อยอย่างเราๆแล้ว  วิธีหนึ่งที่จะทำให้ได้กำไรมากๆคือ  ขายเมื่อราคาวกกลับ เพราะเราไม่รู้ว่าราคาสูงสุดจะเป็นเท่าใด  เช่น  ซื้อหุ้นมาในราคา  5  บาท  แล้วราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ  เราจะยังไม่ขายจนกว่าจะเห็นว่าหุ้นนั้นราคาเริ่มจะวกกลับแล้ว  สมมติราคาหุ้นวิ่งไปที่  6  บาท  เมื่อมันตกลงมาเหลือ  5.80  บาท  เราก็ขายออกทันทีโดยไม่สนใจว่าหลังจากนั้นมันจะขึ้นหรือลง  วิธีนี้จะเห็นได้ว่า  ไม่ได้กำไร  100 %  แต่เราขอแค่  80-90  ก็ถือว่ามากแล้ว

     ข้อดีของการขายแบบนี้คือ  หากเราขายไปตอนที่ราคายังไม่วกกลับ  บรรยากาศในตลาดยังคึกคัก  เชื่อได้เลยว่าเราต้องนำเงินนั้นเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นตัวอื่นต่อ  การเข้าซื้อในช่วงที่ตลาดขึ้นสูงแล้ว  ทุกคนย่อมรู้ว่าความเสี่ยงมีมากแค่ไหน  เพราะเมื่อมองไปรอบๆ  มีแต่คนได้กำไรทั้งนั้น  แต่ถ้าเมื่อใดตลาดวกกลับ  ทุกคนก็จะแย่งกันขายเพื่อรักษากำไรให้ได้มากที่สุด  ตลาดก็จะตกแรง  ทำให้เราซึ่งเข้าไปทีหลัง  ได้ของแพงไปทันที  แต่ถ้าคุณขายในช่วงที่ราคาวกกลับ  ด้วยมองว่าภาวะบูมของตลาดได้ยุติแล้ว  เราก็จะไม่ไล่ซื้อหุ้นตัวอื่น  แต่จะนั่งนับเงินกำไรที่ได้มาอย่างสบายใจ  พร้อมกับวางแผนการเข้าตลาดครั้งใหม่ต่อไป


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2011, 19:04:05
ตัดไฟแต่ต้นลม ( cut  loss )

     เทคนิคการทำกำไรแบบขายเมื่อราคาวกกลับ  ทำให้เรารักษากำไรส่วนใหญ่ไว้ได้  ในทำนองเดียวกัน  การยอมขายขาดทุน ( cut  loss )  ก็เป็นการยับยั้งความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น  วิธีนี้คือ  การกำหนดจุดขายไว้แน่นอนในกรณีที่หุ้นนั้นไม่เป็นอย่างใจเราคิด  อาจจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์หรือเป็นราคาก็ได้  เช่น  เราซื้อหุ้นมาราคา  5  บาท  พอราคาตกลงไป  50  สตางค์  เราก็ยอมขายขาดทุนทันที  เพราะหากปล่อยนานไป  อาจจะตกลงไป  1  บาท  ทำให้เราเสียเงินเพิ่มขึ้น


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 02 มีนาคม 2011, 15:46:28
การเติมหุ้น(ถัวเฉลี่ย)

     กลยุทธ์นี้จำเป็นต้องแบ่งเงินเป็นหลายส่วน  เนื่องจากกลยุทธ์นี้สำคัญตรงที่  เมื่อเราซื้อหุ้นเข้ามาจำนวนหนึ่ง  แต่แล้วราคากลับตกลงมา  แทนที่เราจะขายขาดทุน  แต่เรากลับซื้อหุ้นตัวเดิมเพิ่มเข้ามาอีก  ซึ่งจะทำให้ต้นทุนของหุ้นตัวนั้นถูกลงเมื่อนำมาถัวเฉลี่ย  เช่น  ซื้อหุ้นมา  1000  หุ้นราคา  5  บาท  ใช้เงินไป  5000  บาท  แต่พอหุ้นตกลงมาเหลือ  4  บาท  เราก็ซื้อเพิ่มอีก  1000  หุ้น  ใช้เงินอีก  4  พันบาทรวมเป็นเงิน  9000  บาท  มีหุ้น  2000  หุ้น  เมื่อนำมาหารกันแล้ว  สรุปต้นทุนของหุ้นเราทั้งหมดอยู่ที่ราคา  4.50  บาท  เมื่อหุ้นดีดกลับไปที่ราคา  5  บาท  เราก็จะกำไรทันที  1000  บาท

     หรือถ้าเป็นอีกแบบหนึ่ง  ยิ่งตกมากยิ่งถัวมาก  จัดหนักกันไปเลย  เช่น  ซื้อหุ้นมา  1000  หุ้นราคา  5  บาท  ใช้เงินไป  5000  บาท แต่พอหุ้นตกลงมาเหลือ  4  บาท  เราก็ซื้อเพิ่มอีก  2000  หุ้น  ใช้เงินอีก  8000  พันบาทรวมเป็นเงิน  13000  บาท  มีหุ้น  3000  หุ้น  เมื่อนำมาหารกันแล้ว  สรุปต้นทุนของหุ้นเราทั้งหมดอยู่ที่ราคา  4.33  บาท  เมื่อหุ้นดีดกลับไปที่ราคา  5  บาท  เราก็จะกำไรทันที  2000  บาท


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 02 มีนาคม 2011, 15:57:49
ซื้อเมื่อราคาวกกลับ

     กลยุทธ์นี้ตรงข้างกับแบบขายแบบไม่ขอกำไร 100 %  แต่ใช้หลักเดียวกัน  กล่าวคือ  การขายแบบไม่ขอกำไร 100 % นั้น เป็นการรอขาย  แต่ถ้าเป็นการรอซื้อนั้น  ในช่วงที่ราคาหุ้นร่วงระนาว  เราไม่รู้ว่าจะเข้าไปรับหุ้นตอนไหน  เพราะบางทีเราเห็นว่าราคาถูกแล้ว  แต่มันยังลงต่อได้อีก  เหมือนการเข้าไปรับมีดตอนมันหล่น  รังแต่จะเสียเลือดเปล่าๆ  เพราะฉะนั้น  เราก็รอจนราคามันตกเรื่อยๆ  เมื่อราคามันกำลังวกกลับ  เราก็เข้าไปซื้อตอนนั้น


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 04 มีนาคม 2011, 14:51:08
แบ่งขายครึ่งหนึ่งคลายเครียด

     วิธีนี้คือ  ในขณะที่มีกำไรบนกระดาน  แบ่งขายทำกำไรครึ่งหนึ่ง  แล้วเอากำไรที่ได้ไปเฉลี่ยเป็นต้นทุนกับหุ้นที่ยังเหลืออีกครึ่ง  เช่น  ซื้อหุ้นมา  5  บาท  10000 หุ้น  ใช้เงิน  50000  บาท  พอราคาขึ้นเป็น  5.50  บาท  ก็แบ่งขายออก  5000 หุ้น  ได้เงินมาทั้งหมด  27500  บาท  ลบด้วยต้นทุนแรก  50000  บาท  เหลือเงินที่อยู่ในหุ้น  22500  บาท  เมื่อถัวออกมาแล้ว  เท่ากับต้นทุนหุ้นที่มีอยู่เท่ากับ  4.50  บาท  หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น  เราก็ยังมีกำไรอยู่

     เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  พอต้นทุนต่ำ  ความมั่นใจก็ยิ่งสูง  ทำให้เราสามารถรอคอยเวลาให้หุ้นวิ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุดเพื่อรอขายตอนราคาวกกลับได้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 31 มีนาคม 2011, 15:35:25
กลยุทธ์และจุดมุ่งหมายของนักลงทุนชื่อดัง

     วอร์เร็น บัฟเฟต  เมื่อพูดถึงบัฟเฟตแล้ว  ใครที่ลงทุนสไตล์ VI คงรู้จักดี  แต่ตามความเห็นของผมแล้ว  บัฟเฟตไม่ใช่นักเล่นหุ้น  เขาเป็นนักล่ากิจการมากกว่า  เขามักจะศึกษาบริษัทที่น่าสนใจและมียี่ห้อเป็นที่รู้จัก  มีผู้บริหารเก่ง  แล้วเขาก็จะรอเวลาที่จะครอบครองกิจการ  เมื่อตลาดหุ้นตก  เขาจะไม่รอช้าที่จะเข้าซื้อหุ้นจำนวนมาก  เขาจะซื้อมากพอจนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้  ซึ่งกลยุทธ์ที่ใช้ก็คือ  Margin of safety  นั่นคือ  เขาจะซื้อหุ้นเมื่อเห็นว่าราคาถูกน่าสนใจ  โดยที่หากราคาหุ้นลดต่ำลงไปอีก  มันก็เป็นราคาที่ไม่แพงเกินไปสำหรับการซื้อกิจการนั้น  เมื่อซื้อกิจการพวกนั้นได้แล้ว  เขาจะไม่สนใจเลยว่า  ราคาหุ้นในตลาดจะเป็นเท่าไหร่  เพราะสิ่งที่เขาสนใจคือ  ตัวบริษัทและความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนั้น  หากราคาหุ้นตกลงไปอีก  เขาก็ไม่ได้สนใจจะขายเลย  เพราะเขาเพียงต้องการครอบครองบริษัทที่เขาหมายตาไว้เท่านั้นเอง  ดังจะเห็นได้จากคำแนะนำของเขาที่ว่า  ซื้อหุ้นในกิจการที่ดี  มีผู้บริหารที่ดี  มี Margin of safety  มีความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม  และถือหุ้นนั้นไว้ตลอดชีวิต  ตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่  ในทุกๆปี  เขาจะส่งข้อความถึงผู้บริหารของแต่ละบริษัทโดยไม่ได้กำหนดถึงนโยบายการทำงานของผู้บริหารเลย  ข้อความที่เขาส่งถึงผู้บริหารมีเพียง 2 ข้อเท่านั้นคือ
1.อย่าทำให้ผู้ถือหุ้นเสียหายและ
2.ย้อนกลับไปดูข้อ 1

สำหรับนักลงทุนชื่อดังท่านอื่นๆ  เดี๋ยวถ้ามีเวลา  จะลงให้อ่านวันหลังครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 01 เมษายน 2011, 12:17:53
กลยุทธ์และจุดมุ่งหมายของนักลงทุนชื่อดัง

     ปีเตอร์ ลินซ์  เขาเป็นผู้จัดการกองทุนที่ใหญ่มากๆในสหรัฐ  จุดมุ่งหมายของเขาคือ  การเพิ่มขึ้นของมูลค่าพอร์ตลงทุน  ซึ่งนี่ก็เป็นจุดหมายเดียวกันกับนักลงทุนราบย่อยอื่นๆจำนวนมาก  หากนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการมีพอร์ตการลงทุนที่ใหญ่ขึ้น  ก็ควรศึกษาวิธีการของปีเตอร์ ลินซ์  กลยุทธ์ของ ปีเตอร์ ลินซ์ มีหลากหลาย  เขาจะจัดหุ้นออกเป็นกลุ่มต่างๆ  และดำเนินกลยุทธ์ไปตามการจัดกลุ่มนั้นๆเช่น
1.หุ้นแข็งแกร่ง  เขาจะซื้อเมื่อราคาตกลงมากๆ  และเมื่อมันขึ้นถึงจุดตอนก่อนที่มันจะตกลงไป  เขามักจะขายเสมอ  เพราะมูลค่าของมัน  ก็จะเป็นประมาณเท่านั้น
2.หุ้นทรัพย์สินมาก  เขาจะซื้อเอาไว้หากคำนวณดูว่า  หุ้นมีกี่หุ้น  ราคาหุ้นตอนนี้เท่าไหร่  เมื่อนำมาคูณกัน  ราคามันก็ยังถูกกว่าทรัพย์สินที่บริษัทนั้นครอบครองอยู่
3.หุ้นโตเร็ว  หุ้นประเภทนี้มักจะทำให้พอร์ตโตเร็วมาก  ซึ่งการที่เราจะรู้ว่าต้องขายเมื่อไหร่นั้น  เคล็ดลับก็คือ  ให้ดูว่าบริษัทนั้น  เมื่อไหร่มันจะหยุดโต  แล้วเขาก็จะขายมันออกไป

     จริงๆแล้วกลยุทธ์ของเขามีมากกว่านี้  ถ้าอยากรู้รายละเอียดก็ให้ไปซื้อหนังสือของเขามาอ่านเอานะครับ  แต่สิ่งที่ได้มาจากเขาซึ่งทำให้พอร์ตโตมากนั่นก็คือ  จังหวะการลงทุนนั่นเอง  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าเรามีเงิน  100 บาท  แล้วเราซื้อหุ้นราคา 100 บาท  มันจะซื้อได้ 1 หุ้น  ถ้าราคาปรับลงมาเหลือ 50 บาท  นั่นเท่ากับว่าเราขาดทุน  50 %
     แต่ถ้าเราใจเย็นรอโอกาส  เงิน 100 เดียวกันนี้  สามารถนำไปซื้อหุ้นตัวเดียวกันในราคา 50 บาทก็จะได้ 2 หุ้น  เมื่อหุ้นกระเด้งกลับไปที่ 100 บาทเท่าเดิม  เราก็กำไร  100 %  และเงินเราก็เพิ่มขึ้นเป็น 200 บาท

สำหรับนักลงทุนชื่อดังท่านอื่นๆ จะลงให้อ่านวันหลังครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 02 เมษายน 2011, 20:19:55
กลยุทธ์และจุดมุ่งหมายของนักลงทุนชื่อดัง
     เทพ รุ่งธนาภิรมย์  จริงๆแล้วแนวคิดของเขาก็ไปลอกแบบมาอีกทีหนึ่ง  เพียงแต่ว่า  เมื่อเขานำมาเขียนเป็นแบบไทยๆ  ก็ได้อรรถรสไปอีกแบบ  ซึ่งจุดมุ่งหมายของเขาก็คือ เงินปันผลของบริษัทต่างๆที่เขาถือหุ้นอยู่  ซึ่งกลยุทธ์ที่เขาใช้เรียกว่า  กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ  และการที่มันได้ชื่อว่ากลยุทธ์หุ้นห่านทองคำก็เนื่องจากว่า  อ้างอิงจากนิทานเรื่องห่านทองคำ  ซึ่งเรื่องย่อๆมีอยู่ว่า  สามีภรรยาคู่หนึ่งเข้าไปในป่า  แล้วไปพบห่าน  จึงเก็บมาเลี้ยง  แต่ห่านที่เอามาเลี้ยงนั้นเป็นห่านพิเศษ  ออกไข่เป็นทองคำให้ทุกวัน  ซึ่งทำให้บ้านนี้เอาไปขายจนฐานะร่ำรวยขึ้น  ต่อมาสามีเกิดโลภมาก  อยากได้ไข่เยอะๆ  จึงจับห่านผ่าท้องออก  แต่ก็ไม่พบอะไรเลย  หนำซ้ำ  ห่านก็ตายไปด้วย  เพราะฉะนั้นแล้ว  ถ้าเราอยากมีไข่ทองคำเรื่อยๆ  เราก็ไม่ควรขายหุ้นทิ้ง  แต่ควรจะมีหุ้นนั้นเก็บไว้  เปรียบได้กับการไม่ฆ่าห่าน  แต่ถ้าเราโลภฆ่าห่านเมื่อไหร่  ซึ่งก็เหมือนกับขายหุ้นนั้นทิ้งไป  เราก็จะไม่ได้รับไข่ทองคำอีกเลย

     วิธีการเลือกห่านของคุณเทพ  จะมองที่เงินปันผลสูงๆเป็นอันดับแรก  เมื่อเทียบเงินปันผลกับราคาหุ้นแล้ว  ผลตอบแทนที่ได้ไม่ควรต่ำกว่า 10 % และเขาก็สามารถ  ใช้การซื้อขายหุ้นตามจังหวะตลาดมาประกอบกลยุทธ์  ทำให้ต้นทุนหุ้นถูกลงเรื่อยๆ  ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในแบบที่เคยแนะนำไปแล้วคือ

     สมมติเรามองหุ้นราคา 10 บาท โดยหุ้นนี้สามารถให้เงินปันผลปีละ 1 บาท  ซึ่งก็เทียบเท่ากับ 10 % ต่อปี เราเข้าซื้อที่ราคา 10 บาท 1000 หุ้น  ใช้เงิน 10000 บาท เมื่อหุ้นราคาขึ้นไปเป็น 11 บาท  เขาก็แบ่งขายออกมา 500 หุ้น จะได้เงินมา 5500 บาท  เมื่อนำเงิน 5500 บาทไปลบกับต้นทุน 10000 บาท ทำให้เรายังเหลือต้นทุนในหุ้นอยู่แค่  4500  บาท  เมื่อนำมาหารกับหุ้นที่เหลืออยู่ในครอบครองของเรา 500 หุ้น  ก็จะทำให้ต้นทุนหุ้น 500 ที่เหลืออยู่  มีต้นทุนราคาแค่ 9 บาท  เมื่อได้เงินปันผล 1 บาทเท่าเดิม  แต่ผลตอบแทนของเราจะเพิ่มเป็น 11.11 % ซึ่งก็ได้ผลตอบแทนมากกว่าการถือไว้เฉยๆ

     และถ้าหลังจากที่เราขายหุ้นออกไป  หุ้นก็ตกลงมาที่ราคา 10 บาท  เราก็นำเงินที่ได้ขายออกไปในตอนแรกย้อนกลับมาซื้อหุ้นคืนอีก  เราก็จะใช้เงินแค่ 5000 บาทในการนำมาซื้อหุ้น  ซึ่งตอนนี้เราก็มีหุ้นอยู่ 1000 หุ้นเหมือนตอนแรก  แต่ที่ไม่เหมือนก็คือ  ตอนนี้ต้นทุนหุ้น  1000 หุ้นของเราใช้เงินซื้อแค่ 9500 บาท(เพราะมีกำไรไป 500 บาทตอนขายรอบแรกแล้ว)  เมื่อนำ 9500 บาทมาหาร  1000 หุ้น  ทำให้ต้นทุนหุ้นของเราเหลือเพียง 9.50 บาท  เมื่อได้เงินปันผลหุ้นละ 1 บาท  เท่ากับเราจะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็น 10.52 % เลยทีเดียว  และถ้าเราทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ  ผลตอบแทนก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ  หรือถ้าไม่อย่างนั้น  เราก็นำกำไรที่ได้จากการขายหุ้น  มาซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ  ซึ่งจะมีผลทำให้  เราจะมีหุ้นมากขึ้น  และเงินปันผลก็จะมากขึ้นตามจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นด้วย

สำหรับนักลงทุนชื่อดังท่านอื่นๆ จะลงให้อ่านวันหลังครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 11 เมษายน 2011, 15:20:38
กลยุทธ์และจุดมุ่งหมายของนักลงทุนชื่อดัง

     คุณนำชัย  ผู้เขียนเรื่องอยากรวยต้องรู้  สำหรับจุดมุ่งหมายของเขาก็คือ  การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นในพอร์ตเหมือนกับ ปีเตอร์ ลินซ์  เพียงแต่ว่า  เขาให้น้ำหนักกับภาวะตลาดมากกว่าตัวหุ้น  โดยเขาให้เหตุผลว่า  ถึงแม้ว่าหุ้นนั้นจะมีพื้นฐานดีสุดยอดขนาดไหน  แต่ถ้าขาดแรงซื้อเสียแล้ว  หุ้นนั้นก็ไม่ขึ้น  เขามักจะติดตามการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนของผู้ลงทุนประเภทต่างๆด้วย  สำหรับคำแนะนำในหนังสือของเขา  มีคำแนะนำให้ลงทุนในทรัพย์สิน 4 ประเภทคือ พันธบัตร เงินฝาก ทองคำ และหุ้น  ซึ่งเมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ก็จะสร้างผลกระทบทั้งดีและเสียให้กับทรัพย์สินชนิดต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อ ดอกเบี้ย  สังคม  ภาวะเศรษฐกิจโลก  ฯลฯ  ยกตัวอย่าง  เมื่อดอกเบี้ยกำลังเป็นขาขึ้น  มันจะดีต่อเงินฝาก  แต่มันจะแย่สำหรับหุ้น  กล่าวคือ  เมื่อดอกเบี้ยกำลังขึ้น  คนที่มีเงินจะลงทุนก็มองว่า  หากเขาเอาเงินไปฝาก  จะได้ดอกเท่านี้  แต่ถ้าเอาไปซื้อหุ้นเพื่อเอาเงินปันผล  เขาต้องได้เงินปันผลเพิ่มเพื่อให้คุ้มกับเงินลงทุน  เพราะหุ้นนั้นต้องบวกค่าความเสี่ยงของการผันผวนด้านราคาเข้าไปด้วย  แต่ถ้าปันผลไม่เพิ่ม  ราคาของหุ้นนั้นก็จะปรับตัวลงมาเพื่อให้สอดคล้องกับความคุ้มค่าในด้านความเสี่ยง  หรือบางบริษัท  ไปกู้เงินเพื่อมาทำธุรกิจ  ก็ต้องมีภาระในการชำระดอกเพิ่มขึ้น  ซึ่งมีผลทำให้เงินปันผลลดลง  ราคาหุ้นก็จะปรับตัวลงเช่นกัน

     สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ  ในตลาดหุ้น  มีผู้ลงทุนแบ่งเป็น 4 กลุ่มได้แก่  ต่างชาติ โบรกเกอร์ สถาบัน และรายย่อย  ซึ่งกลุ่มที่มีความสามารถในการกำหนดแนวโน้มของตลาดได้นั้น จะเป็นกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ  เนื่องจากว่า  มีเงินมาก  กลยุทธ์ที่คุณนำชัยใช้คือ  ให้ดูต่างชาติเป็นหลัก  ถ้าเขาซื้อเราก็ซื้อ  ถ้าเขาขายเราก็ขาย...ง่ายมาก  แต่ตามความเห็นของผมแล้ว  กลยุทธ์แบบนี้คล้ายๆเราจะเป็นเหาฉลามอย่างไรไม่รู้  เนื่องจากว่า  ต้องคอยตามแห่ขาใหญ่ไปตลอดเวลา

     มีเหตุผลหลักๆอยู่เพียง 2 ข้อในการซื้อหรือขายของนักลงทุนต่างชาตินั่นก็คือ  ประเทศที่เขาลงทุนและตัวเขาเอง  หากจะย้อนไปในปี 40  ตอนนั้นประเทศไทยเกิดวิกฤตการเงินที่เรียกว่าต้มยำกุ้ง  รัฐบาลได้ออกมาประกาศลอยตัวค่าเงินบาท  ซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง  ทำให้พวกนักลงทุนต่างชาติขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นจำนวนมาก  จึงเกิดการขายหุ้นทิ้งหนีตายของนักลงทุนต่างชาติกันอลหม่าน  ซึ่งมีผลทำให้  หุ้นของไทยร่วงไม่เป็นท่า  และเมื่อไม่นานมานี้  หุ้นไทยก็ร่วงหนักอีกครั้ง  แต่เป็นที่ตัวเขาเองเกิดปัญหาซับไพร์มขึ้น  นักลงทุนต่างชาติได้ขายทรัพย์สินที่ลงทุนไว้ทั่วโลกเพื่อหอบเงินกลับไปแก้ไขปัญหาในประเทศตัวเอง

     ดังนั้นแล้ว  การที่เราจะได้เงินจากตลาด  แค่เพียงการดูว่าเขากำลังซื้อหุ้น  อาจจะยังไม่เพียงพอ  เราจำเป็นต้องรู้ด้วยว่า  เวลาเขาเข้ามา  เขาจะซื้อหุ้นตัวไหน  จากประสบการณ์ของผมเอง  เขาจะซื้อหุ้นขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง  สำหรับบริษัทเล็กๆจำนวนหุ้นน้อยๆ  เขามักไม่ค่อยซื้อ  เพราะแค่เศษเงินของเขา  ก็ทำให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่แล้ว  ต้องไปทำรายงานส่งตลาดหลักทรัพย์กันวุ่นวาย  แต่หากจะลงลึกเป็นรายตัวจริงๆแล้ว  ผมแนะนำให้ดูที่เว็บของตลาดหลักทรัพย์  เพื่อจะได้ตามแกะรอยกันทัน  เนื่องจากว่าเขามีเงินเยอะ  เมื่อจะซื้อหุ้นอะไรแล้ว  ก็คงซื้อไม่ได้หมดในวันเดียว  แต่ต้องทยอยซื้อกันหลายวัน  ในทางกลับกัน  ถ้าเขาคิดจะขายแล้ว  ก็คงขายไม่ได้หมดในวันเดียว  เพราะฉะนั้น  หากเราหมั่นตรวจเช็คดู  ก็จะรู้ความเคลื่อนไหวของนักลงทุนต่างชาติครับ

http://www.set.or.th/set/nvdrbystock.do;jsessionid=104A74B555D9228AF8BC6A401E02F79B

สำหรับผมคงจะพอเท่านี้ก่อน  ถ้าวันหลังนึกประเด็นอะไรได้แล้ว  ก็จะเอามาลงให้อ่านเพื่อประเทืองปัญญากันครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 14 เมษายน 2011, 03:42:52
     เมื่อพิจารณาจากกลยุทธ์ของนักลงทุนทุกท่านแล้ว  สิ่งที่ดูจะเหมือนกันอยู่อย่างก็คือ  ซื้อหุ้นตอนที่มันราคาถูก  และเมื่อเรามามองดูหุ้นของบ้านเราในตอนนี้  ซึ่งขณะนี้มันทะลุพันจุดไปแล้ว  ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่า  สถานการณ์ราคาหุ้นตอนนี้  มันเรียกว่าเหมาะสมหรือว่าแพง  แต่ถ้าเป็นนักลงทุนชื่อดังทั้งหลาย  เขาคงจะไม่ไล่ซื้อเป็นแน่  เขาคงจะรอซื้อตอนที่มีคนขนหุ้นเอามาลดราคาให้  ซึ่งเหมือนกับที่บัฟเฟตพูดว่า  คล้ายกับการหาซื้อแบงค์หนึ่งดอลล่าร์ในราคาสี่สิบเซ็นต์  ฟังดูแล้วอาจจะตลก  และคงคิดว่าใครหนอถึงโง่ขนาดเอาแบงค์หนึ่งดอลล่าร์มาขายในราคาสี่สิบเซ็นต์  แต่ถ้าเป็นในตลาดหุ้น  อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอครับ  แต่นี่ผมก็ไม่ได้ชี้แนะว่าควรขายหุ้นนะครับ  เพราะบางที  มันอาจจะขึ้นไปมากกว่าที่เป็นอยู่อีกเท่าตัวก็ได้  เพราะในตลาดหุ้น  อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอครับ  ซึ่งข้อคิดที่ผมจะทิ้งไว้ให้ก็คือ  ถ้าเราซื้อหุ้นที่ราคา 50 บาท  และหุ้นขึ้นไปเป็น 100  บาท  เท่ากับว่า  เราได้ผลตอบแทน 100 %   แต่ถ้าเราซื้อหุ้นที่ราคา  100  บาท  และเราต้องการผลตอบแทน 100 %  ราคาหุ้นก็ต้องวิ่งขึ้นอีก  100 บาทเลยทีเดียว

     เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว  ผลตอบแทน 100 % เท่ากัน  แต่ที่ไม่เท่าก็คือระยะที่จะต้องวิ่งขึ้นไป  การวิ่งขึ้น 50 บาทแล้วกำไร 1 เท่า  กับการต้องวิ่ง 100 บาทเพื่อกำไร 1 เท่า  อย่างไหนมันหนักกว่ากัน  และถ้าหุ้นวิ่งขึ้นเป็นราคา 200 บาทจริง  แล้วคุณคิดว่าคนที่ซื้อหุ้นที่ราคา 50 บาทจะกำไรกี่เท่าครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Cupid ที่ วันที่ 14 เมษายน 2011, 11:33:23
สวัสดีท่าน จขกท และท่านที่มีเงินเยน (รวมถึงเงินดองด้วย)

ผมเป็นสมาชิกใหม่ของ ชรฟก ทึ่งในประวัติของ จขกท (คุณวายุ)

ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มาระยะหนึ่ง (๕ - ๖ ปี ) ปัจจุบันพออยู่ได้

ว่างๆจะมาแลกเปลี่ยนประสพการณ์ในการซื้อขายหุ้น

วันนี้ ขอแนะนำตัวเท่านี้ครับ  ;) ;) ;)

ปล. เงินดอง หมายถึงเงินเวียตนามครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 17 เมษายน 2011, 23:02:59
ใช่ครับเวลาสำคัญกว่า แต่ผมตอนนี้ Forex อย่างเดียว เสียวกว่าหุ้นและโกลว์ฟิวเจอร์ set 50 ด้วย แต่สักวันจะผันมาหุ้นเหมือนกัน...อย่าลืมนักลงทุนต้องไม่โง่ และอย่าขาดทุน การเก็งกำไรไม่ได้ทำโชว์ให้แม่ยายคุณว่าคุณฉลาด...และนักลงทุนต้องไม่เป็นแก้วที่เต็มน้ำ...ด้วยขอบอก.


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 17 เมษายน 2011, 23:07:13
แนะนำคนที่อยากเริ่มลงทุน ดูมันนี่แชแนล กับหาหนังสือ ที่ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรากร มาอ่านมีหลาย เล่มครับน่าอ่านทั้งนั้น ที่ se-ed ก็มี...


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Cupid ที่ วันที่ 18 เมษายน 2011, 08:35:48
ใช่ครับเวลาสำคัญกว่า แต่ผมตอนนี้ Forex อย่างเดียว เสียวกว่าหุ้นและโกลว์ฟิวเจอร์ set 50 ด้วย แต่สักวันจะผันมาหุ้นเหมือนกัน...อย่าลืมนักลงทุนต้องไม่โง่ และอย่าขาดทุน การเก็งกำไรไม่ได้ทำโชว์ให้แม่ยายคุณว่าคุณฉลาด...และนักลงทุนต้องไม่เป็นแก้วที่เต็มน้ำ...ด้วยขอบอก.

นักลงทุนต้องไม่เป็นแก้วที่เต็มน้ำ
หมายถึงต้องไม่ซื้อหุ้นจนหมดกระเป่า พอหุ้นมีราคาต่ำมากๆ ไม่มีเงินซื้ออีก
ที่มีอยู่ก็ขายไม่ได้ เพราะขาดทุน ผมเข้าใจอย่างนี้ ใช่ไหมครับ ?
รบกวนท่านผู้อาวุโสชี้แนะด้วย  :-\ :-\


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 18 เมษายน 2011, 15:53:36
การเรียกร้องความเท่าเทียม
     ระยะหลังนี้ผมเห็นว่า  มีกลุ่มคนบางกลุ่ม  ซึ่งผมคาดว่า  น่าจะเป็นคนที่มีฐานะด้อยในสังคม  ออกมาเรียกร้องความเสมอภาคเท่าเทียมกัน  ทั้งในเรื่องฐานะ  ความเป็นอยู่  หรือการแบ่งปันกระจายรายได้ให้เท่าเทียมกัน  แต่ในความเห็นของผมแล้ว  ผมคิดว่าการที่คนเหล่านี้ออกมาเรียกร้องในเรื่องต่างๆนั้น  เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง  เนื่องจากว่า  เราแต่ละคนนั้น  มีนิสัยหรือวิถีชีวิตความเป็นอยู่แตกต่างกัน  การที่เราจะทำให้คนที่แตกต่างกันนั้น  มาทำให้เท่าเทียมกัน  มันเป็นเรื่องที่กดขี่คนที่เขาทำได้ดีกว่า  แต่ต้องมาถูกจำกัดเพื่อให้คนบางคนที่ทำได้ด้อยกว่ามีความรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้โดนทอดทิ้ง  กล่าวคือ  คนบางคนก็มีความสามารถหาเงินได้ดีกว่า  ส่วนคนบางคนก็มีความสามารถใช้เงินได้มากกว่า  นั่นจึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง  ที่เราจะต้องมาทำให้มันเท่าเทียมกัน

ผมว่า  สังคมในทุกวันนี้  เราจำเป็นต้องพึ่งพาตัวเองเป็นดีที่สุด  อย่าไปหวังว่าจะมีใครช่วยเราได้มากเลย  เราจำเป็นต้องดูแลตัวเอง  ใช้เงินอย่างฉลาดรอบคอบ  และรู้จักทำให้เงินที่เรามีมันเพิ่มจำนวนมากขึ้น  ซึ่งความรู้ทางการเงินจะช่วยเราได้ในจุดนี้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: vee48 ที่ วันที่ 19 เมษายน 2011, 17:18:46
สวัสดีค่ะคุณวายุ ส่วนตัวตอนนี้ก็ลงทุนในหุ้นอยู่แต่ประสบการณ์ยังน้อยค่ะ ตอนนี้ไม่ทราบว่าคุณวายุมองตลาดว่ายังไงบ้างคะ??


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 20 เมษายน 2011, 00:41:41
     ผมแนะนำให้คุณ Velcome ลองกลับไปอ่านกระทู้ที่ 103 ดูครับ  และสำหรับคำถามว่ามองตลาดยังไง  ผมขอตอบว่า  เงินมันคงล้นระบบเกินไปน่ะครับ  มันก็เลยวิ่งหาผลตอบแทนอย่างทุกวันนี้  ลองมองดูสิครับ  ซื้อหุ้นแล้วได้ปันผลแค่ 2-3 % คุณคิดว่ามันคุ้มค่าความเสี่ยงสำหรับเงินของเราไหม  ถ้าสงสัยอะไรก็ถามมาใหม่ได้นะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: chav ที่ วันที่ 20 เมษายน 2011, 16:40:53
ผมก็อยากเล่นหุ้นเหมื่อนกัน

แต่ไม่รู้ว่าจะไปหาซื้อหุ้นได้ที่ไหนและหาคำปรึกษาได้ที่ใคร

ยังไงพี่ช่วยเนาะนำให้ผมทีครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 23 เมษายน 2011, 17:25:30
ตอบคุณ chav
     สำหรับการไปซื้อหุ้นนั้น  สามารถซื้อผ่านนายหน้าได้ครับ  ดูได้ที่กระทู้ 180


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 23 เมษายน 2011, 17:31:52
บำเหน็จVSบำนาญ
     มีประเด็นหนึ่งซึ่งถกเถียงกันมากว่า  ระหว่างบำเหน็จและบำนาญ  อย่างไหนดีกว่ากัน  ถ้าเป็นสมัยก่อน  โดยส่วนตัวแล้ว  ผมว่าบำนาญดีกว่า  เพราะการที่เราเลือกบำนาญ  จะทำให้มีกระแสเงินสดไหลเข้ามาเรื่อยๆคล้ายๆกับการที่เราเก็บค่าเช่า  ซึ่งแต่ละงวดอาจเป็นเงินไม่มาก  แต่มันก็จะไหลเข้ามาตลอดเวลา  แต่ถ้าเป็นสมัยนี้แล้ว  ราคาของทุกอย่างเพิ่มสูงขึ้นมาก  หากเรายังได้รับเงินบำนาญเป็นรายเดือนเท่าเก่าอยู่  เงินนั้นอาจไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพก็ได้  และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง  เราจะแก้ปัญหาอย่างไร  ไปเรียกร้องกับรัฐบาลหรือ?  ถ้ารัฐบาลขึ้นให้  จะขึ้นเป็นเท่าไหร่?  ในเรื่องนี้เรามีสิทธิ์ในการจัดการน้อยมาก  เมื่อเทียบกับการที่เราเป็นเจ้าของบ้านเช่า  เพราะถ้าเราเป็นเจ้าของบ้านเช่า  เราสามารถจะจัดการปัญหาอะไรได้มากกว่านี้

     แล้วถ้าเราเลือกบำเหน็จล่ะ  เมื่อเราได้เงินก้อนมา  เราก็เอาไปดาวน์บ้านแล้วเก็บค่าเช่ามาผ่อนบ้านไปเรื่อยๆ  แล้วพอบ้านปลอดหนี้  เราก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไป?  โดยส่วนตัวแล้ว  วิธีการนี้ก็เสี่ยงไป  ในกรณีที่เราไม่มีรายรับจากทางอื่นแล้ว  ถ้าเราหาผู้เช่าไม่ได้ล่ะ  แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนมากิน

     จากความคิดเห็นของผมเอง  ผมว่า...เราน่าจะเลือกทั้งสองอย่างเลยดีไหม?  เราควรจะรู้จักเก็บหอมรอมริบตั้งแต่ยังมีแรงทำงาน  ซึ่งวิธีนี้มันเป็นการวางแผนระยะยาว  ช่วงที่เรายังทำงานอยู่  เราก็เก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆ  เมื่อมีเงินเป็นก้อนแล้ว  เราก็สามารถไปดาวน์บ้านได้  แต่ก็ต้องมีเงินเผื่อไปอีกสักเล็กน้อยในกรณีฉุกเฉิน  และเราก็หาผู้เช่ามาผ่อนให้เรา  ถ้าช่วงไหนยังไม่มีผู้เช่า  เราก็ยังมีรายได้จากการทำงานมาส่งไปก่อน  ถ้าสังเกตดู  เราจะเห็นว่า  เงินผ่อนบ้านจะมีอัตราการชำระเป็นรายงวดแน่นอน  ซึ่งนั่นเป็นด้านของธนาคาร  แต่ถ้าเป็นในด้านของเรา  เมื่อราคาของทุกอย่างแพงขึ้น  เราสามารถขึ้นค่าเช่าตามได้  เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆเป็น 10 หรือ 20 ปี  เงินผ่อนแต่ละงวดก็ยังเท่าเก่าอยู่  แต่ที่ไม่เท่าก็คือ  ค่าเช่าที่มันจะเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อ  เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว  เราก็ดูเหมือนว่า  จะเป็นผู้ได้เปรียบในการเล่นเกมการเงินนี้แล้ว  ซึ่งเกมนี้  เรายังเป็นผู้กุมชะตาชีวิตการเงินของตัวเราเองด้วย  ไม่ต้องไปเรียกร้องให้ใครขึ้นเงินให้  เราสามารถขึ้นเองตามสมควร  และสิ่งที่ได้เปรียบอีกอย่างก็คือ  ราคาของบ้านที่จะสูงขึ้นตามเงินเฟ้อ  แต่สำหรับเรื่องราคาบ้านนี้  มันอาจไม่ขึ้นเลยก็ได้  แต่ไม่เป็นไร  เพราะอย่างไรเราก็มีค่าเช่ากินเป็นเดือนโดยไม่อดตายแล้ว  และถ้าเรามีเงินบำนาญมาช่วยตอนแก่อีกยิ่งดีใหญ่  เราก็เอาเงินบำนาญไปแลกค่าเช่ามาเสียเลยจะได้เปรียบกว่า  บอกอย่างนี้งงไหมครับ  สมมติว่า  เงินผ่อนบ้านงวดละ 5000 บาท  เราได้เงินบำนาญมาเดือนละ 10000 บาท  เราแบ่งไปจ่ายค่างวด 5000 บาท  แต่เราเก็บค่าเช่าได้ 6000 บาท  เท่ากับว่า  รายรับของเรา  ได้มา 11000 บาทต่อเดือนนะครับ  ซึ่งมากกว่าที่ได้จากบำนาญอย่างเดียว หรือถ้าค่าเช่าเราเพิ่มเป็น 7000  บาทล่ะ  แล้วถ้าเรามีบ้านเช่าหลายหลังล่ะ?   น่าคิดนะ....

     และความได้เปรียบในการดาวน์บ้านอีกอย่างหนึ่งก็คือ  สมมติเราดาวน์บ้านไปเจ็ดหมื่นบาท  ซื้อบ้านราคาเจ็ดแสนบาท  เรากู้ธนาคารมาหกแสนสามหมื่นบาท  และเงินค่างวดของเราคือเดือนละ  4500  บาท  แต่ถ้าเราเอาบ้านนั้นไปให้เช่าในราคาเดือนละ 5000 บาท  เท่ากับว่าเราจะได้กำไรเดือนละ 500 บาท  ปีละ  6000 บาท  ผ่านไปสิบกว่าปี  เราได้กำไรจากค่าเช่ามาเจ็ดหมื่นบาทหลังจากหักเงินที่ส่งธนาคารแล้ว  นั่นเท่ากับว่า  ไม่มีเงินดาวน์ของเราหลงเหลืออยู่ในบ้านหลังนั้นแล้ว  เงินที่จะได้เข้ามาต่อจากนี้  นั่นคือกำไรของเราล้วนๆ  เมื่อเราได้เงินของเราคืนมาแล้ว  เราก็เอาเงินที่ได้คืนมา  ไปทำซ้ำกระบวนการต่อไป  วิธีการนี้คล้ายกับเรานั่งเล่นไพ่ไหมครับ  สมมติแรกเริ่มเรามีทุนอยู่  100 บาท  นั่งเล่นไปสักพัก  เงินเพิ่มขึ้นมาเป็น  200 บาท  และเมื่อเราเห็นว่ามีเงินเพิ่มขึ้นบนหน้าตักของเรา  เราก็แอบเก็บทุนของเรา  100  บาทเข้ากระเป๋าไป  ถ้าเราเล่นเสียหมดทั้งหน้าตักก็ไม่เป็นไร  เนื่องจากว่า  เราได้เก็บทุนเข้ากระเป๋าไปเรียบร้อยแล้ว  วิธีนี้   เมื่อนำมาใช้กับบ้านเช่า  เราจะเห็นได้ว่า  เมื่อเราได้ทุนคืนแล้ว  แม้ว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น  เราก็จะไม่เจ็บตัวจากเหตุการณ์นั้นครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 30 เมษายน 2011, 14:42:31
ดอกเบี้ยขาขึ้น
     ช่วงนี้ดอกเบี้ยกำลังกลายเป็นขาขึ้น  การลงทุนที่น่าสนใจในช่วงนี้สำหรับผมเห็นจะเป็นการฝากเงิน  เพราะเมื่อเทียบการลงทุนที่ผมรู้จักทั้งหลายแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นหุ้น  ทองคำ  หรือพันธบัตร  ล้วนแล้วแต่ไม่ค่อยน่าลงทุน  เนื่องจากปัจจัยเฉพาะตัวของแต่ละทรัพย์สิน

     หุ้น...ช่วงนี้ราคาของมันเมื่อเทียบกับเงินปันผลแล้ว  ได้ผลตอบแทนเพียงแค่ 2-3 % เท่านั้นซึ่งพอๆกับการฝากเงินเลย  อาจจะมีบางบริษัทเป็นข้อยกเว้นอยู่บ้างเช่น  ปันผลมากกว่า 2-3 %  แต่บางบริษัทที่ว่าอาจจะเกิดจาก  สภาพคล่องของหุ้นต่ำ  ธุรกิจนั้นไม่โตแล้ว  ฯลฯ   เราต่างรู้ดีว่า  นักลงทุนรายใหญ่ที่เป็นคนกำหนดทิศทางและแนวโน้มในตลาดหุ้นคือนักลงทุนต่างชาติหรือเรียกง่ายๆว่าฝรั่ง  การที่สภาพคล่องของหุ้นต่ำจะทำให้เวลาฝรั่งอยากขายหุ้นออกมาจะทำได้ลำบาก  เนื่องจากว่าไม่ค่อยมีใครมารับซื้อหรือเรียกง่ายๆว่าเขาไม่เล่นกัน  และธุรกิจไม่โตหรืออิ่มตัวแล้วนั่นหมายถึงว่า  ไม่มีอนาคตอะไรให้ได้หวังว่าบริษัทจะโตได้มากกว่าที่เป็นอยู่  เพราะฉะนั้นแล้ว บริษัทที่ไม่โตจึงทำให้นักลงทุนคาดหวังเงินปันผลมากกว่าที่จะหวังจากการเติบโตของบริษัท  เพราะอย่างน้อยก็ยังอุ่นใจได้ว่า  ผลตอบแทนจะอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับเงินลงทุน  แต่ก็มีบางคนออกมาบอกว่า  ช่วงนี้เงินไหลเข้า  ตลาดหุ้นจะดี  ผมก็เห็นนะว่าเงินมันไหลเข้า  แล้วเคยสังเกตไหมครับว่า  มันไหลเข้าจริง  แต่หุ้นก็ไม่ได้ขึ้นพรวดๆอย่างแต่ก่อน  นั่นเป็นเพราะว่า  ถ้าราคาหุ้นสูงกว่านี้  มันจะราคาแพงมากสำหรับการลงทุน  แต่การที่เงินมันไหลเข้าผมว่าเป็นเพราะเงินมันคงล้นระบบเกินไป  เนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้  สหรัฐพิมพ์แบงค์อัดเข้าระบบมากมายอย่างที่ได้รับรู้กัน  หรืออีกอย่างอาจจะเป็นพวกฝรั่งเก็งกำไรค่าเงินก็ได้  และถ้าเวลาเงินมันกลับทางไหลออกแทน  ฝรั่งเขาก็มีวิธีการได้กำไรอีกวิธีหนึ่งนั่นก็คือ  การเล่นตราสารอนุพันธ์หรือที่เรียกว่า TFEX ซึ่งตราสารนี้สามารถเล่นได้ทั้งสองทางไม่ว่าจะเป็นหุ้นขึ้นหรือลง  ถ้าเราเก็งได้ว่าตลาดจะไปทางไหนเราก็เล่นไปทางนั้น  ถ้าเราเล่นถูกทาง  เราก็ได้เงิน  ถ้าสมมติว่าฝรั่งจะขนเงินออกแล้ว  เขาก็จะสาดหุ้นออกมาเป็นจำนวนมากและอย่างหนัก  และเราซึ่งเป็นรายย่อยคงไม่อาจหาญกล้าที่จะเข้าไปรับมีดที่กำลังหล่นลงมาแน่  และก็มีรายย่อยอีกเป็นจำนวนมากที่กลัวขาดทุน  ก็จะผสมโรงขายหุ้นออกมาพร้อมกับพวกฝรั่ง  และคนที่กำลังจะรับหุ้นก็จะลังเลว่า  จะรับดีไหม  เพราะถ้าสมมติรับไปแล้ว  เกิดหุ้นมันตกลงไปอีก  มิขาดทุนแย่หรือ  เมื่อเป็นดังนี้  แรงซื้อจะน้อย  แต่แรงขายจะมีเยอะมาก  เพราะใครๆต่างก็ไม่อยากขาดทุนกันทั้งนั้น  ด้วยเหตุนี้เวลาที่หุ้นตก  มันจึงตกเร็วมาก  และเมื่อหุ้นยิ่งตกมากเท่าไหร่  ฝรั่งที่ทำการเล่น TFEX ไว้ก็จะกำไรมากเท่านั้น  เพราะถึงแม้ว่าเขาอาจจะขาดทุนจากราคาหุ้นอยู่บ้าง  แต่สิ่งที่เขาได้ไปก็คือกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน  และกำไรจาก TFEX  ถ้าใครสนใจเกี่ยวกับ TFEX แล้ว  ก็สามารถไปศึกษาเพิ่มเติมเองได้ครับ  ส่วนผลตอบแทนที่จะได้รับจากตลาดในตอนนี้เพียง 2-3 %  นั้น   อาจเป็นไปได้ว่า  นักลงทุนทั้งหลายกำลังคาดหวังว่า  ในอนาคต  เงินปันผลจะได้เพิ่มขึ้นจากการเติบโตของบริษัทที่ไปลงทุนไว้  นั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้นแพงอย่างทุกวันนี้  แต่ในภาวะที่ดอกเบี้ยกำลังเป็นขาขึ้น  บริษัทไหนที่กู้เงินมาทำธุรกิจก็จะประสบปัญหาจากต้นทุนการทำธุรกิจที่เพิ่มขึ้น  จนอาจทำให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลลดน้อยลง  ต่างกับการฝากเงินในช่วงนี้  ที่เมื่อดอกเบี้ยขยับขึ้น  ผลตอบแทนจากการฝากเงินก็จะเพิ่มขึ้น  เพราะฉะนั้นแล้ว  สำหรับผมในช่วงนี้  การลงทุนที่ผมสนใจก็คือการฝากเงินครับ  แล้วผมยังคิดต่อไปอีกว่า  ถ้าดอกเบี้ยมันขึ้นจนแซงเงินปันผลได้  แล้วหุ้นจะมีสภาพยังไง?  ตอนนี้ผมก็ออกจากตลาดแล้วด้วย  บางทีผมอาจจะคาดการณ์ผิดก็ได้  บางทีหุ้นอาจจะวิ่งขึ้นไปอีกเท่าตัว  แต่ถึงกระนั้นผมก็คงจะไม่ตามไปซื้อแล้ว  เพราะเมื่อถึงจุดนั้นมันก็เสี่ยงมากสำหรับผม  เหมือนกับเรื่องที่ผมเคยลงให้อ่านกันในหัวข้อ High-risk  High-return น่ะครับ  อันนี้เป็นความเห็นและการลงทุนส่วนตัวของผมนะครับ  ผมคงจะรอวันที่หุ้นกำลังตกลงอย่างหนัก  และผมก็จะทำการเล่น TFEX ด้วยคน  เพราะผมได้ไปเปิดบัญชี TFEX เตรียมไว้แล้ว  หรือถ้าผมประเมินว่า  มันไม่ได้เลวร้ายมาก  ผมก็จะเข้าไปรับซื้อหุ้นในราคาถูกต่อไป  นานเท่าไหร่ผมก็จะรอครับ  อย่างที่บัฟเฟตเคยพูดว่า  เวลาซื้อหุ้นต้องมี Margin of safety ครับ  ถ้าเราสนใจในหุ้นนั้น  ก็ให้รอซื้อในราคาที่เรารับได้  เพราะถ้าหุ้นตกลงไปอีก  มันก็ไม่แพงไปสำหรับการซื้อหุ้นนั้น

     ทองคำ...ราคาช่วงนี้สูงขึ้นมากจนน่ากลัว  และไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่ามันจะไม่ตกลงมา  ถ้าสมมติมันตกจริง  มันจะยิ่งกว่าหุ้นเสียอีก  เนื่องจากว่า  มันไม่มีเงินปันผลครับ  และมันก็ไม่สามารถเอาไปให้เขาเช่าได้เหมือนกับบ้านด้วย  ถ้าเราจะใช้เงินขึ้นมา  ก็คงต้องยอมขายขาดทุนลูกเดียว  ถ้าจะเอาไปจำนำ  ก็ต้องเสียดอกอีกต่างหาก  แต่บางทีมันอาจจะราคาขึ้นไปอีกก็ได้  ไม่มีอะไรแน่นอนครับ

     พันธบัตรหรือตราสารหนี้...ต้องท้าวความกันก่อนนะครับว่าพันธบัตรหรือตราสารหนี้คืออะไร  พันธบัตรหรือตราสารหนี้ก็คือ  การที่มีใครบางคนมายืมเงินเราแล้วสัญญาว่าจะคืนให้โดยมีการตกลงกันว่าจะใช้คืนวันไหน  และจะให้ดอกเบี้ยในระหว่างที่ยังไม่ชำระหนี้เป็นจำนวนเท่าใดตายตัว  สมมติว่ามีการตกลงกันว่าจะให้ดอกเบี้ยที่อัตรา 5 %  ตลอดระยะเวลาที่เป็นหนี้อยู่  ซึ่งถ้าหากดอกเบี้ยในตลาดเกิดเป็นขาลงขึ้นมา  เท่ากับว่าคนที่ไปซื้อพันธบัตรหรือตราสารหนี้มาจะได้เปรียบคนทั่วไป  เพราะดอกเบี้ยของคนอื่นกำลังลดลง  แต่ของเรากลับได้เท่าเดิม  ซึ่งจะมีผลทำให้  ราคาของพันธบัตรหรือตราสารหนี้นั้นเพิ่มขึ้นถ้าหากมีใครอยากจะถือครองมันแทนเรา  ถ้าเราพอใจในกำไรเราก็ขายได้ครับ  แต่ถ้าเวลาดอกเบี้ยมันกลับมาเป็นขาขึ้นแทน  พันธบัตรหรือตราสารหนี้นั้นให้ผลตอบแทนเท่าเดิมตายตัว  มันก็จะดูเหมือนว่าเรากำลังเสียเปรียบคนอื่นอยู่เนื่องจากว่า  ดอกเบี้ยของเราไม่ได้เพิ่มขึ้น  และถ้าเราต้องการจะขายพันธบัตรหรือตราสารหนี้นั้นออกไป  คนรับซื้อก็จะกดราคาลงมาเพื่อไปชดเชยกับการที่ดอกเบี้ยไม่ได้ขยับขึ้นตามตลาดครับ

     เงินฝาก...ช่วงนี้แต่ละธนาคารแย่งกันอัดโปรระดมเงินฝากกันยกใหญ่  อาจเป็นไปได้ว่า  ธนาคารพยายามจะบริหารต้นทุนด้วยการพยายามซับเงินในระบบเข้าธนาคารให้แห้งมากที่สุด  เพราะประเมินแล้วว่าอนาคตดอกเบี้ยต้องขึ้นแน่นอน  ถ้าคนเอาเงินไปฝากในอนาคต  ธนาคารก็ต้องจ่ายดอกแพงกว่าในตอนนี้  เพราะฉะนั้นแล้ว  ยอมให้ดอกตอนนี้  แล้วล็อคไว้ไม่ให้คนถอนออก  อาจจะเสียดอกถูกกว่าอนาคต  หรือถ้ามองอีกแบบ  อาจมีคนมาขอกู้เยอะมากจนธนาคารไม่มีเงินให้กู้  ก็เลยต้องออกโปรเพื่อระดมเงินไปปล่อยกู้ก็เป็นได้
     
     อย่างไรก็เลือกเอาแล้วกันนะครับ  เพราะเงินลงทุนเป็นของคุณเอง  เลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเงินของเราก็แล้วกัน  วิธีรวยเร็วที่สุดของบัฟเฟตคือ  "การไม่เสียเงิน"


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 08 พฤษภาคม 2011, 22:06:37
คิดอย่างอิสระ
     ในการลงทุน  การคิดอย่างอิสระนั้นสำคัญมาก  คุณไม่ถูกและไม่ผิดเพียงเพราะว่าคนอื่นๆเห็นด้วยกับคุณ  แต่คุณจะถูกเพราะว่าข้อเท็จจริงและเหตุผลของคุณนั้นถูกต้อง  ไม่ว่าคนส่วนมากหรือคนที่มีชื่อเสียงจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับคุณ  มันไม่ได้ทำให้คุณถูกหรือผิด  ความคิดที่ถูกต้องนั้นต้องมาจากข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง  นั่นจะทำให้คุณถูก  นี่คือหัวใจของการคิดอย่างอิสระ  และนั่นคือการใช้ข้อมูลและเหตุผลเพื่อหาบทสรุป  แล้วยึดอยู่กับบทสรุปนั้น  โดยไม่สนใจว่าจะมีหรือไม่มีคนเห็นด้วยกับคุณ

     การลงทุนแห่ตามคนอื่นนั้น  อยู่บนพื้นฐานของการทำโพลความคิดเห็นของผู้อื่นมากกว่าการใช้สมองของตัวเองคิด  ซึ่งนักลงทุนบางคนก็บอกว่า  กลยุทธ์การลงทุนแบบชาวสวนน่าจะดีกว่าการลงทุนแบบตามแห่(ชาวสวนคือ นักลงทุนที่ชอบลงทุนสวนกับฝูงชน)  แต่ผมไม่ค่อยเห็นด้วยนัก  ถ้าฝูงชนกำลังไปผิดทิศ

     ทั้งหมดนี้คือเรื่องของความคิด  คิดให้ขาด  และคิดให้เป็นอิสระจากฝูงชน  เดิมพันในการลงทุนนั้นสูงมาก  ดังนั้นจงคิดให้ดี  เมื่อคุณตัดสินใจจะลงทุน  อย่าตัดสินใจเพียงเพราะว่า  เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่หรือชาวสวนชอบทำ  อย่าเอาความคิดของมวลชนมาแทนที่การคิดแบบอิสระ  อย่าวิ่งตามฝูงชน  ทำการบ้านของคุณและตัดสินใจเลือกการลงทุนด้วยตัวคุณเอง  อย่าปล่อยให้ตัวคุณถูกครอบงำโดยผู้อื่น  ให้รวบรวมข้อเท็จจริงนั่งลงแล้วคิด  ไม่มีอะไรมาทดแทนกระบวนการนี้ได้

     และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการฟังนักวิเคราะห์ชื่อดังที่ออกมาบอกใบ้ทางเทคนิค  การลงทุนทางเทคนิคนั้นโดยส่วนตัวผมเองแล้ว  ผมไม่เคยเชื่อเลย  เพราะว่าการลงทุนลักษณะนี้  ไม่ได้คำนึงถึงพื้นฐานหรือเงินปันผลของหุ้นต่างๆ  แต่การลงทุนทางเทคนิคนั้นมาจาก  การดูปริมาณซื้อขายย้อนหลัง  ราคาที่เป็นแนวรับแนวต้าน  ซึ่งศัพท์พวกนี้ถ้าเป็นมือใหม่ก็ยากจะเข้าใจ  ก็เลยพลอยทำให้คนส่วนใหญ่นึกว่าการลงทุนเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา  และเคยสังเกตกันบ้างไหมว่า  ทำไมนักวิเคราะห์พวกนี้จึงออกมาบอกให้ซื้อให้ขายอยู่ตลอดเวลา  ไม่ว่าตลาดช่วงนั้นจะเป็นเช่นไร  ราคาหุ้นขณะนั้นสูงหรือต่ำแค่ไหน  นั่นก็เนื่องมาจากว่า  รายได้ของพวกเขา  มาจากการทำธุรกรรมซื้อและขายของพวกเรา  ถ้าพวกเราไม่ซื้อไม่ขาย  เขาก็จะขาดรายได้  บางทีเขาชอบออกมาให้ข่าวดีบ้างร้ายบ้าง  เหมือนกับว่าหวังดีเป็นห่วงพวกเรา  แต่นั่นคือแรงกระตุ้นที่ทำให้เรารีบทำธุรกรรมนั่นเอง  เวลาผมดูนักวิเคราะห์  ผมมักจะฟังแต่ข้อมูลมากกว่าความคิดเห็นของพวกเขา  เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว  ผมก็จะมานั่งวิเคราะห์และย่อยข้อมูลพวกนั้นเอง  เพราะผมต้องการคิดอย่างอิสระครับ  และเคยสังเกตไหมว่า  นักวิเคราะห์เหมือนกับคนใบ้หวยตรงไหน...เหมือนตรงที่  ถ้านักวิเคราะห์รู้จริงก็คงรวยไปแล้วครับ  คงไม่มานั่งกินเงินเดือนอย่างทุกวันนี้หรอก  หรือพวกที่ใบ้หวยก็คงไม่ต้องมาขายซองหลอกชาวบ้านไปวันๆ  จริงไหมครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: LoveYou2 ที่ วันที่ 08 พฤษภาคม 2011, 23:59:58
ตอนนี้ คุณ วายุ ลงทุนกับหุ้นถึงขั้นไหนครับ

แบบว่า หารายได้จากหุ้นอย่างเดียวแล้วรึเปล่า

ผมกับเพื่อนสนใจข้อความคุณ วายุ เมื่อ 1 เดือนก่อน

และลองเล่น click2win มา1เดือนก็ไม่ค่อยเค้าใจ

แต่อยากศึกษาให้รู้มากกว่านี้ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Cupid ที่ วันที่ 09 พฤษภาคม 2011, 21:46:05
 
ท่านที่คิดหรือเตรียมจะลงทุนในหลักทรัพย์ (หุ้น) โปรดอ่านคำตอบของท่านวายุ เจ้าของกระทู้นี้
ตอบที่ 220 หน้า 12 ลงวันที่ 8 พ.ค.54 นี้ ให้ขี้นใจหลายๆครั้งครับ
เป็นแนวคิดวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยมทีเดียว
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ทางเทคนิค (ขอย้ำนะครับ ทางเทคนิค) ไม่ต่างจากคนใบ้หวยดอกครับ อย่างที่ท่านวายุได้บรรยายไว้นั่นแหละ
ถ้าแน่จริงนักวิเคราะห์ไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างรับเงินเดือนของบริษัทหลักทรัพย์ดอกครับ ลงทุนใน
หลักทรัพย์ที่ตัวเองวิเคราะห์และเชียร์ให้คนอื่นลงทุน ก็พอแล้ว
คนใบ้หวยก็ทำนองดียวกัน ถ้าแม่นจริงไม่ต้องใบ้ให้คนอื่นดอกครับ เล่นเองเลย รวยไม่รู้เรื่อง
สำหรับผม การลงทุนในหลักทรัพย์โดยอาศัยเทคนิคนั้น ผมก็ไม่เชื่อเช่นเดียวกับท่านวายุ
ผมลงทุนในหลักทรัพย์มา 7 ปี ขณะนี้พออยู่ได้ ไม่เคยใช้เทคนิค เพราะดูกราฟไม่เป็น
เอาไว้มีเวลาว่างๆจะขอแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากท่านวายุบ้าง
วันนี้ขอสนับสนุนแนวคิดของท่านวายุ ด้วยใจจริงครับ
ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 13 พฤษภาคม 2011, 15:49:44
ตอบคุณ boutboy000
     ที่ถามว่าหารายได้จากหุ้นอย่างเดียวแล้วรึเปล่า  อันนี้ขอตอบว่าไม่ครับ  หุ้นนั้นคือการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับเงินของผม  แต่จะเรียกว่าผมเป็นนักลงทุนก็คงไม่ถูกซะทีเดียว  ผมว่าตัวผมเองนั้นเป็น"นักหมุนเงิน"มากกว่า  กล่าวคือ  ผมไม่ได้ลงทุนอะไรอย่างเดียวนานๆจนเป็นล่ำเป็นสัน  ผมพยายามหาที่ๆให้ผลตอบแทนมากๆในความเสี่ยงต่ำๆ  อย่างเช่นช่วงนี้หุ้น 1100 จุด  ผมก็ว่ามันแพงไป  ไม่คุ้มกับเงินลงทุนทั้งของผมเองและของคนที่จะมาลงทุนตามหลังผม  ผมก็เลยออกจากการลงทุนครับ  เพราะตอนนี้มันก็เสี่ยงมากแล้วสำหรับผลตอบแทนจากเงินปันผลเพียงแค่ 2-3 % ในหุ้นใหญ่ๆสภาพคล่องสูงๆ  แม้ว่าผมจะมีต้นทุนต่ำมากจากช่วงก่อนหน้านี้  แต่ลองสังเกตดีๆนะครับ  หุ้นช่วงนี้ผันผวนมาก  ไม่เหมือนช่วงก่อนนี้ที่เป็นขาขึ้น  ทำให้ตอนนี้สิ่งที่ทำให้ผมสนใจลงทุนก็คือการฝากเงินครับ  เนื่องจากความเสี่ยงต่ำและดอกเบี้ยยังเป็นขาขึ้นอยู่  หุ้นนั้นมันจะน่าสนใจก็ต่อเมื่อไม่มีคนสนใจครับ  ซึ่งนี่เป็นอาชีพของเงินของผม  ส่วนอาชีพของผมก็ขายข้าวมันไก่ครับ  ถ้าคนที่รู้เรื่องเงิน 4 ด้านก็จะรู้ว่า  อาชีพขายข้าวมันไก่นี้เป็นธุรกิจส่วนตัว  ซึ่งอยู่ด้านซ้ายของเงิน 4 ด้าน  ความหมายก็คือ  ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้เงินครับ  แต่ผมก็กำลังพยายามจะเป็นคนด้านขวาให้ได้ด้วยการศึกษาหาความรู้ใส่ตัวเยอะๆครับ  แต่การที่ผมทำธุรกิจส่วนตัวนี้ก็ยังดีกว่าการเป็นลูกจ้างนิดหน่อยตรงที่  เราสามารถควบคุมความเสี่ยงหลายๆเรื่องได้เช่น  ถ้าของราคาขึ้น  ผมก็สามารถขึ้นราคาเองได้ตามต้นทุน  ทำให้ผมยังคงมีกำไรอยู่ได้  ผิดกับลูกจ้างตรงที่ไม่สามารถขึ้นเงินเดือนได้เอง  และถ้าผมทำได้ดีมีช่องทาง  ผมอาจจะขยายสาขาเพื่อให้ระบบทำงานให้ผมครับ  ถ้าเป็นลูกจ้าง  การที่จะได้เงินเพิ่มหมายถึง  คุณต้องไปทำงานเพิ่มนอกเหนือเวลาทำงานปกติทำให้มีเวลาพักผ่อนน้อยลงครับ  และถ้าผมไม่อยากขายของแล้ว  ผมอาจจะยกกิจการให้ใครทำต่อก็ได้  ซึ่งก็ไม่เหมือนลูกจ้างอยู่ดี  เพราะถ้าลูกจ้างไม่อยากทำงานแล้ว  เขาจะยกตำแหน่งหน้าที่การงานให้ลูกเขาทำแทนได้หรือไม่  หรือบางที  ถ้าคนที่ผมรู้จักไม่มีใครเอากิจการต่อผมแล้ว  ผมก็อาจจะเซ้งไปเลย  ได้เงินก้อนมาอีกครับ  ซึ่งตรงนี้  ลูกจ้างเซ้งตำแหน่งไม่ได้เหมือนกัน

     ส่วนที่บอกว่าลองเล่นคลิกทูวินแล้วไม่เข้าใจนั้น  ผมว่าเป็นความโชคดีของคุณมาก  เพราะเล่นคลิกทูวินแล้ว  เหมือนกับเขาสอนให้เลือกม้าแข่งว่าตัวไหนจะเข้าวิน  คุณยังไม่รู้ถึงรากมันเลย  แล้วคุณจะรู้จักเลือกหุ้นได้อย่างไร  ผมว่าเขาสอนคนให้เล่นพนันเป็นมากกว่าครับ  ไม่รับผิดชอบต่อผู้ลงทุนเลย  หวังเพียงแค่ค่าคอมฯจากการซื้อขายเท่านั้น  ผมเคยดูข่าวช่องเศรษฐกิจแล้วพบว่า  ผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์  หน้าบานกันเป็นแถว  ถ้าอยากรู้ลึกๆแล้วล่ะก็  เราคงต้องมาติวเข้มกันสักหน่อย  ถ้าสนใจจริงๆล่ะก็  มานั่งคุยกันได้  แล้วเราค่อยนัดกันอีกทีนะครับ  และสำหรับเรื่องเงินมากเงินน้อยไม่สำคัญ  ถ้าเรา"เป็น"เงินมันก็เพิ่มได้ครับ  ลองอ่านประวัติผมดูก็ได้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: sencha ที่ วันที่ 14 พฤษภาคม 2011, 02:19:19
ผมเพิ่งได้มีโอกาสเข้ามาอ่านครับ เห็นคุยเรื่องหุ้น อยากศึกษาไว้ครับ อยากถามว่าหุ้นที่คุณวายุเล่นอยู่นี้เค้าเรียกว่าหุ้นแบบไหนครับ หุ้นปั่น หุ้นรายวัน หรืออะไรครับ เห็นคุยกันในกระทู้ว่าเล่นหุ้นปั่นอะไรเนี่ยมันเล่นยาก เสี่ยง ต้องตามติดข่าวสาร เลยสงสัยว่าหุ้นที่กำลังเล่นกันอยู่นี้เรียกว่าอะไรครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 15 พฤษภาคม 2011, 18:24:06
ตอบคุณ sencha
     อย่าบอกว่าผม"เล่น"เลยนะครับ  เพราะผมไม่ได้คิดจะเล่นมัน  เงินของผมมันมีไม่มากพอที่จะให้แบ่งไปเล่นได้  ผมจริงจังนะกับการลงทุนเนี่ย  เพราะถ้าเราเสีย  การสูญเสียนั้นมันเป็นของจริง  ถ้าเราลองเล่นเกมหุ้นดู  มันก็ไม่เหมือนของจริงอยู่ดี  เนื่องจากว่าความบีบคั้นและกดดันมันต่างกัน  เวลาเราเล่นเกม  แพ้ก็ตั้งกระดานใหม่  แต่ถ้าเราแพ้ในการลงทุนจริงๆ  เราจะไม่เหลืออะไรเลย  คุณทนได้ไหม  หากว่าเงินที่คุณสู้อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมาเป็นเวลาหลายปี  ต้องสูญสลายกลายเป็นควันไปในพริบตา  แล้วถ้ามันเกิดขึ้น  คุณจะทำยังไงกับชีวิต  เพราะฉะนั้นในทุกย่างก้าวของการลงทุน  เราต้องมั่นใจว่า  สิ่งที่เรากำลังจะลงทุนอยู่นี้  มีความเสี่ยงต่ำที่สุด  และได้ผลตอบแทนสูงที่สุดในบรรดาการลงทุนที่เรามีความรู้เกี่ยวกับมัน  ถ้าเราไม่เข้าใจมัน  เราอย่าเพิ่งลงทุนเลยครับ  เพราะถ้าทำแบบนั้น  มันไม่ต่างกับการเล่นพนันเลย  ศึกษาหาความรู้มากๆเข้าไว้  แล้วเราจะอยู่รอดปลอดภัยในถ้ำเสือครับ
     
     และที่ถามเรื่องหุ้นปั่น หุ้นรายวัน หรืออะไรพวกเนี้ย  มันการพนันทั้งนั้นครับ  ถ้าคุณชอบการพนัน  หุ้นพวกนี้เหมาะกับคุณ  แต่ถ้าคุณต้องการลงทุนผ่านตลาดหุ้น  ง่ายๆครับ  ใช้แค่สามัญสำนึกพื้นฐานก็พอแล้วเช่น  ถ้าหุ้นตัวหนึ่งปันผลปีละ 1 บาท  ราคาหุ้นอยู่ที่ 10 บาท  นั่นเท่ากับผลตอบแทน 10 % ต่อปี  ถ้าซื้อแล้วถือไว้ 10 ปี  คุณก็ได้เงินคุณคืนหมด  แล้วหลังจากนั้น  คุณก็จะได้เงินเข้ากระเป๋าฟรีๆทุกปี  คุณว่าเสี่ยงไหม?  แต่ถ้าหุ้นไม่เคยปันผลเลย  ราคาหุ้น 1 บาท  คุณว่าน่าซื้อไหม?  ถ้าอยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้  ลองลงทุนกับหนังสือดีๆสักเล่มครับ  มันถูกกว่าเสียหุ้นเป็นไหนๆ  ลองอ่านเหนือกว่าวอลสตรีทดูครับ  ถ้าสมองคุณเปิดแล้ว  คุณอาจจะอยากค้นหาต่อไปเรื่อยๆอีกก็ได้  เพราะปรมาจารย์ทางนี้มีหลายสไตล์  เราก็ศึกษาหลายๆคนดูว่า  สไตล์ไหนที่เหมาะกับเราครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: sencha ที่ วันที่ 15 พฤษภาคม 2011, 21:35:41
ขอโทษที่ใช้คำผิดครับ ไม่ใช่การเล่นหุ้น แต่เป็นการลงทุนใช่ปะครับ พอดีติดปากว่าเล่นหุ้น และขอใช้คำว่าเล่นหุ้นนะครับ สั้นดี คงไม่ถือสานะครับ คือผมมีคำถามดังนี้ครับ เป็นคำถามที่อาจฟังดูอนุบาลมาก เพราะไม่มีความรู้จริงๆ
1. หุ้นระยะยาวหมายถึง หุ้นปันผลใช่หรือไม่
2. หุ้นระยะยาวมีช่วงเวลาเท่าไรบ้าง  3 เดือน 6 เดือน 1 ปี 5 ปี 10 ปี
3. การขาดทุนของหุ้นปันผลหมายถึงอะไร หมายถึงการได้ปันผลน้อย หรือ หมายถึงการที่ต้องสูญเสียเงินที่เราลงทุนซื้อหุ้น อาจจะบางส่วนหรือทั้งหมด
4. (หุ้นปันผล) เปอร์เซ็นที่จะปันผลมีการกำหนดที่แน่นอนชัดเจนตั้งแต่ตอนซื้อหุ้นหรือเปล่าว่ากี่เปอร์เซ็น หรือไม่ได้กำหนดแน่นอน  แล้วถ้าไม่ได้กำหนด ขึ้นอยู่กับอะไรว่าจะได้ปันผลในเปอร์เซ็นมากหรือน้อย
5. ถ้าราคาหุ้นที่เราถืออยู่สูงขึ้น เราสามารถขายหุ้นเพื่อเก็งกำไรได้หรือไม่
6. หุ้นระยะสั้นหมายถึงหุ้นปั่นใช่หรือไม่

ขออภัยล่วงหน้าหากไม่เข้าใจคำถามนะครับ เพิ่งเริ่มศึกษาครับ คงยังลงทุนช่วงนี้ไม่ได้ เพราะเพิ่งเรียนจบ อาจจะต้องรอซักปี สองปี ฮ่าๆๆๆ พอดีได้บรรจุเป็นข้าราชการครู เลยอยากศึกษาวิธีการเพิ่มรายได้ให้กับเงินออมนอกเหนือจากการฝากธนาคาร ซึ่งผมสนใจเรื่องหุ้น กับ กองทุนรวมครับ อาจจะมีอย่างอื่นอีกแต่ผมไม่ทราบ ขอคำแนะนำด้วยนะครับ
ผมได้มีโอกาสอ่านประวัติของคุณ ประทับใจมากครับ   ที่จริงแล้วชีวิตผมก็ไม่ต่างอะไรกัน ผมเองเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่ ป.4 เติบโตมาในบ้านเด็กกำพร้า จนจบ ม.3 หลังจากนั้นก็ทำงานส่งตัวเองเรียนมาตลอด จนตอนนี้ผมเรียนจบ ปริญญาตรีแล้วครับ เพิ่งเรียนจบ และได้บรรจุเป็นข้าราชการครู ซึ่งหวังว่าตัวเองจะมีชีวิตที่ดีขึ้น และอยากมีส่วนรับผิดชอบดูแลพี่สาวกับพี่ชายที่ไม่ได้เรียนหนังสือ ให้มีชีวิตที่ดีขึ้นเช่นกัน   ขอบคุณที่สร้างแรงบันดาลใจผ่านชีวิตของคุณนะครับ คุณวายุ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวเริงปอย ที่ วันที่ 15 พฤษภาคม 2011, 22:56:14
แวะเอาข้อมูลนักลงทุนสำหรับมือใหม่มาให้อ่านครับ http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/limain2.html

พอร์ตเป็นไงบ้างคุณวายุ ไม่ได้ทักทายกันซะนานครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: เจ็บจุงเบย ที่ วันที่ 17 พฤษภาคม 2011, 10:19:57
ประกาศครับ!!!
     ใครอยากคุยเรื่องลงทุนกัน  เรามาคุยกันได้ครับ  ผมว่างทุกวันเสาร์  อยู่ในตัวเมืองเชียงรายนี่แหละ  บางทีการนั่งคุยกัน  มันจะได้สาระมากกว่า  เพราะการที่ผมลงข้อความให้อ่าน  มันเป็นการสื่อสารด้านเดียว  บางที  คุณๆอาจจะอยากถามบางเรื่องบางประเด็น  หรือไม่ค่อยมีเวลาเข้ามาอ่านข้อความ  หรือบางที  มีเวลามาอ่าน  แต่ผมยังไม่ได้มาอัพ  ก็อาจจะเซ็งอารมณ์กันไป  ตอนนี้ก็อยากเจอคนที่มีความชอบด้านเดียวกันบ้าง  ผมก็ไม่ได้ว่าตัวเองเก่งนะครับ  มีผู้รู้มาคุยกันก็ได้  ผมจะได้ถามไถ่เรื่องที่ผมไม่รู้บ้าง  และท่านอื่นๆจะได้มีความรู้พร้อมกันไปด้วย  เรามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันดีกว่า  แต่ผมยังไม่รู้ว่าจะนัดเจอกันที่ไหน  หรือจะเริ่มต้นยังไง  เอาเป็นว่า  ใครมีที่เหมาะๆที่จะนั่งคุยกัน  ก็แนะนำมาได้นะครับ  แล้วเดี๋ยวพอลงตัวแล้ว  ก็ค่อยนัดกันเป็นเรื่องเป็นราวอีกทีหนึ่ง  คุณคิดว่าเป็นไงบ้างครับ  ผมนี่คุยได้ทุกเรื่องนะครับ  ยกเว้นยืมเงิน...555  แล้วเวลาเจอหน้าอย่าตกใจนะครับ  เพราะใครๆเขาก็พูดว่า  หน้าผมเหมือนฟิล์ม(ถ่ายแล้วแต่ยังไม่ได้ล้าง)  ล้อเล่นนะครับ  แค่นี้ก่อนแล้วกัน  ขอบคุณที่สนใจเรื่องการลงทุนครับ
ส่วนตัวแล้วเรื่องการลงทุนผมชอบนะครับ แต่ผมไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ก็อยากได้ที่ปรึกษาเหมือนกัน ส่วนเรื่องเล่านิทานชายสองคนนั้นอั้นนี้ดูแล้ว ถ้าเป็นงานหรือธุรกิจที่เป็นการลงทุนจริงๆผมอยากให้ท่านช่วยเป็นที่ปรึกษาหน่อยนะครับ อยากได้ที่ปรึกษา แต่ถ้าเรื่องที่จะคุยนี้เป็นธุรกิจ MLM ผมยังไม่อยากคิดถึงเรื่องนี้ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 17 พฤษภาคม 2011, 13:12:26
ตราบใดที่คนยังไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ (ก็ต้องกินข้าวมันไก่ เย็นตาโฟ แตงโม สมโอ โห่เฮ่วกันต่อไป) หุ้นไม่มีขาลงครับ อย่าลืมว่าครอบครัวนึงจับปลามากินกับข้าวอย่างเดียวหรือเปล่า..? บ.จดทะเบียนในตลาดหลักทรับมีหลายร้อย บ. เลือกมาสัก 5 ก็น่าจะพอแล้ว ลองไปหาหนังสือ ดร.นิเวศน์ มาอ่าน เช่น ตีแตก เล่นหุ้นปีทอง ฯลฯ ที่แนะนำดู มันนี่แชนแนล ก็อยากให้ท่านๆ ได้รู้โอกาสในการจับปลา และโลกทัศน์จะได้กว้างๆ ครับ ผมคนนึงที่ไม่ค่อยได้จ้องพอร์ตตัวเอง...


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 17 พฤษภาคม 2011, 13:16:43
และตอนนี้ บ.ร่วมทุนจากญี่ปุนบุกไทยแล้วครับ ตั้งแต่โดนสึนามิ แล้วท่านๆ ทั้งหลายคิด ว่ากว่า 80 เปอร์ ของ GDP ในตลาดหุ้นไทย ไม่มีของญี่ปุ่นด้วยเหรอ ทำไม่ปี 40 ญี่ปุ่นถึงให้เงิน มิยาซาวา ไทยมาครับ คิดกว้างๆ ครับ...ปี 40 หุ้นไม่ได้ลงเท่าปีที่ผมเข้าตลาดครั้งแรก..ว่าแต่เปลี่ยนหัวแล้วนะครับท่านวายุ...


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 20 พฤษภาคม 2011, 16:14:56
     โอ้โห...ไม่ได้เข้ามาอ่านเสียนาน  ลูกค้าบานเบอะเลย  ตอนนี้ผมไม่ค่อยว่างครับ  เดี๋ยวผมจะเข้ามาตอบคำถามก็แล้วกันนะ  ใครที่ถามไว้รอก่อนนะครับ  วันนี้ผมมีสาระมาฝาก  เชิญอ่านตามอัธยาศัย  พอดีพิมพ์ไว้ที่บ้าน  แล้วค่อยๆมาทยอยลง  เพราะที่บ้านไม่ได้ติดเนตครับ  ส่วนที่ถามว่าขายของที่ไหน  ผมขายอยู่หน้าบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต  ก่อนถึงซอย 18 มิถุนาครับ  ขายเฉพาะตอนเย็น  หยุดทุกวันเสาร์ครับ

ซับไพร์ม
     ผมเพิ่งดู VCD เรื่อง INSIDE JOB จบ  เนื้อหาในนั้นบอกถึงวิกฤตที่ผ่านมาของสหรัฐว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร  สำหรับคนที่ชอบดูข่าวหรือสกู๊ป  เรื่องนี้เหมาะมากในการชม

มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
     สมัยก่อนเวลาเราไปกู้เงินเพื่อซื้อบ้านกับธนาคาร  ธนาคารจำเป็นต้องตรวจสอบลูกหนี้อย่างละเอียด  เนื่องจากว่าหนี้นั้นเป็นแบบระยะยาวหลายสิบปี  เขาจึงต้องแน่ใจว่าหนี้นั้นมีคุณภาพ  แต่เมื่อไม่นานมานี้  มีคนคิดนวัตกรรมใหม่ทางการเงินขึ้นมาใช้  ซึ่งพวกเขาไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงนั้นไว้เอง  กล่าวคือ
ลูกหนี้ไปขอกู้เงินจาก-----ธนาคาร
ธนาคารนำเอาลูกหนี้อย่างพวกเราไปขายต่อให้-----วาณิชธนกิจ
และวาณิชธนกิจก็เอาหนี้ของพวกเราไปแปลงเป็นตราสารที่เรียกว่า CDO นำออกขายให้กับ-----นักลงทุนทั่วโลก
ซึ่งวาณิชธนกิจเหล่านั้นก็เอาเงินไปจ้าง-----บริษัทจัดเรตติ้งเพื่อประเมินตราสารเหล่านั้นว่าน่าสนใจลงทุน

     เมื่อลูกหนี้ชำระเงินค่าผ่อนบ้าน  เงินนั้นจะถูกส่งต่อไปยังผู้ซื้อตราสารนั้น  นั่นเท่ากับว่า  นักลงทุนที่ซื้อตราสารเหล่านั้นไว้เป็นคนแบกรับความเสี่ยงแทนธนาคาร  เมื่อธนาคารไม่ต้องรับความเสี่ยงเอง  ธนาคารเหล่านั้นก็เลยปล่อยกู้โดยไม่ต้องคัดกรองผู้กู้อีกต่อไป  แต่เน้นไปที่ปริมาณโดยไม่ต้องดูคุณภาพเลย  มันจึงทำให้  ใครต่อใครก็สามารถกู้เงินเพื่อซื้อบ้านได้  ส่วนวาณิชธนกิจก็ไม่ได้สนใจเหมือนกัน  เพราะถ้าขายตราสารได้มาก  เขาก็กำไรมากขึ้น

AIG
     แล้ว AIG ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ AIA เกี่ยวอะไรด้วย?  เกี่ยวแน่...เพราะว่า AIG รับทำประกันให้กับตราสารด้อยคุณภาพพวกนั้น  กล่าวคือ  เมื่อผู้ลงทุนเห็นว่าการซื้อตราสาร CDO เหล่านั้นเป็นความเสี่ยง  พวกเขาก็เลยทำประกันไว้กับ AIG โดยหากว่าถ้าตราสารเหล่านั้นเสียหาย  AIG จะจ่ายเงินให้กับคนที่ทำประกันไว้  แต่มันไม่เหมือนประกันภัยแบบทั่วไป  เพราะผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้สามารถซื้อประกันตราสารของผู้อื่นได้ด้วย  กล่าวคือ  ในการประกันภัยทั่วไป  เราจะสามารถประกันในสิ่งที่เป็นของตัวเองเท่านั้น  แต่การประกัน CDO ผู้อื่นสามารถซื้อของเราได้ด้วย  หรือเราสามารถซื้อของคนอื่นได้เหมือนกัน  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าเรามีบ้าน 1 หลัง  เราก็ทำประกันไฟไหม้บ้านของเราไว้  แต่ทีนี้  คนอื่นก็ดันมาซื้อประกันไฟไหม้บ้านของเราด้วยเช่นกัน  หากมีคนสัก 50 คนมาซื้อประกันของบ้านเรา  แล้วถ้าบ้านเราเกิดไฟไหม้ขึ้นมา AIG ก็ต้องจ่ายมากเป็นเงาตามตัว  เมื่อเป็นเช่นนี้  พอตราสาร CDO เสีย  AIG ก็เลยเดือดร้อน

วิธีการทำ
     เนื่องจากตราสารเหล่านั้น  ออกโดยพวกวาณิชธนกิจหลายเจ้า  ซึ่งแต่ละเจ้าก็รู้ว่ามันเป็นหนี้เน่า  พวกเขาขายตราสารเหล่านั้นให้กับลูกค้า  แค่คัวเองดันไปทำประกันไว้อีกทางหนึ่ง  ซึ่งหลายๆบริษัทก็พากันทำตาม  และได้ทำประกันความเสี่ยงแบบเดียวกันนี้กับตราสารซึ่งออกโดยวาณิชธนกิจเจ้าอื่นด้วย  เมื่อตราสารเหล่านั้นล้มเหลว  บรรดาลูกค้าของพวกวาณิชธนกิจทั้งหลายหมดตัว  แต่ตัวของผู้ออกตราสารเหล่านั้นซึ่งก็คือพวกวาณิชธนกิจทั้งหลายได้เงินกันถ้วนหน้าจากการทำประกันความเสี่ยงเอาไว้  การกระทำแบบนี้ชั่วร้ายมาก  เนื่องจากว่าไม่สนใจคนที่ต้องได้รับความเดือดร้อนจากการซื้อหนี้เน่าที่พวกเขาทำมันออกมาขายเลย

ตลาดพัง
     ปี 2008 อัตราการยึดบ้านของสหรัฐสูงลิบลิ่ว  เนื่องจากคนที่กู้เงินซื้อบ้านไม่มีคุณภาพในการชำระเงิน  แล้วห่วงโซ่ของการทำประกันก็พังลง  ธนาคารต่างๆขายผู้กู้ให้กับวาณิชธนกิจอีกไม่ได้แล้ว  เมื่อเงินกู้เริ่มเสีย  ธนาคารหลายแห่งก็เริ่มพังพินาศจนเป็นโดมิโน่  และเหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือ  เมื่อยึดบ้านมาได้แล้ว  ธนาคารก็เอาบ้านเหล่านั้นไปขายต่อในราคาถูก  ซึ่งเป็นผลทำให้บ้านต่างๆในละแวกใกล้เคียงราคาลดต่ำลงไปด้วย  มันจึงทำให้ระบบการเงินเสียไปทั้งระบบ  นี่คือสาเหตุที่ว่า  ไม่มีการคัดกรองผู้กู้ตั้งแต่ตอนแรกนั่นเอง  เมื่อตลาดพัง  คนที่ทำประกันไว้ก็ควรจะได้เงิน  แต่จำนวนเงินนั้น  มันมากมายมหาศาลจนบริษัทรับทำประกันไม่มีจะจ่าย  จนทำท่าจะเจ๊งอยู่รอมร่อ  รัฐบาลสหรัฐจึงต้องเข้ามาช่วยอุ้มไว้เพื่อไม่ให้ประเทศล่มจมโดยการพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นมา  แล้วนำไปให้บริษัทประกันเอาไปจ่ายให้กับผู้ทำประกัน  ส่วนพวกวาณิชธนกิจทั้งหลายก็ถือตราสารเน่าๆกับบ้านที่ขายไม่ออกไว้เป็นจำนวนมากหลายแสนล้าน

     เมื่ออ่านจบแล้วท่านทั้งหลายรู้สึกอย่างไรบ้างครับ  สำหรับผมแล้ว  มันเป็นเรื่องที่ไร้จรรยาบรรณ  ไม่มีสำนึก  ขาดความรับผิดชอบ  เห็นแก่ตัว  และชั่วร้ายที่สุดเลยทีเดียว  มันไม่สนใจเลยว่าคนอื่นจะเดือดร้อนขนาดไหน  จะหมดตัวหรือเป็นหนี้ไปเท่าไหร่  มันได้คนเดียวก็พอ  ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้  ไม่มีคนติดคุกแม้แต่คนเดียว !!!


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 21 พฤษภาคม 2011, 19:00:49
ตอบคุณ บ่าวเริงปอย
     ช่วงนี้ผมขายหุ้นไปหมดแล้วครับ  ถึงแม้ว่าผมจะมั่นใจในหุ้น 7-11 มากก็ตาม  แต่ผมไม่ไว้ใจตลาดว่ามันจะพังเมื่อไหร่  เพราะตอนนี้ราคาหุ้นก็หืดจับแล้วครับ  ฝรั่งก็ไม่ไล่ราคาแล้ว  ขอออกไปดูข้างสนามก่อนดีกว่าครับ  ถ้าตลาดพังเมื่อไหร่ค่อยเจอกัน  ตอนนี้ตุนเงินไว้มากๆ  เวลาหุ้นตกหนักๆจะได้มีเงินไว้ช๊อปปิ้ง  โดยส่วนตัวแล้วผมประเมินว่า  ถ้าหุ้นจะขึ้น  มันก็คงจะค่อยๆขึ้นไปตามพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัว  คงจะไม่หวือหวาเหมือนช่วงที่เราเข้ากันแล้ว  แต่ถ้ามีเหตุการณ์อะไรรุนแรง  หุ้นก็คงตกหนักน่าดู  เพราะตอนนี้มองไปในตลาด  อะไรก็แพงไปหมด  ขอเอาเงินไปฝากแล้วนอนหลับให้สบายๆดีกว่าครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 21 พฤษภาคม 2011, 19:01:58
ตอบคุณ sencha
     ผมขอตอบคำถามเป็นข้อๆดังนี้ครับ  เมื่ออ่านแล้วก็ใช้วิจารณญาณด้วยก็ดี  เพราะบางทีอาจมีความคิดเห็นส่วนตัวของผมลงไปผสมกับหลักการบ้าง

1.หุ้นระยะยาวหมายถึง หุ้นปันผลใช่หรือไม่.....  มีทั้งใช่และไม่ใช่ครับ  ถ้าพูดถึงระยะเวลาในการถือหุ้นนั้นๆ  นั่นมันเป็นความพอใจของตัวผู้ลงทุนเองต่างหากว่า  เขาต้องการถือหุ้นนั้นนานขนาดไหน  ซึ่งถ้าเราต้องการหุ้นปันผลจริงๆ  เราก็ต้องสืบประวัติของหุ้นตัวนั้นๆก่อนเข้าลงทุนว่า  มีนโยบายปันผลกี่เปอร์เซ็นต์ของกำไร  และที่ผ่านๆมาเขาทำได้จริงไหม  ถ้าอยากรู้รายละเอียด  ผมแนะนำว่าให้เข้าเว็ป
www.set.or.th
แล้วเข้าไปดูข้อมูลรายหลักทรัพย์ครับว่า  หุ้นแต่ละตัวมีนโยบายปันผลอย่างไร

2. หุ้นระยะยาวมีช่วงเวลาเท่าไรบ้าง  3 เดือน 6 เดือน 1 ปี 5 ปี 10 ปี.....  อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้ลงทุนอีกนั่นแหละครับว่า  เขาพอใจจะถือนานแค่ไหน  บางคนเขาอาจจะไฮเปอร์มาก  อยู่เฉยๆไม่ได้  เขาก็อาจจะถือสั้นหน่อย  แต่ถ้าให้ผมแนะนำแล้ว  การถือยาวจะใช้ไม่ได้ผล  หากหุ้นนั้นไม่มีการเติบโตในอนาคต  ซ้ำร้ายกว่านั้น  ถ้าบริษัทที่คุณไปลงทุนไม่เติบโตไม่พอ  แต่ยังมีผลดำเนินงานขาดทุนไปเรื่อยๆ  ราคาของหุ้นนั้นก็จะลดลงไปเรื่อยๆตามพื้นฐานของมันครับ  และจังหวะเข้าซื้อก็มีส่วนสำคัญ  เพราะถึงแม้ว่าเราจะตั้งธงไว้ว่าจะถือยาวไปสัก 10 ปี  แต่ถ้าจังหวะที่คุณเข้าไปซื้อนั้น  ราคามันเป็นยอดดอยแล้ว  ผลตอบแทนต่อราคาหุ้นก็น้อยนิด  ถ้าเป็นอย่างนี้  ถึงจะทนถือหุ้นนานขนาดไหนก็ยังอึดอัดครับ  ยกตัวอย่างเช่น  คุณเจอหุ้นตัวหนึ่งดีมาก  ปันผลปีละ 1 บาท  แต่ราคาที่คุณเข้าไปซื้อคือ 40 บาท  ถ้ามันไม่มีการเติบโตและไม่มีคู่แข่งมาทำให้กำไรลดลง  คุณต้องถือหุ้นไป 40 ปีถึงจะคืนทุน  หงำเหงือกกันพอดี  ยกหุ้นให้ลูกถือต่อได้เลยครับ  แต่ถ้ามันมีการเติบโตแล้ว  ถึงแม้ว่าคุณจะเข้าซื้อแพงไปบ้างแต่ถ้าปันผลมันเพิ่มขึ้นทุกปีก็น่าสนครับเช่น  ราคาหุ้นที่ซื้อ 40 บาท  ปีแรกปัน 1 บาท  และปีต่อๆไปปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ราคาหุ้นก็จะวิ่งตามปันผลขึ้นไปเองครับ  อันนี้แม้ว่าเราจะซื้อแพงไปหน่อย  แต่เราก็ถือยาวได้ครับ

3.การขาดทุนของหุ้นปันผลหมายถึงอะไร.....  อันนี้ผมก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน  เอาไว้รอให้มีผู้รู้ท่านอื่นมาตอบนะครับ

4. (หุ้นปันผล) เปอร์เซ็นที่จะปันผลมีการกำหนดที่แน่นอนชัดเจนตั้งแต่ตอนซื้อหุ้นหรือเปล่าว่ากี่เปอร์เซ็น หรือไม่ได้กำหนดแน่นอน  แล้วถ้าไม่ได้กำหนด ขึ้นอยู่กับอะไรว่าจะได้ปันผลในเปอร์เซ็นมากหรือน้อย....  ต้องบอกก่อนว่าเปอร์เซ็นในที่นี้หมายถึง  เปอร์เซ็นในส่วนของกำไรในธุรกิจเขานะครับ  ไม่ใช่ในส่วนของราคาที่เราเข้าซื้อ  เพราะหุ้นที่เราซื้อขายกันนั้น  มันเป็นความพอใจของนักลงทุนด้วยกันเอง  ไม่เกี่ยวกับบริษัท  เปอร์เซ็นที่เขากำหนดว่าจะจ่ายเช่น  50 เปอร์เซ็นของกำไร  ถ้าปีนี้เขากำไร 2 บาทต่อหุ้น  เขาก็จะจ่ายปันผลออกมาหุ้นละ 1 บาท  ถ้าเราอยากได้ปันผลเป็นเปอร์เซ็นต่อราคาหุ้นมากๆ  เราก็ต้องเข้าซื้อตอนที่ราคาหุ้นต่ำๆครับ  ส่วนนโยบายปันผลนี้เขาจะกำหนดแน่นอนตั้งแต่ต้นเลย  แต่ก็อาจจะมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ได้ปันผลมากขึ้นหรือน้อยลงก็ได้ครับ  เราต้องติดตามข่าวสารของบริษัทด้วย  ยกตัวอย่างเช่น  ช่วงนั้นบริษัทแอดวานซ์จะต้องเก็บเงินไว้ประมูล 3 G  พอดีมีการล้มประมูลเกิดขึ้น  บริษัทก็เลยเอาเงินที่เตรียมไว้มาจ่ายเป็นปันผลพิเศษ  ทำให้ได้ปันผลมากกว่าปกติครับ  ส่วนที่ถามว่าขึ้นอยู่กับอะไรว่าจะได้ปันผลในเปอร์เซ็นมากหรือน้อย  อันนี้ขอตอบว่า  ผลกำไรจากการดำเนินธุรกิจครับ  ถ้าเราเลือกบริษัทที่สามารถทำกำไรได้ดี  มีนโยบายจ่ายปันผลสูง  เราก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดีครับ

5.ถ้าราคาหุ้นที่เราถืออยู่สูงขึ้น เราสามารถขายหุ้นเพื่อเก็งกำไรได้หรือไม่.....  ได้ครับ  อันนี้มันก็อยู่ที่ความพอใจของเรา  แต่การที่เรามีหุ้นแล้วขายออกไป  เขาเรียกว่าทำกำไรครับ  ไม่ใช่เก็งกำไร

6.หุ้นระยะสั้นหมายถึงหุ้นปั่นใช่หรือไม่.....  จริงๆแล้วการถือสั้นหรือยาวนั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวหุ้น  แต่เป็นอุปนิสัยของผู้ลงทุนมากกว่า  เพราะบางทีหุ้นที่น่าจะถือยาว  เขากลับมาเล่นแบบซื้อๆขายๆระยะสั้นไป  ทำให้ต้องเสียค่าคอมมากโดยใช่เหตุ  ถ้าเล่นอย่างนี้นานๆเข้า  คุณจะเป็นบุคคลที่โบรกให้ความเอ็นดูเป็นพิเศษครับ  บางครั้งการที่หุ้นนั้นกลายเป็นหุ้นระยะสั้นก็เนื่องจากว่า  มันทำธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเช่นน้ำมัน  ราคาน้ำมันรายวันก็จะมีผลต่อราคาหุ้นได้ครับ  หรือบางครั้ง  ก็เป็นหุ้นที่มีข่าวออกมาเช่น  ช่วงก่อนหน้านี้มีเรื่องการประมูล 3 G  หุ้นกลุ่มสื่อสารก็วิ่งขึ้นวิ่งลงกันอยู่  โดยเขาพากันเก็งว่า  ใครจะได้ใบอนุญาตไป

     ส่วนเรื่องที่คุณสนใจกองทุนรวมนั้นมันก็ไม่ผิดหรอกครับ  ถ้าคุณไม่มีความรู้ในการลงทุน  เราก็ควรปล่อยให้มืออาชีพจัดการไป  แต่โดยส่วนตัวแล้วผมว่า  สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ “ความเป็นนักลงทุน”  มากกว่าสิ่งที่เราลงทุนไปครับ  และที่สำคัญ  กองทุนรวมนั้นเก็บค่าบริหารกองทุนตลอดเวลา  ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน  เพราะกองทุนนั้น  ตีกรอบความรับผิดชอบไว้ว่า  จะพยายามทำให้ราคาหุ้นขึ้นมากกว่าตลาดในช่วงขาขึ้น  และจะทำให้ลดลงน้อยกว่าตลาดในช่วงขาลง  ไม่มีกองทุนไหนกล้ารับประกันเลยว่าจะไม่ขาดทุน  และทุกครั้งที่เราทำธุรกรรมซื้อขาย  เราก็จะถูกค่าคอมกินอีกต่อหนึ่งด้วย  ถ้าเราสามารถจัดการเองได้  ค่าใช้จ่ายทางด้านนี้ก็จะประหยัดลงไปครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 21 พฤษภาคม 2011, 19:03:06
ตอบคุณ  Temujin
     ที่ท่านแนะนำให้ดูช่องการเงินนั่นก็ถูกของท่านนะครับ  เพราะถ้าเราอยากจะทำอาหารเป็น  เราก็ควรดูช่องสอนทำอาหารถูกต้องไหมครับ  แต่เวลาเราดูช่องการเงิน  ก็ควรใช้วิจารณญาณด้วย  เพราะกว่าที่จะมาเป็นข่าวออกทางหน้าจอได้  ข่าวนั้นก็ผ่านคนรับรู้มาไม่รู้กี่คนแล้ว  พอมาถึงเราก็อาจจะช้าเกินไปที่จะลงมือก็ได้  เพราะฉะนั้น  ต้องเลือกที่จะเชื่อครับ  และที่ท่านบอกว่าไม่ค่อยได้จ้องพอร์ตตัวเองนั้น  ผมว่านั่นก็ถูกนะครับ  เราควรจับจ้องที่พื้นฐานธุรกิจของบริษัทที่เราลงทุนอยู่มากกว่า  แต่พูดก็พูดเถอะ  ผมก็ชอบมองพอร์ตตัวเองบ่อยๆเหมือนกันเวลาที่ได้กำไร  แต่ผมชอบดูให้มันครึ้มใจเล่นอย่างนั้นเองแหละครับ

     บางทีท่านชอบอ้างถึงบัฟเฟตว่าเขาก็ไม่ดูพอร์ตตัวเองเหมือนกัน  อันนี้ผมว่ามันคนละแบบกันครับ  ที่เขาไม่มองก็เพราะว่าเขาไม่คิดจะขายมัน  เปรียบเหมือนกับว่า  ผมคงไม่อยากรู้ราคาบ้านที่ผมอยู่หรอกครับว่ามันราคาเท่าไหร่ถ้าเรายังไม่คิดจะขายมัน

     ส่วนข้อที่ว่า...ทำไมปี 40 ญี่ปุ่นถึงให้เงินมิยาซาวาไทยมา  พอดีตอนนั้นผมยังไม่ได้สนใจเศรษฐกิจเลย  ถ้ายังไงรบกวนท่านช่วยพิมพ์บอกความรู้อันนี้แบบละเอียดให้ผมอ่านหน่อยก็ดีครับ  ผมก็อยากรู้เหมือนกัน  ส่วนเรื่องว่าแต่เปลี่ยนหัวแล้วนะครับท่านวายุ...  อันนี้ผมงงมาก  ไม่เข้าใจ  ช่วยอธิบายหน่อยนะครับ  ขอบคุณท่านเตมูยินมาก  อีกหน่อยท่านก็จะเป็นเจงกีสข่านแล้ว

     และที่ท่านบอกในกระทู้ 237 ว่า “หุ้นไม่มีขาลง” นั้น  ผมเข้าใจว่าท่านคงจะไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของหุ้นก็เป็นได้  เพราะช่วงก่อนเห็นท่านเชียร์ forex อยู่  เนื่องจาก forex เล่นกันที่ตลาดเงิน  เอาเป็นว่า  ถ้าท่านติดตามเรื่องการลงทุนมานาน  ท่านจะตอบเหตุการณ์ที่เกิดกับตลาดหุ้นในปี 40 และวิกฤตซับไพร์มว่าอย่างไรครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 21 พฤษภาคม 2011, 19:59:10
ถ้าวิเคราะห์ขาดครับหุ้นไม่มีขาลง ลองไปหาหนังสือเล่นหุ้นปีทองของ ดร.นิเวศน์มาอ่านครับ ส่วนปี 40 ที่ผมว่าเรื่อง มิยาซาวา ที่ญีปุ่นเอาเงินมาช่วยไทยเพื่อที่จะให้คนไทยมีเงินไปซื้อ คูโบต้า ยามาฮ่า ฮอนด้า โตโยต้า โซนี่ พานาฯ ฯลฯ กลัวไม่มีเงินกลับประเทศครับ อย่าลืมประเทศไทยเป็นหนึ่งใน GDP ญีปุ่นด้วย ไทยโตเค้าก็โตด้วย แต่ปัจจุบันได้ผันมาเป็นกองทุนหมู่บ้านแล้ว หมู่ฯละกี่ล้านไปแล้วล่ะ ขรก.ท้องถิ่นขึ้นที 100 เปอร์ ขรก.ประจำอีก ใหนจะค่าแรงที่จ่อจะขึ้นอีก ถึงแม้พี่เจ จะโดนซึนามิ ถ้าได้ติดตามข่าว BOI บอกว่าพี่เจ ไม่ได้ลดเงินที่ลงทุนในไทย กลับเพิ่ม...ก็ให้วิเคราะห์ต่อว่าแต่ละท่านจะเข็นตัวใหนเข้าพอร์ต...ครับ..ถ้า อเมริกาก็แย่ ยุโรปก็อ่วม เอเชียยังแย่อีก ผมว่ามันเลวร้ายที่สุดแล้วครับ...


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 21 พฤษภาคม 2011, 21:33:03
และญี่ปุ่นประกาศกร้าวเลยว่า ถ้าเศรษฐกิจไทยล่มเหมือนปี ๔๐ เขาจะยื่นมือเข้ามาอุ้มก่อน...ผมก็ว่าจริงครับ ผมไปมาแล้วหลายนิคมอุตสาหกรรมในประเทศนี้ ของพี่เจ เกินครึ่งครับ พี่เจไปแทรกอยู่เกือบทุก GDP ของหลายประเทศครับ อย่างสมมติว่าไทยโต ๖ คิดหรือว่าเป็นของพี่ไทยทั้งหมด ผมเชื่อในศักยภาพพี่เจครับ ขนาดโดนสึนามิ ค่าเงินยังแข็งเลย ไม่รู้ไปขนมาจากไหน...อย่างเยอะเลย... ตอนนี้สินค้าเกษตรก็แพง อะไรก็ขึ้น ก็วิเคราะห์กันไปครับ เลือกมาสัก ๕ ตัวก็พอแล้วครับ...ตอบเรื่อง Forex  บ้าง ในตลาดนี้มันไม่ได้มีแต่ค่าเงิน อย่างเดียวครับ มันมีอย่างอื่นด้วย ผมสามารถเล่น เงิน หรือทองได้ในเงินที่ต่ำ ๆ ครับ ค่อยศึกษาครับ เอาเรื่องหุ้นให้รอดก่อน... ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 22 พฤษภาคม 2011, 16:12:09
ไปหน้ากับถอยหลัง
     ความเป็นจริงแล้วผลตอบแทนที่ได้จากหุ้นจะไม่เหมือนกับที่ได้จากการฝากเงินหรือการลงทุนอย่างอื่น  แต่โดยส่วนมากเวลาที่เราจะลงทุน  เรามักจะเอาหุ้นและการฝากเงินมาเปรียบเทียบกัน  โดยคำนวณว่า  อย่างไหนผลตอบแทนมากกว่า  ซึ่งอันนี้ผมก็อยากอธิบายสักเล็กน้อยถึงความแตกต่างนั้น

     การลงทุนในหุ้นแบบมีปันผลจะได้ผลตอบแทนแบบถอยหลัง  กล่าวคือ  ตอนแรกเราควักเงินลงทุนไปก่อนเป็นก้อนใหญ่  ซึ่งเวลามีปันผลออกมาในแต่ละปี  มันก็จะค่อยๆถอยหลังกลับมาหาต้นทุนของเราเรื่อยๆ  เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี  ปันผลที่เราได้รับมาก็หักกลบลบต้นทุนที่เราได้ควักออกไปตั้งแต่ตอนแรกหมด  หลังจากนั้น  เงินปันผลที่จะได้รับในปีต่อๆไป  ก็จะเป็นผลตอบแทนที่แท้จริงจากเงินลงทุนของเราครับ

     ส่วนการฝากเงินนั้น  เป็นผลตอบแทนแบบไปข้างหน้า  ถ้าเราฝากเงินไว้ครบปี  พอสิ้นปีมีดอกมาให้  ถ้าเราถอนออกมา  พอขึ้นปีหน้าก็ต้องนับหนึ่งใหม่  แต่ถ้าเราไม่ถอนออกมา  ปล่อยให้มันทบต้นไปเรื่อยๆ  เงินมันก็จะโตไปเรื่อยๆเช่น  ฝากเงินไว้ 100 บาท  อัตราดอกเบี้ย 5 % ต่อปี  พอถึงสิ้นปีแรก  เราก็จะมีเงินในธนาคารอยู่ 105 บาท  ถ้าเราถอน 5 บาทออกมา  ต้นมันก็จะเหลือ 100 บาทอย่างเดิม  เมื่อถึงสิ้นปีที่สอง  เราก็จะมีเงิน 105 บาทเหมือนกับปีแรก  แต่ถ้าเราไม่ถอนมันออกมาเลย  ในปีแรกเราจะมีเงิน 105 บาท  แต่พอปีที่สอง เราจะได้ดอกเบี้ยของ 5 บาทนั้นด้วย  กลายเป็นว่า  แทนที่จะได้ดอก 5 บาท  กลับกลายเป็นเราจะได้ดอกในปีที่สอง 5 บาทกว่าๆ  เมื่อปล่อยให้เงินมันทบต้นไปเรื่อยๆ  เงินมันก็จะพอกพูนขึ้นมากกว่าครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 22 พฤษภาคม 2011, 17:40:29
สำหรับท่านที่ฝากเงินครับ อย่าลืมว่าสถาบันคุ้มครองเงินฝากจะลดการคุ้มครองลงแล้วนะครับ ต่อให้บางธนาคารบอกว่า รัฐบาลเป็นประกันก็เหอะ (แต่ผมก็คงไม่มีเงินฝากเท่านั้นหรอก  ;D ) และถ้าดอกเบี้ยที่ท่านฝากชนะเงินเฟ้อหลายเปอร์ฯ ก็อย่าลืมแนะนำผม ผมก็จะฝากครับ แต่นี่ไม่ใช่ครับ ผลิตภัณท์ทางการเงินมีเยอะครับที่ได้ผลตอบแทนแล้วชนะเงินเฟ้อ แนะนำดู มันนี่แชนแนล ต่อครับ.. ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2011, 15:18:31
     อยากให้ท่านเตมูยินช่วยอธิบายเนื้อหาในหนังสือเล่นหุ้นปีทองของ ดร.นิเวศน์ ให้ทราบหน่อยครับว่า  ทำไมจึงบอกว่าหุ้นไม่มีขาลง  พอดีคาใจมากจริงๆ  จะได้เป็นความรู้ให้กับผมและท่านอื่นๆด้วย  เพราะคำที่ใช้กันมานานแล้วก็คือ ขาขึ้นขาลง  กระทิงและหมี  ในเมื่อมีคำที่เขาใช้อ้างอิงอธิบายสถานการณ์ในภาวะอย่างนั้นได้  ทำไม่ในหนังสือที่ท่านอ่านจึงบอกไม่มี  ขอบคุณครับสำหรับความรู้ที่จะนำมาบอกกล่าว


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2011, 15:40:33
ถ้าวิเคราะห์อย่าง ดร.นิเวศน์ ครับ... ยอมรับว่าท่านรู้รอบจริง ๆ อยากให้คนที่ลงทุนในหุ้นคิดและวิเคราะห์เหมือนท่านครับ แนวคิดนี้ที่ทำให้ ผอ.โรงพยาบาล หนองกี่ (ถ้าจำไม่ผิด ปัจจุปันเป็น ประทานนักลงทุนหุ้น VI แทน ดร.นิเวศน์) ส่วนหมี หรือกระทิงคือแนวโน้มตลาด ว่ามันคึกคักหรือซบเทรา มากกว่านะสำหรับผม... ;D ผมไม่อยากให้ทุกท่านกลัวตลาดครับ มีบางท่านว่าตอนนี้ขาลง ผมเคยแนะนำท่านนึงไป เค้าบอกว่าตอนนี้มันขึ้นมาสูงแล้ว รอมันเท่านั้นเท่านี้ก่อน ณ ปัจจุบันผมก็ยังไม่เห็น แต่อย่าลืมเวลาและโอกาสมันไม่หยุดรอใครครับ ผมอยากให้ทุกท่านคิดว่ามันเป็นโอกาส แต่ทุกท่านต้องจำกัดความเสี่ยงก่อน ตามที่ผมแนะนำไปในกระทู้ผมครับ...


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2011, 21:41:03
ตอบคุณ inhermood
     คงต้องรอสักพักครับ  จ้าวยุทธจักรมีหลายท่าน  แต่ละท่านก็มีประสบการณ์แตกต่างกันไป  เอาไว้เดี๋ยวค่อยไปนัดท่านเตมูยินกับท่านคิวปิดด้วยดีกว่า  ว่าจะหลอกล้วงท่านทั้งสองสักหน่อย  เหอ เหอ  ไม่แน่วันอาทิตย์หน้าอาจจะว่างครับ  เดี๋ยวอาจจะนัดอีกที
อันนี้ผมขอปฏิเสธล่วงหน้าเลยนะครับ ผมก็ยังเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ครับ ถ้าคิดว่าข้อมูลผมมีประโยชน์ก็จะวนเวียนอยู่ในบอร์ดนี้แหละครับ มีพี่ที่ดูแลบอร์ดบางท่านก็เป็นนักลงทุนในหุ้นเหมือนกันครับ ส่วนตัวผม.... เป็นลูกจ้างเขางานหลาย เจ้านายเขาด่า ทางอออกคือหลอย....เว็บนี้ครับ... ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Cupid ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2011, 23:18:05
ตอบคุณ inhermood
     คงต้องรอสักพักครับ  จ้าวยุทธจักรมีหลายท่าน  แต่ละท่านก็มีประสบการณ์แตกต่างกันไป  เอาไว้เดี๋ยวค่อยไปนัดท่านเตมูยินกับท่านคิวปิดด้วยดีกว่า  ว่าจะหลอกล้วงท่านทั้งสองสักหน่อย  เหอ เหอ  ไม่แน่วันอาทิตย์หน้าอาจจะว่างครับ  เดี๋ยวอาจจะนัดอีกที
อันนี้ผมขอปฏิเสธล่วงหน้าเลยนะครับ ผมก็ยังเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ครับ ถ้าคิดว่าข้อมูลผมมีประโยชน์ก็จะวนเวียนอยู่ในบอร์ดนี้แหละครับ มีพี่ที่ดูแลบอร์ดบางท่านก็เป็นนักลงทุนในหุ้นเหมือนกันครับ ส่วนตัวผม.... เป็นลูกจ้างเขางานหลาย เจ้านายเขาด่า ทางอออกคือหลอย....เว็บนี้ครับ... ;D

    สำหรับผม ด้วยความยินดีครับ เพราะสิ่งที่เรียนรู้ และรับรู้จากห้องค้า (ใน กทม.) หลายอย่างนำเสนอสู่สาธารณชนไม่ได้
    บางอย่างก็เรียบเรียงเป็นตัวหนังสือค่อนข้างยาก
   
    ว่าแต่จะมีเวลาว่างตรงกันเมื่อใดเท่านั้น และถ้าเป็นไปได้ก็อยากทำความรู้จักทั้งท่านวายุและท่านเตฯด้วยครับ

    ขอส่วนตัวนิดนึง เสียดายที่ท่านวายุขายข้าวมันไก่รอบเย็น ถ้าขายกลางวันผมคงไปอุดหนุนนานแล้ว (ผมงดมื้อเย็นมาหลายปีแล้วครับ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2011, 00:21:01
เงินเดือนกะหนัก กินแห๋มน้อย อย่างนี้คุณพี่จะเก็บเงินไว้ที่ใหน วันอาทิตย์ผมไม่หยุด แต่ผมหยุดทุกวันพฤหัสครับ... ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Cupid ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2011, 06:24:52
เงินเดือนกะหนัก กินแห๋มน้อย อย่างนี้คุณพี่จะเก็บเงินไว้ที่ใหน วันอาทิตย์ผมไม่หยุด แต่ผมหยุดทุกวันพฤหัสครับ... ;D

ถ้าได้เจอกันแล้วจะรู้  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2011, 15:55:04
ตอบคุณ BC COMPUTER(ฮักบ้านดู่) และ focus_lis
     ถ้าอยากรู้รายละเอียดมากๆถามที่โบรกเกอร์ได้ครับ  เพราะเรากำลังจะไปเป็นลูกค้า  เขาคงจะตอบคำถามได้เป็นอย่างดี  ส่วนของผม  คงจำทำได้แค่แนะนำในด้านการลงทุนเท่านั้นครับ  เพราะรายละเอียดบางเรื่อง  ผมอาจจะไม่รู้ก็ได้  ขอบคุณที่สนใจการลงทุนครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 25 พฤษภาคม 2011, 16:10:46
ตลาดนัดVSตลาดหุ้น
     เชื่อว่ามีใครหลายคนเคยประสบเหตุการณ์แบบกระอักกระอ่วนใจในการไปซื้อของที่ตลาดนัดมาแล้วไม่บ้างก็น้อย  กล่าวคือ  เวลาเราไปเดินหาซื้อเสื้อสักตัวหนึ่ง  ก็พอดีว่าเดินไปไม่นานเท่าไหร่ก็เจอเสื้อแบบที่เราต้องการ  เสื้อนั้นเนื้อดีสีสวยถูกใจเรามาก  จนเราคิดในใจว่าถ้าไม่รีบซื้ออาจมีคนอื่นมาสอยไปก่อนเรา  คิดได้ดังนั้นเราก็ปรี่เข้าไปทันที  เสื้อบอกราคาไว้ 199  ในใจเราบอกว่าต้องต่อเสียหน่อยเผื่อได้ถูกอีกนิด  แต่จนแล้วจนรอดเจ้าของร้านก็ไม่ลดให้  พอดีมีคนเข้าร้านมาเหมือนกัน  ในใจคิดว่าช้าหมดอดแน่  ก็เลยยอมควักเงินซื้อในทันที  เมื่อออกมานอกร้านแล้ว  รู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมากเพราะได้ของถูกใจ  แต่พอเดินไปสักพักนึงก็ไปเจออีกร้าน  ร้านนี้ก็มีเสื้อแบบเดียวกับของเราเป๊ะเลย  แต่ที่ไม่เหมือนคือ  ราคา 150 เท่านั้น...ราคาถูกโดยไม่ต้องต่อ  จากอารมณ์ดีกลายเป็นอารมณ์บูดทันที  แล้วก็คิดแค้นใจตัวเองเป็นอย่างมากว่าไม่น่าใจเร็วด่วนได้เลย  น่าจะลองเดินสำรวจให้รอบๆก่อนว่าตรงไหนขายถูกกว่าแล้วค่อยซื้อ  จากที่ต้องการเสื้อตัวนั้นกลับกลายเป็นไม่ค่อยเต็มใจนัก  แต่ในเมื่อซื้อมาแล้วก็ต้องแบกมันกลับบ้านไปพร้อมกับความขมขื่น

     เรื่องนี้บอกอะไรแก่เรา?  ผมดูแล้วตลาดนัดก็คล้ายๆกับตลาดหุ้น  มันเป็นที่ซื้อขายสินค้าต่างๆ  มีคนอยากซื้อ  แล้วก็มีคนอยากขาย  ถ้าเราเจอหุ้นตัวหนึ่งซึ่งวิเคราะห์แล้วว่าดีมากๆ  แต่ราคาในตอนนั้นมันแพงอยู่  ถ้าเราอยากได้มันมากๆ  เราก็อาจจะซื้อมัน  นั่นเพราะว่าในตลาดหุ้นตอนนั้นมีแต่คนแย่งกันซื้อ  แต่ถ้าเรามีความสุขุมเพียงพอ  เราก็อาจจะปล่อยให้คนอื่นซื้อกันไปก่อน  เพราะเมื่ออารมณ์เริ่มจาง  เหตุผลจะเข้ามาแทนที่  แล้วคนที่ไล่ซื้อของแพงกันอยู่ก็เริ่มจะรู้ตัวว่า  ราคาแพงขนาดนี้ซื้อมาได้ไงเนี่ย  จากนั้นก็จะคอยสอดส่ายสายตาว่า  มีใครกำลังจะขายหรือยัง  เพราะต่างคนก็ต่างรู้ว่า  ราคาหุ้นตอนนี้แพงมากๆ  เมื่อมีคนเริ่มเทขาย  คนที่อ่อนไหวก็จะเริ่มทำตามเพราะไม่อยากได้มันแล้ว  ส่วนคนที่คิดว่า  ไหนๆก็ซื้อมาแล้ว  ก็แต้องแบกหุ้นนั้นกลับบ้านไปพร้อมกับความขมขื่นเหมือนเสื้อที่ซื้อมาจากตลาดนัดนั่นเอง


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Cupid ที่ วันที่ 28 พฤษภาคม 2011, 17:14:07
ตลาดนัดVSตลาดหุ้น
     เชื่อว่ามีใครหลายคนเคยประสบเหตุการณ์แบบกระอักกระอ่วนใจในการไปซื้อของที่ตลาดนัดมาแล้วไม่บ้างก็น้อย  กล่าวคือ  เวลาเราไปเดินหาซื้อเสื้อสักตัวหนึ่ง  ก็พอดีว่าเดินไปไม่นานเท่าไหร่ก็เจอเสื้อแบบที่เราต้องการ  เสื้อนั้นเนื้อดีสีสวยถูกใจเรามาก  จนเราคิดในใจว่าถ้าไม่รีบซื้ออาจมีคนอื่นมาสอยไปก่อนเรา  คิดได้ดังนั้นเราก็ปรี่เข้าไปทันที  เสื้อบอกราคาไว้ 199  ในใจเราบอกว่าต้องต่อเสียหน่อยเผื่อได้ถูกอีกนิด  แต่จนแล้วจนรอดเจ้าของร้านก็ไม่ลดให้  พอดีมีคนเข้าร้านมาเหมือนกัน  ในใจคิดว่าช้าหมดอดแน่  ก็เลยยอมควักเงินซื้อในทันที  เมื่อออกมานอกร้านแล้ว  รู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมากเพราะได้ของถูกใจ  แต่พอเดินไปสักพักนึงก็ไปเจออีกร้าน  ร้านนี้ก็มีเสื้อแบบเดียวกับของเราเป๊ะเลย  แต่ที่ไม่เหมือนคือ  ราคา 150 เท่านั้น...ราคาถูกโดยไม่ต้องต่อ  จากอารมณ์ดีกลายเป็นอารมณ์บูดทันที  แล้วก็คิดแค้นใจตัวเองเป็นอย่างมากว่าไม่น่าใจเร็วด่วนได้เลย  น่าจะลองเดินสำรวจให้รอบๆก่อนว่าตรงไหนขายถูกกว่าแล้วค่อยซื้อ  จากที่ต้องการเสื้อตัวนั้นกลับกลายเป็นไม่ค่อยเต็มใจนัก  แต่ในเมื่อซื้อมาแล้วก็ต้องแบกมันกลับบ้านไปพร้อมกับความขมขื่น

     เรื่องนี้บอกอะไรแก่เรา?  ผมดูแล้วตลาดนัดก็คล้ายๆกับตลาดหุ้น  มันเป็นที่ซื้อขายสินค้าต่างๆ  มีคนอยากซื้อ  แล้วก็มีคนอยากขาย  ถ้าเราเจอหุ้นตัวหนึ่งซึ่งวิเคราะห์แล้วว่าดีมากๆ  แต่ราคาในตอนนั้นมันแพงอยู่  ถ้าเราอยากได้มันมากๆ  เราก็อาจจะซื้อมัน  นั่นเพราะว่าในตลาดหุ้นตอนนั้นมีแต่คนแย่งกันซื้อ  แต่ถ้าเรามีความสุขุมเพียงพอ  เราก็อาจจะปล่อยให้คนอื่นซื้อกันไปก่อน  เพราะเมื่ออารมณ์เริ่มจาง  เหตุผลจะเข้ามาแทนที่  แล้วคนที่ไล่ซื้อของแพงกันอยู่ก็เริ่มจะรู้ตัวว่า  ราคาแพงขนาดนี้ซื้อมาได้ไงเนี่ย  จากนั้นก็จะคอยสอดส่ายสายตาว่า  มีใครกำลังจะขายหรือยัง  เพราะต่างคนก็ต่างรู้ว่า  ราคาหุ้นตอนนี้แพงมากๆ  เมื่อมีคนเริ่มเทขาย  คนที่อ่อนไหวก็จะเริ่มทำตามเพราะไม่อยากได้มันแล้ว  ส่วนคนที่คิดว่า  ไหนๆก็ซื้อมาแล้ว  ก็แต้องแบกหุ้นนั้นกลับบ้านไปพร้อมกับความขมขื่นเหมือนเสื้อที่ซื้อมาจากตลาดนัดนั่นเอง

ท่านที่จะซื้อสินค้า หรือซื้อหุ้น ลองอ่านข้อความข้างบนนี้หลายๆครั้ง จะเห็นว่า ไม่ควร อยากได้ และไม่ต้องกลัวว่า จะไม่ได้ เพราะถ้าอยากได้ จะได้ของแพง
และตามอุทธาหรณ์ของ จขกท นี้ เกิดกับผมซ้ำซาก ทั้งการซื้อสินค้าในตลาด และการซื้อหุ้น จึงเรียนได้เลยว่า
อุทธาหรณ์นี้  แทงใจดำ จริงๆครับ... ;)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 28 พฤษภาคม 2011, 21:54:25
เล็กๆน้อยๆสำหรับผู้สนใจการลงทุน
ลอกเขามา  ;D

.....ทหารหาญกล้า ไม่ดุร้ายใจดำ
.....นักสู้ฝีมือดี ไม่วู่วามต่ำช้า
.....ผู้พิชิตที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใส่ใจในเรื่องใดไม่สำคัญ
.....นักค้าหุ้นที่ประสพความสำเร็จไ ม่คิดหวังแต่กำไร......  ;D

อันสุดท้ายผม งง ไม่หวังกำไรแล้วหวังไรหนอ หวังปันผล เรอะ  ใครช่วยขยายความหน่อย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 29 พฤษภาคม 2011, 16:48:19
ตอบท่านเปา
     ด้วยมันสมองอันน้อยนิดของผมตีความได้ว่า  การจะคิดหวังแต่กำไรโดยไม่ดูว่ามีสิทธิ์จะขาดทุนด้วยนั้น  เหมือนการทำศึกโดยประมาท  ซุนวูกล่าวไว้ว่า  "รู้เขารู้เรา  ร้อยศึกร้อยชัย"  เพราะฉะนั้นแล้ว  ถ้าหวังจะซื้อถูกขายแพงเพียงอย่างเดียว  โดยไม่มีการประเมินก่อนว่า  ตอนนี้แพงไปหรือยัง  ถ้าซื้อแล้วมันตกลงมาจะทำอย่างไร  อันนี้เขาสอนให้เราระวังตัวด้วยครับ  แต่โดยส่วนตัวแล้วผมว่า  เป็นธรรมดาของนักรบที่ต้องมีบาดแผลครับ  แต่ตัวกระผมนี่  แผลเป็นเยอะเอาเรื่องเหมือนกันครับ  เหอ เหอ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 29 พฤษภาคม 2011, 18:04:40
     วันนี้มาแนะนำหุ้นให้น้องๆที่กำลังจะลงทุน  แต่อย่าเอ็ดไปนะ  เดี๋ยวขาใหญ่รู้มาแย่งเราซื้อหมด  หุ้นนั้นคือ CPALL

http://www.set.or.th/set/companyrights.do?symbol=CPALL&language=th&country=TH

อันนี้เป็นเงินปันผล  เวลาปันผลเขาจะขึ้นเครื่องหมาย XD  สังเกต  ปันเพิ่มทุกปี

http://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=CPALL&language=th&country=TH

ส่วนอันนี้ข้อมูลทางการเงิน  ดูสินทรัพย์  เพิ่มทุกปีจากอสังหาริมทรัพย์และอื่นๆ  มันก็เลยทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น  ดูที่กำไร...เพิ่มขึ้นทุกปีจากสาขาที่เพิ่มขึ้นและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ  อย่าสนใจ PE มากนัก  เพราะกำไรเพิ่มตลอดเวลา  เมื่อกำไรเพิ่ม  ราคาหุ้นจะเพิ่มตาม  และเงินปันผลจะเพิ่มด้วยครับ  ซื้อหุ้นดี  นอนหลับสบาย  ไม่รู้จะผิดกฏหมายหรือเปล่าน๊า.......


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: vee48 ที่ วันที่ 29 พฤษภาคม 2011, 20:50:17
     วันนี้มาแนะนำหุ้นให้น้องๆที่กำลังจะลงทุน  แต่อย่าเอ็ดไปนะ  เดี๋ยวขาใหญ่รู้มาแย่งเราซื้อหมด  หุ้นนั้นคือ CPALL

http://www.set.or.th/set/companyrights.do?symbol=CPALL&language=th&country=TH

อันนี้เป็นเงินปันผล  เวลาปันผลเขาจะขึ้นเครื่องหมาย XD  สังเกต  ปันเพิ่มทุกปี

http://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=CPALL&language=th&country=TH

ส่วนอันนี้ข้อมูลทางการเงิน  ดูสินทรัพย์  เพิ่มทุกปีจากอสังหาริมทรัพย์และอื่นๆ  มันก็เลยทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น  ดูที่กำไร...เพิ่มขึ้นทุกปีจากสาขาที่เพิ่มขึ้นและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ  อย่าสนใจ PE มากนัก  เพราะกำไรเพิ่มตลอดเวลา  เมื่อกำไรเพิ่ม  ราคาหุ้นจะเพิ่มตาม  และเงินปันผลจะเพิ่มด้วยครับ  ซื้อหุ้นดี  นอนหลับสบาย  ไม่รู้จะผิดกฏหมายหรือเปล่าน๊า.......
เล็งไว้นานแล้วค่ะ ไม่ได้เข้าซักที ลังเลๆ แล้วเค้าก็ไป ปล่อยเราตกรถตลอด เห็นคุณวายุบอกรอเก็บที่ 45 ขออนุญาติรอตามแล้วกัน  ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 30 พฤษภาคม 2011, 12:49:58
     วันนี้มาแนะนำหุ้นให้น้องๆที่กำลังจะลงทุน  แต่อย่าเอ็ดไปนะ  เดี๋ยวขาใหญ่รู้มาแย่งเราซื้อหมด  หุ้นนั้นคือ CPALL

http://www.set.or.th/set/companyrights.do?symbol=CPALL&language=th&country=TH

อันนี้เป็นเงินปันผล  เวลาปันผลเขาจะขึ้นเครื่องหมาย XD  สังเกต  ปันเพิ่มทุกปี

http://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=CPALL&language=th&country=TH

ส่วนอันนี้ข้อมูลทางการเงิน  ดูสินทรัพย์  เพิ่มทุกปีจากอสังหาริมทรัพย์และอื่นๆ  มันก็เลยทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น  ดูที่กำไร...เพิ่มขึ้นทุกปีจากสาขาที่เพิ่มขึ้นและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ  อย่าสนใจ PE มากนัก  เพราะกำไรเพิ่มตลอดเวลา  เมื่อกำไรเพิ่ม  ราคาหุ้นจะเพิ่มตาม  และเงินปันผลจะเพิ่มด้วยครับ  ซื้อหุ้นดี  นอนหลับสบาย  ไม่รู้จะผิดกฏหมายหรือเปล่าน๊า.......
บ่ผิดดอกเด้อ เพราะข้อมูลหุ้นล้วนแล้วแต่หาอ่านได้อย่างเสรี ใครมีข่าวข้อมูลใดก็สามารถเอามาแนะนำบอกต่อกันได้ โตๆกันแล้ว เรื่องแบบนี้อยู่ที่การตัดสินใจ กำไรขาดทุนมันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างทั้งที่คาดการณ์ได้และไม่สามารถคาดการณ์ได้ เช่นเกิดสงคราม ภัยพิบัติ เศรษฐกิจโลก ฯลฯ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 30 พฤษภาคม 2011, 12:56:16
    วันนี้มาแนะนำหุ้นให้น้องๆที่กำลังจะลงทุน  แต่อย่าเอ็ดไปนะ  เดี๋ยวขาใหญ่รู้มาแย่งเราซื้อหมด  หุ้นนั้นคือ CPALL

http://www.set.or.th/set/companyrights.do?symbol=CPALL&language=th&country=TH

อันนี้เป็นเงินปันผล  เวลาปันผลเขาจะขึ้นเครื่องหมาย XD  สังเกต  ปันเพิ่มทุกปี

http://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=CPALL&language=th&country=TH

ส่วนอันนี้ข้อมูลทางการเงิน  ดูสินทรัพย์  เพิ่มทุกปีจากอสังหาริมทรัพย์และอื่นๆ  มันก็เลยทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น  ดูที่กำไร...เพิ่มขึ้นทุกปีจากสาขาที่เพิ่มขึ้นและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ  อย่าสนใจ PE มากนัก  เพราะกำไรเพิ่มตลอดเวลา  เมื่อกำไรเพิ่ม  ราคาหุ้นจะเพิ่มตาม  และเงินปันผลจะเพิ่มด้วยครับ  ซื้อหุ้นดี  นอนหลับสบาย  ไม่รู้จะผิดกฏหมายหรือเปล่าน๊า.......
เล็งไว้นานแล้วค่ะ ไม่ได้เข้าซักที ลังเลๆ แล้วเค้าก็ไป ปล่อยเราตกรถตลอด เห็นคุณวายุบอกรอเก็บที่ 45 ขออนุญาติรอตามแล้วกัน  ;D ;D
ตัวนี้ที่จริงคนที่ติดตามน่าจะซื้อลุ้นตั้งแต่ 40 กว่านิดๆ แล้วล่ะ ตอนนี้ขึ้นมา 45.25 ถ้าลดไม่ต่ำกว่า 44 แนวโน้มก้น่าจะได้ลุ้น

BLAND   เผยผลงานงวดปี 54(สิ้นสุด 31 มี.ค. 54)กำไรเพิ่มเป็น 789.54 ลบ. จากช่วงเดียว
กันของปีก่อนกำไร 528.65 ลบ.

         สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อย (F45-3)
                   บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน)(BLAND)

                                     (หน่วย : พันบาท)
งบการเงินรวม               
                                     ประจำปี
                                     ตรวจสอบ
       สิ้นสุดวันที่                31 มีนาคม
             ปี                 2554         2553
  กำไร (ขาดทุน) สุทธิ         789,547      528,654
  กำไร (ขาดทุน) สุทธิ            0.04         0.03
     ต่อหุ้น (บาท)   


งบการเงินเฉพาะกิจการ            
                                     ประจำปี
                                     ตรวจสอบ
       สิ้นสุดวันที่                31 มีนาคม
             ปี                 2554         2553
  กำไร (ขาดทุน) สุทธิ       (857,923)      442,573
  กำไร (ขาดทุน) สุทธิ          (0.05)         0.02
     ต่อหุ้น (บาท)   


LHK เผยQ1/54 กำไรเพิ่มเป็น 139.11ลบ. จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 101.27
ลบ.


         สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อย (F45-3)
                 บริษัท โลหะกิจ เม็ททอล จำกัด (มหาชน)(LHK)

                                     (หน่วย : พันบาท)
งบการเงินรวม               
                                     ประจำปี
                                     ตรวจสอบ
       สิ้นสุดวันที่                31 มีนาคม
             ปี                 2554         2553
  กำไร (ขาดทุน) สุทธิ         139,111      101,272
  กำไร (ขาดทุน) สุทธิ            0.43         0.32
     ต่อหุ้น (บาท)   


งบการเงินเฉพาะกิจการ            
                                     ประจำปี
                                     ตรวจสอบ
       สิ้นสุดวันที่                31 มีนาคม
             ปี                 2554         2553
  กำไร (ขาดทุน) สุทธิ          90,063       74,591
  กำไร (ขาดทุน) สุทธิ            0.28         0.23
     ต่อหุ้น (บาท)   


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: hotvalue ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2011, 11:34:12
สนใจซุปเปอร์สต๊อกค่ะ  ช่วยอธิบายด้วยค่ะ ว่าต้องทำยังไงบ้าง


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: vee48 ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2011, 12:46:22
คุณพี่ซาลาเปา เล่นมาใบ้หวยซะขนาดนี้ อิอิ  ;D ::) ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2011, 15:40:04
สนใจซุปเปอร์สต๊อกค่ะ  ช่วยอธิบายด้วยค่ะ ว่าต้องทำยังไงบ้าง
Posted on January 31, 2010 by ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ Value Investor            

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

Value Investor ในเมืองไทยส่วนใหญ่นั้นนับถือและยกย่อง วอเร็น บัฟเฟตต์  แต่น้อยคนที่จะทำตามวิธีการลงทุนของเขาที่เน้นการลงทุนในหุ้นของกิจการที่ดีสุดยอดในราคาที่ยุติธรรมหรือที่เรียกกันว่า  Super Stock  เหตุผลคงเป็นว่า  ข้อแรก  Value Investor ในตลาดหุ้นไทยนั้นค่อนข้างจะเน้นในเรื่องของ “ราคา” ซึ่งเป็นพื้นฐานดั้งเดิมของการลงทุนแบบ Value Investment ที่เสนอโดย เบน เกรแฮม  ในขณะที่  “คุณภาพ” ของกิจการนั้น  นักลงทุนคิดว่าเป็น  “ตัวประกอบ”  พูดง่าย ๆ  ถ้าราคาหุ้น “ไม่ผ่าน”   ก็ไม่ต้องดูว่าคุณภาพเป็นอย่างไร   ข้อสอง  เหตุที่นักลงทุนไม่ชอบลงทุนในหุ้น Super Stock  นั้น  เพราะไม่รู้ว่าหุ้นตัวไหนเป็นหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยม  ถ้าจะว่าไป  หลายคนก็ยังสงสัยว่าในเมืองไทยนั้นมีหุ้นที่เรียกได้ว่าเป็น Super Stock  แบบในสหรัฐอเมริกาจริง ๆ  หรือเปล่า   และสุดท้ายก็คือ  Value Investor อาจจะคิดว่า  การหาหุ้นถูกซื้อแล้วขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นขึ้นแล้วก็เปลี่ยนไปหาหุ้นถูกตัวใหม่น่าจะสร้างผลตอบแทนดีกว่าการซื้อหุ้น Super Stock  แล้วถือยาวแบบ บัฟเฟตต์

ผมคงไม่ถกเถียงว่าการลงแนวไหนจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากัน  แต่จะพยายามตอบคำถามว่าจะมองหาหุ้นที่เรียกว่า Super Stock อย่างไร  และต่อไปนี้คือคุณสมบัติที่ Super Stock  มักจะเป็นหรือมีอยู่

ข้อแรก  Super Stock  จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า  Durable Competitive Advantage (DCA) หรือการได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน  และความได้เปรียบนี้เป็นเรื่องของโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก  โดยแหล่งของความได้เปรียบใหญ่ ๆ  อยู่ที่เรื่องของชื่อยี่ห้อที่โดดเด่น  และเรื่องของต้นทุนสินค้าที่ต่ำกว่าเนื่องจากกิจการมีขนาดที่เหมาะสมหรือมีขนาดที่ใหญ่กว่าคู่แข่งมากโดยที่คู่แข่งไม่สามารถหรือไม่ประสงค์ที่จะเพิ่มขนาดของกิจการเพื่อให้มีต้นทุนเท่าเทียมได้  เรื่องของ DCA นี้  บ่อยครั้ง  นักลงทุนอาจจะวิเคราะห์ผิด  เอา  “ความได้เปรียบชั่วคราว”  มาเป็นความได้เปรียบที่ “ยั่งยืน”

ข้อสอง   หุ้นสุดยอดนั้น  จะต้องอยู่ในช่วงของ  Virtuous Circle  หรือ “วงจรแห่งความรุ่งเรือง”  นั่นก็คือ  ในกระบวนการเติบโตของบริษัทนั้น   ทำให้บริษัทได้เปรียบคู่แข่งมากขึ้นไปอีก  เช่นต้นทุนลดลงไปอีก  ในเวลาเดียวกัน  สินค้าและบริการกลับดีขึ้นและช่วยเร่งการเติบโตของยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้น  เป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อย ๆ

ข้อสาม Super Stock  นั้นจะต้องมีศักยภาพสูงมาก  นั่นคือ  ตลาดของสินค้าหรือบริการจะต้องใหญ่มาก  และบริษัทอยู่ในสถานะที่จะ “ยึดครอง” ตลาดนั้นได้  พูดง่าย ๆ  เราสามารถมองคร่าว ๆ  ได้ว่าในอนาคตระยะยาว  บริษัทน่าจะสามารถมียอดขายได้ค่อนข้างสูงกว่าปัจจุบันมาก  และยอดขายนั้นจะทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นเป็นทวีคูณ

ข้อสี่   การเติบโตของบริษัทที่ผ่านมานั้นน่าประทับใจเป็นเลขสองหลัก  คือมากกว่า 10% เกือบทุกปี โดยที่ยอดขายไม่เคยลดลงเลยแม้ในยามที่เศรษฐกิจซบเซาหรือเกิดวิกฤติ เช่นเดียวกัน  กำไรของบริษัทก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ในอัตราใกล้เคียงกับยอดขายหรือดีกว่า

ข้อห้า   บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานดีมาก  กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงในหลักเกิน 15-20% ต่อปี โดยที่ไม่ได้ก่อหนี้กับสถาบันการเงินมากนัก  หนี้ที่มีอยู่สามารถชดใช้ได้ด้วยกำไรจากการดำเนินงานไม่เกิน 5 ปี

ข้อหก   บริษัทมี  Cash From Operation หรือเงินสดที่ได้จากการทำธุรกิจดีมาก  และเมื่อบริษัทจะขยายงานก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนมากนักเทียบกับยอดขายหรือกำไรที่จะได้รับจากการลงทุนใหม่นั้น

ข้อเจ็ด  ผู้บริหารมักจะ  “เก่ง” และได้รับการกล่าวขวัญถึงมาก  พนักงานของบริษัทมักจะ “ดี” และมี “ความสุข” เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นทั่ว ๆ  ไป

ข้อแปด  หุ้น  Super Stock นั้น  มักจะไม่เคยมีราคา  “ถูก” ยกเว้นในบางช่วงบางตอนที่บริษัทอาจประสบปัญหาบางอย่างที่ร้ายแรงหรือในช่วงที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ   ค่า PE ของ Super Stock ในระดับ 20 เท่า นั้นเป็นเรื่องธรรมดาและไม่ถือว่าแพงเมื่อเทียบกับศักยภาพของกิจการในอนาคต  และนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ Value Investor จำนวนมากหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นสุดยอด  เพราะเขาเคยชินกับการลงทุนในหุ้นที่มี PE ไม่เกิน 10 เท่า

ทั้งหมดนั้นก็เป็นคุณสมบัติหลัก ๆ ของ Super Stock   แน่นอนใน Super Stock  เองก็มี“ดีกรี” ที่ไม่เท่ากัน  บางบริษัทอาจจะดีกว่าอีกบริษัทหนึ่ง   และที่ชัดเจนก็คือ  บริษัทในประเทศไทยนั้นไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบได้กับ Super Stock  ในอเมริกาซึ่งมีศักยภาพคลุมไปทั้งโลก  อย่างไรก็ตาม  มูลค่าของกิจการหรือ Market Cap. ของบริษัทในอเมริกาก็ใหญ่จนเทียบไม่ได้กับบริษัทไทย  ดังนั้น  เวลาพูดถึง Super Stock ในตลาดหุ้นไทยเราก็ต้องเข้าใจว่าเป็นบริษัทระดับไหน

Value Investor หลายคนอาจจะไม่สนใจที่จะลงทุนในหุ้น Super Stock  แต่การเรียนรู้เรื่องของ  “คุณสมบัติ” ของบริษัทนั้นก็เป็นประโยชน์ไม่น้อยในการที่จะช่วยเป็น  “ตัวประกอบ”  ในการเลือกหุ้นลงทุน  นั่นก็คือ  หลังจากพบหุ้นที่  “ราคาถูก”  เข้าเกณฑ์ที่จะซื้อแล้ว  ก็ควรดูถึงคุณสมบัติว่าบริษัทน่าจะอยู่ในระดับไหน  ถ้าทำได้แบบนี้  ราคาก็จะไม่ใช่เงื่อนไขเดียวที่จะซื้อ  สิ่งที่ถูกต้องมากกว่าอาจจะเป็นว่า  ไม่ได้ซื้อหุ้นที่ราคาถูกที่สุด  แต่เป็นราคาถูกมากเมื่อเทียบกับคุณสมบัติของบริษัท


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2011, 15:56:21
ท่านวายุและเพื่อนๆคิดว่ามีตัวไหนเข้าข่าย super stock มั่ง
หลักๆน่าจะอยู่ในกลุ่มพลังงานและธนาคาร น่ะว่าม่ะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2011, 16:03:40
ตอบน้องhotvalue
     ที่ถามว่าต้องทำยังไง  อันดับแรกเลยก็คือ  รีบไปเปิดบัญชีซื้อขายก่อนครับ  แล้วหลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกที  เหอ เหอ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2011, 16:04:13
ตอบท่านเปา
     อย่างที่ผมแนะนำไว้ครับ  ตอนนี้ราคา 44.50 ผมตอดเก็บแล้วบางส่วน  ถ้าลงอีกก็ซื้ออีก


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2011, 16:06:34
ตอบท่านเปา
     อย่างที่ผมแนะนำไว้ครับ  ตอนนี้ราคา 44.50 ผมตอดเก็บแล้วบางส่วน  ถ้าลงอีกก็ซื้ออีก
ครับ  ท่านวายุชอบตัวนี้เป็นพิเศษ  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2011, 16:09:16
ตอนนี้กำลังจ้องอยู่  มีใครกำลังจะทำอะไรโง่ๆอยู่หรือเปล่า(ยืมท่านบัฟเฟตมาใช้)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2011, 16:10:20
ตอนนี้กำลังจ้องอยู่  มีใครกำลังจะทำอะไรโง่ๆอยู่หรือเปล่า(ยืมท่านบัฟเฟตมาใช้)
ขยายความด้วยครับ  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2011, 16:20:34
ก็ขายกิจการที่ดีในราคาถูกน่ะครับ  เนื่องจากความกลัวเข้าครอบงำ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2011, 16:26:18
ก็ขายกิจการที่ดีในราคาถูกน่ะครับ  เนื่องจากความกลัวเข้าครอบงำ
พูดถึงตัวนี้ถ้ามันหลุด 44 ลงมาก็ยังไม่น่าห่วง เพราะอย่างน้อยราคา 40 ยังเป็นปราการรองรับอีกชั้นหนึ่ง เพียงแต่อาจทำให้ความร้อนแรงชลอไป ว่าม่ะ ท่านวายุ เพราะขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 แล้ว อิอิ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2011, 16:29:58
ตอนแรกก็กะว่าจะรอแถว 40 นั้นแหละครับ  ไม่รู้คุณ Velcome ได้ซื้อเป็นเพื่อนกันหรือยังน๊า  วันนี้ปิด 44.50


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2011, 16:51:50
LHK มาดีมาก ปิด 3.40 เอาเป็นว่าต่อนี้ไปไม่โดนทุบต่ำกว่า 3.36 ได้ลุ้นยาวแน่ ภาวนา  ;D กลุ่มเหล็กพร้อมหน้าพร้อมตามากันหลายเน้อ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2011, 16:54:21
คุณทำประกันแล้วหรือยัง?
     การลงทุนในหุ้น  ปกติแล้วไม่มีบริษัทไหนรับทำประกันความเสียหายให้คุณหรอก  แล้วผมถามทำไม?  ประเด็นก็คือ  เวลาเราขับขี่รถ  เราใช้ชีวิต  หรือเราไม่อยากให้บ้านของเราต้องเสี่ยงกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน  เราก็ควรทำประกันใช่ไหม  แล้วทำไมเมื่อเราลงทุนแล้ว  เราจึงไม่มีการทำประกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นล่ะ  นั่นเป็นเพราะว่าไม่มีใครที่กล้ารับทำประกันมัน  แล้วเราควรทำอย่างไร?  คำตอบก็คือ  เราก็ควรทำประกันคืนเงินให้ตัวเอง  เพราะการที่เราลงทุนในหุ้นก็เนื่องจากว่า  เราต้องการเงินใช่หรือไม่  แล้วถ้าเราซื้อหุ้นแล้ว  หุ้นนั้นมันดันตกลงมา  แล้วเราจะได้เงินคืนได้อย่างไร  ตรงนี้ผมจะเริ่มด้วยกฎข้อที่หนึ่งของการประกันคือ  “คุณไม่สามารถซื้อประกันในเวลาที่คุณต้องการได้”  แล้วเราต้องซื้อมันเมื่อไหร่?  ก็ก่อนที่คุณจะต้องการมันน่ะสิ   เพราะฉะนั้นแล้ว  ก่อนที่เราจะลงทุนในหุ้นทุกครั้ง  เราต้องมั่นใจว่า  เราได้มีการทำประกันคืนเงินให้ตัวเองไว้ด้วย  ในกรณีที่หุ้นนั้นไม่เป็นอย่างที่ใจเราต้องการ  แต่ผมก็ไม่ได้หมายถึงการประกันโดยซื้ออนุพันธ์หรอกนะ  เพราะถึงแม้ว่าคนขายอนุพันธ์จะออกมาบอกว่า  อนุพันธ์นั้นเป็นการประกันความสูญเสียอย่างหนึ่ง  แต่โดยส่วนตัวแล้ว  นั่นไม่ใช่การทำประกัน  เพราะถ้าเราทำประกันจริงๆ  เราจ่ายเบี้ยครั้งเดียวเราก็จะได้รับการประกันไปจนกรมธรรม์นั้นหมดอายุ  แต่ถ้าเราประกันโดยใช้อนุพันธ์แล้ว  ถ้าตลาดเป็นไปในทิศตรงกันข้ามกับที่เราเลือกเอาไว้  เราก็จะโดนเรียกเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นอีก  เช่น  ผมซื้อหุ้นไว้ตัวหนึ่ง  แต่ผมไม่มั่นใจว่าตลาดจะตกลงไปไหม  ผมก็เลยช๊อตอนุพันธ์ไว้(เลือกว่าตลาดจะลง)  แต่เมื่อหุ้นพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง  ผมได้กำไรจากหุ้นมา  แต่ผมก็ต้องนำเงินที่ได้จากหุ้นนั้นไปเติมเป็นหลักประกันให้กับอนุพันธ์ที่ผมทำไว้เนื่องจากผมเลือกอนุพันธ์ผิดทาง  ซึ่งดูๆไปแล้วการทำแบบนี้  ผมไม่ได้อะไรเลย  แม้ว่าหุ้นมันจะขึ้นก็ตาม  ซึ่งผมว่ามันผิดหลักของการประกันโดยทั่วไป  แต่การประกันคืนเงินแบบง่ายๆก็คือ  เลือกหุ้นที่มีปันผลไว้ก่อน  เพราะถ้าหุ้นไม่เป็นไปอย่างใจเราแล้ว  เราก็ยังได้เงินคืนมาบางส่วน  เป็นรางวัลปลอบใจเล็กๆน้อยๆ  เพื่อเป็นน้ำเลี้ยงไม่ให้เหี่ยวแห้ง  และมีเรี่ยวแรงพอที่จะมีชีวิตอยู่รอให้หุ้นที่เราซื้อไว้ขึ้นในรอบหน้า  ผมเคยเห็นคนซื้อหุ้นหลายคนแล้ว  เวลาซื้อหุ้นไม่ได้ศึกษาอะไรไว้ก่อนเลย  พอหุ้นตกขายไม่ทัน  ก็ค่อยมาถามทีหลังว่ามีปันผลไหม  ซึ่งการเล่นแบบนี้มันผิดวิธีไปหน่อยครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: vee48 ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2011, 21:47:01
ตอนแรกก็กะว่าจะรอแถว 40 นั้นแหละครับ  ไม่รู้คุณ Velcome ได้ซื้อเป็นเพื่อนกันหรือยังน๊า  วันนี้ปิด 44.50

ยังไม่ได้ซื้อค่ะ ดูๆอยู่ ;D บอกตรงๆตอนนี้พยายามลดพอร์ตอยู่ เต็มมือมาก เห็นแล้วอยากได้เลย ;D ยังคิดอยู่เลยว่าสงสัยคุณวายุจะรับไปรึยัง?? ::) ::)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: vee48 ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2011, 21:49:00
LHK มาดีมาก ปิด 3.40 เอาเป็นว่าต่อนี้ไปไม่โดนทุบต่ำกว่า 3.36 ได้ลุ้นยาวแน่ ภาวนา  ;D กลุ่มเหล็กพร้อมหน้าพร้อมตามากันหลายเน้อ

โมทนาสาธุ๊ ด้วยคนค่ะ ;D ;D แอบรับไว้นิสนึง นิสนึงจริงๆ  ::)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: vee48 ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2011, 21:56:25
รบกวนถามพี่ๆหน่อยค่ะ คิดว่าเสี่ยงแค่ไหนถ้าต้องการถือยาว หุ้นที่อยู่ในตลาด mai??? เคยอ่านเจอว่าคนไม่นิยมกันเพราะมันค่อนข้างผันผวน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2011, 22:00:16
BLAND ราคาแสนถูก นาทีนี้ต้องเฝ้าติดตามดูซะละมั่ง ดูเชื่องช้าอืดอาด ไม่ปรู๊ดปร๊าดเหมือนตัวอื่น แมงเม่าเร่าร้อนคงบ่ค่อยชอบ อิอิ แต่ผลประกอบการที่กำไรเพิ่มขึ้น คงพอการันตีได้ ถ้าเกิดเหตุการณ์ทำไห้บ่เดินหน้าต่อ ก็คงบ่เสียหายมากนัก  ที่สำคัญต้องยืนเหนือ 0.74 อย่างเดียว วันนี้ 0.81........ความเห็นส่วนตัวนะจ๊ะ บ่ได้ลอกใครเขามาเน้อ ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2011, 22:05:23
รบกวนถามพี่ๆหน่อยค่ะ คิดว่าเสี่ยงแค่ไหนถ้าต้องการถือยาว หุ้นที่อยู่ในตลาด mai??? เคยอ่านเจอว่าคนไม่นิยมกันเพราะมันค่อนข้างผันผวน
ช่วยกันตอบแฟนๆหน่อยนะ ผมก่อนแล้วกัน  ;D
คืออยากให้เจาะจงเป็นตัวๆครับ เหมารวมผมบ่ถนัด 555


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: vee48 ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2011, 22:15:02
รบกวนถามพี่ๆหน่อยค่ะ คิดว่าเสี่ยงแค่ไหนถ้าต้องการถือยาว หุ้นที่อยู่ในตลาด mai??? เคยอ่านเจอว่าคนไม่นิยมกันเพราะมันค่อนข้างผันผวน
ช่วยกันตอบแฟนๆหน่อยนะ ผมก่อนแล้วกัน  ;D
คืออยากให้เจาะจงเป็นตัวๆครับ เหมารวมผมบ่ถนัด 555

AGE เด้อค่ะเด้อ :o


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2011, 22:37:30
รบกวนถามพี่ๆหน่อยค่ะ คิดว่าเสี่ยงแค่ไหนถ้าต้องการถือยาว หุ้นที่อยู่ในตลาด mai??? เคยอ่านเจอว่าคนไม่นิยมกันเพราะมันค่อนข้างผันผวน
ช่วยกันตอบแฟนๆหน่อยนะ ผมก่อนแล้วกัน  ;D
คืออยากให้เจาะจงเป็นตัวๆครับ เหมารวมผมบ่ถนัด 555

AGE เด้อค่ะเด้อ :o
ตัวนี้เข้าตลาดได้ 3 ปี จากราคาหลักเดียวมาเป็น 22.60 วันนี้ สุดฮอตเลย น่าอิจฉาคนที่จับตัวนี้แต่แรก และปีนี้ยังไม่ถึงครึ่งปีเลยก็กระฉูดสุดๆ ถามว่าเสียวมั๊ย ก็เสียวนะ มันเหมือนอยู่บนยอดเขาดอยอินทนนท์ หนาวแน่ 555 คือถ้าใครได้ราคาต่ำๆก็คงบอกว่าไม่เห็นหนาวเล้ยยย อบอุ่นดีเพราะมีมันให้กอด แต่สำหรับคนที่เพิ่งตัดสินใจซื้อ มันต้องราคาแพงกว่าแน่ เอ เอาไงดีล่ะ อิอิ เอาเป็นว่าตัวนี้ผมบ่มีความเห็น เพราะมันพร้อมที่จะไปต่อและพร้อมที่จะโดนเทขายเอากำไร พอๆกัน ถ้าผมจะซื้อก็คงรอให้มันหมดปีนี้ไปก่อน จริงๆนะ สู้ไปหาดูตัวอื่นที่มีแนวโน้มแรกเริ่มดีกว่า
ยังไงขอให้ท่านอื่นช่วยวิเคราะห์ด้วยเด้อ  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: inhermood ที่ วันที่ 01 มิถุนายน 2011, 00:47:06
ขอได้เปิดพอร์ทก่อนเนาะครับ ฮ๋าๆ แล้วจะมาวนเวียนแถวนี้ประจำๆเลยครับ
ตอนนี้เก็บเงินก่อนครับ เก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ ยังไม่ค่อยเข้าใจเลยครับ แต่ก็พยายามลุยไปเรื่อยๆครับผม

ปล. ขอบคุณพี่ๆมากๆเลยนะครับที่แนะนำเพื่อนๆและก็ ผมเอง
ปล อยากเจอแต๊ๆๆๆๆหนา ใครว่างบ้างครับ ผมว่างทั้งวันเลยอ่ะครับ

ช่วงนี้ปิดเทอมครับ พี่ๆท่านใดว่างๆ แบบเบื่อๆ มาสอนน้องได้นะครับนะ ยินดีไปหาถึงที่คับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: vee48 ที่ วันที่ 01 มิถุนายน 2011, 07:40:16
ตัวนี้เข้าตลาดได้ 3 ปี จากราคาหลักเดียวมาเป็น 22.60 วันนี้ สุดฮอตเลย น่าอิจฉาคนที่จับตัวนี้แต่แรก และปีนี้ยังไม่ถึงครึ่งปีเลยก็กระฉูดสุดๆ ถามว่าเสียวมั๊ย ก็เสียวนะ มันเหมือนอยู่บนยอดเขาดอยอินทนนท์ หนาวแน่ 555 คือถ้าใครได้ราคาต่ำๆก็คงบอกว่าไม่เห็นหนาวเล้ยยย อบอุ่นดีเพราะมีมันให้กอด แต่สำหรับคนที่เพิ่งตัดสินใจซื้อ มันต้องราคาแพงกว่าแน่ เอ เอาไงดีล่ะ อิอิ เอาเป็นว่าตัวนี้ผมบ่มีความเห็น เพราะมันพร้อมที่จะไปต่อและพร้อมที่จะโดนเทขายเอากำไร พอๆกัน ถ้าผมจะซื้อก็คงรอให้มันหมดปีนี้ไปก่อน จริงๆนะ สู้ไปหาดูตัวอื่นที่มีแนวโน้มแรกเริ่มดีกว่า
ยังไงขอให้ท่านอื่นช่วยวิเคราะห์ด้วยเด้อ  ;D
[/quote]

ขอบคุณพี่เปามากนะคะ สำหรับข้อมูลดีๆ ;D จริงๆรับไว้ซักพักแล้ว และก็คิดตั้งแต่แรกว่าจะถือยาวตัวนี้ ตอนนั้นรับมาแบบไม่ค่อยรู้เรื่อง งบการเงินดูไม่เป็น เทคนิคไม่มีในหัว แต่คิดว่าธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่มีอนาคต + แนวทางการขยายกิจการ...ฟลุ๊คจริงๆ :o :o แต่พอมาได้อ่านพวกบทความโน่นนี่ว่าหุ้นใน mai มันผันผวนนะ ไม่ควรถือยาว ทีนี้เราเลยลังเลเลย ว่าควรเก็บต่อมั้ยเนี่ย??? กะเก็บไปจนมันซัก 50 จะเป็นไปได้มั้ยเนี่ย ??? ???


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 01 มิถุนายน 2011, 10:07:00
ตัวนี้เข้าตลาดได้ 3 ปี จากราคาหลักเดียวมาเป็น 22.60 วันนี้ สุดฮอตเลย น่าอิจฉาคนที่จับตัวนี้แต่แรก และปีนี้ยังไม่ถึงครึ่งปีเลยก็กระฉูดสุดๆ ถามว่าเสียวมั๊ย ก็เสียวนะ มันเหมือนอยู่บนยอดเขาดอยอินทนนท์ หนาวแน่ 555 คือถ้าใครได้ราคาต่ำๆก็คงบอกว่าไม่เห็นหนาวเล้ยยย อบอุ่นดีเพราะมีมันให้กอด แต่สำหรับคนที่เพิ่งตัดสินใจซื้อ มันต้องราคาแพงกว่าแน่ เอ เอาไงดีล่ะ อิอิ เอาเป็นว่าตัวนี้ผมบ่มีความเห็น เพราะมันพร้อมที่จะไปต่อและพร้อมที่จะโดนเทขายเอากำไร พอๆกัน ถ้าผมจะซื้อก็คงรอให้มันหมดปีนี้ไปก่อน จริงๆนะ สู้ไปหาดูตัวอื่นที่มีแนวโน้มแรกเริ่มดีกว่า
ยังไงขอให้ท่านอื่นช่วยวิเคราะห์ด้วยเด้อ  ;D

ขอบคุณพี่เปามากนะคะ สำหรับข้อมูลดีๆ ;D จริงๆรับไว้ซักพักแล้ว และก็คิดตั้งแต่แรกว่าจะถือยาวตัวนี้ ตอนนั้นรับมาแบบไม่ค่อยรู้เรื่อง งบการเงินดูไม่เป็น เทคนิคไม่มีในหัว แต่คิดว่าธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่มีอนาคต + แนวทางการขยายกิจการ...ฟลุ๊คจริงๆ :o :o แต่พอมาได้อ่านพวกบทความโน่นนี่ว่าหุ้นใน mai มันผันผวนนะ ไม่ควรถือยาว ทีนี้เราเลยลังเลเลย ว่าควรเก็บต่อมั้ยเนี่ย??? กะเก็บไปจนมันซัก 50 จะเป็นไปได้มั้ยเนี่ย ??? ???
[/quote]งั้นบอกทุนมาครับ  จะได้รู้ว่าควรถือต่อหรือขาย  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: vee48 ที่ วันที่ 01 มิถุนายน 2011, 10:12:39
 ;D ;D ;D จุ๊ๆอย่าเอ็ดไป กลางๆค่ะ 15 บาท


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 01 มิถุนายน 2011, 10:15:41
;D ;D ;D จุ๊ๆอย่าเอ็ดไป กลางๆค่ะ 15 บาท
โห กำไฮตั้งเยอะแยะ งั้นถือสู้ต่อจนหมดไตรมาสหน้าค่อยว่ากันใหม่ดีมั๊ย  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: vee48 ที่ วันที่ 01 มิถุนายน 2011, 10:18:56
;D ;D ;D จุ๊ๆอย่าเอ็ดไป กลางๆค่ะ 15 บาท
โห กำไฮตั้งเยอะแยะ งั้นถือสู้ต่อจนหมดไตรมาสหน้าค่อยว่ากันใหม่ดีมั๊ย  ;D

อ่ะ เชื่อ 555 ;D ;D สิ้นปีถึง 50 เดี๋ยวเลี้ยงข้าวพี่เลย 555+


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 01 มิถุนายน 2011, 15:55:12
ตอบคุณ Velcome
     สำหรับตัวนี้ผมไม่ค่อยรู้อะไรมาก  ถ้าเป็นหุ้นถ่านหินพวกเนี้ย  การเป็นเจ้าของเหมืองเองจะได้เปรียบกว่าเป็นพ่อค้าคนกลาง  เพราะจะได้กำไรเต็มๆจากราคาขายที่ขยับขึ้น  แต่ถ้าเป็นพ่อค้าคนกลางรับเขามาขายต่ออีกที  ทำให้กำไรไม่ค่อยเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากนัก  แต่งบการเงินดีเลยทีเดียวครับ

http://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=AGE&language=th&country=TH

สินทรัพย์เพิ่มขึ้นทุกปี  ส่วนของผู้ถือหุ้นก็เพิ่มขึ้นด้วย  กำไรก็ทำได้ดีมาก

ถ้ากะคร่าวๆจากนโยบายปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 40  ไตรมาสแรกทำกำไรได้ 0.47 บาทต่อหุ้น ถ้า 4 ไตรมาส(นี่กะแบบคร่าวๆถ้ามันทำได้เท่าเดิมนะครับ) ก็ได้กำไรทั้งปี 1.88 บาทต่อหุ้น  ปันผลร้อยละ 40  ก็ปันออกมาหุ้นละ 75 สตางค์  ถ้าซื้อหุ้นที่ราคา 23 บาท  ก็จะได้ผลตอบแทนเท่ากับ 3.26 % ต่อปี  ก็เป็นผลตอบแทนทั่วไปของตลาดครับ

     ส่วนที่ถามว่าผมซื้อ 7-11 ไปหรือยัง  ผมรับไป 1000 หุ้นแล้วครับ  ค่อยๆตอด...ไม่รีบ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 01 มิถุนายน 2011, 16:11:30
ตอบท่านเปา
     จากกระทู้#279ที่บอกว่าชอบตัวนี้เป็นพิเศษ.....ที่ผมชอบก็เพราะว่า  ผมสามารถเข้าใจในกิจการนั้นได้ครับ  และผมสามารถเห็นการทำกิจการนี้ได้ตลอดเวลาที่ผมอยากดู  ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็สามารถเห็นว่ามีลูกค้าเข้าร้านไหม  มีกิจกรรมส่งเสริมการขายอะไรบ้าง  และเวลาขายของ  เขามีรายรับเป็นเงินสดครับ  ซ้ำบางที  ได้เงินของลูกค้าไปก่อน  แล้วลูกค้าค่อยได้สินค้าทีหลังเช่น  สมาชิกการ์ดของเขาน่ะครับ  ซึ่งตรงนี้ทำให้มั่นใจได้ว่า  กระแสเงินสดดีมาก  ไม่เหมือนขายของบางอย่าง  ที่ต้องให้เครดิตลูกค้า  บางทีส่งของไปให้แล้วดันเก็บเงินไม่ได้ก็มี  ทำให้กลายเป็นหนี้สูญไป  ส่วนบางบริษัทที่  ผมไม่เข้าใจมัน  ผมก็ไม่อยากเสี่ยงครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Cupid ที่ วันที่ 01 มิถุนายน 2011, 16:17:14

   เห็นด้วยครับ การลงทุนในกิจการที่ท่านไม่มีความเข้าใจมัน ความไม่เข้าใจนี่แหละ
จะเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งของตัวผู้ลงทุนเอง


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 01 มิถุนายน 2011, 21:10:16
ตอบท่านเปา
     จากกระทู้#279ที่บอกว่าชอบตัวนี้เป็นพิเศษ.....ที่ผมชอบก็เพราะว่า  ผมสามารถเข้าใจในกิจการนั้นได้ครับ  และผมสามารถเห็นการทำกิจการนี้ได้ตลอดเวลาที่ผมอยากดู  ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็สามารถเห็นว่ามีลูกค้าเข้าร้านไหม  มีกิจกรรมส่งเสริมการขายอะไรบ้าง  และเวลาขายของ  เขามีรายรับเป็นเงินสดครับ  ซ้ำบางที  ได้เงินของลูกค้าไปก่อน  แล้วลูกค้าค่อยได้สินค้าทีหลังเช่น  สมาชิกการ์ดของเขาน่ะครับ  ซึ่งตรงนี้ทำให้มั่นใจได้ว่า  กระแสเงินสดดีมาก  ไม่เหมือนขายของบางอย่าง  ที่ต้องให้เครดิตลูกค้า  บางทีส่งของไปให้แล้วดันเก็บเงินไม่ได้ก็มี  ทำให้กลายเป็นหนี้สูญไป  ส่วนบางบริษัทที่  ผมไม่เข้าใจมัน  ผมก็ไม่อยากเสี่ยงครับ
นี่เลยคือนักลงทุนตัวจริง เสียงจริง กลยุทธ์และหุ้น super stock ของท่านวายุล่ะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: vee48 ที่ วันที่ 01 มิถุนายน 2011, 21:15:42
ตอบคุณ Velcome
     สำหรับตัวนี้ผมไม่ค่อยรู้อะไรมาก  ถ้าเป็นหุ้นถ่านหินพวกเนี้ย  การเป็นเจ้าของเหมืองเองจะได้เปรียบกว่าเป็นพ่อค้าคนกลาง  เพราะจะได้กำไรเต็มๆจากราคาขายที่ขยับขึ้น  แต่ถ้าเป็นพ่อค้าคนกลางรับเขามาขายต่ออีกที  ทำให้กำไรไม่ค่อยเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากนัก  แต่งบการเงินดีเลยทีเดียวครับ

http://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=AGE&language=th&country=TH

สินทรัพย์เพิ่มขึ้นทุกปี  ส่วนของผู้ถือหุ้นก็เพิ่มขึ้นด้วย  กำไรก็ทำได้ดีมาก

ถ้ากะคร่าวๆจากนโยบายปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 40  ไตรมาสแรกทำกำไรได้ 0.47 บาทต่อหุ้น ถ้า 4 ไตรมาส(นี่กะแบบคร่าวๆถ้ามันทำได้เท่าเดิมนะครับ) ก็ได้กำไรทั้งปี 1.88 บาทต่อหุ้น  ปันผลร้อยละ 40  ก็ปันออกมาหุ้นละ 75 สตางค์  ถ้าซื้อหุ้นที่ราคา 23 บาท  ก็จะได้ผลตอบแทนเท่ากับ 3.26 % ต่อปี  ก็เป็นผลตอบแทนทั่วไปของตลาดครับ

     ส่วนที่ถามว่าผมซื้อ 7-11 ไปหรือยัง  ผมรับไป 1000 หุ้นแล้วครับ  ค่อยๆตอด...ไม่รีบ


ขอบคุณมากค่ะ  ขอให้รวยๆนะคะ อิอิ ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 02 มิถุนายน 2011, 16:05:07
วันนี้ไม่เกี่ยวกับหุ้น  แค่มาโฆษณาร้านเฉยๆครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 02 มิถุนายน 2011, 16:07:33
น่ากินจัง แต่ตังค์บ่มี อิอิ ล้อเล่น ผมมังสวิรัติครับ อด  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: vee48 ที่ วันที่ 02 มิถุนายน 2011, 16:51:45
หิวเลย 8) 8) เดี๋ยวเลิกลดความอ้วนแล้วจะไปอุดหนุนนะคะ ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Cupid ที่ วันที่ 02 มิถุนายน 2011, 17:48:22
น่ากินจัง แต่ตังค์บ่มี อิอิ ล้อเล่น ผมมังสวิรัติครับ อด  ;D

เล่นขายเฉพาะตอนเย็น ผมเลยอดด้วย (เป็นพระ เอ๊ย...! ไม่ใช่ งดมื้อเย็นมาหลายปีแล้ว.. :D)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 03 มิถุนายน 2011, 15:59:02
มาส่งข่าวเฉยๆ...เมื่อวานรับ 7-11 ไปเต็มพอร์ตแล้วครับ  กะถือยาวเลย  ต้นทุน 44.87  มีใครรับเป็นเพื่อนบ้างหรือยังน๊อ.....  เดี๋ยววันหลังจะเอาการวิเคราะห์ส่วนตัวสำหรับหุ้นตัวนี้มาลงให้อ่านกัน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 03 มิถุนายน 2011, 16:47:35
ท่านวายุเคยเห็นป่ะ uic ราคาจอง 1.92 เข้าตลาดวันแรกปิด 5.50  ::)
คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์เนี่ย ผมคำนวณบ่ถึก
หลายปีก่อนผมได้บ่อยหุ้นจอง ส่วนมากเปิดมากำไรก็ขายล่ะ ตัวนี้เปิด 3.80 ก็คงเรียบร้อย ขายหมู โห เท่าที่จำได้ผมบ่เคยเห็นนะ หุ้นเข้าใหม่วันแรกมอบความรวยแก่คนจองมากมายขนาดนี้
โดยเฉพาะคนที่ได้หลายหมื่นหุ้นขึ้นไป น่าอิจฉา


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 05 มิถุนายน 2011, 09:33:31
มาส่งข่าวเฉยๆ...เมื่อวานรับ 7-11 ไปเต็มพอร์ตแล้วครับ  กะถือยาวเลย  ต้นทุน 44.87  มีใครรับเป็นเพื่อนบ้างหรือยังน๊อ.....  เดี๋ยววันหลังจะเอาการวิเคราะห์ส่วนตัวสำหรับหุ้นตัวนี้มาลงให้อ่านกัน
ขอเป้าหมายสักนิดครับ เป็นแนวทาง ซื้อน่ะง่ายแต่เวลาขายเอากำไรมันยากเหมือนกันนะ ต้องใช้ทั้งศิลปะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 05 มิถุนายน 2011, 09:41:08
วันนี้ไม่เกี่ยวกับหุ้น  แค่มาโฆษณาร้านเฉยๆครับ

อ้าว ร้านนี้จริงด้วย ขับผ่านร้านหลายรอบ ไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า

เมื่อวานก็ไปอีกรอบ ดันปิดร้าน - -

เดี๋ยววันนี้จะไปอีกรอบ 555+

ยังไงก็ขอความรู้ด้วยนะครับท่านวายุ



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: vee48 ที่ วันที่ 05 มิถุนายน 2011, 09:44:23
มาส่งข่าวเฉยๆ...เมื่อวานรับ 7-11 ไปเต็มพอร์ตแล้วครับ  กะถือยาวเลย  ต้นทุน 44.87  มีใครรับเป็นเพื่อนบ้างหรือยังน๊อ.....  เดี๋ยววันหลังจะเอาการวิเคราะห์ส่วนตัวสำหรับหุ้นตัวนี้มาลงให้อ่านกัน
ขอเป้าหมายสักนิดครับ เป็นแนวทาง ซื้อน่ะง่ายแต่เวลาขายเอากำไรมันยากเหมือนกันนะ ต้องใช้ทั้งศิลปะ
+100000000 ซื้อง่าย ขายยาก....


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 05 มิถุนายน 2011, 15:08:44
ตอบคุณ ♥วัยทอง~คะนองรัก♥
     วันนี้ผมไม่ขายของครับ  พอดีมีธุระนิดหน่อย  ไว้วันหลังนะครับ

ตอบท่านเปา
     ส่วนที่ถามว่าจะขายหุ้นเมื่อไหร่... ???   ดูว่าเมื่อไหร่มันหยุดโตก็เมื่อนั้นแหละครับ  เดี๋ยวจะเอาบทวิเคราะห์ส่วนตัวมาให้อ่านก็แล้วกัน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 05 มิถุนายน 2011, 15:37:04
ตอบท่านเปา
     ที่ถามเรื่อง UIC มา  ขอตอบว่า  จากการที่ผมอ่านรายละเอียดแล้ว  ผมไม่เข้าใจลักษณะธุรกิจของเขาครับ  เพราะฉะนั้นหุ้นตัวนี้  จะเป็นหุ้นที่ผมหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปยุ่งด้วย  เพราะมันอยู่นอกขอบเขตความรอบรู้ของผม  มันจะพาลทำให้ผมนอนไม่หลับหากไปยุ่งกับมัน

http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fin/datafile/69/115400092801012010-09-07T05.PDF?ts=1307262674

แล้วท่านลองอ่านสิครับว่าเข้าใจไหม  ถ้าไม่เข้าใจ  ผมก็ว่าราคามันเว่อร์


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: azlanesra ที่ วันที่ 05 มิถุนายน 2011, 21:37:59
อ๊ากก กว่าจะอ่านจบ 16 หน้า ตาลาย

เอาไว้ไปอุดหนุนข้าวมันไก่ แล้วค่อยนัดวันให้ท่านชี้แนะเด้อครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 06 มิถุนายน 2011, 15:06:12
วันนี้เอาพอร์ตที่เก็บไว้เมื่อครั้งยังหนุ่มๆมาให้ดู  ตอนนั้นชื่อโบรกของผมยังเป็นแอ๊ดคินซันอยู่เลย  ช่วงนั้นว่าจะยึดเรือเสียหน่อย  แต่ต้องขายหุ้นออกมาซื้อบ้านก่อน  ซึ่งช่วงก่อนหน้านั้นผมก็ได้มาจากหุ้น DCC มาพอสมควร  แต่ไม่มีหลักฐานมาโชว์  ตอนนั้นได้เครดิตแค่แสนหก  เลยซื้อไม้แรกได้ 9900 หุ้น  เหลือเงินอีกนิดหน่อยต้องรอชำระเงินเสร็จค่อยตามไปซื้ออีกไม้  แต่ราคาก็ขึ้นไปพอสมควรแล้ว


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 06 มิถุนายน 2011, 15:09:41
อันนีอีกไม้  และก็ขายไปกำไรนิดหน่อย  สามหมื่นกว่าบาท


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 06 มิถุนายน 2011, 15:20:32
พอทำเรื่องบ้านเสร็จ  เหลือเงินนิดหน่อย(หายไปเป็นแสน)  ก็กลับมาซื้อหุ้นอีกรอบ  โบรกเปลี่ยนชื่อเป็นคันทรี่กรุ๊ปไปแล้ว  งวดนี้ได้มาเกือบสี่หมื่น


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 06 มิถุนายน 2011, 15:25:05
 TTA ปี 2009 สูงสุด 32 แต่ปิดสิ้นปีที่ 27.25  ;D
 CPALL ปีที่แล้ว สูงสุด 45.25 ปิดสิ้นปี 39.25  ;D ขายราคานี้เลย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 06 มิถุนายน 2011, 15:37:33
ตามที่สัญญากันไว้  เอาบทวิเคราะห์ส่วนตัวมาให้อ่าน  วันนี้หุ้นตกเยอะ  แต่ถ้าเราวิเคราะห์เป็นอย่างดีแล้วไม่ต้องซีเรียส

การวิเคราะห์กิจการ
     ก่อนที่เราจะลงทุนในบริษัทไหนก็แล้วแต่  สิ่งที่จำเป็นมากในอันดับต้นๆก็คือการวิเคราะห์บริษัทที่เราสนใจจะลงทุน  ให้รวบรวมข้อมูลต่างๆแล้วมานั่งทำความเข้าใจกับมัน  ถ้าคุณนึกไม่ออกว่าบริษัทนี้มีลักษณะกิจการอย่าไร  หากำไรมาจากไหน  กลุ่มลูกค้าของบริษัท  คู่แข่งของบริษัท  ความเสี่ยงของบริษัท  ฯลฯ  ก็แสดงว่าคุณยังตีโจทย์ไม่แตก  มีสองทางเลือกคือ  คุณต้องหาข้อมูลเพิ่มจนคุณรู้  หรือสอง  คุณก็ไปหาบริษัทอื่นที่คุณเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง  ซึ่งกระบวนการตรงนี้คุณต้องทำเอง  และไม่มีกระบวนการไหนมาทดแทนมันได้  ถ้าคุณต้องการรวย  คุณต้องทำ  และขอแนะนำอีกอย่างว่า  ถ้าคุณจะรอจนนักวิเคราะห์ค่ายต่างๆออกบทวิเคราะห์มาให้  เมื่อถึงตอนนั้น  มันก็ช้าไปแล้ว  เพราะคนอื่นๆก็จะรับรู้พร้อมกับคุณ  และมันจะส่งผลทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปจนคุณซื้อไม่ลง  หรือถ้าคุณตามซื้อเข้าไป  ราคานั้นมันก็แพงมาก  จะดีแค่ไหน  ถ้าเราชิงลงมือก่อน  และมีความสุขอยู่กับต้นทุนที่ถูกกว่าคนอื่น  ถ้าคุณบอกว่าวิเคราะห์ไม่เป็น  ผมมีบางอย่างอยากบอกคุณ  “มีใครเป็นตั้งแต่เกิดบ้าง”  ผมก็ต้องมาหัดเหมือนกัน  ถ้าคุณฝึกบ่อยๆ  แล้วคุณจะช่ำชองจนกลายเป็น “นักลงทุน”  ไปในที่สุด  แต่มีอีกวิธีนึงที่ง่ายกว่า  วิธีนั้นก็คือกองทุนรวม  การลงทุนประเภทนี้มันอยู่ที่ความง่าย  เพราะคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็ลงทุนได้  แต่ปัญหามันอยู่ที่  เมื่อคุณลงทุนในกองทุนรวมแล้ว  มันจะทำให้คุณเรียนรู้เรื่องการลงทุนได้มากแค่ไหน  แทนที่คุณจะเรียนรู้เรื่องการลงทุน  กลับกลายเป็นว่า  คุณได้เรียนรู้วิธีการซื้อกองทุนรวมไปเสีย  แถมยังต้องจ่ายแพงกว่าลงทุนเองซะอีก  มีคำบางคำที่ผมอยากบอกกับคุณคือ  “สิ่งที่ผมกังวลไม่ใช่เรื่องที่คุณกำลังลงทุนในอะไร  แต่ที่ผมเป็นห่วงก็คือความเป็นนักลงทุนในตัวคุณต่างหาก”

     ตอนนี้ผมก็จะมาวิเคราะห์บริษัท  CPALL  ที่เป็นเจ้าของ 7-11 ให้คุณทั้งหลายอ่านกัน  เพื่อเป็นแนวทางในการนำไปวิเคราะห์บริษัทอื่นๆที่พวกคุณสนใจจะลงทุนกันอยู่  มันไม่จำเป็นหรอกว่าคุณจะลงทุนในบริษัทเดียวกับผม  ที่ผมลงทุนในบริษัทนี้ก็เนื่องจากว่าผมเข้าใจมัน  บางทีคุณอาจทำงานเป็นช่างเปลี่ยนยาง  คุณก็จะสังเกตได้ว่ายางยี่ห้อไหนขายดีที่สุด  แล้วคุณก็ลงทุนกับบริษัทนั้น  หรือคุณเป็นพนักงานขายโทรศัพท์  คุณก็จะรู้ว่ายี่ห้อไหนขายดีมาก  หรือคุณเป็นนักเดินทาง  เวลาคุณเดินทางไปตามถนน  คุณจะสังเกตเห็นว่ารถยี่ห้อไหนมีบนท้องถนนมากมายเกลื่อนกราด  หรือคุณอาจจะทำงานในห้าง  ไม่ว่าจะเป็นบิ๊กซี  เซ็นทรัล  หรือแมคโคร  คุณก็จะสังเกตเห็นได้เองว่า  มีลูกค้ามาใช้บริการเยอะขึ้นหรือไม่  นั่นเท่ากับว่า  คุณเป็นนักลงทุนวงในเชียวนะ  ได้เปรียบคนอย่างผมตั้งเยอะ  แต่ท่านเตมูยินไม่ได้ลงทุนในหุ้นเซ็นทรัล  อาจจะเป็นเพราะว่า  ท่านเห็นอะไรบางอย่างหรือเปล่าน๊า...  นี่เป็นแค่ตัวอย่างครับ  เอาล่ะ  เรามาเริ่มวิเคราะห์บริษัทกันเลยดีกว่า

ธุรกิจหลัก
     ร้าน  7-11  ในช่วงเริ่มแรกนั้น  เขาจะออกแนวคล้ายๆร้านขายของชำมากกว่า  แต่ตอนนี้เขาได้เปลี่ยนรูปแบบธุรกิจออกไป  โดยไปเน้นที่อาหารพร้อมทานมากขึ้น  ซึ่งดูจากสโลแกนที่ว่า  หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา  โดยเขาให้เหตุผลว่า  การขายของชำต่างๆ  นับวันจะมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น  ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะดึงลูกค้าเข้าร้านได้มากก็คือการลดราคา  ดังนั้นแล้ว  เขาจึงเปลี่ยนแนวไปขายอาหารพร้อมทาน  ซึ่งให้เหตุผลว่า  กำไรเยอะกว่า  โดยการขายของชำต่างๆเป็นแค่สินค้าประกอบเท่านั้น

สินค้าหลัก
     มีขนมปัง  สเลอปี้  กาแฟ  แซนด์วิช  แฮมเบอร์เกอร์  ซาลาเปา  ฮอทดอก  อาหารแช่แข็งต่างๆ  ฯลฯ  ซึ่งสินค้าพวกนี้ตัวผมเองได้ลองซื้อชิมแล้วก็เห็นว่า  รสชาติใช้ได้และราคาไม่แพง  ซึ่งทำให้มั่นใจว่า  ขายได้แน่นอน  โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตเมืองตามจังหวัดต่างๆที่ค่าครองชีพสูง  และเมื่อดูรายละเอียดด้านหลังซองขนมปังเลอแปงและพวกซาลาเปาไส้ต่างๆ  หรืออาหารแช่แข็งของอีซี่โก  ทำให้ผมทราบว่า  บริษัท  CPALL  เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เอง  โดยมีบริษัทลูกเป็นผู้ทำส่ง  ซึ่งการที่เราทำเองขายเองนั้น  ทำให้มีกำไรมากเมื่อเทียบกับการที่เรารับเขามาขายกินกำไรอีกต่อหนึ่ง

วัตถุดิบ
     ก่อนที่มันจะมาเป็นผลิตภัณฑ์พวกนี้ได้  มันก็ต้องมีวัตถุดิบ  ซึ่งเมื่อดูย้อนไปว่าเขาเอาวัตถุดิบมาจากไหน  ก็เลยรู้ว่าเขารับมาจากบริษัทแม่คือ CPF นั่นเอง  ตรงนี้เลยทำให้มั่นใจว่า  วัตถุดิบจะไม่ขาดแคลนแน่นอน  เพราะผมเคยเห็นกรณีที่ทำให้เกิดปัญหามาแล้ว  กล่าวคือ  บริษัทไม่ใช่ผู้ผลิตวัตถุดิบ  ต้องสั่งมาจากอีกบริษัทหนึ่ง  แต่พอเกิดปัญหากับบริษัทที่ส่งวัตถุดิบมาให้  ผลกระทบมันก็เลยมาถึงเราด้วย  ซึ่งในส่วนนี้ที่ 7-11 รับวัตถุดิบมาจาก CPF  ก็เป็นการช่วยทำให้ทาง CPF  ได้ขายของด้วย  และทาง CPF  ก็คงต้องส่งวัตถุดิบให้อย่างแน่นอน  เนื่องจากว่าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน 7-11 ด้วย  เพราะถ้า 7-11 กำไร  ตัวของ CPF  เองก็ได้ดีไปด้วย

ธุรกิจอื่นที่ทำอยู่
     อย่างที่เราเห็น  รับชำระค่าบริการต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำ  ค่าไฟ  ค่าโทรศัพท์  ค่าบัตรเครดิต  ค่าผ่อนบ้าน  ขายเครื่องดื่ม  เครื่องสำอาง  สินค้าแคตตาล็อก  เก็บค่าวางเครื่อง ATM  และตอนนี้เขาก็ไปเปิดบริษัทแบบชอบปิ้งออนไลน์เพิ่มแล้ว  ซึ่งร่วมทุนกับทางทรูและเดอะมอลล์

ธุรกิจที่น่าจะทำได้อีก
     อันนี้มันต้องใช้จินตนาการนิดนึง  โดยที่เรามองส่วนประกอบของธุรกิจ  แล้วเราก็มานั่งนึกเอาว่า  เขามีระบบขนส่งเพื่อมาส่งสินค้าอยู่แล้ว  เขาน่าจะรับจ้างส่งของหรือเอกสารต่างๆได้อีก  เพราะเท่าที่ดูสาขาของ  7-11  มีมากกว่าไปรษณีย์  และเปิด 24 ชม.ด้วย  เพราะฉะนั้น  การที่ลูกค้าจะไปรับของจึงใกล้บ้านมากกว่า  และไปรับตอนไหนก็ได้  ทำให้สะดวกมากกว่า
     บางทีเขาอาจจะขายยารักษาโรคเพิ่มได้  เนื่องจากการใช้เทคโนโลยี 3 G เข้ามาช่วย  เพราะเท่าที่รู้มา  บริษัททรู  ก็เป็นของเครือ  CP  เหมือนกัน  ดังนั้น  การใช้ประโยชน์จาก  เทคโนโลยี 3 G  จึงสามารถทำได้  ยกตัวอย่างคือ  ปกติเวลาเราไปซื้อยาตามร้านขายยา  ร้านที่จะจำหน่ายยาได้ต้องมีเภสัชกรอยู่ในร้าน  แต่ถ้า 7-11  จ้างเภสัชกรมาประจำที่ศูนย์กลาง  แล้วเวลามีใครป่วยตอนดึกๆมาเข้า 7-11  เพื่อซื้อยา  ทางสาขาก็ติดต่อไปที่ศูนย์โดยใช้เทคโนโลยี 3 G   แบบที่เห็นหน้ากัน  สามารถสอบถามอาการและสั่งจ่ายยาโดยสาขาได้เลย  ซึ่งตรงนี้จะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นได้  และอนาคต  ถ้ามีหวยออนไลน์เกิดขึ้น  ก็ต้องมาฝากที่ 7-11  อยู่ดี  ทำให้ได้ค่าเช่าวางเครื่องด้วย  หรืออาจจะกินเปอร์เซ็นต์ก็ว่ากันไป

ขึ้นราคาสินค้าได้เอง
     บริษัทขายอาหารพร้อมทาน  ซึ่งตรงนี้ไม่มีหน่วยงานไหนมากำกับว่าจะต้องขายขนมปังก้อนละเท่าไหร่  กาแฟแก้วละเท่าไหร่  ไม่เหมือนสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆเช่นน้ำตาลทราย  น้ำมันปาล์ม  มาม่า  ซึ่งมันก็เป็นผลดีต่อกำไรของบริษัท

ลดต้นทุน
     บริษัทมีความสามารถลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ผมไม่รู้ว่าเขาทำวิธีไหนบ้าง  แต่เท่าที่ผมรู้มาคือ  เขามีโครงการสร้างศูนย์กระจายสินค้าตามภูมิภาคต่างๆเพื่อจะได้ไม่ต้องตีรถไปมาระหว่างกรุงเทพกับจังหวัดต่างๆให้เปลืองน้ำมัน  เช่นเขามาสร้างศูนย์กระจายสินค้าที่เชียงใหม่  รถส่งของก็มารับของที่เชียงใหม่ไปส่งตามจังหวัดต่างๆทางภาคเหนือ  จะได้ไม่ต้องไปไกลถึงภาคกลางทำให้ประหยัดขึ้น  และจากประสบการณ์ของผมเอง  ผมซื้อขนมปังเลอแปงมากิน  และเมื่อดูที่หลังซองพบว่า  เมื่อก่อนเขาทำกันที่ปทุมธานี  แต่เดี๋ยวนี้  ทำที่เชียงใหม่แล้ว  ตรงนี้ก็ช่วยประหยัดน้ำมันได้อีกครับ

ความยืดหยุ่นของธุรกิจ
     ในร้าน 7-11 แต่ละร้านในภาคต่างๆของไทย  ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีสินค้าเหมือนกันเป๊ะทุกอย่าง  บางทีสาขาไหนมีความต้องการสินค้าอะไร  เขาก็สามารถตอบสนองลูกค้าได้เช่น  สาขาแถวๆออฟฟิศเยอะๆในกรุงเทพ  บางสาขามีไข่ต้มขายด้วย  นี่ถ้ามาขายบ้านเราคงเน่าคาตู้  เพราะพวกเรามีเวลาเยอะกว่าคนทางนู้น  บางสาขาที่อยู่ใกล้ท่ารถ  ก็จะมีขนมขบเคี้ยวมากเป็นพิเศษเป็นต้น

การขยายตัวของธุรกิจ
     เขามีนโยบายว่า  จะเปิดสาขาใหม่ปีละ 500  สาขา  ไม่ว่าจะในปั๊มน้ำมันหรือพื้นที่ทั่วไป  และผมก็ว่าเขาทำได้จริง  ซึ่งนั่นก็หมายความว่า  ตอนนี้ธุรกิจเขายังไม่หยุดโต  แล้วผมก็มาคิดต่ออีกว่า  ถ้าประเทศไทยมี 7-11 หมดทุกตรอกซอกซอยแล้ว  บริษัทจะทำยังไงต่อไป  ซึ่งคำถามตรงนี้มีคำตอบแล้ว  ตอนนี้มีข่าวว่า  เขากำลังจะบุกอาเซี่ยนและจีน   กำลังขออนุญาตอยู่  ถ้าได้ไฟเขียว  ผมคิดว่ามันเป็นแรงเหวี่ยงที่สำคัญมาก  ไม่ต้องอะไรมากหรอก  แค่จีนประเทศเดียวก็ใหญ่มากกว่าเรากี่เท่าแล้ว  ประชากรเป็นพันล้าน  และเรื่องวัตถุดิบที่จะเอามาทำสินค้าอีก  ไม่ต้องห่วงเลย  เพราะตอนนี้  CPF  ก็เลี้ยงหมูเลี้ยงไก่รออยู่ที่เมืองจีนเรียบร้อยแล้ว  แต่อันนี้มันหนังชีวิตครับ  ต้องดูกันอีกทีนึงด้วย  เพราะการที่เราจะไปจีนก็ไม่ได้หมายความว่าต้องสำเร็จ  ในทางกลับกัน  ถ้าไปลงทุนแล้วขาดทุน  มันก็จะมาดึงกำไรในส่วนของประเทศไทยได้ครับ

อสังหาริมทรัพย์
     เมื่อต้องขยายสาขา  ก็ต้องมีอสังหาริมทรัพย์  เพราะฉะนั้นแล้ว  เชื่อมั่นได้ว่า  ถ้า 7-11 จะไปเปิดตรงไหน  ตรงนั้นก็มักจะเจริญแล้ว  อสังหาริมทรัพย์ชิ้นนั้นก็การันตีได้ว่าเกรดเอ  ซึ่งมีผลทำให้  อสังหาริมทรัพย์ชิ้นนั้น  มักจะเพิ่มค่าขึ้นในอนาคต

แฟรนไชส์
     ในส่วนแฟรนไชส์นี้  ดีตรงที่สาขาขยายได้เร็ว  โดยที่เราไม่ต้องลงทุนเองด้วยซ้ำ  ไม่เหมือนกับโลตัสเอ็กซ์เพรส  ที่ลงทุนเองทุกสาขา

คู่แข่ง
     ตอนนี้เท่าที่ดูก็ยังไม่มีคู่แข่งที่ใกล้เคียง  ทั้งสินค้าและจำนวนสาขา  ถ้าเรามองไปที่โลตัสเอ็กซ์เพรสจะเห็นว่า  เขาเน้นขายของชำเป็นหลัก  ไม่ใช่อาหาร  ส่วนยี่ห้ออื่นก็มีคาร์ฟูซิตี้  TOPS  แต่ก็ยังไม่ใช่คู่แข่งอยู่ดี  เพราะฉะนั้นแล้วจึงมั่นใจว่า  7-11 ยังเป็นเบอร์หนึ่งต่อไป  ด้วยเหตุนี้เมื่อผมวิเคราะห์จากปัจจัยต่างๆแล้ว  ผมจึงกล้าลงทุนจนหมดเงินเลยทีเดียว....ฟันธง

     เดี๋ยวเอาไว้คราวหน้า   ผมจะมาสอนวิธีการดูงบการเงินแบบคร่าวๆกันบ้างครับ  เพราะถ้าดูกิจการแล้ว  ถึงแม้จะเป็นเบอร์หนึ่งก็จริง  หากขายของได้เยอะแต่ไม่มีกำไร  จะขายเอาอะไร  เพราะฉะนั้นมันจึงต้องเอามาดูประกอบกันครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 18:47:00
หน้า 17 แล้ว แต่ก็อ่านทุกหน้าครับ หุหุ

ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 19:56:04
ไม่รวม True เข้าไปด้วยล่ะ ของลูกเค้า...CP เป็นเครือที่สมบูรณ์แบบในสายตาผม ;D ;D อ่อ aro ในแม็คโครถ้าจำไม่ผิดก็ของเค้าด้วย...


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 08 มิถุนายน 2011, 13:07:52
     ช่วงนี้ไม่ว่างมาอัพเลย  พอดีไม่ค่อยมีเวลาครับ  แต่เข้ามาแนะนำน้องๆหนูๆที่ยังไม่ได้เปิดบัญชีไว้ว่า  อยากให้รีบไปเปิดบัญชีซื้อขายได้แล้วครับ  ช่วงนี้หุ้นตกแรงมาก  ฝรั่งขายไม่หยุด  กองทุนก็ผสมโรงด้วย  ถ้ามันหยุดตกเมื่อไหร่หุ้นคงราคาถูก  แต่น้องๆต้องรอให้ฝรั่งหยุดขายก่อนครับ  พูดง่ายๆว่ารอให้มันสะเด็ดจนแห้งก่อน  สำหรับหุ้นผมก็โดนไปกับเขาด้วย  แต่ไม่เป็นไรหรอก  เพราะมันไม่ใช่เงินผม  มันเป็นเงินของตลาดน่ะ  เงินผู้ใดก็ไม่รู้...  เงินของผมเอาออกมาหมดตั้งแต่ตอนซื้อบ้านแล้ว  ตอนนี้มองที่กิจการครับไม่ใช่ที่ตลาด  เพราะความรู้สึกผมบอกว่า  ไม่ช้าก็เร็วยังไงมันก็ต้องกลับมา(สำหรับหุ้นผมนะ)  แต่หุ้นคนอื่นผมไม่รู้  เพราะผมไม่เข้าใจกิจการของเขา  แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว  ตอนสิ้นเดือน 6  ทุกๆกองทุนจะต้องรายงานผลต่อผู้ซื้อกองทุน  เพราะฉะนั้น  แต่ละกองทุนจะต้องพยายามทำตัวเลขให้ได้ผลกำไร  เพื่อให้ผู้ซื้อกองทุนพอใจ  จะได้ไม่หอบเงินหนีไปกองทุนอื่น  ตอนนี้เดี๋ยวเรามาดูกันว่า  หลังจากที่มันตกแรงแล้ว  ตอนใกล้สิ้นเดือนจะมีการทำวินโดว์จากกองทุนหรือไม่  สำหรับเรื่องวินโดว์เดรสซิ่ง  ก็หาอ่านได้จากกระทู้เก่าๆของผมได้ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 08 มิถุนายน 2011, 13:14:09
ช่างมีสัญชาตญาณ และวิตจารณญาณดีเหลือเกินนะท่านวายุ โซรอสอายเลยนะเนี๊ย...ช่วงนี้ผมก็ไม่ค่อยได้ไปอุดหนุนท่านเท่าไหร่ แม่ค้า Canteen ที่ทำงานบ่นว่าขายไม่ดีเลยอุดหนุนเค้า ทั้งเที่ยงและมื้อเย็นเลย... ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 09 มิถุนายน 2011, 12:47:39
ไทยพาณิชย์ตีแผ่ ทำไม? ต่างชาติทิ้งหุ้นไทย  

บล.ไทยพาณิชย์วิเคราะห์

...ทำไม?...นักลงทุนต่างชาติลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย จาก Neutral เป็น underweight โดยระบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้

นับจากวันนี้ไปก็จะเหลือเวลาไม่ถึง 1 เดือนแล้วสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 3 ก.ค. 54 แต่หากหันมาดูตลาดหุ้นไทยดูเหมือนว่าปีนี้จะไม่เหมือนกับสถิติในอดีตที่ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นก่อนการเลือกตั้ง ในทางตรงข้ามดูเหมือนตลาดหุ้นจะลดลงก่อนการเลือกตั้งมากกว่า

เห็นได้จากนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิมาตั้งแต่การประกาศยุบสภาฯในวันที่ 10 พ.ค. 54 จนถึงสัปดาห์ที่แล้วมีมูลค่ารวมกัน 1.51 หมื่นล้านบาท มีแต่นักลงทุนในประเทศที่ซื้อสุทธิทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไป ภาพดังกล่าวแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในช่วงเดือน เม.ย. 54 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเก็งกำไรในเรื่องการยุบสภาฯ โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในเดือน เม.ย.ถึง 2.7 หมื่นล้านบาท ในขณะเดียวกันปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาลดลงต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท และ 2.5 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในตลาดฯ



เหตุผลที่นักลงทุนต่างชาติลดน้ำหนักในตลาดหุ้นไทยสู่ระดับ Underweight

- ดัชนีฯในช่วงปี 2010-11 ได้ปรับตัวขึ้นมาสะท้อนมูลค่าหุ้น (ค่า PER) ที่เหมาะสมแล้ว หลังจากที่ดัชนีฯเคยซื้อขายที่ค่า PER ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นในปี 2004-2006 รวมถึงประเมินว่าการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยได้ผ่านช่วงที่ดีที่สุดไปแล้ว

- ความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อ และผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
- ปัญหาความไม่แน่นอนของการเมืองในช่วงการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
- นักลงทุนต่างชาติมีสถานการณ์ถือครองในตลาดหุ้นไทยอยู่มากกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี
- ผลตอบแทนของตลาดฯที่เหลือของปี 2554 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาค

เราประเมินว่าสาเหตุเดียวกันที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นเอเชีย คือ ความกังวลรอบใหม่เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทั้งนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯและจีนได้แก่ ตัวเลข ISM ภาคการผลิตของสหรัฐฯ และตัวเลข PMI ภาคการผลิตของจีน เดือน พ.ค.พบว่า ลดลงติดต่อกันมา 2 เดือน ซึ่งส่งผลให้เกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะชะลอที่แรงกว่าคาดการณ์ สื่อต่างประเทศเริ่มกลับมาใช้คำว่า Hard landing สำหรับเศรษฐกิจจีน และ Double dip สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจดังกล่าวถือว่าเป็นตัวเลขสำคัญ เนื่องจากเป็นตัวเลขสะท้อนกิจกรรมในด้านการผลิตภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญที่ช่วยให้หนุนให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวในปี 2552-53 นอกจากนี้ ตัวเลขทั้ง 2 ยังถูกใช้เป็นดัชนีชี้นำ(Leading indicator) การเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคตอีกด้วย

ปัจจัยดังกล่าวถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันบรรยากาศการลงทุนต่อตลาดหุ้นในช่วงนี้แต่จะส่งผลดีต่อราคาทองคำ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจโลกกลับมาเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ดัชนีทั้ง 2 ตัวมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างใกล้ชิดกับ SET index ด้วย ประเด็นสำคัญ คือ เมื่อไหร่ที่ดัชนีทั้ง 2 ตัวจะฟื้นตัว เราคาดการณ์โดยประมาณว่าจะเป็นช่วงเดือน ส.ค. ทั้งนี้เนื่องจาก ประเมินว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ดัชนีทั้ง 2 ตัวอ่อนตัวลงเกิดจากปัจจัยในเรื่องแผ่นดินไหวญี่ปุ่นส่งผลต่อการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่หากจะให้ดีจริงๆน่าจะต้องใช้เวลาอีก 1-2 เดือน ดังนั้น หากเป็นไปตามที่ผมคาดการณ์ก็จะส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวในช่วงเวลาดังกล่าว

นอกจากนี้ เราคาดการณ์ต่อว่า หากการประกาศตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 2/54 ของสหรัฐฯในช่วงปลายเดือน ก.ค.ออกมาตามคาดการณ์ คือ 3% จะส่งผลในเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน เนื่องจากเป็นตัวเลขที่ฟื้นตัวจากตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 1/54 ที่เพิ่มขึ้นเพียง 1.8% ทั้งนี้รวมถึง การประกาศตัวเลข CPI ของประเทศในเอเชียหากมีสัญญาณชะลอตัวลงตามคาดการณ์ คือ ช่วงไตรมาสที่ 2-3 โดยรวมจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก

เมื่อไหร่ตลาดหุ้นไทยจะกลับไป 1200 จุด เราคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยหลังจากผ่านพ้นบรรยากาศของการ เลือกตั้งไปประมาณ 1-2 เดือน คือ ก.ค-ส.ค.จะเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อไปถึง 1200 จุดตามเป้าหมายของเรา เนื่องจากเราประเมินว่าเราจะเริ่มเห็นความชัดเจนเกี่ยวกับรัฐบาลใหม่ ถึงแม้ยังคงมีความเสี่ยงที่บรรยากาศการเมืองไทยอาจจะกลับมาเหมือนเดิมแต่คาดว่าจะไม่รุนแรงกว่าเดิม ประกอบกับ เราคาดว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ภาวะเศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัว อัตราเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัว ตามรูปภาพด้านบน

ความเสี่ยงด้านล่างของดัชนีฯอยู่บริเวณ 1030 จุด ทั้งนี้ ประเมินจากค่า PER 12 เท่า ซึ่งเราประเมินว่าเป็นระดับที่สามารถรองรับความเสียงได้ (เท่ากับ -1SD) โดยเราใช้สมมติฐานของ EPS ปี 2554 ที่ 86 บาท จาก Bloomberg consensus

ดังนั้น เราจึงแนะนำให้นักลงทุนทยอยซื้อหุ้นในกลุ่มธนาคาร ปิโตรเคมี พลังงาน ซึ่งเป็นหุ้นที่คาดว่าจะลดลงจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้ โดยหุ้นเด่น ยังคงเป็น KTB KBANK SCC PTTCH TOP ส่วนในระยะสั้น แนะนำ ซื้อหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก ได้แก่ CPALL  HMPRO


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 09 มิถุนายน 2011, 15:13:52

ม.หอการค้าไทย คาดต่างชาติกลับเข้าตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง Q3/54 เหตุพื้นฐานศก.ไทยยังแข็งแกร่ง ระบุขายหุ้นช่วงนี้แค่ระยะสั้น





ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า สาเหตุที่นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ได้เทขายทำกำไรในตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากโบรกเกอร์ต่างชาติได้มีการปรับลดน้ำหนักการลงทุน โดยมองว่ามีความเสี่ยงในเรื่องของการเมืองสูงขึ้น จากการที่จะมีการเลือกตั้งเพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจะมีผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตและมีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยเศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังมีโอกาสเติบโตเกิน 4% ทำให้เชื่อว่าแนวโน้มเงินทุนต่างชาติคงจะไหลกลับเข้ามาในช่วงไตรมาส 3/2554

ส่วน ปัญหาหนี้สินในแถบยุโรป ไม่ได้เป็นประเด็นกดดันตลาดหุ้นไทยเนื่องจากยังไม่ส่งสัญญาณกดดันตลาดหุ้นประเทศแถบยุโรปให้ปรับตัวลดลง ซึ่งประเด็นหลักคงมาจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีสัญญาณชะลอลง จากตัวเลขว่างงานที่สูงขึ้น การซื้อสินค้าคงทนถาวร เช่น บ้านและรถยนต์ต่ำกว่าคาด รวมไปถึงกำลังการผลิตยังหดตัวลง ประกอบกับเงินกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ QE2 จะสิ้นสุดในเดือนมิ.ย. แต่ทางผู้นำสหรัฐฯ ยังคงระบุว่าจะใช้มาตรการงบประมาณขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยอาจจะไม่ใช้ QE3 ในการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ ดังนั้น จึงส่งผลเชิงลบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก

นอกจากนี้ เชื่อว่าการที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง เม็ดเงินต่างชาติจะยังคงไม่ไหลออกอย่างเต็มที่ แต่จะนำไปลงทุนในตราสารหนี้ โดยเฉพาะพันธบัตรระยะสั้น เพราะได้ผลตอบแทนที่สูงในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น โดยเบื้องต้นประเมินอัตราดอกเบี้ยของประเทศในเอเชียจะปรับขึ้นเฉลี่ยอีก 0.5-1%

'ตลาดหุ้นไทยมีสัญญาณปรับตัวลดลง และมีสิทธิหลุด 1000 จุด หลังจากที่โบรกฯ ต่างชาติลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย แต่เชื่อว่ามีผลระยะสั้น เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังเติบโตดี โดยจีดีพีมีโอกาสเติบโตเกิน 4% ในปีนี้ โดยเชื่อว่าเงินทุนจากต่างชาติคงจะไหลกลับเข้ามาได้ในช่วงไตรมาส 3'ผศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าว

ด้านนายฉัตรชัย บุญรัตน์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ภาคเอกชนมีความเป็นห่วงเกี่ยวกับนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ที่ออกมาจะมีผลกระทบให้เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจไทยได้ในอนาคต โดยเฉพาะฐานะทางการคลัง หลังจากที่ธนาคารโลก ได้ออกมาเตือนว่านโยบายของพรรคการเมืองไทยจะนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจในอนาคต แต่ส่วนตัวมองว่านโยบายของพรรคการเมืองแต่ละพรรคเป็นเพียงการโฆษณาเพื่อหวังเรียกคะแนนเสียงจากประชาชน ดังนั้นจะต้องจับตาดูว่าหลังการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ จะมีนโยบายใดที่เป็นรูปธรรม แต่ขณะนี้ความเชื่อมั่นของต่างชาติได้ปรับตัวลดลงสะท้อนได้จากตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ปรับตัวลดลงค่อนข้างแรง จากความกังวลว่านโยบายของพรรคการเมืองจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะฐานะทางการคลังของประเทศ

'ตอนนี้ความเชื่อมั่นต่างชาติลดลงจากนโยบายของแต่ละพรรคที่หาเสียง เพราะหวั่นว่าในอนาคตจะกระทบและสร้างปัญหาให้กับเศรษฐกิจไทย แต่ส่วนตัวมองว่าเป็นการโฆษณาเพื่อเรียกคะแนนเสียงเท่านั้น แต่หากเป็นเรื่องจริงทั้งหมดจะเป็นภาระทางการคลังอย่างแน่นอน ซึ่งต่างชาติได้วิตกกังวลจนเทขายหุ้นไทยและนำเงินไปพักไว้ลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน เพราะความเสี่ยงทางการเมืองของไทยยังมีค่อนข้างสูง'นายฉัตรชัย กล่าว


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 มิถุนายน 2011, 15:26:26
ขอบคุณท่านเปาที่เอาข้อมูลมาฝาก  แม๋...เล่นเน้นหุ้นผมซะแดงแป๊ดเชียวนะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 09 มิถุนายน 2011, 16:57:53
ประเทศไทยมีครบเครื่องซะอย่างนี้ ต่างชาติจะหนีไปได้ไง....ว่ามั้ยทุกท่าน... ;D ขาดอยู่สองอย่าง โลจิสต์ฯ กะ 3G .... ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 10 มิถุนายน 2011, 15:27:00
วันนี้เราจะมาวิเคราะห์งบการเงินแบบคร่าวๆหยาบๆกันนะครับ  โดยใช้ตัวอย่างจากบริษัท  CPALL  เจ้าเก่า

งบการเงินรายปี

http://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=CPALL&language=th&country=TH

     ถ้าดูแบบหยาบๆ  ดูที่กำไรก็พอครับ  ถ้าสังเกตจะเห็นว่า  ยอดขายไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายอะไร  แต่สิ่งที่โตก็คือกำไร  คงจะเป็นเพราะว่า  เขาขายของเน้นที่คุณภาพมากขึ้น  อาหารอาจจะรสชาติอร่อย  ถึงขายแพงแต่คนก็ซื้อ  มันก็เลยทำให้กำไรโต  เพราะฉะนั้น  ดูกำไรเป็นหลักครับ  ราคาหุ้นนั้นจะวิ่งไปพร้อมกับกำไร  ถ้ากำไรมากขึ้น  ราคาหุ้นก็จะมากขึ้น  ถ้ากำไรลดลง  ราคาหุ้นก็มักจะลดลง  แต่ถ้าหากสองอย่างนี้ไม่ไปด้วยกัน  นั่นคือโอกาสของเราครับ  เช่น  ถ้ากำไรเพิ่มขึ้นระเบิดเถิดเทิง  แต่ราคาหุ้นไม่ไปไหน  อย่างนี้เราควรรีบเก็บก่อนที่มันจะวิ่งขึ้นไปครับ  แต่ถ้ากำไรตก  แล้วราคาหุ้นยังไม่ลง  ถ้าเรามีหุ้นอยู่  อันนี้ต้องรีบขาย
     และเมื่อหารเป็นกำไรต่อหุ้นแล้วจะทำให้เราดูง่ายขึ้น  เริ่มจากปี 50 ที่กำไรต่อหุ้น 0.33 บาท  ราคาหุ้นตอนนั้น 10.90 บาท  พอปี 51  กำไรต่อหุ้น 0.74 บาท  ราคาหุ้นก็เพิ่มขึ้นเป็น 12.30 บาท  และปีที่แล้วปี 53  กำไรต่อหุ้น 1.48 บาท  และราคาหุ้นขึ้นเป็น  39.25 ครับ  สำหรับตัวเลขค่าอื่นๆ  อย่าไปสนใจมันมากก็ได้ครับ  เพราะนี่คือการดูแบบหยาบๆ  ดูที่กำไรตัวเดียวก็พอ

งบดุล

http://www.set.or.th/set/companyfinance.do?type=balance&symbol=CPALL&language=th&country=TH

     ดูที่เงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นก่อนเลย  เพราะเงินสองตัวนี้  สามารถนำมาใช้ได้ทุกเมื่อ  ถือว่าเป็นพื้นฐานของกิจการทีเดียว  ถ้าเงินเหลือมาก  เวลาจะลงทุนทำอะไรก็ไม่ต้องไปกู้เขาให้เสียดอก  ดูจากงบตัวนี้แล้วเห็นว่า  เงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นมีรวมกันถึงสองหมื่นกว่าล้านบาท  แต่หนี้สินระยะยาวไม่มี  เพราะฉะนั้นแล้ว  บริษัทนี้เป็นบริษัทปลอดหนี้...แม๋   อะไรจะเริ่ดขนาดนั้น  ที่มีหนี้หนักๆก็เห็นจะเป็นรวมหนี้สินหมุนเวียน  มีมูลค่า  27150.03  ล้าน  ตรงนี้ตีความได้ว่า  เป็นต้นทุนค่าสินค้าที่เราต้องจ่ายให้เจ้าหนี้  เพราะเราเอาสินค้าเขามาขายเพื่อกินกำไร  แต่หนี้ในส่วนนี้จะถูกหักล้างด้วยรวมสินทรัพย์หมุนเวียน  ซึ่งมีมูลค่า  32233.72 ล้าน  อธิบายได้ว่า  ต้นทุนสินค้าสองหมื่นเจ็ดพันล้าน  แต่ถ้าเราได้ขายของออกไปได้  จะทำให้มีเงินเข้ามาสามหมื่นสองพันล้าน  เพราะฉะนั้น  เรื่องหนี้สินหมุนเวียนและสินทรัพย์หมุนเวียน  มันจะสามารถหักล้างกันได้  ไม่ต้องไปดูอะไรมาก  เพราะเราดูแบบหยาบๆ  เมื่อดูบรรทัดสุดท้าย  รวมส่วนของผู้ถือหุ้น  มีเงินอยู่สองหมื่นล้าน  บริษัทนี้.....ดี  เงินเหลือพะเรอเกวียน

งบกำไรขาดทุน

http://www.set.or.th/set/companyfinance.do?type=income&symbol=CPALL&language=th&country=TH

     ตรงนี้มาดูที่รวมรายได้  35900.86  นำมาหักจากรวมค่าใช้จ่าย  35958.06  เหลือกำไรสุทธิ  2086.56  เมื่อคิดเป็นอัตรากำไรต่อหุ้นคือ  0.46  สรุปว่าบริษัทนี้.....ดีอีกแล้ว  เพราะไม่ขาดทุน  เหอ  เหอ

งบกระแสเงินสด
     อันนี้ยกแบบรายปีมาให้ดูเพื่อความกระจ่าง  อาจจะยาวไปนิดนึง  พยายามดูหน่อยก็แล้วกันนะครับ  หมายเหตุ  ถ้าตรงไหนวงเล็บแสดงว่าเป็นลบ


บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย                           
งบกระแสเงินสด                                      
สำหรับแต่ละปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2553 และ 2552                           
                           
         งบการเงินรวม            งบการเงินเฉพาะกิจการ      
   หมายเหตุ      2553      2552      2553      2552
         (บาท)                  
กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน                           
กำไรสำหรับปี         6,669,767,352        5,013,137,835       6,142,569,745       4,597,321,211
รายการปรับปรุง                           
ค่าเสื่อมราคา   13, 26      2,900,446,308       2,684,037,438       2,524,094,759       2,298,194,204
ค่าตัดจำหน่าย - สินทรัพย์ไม่มีตัวตน   26      108,606,807       90,572,792       69,335,500       58,089,130
ค่าตัดจำหน่าย - สิทธิการเช่า   26      83,939,748       84,078,902       83,939,748       84,078,902
ดอกเบี้ยรับ         (339,202,521)      (296,895,395)      (132,934,450)      (115,231,430)
เงินปันผลรับ         (37,120)      (33,736)      (463,993,348)      (433,995,488)
ต้นทุนทางการเงิน         111,706       2,473,529       -        -  
ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้   27      2,487,358,316       1,773,966,792       2,221,683,057       1,536,156,864
สำรองเงินชดเชยพนักงานออกจากงาน   17      217,561,434       77,634,091       192,900,000       66,400,000
ค่าเผื่อขาดทุนจากสินค้าที่เคลื่อนไหวช้า         209,559,771       137,372,012       206,654,570       121,413,846
หนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ           2,349,011       7,767,519       1,193,776       2,175,234
ค่าเผื่อ (กลับรายการค่าเผื่อ) ขาดทุนจากการด้อยค่า                           
   ของที่ดิน อาคารและอุปกรณ์         1,898,843       (2,416,210)      -        -  
(กำไร) ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน                           
   ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง         (33,297,014)      5,812,969       3,394,157       2,910,190
ขาดทุนจากการขายและตัดจำหน่ายที่ดิน อาคาร                           
   และอุปกรณ์         37,724,902       50,829,056       36,584,040       48,824,060
ขาดทุนจากการตัดจำหน่ายสินทรัพย์ไม่มีตัวตน         -        11       -        -  
กำไรจากการขายสิทธิการเช่า         (455,010)      (2,200,186)      (455,010)      (2,200,186)
(กำไร) ขาดทุนจากการขายเงินลงทุนใน                           
   บริษัทย่อย         -        (10,115,010)      -        1,419,060  
         12,346,332,533       9,616,022,409       10,884,966,544       8,265,555,597
                           
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย                           
งบกระแสเงินสด                                      
สำหรับแต่ละปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2553 และ 2552                           
                           
         งบการเงินรวม            งบการเงินเฉพาะกิจการ      
   หมายเหตุ      2553      2552      2553      2552
         (บาท)                  
การเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงาน                           
ลูกหนี้การค้า         (37,530,939)      106,518,808       (33,166,196)      (14,182,632)
ลูกหนี้อื่น         (276,888,306)      36,821,725       (315,648,251)      23,331,927
สินค้าคงเหลือ         (826,775,433)      (593,808,872)      (756,100,882)      (651,087,308)
สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น         (385,268,294)      (691,257,939)      (351,631,348)      (745,978,359)
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่น         (119,319,905)      (18,470,535)      (22,742,293)      (7,691,824)
เจ้าหนี้การค้า         2,423,667,585       1,455,734,003       2,358,827,227       2,511,724,348
หนี้สินหมุนเวียนอื่น          874,985,432       312,346,330       449,844,226       (156,422,506)
สำรองเงินชดเชยพนักงานเมื่อออกจากงาน         (137,598)      -        -        -  
เงินประกันค้างจ่าย         424,276,456       273,913,729       431,235,936       293,841,439
จ่ายภาษีเงินได้         (2,083,431,798)      (1,492,428,937)      (1,844,298,728)      (1,239,487,345)
เงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน         12,339,909,733        9,005,390,721       10,801,286,235       8,279,603,337
                           
กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน                           
รับดอกเบี้ย         182,653,821       150,303,666       133,822,719       118,628,376
รับเงินปันผล         37,120       33,736       463,993,348       433,995,488
ซื้อเงินลงทุนชั่วคราว         (4,849,562,712)      (445,692,264)      (598,417,012)      (1,075,283,526)
ขายเงินลงทุนชั่วคราว         1,677,203,278        -        1,396,010,076        -  
เงินสดจ่ายสำหรับการลงทุนในบริษัทย่อย/                           
   การชำระบัญชีของบริษัทย่อย   11      (27)      -        (10)      (1,208,202,000)
เงินสดรับจากการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อย         -        75       -        33
เงินสดจ่ายสำหรับการลงทุนในหุ้นกู้แปลงสภาพ                           
   ของกิจการที่เกี่ยวข้องกัน   12      -        (1,221,370,093)      -        -  
เงินสดรับจากการใช้สิทธิขายเงินลงทุนในหุ้น                           
   บุริมสิทธิแปลงสภาพของกิจการที่เกี่ยวข้องกัน   12      3,787,726,201       -        34,912,765        -  
เงินสดจ่ายสำหรับเงินลงทุนระยะยาวอื่น         (640,883,156)      (50,000,000)      (640,883,156)      (50,000,000)
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดของ                           
   บริษัทย่อยที่ขายไป         -        (37)      -        -  
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย                           
งบกระแสเงินสด                                      
สำหรับแต่ละปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2553 และ 2552                           
                           
         งบการเงินรวม            งบการเงินเฉพาะกิจการ      
   หมายเหตุ      2553      2552      2553      2552
         (บาท)                  
รับชำระคืนเงินให้กู้ยืมระยะยาว                           
   แก่กิจการที่เกี่ยวข้องกัน   4      -        -        858,200,000        637,500,000
เงินสดจ่ายสำหรับเงินให้กู้ยืมระยะยาว                           
   แก่กิจการที่เกี่ยวข้องกัน   4      -        -        (600,200,000)      (372,000,000)
ซื้อที่ดิน อาคารและอุปกรณ์   32      (4,093,294,946)      (3,674,588,868)      (3,838,042,599)      (3,369,111,086)
ขายที่ดิน อาคารและอุปกรณ์         224,318,477       123,044,105       217,026,656        123,109,902
ซื้อสินทรัพย์ไม่มีตัวตน   32      (111,754,892)      (138,688,460)      (102,973,307)      (111,179,546)
ขายสินทรัพย์ไม่มีตัวตน         101,825        -        -        -  
ซื้อสิทธิการเช่า         (54,721,856)      (89,022,840)      (54,721,856)      (89,022,840)
ขายสิทธิการเช่า         5,556,928       7,415,658       5,556,928       7,415,658
เงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมลงทุน         (3,872,619,939)      (5,338,565,322)      (2,725,715,448)      (4,954,149,541)
                           
กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน                           
จ่ายดอกเบี้ย         (164,687)      (3,097,722)      -        -  
จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นของบริษัท   30      (5,391,777,629)      (2,695,888,814)      (5,391,777,629)      (2,695,888,814)
จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นส่วนน้อย         (6,652)      (4,512)      -        -  
เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้น                            
   จากสถาบันการเงินลดลง         (10,212,018)      (157,783,474)      -        -  
เงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงิน         (5,402,160,986)      (2,856,774,522)      (5,391,777,629)      (2,695,888,814)
                           
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเพิ่มขึ้นสุทธิ         3,065,128,808       810,050,877       2,683,793,158       629,564,982
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ วันต้นปี         12,682,282,755       11,896,726,054       9,495,769,282       8,866,204,300
ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนของยอดคงเหลือ                           
   ที่เป็นเงินตราต่างประเทศ         (31,642,460)      (24,494,176)      -        -  
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ วันสิ้นปี   5      15,715,769,103       12,682,282,755       12,179,562,440       9,495,769,282

     โดยปกติแล้วงบกระแสเงินสดนี้จะแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ  ซึ่งแต่ละอันก็จะบอกความหมายและเรื่องราวของบริษัทได้ดีมาก  แต่คนที่สนใจงบนี้มีน้อย  อาจจะเป็นเพราะว่าเขาตีความไม่เป็น  มันก็เลยทำให้เขาไม่ค่อยดูกัน  แต่งบนี้เป็นงบที่สำคัญมากงบหนึ่งเลยทีเดียว  เดี๋ยวผมจะมาไขความลับให้ได้รู้กัน

     สามส่วนหลักๆในงบการเงินนี้มี  กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน  กระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุน  และกระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน  โดยย่อๆแล้วความหมายของแต่ละอันคือ

     กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน  อันนี้หมายถึง  การที่เราลุกขึ้นมาทำโน่นทำนี่เพื่อให้เงินมันมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นซื้อมาขายไป  หรือรับจ้างทำอะไรต่างๆก็แล้วแต่  มันจะส่งผลมายังงบนี้  ซึ่งถ้างบนี้เป็นบวก  ก็แสดงว่าเราทำงานเป็น  หาเงินเก่ง  การดำเนินงานมันก็เลยเป็นบวก  แต่ถ้าเป็นลบนี่แย่  เพราะว่าเราทำแล้วมันขาดทุน  ดูจากงบนี้  บริษัทมีตัวเลขเป็นบวกอยู่  หมื่นสองพันล้าน  ในปี 53

     กระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุน  อันนี้มันหมายถึง  เราได้เอาเงินที่มีอยู่ไปลงทุนทำอะไรก็ได้  ถ้างบเป็นบวกนี่ไม่ดีนะ  เพราะมันหมายถึงเราอาจจะขายของเก่ากิน  เช่นขายตึกหรือโรงงานออกไป  ทำให้มีเงินเข้ามาในกระเป๋า  แต่การได้เงินเข้ามาในลักษณะนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่  เนื่องจากว่าสินทรัพย์มันลดลงกลายมาเป็นเงินแทน  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้า 7-11 ขายสาขาออกไปเรื่อยๆ  ถึงแม้จะมีเงินเสดเข้ามา  แต่สาขามันลดลง  ทำให้ในระยะยาวแล้ว  จะหาเงินได้น้อยลง  แต่ถ้างบนี้เป็นลบนี่กลับดี  เพราะว่ามันหมายถึงเราได้มีการเอาเงินออกจากกระเป๋าไปลงทุนเพิ่ม  เช่นไปซื้อตึกเพื่อเปิด 7-11 สาขาใหม่  ดูจากงบนี้  บริษัทมีการลงทุนเพิ่มไป สามพันแปดร้อยล้าน

     กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน  อันนี้ก็คล้ายๆอันที่สอง  ถ้าเป็นบวกนั่นหมายถึงมีเงินเข้ามา  แต่เงินที่เข้ามาในลักษณะนี้จะเป็นเงินที่ได้มาจากการไปกู้ยืมมา  หรืออาจจะเป็นการเพิ่มทุน  ซึ่งการเพิ่มทุนนี้ไม่ดีต่อผู้ถือหุ้นเลย  เอาไว้วันหลังจะมาลงเพิ่มเติมก็แล้วกันนะครับสำหรับหัวข้อการเพิ่มทุน  ถ้างบตัวนี้เป็นบวกต้องระวัง  เพราะมันแสดงให้เห็นถึงสัญญาณว่า  บริษัทพึ่งพาตัวเองไม่ได้  จนต้องใช้เงินที่มาจากภายนอกบริษัท  แต่ถ้างบนี้ออกมาเป็นลบนี่ดีมากๆ  เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเรามีเงิน  และเราก็เอาเงินพวกนี้ไปจ่ายหนี้ที่เรากู้มา  ทำให้ดอกเบี้ยลดลง  หรือเอาไปจ่ายเป็นเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น  ซึ่งอันนี้ต้องไปดูรายละเอียดอีกทีว่าเขาระบุเป็นอย่างไร  เมื่อดูจากงบจะเห็นว่า  ใช้เงินไป  ห้าพันสี่ร้อยล้าน  แต่ที่จ่ายออกไปหนักๆคือปันผล  เป็นเงินถึง  เกือบห้าพันสี่ร้อยล้าน

    
     เมื่อสรุปเป็นภาพกว้างๆออกมาในงบกระแสเงินสดจะพบว่า  ถ้างบที่ดีจะต้องมีลักษณะเป็น  บวก  ลบ  ลบ  แต่ถ้าเป็น  ลบ  บวก  บวก  นี่สาหัส  ตัวใครตัวมันเด้อ..อออ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 10 มิถุนายน 2011, 15:35:30
ละเอียดยิบเลย สมกะเป็น super stock  ;D
วันนี้เริ่มบาวด์


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: LoveYou2 ที่ วันที่ 12 มิถุนายน 2011, 20:58:05
ร้านท่านวายุ อยู่แถวไหนนะครับ
ว่าจาไปอุดหนุนหน่อยน่ะครับ  ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 12 มิถุนายน 2011, 21:42:39
     ขายอยู่หน้าบริษัทเมืองไทยประกันชีวิตครับ  ขายแต่ตอนเย็น  หยุดทุกวันเสาร์  แล้วทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมกระทู้ผม  ได้อ่านหัวข้อการอ่านงบการเงินหรือยังครับ  งบนี้สำคัญนะ  เพราะมันคล้ายกับเป็นแผนที่นำทางเพื่อแกะรอยพาเราไปหาสมบัติทีเดียว  ใครอ่านไม่เป็นล่ะก็...เชยแย่เลย  ถือว่าไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของผมนะครับ  พยายามทำความเข้าใจกับมันหน่อยแล้วกัน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 12 มิถุนายน 2011, 21:45:24
ขายอยู่หน้าบริษัทเมืองไทยประกันชีวิตครับ  ขายแต่ตอนเย็น  หยุดทุกวันเสาร์
แล้วตอนนี้ทำไมว่างมาตอบกระทู้ได้ มันเป็นเวลาเมคมั่นนี่ของท่านไม่ใช่รึ..?
 ขยันจัง ทั้งแมนทั้ง มันนี่... ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 12 มิถุนายน 2011, 21:52:01
     วันนี้หยุดเด้อ...พอดีไปเลือกตั้งมา


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 12 มิถุนายน 2011, 22:42:46
     ขายอยู่หน้าบริษัทเมืองไทยประกันชีวิตครับ  ขายแต่ตอนเย็น  หยุดทุกวันเสาร์  แล้วทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมกระทู้ผม  ได้อ่านหัวข้อการอ่านงบการเงินหรือยังครับ  งบนี้สำคัญนะ  เพราะมันคล้ายกับเป็นแผนที่นำทางเพื่อแกะรอยพาเราไปหาสมบัติทีเดียว  ใครอ่านไม่เป็นล่ะก็...เชยแย่เลย  ถือว่าไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของผมนะครับ  พยายามทำความเข้าใจกับมันหน่อยแล้วกัน
คนไม่ได้เรียนบัญชีมา ก็คงเข้าใจยากอยู่นา ท่านวายุช่วยสอนดิ  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 13 มิถุนายน 2011, 15:59:04
     ผมก็ไม่ได้เรียนบัญชีมาหรอก  แค่เคยมีแฟนเรียนพาณิชย์เท่านั้น  ผมจบเทคนิคเชียงรายช่างอิเล็กฯมา  แต่ของอย่างนี้เราหัดกันได้นี่  ในกระทู้ของผมก็บอกค่อนข้างละเอียดนะ แถมมีตัวอย่างประกอบการสอนด้วย  ใครอ่านไม่เป็นก็ถามมา  เดี๋ยวจัดให้  แต่อย่าลึกมากนะ  ปวดเฮดสะแมนแตน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 13 มิถุนายน 2011, 16:45:43
ว่าแต่ว่าท่านวายุไม่หวั่น โลตัส เหรอ ถ้าเขาค่อยๆคืบขยายสาขาแบบเดียวกะเซเว่น น่ากลัวน่ะ สินค้าเขาก็เข้าท่า โดยเฉพาะด้านอาหารสดและแห้ง มีมากกว่า คิดว่า  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 15 มิถุนายน 2011, 15:52:57
ตอบท่านเปา
     จริงๆแล้วทุกวันนี้ผมก็ไม่ค่อยเข้า 7-11 เท่าไหร่หรอกนะ  เพราะของมันแพง  โดยในส่วนของ 7-11 นี้เขาเน้นขายอาหาร  แต่ผมก็ไม่ค่อยได้ไปซื้อกินเท่าไหร่  เพราะผมขายของกินอยู่แล้ว  แต่ที่ซื้อหุ้นเขาก็เพราะว่า  คนอื่นอาจจะดำเนินชีวิตไม่เหมือนผม  เขาอาจใช้บริการ 7-11 มากกว่า  เมื่อผมดูจากงบการเงิน  เห็นว่ากำไรเขาทำได้ดีมาก  จริงๆผมก็ชอบโลตัสเหมือนกันนะ  เพียงแต่ว่า  หุ้นเขาไม่มีให้ซื้อ  และการที่ผมซื้อหุ้นของ 7-11 นี้  ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะถือไปจนเป็นมรดกหรอกนะ  เพราะเมื่อถึงเวลาหนึ่งที่บริษัทเขาหยุดโต  หรือมีคู่แข่งเพิ่มเข้ามาในตลาดมากขึ้นจนเป็นเหตุทำให้กำไรเขาไม่โตแล้ว  เมื่อนั้นก็จะถึงเวลาบ๊ายบายเสียที  ขายเสร็จก็หันไปหาตัวอื่นที่น่าสนใจต่อไป  เหมือนที่บัฟเฟตพูดว่า  "ถือมันไว้  ตราบเท่าที่มันยังเป็นบริษัทที่ดีอยู่"

     ถ้าเราจำกันได้  เมื่อสักสิบกว่าปีที่ผ่านมา  ตอนนั้นมือถือกำลังเข้ามาใหม่ๆ  ตลาดยังไม่อิ่มตัว  ถ้าเราซื้อหุ้นแอดวานซ์เอาไว้แล้วถือมาจนถึงตอนนี้  กำไรเท่าไหร่แล้ว  แต่ตอนนี้ธุรกิจนี้กำลังจะอิ่มตัว  เนื่องจากว่าใครก็มีมือถือกันหมดแล้ว  เพราะฉะนั้น  ถ้าผมมีตัวนี้อยู่  ผมก็คงจะขายเพื่อเอาเงินที่ได้ไปซื้อตัวอื่นที่กำลังจะโตต่อไป


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 16 มิถุนายน 2011, 14:31:22
ตอบท่านเปา
     จริงๆแล้วทุกวันนี้ผมก็ไม่ค่อยเข้า 7-11 เท่าไหร่หรอกนะ  เพราะของมันแพง  โดยในส่วนของ 7-11 นี้เขาเน้นขายอาหาร  แต่ผมก็ไม่ค่อยได้ไปซื้อกินเท่าไหร่  เพราะผมขายของกินอยู่แล้ว  แต่ที่ซื้อหุ้นเขาก็เพราะว่า  คนอื่นอาจจะดำเนินชีวิตไม่เหมือนผม  เขาอาจใช้บริการ 7-11 มากกว่า  เมื่อผมดูจากงบการเงิน  เห็นว่ากำไรเขาทำได้ดีมาก  จริงๆผมก็ชอบโลตัสเหมือนกันนะ  เพียงแต่ว่า  หุ้นเขาไม่มีให้ซื้อ  และการที่ผมซื้อหุ้นของ 7-11 นี้  ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะถือไปจนเป็นมรดกหรอกนะ  เพราะเมื่อถึงเวลาหนึ่งที่บริษัทเขาหยุดโต  หรือมีคู่แข่งเพิ่มเข้ามาในตลาดมากขึ้นจนเป็นเหตุทำให้กำไรเขาไม่โตแล้ว  เมื่อนั้นก็จะถึงเวลาบ๊ายบายเสียที  ขายเสร็จก็หันไปหาตัวอื่นที่น่าสนใจต่อไป  เหมือนที่บัฟเฟตพูดว่า  "ถือมันไว้  ตราบเท่าที่มันยังเป็นบริษัทที่ดีอยู่"

     ถ้าเราจำกันได้  เมื่อสักสิบกว่าปีที่ผ่านมา  ตอนนั้นมือถือกำลังเข้ามาใหม่ๆ  ตลาดยังไม่อิ่มตัว  ถ้าเราซื้อหุ้นแอดวานซ์เอาไว้แล้วถือมาจนถึงตอนนี้  กำไรเท่าไหร่แล้ว  แต่ตอนนี้ธุรกิจนี้กำลังจะอิ่มตัว  เนื่องจากว่าใครก็มีมือถือกันหมดแล้ว  เพราะฉะนั้น  ถ้าผมมีตัวนี้อยู่  ผมก็คงจะขายเพื่อเอาเงินที่ได้ไปซื้อตัวอื่นที่กำลังจะโตต่อไป

มีเหตุผลดีครับ ชอบจริงๆ อิอิ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 16 มิถุนายน 2011, 15:58:27
เฮฮาประสาหุ้น
     วันไหนรายย่อยซื้อ  วันนั้นหุ้นตก  วันไหนรายย่อยขาย  วันนั้นหุ้นขึ้น


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: singhato ที่ วันที่ 19 มิถุนายน 2011, 21:59:13
ดันครับเดี๋ยวท่านอื่นจะไม่ได้อ่านเนื้อหาดีๆ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 21 มิถุนายน 2011, 12:49:11
เอามาฝากเจ้าของบริษัท ;D

CPALL คาดแนวโน้ม Q2/54 โตรับเงินสะพัดช่วงหาเสียง,มองโอกาสเข้าเวียดนาม
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และรองประธานกรรมการ บมจ.ซีพี ออลล์(CPALL) กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/54 จะได้รับผลดีจากช่วงการหาเสียงเลือกตั้งที่มีเม็ดเงินสะพัดมากขึ้น จนทำให้ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ยอดขายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นเพิ่มขึ้น

ประกอบกับ บริษัทมีการบริหารต้นทุนได้ดีจนทำให้รักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้คงไว้ได้ที่ประมาณ 26% จากปี 53 น่าจะทำให้ไตรมาส 2/54 ผลประกอบการดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน

ส่วนแผนการลงทุนขนาดใหญ่ของบริษัท คือการเตรียมการเพื่อลงทุนเปิดร้านเซเว่นฯ ในประเทศจีน แต่คาดว่าจะไม่ทันในปีนี้ เนื่องจากทางฝ่ายญี่ปุนที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ยังไม่มีการพิจารณา แต่บริษัทมั่นใจว่ามีความพร้อมค่อนข้างมากในการจะรุกสาขาในจีน ทั้ง บุคคลากร และเงินทุน โดยที่ผ่านมาทางญี่ปุ่นได้ให้ใบอนุญาตร้านเซนเว่นฯ ที่ฮ่องกงและไต้หวันไปเปิดสาขาในปักกิ่งแล้ว จึงมองว่าโอกาสที่บริษัทที่จะเข้าไปเปิดสาขาในจีนเพิ่มมีค่อนข้างสูง

ขณะที่ปัจจุบันสาขาร้านเซเว่นฯ ในไทย มีจำนวนมากสุดอันดับ 3 ของโลกที่ 6,000 สาขา รองจากญี่ปุ่นที่มี 13,000 สาขา และ สหรัฐอเมริกามี 7,000 สาขา

นายก่อศักดิ์ ยังกล่าวเพิ่มอีกด้วยว่า นอกจากมองการลงทุนในจีนแล้ว บริษัทยังมองหาโอกาสที่จะเติบโตด้วยการขยายการลงทุนในกลุ่มประเทศอินโดจีน โดยเฉพาะเวียดนาม ถือว่ามีศักยภาพเติบโตค่อนข้างดี ซึ่งหากการลงทุนในจีนยังไม่คืบหน้า ก็จะมองตลาดเวียดนามแทน

อย่างไรก็ตาม บริษัทก็จะมีการลงทุนสร้างโรงงานอาหารแต่ก็เป็นจำนวนเงินที่ไม่มาก จึงทำให้มีโอกาสที่บริษัทจะนำเงินไปบริหารด้านอื่น เช่น การจ่ายเงินปันผล เพราะหุ้นของบริษัทเป็นหุ้นที่ไม่หวือหวา แต่มีความสม่ำเสมอในด้านเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น เพื่อเป็นการจูงใจให้มีการลงทุนระยะยาว

ผมสงสัยว่าโลตัส เป็นของกลุ่ม ซีพี ด้วยเหรอ  


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 21 มิถุนายน 2011, 15:10:37
ตอบท่านเปา
     ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเป็นของซีพีหรือเปล่า  ผมว่าไม่น่าจะใช่  น่าจะเป็นทุนข้ามชาติมากกว่า  เคยได้ยินมาแว่วๆว่าเป็นของฝรั่ง

ทฤษฎีสองสูง
     เจ้าสัวธนินท์ซึ่งเป็นผู้นำของอาณาจักรเครือซีพีได้ออกมาบอกว่า  ทุกวันนี้เราต้องใช้ทฤษฎีสองสูงเข้ามาจัดการกับปัญหาการเงินของชาติ  กล่าวคือ  รัฐบาลไม่ควรกดราคาสินค้าในประเทศ  ควรจะปล่อยให้ราคามันเป็นไปตามกลไกตลาด  ถ้ามันแพงก็ปล่อยมันแพง  เมื่อสินค้าราคาแพง  เราก็ขึ้นค่าแรงตามราคาสินค้าไป  ซึ่งจะทำให้มันสมดุลกัน

     แต่เหรียญอีกด้านหนึ่งสำหรับความคิดเห็นส่วนตัวผมเองเห็นว่า  ข้อเสียของการทำแบบนั้นมันก็มีคือ  ถ้าข้าวของแพงขึ้น  ค่าแรงงานแพงขึ้น  สิ่งที่จะกระทบก็คือ

1.งานในตลาดแรงงานอาจจะหายไป  เพราะถ้าค่าแรงเพิ่ม  ผู้ที่เป็นนายจ้างก็จะต้องมีภาระจ่ายเพิ่มขึ้น  ทำให้การผลิตสินค้าออกมาขายได้กำไรน้อยลง  หรือบางที  อาจจะสู้กับประเทศอื่นๆที่ค่าแรงถูกกว่าไม่ได้เลย  เพราะต้นทุนค่าแรงงานจะต้องโดนบวกเข้าไปในสินค้า  แต่ถ้ามีสินค้าแบบเดียวกันผลิตจากประเทศที่ค่าแรงต่ำกว่าเช่นจีนเข้ามาตีตลาด  ซึ่งทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว  สินค้าที่ผลิตจากไทย  ไม่สามารถที่จะลดราคาลงได้มากกว่านั้นอีกแล้ว  อาจทำให้ขายสินค้าไม่ออก  เมื่อถึงเวลานั้น  อาจทำให้บริษัทเจ๊งได้เลยทีเดียว   ถ้าผู้ประกอบการต้องการอยู่รอด  เขาต้องย้ายฐานการผลิตไปที่ประเทศอื่นซึ่งมีค่าแรงถูกกว่าไทย  และเมื่อถึงเวลานั้น  ก็จะมีคนไทยตกงานอีกไม่รู้กี่คน  เพราะเท่าที่ดูทุกวันนี้แล้ว  ในประเทศไทยมีนิคมอุตสาหกรรมมากมายเหลือเกิน  และมีคนไทยในนิคมพวกนั้นเป็นจำนวนไม่รู้เท่าไหร่  ถ้าคนพวกนั้นตกงานขึ้นมา  แล้วจะมีใครมีเงินไว้ซื้อสินค้าต่างๆได้  ถ้าค่าแรงแพงเสียเปล่า  แต่ไม่มีงานให้ทำ  มันจะมีประโยชน์อะไร

2.ถ้าคนในประเทศไม่มีงานทำ  แต่ละคนก็จะซื้อสินค้าและบริการต่างๆน้อยลง  เป็นเหตุทำให้รัฐบาลเก็บภาษีได้น้อยลง  ไม่ว่าจะเป็น  VAT  ภาษีรายได้  และภาษีอื่นๆ  เมื่อถึงตอนนั้น  คุณภาพชีวิตของคนไทยก็อาจจะต่ำลงได้  เนื่องจากว่าไม่มีเงินไปพัฒนาประเทศเช่น  สิทธิคนไทยรักษาฟรี  การสร้างสถานที่ต่างๆเช่น  ถนนหรือโรงพยาบาล  การจ้างข้าราชการในหน่วยงานต่างๆ  ซึ่งถ้ารัฐบาลไม่ต้องการจะปลดข้าราชการออกจากระบบ  วิธีที่จะประคองให้สถานการณ์เป็นไปอย่างเดิมได้คือ  การขึ้นภาษี

3.การท่องเที่ยวอาจซบเซา  เนื่องจากของทุกอย่างในประเทศมีราคาแพง  นักท่องเที่ยวที่มีเงินไม่มากพอ  อาจตัดสินใจไม่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทย  เพราะถ้าเขาเข้ามาเที่ยว  อาจจะพักอยู่ได้ไม่นาน  ซึ่งก็มีผลทำให้  สินค้าและบริการต่างๆที่พึ่งพาการท่องเที่ยว  ไม่ว่าจะเป็นพนักงานโรงแรม  สายการบินต่างๆ  คนขับแท็กซี่  ผับบาร์  คนขายของที่ระลึก  ร้านอาหาร  ฯลฯ  จะล้มหายตายจากอีกเป็นจำนวนเท่าใด

     เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  เราก็ต้องมาลองชั่งน้ำหนักดูว่า  อย่างไหนเสียหายกว่ากัน  แต่ตามสถานการณ์แล้วผมเห็นว่า  ค่าแรงคงจะต้องขึ้นแน่นอน  เนื่องจากว่าสองพรรคการเมืองใหญ่  ใช้ประเด็นนี้มาชูเพื่อเรียกคะแนนเสียงจากชนชั้นแรงงานซึ่งมีเป็นจำนวนมากในประเทศไทย  ผมก็ได้แต่คอยดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่า  สุดท้ายแล้วผลจะออกมาเป็นอย่างไร  และผมจะสามารถหาประโยชน์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 21 มิถุนายน 2011, 17:01:37
เกี่ยวกับเทสโก้ และโลตัส...http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B9%89_%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%AA


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 22 มิถุนายน 2011, 16:33:27
สินค้าโภคภัณฑ์
     ในความเข้าใจของผมแล้ว  สินค้าโภคภัณฑ์หมายถึง  สินค้าอะไรก็ตามที่ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ  และมันสามารถซื้อขายได้เช่น  ทองคำ  น้ำมัน  เนื้อหมู  ข้าว  น้ำตาล  เสื้อผ้า  ฯลฯ  เมื่อเรามามองถึงบริษัทที่ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้ก็จะเห็นว่า  มีในตลาดหลักทรัพย์มากมาย  และการที่เราจะประสบความสำเร็จในการลงทุนกับบริษัทสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้  เราต้องทำความเข้าใจกับปัจจัยหลายอย่าง  เนื่องจากว่า  สินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้นั้น  ต่างก็มีข้อดีและข้อด้อย  ซึ่งขณะที่เรากำลังจะลงทุน  ก็ต้องหูตากว้างขวางมากพอที่จะมองไปถึงต่างประเทศเพื่อมาชั่งน้ำหนักในการลงทุนของเรา

ข้อดี
     เนื่องจากว่าสินค้าโภคภัณฑ์เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป  ดังนั้นแล้ว  สินค้าที่เราผลิตได้  ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องขายเฉพาะในประเทศเท่านั้น  แต่ยังสามารถส่งขายไปยังประเทศต่างๆได้ทั่วโลกเช่น  ข้าว  น้ำตาล  น้ำมัน

ข้อเสีย
     การที่สินค้าเป็นที่ยอมรับในระดับโลก  ดังนั้น  เราจึงมีคู่แข่งในตลาดโลกมากสักนิด  ในเมื่อเราสามารถส่งสินค้าไปขายยังที่อื่นได้  ดังนั้น  ประเทศอื่นก็สามารถส่งสินค้าเข้ามาขายในประเทศเราได้เช่นกัน  เพราะสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลายนั้น  ก็ไม่ได้มีจุดเด่นในตัวเองจนต้องมีการผูกขาดยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งเช่น  น้ำตาล.....ไม่ว่าน้ำตาลจากที่ใดในโลกก็มีรสชาติหวานเหมือนกัน   หรือน้ำมัน.....ซึ่งไม่ว่าจะเติมน้ำมันยี่ห้อไหนรถก็วิ่งได้  ซึ่งเมื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาประมวลผลแล้วจะเห็นว่า  ถ้าเราคิดจะลงทุนในหุ้นของบริษัทสินค้าโภคภัณฑ์แล้ว  ก็จะต้องหูตากว้างขวางสักนิด  ดูว่าขณะนี้สินค้าพวกนั้นล้นตลาดหรือขาดตลาดอย่างไร  เพราะเรื่องเหล่านี้จะเป็นปัจจัยบวกและลบให้กับทุกๆบริษัทที่ทำธุรกิจนี้อยู่  ยกตัวอย่างเช่น  ประเทศทางตะวันออกกลางซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกประสบปัญหาการลุกฮือต่อต้านรัฐบาลของแต่ละประเทศ  ทำให้น้ำมันที่จะออกสู่ตลาดโลกลดน้อยลง  เมื่อของมีน้อย  แต่ความต้องการเท่าเดิม  ของพวกนั้นจึงแพงขึ้น  ซึ่งปัจจัยนี้จะเป็นบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมัน  แต่เมื่อไม่นานมานี้  ประเทศซาอุฯซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกออกมาประกาศว่า  จะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันให้มากขึ้น  จึงเป็นผลทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกร่วงลง  ซึ่งก็กระทบกับรายได้ของบริษัทน้ำมันต่างๆทั่วโลกเช่นกัน

     เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  ก็จะเห็นได้ว่า  ถ้าเราลงทุนกับบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์แล้ว  กำไรและการขาดทุนต่างๆมักจะมาจากปัจจัยภายนอกทั้งสิ้น  ซึ่งการทำธุรกิจแบบนี้ถือว่าเสี่ยงมากพอสมควร  เนื่องจากว่า  เราไม่สามารถควบคุมราคาจำหน่ายได้เอง  ราคาทั้งหมดนั้น  ต้องอ้างอิงจากราคาตลาดโลกเท่านั้น  แต่ถ้าคุณมีเวลาติดตามข่าวสารมากเพียงพอ  ก็จะทำให้เราได้เปรียบนักลงทุนคนอื่นๆบ้างพอประมาณ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: singhato ที่ วันที่ 24 มิถุนายน 2011, 19:17:43
NMG : บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
วันนี้ดูหุ้นแปลกๆ
ล่าสุด            12.80
เปลี่ยนแปลง    +0.80
%เปลี่ยนแปลง    +6.67
วันก่อนหน้า            12.00
เปิด                    11.90
สูงสุด            13.10
ต่ำสุด            11.60
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์   

NMG
ราคาล่าสุด           1.28
เปลี่ยนแปลง      -10.72
%เปลี่ยนแปลง   -89.33 %
ณ วันที่ 24/06/2011 เวลา 17:47
www.settrade.com

แล้วจะเชื่อที่่ไหนดีที่ผมเปิดพอร์ดก็ตัวเลขเหมือนwww.settrade.comใครรู้ช่วยตอบผมที่ ฮืม ฮืม ฮืม


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 27 มิถุนายน 2011, 15:56:02
เกี่ยวกับเทสโก้ และโลตัส...http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B9%89_%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%AA
ดูแล้วก็อยู่ในเครือซีพี แล้วทำไมต้องมี lotus express ออกมาแข่งเซเว่นด้วย งง หรือว่าแบ่งๆกันไป กำไรทั้งขึ้นทั้งล่อง


(http://img5.uploadhouse.com/fileuploads/12045/12045305-100x100-b2c771751c7ee7a9b40a51c25de19e6c.jpg) (http://www.uploadhouse.com/viewfile.php?id=12045305&showlnk=0)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: singhato ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 08:14:24
เกี่ยวกับเทสโก้ และโลตัส...http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B9%89_%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%AA
ดูแล้วก็อยู่ในเครือซีพี แล้วทำไมต้องมี lotus express ออกมาแข่งเซเว่นด้วย งง หรือว่าแบ่งๆกันไป กำไรทั้งขึ้นทั้งล่อง


(http://img5.uploadhouse.com/fileuploads/12045/12045305-100x100-b2c771751c7ee7a9b40a51c25de19e6c.jpg) (http://www.uploadhouse.com/viewfile.php?id=12045305&showlnk=0)


อาจจะสร้างความแต่ต่างให้กับลูกค้าผมก็ว่าแปลกๆในเทสโก้มีไข่ซีพีขายด้วย
(หรือมีนัยยแอบแฝงทางการเมือง)อุ้ย.....คุก ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: mangkasai ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 15:27:40
อยากเปิดบัญชีมาก ที่ไหนดีคะ คุณ keeped


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 15:39:04
ที่ไหนก็ได้  แล้วแต่สะดวกครับ  ผมใช้ CGS อยู่  ตรงข้าม CR MALL


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: mangkasai ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 15:41:25
cgs มีมาร์ เก่งไหมคะช่วยแนะนำหน่อย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 15:50:21
คนที่เก่งควรจะเป็นเรามากกว่านะครับ  เพราะมาร์  นักวิเคราะห์  หรือผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย  มีไว้เพื่อลดภาระเท่านั้น  แต่ไม่ได้มีไว้เพื่อลดความรับผิดชอบ  คุณควรศึกษาเองให้เก่ง  เนื่องจากว่า  การลงทุนเป็นความรับผิดชอบส่วนบุคคล  เพราะถ้าคุณเสีย  คุณก็เสียเอง  มาร์พวกนั้นมีไว้สำหรับถามข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงเท่านั้น  อย่าไปถามความเห็นจากเขาเช่น  หุ้นตัวไหนดี  หรือหุ้นตัวนี้ราคาจะไปที่เท่าไหร่  เพราะถ้าเขารู้จริง  เขาคงรวยไปแล้ว


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 15:51:28
ซื้อยี่ห้อ
     สืบเนื่องจากหัวข้อสินค้าโภคภัณฑ์ที่บอกว่า  สินค้าโภคภัณฑ์นั้นไม่มีความโดดเด่นในตัวเอง  เพราะฉะนั้น  ลูกค้าจึงไม่จำเป็นต้องเลือกซื้อสินค้าที่เรา  การที่เราจะขายได้ก็ต่อเมื่อ  เราอาจจะมีสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเรากับลูกค้า  หรือถ้าไม่อย่างนั้นเราก็ต้องขายในราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง  ยิ่งคู่แข่งมาก  เราก็ยิ่งกำไรน้อยลง  หรือตัวที่กำหนดกำไรของเราก็อาจจะเป็นราคาตลาด  ซึ่งมันเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้  ถ้าเราต้องการมีกำไร  เราจำเป็นต้องควบคุมต้นทุนให้ดีที่สุด  ผู้ชนะในธุรกิจนี้ก็คือ  คนที่มีต้นทุนต่ำที่สุด  ดูอย่างปาล์มเป็นต้น  ถึงแม้ว่าเราจะมีสวนปาล์มอยู่ที่บ้าน  และเราอยากขายมันแพงขนาดไหน  แต่ถ้าตลาดรับซื้อถูก  เราก็ต้องขายตามนั้น  ถ้าเราไม่อยากขายที่ราคานั้น  เราก็ทำได้แต่เก็บมันไว้ใช้เอง  เพราะถ้าจะขายแพงกว่านั้น  เขาก็จะไปซื้อคนอื่นแทน


     ทีนี้เราลองมาดูกันว่า  นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ของโลกอย่าง วอร์เร็น บัฟเฟต  เขาเลือกลงทุนอย่างไร  บัฟเฟตบอกว่า  เขาไม่เคยลงทุนด้วยวิธีกระจายความเสี่ยง  เขาจะมองหาสิ่งที่เรียกว่า “มูลค่าที่แท้จริง” ซึ่งซ่อนอยู่ภายในบริษัท  สิ่งที่เขาต้องการรู้จากบริษัทต่างๆก็คือ

1.บริษัทสามารถทำเงินได้มากเพียงใด
2.บริษัทสามารถรักษาจุดเด่นและความได้เปรียบเหนือคู่แข่งได้ดีเพียงใด
3.บริษัทควบคุมงบประมาณและจัดการทรัพยากรได้ดีเพียงใด
4.บริษัทสามารถขยายกิจการออกไปได้อีกหรือไม่
5.ผู้บริหารเก่งแค่ไหน  มีประวัติอย่างไร

เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ  บัฟเฟตอธิบายถึงความหมายของคำว่ามูลค่าที่แท้จริงไว้ว่า

1.มีจุดเด่นเฉพาะตัว  การที่ธุรกิจมีความสามารถหลักหรือความสามารถพิเศษที่องค์กรอื่นไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย  ซึ่งความพิเศษดังกล่าวนี้จะช่วยทำเงินให้กับบริษัทได้ในทุกช่วงเวลาเช่น  บริษัทโคคาโคล่า  ที่ไม่ว่าราคาของเครื่องดื่มโค้กจะแพงกว่าน้ำสักแค่ไหน  หรือมีประโยชน์น้อยกว่าน้ำมากเพียงใด  คนก็ยังเลือกที่จะซื้อโค้กเพื่อดื่มดับกระหายอยู่ดี  เหตุผลที่บัฟเฟตชอบหุ้นของโค้กก็เพราะมันเป็นยี่ห้อที่ได้รับความนิยม  ยิ่งโค้กเป็นที่รู้จักมากเท่าไหร่  โค้กก็ยิ่งมีมูลค่าที่แท้จริงในตัวเองมากเท่านั้น  ถ้าคุณไม่มียี่ห้อ  สินค้าของคุณก็เป็นได้แค่สินค้าโภคภัณฑ์

2.มีความสามารถในการขยายกิจการ  หลังจากที่บัฟเฟตพบธุรกิจที่เขาจะลงทุนแล้ว  สิ่งต่อไปที่เขามองหาคือ  มันจะขยายออกไปได้มากแค่ไหน  ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาชอบโค้กเหลือเกิน  แถมยังเคยพูดติดตลกว่า  ทุกครั้งที่มีคนบนโลกดื่มโค้ก  ผมก็พลอยได้เงินไปกับเขาด้วย

3.สามารถคาดการณ์ผลประกอบการได้  สิ่งที่บัฟเฟตมองหาก็คือ  เขาจะต้องคาดการณ์ผลประกอบการได้  เขาไม่ชอบธุรกิจที่เติบโตอย่างหวือหวา  เขาพูดถึงหลักการนี้ไว้ว่า  ธุรกิจที่ดีคือ  ธุรกิจที่ทำเงินได้ตลอดเวลา  ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะออก

     เมื่อสรุปหลักการทั้งหมดเราก็จะได้เป็น  เขามองไปที่สินค้าของบริษัทก่อนว่า  สินค้านั้นเป็นที่นิยมของตลาดหรือไม่  มีคนรู้จักสินค้านั้นมากแค่ไหน  เวลาลูกค้านึกถึงสินค้านี้แล้ว  ลูกค้าจะนึกถึงยี่ห้ออะไรก่อน  คู่แข่งสามารถทำอะไรได้หรือไม่  เมื่อวิเคราะห์ออกมาได้แล้ว  เขาก็จะดูที่กำไรของบริษัทต่อไป  ถ้ากำไรดี  เขาก็จะลงทุน  ยกตัวอย่างเช่น  เขาซื้อบริษัทโคคาโคล่าที่ผลิตโค้ก  เนื่องจากว่า  คู่แข่งในธุรกิจนี้มีน้อย  และมันสามารถทำกำไรได้ดี  และอีกอย่างที่สำคัญมากคือ  เขาซื้อยี่ห้อ  หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่า  เขาซื้อความนิยม  เนื่องจากว่า  กว่าที่เราจะทำให้สินค้าไหนๆก็แล้วแต่ติดตลาดและทำให้ครองใจผู้บริโภคได้นั้น  มันใช้เวลานานมาก  ต้องมีการโฆษณา  ต้องมีความพยายามในหลายๆด้าน  กว่าที่ลูกค้าจะยอมรับ  และเมื่อสินค้าเป็นที่ยอมรับแล้ว  ก็ยากที่ลูกค้าจะเปลี่ยนยี่ห้อ  ก่อนที่เขาจะลงทุน  เขาจะมองว่า  ถ้าเอาเงินมาให้เขาหมื่นล้าน  และให้สร้างเครื่องดื่มน้ำดำชนิดใหม่ขึ้นมาในโลกให้คนนิยมเท่าโค้ก  เขาจะทำได้ไหม  ถ้าไม่ได้  บริษัทนั้นเป็นบริษัทที่ดี  มีค่ามากกว่าหมื่นล้าน  และเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งในด้านยี่ห้อมาก  ถึงแม้ว่าทรัพย์สินที่บริษัทมีจะไม่มากเท่ากับหมื่นล้าน  แต่ยี่ห้อนั้นมีค่ามากกว่า  และอีกบริษัทหนึ่งที่เขาลงทุนก็คือยิลเล็ตต์  บริษัทนี้ผลิตใบมีดโกนและของที่เกี่ยวข้องกับการโกนหนวดทั้งหลาย  มันไม่ใช่โภคภัณฑ์  มันเป็นสินค้าเฉพาะ  คู่แข่งน้อยและกำไรระเบิด  พลาสติกที่เอามาทำด้าม  ต้นทุนไม่กี่สตางค์  แต่ขายได้หลายบาท  ส่วนใบมีดโกนนั้นก็ขายได้ราคาแพงเพราะไม่มีคู่แข่ง  ฉะนั้นแล้ว  นี่จึงเป็นบริษัทที่บัฟเฟตมองหา  แล้วคุณล่ะ  พบบริษัทที่เข้าเกณฑ์แล้วหรือยัง


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: mangkasai ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 16:17:24
อย่างนั้นตลาดคงไม่ให้พี่มาร์ไปสอบ SL หรอกเพราะเขาคงจะมีประสบการณ์ในการลงมากกว่าเรา ถ้าไม่มีใครดูแลก็คงไม่ใช่คะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 16:19:27
อย่างนั้นตลาดคงไม่ให้พี่มาร์ไปสอบ SL หรอกเพราะเขาคงจะมีประสบการณ์ในการลงมากกว่าเรา ถ้าไม่มีใครดูแลก็คงไม่ใช่คะ
สงสัยว่าคุณแมงกะไซ เป็นใคร ผู้หญิงหรือผู้ชาย และทำเป็นไม่รู้เรื่องการลงทุนด้วย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: mangkasai ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 16:21:11
อยู่ในตลาดมานานมาก


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: mangkasai ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 16:23:16
ท่าน keeped คงไม่รู้อะไรเนาะลองภูมิดู


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 16:24:50
ท่าน keeped คงไม่รู้อะไรเนาะลองภูมิดู
ท่าน keeped คือใครแล้วทำไมต้องลองภูมิ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 17:27:48
อยากเปิดบัญชีมาก ที่ไหนดีคะ คุณ keeped

คุณวายุเก่งจังเลยอยากลงทุนจังเลย ตอนนี้ทำไมลงทุกวัน 555

อย่างนั้นตลาดคงไม่ให้พี่มาร์ไปสอบ SL หรอกเพราะเขาคงจะมีประสบการณ์ในการลงมากกว่าเรา ถ้าไม่มีใครดูแลก็คงไม่ใช่คะ

อยู่ในตลาดมานานมาก

ท่าน keeped คงไม่รู้อะไรเนาะลองภูมิดู

ตกลงจะมาป่วนกระทู้หรือเปล่าครับ

เพราะในนี้เขาเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน

อยู่อย่างพี่น้อง มีปัญหาอะไรก็ปรึกษากันได้

แล้วคุณมาทำแบบนี้แล้วได้อะไรมิทราบครับ

คุณวิชชยา  ฉัตรพล  หลักทรัพย์ธนชาต


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Cupid ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 18:51:44
อยู่ในตลาดมานานมาก
ท่าน keeped คงไม่รู้อะไรเนาะลองภูมิดู

ขอเรียนด้วยความเคารพนะครับ

ทุกอาชีพ ทุกวงการ ไม่มีใครรู้ทุกอย่างในอาชีพ หรือในวงการนั้นๆดอกครับ แม้จะคลุกคลีอยู่ในอาชีพ
หรือในวงการนั้นๆนานแค่ไหน

ท่านบอกว่าท่านอยู่ในตลาดมานานมาก ก็น่าจะเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในวงการหุ้น ไม่ว่าท่านจะเป็นนัก
ลงทุน เป็นสื่อ หรือทำงานกับบริษัทหลักทรัพย์ หรือเป็นนักวิเคราะห์ ก็ตาม ท่านน่าจะมีวุฒิภาวะมากกว่า
นี้นะครับ 

ท่านไม่ควรมาโพสข้อความในลักษณะลองภูมิใคร  ควรมาคุยแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กัน
มากกว่า

ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมเยียนครับ...


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: singhato ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 19:39:07
อยากเปิดบัญชีมาก ที่ไหนดีคะ คุณ keeped

คุณวายุเก่งจังเลยอยากลงทุนจังเลย ตอนนี้ทำไมลงทุกวัน 555

อย่างนั้นตลาดคงไม่ให้พี่มาร์ไปสอบ SL หรอกเพราะเขาคงจะมีประสบการณ์ในการลงมากกว่าเรา ถ้าไม่มีใครดูแลก็คงไม่ใช่คะ

อยู่ในตลาดมานานมาก

ท่าน keeped คงไม่รู้อะไรเนาะลองภูมิดู

ตกลงจะมาป่วนกระทู้หรือเปล่าครับ

เพราะในนี้เขาเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน

อยู่อย่างพี่น้อง มีปัญหาอะไรก็ปรึกษากันได้

แล้วคุณมาทำแบบนี้แล้วได้อะไรมิทราบครับ
อยู่ในตลาดมานานมาก
ท่าน keeped คงไม่รู้อะไรเนาะลองภูมิดู

ขอเรียนด้วยความเคารพนะครับ

ทุกอาชีพ ทุกวงการ ไม่มีใครรู้ทุกอย่างในอาชีพ หรือในวงการนั้นๆดอกครับ แม้จะคลุกคลีอยู่ในอาชีพ
หรือในวงการนั้นๆนานแค่ไหน

ท่านบอกว่าท่านอยู่ในตลาดมานานมาก ก็น่าจะเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในวงการหุ้น ไม่ว่าท่านจะเป็นนัก
ลงทุน เป็นสื่อ หรือทำงานกับบริษัทหลักทรัพย์ หรือเป็นนักวิเคราะห์ ก็ตาม ท่านน่าจะมีวุฒิภาวะมากกว่า
นี้นะครับ 

ท่านไม่ควรมาโพสข้อความในลักษณะลองภูมิใคร  ควรมาคุยแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กัน
มากกว่า

ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมเยียนครับ...

+1ครับ
ไม่จำเป็นต้องลองภูมิ(เพราะไม่มีภูมิให้ลอง55)
ส่วนตัวผมรับเมา(เอ้ยเหมา)ในเีชียงรายเคยรับงานในเซ็นทรัลต่อก่อนเปิด
เหนื่อยมากกกกกแต่ในมุมกลับได้ความรู้เยอะมากๆ
แต่ผมติดโรค...มา(กลัวยามที่เซนทรัล) พี่ๆถอดรองโด้ยครับกำลังเช็กพื้ง
ตลอดเลยไม่อย่างนั้นโดนปรับ2,000บาทถ้าเผลอนะเค้าจะวอคุยกันทันที่
วอฉองวอฉองเปลี่ยน(อะไร-ะวอฉอง)อันนี้ลูกน้องผม(เหล้า(แหวะ))ให้ฟังเอาฮาครับ ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 21:09:55
อยากเปิดบัญชีมาก ที่ไหนดีคะ คุณ keeped

คุณวายุเก่งจังเลยอยากลงทุนจังเลย ตอนนี้ทำไมลงทุกวัน 555

อย่างนั้นตลาดคงไม่ให้พี่มาร์ไปสอบ SL หรอกเพราะเขาคงจะมีประสบการณ์ในการลงมากกว่าเรา ถ้าไม่มีใครดูแลก็คงไม่ใช่คะ

อยู่ในตลาดมานานมาก

ท่าน keeped คงไม่รู้อะไรเนาะลองภูมิดู

ตกลงจะมาป่วนกระทู้หรือเปล่าครับ

เพราะในนี้เขาเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน

อยู่อย่างพี่น้อง มีปัญหาอะไรก็ปรึกษากันได้

แล้วคุณมาทำแบบนี้แล้วได้อะไรมิทราบครับ

คุณวิชชยา  ฉัตรพล  หลักทรัพย์ธนชาต
ตกลงเป็นคนชื่อนี้เหรอครับ เข้ามากวนป่วนทำมาย บ่เข้าใจ
บอกเลยถ้าใครคิดเข้ามาป่วน บอกได้อย่างเดียว
.............ไสหัวไป..................
ถ้าไม่พอใจเชิญ pm คุยกันได้ จะเอาแบบ high EQ   medium EQ    low EQ ได้ทั้งนั้น ซาลาเปาไม่เกี่ยง จ้า ไม่แคร์สื่ออีกต่างหาก 555+


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 21:13:45
อย่างนั้นตลาดคงไม่ให้พี่มาร์ไปสอบ SL หรอกเพราะเขาคงจะมีประสบการณ์ในการลงมากกว่าเรา ถ้าไม่มีใครดูแลก็คงไม่ใช่คะ
คนที่สอบได้ SL นี่สังเคราะห์แสงได้เปล่าท่าน คิวปิด แล้วเงินเดือนเท่าอัยการผู้พิพากษามั้ยครับ..?


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 21:16:56
อ้างถึง
ตกลงเป็นคนชื่อนี้เหรอครับ เข้ามากวนป่วนทำมาย บ่เข้าใจ
บอกเลยถ้าใครคิดเข้ามาป่วน บอกได้อย่างเดียว
.............ไสหัวไป..................ถ้าไม่พอใจเชิญ pm คุยกันได้ จะเอาแบบ high EQ   medium EQ    low EQ ได้ทั้งนั้น ซาลาเปาไม่เกี่ยง จ้า ไม่แคร์สื่ออีกต่างหาก 555+

ผมดูจาก E-mail ของเข้าแล้วเอาไปพิมพ์ค้นหาใน fb ก็เจอข้อมูลตรงนี้ครับ

ไม่เชื่อก็ลองดูเอาเองครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 21:18:26
อ้างถึง
ตกลงเป็นคนชื่อนี้เหรอครับ เข้ามากวนป่วนทำมาย บ่เข้าใจ
บอกเลยถ้าใครคิดเข้ามาป่วน บอกได้อย่างเดียว
.............ไสหัวไป..................ถ้าไม่พอใจเชิญ pm คุยกันได้ จะเอาแบบ high EQ   medium EQ    low EQ ได้ทั้งนั้น ซาลาเปาไม่เกี่ยง จ้า ไม่แคร์สื่ออีกต่างหาก 555+

ผมดูจาก E-mail ของเข้าแล้วเอาไปพิมพ์ค้นหาใน fb ก็เจอข้อมูลตรงนี้ครับ
ประกาศฝากบอกท่านสมชายด้วย กรุณาดูแลคนในโบรคของท่านให้ดี ทำงี้มีหวังเจ๊ง แน่ๆ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 21:26:42
ชื่อที่ผมอ้างถึง ก็มาตามนี้ครับ

ถ้าหากต้องการให้ลบ ก็บอกได้ครับ

(http://upic.me/i/js/mangkasai.jpg)

(http://upic.me/i/2h/mangkasai3.jpg)

(http://upic.me/i/7z/mangkasai1.jpg)

(http://upic.me/i/qb/mangkasai2.jpg)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 21:28:28
ชื่อที่ผมอ้างถึง ก็มาตามนี้ครับ

ถ้าหากต้องการให้ลบ ก็บอกได้ครับ

(http://upic.me/i/js/mangkasai.jpg)

(http://upic.me/i/2h/mangkasai3.jpg)

(http://upic.me/i/7z/mangkasai1.jpg)

(http://upic.me/i/qb/mangkasai2.jpg)
ไม่ต้องลบเลย เพราะคนในวงการหุ้นเจียงฮายรู้จักเขาดี ก่อนเคยอยู่เอเชียพลัส ไม่คิดว่าจะมีนิสัยป่วนแบบนี้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Cupid ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 21:36:13
อย่างนั้นตลาดคงไม่ให้พี่มาร์ไปสอบ SL หรอกเพราะเขาคงจะมีประสบการณ์ในการลงมากกว่าเรา ถ้าไม่มีใครดูแลก็คงไม่ใช่คะ
คนที่สอบได้ SL นี่สังเคราะห์แสงได้เปล่าท่าน คิวปิด แล้วเงินเดือนเท่าอัยการผู้พิพากษามั้ยครับ..?

   ???   หึ หึ......!



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Cupid ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 21:41:36

   พวกเรา อโหสิไปเถิดครับ...

   แต่ถ้าเข้ามามีพฤติกรรมในลักษณะนี้อีก ก็คงต้องขอให้ ชรฟก ดำเนินการตามกฎ...ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 21:48:31

   พวกเรา อโหสิไปเถิดครับ...

   แต่ถ้าเข้ามามีพฤติกรรมในลักษณะนี้อีก ก็คงต้องขอให้ ชรฟก ดำเนินการตามกฎ...ครับ

รับทราบครับผม


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 21:50:27
ครับคุณลุง...ก้านบัวบอกลึกตื้นชลธาร  มารยาทส่อ.... ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Sut ที่ วันที่ 29 มิถุนายน 2011, 08:21:52
อีโก้สูง เป็นเรื่องที่ดีหากใช้ถูกที่ .. ผมเองก็อีโก้สูงคนหนึ่ง นิสัยเหมือนคุณแมงกะไซด์
ต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอ ๆ ว่าเราไม่ได้แน่กว่าใคร บางเรื่องเรารู้เร็วกว่า มากกว่าเขาจริง
แต่ในบางแง่มุมเราก็โง่ ดูยังไงก็ไม่เข้าใจ (พื้นฐานหุ้นดีไม่ดี ราคาต่ำกว่ามูลค่า กำไรมาจากอะไร การขายปกติหรือรายได้แบบพิเศษ อันนี้รู้สึกว่ามันยากไปสำหรับผม )
   .. ฉะนั้นทุกวันนี้ผมต้องพร่ำสอน และ เตือนตัวเองเสมอๆ ทุกเช้า ว่า ผมไม่ได้แน่ไปกว่าใครในทุกแง่มุม ทำงานเทียบกับคนในองค์กรเดียวกันเป็นพระเอก แต่พอเทียบกับคนที่ทำงานเก่งกว่า เอ ทำไมเรามันโง่ๆนะ..


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: singhato ที่ วันที่ 29 มิถุนายน 2011, 12:27:37
อยากทราบจริงๆครับที่บอกกันว่า (วอลุ่มน้อย)ดูกันตรงไหนครับ
มีการซื้อขายกันน้อย คืิอ ฝั่ง s กับ b ขยับกันน้อยผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ ??? ???


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 29 มิถุนายน 2011, 13:07:46
อยากทราบจริงๆครับที่บอกกันว่า (วอลุ่มน้อย)ดูกันตรงไหนครับ
มีการซื้อขายกันน้อย คืิอ ฝั่ง s กับ b ขยับกันน้อยผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ ??? ???
สำหรับผมจะดูปริมาณการซื้อ-ขายต่อวันมากกว่า ว่าน่าเข้าไปร่วมสังคายนา
ด้วยมั้ย ถ้าจะเก็งฯ ระยะสั้น Daytrade ผมจะดูที่ ประมาณ 50 M ครับ สำหรับหุ้นตัวนั้น
แต่ยาวผมก็ดูที่พื้นฐาน (VI) ก็อย่างภาพรวมทั้งตลาดนั่นแหละ SET เท่านั้นเท่านี้ต่อวัน
SET 50,100 มูลค่าการซื้อขายต่อวันเป็นอย่างไร อย่่างนี้เขาเรียกว่้าวอลลุ่มใช่มั้ยลุงคิวฯ..


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: singhato ที่ วันที่ 29 มิถุนายน 2011, 16:18:44
อยากทราบจริงๆครับที่บอกกันว่า (วอลุ่มน้อย)ดูกันตรงไหนครับ
มีการซื้อขายกันน้อย คืิอ ฝั่ง s กับ b ขยับกันน้อยผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ ??? ???
สำหรับผมจะดูปริมาณการซื้อ-ขายต่อวันมากกว่า ว่าน่าเข้าไปร่วมสังคายนา
ด้วยมั้ย ถ้าจะเก็งฯ ระยะสั้น Daytrade ผมจะดูที่ ประมาณ 50 M ครับ สำหรับหุ้นตัวนั้น
แต่ยาวผมก็ดูที่พื้นฐาน (VI) ก็อย่างภาพรวมทั้งตลาดนั่นแหละ SET เท่านั้นเท่านี้ต่อวัน
SET 50,100 มูลค่าการซื้อขายต่อวันเป็นอย่างไร อย่่างนี้เขาเรียกว่้าวอลลุ่มใช่มั้ยลุงคิวฯ..
ได้ความกระจ่างมาในอีกระดับนึงขอบคุณครับ
แล้วถ้าผมมีปัญหาจะมาขอความช่วยเหลือใหม่ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 30 มิถุนายน 2011, 15:47:22
ยุคสมัย  เหตุการณ์  และหุ้น
     ผมสังเกตได้ว่า  ตอนนี้มีน้องๆหลายคนที่กำลังสนใจเรื่องหุ้นและต้องการเข้ามาลงทุน  แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง  จะดูหุ้นอย่างไร  หรือพูดรวมๆว่า  ไม่รู้เรื่องนั่นเอง  ผมคิดว่าจะลงเรื่องราวบางอย่างให้น้องๆได้ศึกษาและลองคิดตามว่า  ที่ผมกล่าวมานั้น  มันสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวให้ออกมาเป็นการลงทุนได้โดยไม่ต้องใช้วิชาการหรือเทคนิเคิลให้ยุ่งยาก  เพียงแค่เรามองให้ออกว่า  “อะไร”  ที่กำลังจะมา  และ “อะไร”  ที่มันไม่ไปแล้ว  ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า  น้องๆจะทำความเข้าใจให้มาก  และนำมันไปปฏิบัติตาม  เพื่อเป็นแนวทางหนึ่งในหลายๆอย่างแห่งศาสตร์การลงทุนที่น้องๆได้รู้จัก

     พูดได้ว่าผมเป็นคนที่เกิดในช่วงที่ประเทศไทยยังเป็นประเทศด้อยพัฒนาอยู่  แต่ก็กำลังจะกลายเป็นประเทศกำลังพัฒนา  ผมได้รู้ได้เห็นได้สัมผัสกับสิ่งรอบตัวที่เปลี่ยนไปหลายๆอย่าง  เมื่อลองนำมาคิดย้อนกลับไปจะทำให้เห็นว่า  ถ้าเราได้ลงทุนตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ถึงตอนนี้ผมคงมั่งมีขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย  เพียงแต่ว่าในตอนนู้น  ผมยังไม่รู้จักหุ้นเท่านั้นเอง

     ตอนที่ผมยังเป็นเด็กชายอยู่  จำได้ว่าตอนนั้นบ้านเมืองกำลังจะพัฒนา  แม้ว่าผมอยู่ในกรุงเทพ  แต่บางพื้นที่ก็ยังไม่มีไฟฟ้าใช้เลย  ถ้าเราวิเคราะห์ว่า  ไฟฟ้าเป็นสาธารณูปโภคที่จำเป็นสำหรับทุกบ้าน  เราก็น่าจะมีหุ้นโรงไฟฟ้าไว้  และเมื่อมีไฟฟ้าใช้กันทุกหลังคาเรือนแล้ว  ต่อไปที่ต้องมีก็คือเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ  ถ้าเราออกจากการลงทุนในหุ้นไฟฟ้าที่ขยายตัวช้าลง  มาเป็นหุ้นของบริษัทที่ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กำลังจะขยายตัว  หุ้นพวกนั้นก็จะวิ่งต่อด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้น  แต่เมื่อบ้านไหนก็มีเครื่องใช้ไฟฟ้ากันหมดแล้ว  ยอดขายมันก็คงเพิ่มขึ้นไม่มากอีกต่อไป  และในตอนนั้นก็เกิดสถานีโทรทัศน์ขึ้นมา  เมื่อมีสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ช่อง 9 หรือช่องต่างๆเกิดขึ้น  ซึ่งในขณะนั้นเป็นหนึ่งในความบันเทิงไม่กี่อย่างที่เป็นของฟรีและเสิร์ฟถึงบ้าน  เมื่อถึงตอนนี้เราก็ย้ายเงินจากหุ้นเครื่องใช้ไฟฟ้ามาลงทุนในหุ้นของช่อง 3 หรือช่อง 9 เพื่อรับอานิสงค์ของเหตุการณ์นั้น  มันก็จะทำให้เราหมุนเงินที่มีอยู่ให้เพิ่มขึ้นไปอีก  ซึ่งในขณะเดียวกันโทรศัพท์บ้านก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้น  ถ้าเราย้ายเงินลงทุนมาซื้อหุ้นของโทรศัพท์บ้านซึ่งกำลังโต  เราก็จะได้รับผลบวกตามนั้น  และในช่วงเดียวกันนั้น  ก็มีการเพิ่มขึ้นของยวดยานพาหนะทั้งหลาย  ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์  ถ้าเรามองว่า  รถทุกคันก็ต้องเติมน้ำมัน  เราก็ไปซื้อหุ้นน้ำมันไว้  และเมื่อระยะเวลาผ่านไปอีกไม่นาน  ก็เกิดค่ายเพลงอย่างแกรมมี่และอาร์เอสขึ้น  เมื่อค่ายเพลงที่ตั้งขึ้นมาได้รับความนิยมมาก  เราก็ย้ายการลงทุนมาเข้าในแกรมมี่หรืออาร์เอสเพื่อรับอานิสงค์จากความนิยมนั้น  เนื่องจากว่าค่ายเพลงมีรายรับหลายทาง  ไม่ว่าจะเป็นขายเทป-ซีดี  เก็บค่าหัวคิวนักร้อง  และขายบัตรคอนเสิร์ต  แต่พอยุดคอมพิวเตอร์โผล่เข้ามา  การไรท์เพลงขายก็เป็นที่นิยมกันมาก  ซ้ำยังไม่พอ  ยังมี MP3 แม่สายมาแบ่งรายได้ไปอีก  ยอดขายเทปก็เลยลดลงฮวบฮาบ  และพอผ่านไปอีกระยะหนึ่งการโหลดเพลงฟรีทางอินเตอร์เนตก็โผล่เข้ามาซ้ำเติม  เมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้แล้ว  เห็นแววอนาคตร่วงแน่  เราก็ออกจากการลงทุนในหุ้นค่ายเพลงมาซื้อหุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการขายคอมพิวเตอร์  ซึ่งธุรกิจคอมพิวเตอร์นี้  ทำให้  บิล  เกต  กลายเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกไป  และพอมาถึงอีกช่วงหนึ่งของชีวิต  ซึ่งตอนนั้นผมก็กำลังมาที่เชียงราย  และก็ได้เห็นว่า  มือถือกำลังได้รับความนิยมต่อจากเพจเจอร์  ถ้าเราเอาเงินมาซื้อหุ้นมือถือของทักษิณ  ป่านนี้เงินก็คงอื้อซ่าแล้ว

     และก็มาถึงยุคปัจจุบัน  ตอนนี้ทั้งอินเตอร์เนต   และ  3 G  ก็กำลังมา  ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรจะได้รับความนิยมมากกว่ากัน  และอันไหนจะสามารถทำกำไรได้มากกว่ากัน  ถ้าเราวิเคราะห์ถูกต้อง  สิ่งที่จะได้ตอบแทนก็คือการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นที่เราเลือกไว้  แต่ถ้าเราไม่อยากเลือก  เราก็แทงกั๊กด้วยการลงทุนมันทั้งสองอย่างเลย  โดยแบ่งเงินเป็นสองส่วน  แต่ผมไม่ชอบธุรกิจนี้เนื่องจากว่า  ผมไม่ได้ติดตามลูกเล่นต่างๆที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ  และผมแยกไม่ออกว่า  อะไรดี  อะไรสนุก  ฉะนั้น  ผมจึงเลือกลงทุนกับ  7-11  เพราะมันก็กำลังขยายสาขาเหมือนกัน  เพราะผมเข้าใจมัน  แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่มันหยุดโต  ผมก็คงจะหมุนเงินผมเข้าไปในธุรกิจที่กำลังจะโตต่อไป

     เป็นยังไงบ้างครับน้องๆ  ถ้าน้องๆคิดตามเหตุการณ์ต่างๆที่พี่เล่าให้ฟังแล้ว  รู้สึกเห็นเป็นแบบเดียวกันหรือเปล่า  แต่เหตุการณ์ที่เล่ามาทั้งหมดนี้  มันก็ต้องมีวิวัฒนาการของมัน  มันต้องมีเวลาและวงจรของธุรกิจมัน  สั้นยาวก็แล้วแต่  ซึ่งสิ่งสำคัญก็คือ  เราต้องมองให้ออกว่า  มันตันหรือยัง  และมีธุรกิจไหนที่กำลังจะเป็นคลื่นลูกใหม่ต่อไป  และเราก็ย้ายเงินของเราเข้าไปในธุรกิจนั้นก่อนที่มันจะร้อนขึ้นมา  ซึ่งการลงทุนประเภทนี้เรียกว่า  การลงทุนในหุ้นโตเร็ว  ถ้าน้องๆเลือกหุ้นกันได้ดีแล้ว  ก็ไม่ต้องไปกังวลกับการผันผวนประจำวันของราคาหุ้นที่มันต้องเกิดขึ้นโดยปกติ  และถ้าน้องๆลองมองหันหลังกลับไป  จะเห็นว่าหุ้นที่พี่กล่าวมาทั้งหมด  ตอนนี้ไม่วิ่งแล้ว  เนื่องจากว่ามันเป็นธุรกิจที่ไม่เติบโต  แต่จะมีบางตัวที่พอจะฟู่ฟ่าขึ้นมาเป็นบางครั้งที่มีข่าวมากระทบมัน  เช่นหุ้นมือถือที่ตอนนี้กำลังจะได้ต่อยอดไปทำ 3 G   ซึ่งถ้าได้ทำจริง  มันก็น่าสนใจ  แต่ถ้ามีข่าวแล้วพื้นฐานธุรกิจไม่เปลี่ยนแปลง  เราก็ไม่ต้องไปใส่ใจมันมาก

     ถ้าเราคิดจะลงทุนระยะยาวจากหุ้นโรงไฟฟ้า  มาถึงตอนนี้เราก็คงจะแพ้คนที่หมุนเงินเข้าไปในธุรกิจโตเร็ว  และออกจากการลงทุนเพื่อไปเข้าในธุรกิจที่เติบโตต่อไปเรื่อยๆ  การถือยาวนั้นทำได้  แต่ต้องถือมันก็ต่อเมื่อมันเป็นธุรกิจที่ดีอยู่  และขายมันเมื่อมันเป็นธุรกิจที่ไม่น่าสนใจอีกต่อไปแล้ว  หรือเราได้ค้นพบหุ้นในธุรกิจโตเร็วตัวต่อไปของเรา  แต่มันก็ไม่ได้หมายถึงต้องมานั่งซื้อขายหุ้นทุกวันหรอกนะครับ  เพราะการที่เราจะเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง  ไม่ว่ามันจะใกล้หรือไกลแค่ไหน  มันก็ต้องใช้เวลา  เพียงแต่เราต้องรู้ว่า  มันถึงจุดหมายแล้วหรือยังตัวอย่างเช่น  เราเดินทางด้วยรถโดยสารไปยังที่หนึ่ง  ถ้ามันถึงแล้วเราดันไม่ยอมลงรถ  เมื่อถึงตอนนั้น  รถก็จะพาเราเดินทางย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกรอบ  ไม่ได้ไปไหนกันพอดี  เหมือนซื้อหุ้นไว้ 1 บาท  ถือยาวไปเรื่อยๆจนถึง 5 บาทก็ไม่ยอมขาย  ถือจนมันค่อยๆถอยกลับมาที่ 1 บาทอีกครั้ง  ชีช้ำซะเปล่าๆ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: แมงมุม ที่ วันที่ 30 มิถุนายน 2011, 17:04:28
.

มุมมองแบบ VI เลยนะเนี่ย

.


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: singhato ที่ วันที่ 30 มิถุนายน 2011, 17:31:42
ได้แนวคิดที่ดีมากครับรูสึก(เอ้ยรู้สึก)ว่าหุ้นนั้นเล่นง่ายด้วยประการละฉะนี้
อร่อยเลยทีนี้ ;D ;D ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: marcus147 ที่ วันที่ 02 กรกฎาคม 2011, 03:18:25
"ยุคสมัย  เหตุการณ์  และหุ้น"

ขอบคุณ คุณวายุ มากเลยครับ
เข้าใจการลงทุนมากขึ้นอีกเยอะเลย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 02 กรกฎาคม 2011, 13:26:50
อันนี้ได้ฟังจากปากแล้วครับ

ขอบคุณมากที่แนะนำแล้วก็เอามาลงให้ชาวเชียงรายโฟกัสทุกท่านได้ทราบ



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 02 กรกฎาคม 2011, 13:59:49
    ช่วงนี้ผมก็ไม่ได้แวะไปหาท่านวายุเลย
เดียวหาว่าไปเบ่งกินฟรี.. ;D ;D
   ที่จริงไม่ใช่ครับ มีที่ฝากท้องตอนเย็นแล้ว... ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 03 กรกฎาคม 2011, 19:43:49
PE ต่ำ  หุ้นถูกจริงหรือ?
     ในตลาดหุ้น  คำว่า PE   เป็นคำและมาตรวัดที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย  ไม่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น  แต่เรียกได้ว่า  ใช้กันทุกประเทศ  คำว่า PE คืออะไร  ทำไมเราจึงให้ความสำคัญกับมันนัก

     อันว่าค่า PE นั้นมาจาก  เงินลงทุนหารด้วยผลตอบแทน  เพราะ P มาจากไพร้ซ์  ที่แปลว่าราคา  ความหมายก็คือ  นั่นคือเงินเริ่มแรกที่เราลงทุนเพื่อจะได้รับผลตอบแทน  และ E  มาจากเออร์นิ่งที่แปลว่าผลตอบแทน  เมื่อนำมาหารกันจะได้เป็นตัวเลขหนึ่งออกมา  ซึ่งตัวเลขที่ออกมานั้นมีความหมายว่า  ถ้าตัวเลขน้อย  ราคาหุ้นนั้นถูก  ถ้าตัวเลขสูง  หุ้นนั้นราคาแพง  วิธีนี้ใช้ได้จริงหรือ?  ตรงนี้เราลองเปรียบเทียบหุ้น 2 ตัวระหว่างหุ้นที่มี PE 10  กับหุ้นที่มี PE 20 กันดู  โดยกำหนดให้หุ้นทั้ง 2 ตัวสามารถทำกำไรในตอนแรกเท่ากันที่ 1 บาท  ราคาหุ้นของหุ้นที่ PE 10  ในตอนเริ่มแรกเท่ากับ 10 บาท  และราคาหุ้นของหุ้นที่ PE 20  เท่ากับ 20 บาท  เมื่อดูตอนแรกอาจตกใจว่า  ให้ผลตอบแทน 1 บาทเท่ากัน  อย่างนี้ซื้อหุ้นราคา  10  บาทย่อมดีกว่า  แต่ถ้าการเติบโตไม่เท่ากันล่ะ  เราลองมาดูว่า  ถ้าหุ้น PE 10  โตปีละ 10 % และหุ้น PE 20  โตปีละ 20 %  แล้วเราลองมาดูผลสรุปกัน

ปีที่       การเติบโต              ราคาหุ้น                 การเติบโต              ราคาหุ้น
           ของกำไร                ที่ควรจะเป็น            ของกำไร               ที่ควรจะเป็น
           สำหรับหุ้นที่โต         ถ้าโต 10 % ต่อปี     สำหรับหุ้นที่โต        ถ้าโต 20 % ต่อปี
           10 % ต่อปี             (คูณ 10 กับกำไร)     20 % ต่อปี             (คูณ 20 กับกำไร)
 
1        1.10                         11                        1.20                      24     
2        1.21                         12.1                     1.44                      28.8     
3        1.33                         13.3                     1.72                      34.4     
4        1.46                         14.6                     2.06                      41.2     
5        1.60                         16                        2.47                      49.4     
6        1.76                         17.6                     2.96                      59.2     
7        1.93                         19.3                     3.55                      71     
8        2.12                         21.2                     4.26                      85.2     
9        2.33                         23.3                     5.11                      102.2     
10      2.56                         25.6                     6.13                      122.6   

     เห็นตัวเลขแล้วเป็นอย่างไรบ้างครับ  ภายใน 10 ปีที่เราถือหุ้นต่างกัน  หุ้น PE 20  ที่ตอนเริ่มแรกเราเห็นว่าแพงกว่านั้น  ถ้ามันมีความสามารถเติบโตได้มากกว่า  มันก็ไม่จัดว่าเป็นหุ้นแพง  ถ้าเราบ่นในตอนแรกว่าแพง  แล้วลองดูความแตกต่างสิครับ  10  ปี  เงินตอบแทนของหุ้น PE 20  มากกว่าหุ้น  PE 10  ประมาณเกือบ 5 เท่าแค่นั้นเอง  ถ้าเราลงทุนตอนเริ่มแรกหนึ่งหมื่นหุ้นเท่ากัน  ภายใน 10 ปี  คนที่ซื้อหุ้น PE 10  ลงทุนตอนแรกใช้เงิน  100000  จะมีเงินเพิ่มขึ้นมาเป็น 256000  ส่วนคนที่ซื้อหุ้น PE 20  ลงทุนตอนแรกใช้เงิน  200000  จะมีเงินเพิ่มขึ้นมาเป็น 1226000 เงินต่างกันแค่  970000  เท่านั้นเองครับ  ถึงแม้ว่าตอนเริ่มต้น  คนที่ซื้อหุ้น PE 20  จะลงทุนมากกว่าคนที่ซื้อหุ้น PE 10  อยู่ 1 เท่าตัวก็ตาม  หรือถ้าคำนวณใหม่ว่า  ใช้เงินเท่ากันที่  100000  คนที่ซื้อหุ้น  PE 20  จะซื้อหุ้นได้ 5000 หุ้น  เมื่อ 10  ปีผ่านไป  เขาจะได้เงินมาทั้งหมด  613000  ทำเงินได้มากกว่าคนที่ซื้อหุ้น PE 10  ได้หนึ่งเท่าตัวกว่าๆ

     เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  ถ้าหุ้นที่มีค่า  PE  สูง  แต่มีความสามารถในการเติบโตสูง  ก็ถือได้ว่าค่า  PE  ขณะนั้นเหมาะสมแล้ว  แต่เราต้องมั่นใจว่า  มันโตได้ใกล้เคียงค่า PE ได้จริงๆนะครับ  ดู 7-11 ผมก็ได้  ใครๆก็ว่า PE สูง  แต่มันก็โตมากกว่า  20 % ต่อปีมาตลอด

http://www.set.or.th/dat/news/200908/09028926.pdf
http://www.set.or.th/dat/news/200911/09039801.pdf
http://www.set.or.th/dat/news/201002/10004141.pdf
http://www.set.or.th/dat/news/201102/11005573.pdf
http://www.set.or.th/dat/news/201105/11018997.pdf

     เมื่อเห็นตามตารางอย่างนี้แล้ว  ใครจะว่าหุ้นผมแพงบ้างครับ  แต่ผมก็ไม่ได้ชะล่าใจนะ  ผมก็พยายามติดตามข่าวสารของบริษัทตลอดว่า  มันยังเติบโตได้ดีอยู่ไหม  เพราะถ้ามันไม่ได้โตอย่างที่คิดไว้  หุ้นก็อาจร่วงลงมาหาราคาที่เหมาะสมกับความเติบโตที่ตัวมันสามารถทำได้จริงๆ  เมื่อถึงตอนนั้นก็ค่อยมาว่ากันอีกทีครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 03 กรกฎาคม 2011, 20:24:57
ขอบคุณท่านวายุมากครับ

สำหรับการเปรียบเทียบค่าP/E

ซึ่งมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจมากครับ

แต่ก็ต้องทราบว่ามันยังเติบโตได้ดีอยู่ไหม

ปล.วันนี้มาตอบค่ำเชียวไม่ขายของหรือครับ



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 03 กรกฎาคม 2011, 20:49:52
ตอบท่าน Temujin
     ไม่เป็นไรครับ

ตอบท่าน วัยทองคะนองรัก
     วันนี้หยุดไปเลือกตั้งครับ (ที่จริงอยากหยุดบ้าง)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 04 กรกฎาคม 2011, 11:53:04
คงต้องเรียกเสี่ยวายุ  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 04 กรกฎาคม 2011, 15:53:04
เฮฮาประสาหุ้น
     ยิ่งกลัวยิ่งไป  ยิ่งขายยิ่งขึ้น


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 04 กรกฎาคม 2011, 15:54:45
     วันนี้มาฝากขายของหน่อยครับ  พอดีพี่สาวแฟนอยากขายร้านอาหาร  ใครพอรู้จักคนใจบุญผู้มีตังค์ที่สนใจอยากทำร้านอาหารบ้างครับ  ติดต่อตามเบอร์ที่ให้ไว้เลยครับ

http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=105314.0

ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 05 กรกฎาคม 2011, 12:58:21
คงต้องเรียกเสี่ยวายุ  ;D

ท่านก็ว่าไป


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 06 กรกฎาคม 2011, 16:13:56
โครงสร้างและข้อจำกัด
     ก่อนที่เราจะเลือกลงทุนกับบริษัทไหนก็แล้วแต่  สิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญก็คือ  โครงสร้างของรายได้บริษัท  เราต้องวิเคราะห์ให้ขาดว่า  รายได้ของบริษัทนั้นมาจากไหน  สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ตลอดหรือไม่  สามารถขยายงานได้อีกไหม  มีความยั่งยืนมากแค่ไหน  เดี๋ยวเรามาดูตัวอย่างกันเช่น  บริษัทรับเหมาก่อสร้าง

     งานรับเหมาก่อสร้างนั้น  การที่เราจะได้งานก็ต้องมาจากการประมูล  และการประมูลก็ต้องมีการแข่งขันประกวดราคา  ซึ่งหมายความว่า  บริษัทไหนรับทำงานในราคาต่ำที่สุด  บริษัทนั้นจะได้งาน  ซึ่งตรงนี้เป็นเหตุผลที่หนึ่งแล้ว  ในการทำกำไรได้น้อย  และอย่างที่สอง  ควบคุมต้นทุนลำบาก  เพราะราคาวัสดุนั้นแกว่งตัวอยู่ตลอดเวลา  ถ้าช่วงนั้นวัสดุก่อสร้างราคาพุ่งขึ้น  บริษัทอาจถึงขั้นขาดทุน  อย่างที่สามก็คือ  งานมันไม่ได้มีตลอด  เพราะฉะนั้นมันจึงทำให้  รายได้ไม่แน่นอน  บริษัทอย่างนี้  คาดการณ์ผลประกอบการณ์ลำบาก  เพราะบางปีอาจไม่มีงาน  บางปีก็งานเยอะ  แต่งานเยอะก็ใช่ว่าจะได้กำไรเยอะ  บริษัทแบบนี้  ถ้าผมวิเคราะห์ไม่ได้  ผมจะหลีกเลี่ยง  หรืออีกอุตสาหกรรมหนึ่ง  ยกตัวอย่างเช่น  บริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ส่งโรงงาน

     สมมติว่าบริษัทนี้รับทำชิ้นส่วนรถยนต์ส่งค่ายรถต่างๆ  แล้วแต่ว่าใครจะมาจ้าง  ซึ่งบางที  อาจมีแค่ 1-2  ยี่ห้อมาสั่งให้ผลิตเป็นประจำ  ซึ่งเราก็สามารถอยู่ได้เรื่อยๆ  แต่ถ้าสมมติว่ายี่ห้อหนึ่งเกิดอยากลดต้นทุน  สร้างโรงงานผลิตขึ้นมาเอง  เมื่อถึงคราวนั้น  ก็เป็นวิกฤตของบริษัทเลยทีเดียว  หรือถ้าเขาไม่เลิกสั่ง  เขาก็มีข้อต่อรองมากมาย  ทำให้กำไรที่ควรจะได้ลดน้อยลง  เนื่องจากตกเป็นเบี้ยล่างเขา  ซึ่งถ้าเราดูแล้วว่า  บริษัทนี้มีลูกค้าไม่กี่ราย  ถ้าเพียงแค่ลูกค้าไม่สั่งซื้อแค่เพียง 1-2 รายก็อาจเป็นหายนะของบริษัทได้  บริษัทนี้ก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นเดียวกัน  เพราะฉะนั้น  ก่อนลงทุนก็พยายามทำความเข้าใจในตัวบริษัทสักนิดนะครับ  ส่วนหัวข้อต่อไปก็คือข้อจำกัด

     เมื่อเราเลือกบริษัทที่มองว่า  สามารถเติบโตด้วยตนเองได้แล้ว  ขั้นต่อไปก็คือ  ดูว่ามีการขยายงานหรือมีการเติบโตหรือไม่  การเติบโตของบริษัทนี่สำคัญมาก  เพราะมันจะเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนราคาหุ้นให้วิ่งขึ้นไปตามการขยายงาน  การลดต้นทุนก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ได้กำไรมากขึ้น  แต่การลดต้นทุนมันก็มีข้อจำกัด  กล่าวคือ  สมมติถ้าเราไม่ยอมจ้างคนงานเพิ่มเพื่อจะประหยัดค่าจ้าง  แต่เมื่อบริษัทขยายถึงจุดหนึ่ง  เราก็ต้องใช้พนักงานเพิ่มอยู่ดี  เรื่องการลดต้นทุนนี้มีหลายวิธี  แต่มันก็มีข้อจำกัดในด้านต่างๆ  ไม่ว่าจะทำตรงไหนก็ช่าง  สุดท้ายมันก็จะถึงข้อจำกัด  เหมือนกับเด็กกำลังโต  จะให้ประหยัดเรื่องการกินมากๆ  เดี๋ยวเด็กก็จะไม่โตซะเปล่าๆ  เพราะฉะนั้นแล้ว  สิ่งที่ควรทำที่สุดก็คือ  ต้องหารายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น

     โดยสรุปก็คือ  ลงทุนกับบริษัทที่มีการเติบโต  สามารถคาดการณ์ผลประกอบการณ์ได้  บริษัทสามารถพึ่งพาตัวเองได้  มีความสามารถในการแข่งขันสูง  สินค้าเป็นที่นิยมในตลาด  สามารถสร้างกระแสเงินสดได้แน่นอน  บริษัทไหนที่มีโครงสร้างไม่ดีอย่างที่กล่าวมาแล้ว  ยากที่จะเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ได้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: singhato ที่ วันที่ 07 กรกฎาคม 2011, 15:32:29
ตั้งแต่เริ่มเล่นมาน่าจะเดือนกว่าได้แล้วมั้งครับ และได้อ่านข้อความต่างๆจากทุกๆท่านทำให้ได้ความรู้ขึ้นมาก ตอนนี้ตัวเลขยังแดงอยู่แต่ก็ได้คืนมามั้งแล้ว ค่อยๆเก็บคืนรายวันอีกไม่นานคงครบ ท่านๆทั้งหลายพอจะมีไรแนะนำผมอีกบ้างครับ :) :) :)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 07 กรกฎาคม 2011, 15:40:15
ตั้งแต่เริ่มเล่นมาน่าจะเดือนกว่าได้แล้วมั้งครับ และได้อ่านข้อความต่างๆจากทุกๆท่านทำให้ได้ความรู้ขึ้นมาก ตอนนี้ตัวเลขยังแดงอยู่แต่ก็ได้คืนมามั้งแล้ว ค่อยๆเก็บคืนรายวันอีกไม่นานคงครบ ท่านๆทั้งหลายพอจะมีไรแนะนำผมอีกบ้างครับ :) :) :)
TF เหรอ ถึงตอนนี้น่าจะถือลุ้นไปเรื่อยๆ จนกำไรบานเบอะ หรือ ขาดทุนกันไปข้างนึง  ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 07 กรกฎาคม 2011, 15:52:30
เอาล่ะนะ...วันนี้มาขอความรู้บ้าง  จากที่แจกไปเยอะ
     ผมอยากทราบว่า  เวลาที่เราได้เงินปันผลแล้ว  ทุกธุรกิจที่เราลงทุน  รัฐบาลจะหักภาษีเท่ากันหรือไม่  อย่างเช่น  สื่อสารจะหักภาษีจากเงินปันผลมากกว่ากลุ่มค้าปลีกหรืออะไรทำนองนี้  หรือว่าจะหักเท่ากันหมดทุกรายการ

     และเรื่องขอคืนภาษี  ผมไม่เคยไปขอคืนสักที  มันมีข้อกำหนดในการขอคืนอย่างไรบ้าง  ผมว่าสำหรับผมเองคงขอคืนไม่ได้มั๊ง  เนื่องจากว่า  ไม่เคยเสียภาษีรายได้เลย  เมื่อผมคิดว่าคงขอคืนภาษีไม่ได้  ผมมักไม่ค่อยจะถือหุ้นเพื่อรับเงินปันผลเท่าไหร่  ผมจะขายหุ้นก่อนวัน XD  และมารับหุ้นคืนหลังจากนั้น  เพราะคำนวณแล้วว่า  ถ้าโดนค่าคอมกับโดนภาษี  ค่าคอมโบรกเกอร์ถูกกว่า  หรือว่าผมเข้าใจไม่ถูกน๊า..าาาาา

     ยังไงก็แนะนำหน่อยนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 07 กรกฎาคม 2011, 16:10:34
เอาล่ะนะ...วันนี้มาขอความรู้บ้าง  จากที่แจกไปเยอะ
     ผมอยากทราบว่า  เวลาที่เราได้เงินปันผลแล้ว  ทุกธุรกิจที่เราลงทุน  รัฐบาลจะหักภาษีเท่ากันหรือไม่  อย่างเช่น  สื่อสารจะหักภาษีจากเงินปันผลมากกว่ากลุ่มค้าปลีกหรืออะไรทำนองนี้  หรือว่าจะหักเท่ากันหมดทุกรายการ

     และเรื่องขอคืนภาษี  ผมไม่เคยไปขอคืนสักที  มันมีข้อกำหนดในการขอคืนอย่างไรบ้าง  ผมว่าสำหรับผมเองคงขอคืนไม่ได้มั๊ง  เนื่องจากว่า  ไม่เคยเสียภาษีรายได้เลย  เมื่อผมคิดว่าคงขอคืนภาษีไม่ได้  ผมมักไม่ค่อยจะถือหุ้นเพื่อรับเงินปันผลเท่าไหร่  ผมจะขายหุ้นก่อนวัน XD  และมารับหุ้นคืนหลังจากนั้น  เพราะคำนวณแล้วว่า  ถ้าโดนค่าคอมกับโดนภาษี  ค่าคอมโบรกเกอร์ถูกกว่า  หรือว่าผมเข้าใจไม่ถูกน๊า..าาาาา

     ยังไงก็แนะนำหน่อยนะครับ
ก็น่านนะซี ผมก็ยังสงสัย ทุกครั้งที่รับปันผล ผมก็แค่ไปดูบัญชีธนาคารว่ามันเข้าให้ตามกำหนดหรือไม่ จบแค่นั้น


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Cupid ที่ วันที่ 07 กรกฎาคม 2011, 16:15:17
เอาล่ะนะ...วันนี้มาขอความรู้บ้าง  จากที่แจกไปเยอะ
     ผมอยากทราบว่า  เวลาที่เราได้เงินปันผลแล้ว  ทุกธุรกิจที่เราลงทุน  รัฐบาลจะหักภาษีเท่ากันหรือไม่  อย่างเช่น  สื่อสารจะหักภาษีจากเงินปันผลมากกว่ากลุ่มค้าปลีกหรืออะไรทำนองนี้  หรือว่าจะหักเท่ากันหมดทุกรายการ

     และเรื่องขอคืนภาษี  ผมไม่เคยไปขอคืนสักที  มันมีข้อกำหนดในการขอคืนอย่างไรบ้าง  ผมว่าสำหรับผมเองคงขอคืนไม่ได้มั๊ง  เนื่องจากว่า  ไม่เคยเสียภาษีรายได้เลย  เมื่อผมคิดว่าคงขอคืนภาษีไม่ได้  ผมมักไม่ค่อยจะถือหุ้นเพื่อรับเงินปันผลเท่าไหร่  ผมจะขายหุ้นก่อนวัน XD  และมารับหุ้นคืนหลังจากนั้น  เพราะคำนวณแล้วว่า  ถ้าโดนค่าคอมกับโดนภาษี  ค่าคอมโบรกเกอร์ถูกกว่า  หรือว่าผมเข้าใจไม่ถูกน๊า..าาาาา

     ยังไงก็แนะนำหน่อยนะครับ
ก็น่านนะซี ผมก็ยังสงสัย ทุกครั้งที่รับปันผล ผมก็แค่ไปดูบัญชีธนาคารว่ามันเข้าให้ตามกำหนดหรือไม่ จบแค่นั้น


ไปดูที่กระทู้ผมก่อนเลยครับ หน้า 9 ถ้าไม่ละเอียดพอ สอบถามเพิ่มเติมได้ครับ

 Re: >>> ศิลปการลงทุนระยะยาว <<<
« ตอบ #168 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2011, 17:43:18 »
http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=92942.160


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 07 กรกฎาคม 2011, 16:42:55
cpall เสี่ยวายุก็สุดยอด ปิดไฮเดิมซะด้วย  ;D กำไรเห็นๆ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 07 กรกฎาคม 2011, 18:07:32
cpall เสี่ยวายุก็สุดยอด ปิดไฮเดิมซะด้วย  ;D กำไรเห็นๆ

ถูกๆๆๆ ต้องนะครับ เสี่ย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 07 กรกฎาคม 2011, 19:03:23
เอาล่ะนะ...วันนี้มาขอความรู้บ้าง  จากที่แจกไปเยอะ
     ผมอยากทราบว่า  เวลาที่เราได้เงินปันผลแล้ว  ทุกธุรกิจที่เราลงทุน  รัฐบาลจะหักภาษีเท่ากันหรือไม่  อย่างเช่น  สื่อสารจะหักภาษีจากเงินปันผลมากกว่ากลุ่มค้าปลีกหรืออะไรทำนองนี้  หรือว่าจะหักเท่ากันหมดทุกรายการ

     และเรื่องขอคืนภาษี  ผมไม่เคยไปขอคืนสักที  มันมีข้อกำหนดในการขอคืนอย่างไรบ้าง  ผมว่าสำหรับผมเองคงขอคืนไม่ได้มั๊ง  เนื่องจากว่า  ไม่เคยเสียภาษีรายได้เลย  เมื่อผมคิดว่าคงขอคืนภาษีไม่ได้  ผมมักไม่ค่อยจะถือหุ้นเพื่อรับเงินปันผลเท่าไหร่  ผมจะขายหุ้นก่อนวัน XD  และมารับหุ้นคืนหลังจากนั้น  เพราะคำนวณแล้วว่า  ถ้าโดนค่าคอมกับโดนภาษี  ค่าคอมโบรกเกอร์ถูกกว่า  หรือว่าผมเข้าใจไม่ถูกน๊า..าาาาา

     ยังไงก็แนะนำหน่อยนะครับ
ผมก็เหมือนกันไม่เคยไปขอคืน แต่มันก็หักก่อนไม่ใช่เหรอที่จะโอนเข้าบัญชีเรา แต่ถ้า
บริษัทไหนขอ BOI ก็จะได้รับการยกเว้นไป ในใบสีส้มๆ ที่เค้าส่งให้มา..จะมีรายละเอียดอยู่...


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 08 กรกฎาคม 2011, 15:19:01
ถึงท่านคิว
     เท่าที่อ่านของท่านคิวแล้ว

 บุคคลธรรมดาที่ถือหุ้นของบริษัทฯจดทะเบียนฯนั้นๆอยู่ ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราที่บริษัทฯ
ต้องจ่าย กฎหมายจึงกำหนดให้รัฐต้องคืนภาษีที่บริษัทฯได้ชำระไว้แล้วให้บุคคลธรรมดาที่ถือหุ้น และ
ได้รับเงินปันผลจากบริษัทฯดังกล่าว โดยต้องยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ฯ และเมื่อคำนวณภาษีออก
มาแล้วได้มีการชำระภาษีเกินไปเท่าใด ก็สามารถขอคืนได้

     รู้สึกว่า  ถ้าเราไม่ได้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว  เราก็ไม่มีสิทธิ์จะไปขอคืนภาษีได้  ผมคิดถูกไหม  ถ้าผมคิดถูก  งั้นก็แสดงว่าผมไม่มีสิทธิ์ไปขอคืนภาษี  ถ้าเป็นงั้นจริง  กระผมก็น้อมรับแต่โดยดี


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 08 กรกฎาคม 2011, 15:30:06
ใครสนใจหุ้น 7-11 ผมบ้าง  วันนี้เอาข่าวของบริษัทมาให้อ่าน

     เปิดกลยุทธ์สู่ความสำเร็จแฟรนไชส์ 7-11 หลังแจ้งเกิดครบรอบ20 ปี มุ่งเป้าขายอาหารอิ่มทันใจ ชี้อัตราซื้อซ้ำสูงกำไรงาม และเพิ่มช่องกระจายวัตถุดิบบริษัทแม่ ตั้งเป้าปูพรม 7,000 สาขาทั่วประเทศในอีก2 ปี พร้อมเร่งมอบส่งไม้บริหารแก่แฟรนไชซีหนุนขยายเครือข่าย ยอมรับตลาดร้านค้าปลีกสมัยใหม่แข่งดุ ระบุหากปรับตัวพร้อมโอกาสโตยังเปิดกว้าง

     นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)ผู้บริหารแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อ "เซเว่นอีเลฟเว่น" (7-11) เผยในงานแถลงนโยบายร้าน7-11 ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของการเปิดแฟรนไชส์ในเมืองไทยว่า บริษัทฯ ซื้อลิขสิทธิ์ร้าน7-11 มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปีพ.ศ.2532 และเริ่มขายแฟรนไชส์ใน พ.ศ.2534 จำนวน 9 สาขา ปัจจุบันเพิ่มเป็น 6,094 สาขาแบ่งเป็นสัดส่วนแฟรนไชส์ 3,153 สาขา หรือ52% และบริหารโดยบริษัท 2,941 สาขา หรือ48% (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2554) และเชื่อว่าถึงสิ้นปีนี้ (2554) สัดส่วนแฟรนไชส์จะเพิ่มเป็น 53% โดยมีสาขาเพิ่มจากปีก่อน (2553)500 สาขา แบ่งเป็นของแฟรนไชส์ ประมาณ 400 สาขา และบริษัทประมาณ 100 สาขา

     สำหรับนโยบาย 7-11 จากนี้ ยังคงมุ่งสานต่อกลยุทธ์เป็นร้านขายอาหารอิ่มสะดวกของคนไทยที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศโดยมุ่งเน้นขายอาหารกินเป็นมื้อ ซึ่งในอดีตสัดส่วนรายได้ของร้าน 7-11 จากส่วนอาหารเพียง 20% และสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ 80%แต่ปัจจุบัน สัดส่วนในกลุ่มแรกเพิ่มเป็นกว่า70% ขณะที่กลุ่มหลังลดเหลือ 30% และตั้งเป้าว่า อนาคตจะเพิ่มสัดส่วนยอดขายกลุ่มอาหารให้ถึง 80%
"การวางกลยุทธ์เน้นขายอาหารสด เพราะเราอยากสร้างจุดต่าง ไม่ต้องไปแข่งขันกับร้านโชวห่วย หรือมินิมาร์ทรายอื่นๆ รวมถึง อาหารเป็นสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป ทำให้มีอัตรากลับมาซื้อซ้ำสูง และกำไรต่อหน่วยสูงกว่า โดยกลุ่มอาหารกำไรกว่า 30% ขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภคประมาณ 10% เท่านั้น และที่สำคัญบริษัทแม่มีความพร้อมทั้งด้านวัตถุดิบ และทีมงาน สามารถผลิตและป้อนสินค้าให้ได้สม่ำเสมอ" กก.ผจก. เผย
สำหรับเป้าหมายแฟรนไชส์ 7-11 ในอีก2 ปีข้างหน้า จะขยายสาขาเพิ่มเป็น 7,000 แห่งทั่วประเทศ มุ่งทำเลถนนตัดใหม่ ควบคู่กับขยายสัดส่วนบริหารโดยแฟรนไชซีเติบโตต่อเนื่องปีละ 3% ซึ่งถือเป็นนโยบายสำคัญที่ต้องการสร้างคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจร้าน เพื่อสร้างและขยายเครือข่ายธุรกิจให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งจะก่อประโยชน์ให้ทั้งส่วนบริษัท มีช่องทางกระจายสินค้ามากยิ่งขึ้น พร้อมกับได้สร้างอาชีพที่มั่นคงแก่คนรุ่นใหม่ และยังทำให้ระบบค้าปลีกของประเทศมีความก้าวหน้าอีกด้วย

     นายปิยะวัฒน์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่ การแข่งขันกันสูงมาก โดยเฉพาะจากแบรนด์ใหม่ที่เปิดโดยห้างค้าปลีกรายใหญ่ อย่างไรก็ตาม ร้าน 7-11 ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดมาเป็นอันดับหนึ่ง ประมาณ 50%ซึ่งจากระบบที่วางมายาวนาน ประกอบกับกลยุทธ์การตลาดที่ปรับตัวอยู่เสมอ รวมถึงแบรนด์ที่ลูกค้ายอมรับและจดจำ ผนวกกับการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่คาดว่าปีนี้ GDP จะโต 4.5% จึงเชื่อว่าโอกาสของธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่จะขยายตัวขึ้นยังเป็นไปได้สูง

     สำหรับแนวทางสำคัญในการบริหารแฟรนไชส์ 7-11 ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คือปรับตัวและพัฒนาตลอดเวลา ทั้งส่วนเจ้าของร้านสาขา กับส่วนกลาง กล่าวคือ ในส่วนเจ้าของร้าน ทางบริษัทจะจัดอบรมความรู้ที่จำเป็นแก่แฟรนไชซีตลอดทั้งปี เพื่อสร้างมาตรฐานเดียวกันทุกสาขา และมีทีมปฏิบัติลงพื้นที่เข้าไปดูแลและแนะนำสาขาทุกสัปดาห์

     ขณะที่ส่วนกลาง ปรับตัวให้มีสินค้าและบริการตรงกับความต้องการของตลาด โดยเฉพาะหันมาเน้นขายกลุ่มอาหาร ประกอบกับจัดโปรโมชันกระตุ้นยอดขายต่อเนื่อง นำเทคโนโลยีระบไอทีมาใช้เก็บข้อมูลสถิติต่างๆรวมถึง มีระบบคลังสินค้าที่สมบูรณ์ แบ่งเป็นคลังใหญ่ 4 จุด ได้แก่ ในกรุงเทพฯ 2 แห่ง ส่วนภาคเหนือ และใต้ อีกอย่างละแห่ง อีกทั้ง มีคลังเล็ก กระจายอยู่ทั่วประเทศ ช่วยกระจายสินค้าที่ต้องการความสดใหม่ เช่น อาหารและหนังสือพิมพ์ ให้ถึงมือลูกค้าได้รวดเร็วทันใจยิ่งขึ้น พร้อมระบบคัดเลือกสินค้า เพื่อหมุนเวียนสินค้าที่ลูกค้าต้องการจริงๆ เข้ามาขายในร้าน
ผู้บริหารแฟรนไชส์เจ้าดัง เผยด้วยว่า ในแต่ละปีจะมีผู้สนใจขอเปิดร้าน 7-11 เกือบหนึ่งหมื่นราย แต่ผ่านการคัดเลือกเพียง 5%เท่านั้น สำหรับหลักพิจารณา สำคัญที่สุด ต้องรักงานบริการ ตามด้วยควรมีประสบการณ์ทำงานจริงมาก่อน มีเวลาบริหารเต็มที่ อายุควรมากกว่า 30 ปีขึ้นไป โดยผู้ได้รับคัดเลือกจะต้องผ่านการฝึกอบรมจากบริษัท ทั้งด้านบริหารร้าน บริหารพนักงาน บริหารสินค้า ฯลฯเพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถบริหารร้านให้ประสบความสำเร็จต่อไปได้
ในส่วนการลงทุนนั้น มีให้เลือก TYPE B อยู่ที่ 480,000 บาท รวมค่าค้ำประกันต่างๆ อีก1,000,000 บาท (ได้รับคืนหลังครบสัญญา) และTYPE C อยู่ที่ 1,730,000 บาท รวมค่าค้ำประกันต่างๆ 900,000 บาท (ได้รับคืนหลังครบสัญญา) ซึ่งปัจจุบันการเปิดร้านแฟรนไชส์เซเว่นฯ แทบทั้งหมดกว่า 95% จะเป็นร้านของบริษัทที่ให้ผู้สนใจ เลือกลงทุนไปดำเนินกิจการต่อ ส่วนการเปิดร้านจากทำเลของผู้ลงทุนเอง มีสัดส่วนเพียง 5% เท่านั้น

     ด้านผลตอบแทนของแฟรนไชซี แบบTYPE B มาจากผลตอบแทนจากการบริหารและกำไรส่วนเพิ่ม อัตราคืนเงินลงทุนประมาณ5-6 ปี ส่วนแบบ TYPE C จะมาจากยอดขายหักต้นทุน ซึ่งแฟรนไชซีจะได้ส่วนแบ่งกำไร54% บริษัทได้ส่วนแบ่งกำไร 46% อัตราการคืนทุนประมาณ 10 ปี โดยเฉลี่ยลูกค้าที่เข้าร้าน7-11 จะใช้จ่ายประมาณ 40-50 บาทต่อคนต่อครั้งที่เข้าร้าน แต่ละสาขาจะมีรายได้เฉลี่ยอย่างต่ำ 40,000-50,000 บาทต่อวัน (แล้วแต่สาขา และขนาดร้าน)
ขณะที่อัตราการยกเลิกกิจการของผู้ลงทุนแฟรนไชส์ 7-11 อยู่ที่ประมาณ 10% ซึ่งสาเหตุใหญ่มักเกิดจากความไม่พร้อมส่วนตัวของแฟรนไชซี เช่น ไม่มีเวลามาดูแล ขาดทายาทสืบต่อธุรกิจ เป็นต้น อย่างไรก็ตามอัตราดังกล่าวเมื่อเทียบกับการยกเลิกร้าน 7-11 ในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ถือว่าต่ำมาก


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Cupid ที่ วันที่ 08 กรกฎาคม 2011, 16:18:56
ถึงท่านคิว
     เท่าที่อ่านของท่านคิวแล้ว

 บุคคลธรรมดาที่ถือหุ้นของบริษัทฯจดทะเบียนฯนั้นๆอยู่ ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราที่บริษัทฯ
ต้องจ่าย กฎหมายจึงกำหนดให้รัฐต้องคืนภาษีที่บริษัทฯได้ชำระไว้แล้วให้บุคคลธรรมดาที่ถือหุ้น และ
ได้รับเงินปันผลจากบริษัทฯดังกล่าว โดยต้องยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ฯ และเมื่อคำนวณภาษีออก
มาแล้วได้มีการชำระภาษีเกินไปเท่าใด ก็สามารถขอคืนได้

     รู้สึกว่า  ถ้าเราไม่ได้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว  เราก็ไม่มีสิทธิ์จะไปขอคืนภาษีได้  ผมคิดถูกไหม  ถ้าผมคิดถูก  งั้นก็แสดงว่าผมไม่มีสิทธิ์ไปขอคืนภาษี  ถ้าเป็นงั้นจริง  กระผมก็น้อมรับแต่โดยดี


ขออนุญาตเรียนว่า ท่านกำลังเข้าใจผิดครับ เมื่อท่านยื่นแบบฯแล้ว เงินได้พึงประเมินที่จะนำมา
คำนวณภาษีไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องชำระภาษี หรือคำนวณแล้วท่านต้องจ่ายน้อยกว่าภาษีที่ท่านถูก
หักไว้ ณ ที่จ่ายเท่าใด ก็ขอคืนได้ครับ หรือถูกหักไว้ไม่ครบจำนวนที่ต้องเสีย ก็ต้องเสียให้ครบครับ

อุทธาหรณ์ ท่านถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ 10,000 บาท เมื่อท่านยื่นแบบฯและคำนวณภาษีออกมา
แล้ว ปรากฎว่าท่านต้องเสียภาษีจำนวน 1,000 บาท เทากับว่าท่านถูกหักภาษีเกินไป 9,000 บาท
ท่านขอคืนเงินจำนวน 9,000 บาท ที่ถูกหักไว้เกินดังกล่าวได้

หรือ ท่าน ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ 10,000 บาท แต่เมื่อยื่นแบบคำนวณแล้วท่านต้องชำระภาษีจำ
นวน 12,000 บาท เท่ากับว่าท่านต้องชำระเพิ่มอีก 2,000 บาท ครับ





หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 08 กรกฎาคม 2011, 21:20:20


ขออนุญาตเรียนว่า ท่านกำลังเข้าใจผิดครับ เมื่อท่านยื่นแบบฯแล้ว เงินได้พึงประเมินที่จะนำมา
คำนวณภาษีไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องชำระภาษี หรือคำนวณแล้วท่านต้องจ่ายน้อยกว่าภาษีที่ท่านถูก
หักไว้ ณ ที่จ่ายเท่าใด ก็ขอคืนได้ครับ หรือถูกหักไว้ไม่ครบจำนวนที่ต้องเสีย ก็ต้องเสียให้ครบครับ

อุทธาหรณ์ ท่านถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ 10,000 บาท เมื่อท่านยื่นแบบฯและคำนวณภาษีออกมา
แล้ว ปรากฎว่าท่านต้องเสียภาษีจำนวน 1,000 บาท เทากับว่าท่านถูกหักภาษีเกินไป 9,000 บาท
ท่านขอคืนเงินจำนวน 9,000 บาท ที่ถูกหักไว้เกินดังกล่าวได้

หรือ ท่าน ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ 10,000 บาท แต่เมื่อยื่นแบบคำนวณแล้วท่านต้องชำระภาษีจำ
นวน 12,000 บาท เท่ากับว่าท่านต้องชำระเพิ่มอีก 2,000 บาท ครับ






รับทราบครับท่านคิวฯ ละเอียดยังกะเขียนตอบกฎหมายเลยนะท่าน... ;D ;D

รายได้ต่อปียังไม่ถึงเลยครับ ดูแลทั้งเมียพ่อและก็เมียเรานำไปลดหย่อนได้ก่อ...?   ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: HipHopJaa ที่ วันที่ 08 กรกฎาคม 2011, 22:16:32
ใครสนใจหุ้น 7-11 ผมบ้าง  วันนี้เอาข่าวของบริษัทมาให้อ่าน

     เปิดกลยุทธ์สู่ความสำเร็จแฟรนไชส์ 7-11 หลังแจ้งเกิดครบรอบ20 ปี มุ่งเป้าขายอาหารอิ่มทันใจ ชี้อัตราซื้อซ้ำสูงกำไรงาม และเพิ่มช่องกระจายวัตถุดิบบริษัทแม่ ตั้งเป้าปูพรม 7,000 สาขาทั่วประเทศในอีก2 ปี พร้อมเร่งมอบส่งไม้บริหารแก่แฟรนไชซีหนุนขยายเครือข่าย ยอมรับตลาดร้านค้าปลีกสมัยใหม่แข่งดุ ระบุหากปรับตัวพร้อมโอกาสโตยังเปิดกว้าง

     นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)ผู้บริหารแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อ "เซเว่นอีเลฟเว่น" (7-11) เผยในงานแถลงนโยบายร้าน7-11 ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของการเปิดแฟรนไชส์ในเมืองไทยว่า บริษัทฯ ซื้อลิขสิทธิ์ร้าน7-11 มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปีพ.ศ.2532 และเริ่มขายแฟรนไชส์ใน พ.ศ.2534 จำนวน 9 สาขา ปัจจุบันเพิ่มเป็น 6,094 สาขาแบ่งเป็นสัดส่วนแฟรนไชส์ 3,153 สาขา หรือ52% และบริหารโดยบริษัท 2,941 สาขา หรือ48% (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2554) และเชื่อว่าถึงสิ้นปีนี้ (2554) สัดส่วนแฟรนไชส์จะเพิ่มเป็น 53% โดยมีสาขาเพิ่มจากปีก่อน (2553)500 สาขา แบ่งเป็นของแฟรนไชส์ ประมาณ 400 สาขา และบริษัทประมาณ 100 สาขา

     สำหรับนโยบาย 7-11 จากนี้ ยังคงมุ่งสานต่อกลยุทธ์เป็นร้านขายอาหารอิ่มสะดวกของคนไทยที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศโดยมุ่งเน้นขายอาหารกินเป็นมื้อ ซึ่งในอดีตสัดส่วนรายได้ของร้าน 7-11 จากส่วนอาหารเพียง 20% และสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ 80%แต่ปัจจุบัน สัดส่วนในกลุ่มแรกเพิ่มเป็นกว่า70% ขณะที่กลุ่มหลังลดเหลือ 30% และตั้งเป้าว่า อนาคตจะเพิ่มสัดส่วนยอดขายกลุ่มอาหารให้ถึง 80%
"การวางกลยุทธ์เน้นขายอาหารสด เพราะเราอยากสร้างจุดต่าง ไม่ต้องไปแข่งขันกับร้านโชวห่วย หรือมินิมาร์ทรายอื่นๆ รวมถึง อาหารเป็นสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป ทำให้มีอัตรากลับมาซื้อซ้ำสูง และกำไรต่อหน่วยสูงกว่า โดยกลุ่มอาหารกำไรกว่า 30% ขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภคประมาณ 10% เท่านั้น และที่สำคัญบริษัทแม่มีความพร้อมทั้งด้านวัตถุดิบ และทีมงาน สามารถผลิตและป้อนสินค้าให้ได้สม่ำเสมอ" กก.ผจก. เผย
สำหรับเป้าหมายแฟรนไชส์ 7-11 ในอีก2 ปีข้างหน้า จะขยายสาขาเพิ่มเป็น 7,000 แห่งทั่วประเทศ มุ่งทำเลถนนตัดใหม่ ควบคู่กับขยายสัดส่วนบริหารโดยแฟรนไชซีเติบโตต่อเนื่องปีละ 3% ซึ่งถือเป็นนโยบายสำคัญที่ต้องการสร้างคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจร้าน เพื่อสร้างและขยายเครือข่ายธุรกิจให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งจะก่อประโยชน์ให้ทั้งส่วนบริษัท มีช่องทางกระจายสินค้ามากยิ่งขึ้น พร้อมกับได้สร้างอาชีพที่มั่นคงแก่คนรุ่นใหม่ และยังทำให้ระบบค้าปลีกของประเทศมีความก้าวหน้าอีกด้วย

สนใจคับพี่วายุ...ผมน้องใหม่คับ มีตังมะถึง หมื่นบาท อยากจะลองเล่นสักครั้ง ไม่ทีความรู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ผมติดตามอ่านบทความพี่แล้วอยากเปิดโอกาศให้กับตัวเองบ้างคับ โดยเฉพาะ หุ้น 7-11 น่าสนใจคับ
     นายปิยะวัฒน์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่ การแข่งขันกันสูงมาก โดยเฉพาะจากแบรนด์ใหม่ที่เปิดโดยห้างค้าปลีกรายใหญ่ อย่างไรก็ตาม ร้าน 7-11 ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดมาเป็นอันดับหนึ่ง ประมาณ 50%ซึ่งจากระบบที่วางมายาวนาน ประกอบกับกลยุทธ์การตลาดที่ปรับตัวอยู่เสมอ รวมถึงแบรนด์ที่ลูกค้ายอมรับและจดจำ ผนวกกับการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่คาดว่าปีนี้ GDP จะโต 4.5% จึงเชื่อว่าโอกาสของธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่จะขยายตัวขึ้นยังเป็นไปได้สูง

     สำหรับแนวทางสำคัญในการบริหารแฟรนไชส์ 7-11 ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คือปรับตัวและพัฒนาตลอดเวลา ทั้งส่วนเจ้าของร้านสาขา กับส่วนกลาง กล่าวคือ ในส่วนเจ้าของร้าน ทางบริษัทจะจัดอบรมความรู้ที่จำเป็นแก่แฟรนไชซีตลอดทั้งปี เพื่อสร้างมาตรฐานเดียวกันทุกสาขา และมีทีมปฏิบัติลงพื้นที่เข้าไปดูแลและแนะนำสาขาทุกสัปดาห์

     ขณะที่ส่วนกลาง ปรับตัวให้มีสินค้าและบริการตรงกับความต้องการของตลาด โดยเฉพาะหันมาเน้นขายกลุ่มอาหาร ประกอบกับจัดโปรโมชันกระตุ้นยอดขายต่อเนื่อง นำเทคโนโลยีระบไอทีมาใช้เก็บข้อมูลสถิติต่างๆรวมถึง มีระบบคลังสินค้าที่สมบูรณ์ แบ่งเป็นคลังใหญ่ 4 จุด ได้แก่ ในกรุงเทพฯ 2 แห่ง ส่วนภาคเหนือ และใต้ อีกอย่างละแห่ง อีกทั้ง มีคลังเล็ก กระจายอยู่ทั่วประเทศ ช่วยกระจายสินค้าที่ต้องการความสดใหม่ เช่น อาหารและหนังสือพิมพ์ ให้ถึงมือลูกค้าได้รวดเร็วทันใจยิ่งขึ้น พร้อมระบบคัดเลือกสินค้า เพื่อหมุนเวียนสินค้าที่ลูกค้าต้องการจริงๆ เข้ามาขายในร้าน
ผู้บริหารแฟรนไชส์เจ้าดัง เผยด้วยว่า ในแต่ละปีจะมีผู้สนใจขอเปิดร้าน 7-11 เกือบหนึ่งหมื่นราย แต่ผ่านการคัดเลือกเพียง 5%เท่านั้น สำหรับหลักพิจารณา สำคัญที่สุด ต้องรักงานบริการ ตามด้วยควรมีประสบการณ์ทำงานจริงมาก่อน มีเวลาบริหารเต็มที่ อายุควรมากกว่า 30 ปีขึ้นไป โดยผู้ได้รับคัดเลือกจะต้องผ่านการฝึกอบรมจากบริษัท ทั้งด้านบริหารร้าน บริหารพนักงาน บริหารสินค้า ฯลฯเพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถบริหารร้านให้ประสบความสำเร็จต่อไปได้
ในส่วนการลงทุนนั้น มีให้เลือก TYPE B อยู่ที่ 480,000 บาท รวมค่าค้ำประกันต่างๆ อีก1,000,000 บาท (ได้รับคืนหลังครบสัญญา) และTYPE C อยู่ที่ 1,730,000 บาท รวมค่าค้ำประกันต่างๆ 900,000 บาท (ได้รับคืนหลังครบสัญญา) ซึ่งปัจจุบันการเปิดร้านแฟรนไชส์เซเว่นฯ แทบทั้งหมดกว่า 95% จะเป็นร้านของบริษัทที่ให้ผู้สนใจ เลือกลงทุนไปดำเนินกิจการต่อ ส่วนการเปิดร้านจากทำเลของผู้ลงทุนเอง มีสัดส่วนเพียง 5% เท่านั้น

     ด้านผลตอบแทนของแฟรนไชซี แบบTYPE B มาจากผลตอบแทนจากการบริหารและกำไรส่วนเพิ่ม อัตราคืนเงินลงทุนประมาณ5-6 ปี ส่วนแบบ TYPE C จะมาจากยอดขายหักต้นทุน ซึ่งแฟรนไชซีจะได้ส่วนแบ่งกำไร54% บริษัทได้ส่วนแบ่งกำไร 46% อัตราการคืนทุนประมาณ 10 ปี โดยเฉลี่ยลูกค้าที่เข้าร้าน7-11 จะใช้จ่ายประมาณ 40-50 บาทต่อคนต่อครั้งที่เข้าร้าน แต่ละสาขาจะมีรายได้เฉลี่ยอย่างต่ำ 40,000-50,000 บาทต่อวัน (แล้วแต่สาขา และขนาดร้าน)
ขณะที่อัตราการยกเลิกกิจการของผู้ลงทุนแฟรนไชส์ 7-11 อยู่ที่ประมาณ 10% ซึ่งสาเหตุใหญ่มักเกิดจากความไม่พร้อมส่วนตัวของแฟรนไชซี เช่น ไม่มีเวลามาดูแล ขาดทายาทสืบต่อธุรกิจ เป็นต้น อย่างไรก็ตามอัตราดังกล่าวเมื่อเทียบกับการยกเลิกร้าน 7-11 ในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ถือว่าต่ำมาก



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 08 กรกฎาคม 2011, 22:22:55
ท่าน HipHopJaa เข้ามาแล้ว กดอ้างถึงข้อความท่านวายุแล้ว

ก็แสดงความเห็นสักหน่อยสิครับ

จะได้แลกเปลี่ยนความรู้กันกันครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: HipHopJaa ที่ วันที่ 08 กรกฎาคม 2011, 22:29:19
ใครสนใจหุ้น 7-11 ผมบ้าง  วันนี้เอาข่าวของบริษัทมาให้อ่าน

     เปิดกลยุทธ์สู่ความสำเร็จแฟรนไชส์ 7-11 หลังแจ้งเกิดครบรอบ20 ปี มุ่งเป้าขายอาหารอิ่มทันใจ ชี้อัตราซื้อซ้ำสูงกำไรงาม และเพิ่มช่องกระจายวัตถุดิบบริษัทแม่ ตั้งเป้าปูพรม 7,000 สาขาทั่วประเทศในอีก2 ปี พร้อมเร่งมอบส่งไม้บริหารแก่แฟรนไชซีหนุนขยายเครือข่าย ยอมรับตลาดร้านค้าปลีกสมัยใหม่แข่งดุ ระบุหากปรับตัวพร้อมโอกาสโตยังเปิดกว้าง

     นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)ผู้บริหารแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อ "เซเว่นอีเลฟเว่น" (7-11) เผยในงานแถลงนโยบายร้าน7-11 ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของการเปิดแฟรนไชส์ในเมืองไทยว่า บริษัทฯ ซื้อลิขสิทธิ์ร้าน7-11 มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปีพ.ศ.2532 และเริ่มขายแฟรนไชส์ใน พ.ศ.2534 จำนวน 9 สาขา ปัจจุบันเพิ่มเป็น 6,094 สาขาแบ่งเป็นสัดส่วนแฟรนไชส์ 3,153 สาขา หรือ52% และบริหารโดยบริษัท 2,941 สาขา หรือ48% (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2554) และเชื่อว่าถึงสิ้นปีนี้ (2554) สัดส่วนแฟรนไชส์จะเพิ่มเป็น 53% โดยมีสาขาเพิ่มจากปีก่อน (2553)500 สาขา แบ่งเป็นของแฟรนไชส์ ประมาณ 400 สาขา และบริษัทประมาณ 100 สาขา

     สำหรับนโยบาย 7-11 จากนี้ ยังคงมุ่งสานต่อกลยุทธ์เป็นร้านขายอาหารอิ่มสะดวกของคนไทยที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศโดยมุ่งเน้นขายอาหารกินเป็นมื้อ ซึ่งในอดีตสัดส่วนรายได้ของร้าน 7-11 จากส่วนอาหารเพียง 20% และสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ 80%แต่ปัจจุบัน สัดส่วนในกลุ่มแรกเพิ่มเป็นกว่า70% ขณะที่กลุ่มหลังลดเหลือ 30% และตั้งเป้าว่า อนาคตจะเพิ่มสัดส่วนยอดขายกลุ่มอาหารให้ถึง 80%
"การวางกลยุทธ์เน้นขายอาหารสด เพราะเราอยากสร้างจุดต่าง ไม่ต้องไปแข่งขันกับร้านโชวห่วย หรือมินิมาร์ทรายอื่นๆ รวมถึง อาหารเป็นสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป ทำให้มีอัตรากลับมาซื้อซ้ำสูง และกำไรต่อหน่วยสูงกว่า โดยกลุ่มอาหารกำไรกว่า 30% ขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภคประมาณ 10% เท่านั้น และที่สำคัญบริษัทแม่มีความพร้อมทั้งด้านวัตถุดิบ และทีมงาน สามารถผลิตและป้อนสินค้าให้ได้สม่ำเสมอ" กก.ผจก. เผย
สำหรับเป้าหมายแฟรนไชส์ 7-11 ในอีก2 ปีข้างหน้า จะขยายสาขาเพิ่มเป็น 7,000 แห่งทั่วประเทศ มุ่งทำเลถนนตัดใหม่ ควบคู่กับขยายสัดส่วนบริหารโดยแฟรนไชซีเติบโตต่อเนื่องปีละ 3% ซึ่งถือเป็นนโยบายสำคัญที่ต้องการสร้างคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจร้าน เพื่อสร้างและขยายเครือข่ายธุรกิจให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งจะก่อประโยชน์ให้ทั้งส่วนบริษัท มีช่องทางกระจายสินค้ามากยิ่งขึ้น พร้อมกับได้สร้างอาชีพที่มั่นคงแก่คนรุ่นใหม่ และยังทำให้ระบบค้าปลีกของประเทศมีความก้าวหน้าอีกด้วย

สนใจคับพี่วายุ...ผมน้องใหม่คับ มีตังมะถึง หมื่นบาท อยากจะลองเล่นสักครั้ง ไม่ทีความรู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ผมติดตามอ่านบทความพี่แล้วอยากเปิดโอกาศให้กับตัวเองบ้างคับ โดยเฉพาะ หุ้น 7-11 น่าสนใจคับ
     นายปิยะวัฒน์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่ การแข่งขันกันสูงมาก โดยเฉพาะจากแบรนด์ใหม่ที่เปิดโดยห้างค้าปลีกรายใหญ่ อย่างไรก็ตาม ร้าน 7-11 ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดมาเป็นอันดับหนึ่ง ประมาณ 50%ซึ่งจากระบบที่วางมายาวนาน ประกอบกับกลยุทธ์การตลาดที่ปรับตัวอยู่เสมอ รวมถึงแบรนด์ที่ลูกค้ายอมรับและจดจำ ผนวกกับการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่คาดว่าปีนี้ GDP จะโต 4.5% จึงเชื่อว่าโอกาสของธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่จะขยายตัวขึ้นยังเป็นไปได้สูง

     สำหรับแนวทางสำคัญในการบริหารแฟรนไชส์ 7-11 ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คือปรับตัวและพัฒนาตลอดเวลา ทั้งส่วนเจ้าของร้านสาขา กับส่วนกลาง กล่าวคือ ในส่วนเจ้าของร้าน ทางบริษัทจะจัดอบรมความรู้ที่จำเป็นแก่แฟรนไชซีตลอดทั้งปี เพื่อสร้างมาตรฐานเดียวกันทุกสาขา และมีทีมปฏิบัติลงพื้นที่เข้าไปดูแลและแนะนำสาขาทุกสัปดาห์

     ขณะที่ส่วนกลาง ปรับตัวให้มีสินค้าและบริการตรงกับความต้องการของตลาด โดยเฉพาะหันมาเน้นขายกลุ่มอาหาร ประกอบกับจัดโปรโมชันกระตุ้นยอดขายต่อเนื่อง นำเทคโนโลยีระบไอทีมาใช้เก็บข้อมูลสถิติต่างๆรวมถึง มีระบบคลังสินค้าที่สมบูรณ์ แบ่งเป็นคลังใหญ่ 4 จุด ได้แก่ ในกรุงเทพฯ 2 แห่ง ส่วนภาคเหนือ และใต้ อีกอย่างละแห่ง อีกทั้ง มีคลังเล็ก กระจายอยู่ทั่วประเทศ ช่วยกระจายสินค้าที่ต้องการความสดใหม่ เช่น อาหารและหนังสือพิมพ์ ให้ถึงมือลูกค้าได้รวดเร็วทันใจยิ่งขึ้น พร้อมระบบคัดเลือกสินค้า เพื่อหมุนเวียนสินค้าที่ลูกค้าต้องการจริงๆ เข้ามาขายในร้าน
ผู้บริหารแฟรนไชส์เจ้าดัง เผยด้วยว่า ในแต่ละปีจะมีผู้สนใจขอเปิดร้าน 7-11 เกือบหนึ่งหมื่นราย แต่ผ่านการคัดเลือกเพียง 5%เท่านั้น สำหรับหลักพิจารณา สำคัญที่สุด ต้องรักงานบริการ ตามด้วยควรมีประสบการณ์ทำงานจริงมาก่อน มีเวลาบริหารเต็มที่ อายุควรมากกว่า 30 ปีขึ้นไป โดยผู้ได้รับคัดเลือกจะต้องผ่านการฝึกอบรมจากบริษัท ทั้งด้านบริหารร้าน บริหารพนักงาน บริหารสินค้า ฯลฯเพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถบริหารร้านให้ประสบความสำเร็จต่อไปได้
ในส่วนการลงทุนนั้น มีให้เลือก TYPE B อยู่ที่ 480,000 บาท รวมค่าค้ำประกันต่างๆ อีก1,000,000 บาท (ได้รับคืนหลังครบสัญญา) และTYPE C อยู่ที่ 1,730,000 บาท รวมค่าค้ำประกันต่างๆ 900,000 บาท (ได้รับคืนหลังครบสัญญา) ซึ่งปัจจุบันการเปิดร้านแฟรนไชส์เซเว่นฯ แทบทั้งหมดกว่า 95% จะเป็นร้านของบริษัทที่ให้ผู้สนใจ เลือกลงทุนไปดำเนินกิจการต่อ ส่วนการเปิดร้านจากทำเลของผู้ลงทุนเอง มีสัดส่วนเพียง 5% เท่านั้น

     ด้านผลตอบแทนของแฟรนไชซี แบบTYPE B มาจากผลตอบแทนจากการบริหารและกำไรส่วนเพิ่ม อัตราคืนเงินลงทุนประมาณ5-6 ปี ส่วนแบบ TYPE C จะมาจากยอดขายหักต้นทุน ซึ่งแฟรนไชซีจะได้ส่วนแบ่งกำไร54% บริษัทได้ส่วนแบ่งกำไร 46% อัตราการคืนทุนประมาณ 10 ปี โดยเฉลี่ยลูกค้าที่เข้าร้าน7-11 จะใช้จ่ายประมาณ 40-50 บาทต่อคนต่อครั้งที่เข้าร้าน แต่ละสาขาจะมีรายได้เฉลี่ยอย่างต่ำ 40,000-50,000 บาทต่อวัน (แล้วแต่สาขา และขนาดร้าน)
ขณะที่อัตราการยกเลิกกิจการของผู้ลงทุนแฟรนไชส์ 7-11 อยู่ที่ประมาณ 10% ซึ่งสาเหตุใหญ่มักเกิดจากความไม่พร้อมส่วนตัวของแฟรนไชซี เช่น ไม่มีเวลามาดูแล ขาดทายาทสืบต่อธุรกิจ เป็นต้น อย่างไรก็ตามอัตราดังกล่าวเมื่อเทียบกับการยกเลิกร้าน 7-11 ในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ถือว่าต่ำมาก


ผมสนใจมากคับพี่วายุ ผมเป็นน้องใหม่นะคับ....ผมติดตามอ่านบทความของพี่แล้วอยากจะเปิดโอกาศให้กับตัวเองบ้าง แต่ผมไม่มีความรู้เรื่องหุ้นเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะของ 7-11 สนใจมากคับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: singhato ที่ วันที่ 09 กรกฎาคม 2011, 09:54:14
http://www.youtube.com/watch?v=iYZHjKlk7Go&NR=1
อันนี้เอามาฝากเผื่อ นักลงทุนเชียงรายโฟกัส เงินเหลือจะทำมั้งก็ไม่ว่ากันครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 09 กรกฎาคม 2011, 11:28:21
http://www.youtube.com/watch?v=iYZHjKlk7Go&NR=1
อันนี้เอามาฝากเผื่อ นักลงทุนเชียงรายโฟกัส เงินเหลือจะทำมั้งก็ไม่ว่ากันครับ

แบบนี้ไม่ใช่เรียกว่าเิงินเหลือแล้วครับ

เรียกว่าโคตะระเหลือเฟือแล้วครับ 555+


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 15:47:03
ตอบท่านคิว
     อย่างนี้แสดงว่า  ถ้าผมเสนอหน้าเข้าไปที่สรรพากร  อาจหน้าหงายมิใช่น้อย  เนื่องจากว่า  อาจต้องจ่ายเพิ่ม  งั้นผมไม่อยากได้คืนแล้ว  หักๆไปเถอะเงินปันผลน่ะ  ผมยกให้

ตอบคุณ HipHopJaa
     ถ้าสนใจก็ซื้อเลยสิครับ  ผมบอกอย่างนี้จะเชื่อไหม.....  ก่อนที่จะลงมือทำอะไรก็แล้วแต่  ไตร่ตรองให้ดีก่อนนะครับ  เพราะถึงหุ้นจะดี  แต่ถ้ามันไม่เหมาะกับสไตล์คุณ  คุณก็อาจจะบอกไม่เห็นดีเลย  ดูอย่างวันก่อนนี้สิ  หุ้นพุ่งกระฉูด  แต่วันนี้มันลงมาแรงเลย  ถ้าเป็นคุณ  คุณจะตกใจขายหรือเปล่า  หรือคุณจะเป็นทุกข์และนอนไม่หลับไหม  ถ้าใช่  หุ้นตัวนี้อาจไม่เหมาะกับคุณก็ได้  บางทีคุณอาจจะชอบแบบสบายใจ  ไม่ชอบเอาหุ้นกลับบ้านไปนอนผวา  คุณก็ต้องเล่นแบบซื้อขายในวัน  ซึ่งเมื่อคุณเล่นแบบนั้น  คุณอาจจะว่าหุ้นพวกนั้นดีกว่าก็ได้  หรือคุณชอบแบบไม่ต้องขึ้นต้องลงมาก  คุณก็ต้องเล่นแบบหุ้นปันผลมากๆ  พยายามหาตัวเองให้พบก่อนครับ  แล้วหลังจากนั้นค่อยมาดูว่า  สไตล์ไหนเหมาะกับเรา  หรือถ้ายังไม่รู้อะไรเลย  ผมแนะนำให้ทำอย่างคุณวัยทองและคุณสิงโต  ไปเปิดบัญชีก่อน  แล้วหลังจากนั้นก็มาทดลองดู  ใช้เงินในตอนเริ่มแรกจำนวนน้อยๆ  ความฉลาดจะเกิดขึ้นได้เร็วจากการลงมือทำครับ  ถ้าเราเป็นแล้ว  เงินมากเท่าไหร่เราก็สามารถควบคุมได้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 15:58:18
ผู้ชนะบนค่าแรง 300
     ตอนนี้นโยบายที่ชัดเจนมากขึ้นของรัฐบาลก็คือ  การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้เป็น 300  บาท  คิดว่าเป็นไปได้ไหม?  อันนี้ตอบไม่ได้ครับ  แต่ที่แน่ๆผมว่ายังไงก็ต้องขึ้น  เพราะถ้าไม่ขึ้น  รัฐบาลคงโดนจวกเละแน่นอน  และถ้าค่าแรงขึ้นแล้วหลังจากนั้นเหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อ  ผมว่าสินค้าก็คงมีราคาแพงขึ้น  เนื่องจากว่า  นายจ้างต้องบวกต้นทุนค่าแรงพนักงานเพิ่มเข้าไปในสินค้าด้วย  และเมื่อสินค้าต่างๆมีราคาแพงขึ้น  นั่นจึงเป็นภาวะที่เรียกว่าเงินเฟ้อ  ความหมายของเงินเฟ้อก็คือ  เงินมันด้อยค่าลง  ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากขึ้นเพื่อไปซื้อของเท่าเดิม  แล้วเรามีวิธีไหนบ้างที่จะหาความได้เปรียบจากเหตุการณ์นี้  ผมมีคำตอบให้แล้ว

     การจะหาความได้เปรียบจากเหตุการณ์นี้  สิ่งแรกที่ต้องรู้ก็คือ  เราต้องรู้ว่าอะไรคือทรัพย์สิน  และอะไรจะเพิ่มค่าขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ  เดี๋ยวผมจะแยกย่อยให้ได้รู้

-บ้านและที่ดิน  เป็นที่แน่นอนว่า  เมื่อของทุกอย่างมีราคาเพิ่มขึ้น  บ้านและที่ดินก็มักจะมีราคาเพิ่มขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อไปด้วย  ในกรณีนี้  ถ้าเราซื้อบ้านและที่ดินด้วยเงินสด  เมื่อเวลาผ่านไป  บ้านและที่ดินนั้นก็จะมีราคาเพิ่มไปตามกาลเวลา  ถ้าเราซื้อบ้านและที่ดินเก็บไว้  มันก็มักจะเสมอตัวไม่ขาดทุน  หมายถึง  มันก็จะยังคงสามารถรักษาคุณค่าและราคาในตัวมันเองไว้ได้  หากสินค้าแพงขึ้น  บ้านและที่ดินก็จะมีราคาขึ้นตาม  ซึ่งในกรณีนี้  คนที่เป็นเจ้าของก็จะไม่เสียเปรียบเงินเฟ้อแต่อย่างใด  แต่ถ้าเราอยากได้เปรียบ  เราก็ต้องกู้เงินธนาคารมาซื้อบ้าน  ในกรณีการกู้เพื่อมาซื้อที่ดิน  บางธนาคารหรือทุกธนาคารจะไม่ให้กู้  ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใด  งั้นเราก็ซื้อเฉพาะของที่กู้ได้ก็แล้วกัน  เราซื้อบ้าน 1 ล้านบาท  ดาวน์ไป 1 แสนบาท  กู้ธนาคาร 9 แสนบาท  จะดีแค่ไหนที่เราซื้อของราคา 1 ล้านในวันนี้  และใช้หนี้คืนด้วยเงินที่ด้อยค่าลงในอนาคต  นั่นคือความได้เปรียบอย่างแรก  ยิ่งค่าแรงเพิ่มขึ้นเท่าไหร่  เงินก็ยิ่งเฟ้อขึ้นเท่านั้น  นั่นก็หมายถึง  เราจะได้เปรียบธนาคารมากขึ้นเป็นลำดับ  และความได้เปรียบอย่างที่สองก็คือ  ราคาบ้านที่เราซื้อมามันจะมีราคาเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อ  และอย่างที่สาม  เราสามารถหาคนมาใช้หนี้แทนเราได้  โดยเอาบ้านให้เขาเช่า  แต่สิทธิ์ในบ้านนั้นยังเป็นของเราอยู่  คำว่าสิทธิ์ในที่นี้หมายถึง  การเป็นเจ้าของทรัพย์นั้น  และทรัพย์สินนั้นก็เพิ่มมูลค่าขึ้น  แต่ถ้าเราซื้อเงินสด  เราอาจจะไม่ได้โชคหลายชั้นแบบนี้  เพราะฉะนั้น  เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว  เรารีบมาเป็นหนี้กันดีกว่า  แต่มันก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่คุณจะรีบออกไปหาซื้อบ้านโทรมๆมาหนึ่งหลังนะครับ

-หุ้น  ตรงนี้เราต้องเลือกดีๆ  เนื่องจากว่าหุ้นนั้นเป็นของบริษัทต่างๆที่ทำธุรกิจต่างชนิดกัน  และบริษัทต่างๆก็มีข้อได้เปรียบ-เสียเปรียบให้กับเงินเฟ้อไม่เหมือนกัน  ยกตัวอย่างเช่น 7-11 ของผม  ถ้าต้องขึ้นค่าแรงพนักงาน  ขนมปังเลอแปง  สเลอปี้  กาแฟ  ฮอทดอก  แฮมเบอร์เกอร์  ซาลาเปา  ก็คงจะต้องขึ้นด้วย  นี่ก็เป็นการทดแทนกันเพื่อให้สมดุลระหว่างรายรับและรายจ่ายได้  อันนี้คงพอเข้าใจนะครับ  ถ้าคุณสนใจหุ้นอะไรอยู่  ลองนึกดูว่าเขาจะสามารถเอาตัวรอดจากเหตุการณ์นี้ได้ยังไงก็แล้วกัน

-เงินฝาก  โอ้พระเจ้าช่วยกล้วยทอด  คุณฝากเงินหรือนี่  คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังทำร้ายตัวเองอยู่  ถ้าคุณเก็บเงินไว้ 1 ล้านบาท  และถ้าข้าวขายกันที่จานละ 1 บาท  คุณก็ซื้อได้ล้านจาน  แต่ถ้าเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจนเป็นจานละร้อยล่ะ  คุณจะซื้อข้าวได้กี่จาน  ขอแสดงความเสียใจด้วย  ที่คุณกำลังจะกลายเป็นผู้แพ้ในเกมนี้แล้ว  ถ้าไม่อยากหน้ามืด  ก็จงเอาเงินออกไปลงทุนซื้อบ้านได้แล้ว  และถ้าจะให้ดี  ก็กู้เสียเลย  อย่าไปกลัวว่าดอกเบี้ยมันจะขึ้น  เพราะถ้ามันขึ้นมากๆ  ฝรั่งก็จะเฮโลเอาเงินเข้ามาฝากจนเงินบาทมันแข็งโป๊ก  แล้วทีนี้ก็สนุกล่ะ  เพราะผู้ส่งออกก็ต้องด่าวดิ้นไปตามระเบียบ  เนื่องจากว่า  โดนเด้งที่หนึ่งเรื่องค่าแรง  และเด้งที่สองบาทแข็ง  ไม่เจ๊งคราวนี้จะเจ๊งคราวไหน

-พันธบัตรหรือตราสารหนี้  นี่ก็พอกันกับเงินฝากเลย  ดอกขึ้นกระติ๊ดเดียว  อย่าไปแตะมันเลย  ถึงแม้ว่าจะมีพันธบัตรชุดใหม่ชดเชยเงินเฟ้อก็ตาม  มันก็ยังขึ้นไม่ทันค่าข้าวอยู่ดี

-สลากออมสิน...พอกัน

-ทองคำ  ใครที่นึกว่าเงินเฟ้อมาต้องซื้อทองคำ  ผมอยากบอกว่า  มันไม่ใช่ตอนนี้  เพราะตลาดเทรดทองคำมันอ้างอิงกับดอลล่าร์  มันไม่ได้อิงกับบาท  ถ้าพิมพ์แบงค์ดอลออกมาเยอะ  ทองมันก็ขึ้นเหมือนช่วงก่อน  แต่นี่เขาเลิกพิมพ์แบงค์กันแล้ว  ไม่สังเกตหรือว่า  ช่วงนี้ทองมันไม่วิ่งแล้ว  ดูอืดๆจนอึดอัด  ถ้าบ้านเราค่าแรงขึ้น  มันเป็นที่ประเทศเราที่เดียว  คนอื่นเขาไม่ได้ขึ้นสักหน่อย  ถ้าราคาทองตลาดโลกไม่ขึ้น  ยังทรงๆอยู่แถวนี้  เผลอๆ  คนมีทองอาจขาดทุนด้วยซ้ำ  เนื่องจากว่า  ค่าแรงคนมันเพิ่มขึ้น  เมื่อนำไปเทียบกับทอง  ค่าแรงกับทองมันก็กำลังจะเข้ามาใกล้ชิดกัน  อย่างนี้ก็เท่ากับว่า  ทองมันด้อยค่าลงน่ะสิ  ไม่แน่  เดี๋ยวผมอาจจะไปถอยมาสักบาทก็ได้  รอให้ค่าแรงมันเพิ่มก่อนเถอะ

     โดยสรุป  ถ้าเราฝากเงิน  เราจะกลายเป็นผู้แพ้  ในทันทีที่ค่าแรงขึ้น  สินค้าทุกอย่างจะกระชากราคาขึ้น  แต่เงินคุณยังมีตัวเลขเท่าเดิมอยู่  เกมนี้คุณเสียเปรียบอย่างมาก  ถ้าคุณต้องการรักษาความมั่งคั่งให้คงอยู่เท่าเดิม  คุณก็จะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อชดเชยสิ่งที่มันเสียไป  แต่คุณจะทำอย่างนั้นไปทำไม  ในเมื่อมันมีทางที่ดีกว่า  ถ้าเราอ่านเกมออก  เราก็ลงมือทำก่อนที่มันจะเกิดขึ้น  ถ้าคุณไปซื้อทอง  คุณก็จะขาดทุนได้  ถ้าราคาทองตลาดโลกมันไม่ขึ้น  แต่ค่าแรงมันกำลังพุ่งขึ้นไปหาราคาทอง  ทีนี้ก็เท่ากับว่า  เราจะทำงานไม่กี่วัน  ก็สามารถซื้อทองได้แล้ว  เมื่อเป็นดังนี้ก็เท่ากับว่า  ทองกำลังด้อยค่าลงเมื่อเทียบกับค่าแรง  ถ้าคุณซื้อหุ้น  คุณต้องมีความรู้ด้านการเงินเป็นอย่างมาก  ถ้าคุณไม่รู้อะไรเลย  อย่าไปซื้อมันจะดีกว่า  หรือถ้าอยากซื้อหุ้นจริงๆ  ก็ปรึกษาผู้รู้ได้  ถ้าคุณซื้อบ้านโดยไปกู้ธนาคาร  เกมนี้เราได้เปรียบเป็นอย่างมาก  เนื่องจากว่ามูลหนี้มันเป็นตัวเลขเท่าเก่า  แต่เราใช้หนี้คืนด้วยเงินที่ด้อยค่าลง  และเรายังได้ประโยชน์จากราคาบ้านที่มันสูงขึ้น  แต่ก่อนซื้อบ้าน  ควรจะเลือกสักนิด  ว่าทำเลและราคามันสมเหตุผลหรือไม่  ถ้าคุณไม่ซื้อตอนนี้เนื่องจากบ่นว่าแพงไป  แล้วคุณไม่เสียใจที่ไม่ได้ซื้อไว้เมื่อ 10 ปีก่อนหรอกหรือ?  หรือคุณอาจจะลองดูก็ได้  ไม่ต้องไปซื้อบ้าน  แล้วรอดูว่า  หลังจากที่ค่าแรงมันพุ่งขึ้น  อะไรจะเกิดขึ้นกับราคาบ้านและที่ดิน

     เมื่อมาวิเคราะห์สำหรับตัวผมเอง  สิ่งที่ผมเป็นอยู่ในขณะนี้ก็คือ  ผมขายข้าวมันไก่  ถ้าค่าแรงขึ้น  ไก่ราคาขึ้น  ผมก็ขึ้นราคาสินค้าของผมเพื่อให้เหลือกำไร  อันนี้ก็เป็นการควบคุมความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง  บางทีอาจเป็นความโชคดีของผม  ที่ผมอยู่ในตำแหน่งที่สามารถควบคุมรายรับรายจ่ายได้เอง  สำหรับเรื่องการลงทุน  หุ้นที่ผมเลือกไว้  ก็ทำธุรกิจที่ดี  มีความสามารถควบคุมกำไรในแบบที่ผมทำอยู่  ผมจึงเชื่อมั่นถือหุ้นต่อไป  ส่วนเรื่องบ้านที่ผมเพิ่งซื้อได้ปีกว่า  อันนี้ก็ถือได้ว่า  ถ้าเงินเฟ้อมาเมื่อไหร่  ผมก็ได้เปรียบเมื่อนั้น  ทุกวันนี้ผ่อนเดือนละ 4 พันกว่า  ขายข้าวจานละ 30  ถ้าเงินเฟ้อมาแรง  ก็ยังผ่อนบ้านเดือนละ 4 พันกว่าเหมือนเดิม  แต่ที่ไม่เหมือนคือ  ถ้าผมขายข้าวได้จานละ 40  บาท  ผมจะมีเงินผ่อนบ้านได้เดือนละเท่าไหร่น๊อ...ออออ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Cupid ที่ วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 16:06:37
ตอบท่านคิว
     อย่างนี้แสดงว่า  ถ้าผมเสนอหน้าเข้าไปที่สรรพากร  อาจหน้าหงายมิใช่น้อย  เนื่องจากว่า  อาจต้องจ่ายเพิ่ม  งั้นผมไม่อยากได้คืนแล้ว  หักๆไปเถอะเงินปันผลน่ะ  ผมยกให้


     แสดงว่ารายได้จากการค้าขายของท่านค่อนข้างดี...?  :D

     


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 18:05:11
ตอบคุณ HipHopJaa
     ถ้าสนใจก็ซื้อเลยสิครับ  ผมบอกอย่างนี้จะเชื่อไหม.....  ก่อนที่จะลงมือทำอะไรก็แล้วแต่  ไตร่ตรองให้ดีก่อนนะครับ  เพราะถึงหุ้นจะดี  แต่ถ้ามันไม่เหมาะกับสไตล์คุณ  คุณก็อาจจะบอกไม่เห็นดีเลย  ดูอย่างวันก่อนนี้สิ  หุ้นพุ่งกระฉูด  แต่วันนี้มันลงมาแรงเลย  ถ้าเป็นคุณ  คุณจะตกใจขายหรือเปล่า  หรือคุณจะเป็นทุกข์และนอนไม่หลับไหม  ถ้าใช่  หุ้นตัวนี้อาจไม่เหมาะกับคุณก็ได้  บางทีคุณอาจจะชอบแบบสบายใจ  ไม่ชอบเอาหุ้นกลับบ้านไปนอนผวา  คุณก็ต้องเล่นแบบซื้อขายในวัน  ซึ่งเมื่อคุณเล่นแบบนั้น  คุณอาจจะว่าหุ้นพวกนั้นดีกว่าก็ได้  หรือคุณชอบแบบไม่ต้องขึ้นต้องลงมาก  คุณก็ต้องเล่นแบบหุ้นปันผลมากๆ  พยายามหาตัวเองให้พบก่อนครับ  แล้วหลังจากนั้นค่อยมาดูว่า  สไตล์ไหนเหมาะกับเรา  หรือถ้ายังไม่รู้อะไรเลย  ผมแนะนำให้ทำอย่างคุณวัยทองและคุณสิงโต  ไปเปิดบัญชีก่อน  แล้วหลังจากนั้นก็มาทดลองดู  ใช้เงินในตอนเริ่มแรกจำนวนน้อยๆ  ความฉลาดจะเกิดขึ้นได้เร็วจากการลงมือทำครับ  ถ้าเราเป็นแล้ว  เงินมากเท่าไหร่เราก็สามารถควบคุมได้

ใช่ครับ ตอนแรกๆที่ผมไปปรึกษาท่านวายุ ก็ได้ความรู้ต่างๆมากมาย

แต่มันไม่เท่ากับการที่เราลงมือทำเองหรอกครับ

10 ปากว่า ไม่เท่าลงมือทำ

เมื่อผมไปเปิดบัญชีและทำการซื้อขายครั้งแรก

มันทำให้ผมรู้ว่า ในตลาดหุ้นมันมีอะไรอีกมากมายที่ต้องศึกษา

และทำความเข้าใจอีกเยอะ และความฉลาดก็จะเริ่มเข้ามา

ความเข้าใจในการลงทุนนี้ก็จะเริ่มเพิ่มพูลขึ้นเรื่อยๆ

ซึ่งตอนนี้ ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่รู้อะไรมากนัก

แต่ก็อยากบอกว่าก่อนลงมือกับหลังลงมือทำ

มันต่างกันแบบหน้ามือหลังมือเลยครับ

และผมก็กำลังตามหาแนวทางของผมอยู่เช่นกัน

ตอนนี้ก็เทรดเดย์ไปก่อน หุหุ

เป็นกำลังใจให้ครับ



ตอบท่านคิว
     อย่างนี้แสดงว่า  ถ้าผมเสนอหน้าเข้าไปที่สรรพากร  อาจหน้าหงายมิใช่น้อย  เนื่องจากว่า  อาจต้องจ่ายเพิ่ม  งั้นผมไม่อยากได้คืนแล้ว  หักๆไปเถอะเงินปันผลน่ะ  ผมยกให้


     แสดงว่ารายได้จากการค้าขายของท่านค่อนข้างดี...?  :D

    

ท่าทางจะดีมากครับ

เพราะผมไปหา หลัง ทุ่มครึ่งหรือสองทุ่ม

ไม่ต้องคุยกันแล้วครับ ลูกค้ามายังกะโดนมนต์สะกด 555+

เต็มร้านไปหมดเลยครับ วิ่งเป็นนิลจาเลย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: singhato ที่ วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 18:54:54
ถ้าเทสโก้ในไทยเป็นอย่างนี้แล้ว 7-11 จะเป็นยังงัยบ้างครับ
http://www.youtube.com/watch?v=nJVoYsBym88&feature=player_embedded
คงจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวทีเดียว :o :o :o


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 21:04:39
ถ้าเทสโก้ในไทยเป็นอย่างนี้แล้ว 7-11 จะเป็นยังงัยบ้างครับ
nJVoYsBym88&feature
คงจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวทีเดียว :o :o :o


ถ้าเป็นแบบนี้จริง ก็น่ากลัวเช่นกันครับ

ก็คงต้องเพิ่มหุ้นตัวนี้ในกระเป๋าไว้หน่อยแล้วงั้น


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 23:54:20
ตอบคุณ singhato
     ก่อนอื่นเราต้องมาดูว่า  วิถีชีวิตความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตของคนไทยกับคนประเทศอื่นแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด  อย่างเกาหลีใต้เขาไฮเทคมาก  และก็ไม่ค่อยมีเวลาว่าง  ซึ่งการดำเนินธุรกิจอย่างที่เอามาให้ดู  จึงได้ผลค่อนข้างมาก  แต่พอย้อนกลับมาที่เมืองไทย  คนไทยส่วนใหญ่มักจะช่างเลือก  คุณเป็นคนแบบนี้หรือเปล่าครับ  อย่างผมนี่เป็นแน่นอน  พูดง่ายๆก็คือ  ถ้าไม่ได้เลือกเองกับมือ  ก็ไม่อยากจะซื้อ  เพราะบางทีสั่งซื้อแล้วเสียอารมณ์  ได้ของมาบางทีก็มีตำหนิ  เวลาขอเปลี่ยนขอคืนก็ยุ่งยาก  เพราะฉะนั้น  วิธีนี้มันอาจตอบโจทย์ในประเทศไทยไม่ได้  แต่ถึงตอบได้  ผมก็เชื่อมั่นว่า  7-11  คงไม่ปล่อยให้คู่แข่งล้ำหน้าไปแน่นอน  เนื่องจากกลุ่ม CP  เป็นกลุ่มที่มี  POWER มาก  ธุรกิจอาหารต้นน้ำก็กินรวบ  ถ้าสมมติว่า  เทสโก้มาแรง  ไม่ยอมแบ่งกันกินแบ่งกันใช้  CP  มีสินค้าอะไรบ้าง  ก็บีบเทสโก้ขี้แตกได้เช่น  นมเมจิ  หรือสินค้าต่างๆที่มีในเครือ  ก็อาจจะโก่งราคาขายให้กับเทสโก้ถ้าเทสโก้ต้องการนำไปขาย  แต่ถ้าเทสโก้รับมาราคาแพง  ก็ต้องขายแพงด้วย  แล้วเวลาตั้งขายแข่งกัน  คุณคิดว่าใครจะชนะ  เพราะ  CP  ทำเอง  อย่างการสื่อสารก็เหมือนกัน  กลุ่ม  CP  ก็มี  true  เป็นลูกอยู่  แล้วอย่างนี้คุณคิดว่า  ใครจะได้เปรียบ  ทุกวันนี้ 7-11 กำไรมาก  เนื่องจากว่าไม่มีคู่แข่งที่ใกล้เคียง  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  จึงขายแพงโดยไม่เกรงใจใคร  แต่ถ้ามีคู่แข่งเพิ่มเข้ามา  7-11  ก็คงสามารถลดราคาลงมาสู้ได้แน่นอน  เพียงแต่ว่า  มันยังไม่ใช่ตอนนี้  แล้ว 7-11  ก็เป็นเครือของ  CP  คุณคิดว่าใครจะได้เปรียบกว่ากัน  ระหว่างบริษัทในเครือ  กับพ่อค้าคนกลางอย่างเทสโก้  ซึ่งต้องมาคอยรับซื้อสินค้าจากชาวบ้านเพื่อนำไปขายต่อ  ข้อได้เปรียบทางธุรกิจนี้ผมรู้ดีพอสมควร  เนื่องจากว่าทุกวันนี้  ถ้าผมไม่ได้ทำสินค้าขึ้นมาเอง  แต่รับแฟรนไชส์มาจาก  CP  อย่างเช่นข้าวมันไก่ห้าดาว  ผมคงไม่สามารถมีกำไรอย่างทุกวันนี้เป็นแน่  โดยสรุป  ถ้าเป็นในประเทศไทย  7-11  ก็ยังไม่จำเป็นต้องกลัวใคร  แต่ถ้าต้องไปลุยที่อื่น  อันนี้ต้องคอยติดตามสถานการณ์อีกที


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 14 กรกฎาคม 2011, 15:32:26
วันนี้เอาสูตรหาหุ้นมาฝาก  แต่ไม่รับประกันเด้อ

http://mangmaoclub.com/leading-stock-screening-formula/


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 14 กรกฎาคม 2011, 15:58:18
ตอบคุณ singhato
     ก่อนอื่นเราต้องมาดูว่า  วิถีชีวิตความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตของคนไทยกับคนประเทศอื่นแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด  อย่างเกาหลีใต้เขาไฮเทคมาก  และก็ไม่ค่อยมีเวลาว่าง  ซึ่งการดำเนินธุรกิจอย่างที่เอามาให้ดู  จึงได้ผลค่อนข้างมาก  แต่พอย้อนกลับมาที่เมืองไทย  คนไทยส่วนใหญ่มักจะช่างเลือก  คุณเป็นคนแบบนี้หรือเปล่าครับ  อย่างผมนี่เป็นแน่นอน  พูดง่ายๆก็คือ  ถ้าไม่ได้เลือกเองกับมือ  ก็ไม่อยากจะซื้อ  เพราะบางทีสั่งซื้อแล้วเสียอารมณ์  ได้ของมาบางทีก็มีตำหนิ  เวลาขอเปลี่ยนขอคืนก็ยุ่งยาก  เพราะฉะนั้น  วิธีนี้มันอาจตอบโจทย์ในประเทศไทยไม่ได้  แต่ถึงตอบได้  ผมก็เชื่อมั่นว่า  7-11  คงไม่ปล่อยให้คู่แข่งล้ำหน้าไปแน่นอน  เนื่องจากกลุ่ม CP  เป็นกลุ่มที่มี  POWER มาก  ธุรกิจอาหารต้นน้ำก็กินรวบ  ถ้าสมมติว่า  เทสโก้มาแรง  ไม่ยอมแบ่งกันกินแบ่งกันใช้  CP  มีสินค้าอะไรบ้าง  ก็บีบเทสโก้ขี้แตกได้เช่น  นมเมจิ  หรือสินค้าต่างๆที่มีในเครือ  ก็อาจจะโก่งราคาขายให้กับเทสโก้ถ้าเทสโก้ต้องการนำไปขาย  แต่ถ้าเทสโก้รับมาราคาแพง  ก็ต้องขายแพงด้วย  แล้วเวลาตั้งขายแข่งกัน  คุณคิดว่าใครจะชนะ  เพราะ  CP  ทำเอง  อย่างการสื่อสารก็เหมือนกัน  กลุ่ม  CP  ก็มี  true  เป็นลูกอยู่  แล้วอย่างนี้คุณคิดว่า  ใครจะได้เปรียบ  ทุกวันนี้ 7-11 กำไรมาก  เนื่องจากว่าไม่มีคู่แข่งที่ใกล้เคียง  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  จึงขายแพงโดยไม่เกรงใจใคร  แต่ถ้ามีคู่แข่งเพิ่มเข้ามา  7-11  ก็คงสามารถลดราคาลงมาสู้ได้แน่นอน  เพียงแต่ว่า  มันยังไม่ใช่ตอนนี้  แล้ว 7-11  ก็เป็นเครือของ  CP  คุณคิดว่าใครจะได้เปรียบกว่ากัน  ระหว่างบริษัทในเครือ  กับพ่อค้าคนกลางอย่างเทสโก้  ซึ่งต้องมาคอยรับซื้อสินค้าจากชาวบ้านเพื่อนำไปขายต่อ  ข้อได้เปรียบทางธุรกิจนี้ผมรู้ดีพอสมควร  เนื่องจากว่าทุกวันนี้  ถ้าผมไม่ได้ทำสินค้าขึ้นมาเอง  แต่รับแฟรนไชส์มาจาก  CP  อย่างเช่นข้าวมันไก่ห้าดาว  ผมคงไม่สามารถมีกำไรอย่างทุกวันนี้เป็นแน่  โดยสรุป  ถ้าเป็นในประเทศไทย  7-11  ก็ยังไม่จำเป็นต้องกลัวใคร  แต่ถ้าต้องไปลุยที่อื่น  อันนี้ต้องคอยติดตามสถานการณ์อีกที

ตอบทุกท่านที่สงสัยครับ Tescolotus กับ CP เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง

7-11 หรือ CP เฟรชมาร์ท ก็น่าจะเป็นตัวกระจายสินค้า  แล้วไม่มีใครสนใจ Office Mate กับผมเหรอ... ;D ;D

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B9%89_%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%AA


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: singhato ที่ วันที่ 14 กรกฎาคม 2011, 18:18:24
ตอบคุณ singhato
     ก่อนอื่นเราต้องมาดูว่า  วิถีชีวิตความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตของคนไทยกับคนประเทศอื่นแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด  อย่างเกาหลีใต้เขาไฮเทคมาก  และก็ไม่ค่อยมีเวลาว่าง  ซึ่งการดำเนินธุรกิจอย่างที่เอามาให้ดู  จึงได้ผลค่อนข้างมาก  แต่พอย้อนกลับมาที่เมืองไทย  คนไทยส่วนใหญ่มักจะช่างเลือก  คุณเป็นคนแบบนี้หรือเปล่าครับ  อย่างผมนี่เป็นแน่นอน  พูดง่ายๆก็คือ  ถ้าไม่ได้เลือกเองกับมือ  ก็ไม่อยากจะซื้อ  เพราะบางทีสั่งซื้อแล้วเสียอารมณ์  ได้ของมาบางทีก็มีตำหนิ  เวลาขอเปลี่ยนขอคืนก็ยุ่งยาก  เพราะฉะนั้น  วิธีนี้มันอาจตอบโจทย์ในประเทศไทยไม่ได้  แต่ถึงตอบได้  ผมก็เชื่อมั่นว่า  7-11  คงไม่ปล่อยให้คู่แข่งล้ำหน้าไปแน่นอน  เนื่องจากกลุ่ม CP  เป็นกลุ่มที่มี  POWER มาก  ธุรกิจอาหารต้นน้ำก็กินรวบ  ถ้าสมมติว่า  เทสโก้มาแรง  ไม่ยอมแบ่งกันกินแบ่งกันใช้  CP  มีสินค้าอะไรบ้าง  ก็บีบเทสโก้ขี้แตกได้เช่น  นมเมจิ  หรือสินค้าต่างๆที่มีในเครือ  ก็อาจจะโก่งราคาขายให้กับเทสโก้ถ้าเทสโก้ต้องการนำไปขาย  แต่ถ้าเทสโก้รับมาราคาแพง  ก็ต้องขายแพงด้วย  แล้วเวลาตั้งขายแข่งกัน  คุณคิดว่าใครจะชนะ  เพราะ  CP  ทำเอง  อย่างการสื่อสารก็เหมือนกัน  กลุ่ม  CP  ก็มี  true  เป็นลูกอยู่  แล้วอย่างนี้คุณคิดว่า  ใครจะได้เปรียบ  ทุกวันนี้ 7-11 กำไรมาก  เนื่องจากว่าไม่มีคู่แข่งที่ใกล้เคียง  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  จึงขายแพงโดยไม่เกรงใจใคร  แต่ถ้ามีคู่แข่งเพิ่มเข้ามา  7-11  ก็คงสามารถลดราคาลงมาสู้ได้แน่นอน  เพียงแต่ว่า  มันยังไม่ใช่ตอนนี้  แล้ว 7-11  ก็เป็นเครือของ  CP  คุณคิดว่าใครจะได้เปรียบกว่ากัน  ระหว่างบริษัทในเครือ  กับพ่อค้าคนกลางอย่างเทสโก้  ซึ่งต้องมาคอยรับซื้อสินค้าจากชาวบ้านเพื่อนำไปขายต่อ  ข้อได้เปรียบทางธุรกิจนี้ผมรู้ดีพอสมควร  เนื่องจากว่าทุกวันนี้  ถ้าผมไม่ได้ทำสินค้าขึ้นมาเอง  แต่รับแฟรนไชส์มาจาก  CP  อย่างเช่นข้าวมันไก่ห้าดาว  ผมคงไม่สามารถมีกำไรอย่างทุกวันนี้เป็นแน่  โดยสรุป  ถ้าเป็นในประเทศไทย  7-11  ก็ยังไม่จำเป็นต้องกลัวใคร  แต่ถ้าต้องไปลุยที่อื่น  อันนี้ต้องคอยติดตามสถานการณ์อีกที

ตอบทุกท่านที่สงสัยครับ Tescolotus กับ CP เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง

7-11 หรือ CP เฟรชมาร์ท ก็น่าจะเป็นตัวกระจายสินค้า  แล้วไม่มีใครสนใจ Office Mate กับผมเหรอ... ;D ;D

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B9%89_%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%AA
แล้วจะมีคู่แข่งไหมเนี้ยแข่งกันเอง
แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเปิดใกล้กันจังครับน่าจะกระจายกันให้กว้างๆ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 14 กรกฎาคม 2011, 19:05:25
อ้างถึง
แล้วจะมีคู่แข่งไหมเนี้ยแข่งกันเอง
แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเปิดใกล้กันจังครับน่าจะกระจายกันให้กว้างๆ

ก็คงอยากให้ผู้บริโภคได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดละมั้งครับ

แต่ใครจะไปรู้ว่า ยังไงตังก็ไหลไปที่เดียวกัน

แต่เท่าที่เข้าหลังสุด เทสโกมินิ ก็พัฒนาขึ้นเหมือนกันนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 15 กรกฎาคม 2011, 23:44:46
ถ้าท่านวายุว่า' ช่วยลงอธิบายเกี่ยวกับ การซื้อ-ขาย

ของฝรั่งหน่อยนะครับ ว่ามีผลต่อตลาดหุ้นบ้านเรายังไงครับ

จะได้กลับมาอ่านได้ เพราะผมชอบลืม อิอิ

ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 17 กรกฎาคม 2011, 19:21:26
ตอบท่านวัยทอง
     การดูยอดฝรั่งซื้อ-ขายดูได้ที่

http://www.set.or.th/set/nvdrbystock.do;jsessionid=F197FFDD3A9E9D56BBA0F9555AF781F5

     การดูรายการนี้คล้ายกับการทำศึก  หมายถึงรู้เขารู้เรา  แต่ถ้าฝรั่งกลับลำ  เราก็ช้ากว่าเขา 1 วันอยู่ดี  แต่อย่างไรก็ช่าง  มันก็ดีกว่าไม่มีที่ให้ดู  ผมใช้เครื่องมือรายการนี้พอสมควร  เพราะบางที  ราคาหุ้นไม่ไป  แต่ฝรั่งเข้าซื้อทุกวัน  มันก็เป็นนิมิตหมายอันดีว่า  หุ้นนั้นยังน่าสนใจลงทุนอยู่  แต่ถ้าฝรั่งขายทุกวัน  แต่หุ้นยังไม่ลง  ถ้าเราไม่แน่ใจ  ก็ขายตามออกมาก่อนได้  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  ดูที่พื้นฐานกิจการจะดีที่สุดครับ  สังเกตดีๆครับ  ดูย้อนหลังไปหลายๆวัน  ฝรั่งซื้อ CPALL ตั้งแต่หลังเลือกตั้งมาตลอด  ตอนนี้ยอดซื้อสะสมของ  CPALL  มี 20 กว่าล้านหุ้นเข้าไปแล้ว


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 17 กรกฎาคม 2011, 19:23:55
วันนี้ผมเข้าไปหา อ้าว ปิดร้านซะงั้น

ว่าจะเอาหนังสือไปคืนครับ

เลยไม่ได้คืนสักกำ อ่านจบแล้วครับ

เดี๋ยววันพรุ่งนี้เข้าไปให้ครับ

ถ้าจะให้ดีขอยืมต่อแหมเล่นเน้อ อิอิ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 17 กรกฎาคม 2011, 19:38:02
ค้นหาตัวเอง
     คำถามมีอยู่ว่า  ทำไมเราต้องทำอย่างนั้นด้วย ?  จริงๆแล้วเรื่องนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่า “ความโชคดี”  เพราะถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยที่ไม่รู้ว่า  เราอยากทำอะไร  เราอยากเป็นอะไร  ถือว่าชีวิตนี้น่าเสียดายมาก  เพราะการที่เราเกิดมาในชาตินี้กับเขาหนึ่งครั้ง  แต่เรากลับมีชีวิตอยู่อย่างจืดชืดไร้รสชาติ  และไม่ได้ทำสิ่งที่เราอยากจะทำหรืออยากจะเป็น  อย่างนี้ถือว่า  เกิดมาไม่คุ้ม  หรือบางคนอาจจะเกินไปบ้าง  ทำมันทุกอย่างที่มีให้ทำ  บางทีไม่สมควรก็ยังจะทำเช่น  ลองยาเสพติด  อย่างนี้มันก็เกินไป  แต่จริงๆแล้วการลองนั่นลองนี่  มันก็ไม่ถือว่าผิดเสมอไป  เพราะถ้าเราไม่ลอง  เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราชอบหรือไม่ชอบ  เพราะฉะนั้นแล้ว  การลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ  และเมื่อพบสิ่งที่ใช่แล้วและยึดติดกับมัน  ก็ถือได้ว่าเป็นชีวิตที่คุ้มค่าแล้ว  เพราะถือได้ว่า  เราได้ทำในสิ่งที่เป็นตัวเรา  ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่หาตัวเองพบ  และกำลังยึดอยู่กับมัน  คุณจงรู้ไว้เถอะว่า  คุณคือคนที่โชคดีที่สุดในโลกคนหนึ่งเลยทีเดียว

เริ่มค้นหาตัวเอง
     ตั้งแต่เด็กมา  ผมมีความชอบหลายอย่าง  ทั้งชอบเก็บเงิน  ชอบฟังเพลง  ชอบกินของอร่อย  ชอบขี่รถเที่ยว  แต่ในตอนนั้น  มันก็ยังเป็นเพียงแค่ความชอบเฉยๆ  ยังไม่ได้คิดจริงจังอะไรมาก  แต่พอจบ ม.3  แล้วต้องไปทำงาน  ผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่า  สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่มันไม่ใช่  แต่จะทำไงได้ในเมื่อเรามีความรู้เพียงแค่นี้  ตอนนั้นผมตัดสินใจว่า  เราคงต้องเรียนต่อ  เพื่อไปจากจุดนี้ให้ได้  เมื่อคิดได้ดังนั้น  ผมจึงไปสมัครเรียนสารพัดช่างพระนครเหนือภาคค่ำสาขาช่างซ่อมมอเตอร์ไซค์  ในใจตอนนั้นคิดว่า  ผมชอบขี่รถ  ก็น่าจะชอบซ่อมรถด้วย  แต่พอได้ไปเรียนแล้วกลับพบว่า  มันไม่ใช่อย่างที่คิด  ผมเรียนแบบไม่มีใจให้การเรียนเลย  เนื่องจากผมรู้แล้วว่ามันไม่ใช่ตัวผม  แต่ผมก็ทนเรียนจนจบนะ  วันที่เขามอบใบประกาศ  ผมไม่ไปรับ  เพราะผมรู้แล้วว่า  ถึงได้ไปผมก็คงจะไม่ไปเป็นช่างซ่อมรถแน่นอน  อย่างดีก็แค่  เอาไปประดับฝาบ้านเท่านั้น  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  ใบประกาศนั้น  มันจึงไม่มีความหมายต่อผม  แต่มันอาจจะเป็นชีวิตของคนอื่นๆก็ได้

สะสมความรู้
     ในช่วงชีวิตของผม  พูดได้ว่าผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบกินข้าวมันไก่มาก  ตอนอยู่กรุงเทพ  เวลาที่เห็นใครบอกว่าร้านข้าวมันไก่ที่นั่นที่นี่อร่อย  ผมต้องดั้นด้นไปชิมให้ได้  เมื่อได้กินแล้วผมก็จะซึมซับเอารสชาติที่ได้กินให้มันติดลิ้น  และคิดในใจว่า  ที่เขาบอกว่าอร่อยมันคือรสชาติแบบนี้  เมื่อผมตระเวนชิมมากๆ  รสชาติที่คนเขาบอกว่าอร่อยกันก็มักจะเป็นแนวๆนี้  และผมคิดในใจมาตลอดตั้งแต่ตอนนั้นว่า  ผมอยากขายข้าวมันไก่  เพราะผมคิดว่า  นี่แหละที่ผมคิดว่าใช่  เมื่อผมมาเรียนต่อที่เชียงรายจนจบและผ่านเรื่องราวหลายอย่างดังที่ได้ลงไว้ก่อนหน้านี้จนได้ไปทำงานที่โรงแรม  ตอนแรกผมเข้าไปเป็นบาร์น้ำ  ตอนนั้นผมก็รู้ได้เลยว่า  นี่ไม่ใช่ผมอีกแล้ว  แต่ตอนนั้นกำลังลำบาก  งานอะไรก็ทำไปก่อน  พอดีที่โรงแรมมีดีเจออกไปหนึ่งคน  เหลืออยู่แค่คนเดียว  พอเหลือคนเดียว  คนนี้ก็เลยต้องทำงานทุกวันไม่ได้หยุด  จะป่วยจะตายยังไงก็ต้องมาเพราะไม่มีอะไหล่  ตอนนั้นรับสมัครดีเจอย่างไรก็ไม่มีใครมา  เนื่องจากว่า  ให้เงินเดือนเขาน้อย  พอดีผมเป็นคนชอบเพลงอยู่แล้ว  ผมจึงขอเขาขึ้นเป็นดีเจ  เขาก็เลยตกลงและหาคนมาแทนตำแหน่งบาร์น้ำของผมทันที  ตอนเป็นดีเจผมมีความสุขมาก  เพราะได้ทำในสิ่งที่เรารู้ว่าใช่  เมื่อทำงานเก็บเงินได้มากพอควร  ผมจึงคุยกับแฟนว่า  เราขายข้าวมันไก่กันไหม  ผมไม่รู้ว่าจะทำมันสำเร็จหรือไม่  ตอนนั้นมีความหวังแค่ว่า  ประสบการณ์ที่เราสะสมมา  คงจะช่วยผมได้ในจุดนี้  ซึ่งก่อนที่ผมจะเริ่มขาย  ผมก็สำรวจดูว่า  แถวๆที่ผมจะขายนั้น  มีใครทำบ้างไหม  แต่ตอนนั้นไม่มีใครขายกลางคืนเลย  ผมจึงตัดข้อที่มีคู่แข่งออกไปได้  ตอนนี้ที่เหลือก็อยู่ที่ตัวเราแล้ว

เริ่มลุย
     ผมไปถอนเงินที่สะสมอยู่ออกมาลงทุน  โดยให้แฟนมาขายคนเดียวไปก่อน  ส่วนผมก็ยังเป็นดีเจต่อไป  เพราะผมก็ยังชอบเสียงเพลงอยู่และยังมีรายได้มาจุนเจือในกรณีที่ขายของยังไม่มีกำไร  ในตอนกลางวันผมกับแฟนก็ช่วยกันทำของขาย  พอตอนเย็นผมก็มาตั้งร้านให้แฟน  เมื่อตั้งร้านเสร็จ  ผมก็กลับไปอาบน้ำแต่งตัวมาทำงาน  พอทำงานเสร็จ  ผมก็มาช่วยแฟนเก็บร้านแล้วกลับบ้าน  ตอนแรกที่เริ่มขาย  ก็ยังทำไม่ค่อยอร่อยหรอก  จะพยายามถามลูกค้าตลอดว่าเป็นอย่างไรบ้าง  บางคนก็ติ  ซึ่งผมก็อยากขอบคุณเป็นอย่างสูง  เนื่องจากว่าถ้าไม่มีคนติ  ผมก็จะไม่มีการปรับปรุงจนมันอร่อยขึ้นมาได้  เมื่อผมเริ่มทำสำเร็จ  คู่แข่งก็ก้าวเข้ามา  แต่กว่าที่คู่แข่งจะเข้ามา  มันก็ช้าไปแล้ว  เนื่องจากว่า  ถ้าเขามาตั้งแต่ตอนที่ผมกำลังเริ่มกิจการ  ตอนนั้นยอมรับว่าผมไม่ใช่มืออาชีพ  เพิ่งจะเริ่มนับหนึ่งกันเลยทีเดียว  ถ้าเขาเข้ามาในตอนนั้นและทำได้ดีกว่า  ผมก็คงเจ๊งไปแล้ว  แต่ตอนนี้พูดได้เต็มปากเลยว่า  ถ้าผมไม่เลิกขายเอง  คงไม่มีใครสามารถมาทำให้ผมเจ๊งได้  เพราะผมขายมาหลายปีแล้ว  และตลอดเวลาหลายปีนั้น  ผมเห็นคู่แข่งปรากฏตัวมาตลอด  แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน  ผมไม่อยากเอ่ยชื่อหรอกครับ  เพราะจะเป็นการซ้ำเติมเขา  แต่ก็พูดได้ว่า  มีเกินสิบเจ้าทีเดียว  ถ้าใครสนใจเรื่องการสร้างธุรกิจ  ก็ปรึกษาผมได้นะ  ยินดีให้คำแนะนำ  ด้วยประสบการณ์จริงของผมเอง  พอดีช่วงนั้นร้านอาหารที่ผมทำงานอยู่เจ๊ง  ผมก็เลยออกมาขายของอย่างเดียวจนถึงทุกวันนี้

ความรู้ที่ต้องแสวงหา
     เมื่อผมออกมาขายของ  มันก็มีเวลาเหลือมากกว่าการเป็นลูกจ้างเป็นไหนๆ  ซึ่งช่วงนั้น  ผมก็กำลังพยายามลงทุนในกองทุนรวมอยู่  แต่ผมก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรอยู่ดี  นั่นมันเป็นเพราะว่า  ถ้าเราลงทุนในกองทุนรวม  สิ่งที่เราได้เรียนรู้ก็คือ  การส่งเงินไปให้มืออาชีพบริหาร  ไม่ใช่การบริหารเงินเอง  เมื่อคิดได้ดังนี้  ผมก็เลยไปปิดบัญชีกองทุนและเริ่มลงมือซื้อหุ้นเองทันที  และนี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบ  นั่นคือการทำเงินให้มากขึ้น

ความรู้ราคาถูก
     ผมเริ่มมองหาหนังสือเกี่ยวกับหุ้น  แต่แหล่งที่ผมได้หนังสือที่ดี  กลับกลายเป็นร้านหนังสือมือสองที่เขาขนมาขายที่งานพ่อขุน  ผมก็ไม่เข้าใจว่า  คนที่เป็นเจ้าของหนังสือพวกนั้นเป็นมือแรก  ยอมทิ้งหนังสือดีๆเหล่านั้นได้อย่างไร  แต่ก็ช่างเถอะ  ถือว่าเป็นบุญของผมก็แล้วกัน  เพราะถ้าเขาไม่ทิ้งหนังสือดีๆเหล่านั้นออกมา  ผมก็คงไม่มีความรู้เรื่องหุ้นอย่างทุกวันนี้เป็นแน่

ลงทุนเวลา
     เมื่อผมได้หนังสือมา  ผมพยายามศึกษามันให้ลึกซึ้งที่สุด  ถ้าผมอ่านแล้วไม่เข้าใจ  ผมจะกลับมาอ่านซ้ำหลายๆรอบจนเข้าใจ  หนังสือที่ผมมีแต่ละเล่ม  ผมอ่านซ้ำไม่ต่ำกว่าเล่มละ 5 รอบ  ทุกวันนี้ผมก็ยังเอามาอ่านก่อนนอนทุกวัน  วนไปวนมาในหนังสือที่เกี่ยวกับการลงทุนที่ผมชอบ  เหมือนเป็นการทบทวนบทเรียนให้ขึ้นใจ  และทุกครั้งที่ผมย้อนกลับมาอ่านหนังสือเล่มเดิม  ผมพบว่ามักจะเจอเนื้อหาบางอย่างเพิ่มขึ้นมาตลอด  ทั้งๆที่ผมก็เคยอ่านมันผ่านตามาแล้วหลายรอบ  แต่ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น  ผมยอมรับว่าผมไม่ใช่คนฉลาด  ผมก็เลยพยายามเรียนรู้ให้มากๆ  ซึ่งการที่เราอ่านหนังสือมากๆและทำความเข้าใจกับการลงทุนให้ลึกซึ้งดีแล้วค่อยลงมือ  ผมว่ามันก็เป็นการลดความเสี่ยงได้ดีในระดับหนึ่งทีเดียว

ลุย
     เมื่อผมศึกษากลยุทธ์ต่างๆมากพอแล้ว  ผมก็เริ่มลงมือซื้อขายหุ้นทันที  ผมก็คงเหมือนกับนักลงทุนคนอื่นๆทั่วไปที่เริ่มเข้าตลาด  ผมเริ่มการลงทุนด้วยหุ้นปั่นทันที  โดยมีความหวังว่าจะรวยเร็ว  แต่ก็ต้องเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบหมดกำลังใจ  ในตอนนั้นผมก็คิดว่า  ผมทำอะไรผิดพลาดหรือไม่  ผมจึงได้เสียเงินอยู่ตลอดเวลา  เพราะกลยุทธ์ที่ผมใช้  ไม่ว่าจะเป็นแบ่งเงินเป็นหลายส่วน  ทยอยรับ  ทยอยขาย  หรือกลยุทธ์ซื้อแล้วถือยาว  หรือการกระจายความเสี่ยง  ซื้อไว้หลายๆตัว  มันก็ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น  ตอนนั้นคิดว่า  เราคงไม่เหมาะกับการลงทุนในหุ้นเสียกระมัง  ผมจึงมานั่งวิเคราะห์ว่า  สาเหตุที่เราไม่ประสบผลสำเร็จในการลงทุนเป็นเพราะอะไร  จากการวิเคราะห์ผมสรุปได้ว่า

-ผมซื้อหุ้นโดยดูที่การขึ้นลงของหุ้นมากกว่าพื้นฐานของหุ้น
-หุ้นแต่ละตัวมีพื้นฐานที่ไม่เหมือนกัน
-หุ้นแต่ละตัวทำธุรกิจที่ไม่เหมือนกัน
-ผมดูที่ตลาดมากกว่าทำความเข้าใจกับธุรกิจ
-กลยุทธ์ที่ใช้ได้กับหุ้นของบริษัทหนึ่ง  อาจใช้ไม่ได้กับอีกบริษัทหนึ่ง
-ผมซื้อหุ้นโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบริษัทนั้นทำธุรกิจอะไร
-ถือยาวโดยไม่รู้ว่า  นั่นไม่ใช่ธุรกิจที่ต้องถือยาว
-การกระจายความเสี่ยง  จริงๆแล้วทำให้เราเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น

     เมื่อมานั่งวิเคราะห์ถึงสาเหตแห่งการเสียเงิน  ผมพบสิ่งผิดพลาดมากมายดังที่กล่าวมา  เดี๋ยวผมจะแยกย่อยให้รู้ว่า  ในมุมมองของผมแล้ว  สิ่งที่ผมกล่าวมา  มันมีความหมายอย่างไรบ้าง

-ผมซื้อหุ้นโดยดูที่การขึ้นลงของหุ้นมากกว่าพื้นฐานของหุ้น  อันนี้เรียกได้ว่า  เราเป็นนักพนัน  เพราะเราลงทุนเหมือนกับการแทงหัวก้อย  หรือแทงต่ำสูง  เพราะหุ้นมันก็มีแค่ขึ้นกับลง  ฉะนั้นแล้วในข้อนี้  ผมไม่ควรจะดูสิ่งที่มันลวงตาอย่างเช่นราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นวิ่งลงมากนัก  เวลาที่เรามานั่งมองจอคอมแล้วเห็นหุ้นมันวิ่งปรู๊ดปร๊าด  เราคิดในใจว่า  ถ้าเราซื้อราคานี้  แล้วพอมันขึ้นถึงราคานี้เราจะขาย  กำไรเท่าไหร่บวกลบในใจเสร็จสรรพ  แต่ในความเป็นจริง  บางทีมันก็ขึ้นไม่ถึงราคาในใจเรา  มันขึ้นไปถึงจุดหนึ่งแล้วมันก็ลง  หรือพอซื้อปุ๊บมันก็ลงเลย  หรือถ้ามันขึ้นไปจนถึงราคาที่เราคิดไว้แล้ว  เราก็เกิดความโลภว่า  มันจะต้องไปต่อ  เราจึงยังไม่ขายออกมา  แต่พอภาวะบูมนั้นสิ้นสุดลง  ราคาหุ้นดิ่งลงอย่างรวดเร็ว  เราก็หวังใจว่า  มันจะกลับมาสู่จุดนั้นอีก  แล้วเราก็จะขายจริงๆเสียที  แต่จนแล้วจนรอด  มันก็ไม่กลับมาอีกเลย  บางทีร้ายกว่านั้น  มันดิ่งทะลุทุนเราลงไป  ทำให้จะขายก็ไม่อยากขาย  เพราะเมื่อกี๊กำไรอยู่แท้ๆยังไม่เอาเลย  ตอนนี้จะให้มาขายขาดทุนทำไม่ได้หรอก  มันก็เลยทำให้เราติดดอยอยู่อย่างนั้นจนเบื่อ  ก็เลยกลายเป็นว่า  ถือหุ้นเน่าจนเศร้าใจแล้วค่อยขายออกมา

-หุ้นแต่ละตัวมีพื้นฐานที่ไม่เหมือนกัน  ตรงนี้ต้องหาข้อมูลให้มาก  เพราะถึงแม้ว่า 2 บริษัทจะทำธุรกิจชนิดเดียวกันเช่นขายถ่านหิน  แต่พอเอาเข้าจริง  เวลาราคาถ่านหินขึ้น  คนที่มีเหมืองเยอะกว่า  ก็จะมีมูลค่าเพิ่มเยอะกว่า  อย่างเช่นบ้านปู  ลานนา  เอเชียกรีน  ยูนิคไมนิ่ง  เอิร์ท  ฯลฯ  เวลาราคาถ่านหินพุ่ง  คุณคิดว่าใครได้ประโยชน์สูงสุด  ถ้าคุณตอบไม่ได้  แสดงว่าคุณยังไม่ได้หาข้อมูล  และถ้าคุณไม่มีข้อมูล  คุณก็จะเลือกหุ้นไม่ถูกตัว  และผลสุดท้าย  คุณก็จะไม่ชนะในเกมนี้

-หุ้นแต่ละตัวทำธุรกิจที่ไม่เหมือนกัน  ประโยชน์ที่จะได้รับจากเหตุการณ์ต่างๆนั้น  เราต้องวิเคราะห์ให้ออกว่า  จะกระทบกับบริษัทในแบบไหนเช่น  ถ้าราคาน้ำมันพุ่งขึ้น  บริษัทขายน้ำมันจะกำไรโต  แต่สายการบินและขนส่งจะรายได้หด

-ผมดูที่ตลาดมากกว่าทำความเข้าใจกับธุรกิจ  เมื่อเวลาเงินไหลเข้าตลาด  มันเป็นความตื่นตาตื่นใจที่อลังกาลอันมาก  เพราะทั้งกระดานจะเป็นสีเขียว  ทำให้เลือกไม่ถูกว่าจะซื้อตัวไหนตามเงินที่ไหลเข้าดี  และเมื่อเวลาเงินไหลออก  ผมก็พาลตกใจขายไปกับเขาด้วย  ทั้งๆที่บางที  ธุรกิจของบางบริษัทนั้น  กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือยังไม่หยุดโต  แต่ราคาหุ้นที่กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว  ประกอบกับข่าวร้ายของบริษัทที่ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ดี  กำลังถาโถมเข้ามาในตลาด  เหมือนประหนึ่งว่า  พรุ่งนี้จะเป็นวันสิ้นโลกอย่างไรอย่างนั้น  มันก็ทำให้เราสิ้นคิดไปได้เหมือนกัน  แต่บางคนก็บอกว่า  ทำไมไม่เป็นชาวสวนล่ะ  เวลาขึ้นเราก็ขาย  เวลาลงเราก็ซื้อ  อันนี้ก็ใช้ได้ในระดับหนึ่งแต่ไม่ทั้งหมด  เดี๋ยวจะอธิบายในหัวข้อต่อไป

-กลยุทธ์ที่ใช้ได้กับหุ้นของบริษัทหนึ่ง  อาจใช้ไม่ได้กับอีกบริษัทหนึ่ง  เกี่ยวเนื่องจากหัวข้อที่แล้ว  บางบริษัทอาจทำธุรกิจที่มีความผันผวนมากเช่นค้าน้ำมัน  เราต่างก็รู้ว่าราคาน้ำมันเปลี่ยนแปลงทุกวันตามแรงซื้อขายในตลาดน้ำมัน  เพราะฉะนั้นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ดีกับบริษัทประเภทนี้ก็คือลงซื้อขึ้นขาย  แต่เมื่อเป็นธุรกิจอีกแบบหนึ่งเช่น 7-11 หรือมือถืออย่าง AIS  ความผันผวนทางธุรกิจมันไม่ได้มากมายเป็นรายวันขนาดนั้น  คงจะมีแต่ราคาหุ้นเท่านั้นที่มันผันผวนตามตลาด  ถ้าเรามองออกว่าธุรกิจมันกำลังเป็นขาขึ้น  ราคาหุ้นมันก็ควรจะขึ้นไปเรื่อยๆเหมือนลักษณะธุรกิจ  เราก็ไม่ควรขายหุ้นออกมา  ซึ่งจุดนี้ผมก็เคยพลาดมากับ 7-11  ตอนแรกเรามั่นใจว่าราคาหุ้นมันต้องขึ้นไปเรื่อยๆเหมือนสาขาที่เปิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  แต่ในตลาด  ราคาหุ้นมันขึ้นมาถึงจุดหนึ่งแล้วมันก็ตกลงไป  ซึ่งในทางเทคนิคแล้วเขาเรียกจุดนี้ว่าแนวต้าน  ซึ่งหมายถึงราคานี้เป็นราคาที่ต้องขาย  เพราะมันไม่สามารถผ่านไปได้  เมื่อราคาหุ้นมันพุ่งขึ้นมาอีกรอบ  ผมก็ขายที่ราคานั้นจนหมด  เพราะคิดว่าคนอื่นๆก็ต้องมาขายที่ราคานั้นจนทำให้หุ้นมันต้องตกลงไปให้ผมซื้อคืนแน่นอน  แต่ผิดถนัด  หุ้นพุ่งทะลุราคานั้นขึ้นมาอย่างไม่เหลียวหลัง  และไม่กลับไปให้ผมซื้อในราคาที่ต่ำกว่าที่ผมได้ขายมันออกมาอีกเลย  ผมจึงต้องมาซื้อหุ้นตัวเดิมคืนกลับไปในราคาที่สูงขึ้น  ทำให้ซื้อหุ้นได้จำนวนน้อยลงกว่าเดิม  ซึ่งนี่เป็นบทเรียนที่ว่า  กลยุทธ์ที่ใช้ได้กับหุ้นของบริษัทหนึ่ง  อาจใช้ไม่ได้กับอีกบริษัทหนึ่งนั่นเอง  ซึ่งถ้าเราลงทุนในหุ้นที่เติบโตไปเรื่อยๆยังไม่ยอมหยุด  เราก็ควรจะถือไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะหยุดโต  แต่บางคนอาจจะตั้งเป้าในใจไว้ว่า  ถ้าไม่ได้ซื้อคืนมาในราคานี้  ก็จะไม่ยอมซื้อเด็ดขาด  โดยที่ไม่ได้ดูว่า  พื้นฐานธุรกิจมันดีขึ้นเรื่อยๆ  ก็ได้แต่หวังใจว่า  สักวันหนึ่งมันคงจะตกลงมาให้ซื้อ  ซึ่งถ้าเกิดวันนั้นมาถึงจริง  มันอาจเป็นไปได้ว่า  ธุรกิจนั้นมันไม่ดีอีกต่อไปแล้ว  และเมื่อคุณไปรับซื้อมาโดยที่ไม่ได้ดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น  คุณนั่นแหละจะอึดอัด  จนกินอีโนเข้าไปกี่ซองก็ไม่หาย

-ผมซื้อหุ้นโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบริษัทนั้นทำธุรกิจอะไร  อันนี้เป็นความเสี่ยงอย่างแรง  เพราะถ้าเราไม่รู้ว่าบริษัทนั้นทำธุรกิจอะไร  เราก็จะไม่สามารถกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับบริษัทที่เรากำลังลงทุนอยู่ได้

-ถือยาวโดยไม่รู้ว่า  นั่นไม่ใช่ธุรกิจที่ต้องถือยาว  การถือยาวจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อ  บริษัทนั้นมีการเติบโตในอนาคตที่ดีอยู่  ถ้าเราซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าแล้วถือยาว  อีก 10  ปีเราก็คงไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก  เนื่องจากว่ามันเป็นธุรกิจที่ไม่โตแล้ว  แต่ถ้ามีเหตุการณ์บางอย่างเข้ามากระทบกับหุ้น  ซึ่งอาจจะทำให้กำไรเติบโตขึ้น  เมื่อนั้นหุ้นโรงไฟฟ้าก็จะน่าสนใจขึ้น  เหมือนกรณีของ  AIS  ที่กำลังจะได้ทำ  3 G

-การกระจายความเสี่ยง  จริงๆแล้วทำให้เราเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น  สำหรับข้อนี้คงจะค้านกับความเชื่อของคนส่วนใหญ่  เนื่องจากหลายคนเชื่อว่า  อย่าเอาไข่ทั้งหมดไปใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว แต่จากการสังเกตของผมเอง  เวลาที่หุ้นขึ้นหรือลงแล้ว มันก็มักจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเวลามันตกหนัก มันก็มักจะตกพร้อมๆกัน เพราะฉะนั้นแล้ว มันจึงเป็นภาระให้กับเรามากกว่า เนื่องจากว่า เราจะขายหุ้นหลายตัวในเวลาพร้อมๆกันไม่ค่อยทัน และเวลาเราติดตามข่าวของบริษัทที่เราไปลงทุน  ถ้าเราซื้อหุ้น 10 บริษัท  เราคงต้องตามข่าวของทั้ง 10 บริษัท  ไม่มีเวลาไปทำอะไรกันพอดี  เพราะเมื่อมีข่าวออกมา  เราก็ต้องมานั่งวิเคราะห์ว่า  มันจะมีผลกระทบอย่างไรบ้างกับบริษัท  กลยุทธ์ที่คนอื่นว่าเสี่ยง แต่ผมกลับคิดว่าไม่เสี่ยงนั่นก็คือ การลงทุนแบบ  "โฟกัส"   ถ้าถามว่าการลงทุนแบบนี้เสี่ยงเป็นพิเศษไหม เพราะถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับบริษัทที่เราถือหุ้นอยู่เพียงบริษัทเดียว ก็อาจทำให้เราเจ็บหนักมากกว่าลงทุนในหลายๆบริษัท คำตอบอาจจะใช่ก็ได้  แต่การลงทุนในตลาดหุ้น  มันเป็นความรับผิดชอบส่วนตัวของเราอยู่แล้วว่า  เราต้องรู้จักสิ่งที่เราลงทุนให้ถ่องแท้เสียก่อน  เหมือนถ้าคุณจะซื้อรถยนต์ แต่คุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับรถที่คุณจะซื้อเลย  อย่างนี้ต้องบอกว่า  เป็นการลงทุนที่ไม่ค่อยฉลาดเลย  เวลาเราบอกว่าจะกระจายความเสี่ยงในการลงทุนชนิดเดียวกันเช่นหุ้น มันดูคล้ายกับว่า เราไปที่ร้านขายรถมือสองแล้วถามเซลล์ว่า ถ้าผมซื้อรถไปแล้วใช้ไม่ได้ล่ะ เซลล์ก็จะแนะนำว่า คุณควรกระจายความเสี่ยง  ด้วยการซื้อรถหลายๆคัน  เพราะถ้าหากว่าคันหนึ่งเสีย  ก็ยังเหลือรถคันอื่นที่ยังใช้งานได้อยู่

     ฉะนั้นกระบวนการในการเลือกลงทุนหุ้น  จากประสบการณ์ที่ผมอยู่ในตลาดมาตั้งแต่ต้นจนถึงทุกวันนี้  เรียงตามลำดับก็คือ

-ดูบริษัทที่มีสินค้าเป็นที่นิยมในตลาดหรือเป็นที่รู้จักดี

-มีผู้ใช้สินค้าและบริการของบริษัทมากเป็นอันดับต้นๆ  ยิ่งเป็นอันดับหนึ่งได้ยิ่งดี  การเป็นอันดับหนึ่งหมายถึง  มีส่วนแบ่งการตลาดมากเป็นที่หนึ่ง

-มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจมาระยะเวลาหนึ่ง  เป็นที่น่าเชื่อถือ  ตรงนี้ผมขอออกความเห็นว่า  การที่เราซื้อหุ้นของบริษัทที่พิสูจน์ตัวเองได้แล้ว  ชัวร์กว่าการที่เราจะไปซื้อหุ้นของบริษัทที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ  ถึงแม้ว่าราคาหุ้นของบริษัทที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ  จะมีราคาถูกมาก  แต่มันก็มีความเสี่ยงมากเช่นกัน  เนื่องจากเรายังไม่เห็นฝีมือของเขา  หากเราใจเย็นรออีกสักนิด  ขอดูผลงานก่อน  ถ้าเป็นบริษัทที่ดี  ถึงแม้ว่าราคาจะแพงขึ้นมาอีกสักหน่อย  แต่ความเสี่ยงมันก็ถูกจำกัดให้เหลือน้อยลงด้วยความสามารถทางธุรกิจที่ได้พิสูจน์แล้ว

-มีการเติบโตได้อีก  การเติบโตในที่นี้อาจจะมีหลายอย่าง  ไม่ว่าจะเป็น  การเติบโตของกำไร  การเติบโตของยอดขาย  การเติบโตของสาขา  การมีสินค้าเพิ่มขึ้นอีกหลายชนิด  ฯลฯ

-มีงบการเงินที่ดีน่าประทับใจ  ในที่นี้หมายถึง  มีหนี้น้อยหรือไม่มีเลย  มีเงินสดเหลือเยอะ  ปันผลในอัตราสูงและสม่ำเสมอ  ถ้าจะให้ดี  มีการปันผลเพิ่มขึ้นทุกปีจะเป็นแรงขับราคาหุ้นได้ดีมาก

-เมื่อเราหมายตาได้แล้วก็รอจังหวะในการเข้าซื้อหุ้น  อาจจะค่อยๆเข้า  แบ่งเงินเป็นหลายๆก้อน  ทยอยรับเวลาหุ้นตกลงไปเรื่อยๆ  ซึ่งตรงนี้จะทำให้เราได้ต้นทุนถัวเฉลี่ยที่ถูกลง  หรือถ้าทยอยซื้อแล้วมันกระเด้งกลับขึ้นไป  เราก็ไม่เสียดายที่ได้ซื้อของถูกไปแล้วบางส่วน  เพราะจุดต่ำสุดหรือสูงสุดไม่มีใครรู้จนกว่ามันจะผ่านไปแล้ว

     จากหัวข้อตั้งแต่แรกคือ  “ค้นหาตัวเอง”  เมื่อนำมาใช้กับการลงทุนหุ้นแล้ว  มันมีความสัมพันธ์ระหว่างตัวเราและการเลือกหุ้นของเราด้วยกล่าวคือ

-ถ้าคุณเป็นคนไม่ชอบความเสี่ยงมาก  คุณควรซื้อหุ้นที่ปันผลเยอะ  เพราะการที่มีปันผลเยอะ  จะช่วยอุ้มราคาหุ้นไม่ให้ตกลงไปมาก  แต่ในทางกลับกัน  หุ้นที่ปันผลเยอะ  ก็มักจะเป็นหุ้นที่ไม่โตแล้ว  เนื่องจากว่า  หมดมุขที่จะขยายงาน  เมื่อได้เงินเข้ามา  จึงเอามาปันผล  แทนที่จะเอาไปขยายงาน  ราคาหุ้นมันจึงไม่ไปไหน

-ถ้าคุณเป็นคนกระตือรือร้นแอคทีฟตลอดเวลา  หุ้นที่เหมาะกับคุณ  อาจเป็นหุ้นเดย์เทรดก็ได้  เพราะมันเหมาะกับบุคลิกคุณ  และถ้าคุณมีเวลานั่งเฝ้าจอคอมตลอดเวลา  ก็ถือว่าคุณได้เปรียบคนอื่นมากมาย  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจซื้อขายของคุณเองด้วย

-ถ้าคุณเป็นคนใจเย็นและไม่ขี้ตกใจ  หุ้นที่เหมาะกับคุณและผมก็คือ  หุ้นที่เราเห็นว่าสามารถเติบโตได้อีก  เราจะซื้อไว้และรอวันที่มันจะโตสุดขีดแล้วค่อยขายโดยระหว่างทางเราจะไม่ตื่นตระหนกรายวันไปกับฝูงชนอิเล็กทรอนิกส์มากเกินไป  และตราบใดที่มันยังโตอยู่  เราก็จะกอดมันไว้อย่าให้หลุดมือเป็นอันขาด

-ถ้าคุณเป็นคนไม่ชอบความเสี่ยงเลย  ผมขอแนะนำว่า  ให้คุณเอาเงินไปฝากธนาคาร  แล้วอย่าไปบอกใครว่าคุณมีเงิน !!!


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: marcus147 ที่ วันที่ 18 กรกฎาคม 2011, 21:19:31
ขอบคุณ K.วายุ มากครับ
สำหรับการแชร์ประสบการณ์ดีๆ
และข้อคิดมากมาย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 18 กรกฎาคม 2011, 21:38:05
วันนี้เอาคู่แข่งที่น่ากลัวมาให้ดู  เซเว่นจีน  กับกาแฟเลียนแบบ  แม๋...มันก๊อปทุกอย่าง  นับถือจริงๆ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 18 กรกฎาคม 2011, 21:55:26
จีนนี้เจ้าพ่อก๊อปปี้ตลอดกาล อิอิ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 21 กรกฎาคม 2011, 15:55:37
หุ้นดีทำไมไม่วิ่ง
     นี่คือคำถามที่คลาสสิคมากคำถามหนึ่ง  มีหลายคนสงสัยว่า  ทำไมหุ้นที่ดูดีหมดทุกอย่างในมุมมองของเขาจึงไม่วิ่งขึ้นไปอีก  ในขณะที่หุ้นตัวอื่นๆพุ่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย  คำถามนี้มีหลายคำตอบและหลายองค์ประกอบ  เราจึงต้องมาแยกย่อยออกเป็นส่วนๆดังนี้

1.ราคามันวิ่งมาจากไหน  ถ้าราคาหุ้นมันวิ่งหน้าตั้งมาก่อนชาวบ้านเขาแล้ว  คุณคิดว่าเมื่อถึงเวลาที่ชาวบ้านเขาวิ่งกันบ้าง  คุณก็จะให้มันวิ่งต่อไปอีกอย่างนั้นหรือ  อันนี้โลภไปไหม  เพราะการที่หุ้นพื้นฐานดีตัวหนึ่งจะวิ่งไปได้  มันต้องใช้เหตุผลเป็นแรงขับ  ถ้ามันวิ่งโดยไม่มีเหตุผลมาสนับสนุน  อันนี้เรียกว่าเวอร์  และถ้ามันจะต้องวิ่งไปได้อีกจริงๆ  มันต้องมีเหตุผลที่ดีพอเช่น  มีปันผลพิเศษ  ปันผลประจำปีเพิ่มขึ้น  มีกำไรเพิ่มขึ้น  ได้งานเพิ่ม  ขยายสาขาเพิ่ม  ยอดขายเพิ่ม  คู่แข่งเจ๊ง  ฯลฯ

2.ราคามันเต็มมูลค่าแล้ว  ถึงแม้จะเป็นหุ้นดีขนาดไหน  มันก็ทำได้แค่เพียงเหมาะสมกับตัวมันเอง  สมมติว่ามันมี  100  สาขา  คุณจะให้มันมีราคาหุ้นเท่ากับมันมี  500  สาขาไม่ได้หรอก  หรือว่ามันเคยปันผลอยู่เท่านี้  ถ้าราคาหุ้นมันแพงกว่านี้  ผลตอบแทนที่ได้จากเงินปันผล  เมื่อเปรียบเทียบกับราคาหุ้นแล้วมันคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำมาก  แล้วอย่างนี้คนอื่นๆที่กำลังจะซื้อหุ้น  เขาคงจะเข้ามาไล่ราคาหรอกนะ

3.ไม่มีคนสนใจ  อันนี้เป็นเหตุผลที่น่าสงสารสำหรับผู้ที่ถือหุ้นนั้นอยู่  อย่างไรเสียก็คงมีคนเห็นบ้างแหละไม่ช้าก็เร็ว  เพราะฉะนั้นอดทนไว้นะ  จะเป็นกำลังใจให้  สู้ต่อไปนะจีบัน

4.ตอนนี้มันดี...แต่อนาคตไม่ดี  การซื้อหุ้นจริงๆแล้วเป็นการซื้ออนาคต  เพราะฉะนั้น  ถ้าตอนนี้มันดีมากเช่น 7-11  แต่ถ้าเราไปท่องเที่ยวทั่วไทย  ทุกตรอกซอกซอยและทุกรูแล้ว  มันมี 7-11 ให้เห็นทุกที่จนไม่มีที่จะยัดสาขาเพิ่มลงไปได้อีก  แต่สาขาของคู่แข่งกลับตั้งเพิ่มไล่จี้ตูดขึ้นมาเรื่อยๆ  ในขณะที่อัตราการเกิดของคนไทยไม่ได้เกิดขึ้นมาเร็วเหมือนสาขาที่ตั้งขึ้นมาเพิ่มเลย  เมื่อนั้นเราก็เห็นว่า  สาขาคงไม่เพิ่มอีกเป็นแน่แท้  ถ้าจะขยายสาขาคงต้องไปตั้งบนดาวอังคาร  เมื่อนั้นก็ถึงเวลาโบกมือบ๊ายบายเสียที  มันก็เอวังด้วยประการฉะนี้

5.รายใหญ่เก็บของอยู่  ถ้าหุ้นดีจริง  ราคามันไม่ไป  แต่มันก็ไม่ลง  และเมื่อดูไปที่หน้าจอ  คนรอขาย (ออฟเฟอร์) หนาเชียว  ในขณะที่คนรอซื้อ (บิด) บางจนแทบปอดแหก  ขอแนะนำว่า  ถ้าหุ้นดีจริง  ไม่ต้องตกใจเทขายออกมา  บางที(แค่บางทีนะ)รายใหญ่อาจจะกำลังเก็บหุ้นอยู่ก็ได้  เนื่องจากว่าอยากได้หุ้นมากจนตัวสั่น  แต่ไม่มีใครยอมขายให้  ก็เลยจำใจใช้วิชามาร  เอาหุ้นที่ตัวเองมีมาตั้งขายแบบร็อคถล่มเช่น  ตั้งรอขายล้านหุ้น  แต่มีคนรับซื้อแค่แสนหุ้น

             BID                                  OFFER
100000    2.20                         2.22    1000000
100000    2.18                         2.24    1000000

เมื่อเราเห็นที่หน้าจอดังนี้ก็หายใจไม่ทั่วท้อง  คิดแต่ว่างานนี้ซี้แหงแก๋ตายแน่  ชิงขายก่อนที่มันจะตกดีกว่า  ถ้ามันร่วงค่อยไปรับคืน  เมื่อเป็นดังนี้  ก็เลยเทขายหมดหน้าตัก  แต่จนแล้วจนรอด  หุ้นก็ไม่ลงสักที  ทั้งๆที่บิดบางๆอย่างนั้นแหละ  แต่ถ้าสังเกตให้ดี  เจ้ามือเติมตลอด  แต่เติมแบบบางๆ  เดี๋ยวคนขายตกใจไม่ยอมขายให้  อันนี้ผมเห็นมากับตา  ตอนนั้นนั่งจ้อง  PTTAR  อยู่  แต่ออฟเฟอร์หนาถึง 10  ล้านหุ้น  ในขณะที่ทางบิด  มีแค่ช่องละล้าน  เมื่อซับจนหุ้นแห้งดีแล้ว  หุ้นทางออฟเฟอร์หายไปไหนหมดไม่รู้  เหลือแค่ล้านกว่า  สงสัยรายใหญ่ถอดหุ้นที่วางขู่ไว้ออก  ทีนี้ล่ะก็สนุก  กระชากราคาขึ้นจนไม่เหลียวหลัง  รายย่อยก็เลยได้แต่นั่งเซ็งเป็ด  พร้อมโอดเล็กๆว่า  I  HERE...ไม่น่าทำกะกรูอย่างนี้เลย...มันหลอกกรู


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: แมงมุม ที่ วันที่ 21 กรกฎาคม 2011, 16:59:17
.

บทเรียนของผมจากการอยู่ในตลาดทุนมานาน 5 ปี ...

ผมเห็นหุ้นตัวหนึ่ง พื้นฐานดี อนาคตดี เทคนิคได้จังหวะ ผมจึงเข้าซื้อ "ทันที"
ผมทำตามทฤษฎีที่ได้ร่ำเรียนมา อย่างถูกต้อง
แล้วผมก็เริ่มไม่แน่ใจการตัดสินใจของตัวเอง
เพราะผ่านไป 7 วันทำการแล้ว มันไม่ขึ้น ผมก็เลยขาย....แล้วพอวันที่8 หุ้นตัวนั้น +15%

 
ข้อคิด 2 ข้อ ที่ผมได้เรียนรู้

1.) ถ้าแน่ใจว่าถือหุ้นบริษัทที่ดี ก็จงแน่ใจ และมั่นใจในหุ้นของคุณ
2.) ผู้ที่อดทนรอจนถึงที่สุดเท่านั้น คือผู้ที่จะประสบความสำเร็จ



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: tomtom ที่ วันที่ 22 กรกฎาคม 2011, 00:30:05
ท่านวายุวันที่23ถ้าว่างขอเวลานิหน่อย ว่าจะไปอุดหนุนร้านเห็นรูปแล้วน่าอร่อยมาก อิอิ และจะขอคำแนะนำนิดหน่อย เลยอยากขอพิกัดร้านท่านสักหน่อย จะได้ไปถูก อิอิ ขอบคุณคร๊าบ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: tomtom ที่ วันที่ 22 กรกฎาคม 2011, 01:08:24
การลงทุน มีความเสี่ยงสูง แต่เราสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนั้นได้ ถึงแม้ว่าทางที่เราเลือกนั้นจะล้มเหลว แต่เราก็กลับมายืนหยัดลุกขื้นสู้ใหม่อีกครัง ชีวิตคือความเสี่ยงและการลงทุนอยู่ตลอดเวลา!! หรือคุณทุกคนว่าไม่ใช่ อยู่ที่ตัวคุณว่าจะเสี่ยงแบบไหน ก็เหมือนนกที่ตกจากรัง ถ้าไม่พยายามหัดบินคุณก็จะตกอยู่ในความอันตรายจากนักล่าแต่ถ้าคุณตกลงมาแล้วเรียนรู้ที่จะหัดที่จะลุกขึ้นบิน คุณก็จะอยู่เหนือนักล่า และจงพัฒนาตัวเองอยู่เสมอเพื่อไม่ให้เป็นยิ่งกว่านักล่าให้ได้ และเมื้อนั่นคุณจะอยู่ข้างน้านักล่า1ก้าวอยู่เสมอ   ความคิดของผมคือ ถ้าสำหรับมือใหม่ทุนน้อยไม่มีประสบการณ์ ควรเรียนรู้ที่จะไม่เป็นนักล่าแต่ควรจะเป็นอยู่เหนือนักล่า ไว้เข้าใจเรื่องการลงทุนเมื้อไหร่ค่อยเรียนรู้ที่จะเป็นนักล่าต่อไป  อันนี้คือความเข้าใจจากการอ่านข้อความทุกท่านที่มีประสบการณ์ทุกท่านที่ชื้แนะมา ของผมมันคือแรงบันดาลใจให้ผมที่จะเรียนรู้ในการลงทุนนี้ แต่ต้องเรียนรู้อีกมากหว่าที่ผมจะตัดสินใจในการลงทุนนี้เพราะฉะนั้นผมจึงเลือกที่จะ ขอคำแนะนำจากทุกท่านผู้ที่มีประสบการณ์   



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: แมงมุม ที่ วันที่ 22 กรกฎาคม 2011, 07:31:31
.

พี่วายุ ขายอะไร อยู่ที่ไหนเหรอครับ

จะได้ไปอุดหนุนมั่ง

.


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 22 กรกฎาคม 2011, 15:58:40
ตอบคุณ tomtom
     ผมหยุดทุกวันเสาร์และวันที่มีธุระ(ขี้เกียจ)ครับ

ตอบคุณแมงมุม
     ผมขายข้าวมันไก่อยู่หน้า บ.เมืองไทยประกันชีวิต  ก่อนถึงซอย 18 มิถุนา  ขายเฉพาะตอนเย็น  แต่ผมว่าท่านคงไม่มามั๊ง  เพราะวันนั้นเห็นไปโพสถามหาร้านอาหารเจอยู่นี่นา  บอกว่าช่วงนี้อวบระยะสุดท้ายแล้ว


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 22 กรกฎาคม 2011, 16:06:09
     เพิ่มเติมอีกนิด  เอาข่าวมาฝาก  เป็นการย้ำตัวผมเองว่า  กลยุทธ์ที่ผมใช้อยู่  สามารถเข้ากันได้กับหุ้นที่ผมเลือก

หมายเหตุ   หุ้นแต่ละตัวถ้าจะต้องประสบความสำเร็จ  อาจใช้กลยุทธ์ที่ไม่เหมือนกัน

เปิด5หุ้นขวัญใจกองทุน 'มอร์นิ่งสตาร์' ล้วงพอร์ตครึ่งปีแรกชี้กลยุทธ์เทรดพ่ายลงทุนระยะยาว
"มอร์นิ่งสตาร์" เปิดโพย 5 หุ้นเด่น BBL-CPALL-PTT-ROBINS-BANPU ดัน 10 กองทุนผลดำเนินงานดีสุดใน 6 เดือนแรกของปี ชี้ครึ่งแรกปีนี้กองทุนขยันเทรดสู้ลงทุนระยะยาวไม่ได้

นายพีร์ ยงวณิชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) กล่าวว่า จากการตรวจสอบพอร์ตการลงทุนของกองทุนหุ้นที่มีผลดำเนินงานดีที่สุด 10 อันดับแรก ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ จากการจัดอันดับของมอร์นิ่งสตาร์พบว่า ทุกกองทุนที่มีการลงทุนกระจุกตัวอยู่ในหุ้น 5 ตัว ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) บริษัท ซีพี ออลล์ (CPALL) บริษัท ปตท. (PTT) บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน (ROBINS) และบริษัท บ้านปู (BANPU) รวมกันแล้วมีสัดส่วนการลงทุนเกือบ 50%

22 ก.ค.--โพสต์ทูเดย์


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 22 กรกฎาคม 2011, 16:46:49
ทุกตัวดูดี ยกเว้นบ้านปู ยังต้วมเตี้ยมต้องเอาใจช่วยหนักหน่อย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: แมงมุม ที่ วันที่ 22 กรกฎาคม 2011, 16:49:40
ตอบคุณ tomtom
     ผมหยุดทุกวันเสาร์และวันที่มีธุระ(ขี้เกียจ)ครับ

ตอบคุณแมงมุม
     ผมขายข้าวมันไก่อยู่หน้า บ.เมืองไทยประกันชีวิต  ก่อนถึงซอย 18 มิถุนา  ขายเฉพาะตอนเย็น  แต่ผมว่าท่านคงไม่มามั๊ง  เพราะวันนั้นเห็นไปโพสถามหาร้านอาหารเจอยู่นี่นา  บอกว่าช่วงนี้อวบระยะสุดท้ายแล้ว

-------------------------------

ไม่ได้กินจริงจังซักหน่อย ดีๆๆๆๆๆ จะได้แอบไปเห็นหน้า

.


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Sut ที่ วันที่ 23 กรกฎาคม 2011, 08:24:57
มีโฆษณาแอบแฝง โฆษณาข้าวมันไก่ .. เห็นตอนนี้เพิ่มราดหน้า และ ผัดซีอิ๊ว มีคนหน้าตาเหมือนภรรยามาขาย ทีแรกคิดว่าน้องเมีย มองไปมองมา สงสัยแม่เมีย.. (อันนี้เดา)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 23 กรกฎาคม 2011, 16:13:24
พี่สะใภ้ !!!


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 23 กรกฎาคม 2011, 16:47:14
ขยันทั้ง Man ทั้ง Money จริงๆ เอาไว้ใกล้สิ้นเดือนไปเบ่งกินฟรีดีก่า.. ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Ibniubbas ที่ วันที่ 23 กรกฎาคม 2011, 16:53:52
น่าจะให้เครดิตหนังสือด้วยน่ะครับ มากจาก พ่อรวยสอนลูก ตอนเงินสี่ด้าน ผมอ่านทุกวัน

เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 23 กรกฎาคม 2011, 17:04:33
ตอบคุณ  Ibniubbas
     ผมก็ไม่ได้บอกว่าคิดเองสักหน่อย  ผมแค่อยากเผยแพร่แนวคิดที่เข้าท่านั้นให้หลายๆคนได้รู้กัน  แล้วหัวข้ออื่นที่ผมคิดขึ้นมาเองแล้วนำมาบอกต่อกัน  คุณจะให้เครดิตผมบ้างไหมล่ะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 24 กรกฎาคม 2011, 16:34:22
ตอบคุณ  Ibniubbas
     ผมก็ไม่ได้บอกว่าคิดเองสักหน่อย  ผมแค่อยากเผยแพร่แนวคิดที่เข้าท่านั้นให้หลายๆคนได้รู้กัน  แล้วหัวข้ออื่นที่ผมคิดขึ้นมาเองแล้วนำมาบอกต่อกัน  คุณจะให้เครดิตผมบ้างไหมล่ะ

เอ้า ผมกดให้

(http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTNdkNmMY_5pn3W-eFHnu7ARvxQMeJMCHtf6eFo8A2h1weriYPQYQ)

ขอบคุณท่านวายุ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 25 กรกฎาคม 2011, 15:33:03
สอบถามท่านเตหรือผู้รู้หน่อยครับ
     อยากทราบว่าระหว่างโน๊ตบุ๊คกับซัมซุงกาแลคซี่แท็ปราคาและการใช้งานต่างกันอย่างไรบ้าง  การใช้งานของผมคือ
-ดูข้อมูลหุ้น  ซื้อขายหุ้น
-พิมพ์งาน
-อยากได้ที่มีช่องใส่แฟลชไดร์ฟและมีช่องใส่ซีดีไดร์ฟ  ถ้ามันไม่มีช่องใส่พวกนี้  แล้วมันมีอะไรมาทดแทนได้บ้าง
-เล่นเนตผ่าน 3 G ได้
-เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นได้เช่น บลูธูท  สายลิงค์
-ดูหนัง  ฟังเพลง  เล่นเกม
-ค่าบำรุงรักษาถูก  หาที่ซ่อมง่าย
     ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: แมงมุม ที่ วันที่ 25 กรกฎาคม 2011, 15:44:42
ถ้ามีพิมพ์งานด้วย กาแล็กซี่แท็บตัดทิ้งเลยครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: vee48 ที่ วันที่ 25 กรกฎาคม 2011, 16:31:51
กาแล็คซี่นี่ตัดไปได้เลยค่ะ เพื่อนใช้อยู่ค่อนข้างไม่สะดวก


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 25 กรกฎาคม 2011, 16:49:54
แนะนำเน็ตบุ๊คเลยครับ

ราคา 8000-10,000 บาท

หน้าจอ 10 นิ้วเอง พกพาสะดวก


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 26 กรกฎาคม 2011, 15:54:48
ขอบคุณสำหรับคำตอบของทุกท่าน  วันนี้ไม่มีอะไรมานำเสนอครับ  มีแต่ข่าวดีของหุ้นผม  อิอิ

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : CPALL แนะนำ 'ซื้อ' ราคาพื้นฐาน 56.00 บาท

คาดการณ์กำไร 2Q54 เทียบ y-o-y แข็งแกร่ง
• เราคาดว่าบริษัทจะประกาศกำไรสุทธิ 2Q54 เป็น 2.15 พันล้านบาท เติบโต
แข็งแกร่ง 22% y-o-y แต่ทรงตัว q-o-q สาเหตุที่เติบโตดี y-o-y คือมีการเปิดสาขาใหม่คือ เติบโต 10% y-o-y และ 2% q-o-q การบริหารอัตรากำไรทำได้อย่างดี และมีการเติบโตในจำนวนสาขาเดิม (SSSG) อย่างไรก็ตามกำไรสุทธิ 2Q54 กลับทรงตัว q-o-q สืบเนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ภาวะน้ำท่วมขังใน 14 จังหวัด เมื่อประมาณเดือน เม.ย.54 รวมทั้งภาวะฝนตกชุกทั่วประเทศ ทำให้เกิดอุปสรรคในการเข้าไปซื้อของในร้าน อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเป็น 24.6% ใน 2Q54 เทียบกับ 2Q53 ที่ 27.1% และ 1Q54 ที่ 24.8% เพราะอัตรากำไรขั้นต้นของสินค้าพร้อมดื่มและรับประทานลดลง ผลพวงจากฝนที่ตกมากก็เป็นอุปสรรคต่อยอดขายสินค้าประเภทนี้แต่อัตรากำไร EBIT กลับมากขึ้นเป็น 8% ใน 2Q54 เทียบกับ y-o-y และ q-o-q ที่ 7% และ 7.8% ตามลำดับ  เนื่องจากสัดส่วนค่าใช้จ่ายขาย-บริหารเทียบกับยอดขายที่ลดต่ำลง จากผลดีของการเกิด economies of scale ตามที่บริษัทได้มีการเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง

• มีแนวโน้มจะได้ประโยชน์จากค่าแรงขั้นต่ำที่จะปรับตัวสูงขึ้นเป็น 300 บาทต่อ
วัน เพราะกำลังซื้อทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทางด้านค่าใช้จ่ายพนักงานของบริษัทเองที่จะเพิ่มขึ้นนั้น เราคาดว่าจะมีผลกระทบกับผลการดำเนินงานน้อย เรามีสมมุติฐานให้ค่าใช้จ่ายขาย-บริหารเพิ่มขึ้นประมาณ 4% นั่นคือเราเห็นว่าบริษัทจะได้ผลบวกจากการปรับขึ้นค่าแรงมากกว่าต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น

• คงคำแนะนำ ซื้อ เราได้ปรับเพิ่มราคาพื้นฐานเป็น 56 บาทต่อหุ้น ด้วยการ roll over ไปใช้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 55 จากเดิมที่ปี 54 และใช้ P/E ปี 55 ที่ 28.0 เท่า ซึ่งสอด
คล้องกับค่าเฉลี่ยในอดีต 5 ปีย้อนหลัง บวก 2SD แม้ว่าจะมีส่วนเพิ่มจากหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค (peers) แต่เราเห็นว่ามีความเหมาะสมแล้ว เพราะ CP ALL มีฐานะเป็นผู้นำตลาด การแข่งขันที่จำกัด อัตราผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น (ROAE) ปี 54 ที่สูงเป็น 42% รวมทั้งการเติบโตในอนาคตที่มีศักยภาพสูง ทางด้านบรรยากาศการลงทุนในหุ้น CP ALL ก็คึกคัก จากผลบวกเรื่องการปรับค่าแรงขึ้น ราคาปิดยังมีส่วนเพิ่มได้อีก 17% เทียบกับราคาพื้นฐานใหม่ จึงคงคำแนะนำ ซื้อต่อไป

เรียบเรียง โดย ปุณณภา นาเมืองรักษ์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com

ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 26/07/11 เวลา 12:11:34


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Sut ที่ วันที่ 27 กรกฎาคม 2011, 08:02:53
เชียร์หุ้นตัวเองเห็น ๆ ถ้า 70 บาทเมื่อไหร่ หลายคนจะน้ำตาตก .. รวมทั้งพี่ด้วย .. ช่วงนี้หาหุ้นยากเต็มแก่ เมื่อวานเสี่ยงงาบ mpic ไป 1.97 ตั้งไว้เล่นๆ 2.00 ก่อนปิดตลาดมันกระชาก ทำท่าจะปิด 2.06 สุดท้ายลงมา 2.04 กำไรแทนที่จะ 3 % เหลือแค่ 1% หลุดมือไปแร้วววว


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: แมงมุม ที่ วันที่ 27 กรกฎาคม 2011, 08:10:57
.

CPALL ดีมากครับ

กระแสเงินสดเหลือเฟือ...

ธุรกิจสอดคล้องกับแนวโน้มการใช้ชีวิตของคนยุคนี้....

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และผู้บริหาร มีความสามารถ...

มีพันธมิตรเยอะ...

คิดถึงตอนมันราคา 7 บาทจริงๆ 555+
.


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 27 กรกฎาคม 2011, 09:07:23
เชียร์หุ้นตัวเองเห็น ๆ ถ้า 70 บาทเมื่อไหร่ หลายคนจะน้ำตาตก .. รวมทั้งพี่ด้วย .. ช่วงนี้หาหุ้นยากเต็มแก่ เมื่อวานเสี่ยงงาบ mpic ไป 1.97 ตั้งไว้เล่นๆ 2.00 ก่อนปิดตลาดมันกระชาก ทำท่าจะปิด 2.06 สุดท้ายลงมา 2.04 กำไรแทนที่จะ 3 % เหลือแค่ 1% หลุดมือไปแร้วววว

ผมก็ตามไม่ทัน ภาษาในห้องเช็ท ยังไม่ค่อยเข้าใจ

อยาหรู้ว่าห่ออะไร ก็บอกแต่เราำไม่รู้ความหมายว่าคือตัวอ่ะไร อิอิ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Sut ที่ วันที่ 27 กรกฎาคม 2011, 10:00:44
วันนี้ลองจ้องกันเล่น ๆ นะครับ จาก 52 ตัว
เอามาให้ดู 6 ตัว แบบบังคับ ๆ ผมหลับตาจิ้ม ตั้งรับ tmi 1.25
ไม่รู้จะได้ป่าว (แนบรูปได้แค่ 5)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Sut ที่ วันที่ 27 กรกฎาคม 2011, 12:18:51
tmi นึกว่าจะย่อซักหน่อย วิ่งซะ 1.30 1.31 ตกรถ..


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 27 กรกฎาคม 2011, 16:16:13
     ท่านสุทิน(Sut)  เป็นขาเทรดแบบใช้เทคนิคส่วนตัว  ชอบเล่นแบบ  เล็กสั้นขยันซอย

เล็ก - ชอบหุ้นตัวเล็ก
สั้น - เล่นสั้น
ขยันซอย - เข้าออกบ่อย

     ท่านวัยทอง  ถ้าว่างก็มาเอาคัมภีร์เลือกหุ้นประจำเดือนได้  มีหุ้นให้เลือกเพียบ  แต่วันนี้ผมไม่ขายของนะ  มาวันอื่นก็แล้วกัน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 27 กรกฎาคม 2011, 16:17:46
     ท่านสุทิน(Sut)  เป็นขาเทรดแบบใช้เทคนิคส่วนตัว  ชอบเล่นแบบ  เล็กสั้นขยันซอย

เล็ก - ชอบหุ้นตัวเล็ก
สั้น - เล่นสั้น
ขยันซอย - เข้าออกบ่อย

     ท่านวัยทอง  ถ้าว่างก็มาเอาคัมภีร์เลือกหุ้นประจำเดือนได้  มีหุ้นให้เลือกเพียบ  แต่วันนี้ผมไม่ขายของนะ  มาวันอื่นก็แล้วกัน

อ้าว ว่าจะไปวันนี้พอดีครับ

ตอนนี้ ESSO ผมขึ้นแล้ว ดีใจจริงๆ แต่ยังไม่ขาย 555+

นวคบอกว่า ทะลุต้านแรก 12.20 รอต้านต่อไปที่ 13.00

ถ้าได้ก็ดีสิ(คิดในใจ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 27 กรกฎาคม 2011, 16:18:54
 ;Dได้นี่คือได้กี่บาท ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 27 กรกฎาคม 2011, 16:19:05
tmi นึกว่าจะย่อซักหน่อย วิ่งซะ 1.30 1.31 ตกรถ..

ต้องเรียนให้ท่านวายุ สอนกลยุทธ์ซะแล้ว

ชื่อว่า กลยุทธ์ เด็ด ก้น กรอง



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 27 กรกฎาคม 2011, 16:19:55
;Dได้นี่คือได้กี่บาท ;D

ทุน 11.40 ครับพี่ ได้ ร้อยกว่าเอง 200 หุ้น อิอิ

ทุนน้อย ค่อยๆก้าวเดิน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 27 กรกฎาคม 2011, 16:32:26
     แล้วถามหน่อยว่า  เชื่อนักวิเคราะห์พวกนั้นไหม  แล้วนักวิเคราะห์พวกนั้นกล้ารับประกันหรือเปล่าว่าจะขึ้นไปขนาดนั้นจริง  ประเด็นนี้ก็คือ  ถ้านักวิเคราะห์พวกนั้นรู้จริง  ก็คงไปนั่งเล่นเองจนรวยแล้ว  คงไม่ต้องมานั่งกินเงินเดือนอย่างทุกวันนี้หรอก  คำตอบของนักวิเคราะห์ที่เราได้จากห้องแชทก็คือ  การวิเคราะห์ทางเทคนิค

     แล้วเขาบอกทำนองนี้ไหมว่า  ถ้ามันไม่ผ่านตรงนั้นตรงนี้ให้ขายเพื่อรอดูสถานการณ์ก่อน  ถ้ามันหลุดตรงนั้นตรงนี้ก็ให้ขายหรือให้ซื้อ  ซึ่งข้อความประมาณนี้ตีความได้ว่า  ไม่ว่าคุณจะขายหรือซื้อ  ผมก็ได้ค่าคอม  เมื่อเราโดนค่าคอมทั้งซื้อและขาย  หรือพูดง่ายๆก็คือโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง  ซึ่งไม่เหมือนเล่นการพนัน  ที่คนได้เท่านั้นที่ต้องจ่ายค่าต๋ง  เพราะฉะนั้นแล้ว  เขาจึงให้เกียรติเรียกเราว่านักลงทุนไง


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 27 กรกฎาคม 2011, 16:46:23
     แล้วถามหน่อยว่า  เชื่อนักวิเคราะห์พวกนั้นไหม  แล้วนักวิเคราะห์พวกนั้นกล้ารับประกันหรือเปล่าว่าจะขึ้นไปขนาดนั้นจริง  ประเด็นนี้ก็คือ  ถ้านักวิเคราะห์พวกนั้นรู้จริง  ก็คงไปนั่งเล่นเองจนรวยแล้ว  คงไม่ต้องมานั่งกินเงินเดือนอย่างทุกวันนี้หรอก  คำตอบของนักวิเคราะห์ที่เราได้จากห้องแชทก็คือ  การวิเคราะห์ทางเทคนิค

     แล้วเขาบอกทำนองนี้ไหมว่า  ถ้ามันไม่ผ่านตรงนั้นตรงนี้ให้ขายเพื่อรอดูสถานการณ์ก่อน  ถ้ามันหลุดตรงนั้นตรงนี้ก็ให้ขายหรือให้ซื้อ  ซึ่งข้อความประมาณนี้ตีความได้ว่า  ไม่ว่าคุณจะขายหรือซื้อ  ผมก็ได้ค่าคอม  เมื่อเราโดนค่าคอมทั้งซื้อและขาย  หรือพูดง่ายๆก็คือโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง  ซึ่งไม่เหมือนเล่นการพนัน  ที่คนได้เท่านั้นที่ต้องจ่ายค่าต๋ง  เพราะฉะนั้นแล้ว  เขาจึงให้เกียรติเรียกเราว่านักลงทุนไง

ถูกต้องครับผม

โดนฟันเละ หุหุ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: sy4829 ที่ วันที่ 27 กรกฎาคม 2011, 17:44:54
สนใจเช่นกันครับกำลังศึกษาอยู่ครับแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจและโบ็กเกิ้กเชียงรายอยู่ไหนครับแล้วใครจะแนะนำวิธีการเล่นให้ครับ รบกวนขอคำแนะนำจากท่านผู้รู้หน่อยนะครับ (ขอบคุณล่วงหน้าน้อ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 28 กรกฎาคม 2011, 16:08:59
การเพิ่มทุน  วอร์แรนท์  หุ้นกู้  และหุ้นบุริมสิทธิ์
     เมื่อผมจะเลือกลงทุนในหุ้นสักตัว  สิ่งหนึ่งที่ผมจะพิจารณาด้วยนั่นก็คือ  บริษัทมี  4  อย่างที่ว่าตามข้างบนไหม  เพราะ  4  อย่างที่กล่าวถึงนี้  เป็นสิ่งที่ทำให้การลงทุนนั้นด้อยลง  เราลองมาแยกย่อยออกเป็นข้อๆกันดูนะครับ

การเพิ่มทุน
     การเพิ่มทุนนี้มีหลายวัตถุประสงค์  แต่เหตุผลหลักๆก็จะเป็น
-นำไปขยายธุรกิจ
-ชำระหนี้และเป็นทุนหมุนเวียน

     การนำไปขยายธุรกิจนั้นมันก็เป็นสิ่งที่ดี  เนื่องจากว่า  ถ้าธุรกิจเราเติบโตมากขึ้น  ผลตอบแทนที่จะได้รับในอนาคตก็จะเพิ่มขึ้น  แต่ที่มันไม่ดีในมุมมองของผมก็เนื่องจากว่า  มันอาจจะทำอะไรเกินตัวไปไหม  เพราะบริษัทอยากได้  อยากมี  อยากเป็นในสิ่งที่ใหญ่ขึ้น  ในขณะที่บริษัทเองก็ไม่มีความสามารถหาเงินเพื่อมาซื้อสิ่งนั้นด้วยผลการดำเนินงานปกติ  หากบริหารจัดการไม่เป็น  หรือยังไม่ชำนาญกับธุรกิจที่ใหญ่ขนาดนั้น  มันก็จะเป็นผลเสียสำหรับผู้ถือหุ้นทันที

     ชำระหนี้และเป็นทุนหมุนเวียน  ตรงนี้เป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนัก  เพราะแสดงให้เห็นว่า  บริษัทไม่สามารถบริหารจัดการเงินสดได้ดีพอ  จึงทำให้ต้องมาเรียกร้องเงินจากผู้ถือหุ้นเพื่อไปชำระหนี้  และส่วนที่ไม่ดีอย่างมากในการเพิ่มทุนก็คือ  มันจะทำให้ผู้ถือหุ้นเกิดความเสียหาย  อธิบายโดยคร่าวๆก็คือ

สมมติว่าตอนเริ่มแรก  บริษัทมีหุ้นอยู่   100  หุ้น  ทำกำไรได้ปีละ  100  บาท  และสามารถปันผลได้หุ้นละ  1  บาท

ต่อมาบริษัทเพิ่มทุนและเพิ่มจำนวนหุ้นเป็น  200  หุ้น  และทำกำไรในปีต่อไปได้  200  บาท  เมื่อนำมาจ่ายปันผล  ก็ยังได้หุ้นละ  1  บาทอยู่ดี

เพราะฉะนั้น  ถ้าเราลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทน  10  %  ราคาหุ้นก็ควรเป็น  10  บาท  ซึ่งตรงนี้จะเห็นว่า  ตอนที่บริษัทมีหุ้น  100  หุ้นหรือ  200  หุ้น  บริษัทก็ปันผลหุ้นละ  1  บาทเท่ากัน  ฉะนั้นราคาหุ้นจึงไม่ไปไหน

แต่ถ้าสถานการณ์ไม่เป็นอย่างที่คิด  หลังจากเพิ่มทุนแล้ว  บริษัทก็ยังทำกำไรได้  100  บาท  แต่จำนวนหุ้นนั้นเพิ่มขึ้นเป็น  200  หุ้น  ฉะนั้นเงินปันผลที่ทุกหุ้นจะได้รับคือ  หุ้นละ  50  สตางค์  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว  ราคาหุ้นก็จะร่วงลงมาเพื่อให้สมดุลกับผลตอบแทนที่จะได้รับ  10  %  นั่นก็คือ  หุ้นจะเหลือราคา  5  บาท  ลักษณะการเพิ่มทุนแล้วราคาหุ้นลดลงนี้  ในทางภาษาหุ้นเรียกว่า  ไดลูชั่น

วอร์แรนท์
     สำหรับเรื่องวอร์แรนท์นี้  ผมก็ยังไม่แตกฉานนัก  รู้แต่เพียงว่า  ในอนาคต  จำนวนหุ้นของบริษัทที่มีวอร์แรนท์อยู่  จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน  ซึ่งนั่นก็หมายถึง  คนที่มาแบ่งเค้กก็จะเพิ่มจำนวนขึ้น  ซึ่งถ้าบริษัททำกำไรได้เท่าเดิม  มันก็จะมีสถานการณ์เหมือนกับหุ้นเพิ่มทุน

หุ้นกู้
     ถ้าบริษัทไหนมีหุ้นกู้  ก็แสดงว่าบริษัทนั้นมีหนี้  แต่มันอาจจะเป็นหนี้ที่ดีกว่าอย่างอื่น  ซึ่งหนี้ลักษณะนี้  บริษัทสามารถบริหารจัดการได้  แต่ก็อีกนั่นแหละ  ถ้ามีการกู้เกิดขึ้น  ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็แล้วแต่  มันก็ต้องมีการชำระหนี้  ซึ่งพวกหนี้เหล่านั้น  ก็จะต้องมาเบียดบังเงินปันผลที่เราควรจะได้รับอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่าบริษัทที่ไม่มีหนี้  ยกตัวอย่างเช่น  2  บริษัททำกำไรได้เท่ากัน  จำนวนหุ้นเท่ากัน  แต่บริษัทที่มีหนี้  ต้องกันเงินบางส่วนเพื่อไปชำระหนี้  เมื่อเป็นดังนี้  ผลตอบแทนของบริษัทที่ไม่มีหนี้  จึงได้รับมากกว่า

หุ้นบุริมสิทธิ์
     อันนี้เป็นความรู้ที่ผมเพิ่งได้มาใหม่  กล่าวคือถ้าบริษัทไหนมีหุ้นบุริมสิทธิ์อยู่  หุ้นบุริมสิทธิ์นั้น  จะมีสิทธิ์เหนือหุ้นสามัญ  เมื่อบริษัทได้กำไรมา  ก็จะต้องนำกำไรที่ได้  ไปจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์ก่อน  เมื่อเหลือเท่าไหร่  เงินส่วนที่เหลือก็ค่อยตกมาถึงผู้ถือหุ้นสามัญ  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  ถ้าเราเป็นคนที่ถือหุ้นสามัญอยู่  เราก็จะได้รับการจัดสรรผลกำไรหลังผู้ที่ถือหุ้นบุริมสิทธิ์  ดูๆแล้วคล้ายลูกเมียน้อยชอบกล  ใครอยากเป็นลูกเมียน้อยบ้างยกมือขึ้น


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: แมงมุม ที่ วันที่ 28 กรกฎาคม 2011, 16:37:00
warrant หรือ วอร์แรนท์

คือ "สิทธิ์"ที่จะซื้อหุ้นของบริษัทในราคาที่กำหนด

การออก W ก็เป็นการระดมทุนอย่างหนึ่งครับ

โดยที่เมื่อ W หมดอายุแล้ว จะสามารถให้สิทธิ์ของ W เปลี่ยนเป็นหุ้นสามัญได้ครับ

ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Cupid ที่ วันที่ 29 กรกฎาคม 2011, 19:55:58
หลักสูตร Mini NBA สำหรับนักธุรกิจเครือข่ายที่ต้องการสร้างรายได้ 100,000 บาท
ใน 3 เดือน เรียน 12 สัปดาห์ ค่าเรียน 5,300 บาท ตลอดหลักสูตร รับรองผลขาดทุน
สนใจสมัครเรียน โทร.0864295644 อภิสแควร์ ชั้น  2

ท่านเปิดกระทู้ซึ่งมีเนื้อหาเดียวกันนี้เอาไว้หลายบอร์ด ของเว็บนี้ รวมทั้งบอร์ดนี้ด้วย ผมได้แจ้งไว้ที่กระทู้
ของท่านในบอร์ดนี้แล้วว่า ถ้าซ้ำกัน ผมจะลบทิ้งออกไป

กระทู้ รับสมัครเรียนหลักสูตร MiNi NBA ทางลัดสู่เถ้าแก่   นี้ได้ไปโพสไว้หลายบอร์ด ซึ่งเป็นการผิดกฎ
ของเว็บเราอยู่แล้ว ทีแรกผมคิดจะลบออกไป แต่เจ้าของกระทู้ได้แสดงตัวตน (จะจริงหรือเท็จยังไม่รู้)
ผมจึงอนุโลมให้คงไว้ก่อน

ส่วนเนื้อหารายละเอียดของกระทู้ ที่เจ้าของกระทู้ไม่ชี้แจงลงในกระทู้ออกสู่สาธารณนี้ คงเพราะต้องการ
ให้ผู้สนใจไปติดต่อเอง เป็นวิธีการหรือเป็นเทคนิค สร้างความสงสัยใคร่รู้ของผู้อ่าน ซึ่งได้ผลพอสมควร
ที่บอร์ดนี้

โปรดใช้วิจารณญานของแต่ละท่านนะครับ กรุณาอย่าวิวาทะกันเลย สมาชิกท่านใดอ่านแล้ว เห็นว่าเป็น
ไปไม่ได้ ก็ผ่านไปเสีย เท่านั้นเองครับ

แต่ถ้าเป็นกระทู้ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เช่นกระทู้ชักชวนให้เล่นการพนัน ผมลบทิ้ง
ทันทีนะครับ เมื่อวานก็ลบไปแล้ว 1 กระทู้ หรือโพสซ้ำๆกันในบอร์ดเดียวกันนี้ ผมก็ลบออกไป 2 กระทู้
เมื่อวาน เช่นกัน

ด้วยความเคารพต่อความคิดเห็นของสมาชิกทุกท่านนะครับ... :)

ผมขออนุญาตลบกระทู้ที่ท่านตั้งไว้ในบอร์ดนี้ก่อนแล้วกัน และขอเรียนว่า ถ้าท่านนำเนื้อหาเดียวกันนี้มา
โพสอีก ผมจะนำกฎขั้นต่อไปของเว็บมาใช้นะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 30 กรกฎาคม 2011, 19:16:50
ท่าน cupid ทำถูกต้องแล้วครับ

บังคับใช้กฏระเบียบอย่างเคร่งครัด

เป็นกำลังใจให้ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: vee48 ที่ วันที่ 30 กรกฎาคม 2011, 22:41:15
รำคาญญญญญญ
ใจเย็นๆค่ะ ;D พี่เค้าก็คงต้องทำมาหากินของเค้าเนาะ เราไม่สนใจก็อย่าไปใส่ใจเลยค่ะ เดี๋ยวเครียด ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 01 สิงหาคม 2011, 15:54:16
มีหลังไมค์ถามกันมาพอสมควรว่า  ตอนนี้การลงทุนของผมเป็นอย่างไรบ้าง  เอาเป็นว่า  ผมเอามาให้ดูก็แล้วกันนะครับ  แต่ที่ผมเอามาลงนี้  อย่าตีความว่าผมอวด  ผมแค่มีหลักฐานมาแสดงจริง  ไม่ได้อวดอ้างโดยไม่มีหลักฐาน  ตามตัวเลขต้นทุนที่โชว์ในใบพอร์ต  ตัวเลขมันเป็นต้นทุนใหม่  เนื่องจากว่าผมได้ขายหุ้นออกไปแล้วซื้อกลับคืนมา  ตัวเลขต้นทุนมันก็เลยเปลี่ยนเป็นต้นทุนใหม่  ตอนนั้นผมได้ประกาศว่าผมกำลังเข้าซื้อหุ้นตัวนี้ใหม่(กระทู้ 309  ลองกลับไปหาดู  หน้า 16)  ถ้าผมไม่ขายเลยตั้งแต่แรก  และถือยาวมาจนถึงตอนนี้  ตัวเลขกำไรที่ทำได้มันก็มากกว่าตัวเลขที่เห็น  คงหลายหมื่นอยู่ครับ  แต่ที่โชว์ในใบพอร์ตนั้น  กำไรอยู่หมื่นกว่า  และที่ผมเอามาลงให้ดูนี้เนื่องจากว่า  จะเป็นกำลังใจให้ผู้ที่กำลังจะลงทุนได้เห็นว่า  การทำเงินมากๆในตลาดหุ้นนั้น  เป็นจริงได้ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 01 สิงหาคม 2011, 16:07:57
เหตุและผล
     การดำเนินชีวิตทุกวันนี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่  เราควรยึดหลักของเหตุผลเป็นที่ตั้ง  เมื่อจะทำการสิ่งใดแล้ว  ควรวิเคราะห์และตรึกตรองสักนิดว่า  สิ่งที่เรารับรู้  สิ่งที่เรากำลังจะทำ  มันเหมาะสมกับเหตุอันควรหรือไม่  ในที่นี้  ผมจะยกตัวอย่างมาให้ดูกันสักเล็กน้อย

มีบางคนเข้ามาตั้งกระทู้ชักชวนให้ไปรวย
     เรื่องอย่างนี้ใครๆก็อยาก  แต่ก่อนที่เราจะตัดสินใจเชื่ออะไรก็แล้วแต่  เราได้คิดถึงเหตุผลของมันหรือไม่ว่า  การจะรวยนั้น  มันต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง  ผมได้เคยซักถามคนที่ตั้งกระทู้ว่า  ที่เขาเข้ามาโฆษณาว่าจะทำให้คนอื่นรวย  แล้วตัวเขาเองน่ะรวยหรือยัง  เพราะถ้าตัวเขาเองยังไม่สามารถที่จะรวยได้ด้วยวิธีนั้น  แล้วการที่เขามาป่าวประกาศบอกใครต่อใครว่า  คนอื่นจะสามารถรวยด้วยวิธีที่เขามาโฆษณา อย่างนี้คงต้องบอกว่า  ใครเชื่อก็โง่แล้ว

ผมรวยได้  คุณก็รวยได้  (ด้วยธุรกิจเครือข่าย)
     ตัวอย่างนี้เป็นตัวอย่างที่คลาสสิกมาก  เนื่องจากว่า  มันดีกว่าวิธีแรกตรงที่ว่า  เขาสามารถพิสูจน์ตัวเองได้แล้วว่า  ถ้าทำสำเร็จ  มันก็รวยจริง  แต่ถ้าเราลองนึกถึงเหตุผลให้ดีว่า  กว่าที่เขาจะทำสำเร็จ  เขาต้องทำมานานเท่าไหร่  และเขาต้องชักชวนคนอื่นให้มาเป็นลูกน้องกี่คนแล้ว  และกว่าที่คุณจะตามเข้าไป  มันยังจะเหลือคนที่จะให้คุณชวนอีกเท่าไหร่  ผมว่า  อย่างไรเสีย  คุณก็คงตามเขาไม่ทันแน่  หรือถ้าคุณพยายามเต็มที่  เงินส่วนที่คุณทำได้  ก็ต้องไปแบ่งให้กับคนที่มาก่อนคุณตั้งไม่รู้กี่คน  เพราะฉะนั้น  ถ้าเป็นในองค์กรนั้น  คุณไม่มีทางทำได้อย่างเขาแน่นอน  เพราะตราบใดที่คุณพยายามที่จะเป็นอย่างเขามากเท่าไหร่  ระยะห่างระหว่างรายได้ของเขาก็จะหนีคุณไปเรื่อยๆ  เพราะเขาได้ส่วนแบ่งจากส่วนที่คุณทำได้ด้วย  ซึ่งวิธีการหาเงินแบบกินหัวคิวชาวบ้านแบบนี้ผมเห็นว่า  “ไม่แฟร์”  และสิ่งที่มันด้อยกว่าหุ้นในความเห็นของผมคือ  ทำไมเราต้องควักเงินจ่ายทุกเดือนด้วยล่ะ  ถ้าเป็นหุ้น  เราอยากซื้อเราก็ซื้อ  ถ้าเราไม่มีเงินลงทุน  เราก็ไม่ต้องซื้อ  ไม่มีใครมาบังคับเราได้  นี่สิถึงจะเรียกว่าเป็นการลงทุนจริงๆ  ถ้าเราทำธุรกิจเครือข่ายแล้วลองไม่ควักเงินซื้อของดูสิ  คุณจะได้รู้ว่า  นี่มันเป็นธุรกิจหรือเราเป็นหนี้กันแน่วะ
     ทีนี้เรามาเข้าเรื่องหุ้นกันบ้าง  ถ้าใครดูข่าวตลาดหุ้นบ่อยๆจะสังเกตได้ว่า  เวลารายงานสภาวะการซื้อขายหุ้น  ไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง  นักข่าวพยายามที่จะหาเหตุผลมาสนับสนุนทิศทางของหุ้นว่า  ทำไมมันจึงขึ้น  หรือทำไมมันจึงลงเช่น

วันนี้นักลงทุนขายทำกำไรเนื่องจากไม่มีปัจจัยบวก
วันนี้หุ้นลงเนื่องจากคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยจะขึ้น
วันนี้หุ้นลงเนื่องจากราคาน้ำมันพุ่งขึ้น
วันนี้หุ้นขึ้นเนื่องจากคาดการณ์ผลประกอบการหลายบริษัทจะออกมาดี  ฯลฯ

จะเห็นได้ว่า  จริงๆแล้วคนพวกนี้รอให้  “ผล”  ออกมาก่อน  แล้วจึงพยายามหา  “เหตุ”  ไปใส่  ถ้าเรามัวแต่มองตลาดขึ้นลง  มันจะทำให้ทัศนะวิสัยในการวิเคราะห์ถูกบดบังจากสิ่งลวงตา  สิ่งที่ถูกต้องมันควรจะเรียงลำดับจาก  “เหตุ”  มาสู่  “ผล”  เนื่องจากว่า  มันเป็นสิ่งที่เป็นความจริงมากที่สุด  คงไม่มีใครปฏิเสธหรอกนะว่า  บริษัทที่ผลประกอบการออกมาดีแล้วจะไม่มีใครต้องการหุ้นเขา  ถ้าราคาหุ้นยังไม่ไปไหน  นั่นคือโอกาสของเรา  ถ้าเป็นนักเล่นหุ้นบางคน  เขาจะไม่แตะหุ้นใดๆจนกว่ามันจะพุ่งขึ้นไป  ซึ่งนั่นทำให้เขาพลาดโอกาสที่จะได้รางวัลก้อนโต  กลยุทธ์อย่างนี้มองได้หลายมุม

-บางทีอาจเป็นเพราะว่า  เขาวิเคราะห์หุ้นไม่เป็น  สิ่งที่เขาทำก็คือการลอกการบ้าน  เขาไม่ยอมทำการบ้านเอง  และจะรอจนกว่ามีใครบางคนไปทำมาแล้ว  และเขาก็จะลอกการบ้านด้วยการซื้อหุ้นตาม
-หรือถ้าไม่อย่างนั้น  เขาอาจจะทำการบ้านมาเรียบร้อยแล้ว  แต่เขาไม่มั่นใจในตัวเองว่า  การบ้านที่เขาไปทำมานั้นมันถูกต้องหรือไม่  จนกว่าจะได้เห็นคนอื่นเห็นด้วยกับเขา  แล้วเขาก็ค่อยลงมือตาม  ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่  เขาก็จะไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุนเท่าที่ควร

     สำหรับคนที่เล่นหุ้นด้วยเทคนิค  คำกล่าวของผมอาจจะไม่เป็นที่สบอารมณ์นัก  เนื่องจากว่า  ผมไม่เคยเชื่อในเครื่องมือทางเทคนิคเลย  ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือชนิดไหนก็ช่าง  เนื่องจากว่า  คนที่รวยเป็นมหาเศรษฐีอย่างวอร์เร็น  บัฟเฟต  หรือผู้บริหารกองทุนมือพระกาฬอย่าง  ปีเตอร์  ลินซ์  หรือพ่อมดการเงินอย่าง  จอร์จ  โซรอส  ไม่มีใครใช้เครื่องมือทางเทคนิคเลย  วิธีการที่ทั้ง  3  คนใช้ก็คือ  นำเอาข้อมูลต่างๆมาวิเคราะห์และสรุปออกมาเป็นการลงทุน  ถึงแม้ว่าการลงทุนที่ทั้ง  3  คนใช้จะแตกต่างกัน  แต่สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์  ผมอยากทราบว่า  มีใครบนโลกนี้บ้าง  ที่ใช้เครื่องมือทางเทคนิคแล้วทำให้รวยเป็นมหาเศรษฐีได้  ผมไม่เคยพบ  สิ่งที่ผมรู้จักก็แค่  หนังสือแนะนำการใช้เครื่องมือเท่านั้น  ในความเห็นของผม  ถ้าใช้เครื่องมือทางเทคนิคแล้วรวย  ผมว่าทุกคนบนโลกนี้  คงไม่มีใครจนเป็นแน่แท้  หากมีใครรู้จักคนที่ใช้เครื่องมือทางเทคนิคแล้วรวย  ก็ช่วยบอกผมด้วยแล้วกันนะครับ  เพราะหนังสือแนะนำกลยุทธ์การลงทุนที่วางขายตามท้องตลาด  ก็เห็นมีแต่หนังสือของพวกท่านทั้ง  3  นี่แหละ  ที่คนอยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไร  เขาทำอย่างไรจึงรวย  ถ้าเป็นที่ประเทศไทย  คนที่เป็นนักลงทุนที่ดังที่สุดเห็นจะเป็น  ดร.นิเวศน์  ซึ่งตัวของท่านนิเวศน์นี้  ก็ไม่ได้ใช้เทคนิคแล้วรวย  แต่ท่านดังในด้านวิเคราะห์หุ้นแล้วถือยาว  เนื่องจากว่า  กว่าที่บริษัทใดๆก็ตาม  จะมีผลประกอบการออกมาได้ตรงตามเป้าที่วางไว้  มันก็ไม่ได้ใช้เวลาเพียงแค่ชั่วข้ามคืน  อย่างเช่น 7-11  มันก็คงไม่สามารถขยายสาขาได้วันละเป็นร้อยแห่งแน่นอน  เพราะฉะนั้น  เราต้องวิเคราะห์บริษัทให้ดี  เราต้องมั่นใจในตัวบริษัท  และถือหุ้นนั้นรอจนกว่าบริษัทจะทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา  แต่ระหว่างที่รอให้บริษัททำให้มันสำเร็จ  เราก็ต้องอดทนถือหุ้นฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆที่จะเข้ามากระทบความรู้สึกของเรา  และถ้าเราอดทนมากพอ  เมื่อถึงเวลานั้นสิ่งที่เราจะได้รับตอบแทนก็คือรางวัลก้อนโต  นี่จึงเป็นที่มาของ  การเล่นหุ้นอย่างมีเหตุ  และเมื่อนั้น  ผลก็จะตามมา

     สิ่งที่ยืนยันคำกล่าวของผมได้ดีเกี่ยวกับการลงทุนโดยใช้เทคนิเคิลก็คือ  ทุกวันนี้มีคนที่ใช้เทคนิคในการลงทุนมากมาย  แต่ไม่มีใครสามารถประสบความสำเร็จได้เท่า  3  คนนั้น  สิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับกันก็คือ  เครื่องมือทางเทคนิคพวกนี้  เราไม่ควรเชื่ออย่างงมงายว่ามันจะเป็นความสำเร็จอัดกระป๋องที่จะสามารถทำให้เราประสบความสำเร็จในการลงทุนได้  วิธีการลงทุนตามเทคนิคในความเห็นของผมมันก็แค่  การเก็บสถิติเก่าๆมาใช้  แล้วผมอยากถามว่า  สถิติที่เก็บมานั้น  มันสามารถบอกอะไรเกี่ยวกับอนาคตได้บ้าง  การลงทุนบนความเชื่อในเทคนิเคิลนั้น  ไม่ได้คำนึงถึงผลประกอบการ  เงินปันผล  หรือความสามารถในการแข่งขันเชิงธุรกิจเลย  คนที่ใช้เทคนิค  ผมมองว่าเขาเป็นนักพนันมากกว่านักลงทุน  เพราะเขาลงทุนโดยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทเลย  เมื่อมาคิดถึงหลักเหตุและผลตามหัวข้อที่ผมตั้งขึ้นมาแล้วอยากถามว่า  เขาลงทุนโดยใช้เหตุผลอะไรบ้าง  คนที่ลงทุนโดยใช้เทคนิเคิลสามารถบอกเหตุผลในการลงทุนหุ้นได้ไหมว่า  ทำไมเขาจึงซื้อหุ้นนั้น  ทำไมเขาจึงขายหุ้นนั้น  ถ้าคนที่ใช้เทคนิคลงทุน  ไม่สามารถบอกเหตุผลได้ว่า  ทำไมเขาจึงซื้อและทำไมเขาจึงขาย  เขาควรปรับเปลี่ยนวิธีการลงทุนเสียใหม่จะดีกว่า  เพราะจากที่ผมได้รู้จักกับนักลงทุนโดยใช้เทคนิคหลายคน  ไม่มีใครสามารถถือหุ้นยาวจนได้กำไรเป็นกอบเป็นกำสักคน  เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่ง  เครื่องมือก็จะบอกให้ซื้อหรือขาย  ทำให้กำไรที่ได้มานั้น  โดนเบียดบังจากค่าคอมที่เราต้องจ่ายทีละเล็กทีละน้อย  ถ้าเราซื้อขายบ่อยๆ  ค่าคอมก็จะมากินกำไรในส่วนที่เราทำได้  ซ้ำร้าย  ถ้าซื้อไปแล้วหุ้นมันลงต่อ  คุณก็จะต้องยอมขายขาดทุนออกไปก่อน( cut loss )เพราะไม่แน่ใจว่ามันจะตกลงไปอีกหรือไม่  เสียเงินสองต่อทันที  ต่อแรกคือขาดทุนราคาหุ้น  และต่อที่สองคือ  โดนซ้ำเติมจากค่าคอม  หรือถ้าหุ้นมันพุ่งขึ้นมา  คุณก็ขายออกไปตามที่เครื่องมือแนะนำ  แต่หุ้นนั้นมันกลับวิ่งต่อ  คุณนั่นแหละที่จะเสียโอกาสในกำไรเหล่านั้น  และเหตุผลที่เครื่องมือบอกให้ซื้อหรือขาย  มันใช้อะไรมาวัด  ที่ผมได้ยินได้ฟังมาจนชินหูก็คือแนวรับแนวต้าน  ถ้าเป็นนักลงทุนมือใหม่อาจจะยังไม่คุ้น  แต่ผมจะอธิบายให้รู้อย่างย่อๆก็คือ

แนวรับ  คือ  ราคาที่ต้องซื้อ  เพราะมันถูกแล้ว
แนวต้าน  คือ  ราคาที่ต้องขาย  เพราะมันแพงแล้ว

แต่ในความเป็นจริงแล้ว  สิ่งพวกนี้มันมักมีก๊อกสองเสมอ  ถ้าเขาบอกว่า  แนวต้านที่  1000  จุด  “ถ้าผ่านได้”  ต้านต่อไป  1020  จุด  แล้วสิ่งที่เขาบอกมันได้คำนึงถึงความเติบโต  หรือเงินปันผลของบริษัทหรือไม่...เปล่าเลย  ข้อมูลทุกอย่างมันก็แค่เครื่องมือบอกเท่านั้น

     เพราะฉะนั้น  ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จในการจะทำอะไรก็ช่าง  สิ่งหนึ่งที่เราต้องเรียนรู้ก็คือ  เราต้องรู้จักสิ่งที่เราจะลงทุนให้ดีที่สุด  มีเหตุผล  มีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จแล้ว  และให้เราคัดลอกต้นแบบออกมาให้ได้ว่า  ที่เขาประสบความสำเร็จนั้น  เขาคิดอย่างไร  เขาทำอย่างไร  เป็นกำลังใจให้น้องๆที่กำลังจะเริ่มลงทุนทุกท่านครับ  เพราะผมก็...เจ็บมาเยอะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 01 สิงหาคม 2011, 16:11:21
เห็นด้วยกะเสี่ยวายุครับ แต่รู้วิเคราะห์ทางเทคนิคบ้าง ก้ไม่เสียหาย
สำหรับการลงทุนด้านขายตรงหลายชั้น คนบ้านเรามันยังด้อยพัฒนาครับ คิดแต่จะเอาเปรียบดาวน์ไลน์ลูกเดียว ว่าม่ะ 55+


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 01 สิงหาคม 2011, 16:11:41
ข่าวด่วน !!!
     7-11  ผมทะลุ 50 บาทแล้วเจ้าข้าเอ้ย...ยยยย  อย่างนี้เงินก็งอกออกมาอีกสิเนี่ย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: แมงมุม ที่ วันที่ 01 สิงหาคม 2011, 16:33:57
อ่านที่ท่านวายุกล่าวมา เป็นอะไรที่เถียงไม่ออกครับ

การใช้เทคนิคคอลนั้น อย่างที่ผมเคยกล่าวแล้วว่า เป็นการใช้ข้อมูลในอดีตมาทำนายอนาคต โดยมีข้อจำกัดหรือข้อสมมติฐานว่า "ปัจจัยพื้นฐานต้องไม่เปลี่ยนแปลง"

แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ .... เนื่องจากว่า อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน

การซื้อหุ้นเป็นการซื้ออนาคต...ไม่ใช่เป็นการซื้ออดีต

ผมจึงบอกว่าการใช้เทคนิคคอล ไม่ใช่การลงทุนครับ แต่เป็นการเก็งกำไร หรือที่เรียกว่า เล่นหุ้น

ไม่ใช่ลงทุนหุ้น

--------------------------------------------------------

ในทางทฤษฎีนั้น ถ้าท่านสามารถใช้เทคนิคในการลงทุนได้ผล 100% นั้น ท่านรวยกว่าพวก VI แน่นอน

แต่ถามว่า มันจะเป็นไปได้เหรอครับ ที่ท่านจะซื้อขายหุ้น"ถูกจังหวะ" ทุกครั้ง

ดังนั้น การเล่นหุ้นโดยใช้เทคนิคคอล ไม่ได้ทำให้ใครรวยจริงครับ

--------------------------------------------------------

แล้วคงมีคำถามต่อมาว่า "ผมตั้งกระทู้เรื่อง เครื่องมือทางเทคนิค มาเพื่ออะไร"

ผมก็ขอตอบว่า มันเป็นอีก 1 แขนงความรู้เกี่ยวกับหุ้นครับ

รู้ไว้ ดีกว่าไม่รู้ จริงมั้ยครับ

อาจารย์ที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนของผมท่านหนึ่ง ท่านเชี่ยวชาญอย่างมากในการใช้เครื่องมือทางเทคนิค

ท่านบอกนักเรียนของท่านเสมอว่า เทคนิคนั้นเอาไว้ใช้เพื่อ "หาจังหวะในการซื้อหุ้นดีๆ" ไม่ใช่ "หาจังหวะดีๆ ในการซื้อหุ้น"

พูดง่ายๆก็คือ ถ้าท่านเลือกแล้วว่าท่านจะลงทุนในหุ้นตัวนี้ เพราะพื้นฐานดี .... ท่านจงใช้เทคนิคคอลในการหาจังหวะว่า ควรจะเข้าซื้อที่ราคากี่บาท

ท่านอ่านกราฟเทคนิค ใช้เครื่องมือ 4-5 อย่าง พร้อมกับ "งบการเงิน และ ข่าวบริษัท" มาบอกนักศึกษาว่า....

หุ้นตัวนี้ ควรจะขึ้นไปที่ราคากี่บาท และต้องซื้อเมื่อราคาย่อลงมาเท่าไหร่
หุ้นตัวนี้ จะลงไปที่ประมาณกี่บาท เพราะสาเหตุอะไร มีความเสี่ยงหรือปัจจัยลบเรื่องอะไร

แทบไม่เคยผิดเลยครับ

อาจารย์บอกความ ความสำเร็จในการลงทุน เกิดจาก 1.)การเลือกหุ้นที่ดี และ2.) การเข้าซื้อในจังหวะที่ถูกต้อง

--------------------------------

ที่พูดมาเนี่ย สนับสนุนท่านวายุ

และไม่ได้ ไม่สบอารมณ์นะครับ แต่เพิ่มความเข้าใจด้านเทคนิคนะครับ

เพราะยังไงผมก็ขอบอกว่า เล่นหุ้นด้วยเทคนิคคอล เป็นการออกกำลังหัวใจ ที่ดี   5555+


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 01 สิงหาคม 2011, 18:40:35
ขอบคุณครับ เสี่ยวายุ

ปัจจุปัน Day trade

อนาคต VI

อิอิ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: singhato ที่ วันที่ 02 สิงหาคม 2011, 18:52:27
สวดยอดเลยท่านวายุ ผมไม่ได้เข้าในบอร์ดเสียนานเลย
ตอนนี้ได้ข่าวหลังจากที่รัฐบาลใหม่จะขึ้นค่าแรงเป็น300บาทต่อวัน
แล้วผมก็ได้ข่าวจาก
http://tnews.teenee.com/etc/69374.html คือ
ช็อก!ก๋วยเตี๋ยวจ่อขึ้นชามละ80บาท
นายดุสิต นนทะนาคร ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

อันนี้ผมก็อยากถามว่าหุ้นมาม่าที่ผมติดดอยอยู่คงจะปรับราคาตามท้องตลาดถูกต้องหรือเปล่าครับ
แล้วหุ้นที่ผมถืออยู่จะไปทางแม่สายหรือไปเบตงครับ
ขอความรู้จากทุกๆท่านด้วยครับ
 
ปล.ตอนนี้ผมถือของthaiอยู่ที่28บาทผมว่าเป็นราคาที่ต่ำมากนะผมคิดถูกหรือปล่าว
รอถึงปลายปีคงจะมีกำไรอยู่บ้างท่านว่ามีแนวโน้มที่ดีหรือเปล่าครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: แมงมุม ที่ วันที่ 02 สิงหาคม 2011, 21:43:56
.

ผมถือการบินไทยไว้...28.50 บาท

ถ้าหลุด 27 ผมต้องตัดขาดทุน

เพราะดูแล้ว ยังม่ายมีอนาคต หุหุ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 03 สิงหาคม 2011, 03:50:09
สู้ๆครับท่านสิงโตมือใหม่ก็ต้องไปซื้อดอยอยู่แทบทุกคนครับ

ผมก็กว่าจะหลุดดอยมาได้เล่นเอาใจเสียไปหลายทีละ

แต่แนวทางของท่านวายุนี้ผมว่าน่าจะดีที่สุดละ อิอิ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 03 สิงหาคม 2011, 16:10:07
ตอบคุณ  singhato
     พอดีวันนี้เวลาน้อย  เอาแบบเข้มข้นเลยก็แล้วกัน  สำหรับหุ้นมาม่า  คุณคิดว่า  ในวันหนึ่งๆ  คนจะกินมาม่าได้กี่มื้อ?  และหุ้นตัวนี้  กระทรวงพาณิชย์ชอบมาจุ้นเรื่อย  ดูๆแล้วราคาสินค้าขยับยาก  และมันก็พลอยทำให้  บริษัทกำไรน้อยไปด้วย  อันนี้ก็ไปคิดต่อเอาเองครับ

     หุ้นการบินไทย...อีกแล้วครับท่าน  ก่อนอื่นต้องถามก่อนว่า  "คุณซื้อหุ้นนั้นเพราะอะไร"  มันไม่ใช่ว่าเอะอะก็ว่าราคาถูก  เราต้องเข้าใจด้วยว่า  เดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว  เมื่อก่อนสายการบินของประเทศเรามีกี่ยี่ห้อครับ  ยี่ห้อเดียวใช่ไหม  แล้วตอนนี้มีกี่ยี่ห้อ  ถูกกว่าการบินไทยอีกต่างหาก  แล้วราคาน้ำมันอีกล่ะ  แล้วพวกฝรั่งที่เกิดวิกฤตอีกล่ะ  ช่วงนี้เขาไม่มีเงินกัน  เขาก็คงยังไม่เที่ยวกันหรอกครับ  แค่หาเงินใช้หนี้ก็อ่วมแล้ว  ถ้าจะซื้อการบินไทย  คงต้องรอเศรษฐกิจของฝรั่งกำลังฟื้นเสียก่อน  แล้วค่อยเข้าไปซื้อ  ถ้าผมถามว่าการบินไทยมันราคาถูกเมื่อเทียบกับอดีต  แล้วอดีตราคาของ 7-11  ผมล่ะ  ถ้าเห็นราคานี้คงไม่มีใครกล้าซื้อเป็นแน่  แต่มันไม่ใช่นะ  พื้นฐานมันดีขึ้น  สาขาเพิ่มกว่าเมื่อก่อน  เพราะฉะนั้น  ราคาหุ้นมันต้องขึ้นไปอีก  ถ้าคุณหวังราคาหุ้นต้องขึ้น  คุณต้องมองอย่างเดียวเลยว่า  มันจะโตได้อีกไหม  มันจะกำไรเพิ่มได้อีกไหม  กลยุทธ์ง่ายๆสำหรับการเล่นที่จะได้กำไรเยอะๆก็คือ  "หาหุ้นที่มันโตได้อีก  และซื้อมันมากอดไว้  จนกว่ามันจะไม่โต"  แต่การที่เราจะรู้ว่า  หุ้นไหนมันจะโตหรือไม่โตนั้น  นั่นแหละสำคัญ  คุณต้องมีความรู้ทางการเงินครับ  พยายามสะสมความรู้ให้มากๆ  คุณอย่าขี้เกียจศึกษา  ถ้าคุณเป็นแล้ว  ความรู้นั้นมันสามารถหากินได้ตลอดชีวิต  OK  นะครับ  ถ้าว่างจะเข้ามาแนะนำหุ้นให้  ตอนนี้กำลังสนใจหลายตัวเลย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: singhato ที่ วันที่ 03 สิงหาคม 2011, 17:24:36
แล้วของcpnละท่าน เจ้าของ เซ็นทรัล บิ๊กซีและคาร์ฟูร์
จะลงมาเปิดเป็นชอร์ปเล็กๆได้หรือเปล่า บิ๊กซี24ชั่วโมง คาร์ฟูร์24ชั่วโมง
ถ้าทำได้คงมันแน่ๆ  ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 04 สิงหาคม 2011, 15:38:07
ตอบคุณ singhato
     จริงๆแล้วใครจะเปิดก็ได้ทั้งนั้นแหละ  เพียงแต่ว่า  มีความสามารถสู้คนอื่นได้หรือไม่  ถ้าประเมินแล้วว่าสู้ไม่ได้  จะสู้ให้เจ็บตัวทำไมถูกไหม  วันนี้เอาข่าว 7-11 มาให้อ่าน

เซเว่น รีวิวแผนเวียดนามรับมือเออีซี
     ส.พัฒนาผู้ประกอบการค้าปลีกทุนไทย แนะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 แก้กฎหมายค้าปลีกให้ทันยุคสมัย โดยเฉพาะการขายออนไลน์ ขณะที่ค้าปลีกไทยส่อเค้ารุนแรง หลังกำลังซื้อระดับกลาง - ล่างเพิ่มสูงต่อเนื่อง ส่งผลคอนวีเนียน สโตร์เร่งขยายตัวรองรับ ด้าน 7-11 เตรียมศึกษา วิเคราะห์การเข้าไปลงทุนในตลาดเวียดนามอีกครั้ง รับการเกิดเออีซี
นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว นายกสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย และรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ประเด็นเร่งด่วนที่รัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องรีบดำเนินการคือ การแก้ไขกฎหมายค้าปลีกที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มีความทันสมัย ทันกับสถานการณ์การแข่งขันและการดำเนินการที่เปลี่ยนแปลงทั่วโลก โดยที่ผ่านมาพบว่า กฎหมายค้าปลีกมีข้อจำกัดในหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ อาทิ การจำกัดพื้นที่ในการขยายสาขา ซึ่งพบว่าจะเป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่ที่เกิดขึ้น และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเดิมที่มีอยู่ ดำเนินธุรกิจได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งปัจจุบันมีรูปแบบการค้าปลีกใหม่ๆ เกิดขึ้น เช่น การขายผ่านออนไลน์ ซึ่งขณะนี้เริ่มมีผู้ประกอบการและผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีกฎหมายควบคุม
"เมื่อก้าวสู่ยุคดิจิตอล ย่อมมีการซื้อขายรูปแบบใหม่ๆ เช่น ซื้อขายผ่านโทรศัพท์มือถือ ขายผ่านอินเตอร์เน็ต และมีปัญหาตามมาทั้งได้รับสินค้าไม่ตรงกับที่สั่งซื้อ หรือสินค้ามีตำหนิ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายควบคุมหรือป้องกัน ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคเสียเปรียบ ดังนั้นจึงควรปรับปรุง แก้ไขกฎหมายให้มีความทันสมัย และทันกับกระแสที่เกิดขึ้น" นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์ควรใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค พ.ร.บ. แข่งขันทางการค้า ในการควบคุมการดำเนินธุรกิจของผู้บริโภค เพราะช่วงที่ผ่านมาพบว่า มีผู้ประกอบการหลายรายที่มุ่งแต่แข่งขันกันอย่างหนัก โดยเฉพาะการลดราคาสินค้าต่ำกว่าทุน ซึ่งจะส่งผลกระทบในวงกว้าง
สำหรับภาพรวมของการแข่งขันธุรกิจค้าปลีกในเมืองไทย เชื่อว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นโดยเฉพาะในค้าปลีกไซซ์เล็ก หลังจากที่มีผู้ประกอบการขยายตัวมากขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคในระดับกลางลงล่าง ก็มีกำลังซื้อสูงขึ้น จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากราคาพืชผลเกษตรที่ดีขึ้น รวมถึงการเลือกตั้งที่ผ่านมา โดยเซเว่น เองเชื่อว่าจากประสบการณ์ที่อยู่ในธุรกิจมานานและมีความเชี่ยวชาญ ด้านการบริหารจัดการร้านสะดวกซื้อจะทำให้มีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ส่วนการขยายตัวอย่างรวดเร็วจากผู้ประกอบการรายใหม่จะทำให้เกิดตลาดใหม่ จากทำเลใหม่ๆด้วย  ส่วนการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ในปี 2558 นั้น ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ของไทยได้ขยายธุรกิจไปต่างประเทศ เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจค้าปลีกของไทยถือว่ามีความแข็งแกร่งมากในแถบอาเซียน เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน สามารถเทียบชั้นกับประเทศฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี และออสเตรเลียได้เลยทีเดียว ดังนั้นหลังการเกิดเออีซี จึงถือเป็นโอกาสในการขยายการลงทุนเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเซเว่น เองมีแนวคิดที่จะศึกษาตลาดเวียดนามอีกครั้ง หลังจากที่เคยให้ความสนใจและศึกษามาต่อเนื่อง เพราะประเทศเวียดนาม ถือว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพ มีประชากรหนาแน่น และมีโอกาสที่คอนวีเนียน สโตร์ จะขยายเข้าไปได้อีกมาก "เดิมเซเว่น ให้ความสนใจและศึกษาธุรกิจค้าปลีกเวียดนามมาหลายปี แต่ติดขัดในข้อกฎหมายหลายตัว จึงยังไม่เคยเสนอตัวขอเข้าไปลงทุนในประเทศเวียดนามกับบริษัทแม่ แต่จะกลับมาศึกษาและวิเคราะห์ใหม่ หลังจากที่เกิดเออีซี เพราะมีเงื่อนไขใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งหากศึกษาและมีความเป็นไปได้ ก็จะเสนอตัวเข้าไปลงทุนในเวียดนามแน่นอน"


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 04 สิงหาคม 2011, 16:00:13
การซื้อหุ้นคืนของบริษัท
     สืบเนื่องจากหัวข้อการเพิ่มทุนที่บอกว่า  ถ้าบริษัทไหนทำการเพิ่มทุนแล้ว  หุ้นในบริษัทนั้นจะมีมากขึ้น  หากบริษัทยังทำกำไรได้เท่าเดิมอยู่  มันก็จะทำให้ผลตอบแทนต่อหุ้นมันลดลง  เนื่องจากว่า  มีคนมาแบ่งผลกำไรมากขึ้น  เมื่อได้ผลตอบแทนลดลง  ราคาหุ้นก็มักจะลดลงตามไปด้วย

     แต่ถ้าบริษัทไหนมีนโยบายซื้อหุ้นคืน  นั่นเป็นเรื่องที่ดี  เพราะหากบริษัททำกำไรได้เท่าเดิม  แต่ตัวหารจะลดลง  ฉะนั้น  ผลตอบแทนต่อหุ้นจะสูงขึ้น  และราคาหุ้นก็มักจะสูงขึ้นด้วย  ดังนั้น  มันก็เลยเป็นที่มาว่า  ผมเห็นข่าวของหุ้นตัวหนึ่ง  กำลังมีนโยบายจะซื้อหุ้นคืน  หุ้นตัวนั้นคือ  DTAC

     จากการดูลักษณะธุรกิจ  เขาเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ  ซึ่งในประเทศไทย  มีกันอยู่แค่  3  เจ้าเท่านั้น  สำหรับ  DTAC  มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 2   ก็ไม่ถือว่าเลวร้ายนัก  แต่ที่น่าสนใจก็คือ  ธุรกิจนี้ได้ทำมานานแล้ว  เสาสัญญาณก็ตั้งครอบคลุมหมดแล้ว  เพราะฉะนั้น  เรื่องการลงทุนหนักๆให้กินทุนคงไม่มีอีก  จะมีก็แค่ปรับปรุงคลื่นให้เป็น 3 G เท่านั้น  ซึ่งก็ไม่หนักหนาอะไร  ซ้ำเขาประกาศว่า  กำลังจะเพิ่มเงินปันผลเป็น 100 %  พูดง่ายๆว่า  หาเงินมาได้เท่าไหร่  จ่ายปันผลหมดเลย  ซ้ำยังไม่พอ  ถ้าเขาปันผล  100 %  และยังลดจำนวนหุ้นลงโดยการซื้อคืน  นั่นเท่ากับว่า  ผลตอบแทนจะวิ่งช่วยกัน 2 แรง   น่าสนใจลงทุนเป็นอย่างยิ่ง  แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น  คงต้องรอให้พ้นวิบากกรรมเสียก่อน  เนื่องจากว่า  ตอนนี้มีคดีอยู่  และตีความกันออกมาแล้วว่าเป็นของต่างชาติ  ตอนนี้ก็ยังไม่รู้จะเอาอย่างไรต่อไป  ถ้าจะลงทุน  ก็ขอให้จบคดีก่อนแล้วกันนะครับ

     และตามที่สัญญากันไว้ว่าจะเอาหุ้นมาแนะนำ  ตัวต่อไปที่ดีในสายตาผมก็คือ  DCC  หรือไดนาสตี้เซรามิก  หลายคนอาจจะคุ้นๆแต่นึกไม่ออก  ผมบอกให้ก็ได้  เขาขายกระเบื้องปูพื้นและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องครับ  สาเหตุที่หุ้นตัวนี้เข้าตาก็คือ  บริษัทนี้ไม่มีหนี้สิน  มีการเติบโตพอสมควร  เนื่องจากว่า  ประเทศเพื่อนบ้านเขากำลังสร้างบ้านพักอาศัยกันอยู่เป็นจำนวนมาก  กำลังซื้อกระเบื้องปูพื้นยังมีอีกเยอะครับ  โดยเฉพาะพม่า  กัมพูชา  ลาว  บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผล  100 %   มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่ง  และที่ไม่เหมือนใครก็คือ  บริษัทนี้ปันผลปีละ 4  ครั้ง  พูดง่ายๆว่า  ใครชอบกระแสเงินสดดีๆก็ต้องตัวนี้เลย  แต่ถ้าอยากซื้อก็รอจังหวะเวลาหุ้นตกก็แล้วกันครับ  ตอนนี้หุ้นแพงแล้ว  ผมเคยซื้ออยู่ช่วงหนึ่งตอนราคา  10  บาท  พอขึ้นเป็น  14  บาทก็ขาย  แต่มันก็วิ่งหน้าตั้งไม่ยอมเหลียวหลังมาจนถึงห้าสิบกว่าบาทเลย...เสียดายจัง

     ตัวต่อไปก็คือ  LOXLEY   รู้สึกว่าจะมาแนะนำช้าไปหน่อย  เพราะช่วงนี้ราคาถีบตัวขึ้นสูงมาก  สาเหตุก็เพราะ  เป็นเจ้าเดียวในประเทศไทยที่กำลังจะได้ทำหวยออนไลน์  เราต่างก็รู้ว่าคนไทยบ้าหวยขนาดไหน  และการเล่นหวยใต้ดินก็ยังเสี่ยงกับการที่เจ้ามือจะชักดาบหากถูกกันเยอะๆ  แต่หวยใต้ดินมันก็ดีตรงที่แปะได้  ถ้ายังไม่มีเงินแต่อยากซื้อหวย  เจ้ามือก็จัดให้  แต่ถ้าเล่นหวยออนไลน์มันก็มีแจ๊กพอตมาล่อ  เชื่อว่าเรตติ้งอาจกระฉูด  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  ล็อกซเล่ย์ไม่ได้ทำหวยอย่างเดียว  เพราะฉะนั้น  เวลาจะซื้อหุ้นเขาก็ต้องประเมินธุรกิจอื่นด้วยว่าทำอะไรบ้าง  และธุรกิจอื่นกำไรเป็นอย่างไร  และถ้าได้ทำหวยแล้ว  มันจะช่วยให้รายได้โตขึ้นได้มากไหม  เพราะรายได้จากการทำหวยจะต้องไปถัวกับรายได้จากทางอื่นด้วย  ต่อจากนี้ก็ไปสืบเอาเองแล้วกันเด้อ

     วันนี้คงจะพอเท่านี้ก่อน  เพราะยังไม่เห็นตัวอื่นน่าสนใจเท่าใดนัก  อ้อ...ลืมอีกตัวหนึ่ง  ตัวนี้ดีมากๆเลย  นั่นก็คือ  CPALL  นั่นเอง  แหะ  แหะ  ตอนนี้กระผมก็ว่าราคามันแพงแล้วนะ  ถ้าอยากซื้อก็รอหน่อยแล้วกัน  ช่วงนี้ดูท่าทางเหมือนจะตกแรงพิกล


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 07 สิงหาคม 2011, 23:19:24

     และตามที่สัญญากันไว้ว่าจะเอาหุ้นมาแนะนำ  ตัวต่อไปที่ดีในสายตาผมก็คือ  DCC  หรือไดนาสตี้เซรามิก  หลายคนอาจจะคุ้นๆแต่นึกไม่ออก  ผมบอกให้ก็ได้  เขาขายกระเบื้องปูพื้นและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องครับ  สาเหตุที่หุ้นตัวนี้เข้าตาก็คือ  บริษัทนี้ไม่มีหนี้สิน  มีการเติบโตพอสมควร  เนื่องจากว่า  ประเทศเพื่อนบ้านเขากำลังสร้างบ้านพักอาศัยกันอยู่เป็นจำนวนมาก  กำลังซื้อกระเบื้องปูพื้นยังมีอีกเยอะครับ  โดยเฉพาะพม่า  กัมพูชา  ลาว  บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผล  100 %   มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่ง  และที่ไม่เหมือนใครก็คือ  บริษัทนี้ปันผลปีละ 4  ครั้ง  พูดง่ายๆว่า  ใครชอบกระแสเงินสดดีๆก็ต้องตัวนี้เลย  แต่ถ้าอยากซื้อก็รอจังหวะเวลาหุ้นตกก็แล้วกันครับ  ตอนนี้หุ้นแพงแล้ว  ผมเคยซื้ออยู่ช่วงหนึ่งตอนราคา  10  บาท  พอขึ้นเป็น  14  บาทก็ขาย  แต่มันก็วิ่งหน้าตั้งไม่ยอมเหลียวหลังมาจนถึงห้าสิบกว่าบาทเลย...เสียดายจัง

    

เอามาฝากท่านวายุครับ

http://www.dcs-digital.com/moneychannel/program.php?listid=11

ให้ดูย้อนหลังวันที่ 10 ก.ค. 54 (เปลี่ยนวันที่ มุมบนขวา)

DCC หรือ ไดนาสตี้เซรามิก


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 08 สิงหาคม 2011, 09:59:04

     วันนี้คงจะพอเท่านี้ก่อน  เพราะยังไม่เห็นตัวอื่นน่าสนใจเท่าใดนัก  อ้อ...ลืมอีกตัวหนึ่ง  ตัวนี้ดีมากๆเลย  นั่นก็คือ  CPALL  นั่นเอง  แหะ  แหะ  ตอนนี้กระผมก็ว่าราคามันแพงแล้วนะ  ถ้าอยากซื้อก็รอหน่อยแล้วกัน  ช่วงนี้ดูท่าทางเหมือนจะตกแรงพิกล

เอามากฝากท่านวายุอีกแล้วครับ

http://www.dcs-digital.com/moneychannel/program.php?listid=11

ให้ดูย้อนหลังวันที่ 7 ส.ค. 54 (เปลี่ยนวันที่ มุมบนขวา)

CPALL หรือ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 สิงหาคม 2011, 18:13:18
Run  profit  &  Cut  loss
     สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งหัดเล่นหุ้น  อาจจะยังไม่รู้จักสองคำนี้ดีพอ  หรือยังไม่รู้แม้กระทั่งว่า  มันใช้งานอย่างไร  ถ้าอย่างนั้นเราต้องมาทำความรู้จักและรู้ความหมายของมันเสียก่อน  คำว่า  Run  profit  นั้นมาจาก  การถือหุ้นเพื่อให้เกิดผลกำไรเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาการถือ  ส่วนคำว่า  Cut  loss  นั้นหมายถึง  การจำกัดผลขาดทุนในทันที

     แล้วสองคำนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร?  จริงๆแล้วสองคำนี้ใช้กันในด้านของภาวะตลาดหุ้นและในด้านเทคนิค  ถ้าเป็น  Run  profit  นั้นหมายถึง  เวลาตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น  ถ้าเรามัวแต่ซื้อๆขายๆ  มันจะทำให้กำไรที่เราทำได้  น้อยกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบกับอัตราการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้น  เพราะเวลาที่หุ้นพุ่งขึ้นนั้น  ถ้าเรามัวแต่มาเก็งว่า  เมื่อราคาหุ้นถึงตรงนี้แล้วเราจะขาย  พอมันตกลงมาเราค่อยเข้าไปซื้อ  แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆแล้ว  หลังจากที่เราขายออกไป  หุ้นมันดันพุ่งขึ้นต่อ  ถ้าหากเราเสียดายและคิดว่า  ถ้าเรายังมีหุ้นตัวนั้นอยู่  เราต้องมีกำไรเพิ่มขึ้นแน่ๆ  เมื่อเป็นดังนี้  หลังจากที่ขายออกไปแล้ว  เราก็ไปไล่ซื้อหุ้นนั้นกลับคืนมาในราคาที่มันสูงขึ้น  มันก็เลยทำให้  เราซื้อหุ้นได้จำนวนน้อยลงกว่าเดิม  หรือถ้าเราอยากมีหุ้นจำนวนเท่าเดิม  เราก็ต้องเพิ่มเงินเข้าไป  หนำซ้ำยังไม่พอ  เราจะต้องโดนค่าคอมทุกครั้งที่เราทำธุรกรรม  ยิ่งเราซื้อขายบ่อย  กำไรที่ควรจะเป็นมันก็ยิ่งลดลง  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  ผู้รู้บางท่านก็ได้กำหนดคำนี้ขึ้นมา  เพื่อจะได้เตือนใจว่า  เราจะต้องถือหุ้นนั้นไปเรื่อยๆ  ตราบใดที่ภาวะตลาดหุ้นบูมยังไม่สิ้นสุดลง  เพื่อเป็นการเพิ่มผลกำไรให้สูงขึ้นตามภาวะของตลาดหุ้น  ดังวรรคทองท่อนหนึ่ง  ซึ่งผมได้อ่านเจอมาหลายปีแล้ว  ในเนื้อความท่อนนั้นบอกไว้ว่า  “จงถือหุ้นนั้นไปเรื่อยๆ  ตราบเท่าที่ตลาดจะมอบผลตอบแทนสูงสุดให้แก่เจ้า”

     สำหรับ  Cut  loss  นี้หมายถึง  การกำหนดจุดขายที่เรายอมรับในผลขาดทุนนั้นได้  อาจจะกำหนดเป็นราคาหรือเป็น %  แล้วแต่ผู้เล่น  เช่นเราซื้อหุ้นมาที่ราคาหนึ่ง  และเราก็กำหนดไว้ตั้งแต่แรกเลยว่า  ถ้าหุ้นมันตกลงมา  5  %  เราจะขายทันที  โดยไม่สนใจว่า  หลังจากขายไปแล้วหุ้นมันจะไปทางไหนต่อ  เมื่อเราขายหุ้นทิ้งเสร็จ  เราก็มองหาจังหวะที่จะเข้าซื้อหุ้นในรอบใหม่ต่อไป

     เมื่อผมได้รู้จักกับ Run  profit  ใจผมมันก็คิดมาตลอดว่า  แล้วเรามีวิธีไหนบ้าง  ที่จะทำให้การ  Run  profit  นั้นสมบูรณ์แบบ  แต่ไม่มีวิธีไหนเลยที่จะทำให้วิธีการที่ว่าได้ผลเต็มร้อย  ไม่ว่าจะเป็นการดูฝรั่งซื้อขายหรือดูเทคนิคอย่างที่นักลงทุนทั้งหลายนิยม  เนื่องจากว่า  ภาวะตลาดเอาแน่เอานอนไม่ได้  เพราะมันมีปัจจัยหลายอย่างมากที่จะทำให้แนวโน้มต่างๆบิดเบี้ยวไป  แต่เท่าที่ผมลองใช้ดูและพบว่ามันได้ผลดีกว่าวิธีอื่นนั่นก็คือ  การ  Run  profit  จากผลประกอบการของบริษัท  หรือเรียกง่ายๆว่าดูปัจจัยพื้นฐานนั่นเอง  ผมพบว่าวิธีนี้แตกต่างออกไป  เราไม่ต้องใช้เครื่องมือที่ยุ่งยากและสลับซับซ้อน  เราไม่ต้องคอยดูว่าฝรั่งซื้อหรือขาย  แต่เราสามารถรู้ได้ว่า  ตอนนี้บริษัทมันยังไม่หยุดโต  เพราะฉะนั้น  เราจะต้อง  Run  profit  ต่อไป  ทุกวันนี้  ผมไม่ค่อยสนใจกับภาวะตลาดมากนัก  ซึ่งนั่นก็เป็นผลดีกับผม  เนื่องจากว่า  ทำให้ผมหลับสบายขึ้น  ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าตลาดมันจะเป็นอย่างไรในวันรุ่งขึ้น  ผมสามารถไปไหนต่อไหนได้โดยที่ไม่ต้องมาคอยเฝ้าตลาดหรือมานั่งเฝ้ากราฟหุ้น  ทุกวันนี้ผมแค่ดูว่า  บริษัทที่ผมลงทุนอยู่มันยังโตอีกไหม  ถ้ายังไม่หยุดโต  ผมก็จะ  Run  profit  ไปเรื่อยๆ...เรื่อยๆ...  จนกว่าแนวโน้มผลกำไรของบริษัทมันจะไม่โต  แต่บางคนก็อาจจะสงสัยว่า  ถ้าราคาหุ้นมันตกลงมาแล้วเราจะทำอย่างไร  จะไม่ดูแลก็คงไม่ได้  เพราะเงินทองต้องใส่ใจ  แต่ผมมีวิธีที่ดีกว่านั้นนั่นคือ  ถ้าหุ้นตกลงมาโดยภาวะตลาด  แต่ไม่ได้ตกลงมาจากผลประกอบการของบริษัท  ถ้าเป็นอย่างนี้ต้องเรียกว่า  โอกาสซื้อหุ้นเพิ่มได้มาหาเราอีกครั้งหนึ่งแล้ว  เราอย่ามัวรีรอเลย  ถ้าเรามั่นใจในบริษัทและทำการบ้านมาอย่างหนักแล้ว  เราก็ควรจะรับไมตรีที่ดีของเพื่อนนักลงทุนที่หยิบยื่นให้เราจะดีกว่า  คุณไม่ชอบเหรอ  มีคนเอาของดีมาขายลดราคาให้น่ะ  เพราะในที่สุดแล้ว  ราคาหุ้นก็มักจะไปด้วยกันกับผลกำไรที่บริษัททำได้เสมอ  ถ้าหุ้นตกโดยภาวะตลาด  ในไม่ช้าเมื่อตลาดหายตกใจ  การประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมก็จะกลับมา  ที่คุณต้องทำก็คือ  “อดทน”  เท่านั้นเอง

     สำหรับคำว่า  Cut  loss    หลังๆมานี้ผมไม่เคยใช้  เพราะก่อนที่ผมจะลงทุนในหุ้นตัวไหนก็ช่าง  ผมมักจะดูผลประกอบการและทำความเข้าใจกับวิธีหาเงินของบริษัทก่อนซื้อหุ้นเสมอ  การที่คนส่วนใหญ่  Cut  loss  นั้น  ผมว่า  เขาคงไม่รู้จักหุ้นของบริษัทที่เขาลงทุนดีพอ  เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรก็ช่าง  เขาต้องทิ้งหุ้นก่อนทุกที  เนื่องจากว่า  กลัวขาดทุน  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  ถ้าเราลงทุนโดยไม่ได้ศึกษาก่อน  หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น  เราก็จะเป็นคนแรกที่ต้องโดนค่าคอมเนื่องจากทำธุรกรรมขายหุ้น  เมื่อหายตกใจแล้ว  เราก็ย้อนกลับมาซื้อหุ้น  ทำให้โดนค่าคอมซ้ำอีกโดยใช่เหตุ  ผมสังเกตว่า  นักลงทุนหลายคน  ตัดสินใจซื้อหุ้นโดยใช้เวลาน้อยกว่าการตัดสินใจซื้อมือถือสักเครื่องหนึ่งด้วยซ้ำ  เพราะกว่าที่เราจะซื้อมือถือแต่ละเครื่องได้  เราต้องดูความนิยม  ดูคุณภาพ  ดูความคุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่าย  และเปรียบเทียบกับยี่ห้ออื่นๆ  เมื่อเราได้ศึกษาจนหายสงสัยแล้ว  เราจึงตัดสินใจซื้อมือถือเครื่องนั้น  แล้วทำไมเวลาเราตัดสินใจซื้อหุ้น  เราจึงไม่ทำอย่างตอนซื้อมือถือบ้างล่ะ  หลายคนอาจจะนั่งเฝ้าตลาดมากเกินไป  ทำให้เวลาเห็นหุ้นเหวี่ยงขึ้นลงแล้วอยู่เฉยไม่ได้  เวลาเห็นเขาไล่ซื้อหุ้นกันก็ลืมหมดสิ้นทุกอย่าง  โดดเข้างาบโดยไม่คิดอะไร  กว่าจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป  ก็ตอนที่หุ้นตกติดดอยนั่นแหละ...อาเมน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 12 สิงหาคม 2011, 19:30:00
ซากปรักหักพังของประชานิยม
     ในสมัยก่อนผมจำได้ว่า  มักมีคนพูดถึงประเทศสหรัฐและประเทศทางทวีปยุโรปว่า  เขาดูแลประชาชนดีมาก  มีสวัสดิการต่างๆสำหรับคนของเขามากมาย  ผิดกับประเทศไทย  ที่ต้องดูแลตัวเอง  โดยเฉพาะเรื่องเงิน  แต่เมื่อกาลเวลาผ่านมาจนถึงวันนี้  เราทุกคนต่างก็ได้รับรู้ถึงวิกฤตหนี้ของประเทศเหล่านั้น  จนแทบทำให้ประเทศเหล่านั้นล่มสลาย  สิ่งต่างๆที่มันเกิดขึ้นนี้  มันก็มาจากประชานิยมนั่นเอง

     สิทธิประโยชน์หรือสวัสดิการต่างๆที่รัฐมอบให้กับประชาชนนั้น  มันก็มีพื้นฐานมาจากประชานิยมนั่นเอง  กล่าวคือ  ประชาชนชอบอะไร  อยากได้อะไร  เขาก็พยายามหาเสียงโดยใช้ความต้องการของประชาชนมาล่อโดยไม่สนใจเลยว่า  เมื่อทำโครงการต่างๆพวกนั้นไปแล้ว  เขาจะแก้ปัญหาระยะยาวกับมันอย่างไร  คงจะคิดแค่เพียงว่า  ขอให้ได้รับเลือกตั้งเป็นพอ  เสียหายอย่างไรก็ค่อยไปแก้กันรัฐบาลหน้า(ถ้าได้เป็น)  เผื่อสมัยหน้าไม่ได้เป็นก็โยนเผือกร้อนให้คนอื่นรับไป  และมันก็ทำอย่างนี้ต่อกันมาเรื่อยๆโดยไม่มีใครคิดที่จะแก้ไขมันอย่างจริงจัง  เพราะถ้าลองแตะสวัสดิการพวกนั้นดูสิ  อย่าหวังว่าสมัยหน้าจะได้เป็นอีก  เพราะฉะนั้น  บรรดาคนใหญ่คนโตทั้งหลายก็ห่วงเก้าอี้เหมือนกัน  มันเลยทำให้ปัญหาพวกนั้นสะสมเรื่อยมา  และพอมันระเบิด  ปัญหามันก็เลยใหญ่มากจนเกินควบคุม

     จะขอกล่าวถึงสวัสดิการต่างๆสักเล็กน้อยเช่น  เงินช่วยเหลือสำหรับผู้ที่ไม่มีงานทำ  ตัวอย่างนี้ทำไม่ถูก  เนื่องจากว่าหากประชาชนคนไหนทำงานมีรายได้  คนๆนั้นต้องเสียภาษีรายได้เป็นเงินค่อนข้างมาก  แต่สำหรับคนที่ไม่มีงานทำ  กลับได้รับความช่วยเหลือจากรัฐโดยรัฐเอาเงินมาให้ใช้ฟรีๆ  นั่นเท่ากับว่า  ส่งเสริมคนขี้เกียจและลงโทษคนทำงาน  เมื่อเหตุการณ์ออกมาในลักษณะนี้  มันจึงทำให้มีคนที่ไม่อยากทำงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  และการที่รัฐบาลให้เงินช่วยเหลือแบบนี้ก็เท่ากับว่า  เป็นการส่งเสริมให้คนเป็นนักบริโภค  มีเงินเท่าไหร่ก็ใช้ให้หมด  เพราะเวลาไม่มีเงิน  รัฐบาลก็จะเอาเงินมาให้ใช้อีก  ซึ่งนั่นเป็นปลูกฝังนิสัยไม่ดีให้กับประชาชนของเขา  ทำให้ประชาชนไม่ออมเงิน  ถ้ารัฐบาลไม่มีเงินมาแจก  ขั้นต่อไปที่ต้องทำก็คือการกู้ยืมเงินเพื่อมาแจก  และจะเห็นได้ว่า  ปัญหามันสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ  เนื่องจากว่ารัฐมีรายจ่ายมากกว่ารายรับ  มันก็เลยติดลบ  จนต้องกู้เพื่อมาใช้จ่ายมากขึ้น  และเหตุผลที่บ้าบอที่สุดของรัฐบาลสหรัฐในสมัยหนึ่งก็คือ  การที่มีบุคคลระดับสูงในรัฐบาลออกมาบอกว่า  อย่ากลัวว่าเราจะไม่มีเงินจ่ายหนี้  เพราะปัญหาทั้งหมดสามารถแก้ไขได้ด้วยการเดินแท่นพิมพ์(เงิน)  เมื่อรัฐบาลสหรัฐแก้ไขปัญหาด้วยวิธีนั้น  เราก็สังเกตได้ว่า  เงินมันจึงเฟ้อขึ้นเรื่อยๆ  ของแพงขึ้นตลอดเวลา  และการที่เราออมเงินไว้โดยหวังว่าจะเอาไว้ใช้จ่ายในยามชรา  ผมกำลังสงสัยว่า  เมื่อถึงเวลานั้น  เงินที่เรามีมันจะอยู่ได้จนตายหรือไม่  หรือเงินจะหมดก่อนตาย  ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง  มันคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก  และเมื่อไม่นานมานี้  สหรัฐได้เกิดปัญหาทางการเงินขึ้น  สิ่งที่เขาทำเพื่อแก้ปัญหาก็คือ  พิมพ์เงินเพิ่มแล้วอัดเข้าไปในระบบ  เขาคงคิดว่าเงินสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้  แต่สิ่งที่เขาทำนั่นกลับทำให้ปัญหามันใหญ่โตขึ้นไปอีก  ไม่ว่าจะเป็นราคาอาหาร  ทอง  น้ำมัน  ต่างก็มีราคาเพิ่มสูงขึ้นในระยะเวลาอันสั้น  ส่วนคนที่มีเงินออมอยู่  เงินที่มีมันก็ด้อยค่าลงตามเงินที่รัฐบาลพิมพ์ออกมา  นั่นก็เป็นเหตุมาจากการแก้ปัญหาของสหรัฐนั่นเอง

     สำหรับการรักษาพยาบาลของสหรัฐก็เหมือนกัน  เขาให้คนของเขามารักษาฟรี  แล้วเงินที่เอามารักษานั่นล่ะ  เอามาจากไหน

     และเรื่องเงินบำนาญอีก  ถ้าเป็นสมัยก่อนจะเห็นได้ว่า  ในหน่วยงานต่างๆทั้งของรัฐและเอกชน  ต่างก็มีเงินบำนาญให้คนของเขาเกือบทุกบริษัท  แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป  คนที่เกษียณแล้ว  และไม่ได้มีความหมายกับบริษัทอีก  แต่กลับมีรายได้เหมือนคนที่ทำงานได้ทุกอย่าง  เรื่องนี้จึงเป็นภาระกับรัฐบาลและบริษัทมาก  ถ้าคนที่เกษียณแล้วดันตายยาก  ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งเปลืองงบ  ดังนั้นกฎของเงินช่วยเหลือหลังเกษียณจึงเปลี่ยนไปกลายเป็นเงินสมทบแทน  กล่าวคือ  ลูกจ้างต้องดูแลตัวเองโดยการใส่เงินเข้าไปในกองทุนทุกเดือนซึ่งหักจากเงินเดือน  และก็มีนายจ้างใส่เงินสมทบเพิ่มเข้าไปให้กับลูกจ้าง  และลูกจ้างก็นำเงินส่วนนี้ไปลงทุนในตลาดหุ้นโดยผ่านกองทุนรวม  เงินส่วนนี้จะไม่สามารถถอนได้จนกว่าจะเกษียณ  ถ้าใครก็ตามนำเงินออกมาก่อน  คนนั้นก็จะถูกลงโทษโดยการคิดภาษีมากๆ  นั่นมันจึงเป็นเหตุที่ว่า  ตลาดหุ้นมันจึงโตขึ้นมาเรื่อยๆทั้งโลก  แต่ปัญหาตอนนี้มันอยู่ที่ว่า  คนที่เข้าโครงการนี้คือกลุ่มเบบี้บูม (เบบี้บูมคือคนที่เกิดช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง  ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดของโลกในขณะนี้  ดังนั้นสิ่งที่เบบี้บูมต้องการก็มักจะไปในทางเดียวกันเนื่องจากว่า  อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน  เช่นถ้าเบบี้บูมต้องการบ้าน  บ้านก็จะขายดี  ทำให้ราคาบ้านถีบตัวสูงขึ้นเพราะแย่งกันซื้อ)  เบบี้บูมคนแรกที่จะครบกำหนดเกษียณอายุอยู่ในปี ค.ศ.2012  ซึ่งเมื่อครบอายุเกษียณแล้ว  เบบี้บูมมีสิทธิ์ที่จะนำเงินออกมาจากตลาดหุ้นได้โดยการถอนเงินออกจากกองทุนรวม  มีผู้วิเคราะห์ไว้ว่า  ถ้าเบบี้บูมเกษียณตามกันมาเรื่อยๆ  การถอนเงินออกจากตลาดหุ้นก็ต้องมีมาเรื่อยๆ  เมื่อถึงตอนนั้น  ตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร?  บางคนก็บอกว่า  หุ้นจะตกยาวเป็นแนวโน้มขาลงหลายปีตามการถอนเงินออกจากตลาดของพวกเบบี้บูมที่เกษียณ  เพราะถ้ามีคนขายมาก  แต่คนที่เข้ามารับซื้อมีจำนวนน้อยกว่า  ราคามันก็ตก  แต่ถ้าเป็นผม  ผมว่าอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น  เพราะทุกวันนี้  เงินที่มีมากๆในระบบ  ส่วนใหญ่ก็อยู่ในมือของพวกคนรวย  และคนรวยพวกนั้นก็นำเงินมาลงทุนในหุ้นแทนพวกเบบี้บูม  ยังไงก็แล้วแต่  เลือกฟังหูไว้หูก็แล้วกันนะครับ

     และเมื่อย้อนมาที่ประเทศไทย  ตั้งแต่อดีตมา  เราก็เห็นชาวบ้านบ่นถึงเรื่องสวัสดิการรัฐมาโดยตลอด  อยากให้รัฐทำนั่นทำนี่ฟรีให้  ผมก็เลยอยากรู้ว่า  ถ้าทำแล้วมีสภาพเหมือนสหรัฐและยุโรปตอนนี้จะเอาไหม  ดูคนที่เคยสบายแล้วมาลำบากมีสภาพอย่างไร  คนพวกนั้นเคยตัวจากการช่วยเหลือของรัฐ  เมื่อไม่ได้อย่างที่เคยได้ก็ไม่พอใจ  ก่อการจลาจลต่างๆเพื่อตอบโต้มาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล  ผมว่าการที่ประเทศไทยมีสภาพปากกัดตีนถีบอย่างทุกวันนี้ก็ดีไปอีกแบบหนึ่ง  เพราะสังคมที่เราอยู่มันสอนให้ต้องดิ้นรน  สอนให้พึ่งพาตัวเอง  สอนให้ต้องทำงานและอดออม  ลองคิดดูว่าถ้าประเทศไทยให้เงินช่วยเหลือคนที่ไม่ทำงานอย่างต่างประเทศ  ประเทศไทยจะมีสภาพเป็นอย่างไร  วันๆคนคงจะไม่ทำมาหากินอะไร  นั่งๆนอนๆรอเงินช่วยเหลือจากรัฐอย่างเดียวเสียกระมัง  เพราะขนาดทุกวันนี้รัฐไม่ช่วยเหลือ  ก็ยังมีคนประเภทนี้อยู่เป็นจำนวนมาก  แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ  หลังๆมานี้  สส.ในบ้านเราเริ่มจะประชานิยมมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นรักษาฟรี  รถเมล์ฟรี  ไฟฟ้าฟรี  รถไฟฟรี  แจกนั่นแจกนี่กันเข้าไป  ผมก็ยังหวั่นใจว่า  ถ้าทำมากๆเข้า  ประเทศจะติดลบไปเหมือนกับต่างประเทศที่เป็นกันอยู่  ถ้าเป็นแบบนั้นจริง  ประเทศเราจะมีสภาพเป็นอย่างไรบ้างนะ  นึกสภาพไม่ออกจริงๆ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: marcus147 ที่ วันที่ 13 สิงหาคม 2011, 09:06:19
การแจกเงินคนว่างงานนี่ อเมริกาเลยครับ ให้เยอะมาก คนเลยหางานกัน
ส่วนกู้เงินมาแจกนี่บ้านเราเอง
แย่ทั้งคู่


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 15 สิงหาคม 2011, 16:24:31
ราคา
     นักลงทุนในหุ้นส่วนมากชอบมองที่ราคาก่อนเป็นอันดับแรก  เขาให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากกว่าสิ่งอื่นใด  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?  จริงๆแล้วคนที่มองราคาก่อนผมว่าเขาเป็นนักพนันมากกว่านักลงทุน  เนื่องจากว่ามันเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้เขาได้หรือเสีย  แล้วถ้าถามต่อว่า  แล้วนักลงทุนทุกคนไม่มองที่ราคาหรอกหรือ  คำตอบคือ  “มอง”  นักลงทุนที่ฉลาดจะมองมันเป็นตัวสุดท้ายมากกว่าที่จะมองมันเป็นอันดับแรก  ก่อนที่เขาจะตัดสินใจลงทุนในอะไรก็ตาม  ขั้นตอนแรกที่ต้องรู้ก็คือ

-บริษัททำอะไร
-แนวโน้มธุรกิจเป็นอย่างไร
-มีกำไรมากไหม
-เขาจะสามารถหากำไรเพิ่มได้จากไหนอีก
-คู่แข่งในธุรกิจมีมากไหม
-มีอันดับในธุรกิจเป็นที่เท่าไหร่
-ความเสี่ยงของบริษัทคืออะไร   ฯลฯ

     เมื่อมองทุกขั้นตอนตามนี้แล้วเห็นว่าน่าลงทุน  ก็ค่อยไปมองที่ราคาซื้อขายในตลาดดูว่า  ขณะนี้ราคาหุ้นเป็นอย่างไร  ถ้ามันแพงเขาก็ยังไม่ซื้อ  ถ้าหุ้นมันตกเขาก็ค่อยประเมินว่า  ราคานี้เมื่อเทียบกับพื้นฐานทางธุรกิจแล้วเป็นอย่างไรบ้าง  ถ้าราคาสมเหตุสมผลแล้วเขาก็จะลงทุน  โดยที่สายตาของเขาก็จะจับจ้องไปที่การเติบโตระยะยาวและความได้เปรียบในเชิงแข่งขันด้านธุรกิจของบริษัท  ถ้าราคาหุ้นตกลงไปจากราคาที่เขาเข้าซื้อ  เขาก็ไม่ต้องร้อนใจ  เนื่องจากว่าได้ทำการบ้านมาอย่างเพียงพอแล้ว  ตลาดหุ้นมันมักผันผวนแบบนี้แหละ  ถ้าหากทนเห็นราคาหุ้นตกลงไปจากราคาที่ซื้อไม่ได้  เขาก็ไม่ควรมาอยู่ในตลาดตั้งแต่แรกแล้ว  บางทีหากตกลงไปอีก  เขาอาจซื้อเพิ่มได้ถ้าเงินเหลือ  ผิดกับคนที่ลงทุนโดยดูราคาก่อน  ถ้าหุ้นตกแรง  เขาก็ต้องรีบขายออกมาก่อน  เนื่องจากกลัวว่าจะขาดทุนจากราคาหุ้น  ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากว่า  ก่อนที่เขาจะลงทุน  เขายังไม่ได้ศึกษาที่ตัวบริษัทเลย  หรืออาจจะมองบ้าง  แต่มองน้อยมากจนแทบไม่รู้อะไรเลย  บางทีรู้แค่ว่าบริษัททำอะไร  แต่ก็ไม่ลึกกว่านั้นแล้ว  สำหรับการประเมินราคาหุ้นนั้น  คงจะมีแต่เราที่รู้ว่าจุดพอใจอยู่ตรงไหน  เพราะจุดพอใจตรงนี้มีไม่เท่ากัน  การประเมินราคาหลายอย่างมันก็อยู่ที่ความพอใจ  ตัวอย่างเช่นภาพเขียน  คนที่ชอบศิลปะอาจให้ราคาสูงลิ่ว  แต่คนที่ไม่มีอารมณ์ศิลปินอาจจะมองว่ามันไม่มีค่าเลยก็เป็นได้  บางทีให้ฟรียังไม่เอาเลย  เพราะเอาไปแขวนให้รกฝาบ้านเปล่าๆ  หรือการไปหาซื้อเสื้อสักตัวหนึ่ง  เราคงจะต้องประเมินเอาเองว่า  เสื้อตัวนี้ควรซื้อในราคาเท่าไหร่จึงจะพอใจทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ  เพราะราคาหุ้น  ณ  ขณะที่ซื้อนั้นยุติธรรมแล้ว  เพราะถ้าไม่ยุติธรรม  การซื้อขายก็จะไม่เกิดขึ้น  และการที่ชิงขายออกมาเพื่อไม่ต้องการขาดทุนนั้น  เขาเรียกการกระทำแบบนี้ว่าการ  Cut  loss   คำนี้ผมเคยลงให้อ่านแล้ว  และคำนี้มันก็มาจากนักเทคนิคที่ต้องการทำเพราะกลัวขาดทุน  แต่สำหรับคนที่มองพื้นฐานธุรกิจมาแล้ว  การที่เขาจะขายหุ้นออกมาได้  มันไม่ใช่ว่าต้อง  Cut  loss  แต่เหตุผลที่เขาจะขายออกมาได้แก่  หุ้นนั้นไม่โตแล้ว  กำไรน้อยลงหรือขาดทุน  คู่แข่งเยอะขึ้น  มีตัวที่น่าสนใจกว่า  ราคามันแพงเกินพื้นฐาน  ฯลฯ  เพราะฉะนั้นแล้ว  คนที่มองได้ลึกกว่าจะเป็นผู้ชนะ

     มีนักวิชาการหลายคนบอกว่า  “ราคา”  เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของหุ้นแล้ว  กล่าวคือ  เขาบอกว่าที่ราคาหุ้นมันเป็นอย่างนั้นก็เนื่องจากว่า  มันเป็นประสิทธิภาพของตลาดที่จะกำหนดราคาให้ออกมาตามพื้นฐานของธุรกิจ  แต่เท่าที่ผมอยู่ในตลาดมาพอสมควร  ผมไม่เห็นว่ามันจะจริง  ผมว่าตลาดไม่ค่อยมีเหตุผลอย่างที่เขากล่าวอ้าง  ถ้ามันมีประสิทธิภาพจริง  ทำไมหุ้นมันจึงขึ้นลงหวือหวา  ทั้งๆที่พื้นฐานของบริษัทยังไม่ได้เปลี่ยนไปถึงขนาดนั้น  บางทีเวลาขึ้นก็ขึ้นเกินเหตุ  เวลาลงก็ลงใจเสีย  ทำอย่างกับว่าบริษัทจะเจ๊งในวันนี้พรุ่งนี้  และถ้ามันมีประสิทธิภาพจริง  ทำไมหุ้นมันถึงได้ถูกปั่นราคาได้  ถ้าในเมื่อหุ้นนั้นเป็นหุ้นเน่าที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีเลย  เพราะถ้าเป็นหุ้นเน่าๆจริง  มันก็ต้องไม่สามารถพุ่งขึ้นไปได้  เพราะคนที่รู้จักบริษัทดีจะขายออกมาจนมันไม่สามารถพุ่งขึ้นได้  แต่ส่วนมากที่มันพุ่งขึ้นได้  ก็มีสาเหตุมาจากจากคนที่ไม่รู้อะไรเลยเข้ามาร่วมวงจนโกลาหล  เพราะฉะนั้น  สิ่งสำคัญในการลงทุนก็คือการศึกษาก่อนทำการลงทุนทุกครั้ง  การขึ้นลงของตลาดมันเป็นการแกว่งตัวทางอารมณ์ที่น่าทึ่งเท่านั้น  คนที่จะได้ประโยชน์จากตลาดมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้ดีมีเหตุผลและทำการบ้านมาอย่างหนักแล้ว  อยากรู้จังว่าคุณที่เข้ามาอ่านเป็นนักลงทุนประเภทไหน?


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 16 สิงหาคม 2011, 16:19:19
แปลกใจ
     หลายครั้งที่ผมได้พูดคุยกับนักลงทุนท่านอื่นๆว่าลงทุนหุ้นตัวไหนอยู่  พอผมตอบว่าลงทุนในหุ้น 7-11   ท่านต่างๆเหล่านั้นก็มักจะพูดคล้ายๆกันว่า  หุ้นตัวนี้ดี  ตัวนี้ชัวร์อยู่แล้ว  ฯลฯ  และเมื่อผมถามกลับไปว่า  เขาลงทุนตัวไหนอยู่  คำตอบที่ได้รับทำให้ผมแปลกใจมาก  เพราะเขาลงทุนในหุ้นที่เขายังไม่ค่อยรู้จักมันดีเลย  หลายๆคนยังไม่รู้จักบริษัทด้วยซ้ำ  อาจจะมีกฎที่ไม่ได้เขียนเกี่ยวกับการลงทุนไว้ว่า  อย่าลงทุนในบริษัทที่คุณรู้จักดีหรืออยู่ใกล้บ้าน  แต่จงทุ่มเงินทั้งหมดที่มีลงไปในบริษัทที่คุณไม่รู้อะไรเลย  หรือว่าหลายคนชอบความตื่นเต้นท้าทาย  ผมก็สุดจะเดา

     จริงๆแล้วการที่เราจะประสบความสำเร็จในการลงทุนนั้น  มันมีปัจจัยหลายอย่าง  แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญที่สุดก็คือ  เราต้องเข้าใจวิธีหาเงินของเขาให้ดี  ถ้าเรารู้ว่าเขาหากินยังไง  มันก็มีจุดอ้างอิงให้ดูได้เช่น  บริษัทขายน้ำมัน  มันก็ดูที่แหล่งน้ำมันที่เขามีว่ามีเยอะไหมและราคาน้ำมันตลาดโลกเป็นอย่างไร  หรือบริษัทเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายมือถือ  เราก็ดูที่ในประเทศว่ามีคนใช้มือถือกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว  มีคนที่ยังไม่มีมือถืออีกกี่คน  บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นเท่าไหร่  ค่าบริการโทรศัพท์มีกำไรขนาดไหน  ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจกับวิธีการหารายได้ของบริษัทที่เราลงทุนได้ดี  ก็ถือได้ว่าการลงทุนของเรามีคุณภาพพอสมควร  เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น  เราก็สามารถนำมาวิเคราะห์หาผลกระทบกับบริษัทได้  จริงๆแล้วการที่คนสองคนจะลงทุนในบริษัทเดียวกัน  ผมว่ามันอาจจะไม่ประสบความสำเร็จเหมือนกันก็ได้  เพราะคนนึงซื้อขายหุ้นตลอดเวลา  ส่วนอีกคนถือยาวรอบริษัททำกำไรเพิ่มไปเรื่อยๆ  ถ้าแนวโน้มกำไรที่บริษัททำได้เพิ่มขึ้นตลอดเวลาเนื่องจากว่าธุรกิจยังไม่อิ่มตัว  คนที่ถือยาวก็จะชนะในที่สุด  แต่ถ้าสองคนนี้ลงทุนในบริษัทน้ำมันที่มีความผันผวนตลอดเวลา  คนที่ถือยาวสุดท้ายอาจไม่ได้อะไรเลย  เพราะหุ้นมันขึ้นแล้วก็ลงมาที่เดิม  ลงแล้วมันก็กลับมาที่เก่า  ส่วนคนที่ซื้อขายตามการขึ้นลงของราคาน้ำมันก็จะมีกำไรสะสมมากกว่า  แต่ถ้าทั้งสองคนนี้ลงทุนในบริษัทที่ใกล้เจ๊ง  ไม่ว่าจะใช้กลยุทธ์ไหน  อย่างนี้ก็คงเจ๊งทั้งคู่    เพราะฉะนั้น  สำคัญที่สุดตรงที่เราต้องเข้าใจบริษัทก่อนเป็นอันดับแรก

     เคยมีผู้นำจีนคนดังกล่าวไว้ว่า  “แมวจะสีอะไรก็ได้  แค่จับหนูได้ก็พอ”  นับว่าเป็นคำกล่าวที่คมมาก  เมื่อมาดูที่หุ้น  ผมก็ให้คำจำกัดความว่า  “หุ้นบริษัทอะไรก็ได้  ขอให้เราเข้าใจก็พอ”  ถ้าเราเข้าใจบริษัท  เราก็สามารถกำหนดกลยุทธ์ในการลงทุนได้  ดังเช่นนักลงทุนหลายๆท่านที่ผมได้พูดคุยด้วย  เขารู้จัก 7-11 ดี  แต่เขากลับไปลงทุนกับบริษัทที่เขาไม่รู้จักมันลึกซึ้ง...แปลกใจ

วันนี้เอาผลประกอบการที่เพิ่งออกมาให้อ่านครับ

http://www.set.or.th/dat/news/201108/11031357.pdf


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 18 สิงหาคม 2011, 16:12:25
ตอบคุณ  marcus147
     ราคาเหมาะสมที่ว่าคือเท่าไหร่ครับ  เท่าที่ผมดู  ตอนนี้ผลประกอบการใหม่ออกมาแล้ว  มีกำไรเพิ่มขึ้น 20 %  ฉะนั้น  ราคาหุ้นมันก็เลยเพิ่มขึ้นตามผลกำไรเพื่อให้เหมาะสมกับตัวมันเอง  ผมว่าตอนนี้ราคามันก็เหมาะสมนะ  แต่ถ้าคุณจะซื้อก็ต้องรอของถูกเท่านั้น  คุณชอบแบบไหนล่ะระหว่างของราคาถูกกับราคาที่เหมาะสม  เอาใจช่วยให้หุ้นตกมาให้ซื้อนะครับ  เพราะจากมุมมองของผม  อีกสัก 2  ปีคุณจะไม่เห็นราคาหุ้นที่  50  บาทแล้วล่ะ  เพราะราคาหุ้นมันมักจะไปตามผลกำไรเสมอ  ถ้า  7-11  ยังทำได้ดีแบบนี้อยู่  ราคาหุ้นมันก็จะเพิ่มไปเรื่อยๆตามสาขาและผลกำไรที่เพิ่มขึ้น


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 19 สิงหาคม 2011, 02:12:27
ฝรั่งมาไทย มึนหรือไง อย่างไรนี่

บางทีซื้อ เดี๋ยวมีขาย ให้สับสน

เจอรายย่อย สอนมวย จนเวียนวน

ระวังโดน พี่ไทย ไสติดดอย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 19 สิงหาคม 2011, 15:49:13
แนวโน้ม
     วันนี้ผมมีเรื่องของนายทหารหนุ่มแห่งประเทศสหรัฐตอนไปรบสงครามเวียดนามมาเล่าให้ทุกท่านอ่านกัน  หวังว่าพออ่านจบ  หลายท่านคงได้ข้อคิดดีๆบ้างนะครับ

     ตอนที่นายทหารหนุ่มคนนี้ถูกส่งไปเวียดนามใต้เพื่อช่วยรบในศึกสงครามระหว่างเวียดนามเหนือและใต้นั้น  ในช่วงที่กองทัพเวียดนามเหนือรุกเข้ามาในเขตเวียดนามใต้  หลังจากที่ฝ่ายสหรัฐเพลี่ยงพล้ำ  เขาสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นทีละน้อย  ชาวเวียดนามใต้เริ่มแลกเปลี่ยนเงินตราของพวกเขากับทองคำ  แทนที่จะถือเงินไว้ในช่วงวิกฤต  พวกเขากลับเลือกที่จะสะสมทองคำแทน  ประชาชนชาวเวียดนามใต้กำลังเตรียมความพร้อมสู่การเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น  พวกเขารู้ว่าตัวเองกำลังจะแพ้  และพวกเขาไม่ยอมอยู่เฉยๆเพื่อรอให้วันนั้นมาถึง  ในปี  1971  ทองคำมีราคา  35  เหรียญ  แต่เมื่อเข้าสู่ภาวะสงคราม  ทองคำก็พุ่งขึ้นเป็น  80  เหรียญ  ทันทีที่กองทัพเวียดนามเหนือบุกเวียดนามใต้  กลุ่มคนรวยที่ถือหางสหรัฐรู้แล้วว่าต้องหนี  แต่แทนที่เขาจะถือเงินตรา  พวกเขากลับตุนทองคำให้มากที่สุด  และนายทหารหนุ่มก็ได้รับรู้ว่าผู้คนต้องการทองคำเพื่อใช้เป็นค่าผ่านทางไปยังประเทศอื่นๆที่ปลอดภัยกว่า  เขารู้ว่าสหรัฐกำลังจะแพ้สงคราม  ภาวะทั่วโลกขณะนั้นร้อนระอุ  เงินดอลลาร์มูลค่าตกลงอย่างน่าใจหาย  ในขณะที่ราคาทองพุ่งสูงลิ่วเป็นประวัติการณ์  ชาวเวียดนามใต้กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อครอบครองทองคำ  และนั่นคือจุดเริ่มต้นของโอกาสในการลงทุนของเขา

     หลังจากนั้นไม่กี่วัน  เขาและเพื่อนนักบินก็พากันบินขึ้นไปทางเหนือ  เข้าไปในเขตพื้นที่ศัตรู  เป้าหมายก็คือ  การเป็นเจ้าของทองคำราคาถูก  ในความคิดเห็นของเขา  เจ้าของเหมืองชาวเวียดนามซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเข้าตาจน  จะต้องรีบเสนอขายทองคำเพื่อแลกกับเงินของเขา  ก่อนที่กองทัพเวียดนามเหนือจะบุกพังหมู่บ้านและเหมืองทองของเขาเป็นแน่  และเขายังมีความเชื่อแบบเข้าข้างตัวเองว่า  เขาน่าจะได้ทองคำราคาถูกจำนวนมากติดมือกลับแคมป์ไป  ด้วยพื้นฐานข้อเท็จจริงที่มีอยู่เพียงเล็กน้อย  ทำให้การตัดสินใจของเขาครั้งนี้อยู่บนพื้นฐาน  “ความคิดเห็น”  เสียเป็นส่วนใหญ่  นั่นทำให้เขาละเมิดกฎระเบียบของกองทัพ  และเสี่ยงชีวิตเข้ามาในเขตศัตรู  เพื่อแลกกับส่วนลดในการซื้อทองเพียงไม่กี่เหรียญ  แต่แทนที่จะได้ซื้อทองในราคาส่วนลด  เขากลับได้เรียนรู้ว่า  ราคาทองคำนั้น  แท้จริงแล้วเท่ากันทุกมุมโลก  ไม่ว่าจะซื้อที่สหรัฐหรือในเวียดนาม

     ในเขตพื้นที่ศัตรู  เป้าหมายเพื่อซื้อทองราคาถูก  มันช่างเป็นบทเรียนที่วิเศษอะไรเช่นนี้  การเจรจาต่อรองกับคนขายทองคำในร้านที่ทำด้วยไม้ไผ่วันนั้น  เธออาจดูเหมือนคนที่การศึกษาไม่สูง  แต่งตัวแบบชาวบ้าน  แต่สิ่งที่สำคัญคือ  เธอรู้ดีในสิ่งที่เธอทำ  โดยเฉพาะเรื่องราคาทอง  ตลอดเวลาของการเจรจา  เธอยืนยันจะขายทองให้เขาในราคา  82  เหรียญ  ในขณะที่เขาจะขอซื้อในราคา  77  เหรียญ  แทนที่จะรีบรับเงินด้วยความดีใจเหมือนอย่างที่คิดไว้  สิ่งที่เธอทำกับเขาคือส่ายหน้าและพยายามไม่เสียเวลาด้วย  โดยการหันไปให้ความสนใจกับลูกค้าคนอื่น  ทันใดนั้นเขาก็ฉุกคิดได้ว่า  นี่เขากำลังอยู่ในพื้นที่ของศัตรูเพื่อแลกกับเงินแค่  5  เหรียญอย่างนั้นหรือ  เขาเข้ามาโดยพลการ  ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่นี่  ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา  แทนที่จะได้ตายอย่างสง่างามในสนามรบ  เขากลับต้องตายเพียงเพราะประหยัดเงินแค่ไม่กี่เหรียญ  ถ้าขืนไม่รีบกลับไป  เขาอาจถูกฝังที่นี่ก็เป็นได้

     เขาได้รับบทเรียนสำคัญมา  3  อย่างในวันนั้นคือ

1.พลังของตลาดโลก  ทองคำเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ระดับโลก  ไม่ว่าจะซื้อที่ไหนก็ตาม  ราคาก็เท่ากันหมด

2.พลังของแนวโน้ม  ถ้าวันนั้นเขาเข้าใจความหมายของแนวโน้มและราคาทองคำในตลาดโลก  เขาก็สามารถทำเงินได้มากมายโดยไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปในเขตศัตรูเพื่อแลกกับส่วนลดเพียงเล็กน้อย  เขาสามารถลงทุนโดยซื้อทองจากที่ไหนก็ได้ในโลก  ซึ่งมีราคาเท่ากันหมด  และเก็บรักษามาจนถึงทุกวันนี้  ทองของเขาในวันนี้ก็จะมีค่ามากกว่าพันเหรียญโดยที่ไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปในเขตศัตรู  เพียงแค่เชื่อมั่นในแนวโน้ม  ลงทุนตามแนวโน้ม  แล้วก็อดทนเท่านั้นเอง

3.ความสามารถในการแปลงข้อมูล  สิ่งสำคัญก็คือ  เราสามารถแปลงข้อมูลข่าวสารที่ได้รับมาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้มากน้อยแค่ไหน  คนขายทองในเวียดนามรู้ข้อมูลเหมือนที่นายทหารหนุ่มรู้  ต่างกันตรงที่เธอใช้ประโยชน์จากมันได้มากกว่าเท่านั้นเอง

     และนายทหารที่ผมกล่าวถึงก็คือ  โรเบิร์ต  คิโยซากิ  ผู้เขียนหนังสือชุดพ่อรวยสอนลูกนั่นเอง  เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า  ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม  ความฉลาดมักจะตามหลังความโง่มาเสมอ  เพราะฉะนั้นแล้ว  เราต้องลงมือทำ  แล้วความฉลาดก็จะตามมาเอง  ผมก็เคยโง่  เคยพลาด  คนที่บอกว่าไม่เคยพลาดคือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย

     ทันทีที่เกิดวิกฤตการเงินในรอบนี้  ผู้คนทั่วโลกต่างตื่นตระหนก  ผมได้รับรู้ถึงการแก้ปัญหาของธนาคารกลางสหรัฐ  และก็เหมือนเช่นทุกครั้ง  พวกเขาตัดสินใจพิมพ์เงินเด็กเล่นออกมาสู่ตลาดเพื่อแก้ปัญหา  ทันทีที่ผมได้ยินการตัดสินใจของธนาคารกลางว่าจะอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ  ( QE )   ผมก็วิเคราะห์ได้ว่า  เงินของสหรัฐ  จะต้องมี  “แนวโน้มลดมูลค่าลง”  อีกอย่างแน่นอน  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้  ทองคำนั้นขึ้นมามากแล้ว  มากจนเกินขอบเขตที่ผมคิดว่าเหมาะสม  เพราะถ้าไปดูราคาทองตอนนี้จะเห็นว่า  แซงทองคำขาวไปเรียบร้อยแล้ว  ซึ่งปรากฏการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย  ผมก็เลยเป็นห่วงว่า  มันจะเป็นฟองสบู่หรือยัง  หรือมันเป็นเพียงว่า  ทำให้มูลค่าทองกับมูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมันสมดุลกันเท่านั้น  เพราะถ้าสหรัฐอัดเงินเข้ามาอีก  ทองมันก็ควรจะแพงอย่างที่เป็นอยู่หรือมากกว่า  มีบางท่านในที่นี้บอกว่า  เคยคิดจะลงทุนในทองคำอยู่เหมือนกัน  แต่ติดตรงที่ว่า  ค่าบล็อกมันแพงไป  ถ้าเราอ่านเรื่องของโรเบิร์ต  เราจะเข้าใจได้เองว่า  ถ้าคุณตัดสินใจลงทุนตามแนวโน้มของราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นในวันนั้น  ป่านนี้  คุณคงได้ค่าบล็อกคืนหมดแล้ว  และยังได้กำไรเพิ่มขึ้นอีกมากมาย  แต่สาเหตุที่คุณไม่ทำก็เนื่องจากว่า  เสียดายค่าบล๊อก  เหมือนกับที่โรเบิร์ตอยากได้ทองถูกนั่นแหละ  ถ้าโรเบิร์ตตัดสินใจลงทุนตามแนวโน้มราคาทองคำ  ตอนนี้เขาก็กำไรอื้อแล้ว  เราต้องเข้าใจว่า  ร้านทองก็คือพ่อค้าคนกลาง  เขาก็ต้องขายของเพื่อเอากำไร  เพราะฉะนั้น  ค่าบล็อกพวกนั้นก็คือค่าดำเนินการของเขา  และเขาก็ควรได้  และสำหรับคนที่เล่นหุ้นก็เหมือนกัน  เมื่อตลาดหรือหุ้นตัวใดมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น  เขาก็มักจะต่อราคาโดยตั้งซื้อไว้ด้านซ้ายตลอด  เขาคิดแต่เพียงว่าต้องได้ของถูกเท่านั้น  และในขณะที่เขาตั้งรอซื้ออยู่  ราคาหุ้นก็เพิ่มไปเรื่อยๆโดยไม่กลับมาให้เขาซื้ออีกเลย  เมื่อไม่มีหุ้น  ก็ไม่มีกำไร  ถ้าเพียงแต่เขาตัดใจซื้อหุ้น  โดยมองที่แนวโน้มของมันและเข้าซื้อโดยยอมซื้อแพงไปนิดหน่อย  เขาก็จะได้ค่าซื้อหุ้นแพงที่เสียไปไม่กี่บาทคืนมาหมดแล้ว  แถมด้วยกำไรก้อนโต  แต่สำหรับเรื่องการลงทุนในทองคำนี้  สำหรับผมแล้ว  มันไม่มีจุดให้อ้างอิงได้ว่า  ราคาเหมาะสมควรเป็นเท่าไหร่  เพราะคงต้องไปคำนวณปริมาณเงินดอลลาร์และปริมาณทองคำที่มีอยู่ในโลก  เพื่อหาความสมดุลของมัน  ตอนนี้สิ่งที่ผมลงทุนอยู่  ก็คือแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทที่ผมถือหุ้นอยู่  ถ้าผลประกอบการของบริษัทมันยังมี  “แนวโน้ม”  ขยายตัวอยู่  ผมก็ยังคงถือหุ้นต่อไป  เพราะสิ่งที่ผมกำลังลงทุนอยู่นี้  ผมสามารถแปลงข้อมูลออกมาเป็นการลงทุนได้  เหมือนอย่างกับคนขายทองคำในเวียดนามนั่นล่ะ  ถ้าเรารู้ว่ามูลค่ามันมีขนาดไหน  เราก็สามารถเป็นผู้ชนะในเกมนี้ได้ไม่ว่าจะซื้อหรือขาย  สำหรับในตลาดหุ้น  เต็มไปด้วยคนที่รู้ราคา  แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า  มูลค่าหุ้นที่พวกเขาลงทุนหรือกำลังคิดจะลงทุนนั้นมีมูลค่าเท่าไหร่?


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: marcus147 ที่ วันที่ 20 สิงหาคม 2011, 00:24:55
เรื่อง แนวโน้ม นี่เยี่ยมเลยครับ
ยกตัวอย่างได้ชัดเจน
ได้แนวคิดและความรู้มากมายจริงๆ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 20 สิงหาคม 2011, 11:03:20
ครับเห็นด้วยกันท่านวายุอย่างยิ่ง สำหรับผมผมมองว่าแนวโน้มค่าเงินดอลล่าจะอ่อนค่าลงมาก

เพราะอเมริกาไม่ได้เหนือกว่าชาติใดในโลกนี้แล้ว จีนเข้าไปถือพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐ เกือบจะครึ่งแล้ว

แต่ก่อนผมยอมรับว่า ยุโรป อเมริกาเป็นเจ้าเทคโนโลยีต่างๆ แต่เดียวนี้มันกลับกัน ผมมองที่เอเชียมากกว่า

เพราะทางเรามีปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างเยอะกว่าเค้ามาก ลองวิเคราะห์ลึกๆ ดู ยุโรป อเมริกาตอนนี้เป็นแค่ตลาด..ในสายตาผม


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 21 สิงหาคม 2011, 15:33:56
ถึงท่านวัยทอง
     ที่บอกว่าให้มาเอารายงานประจำปี  2010  ที่ผมนั้น  ไม่ต้องเสียเวลามาก็ได้  โหลดเอาเลยเร็วกว่า
  ไปที่หัวข้อ  Annual Report  2010

http://www.7eleven.co.th/corp/investorzone_companyprofileprospectusannual.php

เมื่อโหลดมาแล้วให้ดูข้อมูลที่สำคัญมากๆก็พอ  อย่างเช่น  กำไร แนวโน้มการทำธุรกิจในอนาคต  เป็นต้น


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 21 สิงหาคม 2011, 20:52:53
ถึงท่านวัยทอง
     ที่บอกว่าให้มาเอารายงานประจำปี  2010  ที่ผมนั้น  ไม่ต้องเสียเวลามาก็ได้  โหลดเอาเลยเร็วกว่า
  ไปที่หัวข้อ  Annual Report  2010

http://www.7eleven.co.th/corp/investorzone_companyprofileprospectusannual.php

เมื่อโหลดมาแล้วให้ดูข้อมูลที่สำคัญมากๆก็พอ  อย่างเช่น  กำไร แนวโน้มการทำธุรกิจในอนาคต  เป็นต้น

ขอบคุณมากครับ ท่านวายุ

ตอนนี้จอคอมบ้านเสีย

เลยต้องพึ่งร้านเน็ตไปก่อน

รอสิ้นเดือนค่อยว่ากันใหม่ 55+


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 22 สิงหาคม 2011, 15:53:47
         แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยื่นขออนุญาตนำหุ้นสโมสรราว 25 เปอร์เซ็นต์ เข้าไปซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์แล้ว คาดเสร็จสิ้นในช่วงปลายปี ก่อนได้เงินก้อนโตมาปลดหนี้ให้ตระกูลเกลเซอร์ต่อไป


        "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก ยื่นขออนุญาตนำหุ้นบางส่วนของสโมสร เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยหวังระดมทุนเพื่อลดหนี้ก้อนใหญ่มูลค่า 515 ล้านปอนด์ (ประมาณ 25,750 ล้านบาท) และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน พ.ย. นี้ ตามรายงานจากสำนักข่าว "บีบีซี" ของอังกฤษ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 ส.ค. ที่ผ่านมา


         เดิมที "ปีศาจแดง" เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นลอนดอน ก่อนที่ตระกูล เกลเซอร์ จากสหรัฐฯ จะเข้ามาเทกโอเวอร์ ภายใต้วงเงิน 790 ล้านปอนด์ (ประมาณ 39,500 ล้านบาท) เมื่อปี 2005 แต่ด้วยภาวะหนี้สินในปัจจุบัน ทำให้มหาเศรษฐีชาวอเมริกันมีแผนนำหุ้นราว 25 เปอร์เซ็นต์ กลับสู่ตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง พร้อมว่าจ้าง เครดิต สวิส ให้เป็นผู้ดำเนินการในเรื่องนี้ และเปลี่ยนจากตลาดหลักทรัพย์หั่งเส็งของฮ่องกง มาเป็นที่สิงคโปร์แทน


         ทั้งนี้ การเลือกนำหุ้นสโมสรเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แดนลอดช่อง เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของฐานแฟนบอลในภูมิภาคเอเชียของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีจำนวนถึง 190 ล้านคน หรือราวสองในสามของกองเชียร์สโมสรทั่วโลกที่มีอยู่กว่า 300 ล้านคน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 23 สิงหาคม 2011, 22:17:32
     วันนี้ไม่มีอะไรครับ  แค่มาเช็คเรทติ้งเฉยๆ  อยากรู้ว่าทุกวันนี้มีคนตามอ่านอยู่เท่าไหร่  เดี๋ยวสักพักจะเข้ามานับ  ยินดีด้วยที่หลวมตัวเข้ามาให้นับครับ  ตอนที่กำลังเริ่มนับ  ตัวเลขอยู่ที่  13792  เหอ  เหอ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 24 สิงหาคม 2011, 15:39:23
VI
     ดูๆไปแล้วคำว่า  VI  นี้เหมือนกับเลข  6  ในตัวเลขโรมันเลย  และในความเห็นของผม  เลข  6  นี้  ถ้าจะให้มันมาเกี่ยวข้องกับการลงทุนก็ได้คือ  กว่าจะรู้ว่า  VI  คืออะไรก็ต้อง  หกล้มหกลุก  หัวหกก้นขวิด  หกคะเมนตีลังกา  ฯลฯ  กว่าที่เราจะรู้แจ้งเห็นจริงได้  เราคงต้องคลุกคลีอยู่กับสิ่งที่เกี่ยวข้องนานพอสมควร  แล้วจึงจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

     แรกเริ่มเลยคำว่า  VI  นี้มาจากอาจารย์ของบัฟเฟตที่ชื่อ  เบน  เกรแฮม  ซึ่งคำว่า  VI   นี้ย่อมาจาก  Value  Investor  ซึ่งมีความหมายว่า  ให้ลงทุนในหลักทรัพย์ใดก็ตามที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าของมัน  ยกตัวอย่างเช่น  มีหุ้นอยู่ตัวหนึ่ง  สมมติว่าชื่อหุ้น  VI  ก็แล้วกัน  อันว่าหุ้น  VI  นี้มีหุ้นอยู่ทั้งหมด  100  หุ้น  ราคาซื้อขายในตลาดขณะนั้นหุ้นละ  1  บาท  แต่เมื่อเราไปดูที่กิจการก็พบว่า  ถ้าเอาเงินสดบวกทรัพย์สินต่างๆของบริษัท  แล้วลบออกด้วยหนี้ที่มีอยู่  เงินที่เหลือเบ็ดเสร็จทั้งหมดก็ยังมากกว่าหุ้นละ  1  บาทอยู่ดี  อย่างนี้ทำให้ทราบว่า  ถ้าเราลงทุนในหุ้น  VI  ไป  เราไม่มีทางขาดทุนแน่นอน  อย่างนี้เท่ากับว่า  ความเสี่ยงเท่ากับศูนย์หรือเหลือความเสี่ยงน้อยมาก  เพราะฉะนั้นหุ้นนี้  เป็นหุ้นที่น่าลงทุนในแนว  VI  เป็นอย่างยิ่ง  แต่หลักการนี้มันมีจุดอ่อนอยู่ตรงที่  เราเลือกซื้อแต่หุ้นที่มันถูก  โดยที่ไม่ได้สนใจองค์ประกอบอื่นเลยว่า  บริษัทมันดีไหม  มีความสามารถในการแข่งขันมากเพียงใด  ยังเติบโตได้อีกหรือไม่  เพราะฉะนั้นแล้ว  เมื่อบัฟเฟตได้เรียนรู้หลักการลงทุนในแบบ  VI  มา  ซึ่งหัวใจของมันคือความถูกเท่านั้น  แต่บัฟเฟตก็นำมาประยุกต์ใช้  โดยการซื้อหุ้นที่แข็งแกร่ง  มีความสามารถในการแข่งขันสูง  เป็นยี่ห้อที่มีคนนิยม  มีกำไรที่ดี  หรือพูดง่ายๆว่า  เป็นบริษัทที่มีองค์ประกอบที่บริษัทที่ดีควรจะมี  และเมื่อหมายตาบริษัทไหนไว้แล้ว  เขาก็จะรอจนตลาดพัง  แล้วเขาก็จะเข้าไปซื้อหุ้นที่หมายตาไว้เป็นจำนวนมาก  แต่กว่าที่เขาจะซื้อหุ้นที่เขาหมายตาไว้ได้  บางทีก็ใช้เวลานานเป็นปีๆ  แต่เขาก็รอด้วยความอดทน  เมื่อได้โอกาสตลาดลดราคาให้เขา  เขาก็จะรีบคว้าโอกาสนั้นไว้อย่างรวดเร็ว  ซึ่งหลักการนี้เขาได้อธิบายไว้ว่า  เวลาจะซื้อหุ้น  ต้องมี  Margin  of  safety  ไว้ด้วย  ถ้าให้แปลก็คือ  ต้องมีค่าความเผื่อของราคาหุ้นไว้  สมมติถ้าเข้าซื้อแล้วหุ้นตก  ราคาที่เราเข้าซื้อก็ยังเป็นราคาที่ไม่แพงเกินไป  เขายกตัวอย่างง่ายๆให้ดูคือ  หาซื้อแบงค์ร้อยในราคาสี่สิบ  บางคนฟังแล้วตลก  แต่เมื่อถึงเหตุการณ์จริงจะรู้ว่าใช่  โดยเฉพาะพวกที่ชอบ  Cut  loss  จะขายหนีตายกันอลหม่าน  ทำให้ตลาดตกลงอย่างรุนแรง  และเมื่อซื้อหุ้นได้มากแล้ว  เขาก็มีความอดทนที่จะรอให้ตลาดหุ้นกลับมาทบทวนราคาของหุ้นที่เขาซื้อเข้ามา  และนำราคาหุ้นที่เขาซื้อเข้ามานั้น  กลับไปยังจุดเหมาะสมที่มันควรจะเป็น  ดูๆแล้วเขาก็ใช้หลักการของ  VI  ที่ต้องซื้อของถูกเท่านั้น  แต่เขาดัดแปลงด้วยการต้องซื้อบริษัทที่ดีด้วย  เพราะฉะนั้นแล้ว  จะถือว่าเขาเป็น  VI  มันก็ใช่  เพราะเขาซื้อของถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมัน  แต่มันก็ไม่ใช่  VI  ในความหมายดั้งเดิม  มันเป็นสไตล์ที่แตกแขนงออกมา  แล้วทุกท่านคิดเห็นว่าอย่างไรบ้าง

     ในตลาดหุ้นตอนนี้  มีหลายคนมากที่อ้างตัวว่าเป็น  VI   แล้ว  VI  คืออะไร  เขารู้ครอบคลุมแล้วหรือยัง  หรือเขาเพียงแค่ดูว่า  คนไหนถือยาวก็เหมาว่าเป็น  VI  หมด  จริงๆแล้วถ้าจะให้พูดตรงๆแบบเนื้อๆเลยก็คือ  คนที่เป็น  VI  หลักใหญ่ต้องเข้าซื้อหุ้นตอนมันราคาถูกเท่านั้น  ถ้าคนที่ซื้อมาแพงหรือซื้อมาในราคาที่เหมาะสมแต่ถือยาว  ผมก็ว่ายังไม่ใช่  VI  ผมมีคำถามว่า  ถ้ามีคนหนึ่งเอาเป็นว่าชื่อวายุก็แล้วกัน  ตั้งแต่เขาซื้อหุ้นเข้ามา  ราคาหุ้นนั้นตกมาตลอด  ทำให้เขาไม่สามารถขายออกเพื่อเอาทุนคืนมาได้เลย  มันจึงทำให้เขาต้องอดทนถือหุ้นนั้นมานานมากแล้ว  อย่างนี้จะเรียกว่า  ท่านวายุคนนี้เป็น  VI  ได้ไหม

     และตอนที่ราคาหุ้นมันถูกก็คือตอนที่ตลาดมีความกังวลสูง  เศรษฐกิจไม่ดี  ไม่มีใครกล้าซื้อหุ้น  มีแต่คนอยากขาย  ตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้าย  นักวิเคราะห์ออกมาคาดการณ์อย่างน่ากลัวถึงแนวโน้มของตลาด  เมื่อถึงตอนนั้น  ถ้าคุณปิดหูไม่ต้องฟังเสียงอะไรทั้งนั้น  ใช้แค่ตาคุณดูที่ตัวเลขก็พอว่า  หุ้นไฟฟ้าหรือมาม่า  มันเคยมีราคามากกว่านี้  แล้วตอนนี้ทำไมถึงไม่ซื้อ  ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจไม่ดี  แต่คนก็ยังต้องกินต้องใช้ของพวกนี้อยู่ไม่ใช่หรือ  แล้วเราจะกลัวว่าบริษัทจะเจ๊งหรือขายของไม่ได้ไปทำไมกัน  ถ้าคุณเป็น  VI  ขนานแท้  ช่วงเวลาแบบนี้เหมาะกับคุณมาก  เพราะคนส่วนใหญ่มักจะไม่กล้าเวลาของถูก  เพราะกลัวว่ามันจะถูกลงไปอีก  แต่เชื่อผมเถอะ  ถ้าบริษัทนั้นแข็งแกร่งจริง  มูลค่ามันต้องกลับมา  แม้ว่าเราจะไม่รู้แน่ชัดว่ามันจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ตาม  เพียงแต่ว่าคุณต้องอดทนเท่านั้นเอง  ผมก็เลยเน้นที่กระทู้ว่า  ต้องมีเงินเย็นเท่านั้น  เพราะมันเอาเวลาแน่นอนไม่ได้  และการอดทนถือหุ้นแบบนี้นี่เอง  ที่ทำให้ใครต่อใครเข้าใจผิดว่า  VI  ต้องถือยาว  จริงๆแล้วมันก็ไม่เชิงหรอก  ที่เขาถือยาวก็เพราะรอให้มูลค่าที่ลดลงไปมันกลับมาต่างหาก  ซึ่งก็ต้องใช้เวลาพอสมควร  แต่ถ้าเกิดมันกลับมาแล้วดันพุ่งขึ้นไปจนเกินพื้นฐาน  VI  ขนานแท้ก็จะต้องขายมันออกไป  เนื่องจากว่าราคามันไม่เหมาะสมแล้ว  สู้เอาเงินกำไรที่ได้  ไปหาซื้อหุ้นตัวอื่นที่มันมีราคาถูกกว่าพื้นฐานดีกว่า  ผมรู้สึกตลกมาก  ที่เขาเอาการถือยาวหรือสั้นมากำหนดการเป็น  VI   ที่จริงแล้ว  VI  ก็ไม่ได้กำหนดเหมือนกันหรอกว่าต้องถือนานขนาดไหน  เอาเป็นว่าถ้าหุ้นนั้นยังมีราคาเหมาะสมกับตัวมันเองอยู่  เขาก็ยังถือต่อไป  ถ้าราคามันตกลงมามากๆ  เขาก็ซื้อเพิ่ม  ถ้ามันขึ้นไปเกินพื้นฐาน  เขาก็ขายออก  มันไม่เกี่ยวกับระยะเวลา  แต่มันเกี่ยวกับราคาและมูลค่าต่างหาก  ถ้ามันสมดุลกัน  เขาก็ยังไม่ทำอะไร  ถ้าถามผมว่า  ทุกวันนี้ผมลงทุนแนวไหน  ผมก็บอกไม่ได้เหมือนกัน  รู้เพียงแค่ว่า  เรารู้จักหุ้นไหน  เราอยากเป็นเจ้าของหุ้นไหน  เราเข้าใจหุ้นไหน  และเรารู้ว่า  เมื่อซื้อหุ้นนั้นมาแล้ว  เราควรจะทำอย่างไรกับมันเช่น  ถือหรือขาย  ก็แค่นั้นเอง  สำหรับการลงทุนของผม


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 24 สิงหาคม 2011, 17:14:21
ส่วนผมถ้าหุ้นนั้นถูก แต่ส่วนแบ่งทางการตลาดน้อยผมก็ไม่เอาด้วย ต่อให้เป็นปัจจัยพื้นฐานก็ตาม

รวมทั้งผู้บริหาร ธรรมาภิบาล การรับผิดชอบต่อสังคม ฯลฯ ก็ควรนำมาพิจารณาด้วยเหมือนกัน...ครับ.


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 28 สิงหาคม 2011, 18:20:37
เลือกกระแสเงินสด
     สิ่งหนึ่งที่ผมเลือกก่อนที่จะลงทุนในหุ้นของบริษัทใดๆก็ตามก็คือ  “กระแสเงินสด”  ของกิจการนั้นๆ  เพราะการที่เราจะคาดการณ์ผลประกอบการในอนาคตได้ดีมีความแม่นยำสูง  หรืออย่างน้อยก็มีความมั่นคงพอที่จะทำให้เราอุ่นใจได้บ้างว่า  มันยังคงเป็นกิจการที่ดีอยู่  อันว่ากระแสเงินสดนี้  เราควรทำความเข้าใจกันก่อนสักเล็กน้อย  เพื่อจะได้ต่อยอดทางความคิดไปในบทความที่ผมกำลังจะอธิบายให้ได้รู้กัน

     กระแสเงินสดก็คล้ายกับการหารายได้ของคนสองคน  เหมือนอย่างเรื่องที่ผมเคยลงไปแล้วว่า  มีการรับจ้างนำน้ำมาส่งให้คนในหมู่บ้านใช้  คนหนึ่งซื้อรถและถังน้ำเพื่อไปตักและขับมาส่งให้ลูกค้า  ถ้าไม่ทำก็ไม่มีรายได้  ส่วนอีกคนหนึ่งติดปั๊มน้ำ  ต่อท่อตรงเข้ามายังบ้านทุกหลัง  เขาไม่ต้องไปทำงานให้เหนื่อยอีกเลย  เพราะในขณะที่ลูกค้าเปิดน้ำจากก๊อก  เงินก็ไหลเข้ากระเป๋าของเขาตลอดเวลา

     หุ้นที่ออกแนวกระแสเงินสดนี้มีอะไรบ้าง  ก็มีหลายอุตสาหกรรมเช่น  ไฟฟ้า  ประปา  โทรศัพท์  พลังงาน  อาหาร  ธนาคาร  ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้  มีอัตราการซื้อซ้ำสูง  มันจึงยังขายได้เรื่อยๆ  แต่ถ้าเราเจาะลึกลงไปในรายละเอียดจะพบว่า  มันก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียว  มันจะมีแยกย่อยในรายละเอียดอีกเล็กน้อย  เดี๋ยวเราลองมาแยกดูกัน

     ไฟฟ้า  ประปา  โทรศัพท์  เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า  3  สิ่งนี้คือปัจจัยพื้นฐานของปัจจุบัน  เราจะขาดสิ่งใดไปก็คงไม่ได้  เพราะฉะนั้น  3  อุตสาหกรรมนี้ก็ยังคงอยู่และขายได้เรื่อยๆ  แต่ที่มันไม่น่าลงทุนก็เนื่องจากว่า  มันไม่โตแล้ว  เพราะอัตราการใช้มันก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมาย  และบริษัทก็ยังไม่สามารถลดต้นทุนลงได้มาก  แต่ถ้ามีเหตุการณ์พิเศษบางอย่างเช่น  ราคาขายเพิ่มขึ้น  มันก็จะทำให้หุ้นกลุ่มนี้มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นตาม

     พลังงาน  ในที่นี้ก็มีหลายอย่าง  แต่ที่มีให้เห็นหลักๆก็คือ  น้ำมัน  ก๊าซ  และถ่านหิน  สินค้าพวกนี้เราต้องใช้อยู่ตลอดเวลา  ไม่ว่าจะเป็นโรงงานหรือใช้ตามบ้านเรือน  แต่สิ่งที่มันกระทบกับผลกำไรของบริษัทก็คือ  ราคาขายของมันไม่สามารถควบคุมได้  ราคาของมันจะเหวี่ยงขึ้นลงตามตลาดโลก  แนวโน้มเศรษฐกิจ  และจำนวนผู้จำหน่ายทั่วโลก  เพราะฉะนั้น  เหตุผลหนึ่งที่ผมไม่คิดจะลงทุนในหุ้นพวกนี้ก็คือ  คาดการณ์ผลกำไรยาก

     อาหาร  อันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนเราต้องกิน  แต่เหตุผลที่มันไม่ค่อยน่าลงทุนก็เหตุผลเดียวกับพลังงานนั่นก็คือ  ราคาสินค้าเราควบคุมไม่ได้ทั้งเนื้อหมู  เนื้อไก่  และสินค้าเกษตรเช่นข้าว  เนื่องจากหมูและไก่เขาก็เลี้ยงกันทั่วโลก  เพราะฉะนั้น  เวลาของมีมากกว่าความต้องการ  ราคามันก็จะถูกลง  แต่ที่ผมลงทุนใน  7-11  นั้น  เขาก็ขายอาหารเหมือนกัน  แต่ที่แตกต่างไปเล็กน้อยก็คือ  อาหารที่เขาขายนั้นมันสำเร็จรูป  ซึ่งตรงนี้ช่วยปลดล็อกเรื่องราคาขายไปได้  เพราะถ้าต้นทุนสูงขึ้น  เขาก็สามารถผลักภาระไปให้ผู้บริโภคได้  ไม่มีใครมาคอยควบคุมราคาขาย  และยิ่งถ้าอาหารอร่อยหรือสะดวกซื้อ  มันก็ขายได้มากกว่า  ลองดูร้านขายก๋วยเตี๋ยวก็ได้  ทั้งๆที่ขายก๋วยเตี๋ยวเหมือนกัน  แต่รสชาติต่างกัน  คนจึงเข้าร้านไม่เท่ากัน

     ธนาคาร  การปล่อยกู้แล้วเก็บดอกกินนี่ถือว่าสบายมาก  เป็นเสือนอนกินเลยทีเดียว  กระแสเงินสดเพิ่มพูนเห็นๆ  แต่ต้องระวังเรื่องหนี้เสียไว้บ้าง  ถ้าธนาคารไหนเสี่ยงปล่อยกู้ให้ลูกหนี้คุณภาพต่ำมากเกินไปก็ไม่ค่อยดี  แต่โดยรวมก็ถือว่ากระแสเงินสดดีมาก  ไม่แปลกใจเลยที่กลุ่มแบงค์จะมีการซื้อขายหุ้นกันอย่างโดดเด่นในแต่ละวัน

     สำหรับหุ้นที่ออกแนวต้องหากำไรหรือหางานทำไม่งั้นก็ไม่มีกินเช่น  รับเหมาก่อสร้าง  ถ้าไม่มีงาน  ก็ไม่มีเงิน  หรือรับจ้างทำงานต่างๆเช่น  รับทำโฆษณา  รับจ้างซ่อม  หรือขายสินค้าที่ไม่ต้องซื้อซ้ำบ่อยเช่น  อสังหา  เครื่องใช้ไฟฟ้า  รถยนต์  หุ้นพวกนี้คาดการณ์อนาคตยาก  ผมไม่ชอบเลย  แต่สำหรับอสังหา  เราต้องดูว่าเขาหากินอย่างไร  ถ้าสร้างเพื่อให้เช่า  อันนี้ก็นับเป็นหุ้นกระแสเงินสดได้  แต่ถ้าสร้างบ้านขายอย่างเดียว  สมมติว่าสร้างแล้วขายได้  ก็รอดตัวไป  พอขายเสร็จ  ก็หาที่ดินมาสร้างบ้านเพื่อขายอีก  แต่ถ้าสร้างแล้วขายไม่ออกล่ะ  อันนี้น่ากลัว  ดูๆแล้วคล้ายทำไร่เลื่อนลอยอย่างไรไม่รู้  ปีนี้ปลูกเสร็จเก็บเกี่ยวไปขาย  ได้เงินมาก็รอดตัว  พอถึงปีหน้าปลูกแล้วเก็บเกี่ยวไม่ได้  จะด้วยเหตุผลใดก็ช่าง  ตายสถานเดียว  แล้วเราในฐานะผู้ถือหุ้น  ถ้าได้ข่าวช้าขายหุ้นไม่ทัน  ก็คงจะต้องวิ่งหายาดมกันอุตลุด  ข้อทิ้งท้ายสำหรับการเลือกซื้อหุ้นแนวนี้ก็คือ  มีธุรกิจที่ขายสินค้าได้สม่ำเสมอเยอะแยะ  ทำไมต้องไปเสี่ยงกับหุ้นที่ไม่มีความสม่ำเสมอ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: แมงมุม ที่ วันที่ 28 สิงหาคม 2011, 21:59:10
.

ผมมองอย่างเดียว คือ อนาคตครับ

เพราะเราซื้อวันนี้ เราไม่ได้วันนี้ แต่เราได้ในอนาคต

.


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 29 สิงหาคม 2011, 16:09:18
ทฤษฎี 'สองสูง' ป็อกเด้ง 'ซีพี ออลล์'

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 29 สิงหาคม 2554 01:00

เคยสงสัยบ้างมั๊ยว่า ทำไม! เครือเจริญโภคภัณฑ์" (ซีพี) จึง 'เชียร์' นโยบาย "หว่าน" ของพรรคเพื่อไทย เพราะทฤษฎี 'สองสูง' ของเจ้าสัวธนินท์ คือ 'ป็อกเด้ง' ของ 'ซีพี ออลล์'

เพิ่งเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า "ทฤษฎีสองสูง" ที่ เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ พูดซ้ำแล้วซ้ำอีกมานานหลายปี สุดท้ายผู้ที่ได้ประโยชน์เต็มๆ ก็ "เครือเจริญโภคภัณฑ์" (ซีพี) นั่นเอง!!

แนวคิด "ทฤษฎีสองสูง" นั้น สูงแรกเน้นว่า "ราคาสินค้าเกษตรจะต้องสูง" เหตุผลอยู่ที่ว่าราคาสินค้าเกษตรจะเป็นแรงขับเคลื่อนตัวสำคัญต่ออุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ภายใต้มุมมองระยะยาวว่าโลกจะไม่มี "ยุคอาหารถูก" และ "น้ำมันถูก" อีกต่อไป การที่ Demand สูง แต่ Supply สินค้าเกษตรผลิตไม่ทันหรือไม่เพียงพอนั่นแปลว่าราคาสินค้าเกษตรจะต้อง "สูง"

สูงที่สอง "รายได้หรือค่าจ้างของประชาชนจะต้องสูง" ซึ่งเข้าล็อกกับนโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท แนวคิด "ทฤษฎีสองสูง" จะมุ่งเน้นรายได้ประชาชน 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1.เกษตรกรในชนบท (รากหญ้า) ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศจะต้องทำให้มีรายได้สูงขึ้น 2. รายได้ข้าราชการและผู้ใช้แรงงานในเมืองก็จะต้องสูงขึ้นเช่นกัน ทั้งหมดนี้คือแนวคิดเจ้าสัวธนินท์ ที่พรรคเพื่อไทยเขียนเป็นนโยบายหาเสียงและได้รับการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย

อย่าแปลกใจว่าทำไม! เครือซีพีจึงออกมาสบับสนุนนโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ผู้บริหารระดับสูงในเครือซีพีแทบทุกหน่วยงานประสานเสียงออกมา "เชียร์" ในเรื่องนี้ และช่วยรัฐบาล "กดดัน" เอกชนรายอื่นกลายๆ

สำหรับการบริหารงานทฤษฎีของเจ้าสัวธนินท์ มองว่า จากนี้จะหมดยุค "ปลาใหญ่ กินปลาเล็ก" แต่เข้าสู่ยุค "ปลาเร็ว กินปลาช้า" ดังจะเห็นว่าเซเว่นอีเลฟเว่นขยายตัวอย่างรวดเร็วเข้าไปสู่ตัวอำเภอต่างๆในประเทศไทย อำเภอขนาดใหญ่จะมีร้าน 7-11 ถึง 2 แห่ง เพราะเจ้าสัวมองว่านโยบาย "หว่าน" ของรัฐบาล จะทำให้ "รากหญ้า" มี "กำลังซื้อ" มากขึ้น

ปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเครือข่ายร้านเซเว่นอีเลฟเว่น เปิดเผยว่า ยุทธศาสตร์ของบริษัทจากนี้จะเป็น “ร้านอิ่มสะดวก” ตามแผนงานจะขยายสาขาปีละ 500 สาขา ทำให้รายได้และกำไรยังคงเติบโตต่อเนื่องทุกปี และจะมุ่งเน้นไปที่ "ต่างจังหวัด" มากที่สุด โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการเติบโตสูงอย่าง "ภาคอีสาน" และจะมุ่งเน้นขยายสาขาแฟรนไชส์มากกว่าเปิดสาขาเอง (จะได้ขยายตัวเร็ว) ปัจจุบันมีสาขาแฟรนไชส์ 52% และทุกปีจะขยายสาขามากกว่าที่บริษัทเปิดเอง 3%

"ที่น่าสนใจคือรายได้จากสาขาแฟรนไชส์ (แต่ละสาขา) มากกว่าสาขาที่บริษัทเปิดเองประมาณ 1% แสดงถึงความสามารถในการบริหารจัดการร้านที่ดี ขณะนี้เรายังไม่ลดสปีดในการเปิดสาขาลง คาดว่าภายในปี 2556 จะมีสาขาแตะ 7,000 สาขา และภายในปี 2557 น่าจะมีสาขาแซงหน้าสหรัฐอเมริกาที่เป็นต้นฉบับแฟรนไชส์ โดยเรามีเป้าหมายสำคัญที่ 10,000 สาขาภายใน 5 ปีจากนี้"

ปิยะวัฒน์ เล่าต่อว่า กลยุทธ์สำคัญคือการนำสินค้าใหม่ๆมาวางจำหน่ายในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น โดยจะเน้นสินค้าอาหารเพิ่มสัดส่วนรายได้จาก 70% มาเป็น 73% ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นค่อยๆปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% ต่อปี เนื่องจากอาหารมาร์จิ้นสูงประมาณ 30% สินค้าทั่วไปอยู่ที่ 10% ขณะที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นน้อยกว่าเพียง 0.2% ส่วนงบการตลาดยังคงอยู่ที่ 0.3% ของรายได้รวมเช่นเดิม

สำหรับสินค้าที่จะเพิ่มในร้านเซเว่นจะเน้นผลิตภัณฑ์ในเครือซีพี และจากบริษัทลูกซีพี ออลล์ เป็นหลัก เช่น แซนด์วิชอบร้อน, ขนมจีบซาลาเปา, อาหารกล่อง, เบเกอรี่แบรนด์คัดสรร (Kudsan) เป็นต้น นอกจากนี้ มีแผนขยายขนาดสาขาที่มีศักยภาพ 50-60 สาขาให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับสินค้าใหม่เช่น อาหารเพื่อสุขภาพที่มีมาร์จิ้นสูง ผลิตภัณฑ์ยาเอ็กซ์ต้า รวมถึงขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซรูปแบบ "บีทูซี" รองรับการมาของ 3G พัฒนาระบบจำหน่ายสินค้าผ่านแคทตาล็อกลงในอินเทอร์เน็ตมากขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทได้ลงทุนศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ที่จังหวัดลำพูน จะเปิดดำเนินการในปี 2555 หลังจากปีนี้ได้เปิดศูนย์กระจายสินค้าที่ขอนแก่นไปแล้วเมื่อต้นปี รวมถึงมีแผนขยายกำลังผลิตของบริษัทลูก CPRAM รองรับการขายอาหารมากขึ้นในอนาคต

ปิยะวัฒน์ กล่าวว่า นโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ จะส่งผลดีต่อยอดขายของเซเว่นอีเลฟเว่นอย่างแน่นอน ขณะที่ต้นทุนพนักงานซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายสูงสุดยังไม่สามารถประเมินได้ อย่างไรก็ตามพนักงานเซเว่นที่รับค่าแรงต่ำกว่า 300 บาท ปัจจุบันมีสัดส่วนไม่มาก (ส่วนใหญ่ได้สูงกว่า 300 บาทอยู่แล้ว)

“ราคาหุ้น CPALL ขึ้นทันทีเมื่อซีอีโอของเรา (ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์) ออกมาสนับสนุนการเพิ่มค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ เป็นไปได้ว่าอาจทำให้ยอดขายเติบโตขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ”

เป้าหมายในอนาคตของเซเว่น ปิยะวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทยังคงรอผลการขอใบอนุญาติเปิดร้านเซเว่นอีเลฟเว่นที่ประเทศเวียดนามและมณฑลใกล้กรุงเซี่ยงไฮ้ของจีน ตอนนี้ทำได้แค่รอผลตอบกลับมาจากเจ้าของแฟรนไชส์เท่านั้น

“เรายังตั้งเป้ารายได้เติบโต 15% ทุกปี รวมถึงยอดขายร้านเดิมเติบโตในระดับ 3-5% ขณะที่เป้าหมายระยะยาวเราต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้อาหารเป็น 74-75% และมีสัดส่วนร้านแฟรนไชส์เพิ่มเป็น 58%”

สรุปว่าใครได้ประโยชน์สูงสุดจากนโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท "เครือเจริญโภคภัณฑ์" (ซีพี) ของท่านเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ คือคำตอบ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 02 กันยายน 2011, 14:55:56
PE ตลาด
     ผมดูรายการหนึ่งทางช่องการเงิน  แล้วมีนักวิเคราะห์ที่ออกแนวทอมๆตัดผมทรงกะลาครอบมาให้ข้อมูลว่า  หุ้นที่ผมถืออยู่นี้มีค่า  PE  30  ซึ่งถือว่ามากเกินกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดแล้ว  เพราะ  PE  ของตลาดขณะนี้อยู่ที่ประมาณสิบกว่าเท่านั้น  ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ว่า  เขาไม่แนะนำให้ลงทุนในหุ้นตัวนี้เนื่องจากว่าราคาของมันแพงกว่าชาวบ้านเขา  ผมค้านขึ้นในใจทันที  แต่ที่ผมค้านไม่ใช่เพราะลำเอียงเข้าข้างหุ้นที่ผมถืออยู่  ผมเองก็ว่าหุ้นที่ผมมี  ณ  ขณะนี้  ราคามันก็แพงไปมากแล้วจริงๆ  แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น  ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  การชั่งน้ำหนักของหุ้นโดยหลักการก็คือ  เอาหุ้นทั้งตลาดมารวมกัน  จากนั้นก็หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด  แล้วมันก็จะได้ค่าเฉลี่ยของตลาด  ซึ่งตรงนี้มันไม่ใช่จุดที่ควรให้ความสำคัญมากนัก  เนื่องจากว่าอัตราการเติบโตและความสามารถในการทำกำไรของแต่ละอุตสาหกรรมและแต่ละบริษัทนั้นไม่เท่ากัน  ถ้าคุณจะเอาหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงและเห็นอนาคตได้ชัดเจนมาเปรียบเทียบกับบริษัทที่คลุมเครือไม่รู้อนาคต  ไม่มีการเติบโต  ไม่มีเงินปันผล  มีหนี้เยอะแยะบานตะเกียง  อย่างนั้นมันไม่ได้หรอก  ผู้ซื้อหุ้นรายใหญ่ที่มีเงินหนาเขาคงไม่โง่มั้ง?  แต่ที่ผมกำลังจะชี้ให้เห็นว่า  การคิดโดยตรรกะแบบนั้น  มันมีช่องโหว่อยู่  2  จุดใหญ่ด้วยกันนั่นก็คือ

1.หุ้นบางตัวแบกหุ้นส่วนใหญ่ไว้  ในตลาดมีหุ้นหลายร้อยตัว  ถ้าคุณเป็นนักลงทุนมือเก๋าหรืออยู่ในตลาดมานานพอที่จะสังเกตได้ว่า  เวลาที่หุ้นขนาดใหญ่ซึ่งมีมูลค่าการตลาดเยอะ(มาร์เก็ตแค็ป)ขยับไปทางใด  ตลาดหุ้นโดยรวมก็มักจะเป็นไปในทางนั้น  ทุกวันนี้แค่หุ้นในกลุ่ม  ปตท.ก็กินมูลค่าตลาดไปบานเบอะแล้ว  ถ้าทฤษฏีของถูกใช้ได้จริง  ทำไมนักลงทุนท่านอื่นไม่กระโจนเข้าไปคว้าเอาตัวที่มี  PE  ถูกๆแต่ไม่รู้อนาคตเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมีเงินซื้อไว้ได้ล่ะ  นั่นเป็นเพราะว่าเขาซื้ออนาคต  เขามองว่าอนาคตจะดีกว่านี้  เขาจึงยอมซื้อราคาของวันพรุ่งนี้ในวันนี้  และการที่หุ้นแค็ปใหญ่นั้นมีผลในการคำนวณค่า  PE  ของตลาด  เราจึงอาจตกหลุมพรางหุ้นที่ใกล้เจ๊งโดยที่ค่า  PE  ของมันน้อยกว่าชาวบ้านเขาก็ได้ถ้าคุณไม่ดูให้ดี  ซึ่งตรงนี้ก็มีสถิติบอกเอาไว้ด้วยว่า  เวลาหุ้นบางตัวเจ๊งจนถึงขั้นต้องถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ไป  หุ้นตัวนั้นจะถูกถอดออกมาราวกับว่าไม่เคยมีมันอยู่ในตลาดมาก่อน  ซึ่งเวลาถอดหุ้นบางตัวนั้นออกมาแล้ว  PE  ของตลาดไม่ได้ถูกลดทอนลงไปเลยสักนิด  เขายังใช้หลักการเดิมนั่นก็คือ  นำหุ้นที่เหลืออยู่ทั้งหมดมารวมกันแล้วหาร  ถ้าเขาเอาหุ้นที่เคยเจ๊งมากองรวมกันแล้วหารออกมาตามส่วนอย่างที่นักวิเคราะห์ทอมคนนั้นพูด  ป่านนี้ค่า  PE  ของตลาดมันคงโดนดึงไว้จากหุ้นที่เจ๊งเหล่านั้นแล้ว  และคงไม่มีค่า  PE  ตลาดเท่าทุกวันนี้ที่มันเป็นอยู่หรอก  ซึ่งค่า  PE  ของตลาดตรงนี้  มันดูดีเกินจริง!!!

2.ศักยภาพของหุ้นมีไม่เท่ากัน  ยกตัวอย่าง่ายๆดีกว่าครับเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน  ถ้าเปรียบตลาดหุ้นเป็นประเทศไทย  ตลาดหุ้นมีหุ้นหลายอุตสาหกรรม  เหมือนประเทศไทยมีหลายจังหวัด  และในแต่อุตสาหกรรมก็มีหุ้นหลายตัว  ก็เหมือนกับแต่ละจังหวัดมีหลายอำเภอ  ทีนี้ถ้ามีคนจะหาซื้อที่สักแปลงหนึ่งในจังหวัดเชียงราย  และเขาก็บอกว่า  ที่ดินแถวๆอำเภอเวียงชัยซื้อขายกันในราคาไร่ละ  1  แสนบาท  เพราะฉะนั้นแล้ว  เขาจะมาหาซื้อที่ในตัวเมืองโดยให้ราคาไร่ละ  1  แสนบาทเหมือนกัน  ถ้าเป็นคุณ  คุณจะขายที่ให้เขาไหม?  ผมคิดว่าคุณคงไม่บ้าหรือโง่พอจริงไหมครับ  ที่เราไม่ขายให้เขาก็เนื่องมาจากสาเหตุอะไรครับ?  เพราะว่าที่ดินในเมืองมี  “ศักยภาพ”  ในการเติบโตหรือมีราคามากกว่าที่ดินทางเวียงชัยใช่ไหม  ถึงแม้ว่าที่ดินจะมีขนาดเท่ากัน  แต่การเพิ่มขึ้นของมูลค่าที่ดินนั้นไม่เท่ากัน  ถ้าจะมาเปรียบกับหุ้น  ถึงแม้จะอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน  แต่การเติบโตของแต่ละบริษัทไม่เท่ากัน  ค่า  PE  จึงต้องใช้ต่างกัน  ซึ่งถ้าจะใช้หลักการเดียวกับทอมคนนั้นจริง  ก็ให้ทอมคนนั้นประกาศหาซื้อที่ดินแถวๆสีลมโดยให้ราคาเท่ากับเชียงรายดูหน่อยสิครับ  หวังว่าคงจะมีคนแย่งกันเอามาขายให้จนซื้อแทบไม่ทัน!!!


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 03 กันยายน 2011, 21:31:40
วิเคราะห์ต่างประเทศ  posttoday

01 กันยายน 2554 เวลา 07:16 น.
 
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ

เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันอย่างไม่กะพริบกับความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกสำคัญหลังจากนี้ ภายหลังจากที่ เบน เบอร์แนนคี ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐได้ส่งสัญญาณว่า “กระตุ้นแน่” แต่ทว่าจะเป็นไปในรูปแบบใดนั้นจำเป็นที่จะต้องผ่านการหารือของเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของเฟดอีกครั้งในเดือนนี้

ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่นัก เพราะในช่วงที่ผ่านมาการคาดการณ์ว่าเฟดจะใช้มาตรการกระตุ้นแบบผ่อนปรนเชิงปริมาณ หรือ Quantive Easing รอบ 3 นั้นได้มีการพูดถึงกันมาเป็นระยะๆ

ดังในการประชุมของผู้กำหนดนโยบายเฟดครั้งล่าสุดเมื่อต้นเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดเผยรายละเอียดการประชุมว่าบรรดาเจ้าหน้าที่หัวกะทิของเฟดเองได้ถกเถียงกันอย่างหนักหน่วงถึงมาตรการกระตุ้นแบบคิวอีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ก็มีการพูดถึงผลกระทบที่อาจจะตามมา

ดังนั้น ในที่ประชุมจึงเสนอทางเลือกอื่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงนโยบายคิวอี ซึ่งเป็นนโยบายที่สหรัฐจะพิมพ์ธนบัตรหว่านเข้าสู่ระบบผ่านการเข้าซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งด้วยวิธีการนี้แน่นอนว่าจะสร้างผลข้างเคียงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะต่อค่าเงินเหรียญสหรัฐที่จะอ่อนตัวลงมากกว่าเดิม

ที่ประชุมจึงมีการเสนอทางเลือกอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการ “พิมพ์แบงก์” ครั้งใหม่ เช่น การปล่อยขายพันธบัตรระยะสั้นเพื่อนำเงินมาใช้ในโครงการซื้อคืนพันธบัตรระยะยาว ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่มีความเป็นไปได้ ซึ่งนโยบายเหล่านี้ล้วนแต่เป็นทางเลือกที่เฟดพยายามใช้กดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐให้อยู่ในระดับต่ำที่ 0-0.25% ต่อไป

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเป็นคิวอี หรือเป็นไปในรูปแบบใดก็ตาม ดูเหมือนว่าเอเชียย่อมหลีกไม่พ้นต่อผลกระทบข้างเคียงจากการใช้ยาแรงของสหรัฐในครั้งนี้ ในเมื่ออัตราดอกเบี้ยในเอเชียนั้นอยู่ในระดับที่สูงกว่าในสหรัฐย่อมเป็นแรงดึงดูดให้ทุนร้อนหลั่งไหลทะลักเข้ามาเก็งกำไรกันเช่นเดิม

อีกทั้งสถานะทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐจากปัญหาหนี้สาธารณะ ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใดๆ ที่จะทำให้มีกระแสเงินเหรียญสหรัฐไหลเข้าไปสู่ระบบการเงินมากขึ้น ก็จะทำให้มูลค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนยวบยาบต่อไป สวนทางกับค่าเงินสกุลต่างๆ ในเอเชียที่จะแข็งค่าขึ้นดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วเมื่อเฟดได้ประกาศใช้มาตรการคิวอี 2 ในระหว่างเดือน พ.ย. 2010-มิ.ย. 2011

ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับกันว่า ช่วงจังหวะเวลาที่เฟดกำลังจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านั้น ถือว่าเป็นช่วงจังหวะที่ “ย่ำแย่” พอเหมาะพอเจาะกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในเอเชีย ที่หลายประเทศกำลังเผชิญหน้ากับภาวะเงินแข็งค่าอยู่แล้ว อีกทั้งทั่วภูมิภาคเอเชียกำลังถูกปกคลุมไปด้วยปัญหาเงินเฟ้ออย่างหนัก

ส่วนประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องพึ่งพาการส่งออกในย่านนี้ก็อาจจะต้องเผชิญหน้ากับภาวะซบเซาของการส่งออกตามสภาวะเชื่องช้าของเศรษฐกิจทั้งในสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น

หนึ่งในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเอเชียในขณะนี้ ก็คือ เอเชียไม่สามารถที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมปัญหาเงินเฟ้อได้อย่างเต็มที่นัก เนื่องจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยใดๆ ก็ตามจะยิ่งเป็นแรงดึงดูดให้กระแสทุนร้อนจากตะวันตกยิ่งถาโถมเข้ามาสู่ตลาดเอเชียมากขึ้น และจะยิ่งสร้างความเสี่ยงให้กับค่าเงินและตลาดทุนในภูมิภาค โดยเฉพาะที่ในขณะนี้อัตราดอกเบี้ยในสหรัฐและยุโรปอยู่ในระดับต่ำมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เอเชียยังจำเป็นที่จะต้องหาทางสกัดเงินทุนเหล่านี้มากขึ้นกว่าเดิม

ยิ่งไปกว่านั้นในท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะคลอดมาตรการเศรษฐกิจออกมาหรือไม่ แต่ที่แน่ยิ่งกว่าแน่ ก็คือการตอกย้ำของผู้ว่าการเฟดก่อนหน้านี้ว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำที่สุดลากยาวไปถึงกลางปี 2013 ซึ่งถือว่านานมากกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์เอาไว้ ประกอบกับเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วแทบจะไม่ขยับตัวในช่วงที่ผ่านมา ก็ยิ่งทำให้ความเสี่ยงจากกระแสทุนร้อนจากโลกตะวันตกที่จะหลั่งไหลมายังเอเชียนั้นก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

การหลั่งไหลของกระแสทุนเข้าสู่เอเชียนั้นยังทำให้เกิดภาพลวงตาของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่บรรดาผู้กำหนดนโยบายของเอเชียจำเป็นต้องพึงระวังอย่างสูงสุด

ดังเช่นตัวอย่างของอินโดนีเซีย การเติบโตของจีดีพีอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นมากกว่า 6.5% ในปีนี้เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อันเป็นผลจากกระแสทุนจากต่างชาติที่หลั่งไหลเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นความร้อนแรงของเศรษฐกิจได้ปั่นให้ระดับเงินเฟ้อของอินโดนีเซียเบ่งบานขึ้นอย่างน่ากลัว โดยดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภคในอินโดนีเซียปรับเพิ่มขึ้นถึง 5.98% ในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

นั่นถือเป็นการประเมินสถานการณ์ผิดพลาดของบรรดาเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของอินโดนีเซีย ที่มองข้ามผลกระทบจากการกระตุ้นเศรษฐกิจในสหรัฐที่ทำให้กระแสทุนหลั่งไหลเข้าไปยังอินโดนีเซียอย่างผิดปกติในช่วงปีที่ผ่านมา

ภาวะดังกล่าวถือเป็นปัจจัยที่เจ้าหน้าที่รัฐทั่วเอเชียยังต้องพึงระวัง เรื่องจากกระแสทุนที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างมหาศาลนั้น นอกเหนือจะทำให้เกิดการแข็งค่าของสกุลเงินในเอเชียแล้ว จะยังเป็นแรงดันให้เกิดการเติบโตแบบลวงๆ ของเศรษฐกิจในเอเชียด้วย ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการตระหนักที่ผิดๆ ว่า เศรษฐกิจเอเชียกำลังเดินหน้าสู่การฟื้นตัวอย่างเต็มที่ แต่แท้จริงแล้วคือการสร้างภาวะฟองสบู่ครั้งใหม่ขึ้นมาต่างหาก

อีกทั้งนั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่เพราะเหตุใดเศรษฐกิจของเอเชียซึ่งแม้ว่าจะดูดีกว่าในสหรัฐและยุโรป แต่ก็ยังไม่คึกคักอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นอย่างรุนแรงจนทำให้หลายฝ่ายวิตกว่าเอเชียเองก็อาจจะไม่รอดจากภาวะ Stagflation ซึ่งเป็นภาวะที่เศรษฐกิจเกิดเงินเฟ้อขึ้นทั้งๆ ที่อยู่ในช่วงซบเซา ดังที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐแล้ว

แม้ว่าที่ผ่านมาเอเชียอาจจะเอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิดจากภาวะวิกฤตการเงินโลกในช่วงเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่าการลงทุนของธนาคารเอเชียส่วนใหญ่ในภาคการเงินสหรัฐและยุโรปนั้นมีไม่มากนัก

แต่ทว่าตลอดปีที่แล้วก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าเอเชียก็ไม่ได้แข็งแกร่งจริงตามที่ทึกทักกันไปเอง เมื่อกระแสทุนจากตะวันตกได้ทะลักเข้าเก็งกำไรในเอเชียอย่างบ้าคลั่งในช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐประกาศใช้นโยบายคิวอี 2 ที่ทำให้หลายประเทศเจอกับวิกฤตค่าเงินแข็งค่า โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่ยังต้องพึ่งพาการส่งออก ตลอดไปจนถึงภาวะการเติบโตของเศรษฐกิจแบบลวงๆ อันเป็นผลมาจากการหลั่งไหลเข้ามาของกระแสทุนชั่วคราวจากโลกตะวันตก

และยิ่งในครั้งนี้สหรัฐยังไม่บอกกันชัดๆ ว่าจะใช้ไม้ไหนกับการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ เอเชียยิ่งต้องเตรียมตัว และระมัดระวังตัวมากขึ้นว่าผลข้างเคียงจากยาแรงของพี่ใหญ่จะเป็นพายุทุนที่พัดมาในรูปแบบเดิม หรือจะมาในรูปแบบใหม่ที่เอเชียอาจจะไม่ทันได้ตั้งตัว...!


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 05 กันยายน 2011, 16:16:42
คนฉลาดที่สุดในโลก  VS  คนรวยที่สุดในโลก
     เมื่อเอาคำถามที่ว่า  คุณอยากเป็นอะไร  ระหว่างคนรวยและคนฉลาด  คำตอบที่ได้ก็อาจไม่เหมือนกัน  แต่ผมเชื่อว่า  ส่วนใหญ่คงต้องการเป็นคนรวย  ไม่มีคำตอบไหนดีไปกว่ากัน  เพราะมันขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน  แต่ถ้าคุณต้องการเป็นคนฉลาด  คุณก็ต้องมีความพยายามศึกษาหาความรู้ให้มากๆ  และถึงแม้ว่าคุณจะพยายามอย่างไร  มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้เป็นคนฉลาดสมใจ  เพราะบางทีมันก็อยู่ที่พรสวรรค์ด้วย  บางคนเกิดมาพร้อมกับความเป็นอัจฉริยะ  นั่นจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะเป็นคนฉลาดโดยไม่ต้องพยายามมากนัก

     ถ้าเราลองมาสังเกตดูโดยการสืบค้นข้อมูลจะพบว่า  คนที่ฉลาดที่สุดในโลกนั้นไม่ได้รวยติดอันดับโลกเลย  และคนที่รวยติดอันดับโลก  ก็ไม่ได้ฉลาดติดอันดับโลกเหมือนกัน  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น  ผมคาดว่าคนที่ฉลาดก็คือ  คนที่รู้เรื่องบนโลกใบนี้มากแทบทุกอย่าง  แต่เว้นอยู่อย่างเดียวคือเรื่องการเงิน  เพราะการวัดไอคิวส่วนมาก  ทำโดยการตั้งโจทย์ทางวิชาการหรือคณิตศาสตร์หรือความรู้รอบตัว  คนที่รู้เรื่องและเข้าใจเรื่องเหล่านี้ก็มักจะกลายเป็นคนฉลาด  แต่ที่เขาไม่ประสบความสำเร็จทางด้านการเงินอาจมาจาก  เขาไม่เคยหรือไม่สนใจหรือไม่มีความสามารถในด้านการเงิน  ทุกวันนี้คนฉลาดกลายเป็นลูกจ้างนายทุน  หรือเราจะเข้าใจว่านายทุนฉลาดกว่าก็ไม่น่าจะใช่  ผมว่านายทุนพวกนั้นเป็นคนที่กล้าเสี่ยงกล้าลงทุนมากกว่า  เพราะคนฉลาดนั้นมักคิดคำนวณหาคำตอบตามหลักการที่ถูกต้อง  100  %  เสมอ  แต่ถ้าสิ่งที่เขาคำนวณออกมาไม่ได้อย่างเช่นความเสี่ยง  เขาก็มักเลือกที่จะไม่ทำมัน  มันก็เลยทำให้คนฉลาดไม่รวย  เนื่องจากไม่กล้าลงทุน  เพราะคำตอบที่เขาต้องการหรือคิดว่าถูกต้องนั้น  ต้องคำนวณหรือคาดการณ์ได้  100  %

     สำหรับคนรวยที่สุดในโลกนั้น  จากการสืบค้นจะพบว่า  หนึ่งในนั้นคือ  วอร์เร็น  บัฟเฟต  นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ของโลก  บัฟเฟตรวยขึ้นมาติดอันดับโลกได้ด้วยการลงทุนในบริษัทต่างๆที่เขาเห็นว่าดีผ่านทาง  “หุ้น”  เพียงอย่างเดียว  การที่เขารวยขึ้นมาได้นั้น  ส่วนหนึ่งผมว่ามาจากความฉลาดทางการเงินและความเข้าใจในหุ้น  เขาเป็นคนที่มีเหตุผลบนความไม่มีเหตุผลของตลาดหุ้น  นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขารวย  การคำนวณแบบนักวิทยาศาสตร์ใช้ไม่ได้ในตลาดหุ้นเนื่องจากว่า  ในตลาดหุ้นไม่มีอะไร  100  %  ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จทางด้านธุรกิจหรือความผันผวนทางด้านอารมณ์ในตลาดหุ้น  การลงทุนจำพวกนี้ต้องใช้จินตนาการในการคาดการณ์อนาคต  และต้องมีความมั่นคงทางอารมณ์สูง  ไอน์สไตน์ยังเคยพูดหลังจากที่เขาขาดทุนในตลาดหุ้นว่า  ผมสามารถคำนวณการเคลื่อนที่ของสวรรค์ได้  แต่ผมไม่สามารถคำนวณความบ้าคลั่งของมนุษย์ได้  ที่บัฟเฟตรวยก็เพราะเขาสามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี  เขามีเหตุผลในการลงทุนอย่างเพียงพอ  ไม่ได้โดนชักจูงการตัดสินใจการลงทุนของเขาด้วยคนอื่นหรือความผันผวนในตลาดหุ้น  เขามักชอบพูดอยู่เสมอว่า  เหตุผลเดียวที่เขาจะไปตลาดก็คือ  “ไปดูว่ามีใครกำลังทำอะไรโง่ๆอยู่หรือเปล่า”  ความหมายก็คือ  ตลาดตื่นกลัวจนทำให้หุ้นของบริษัทดีๆมีราคาถูกลง  เขาก็จะเข้าไปรับซื้อให้มากที่สุดเท่าที่จะมีเงินซื้อได้

     เมื่อเรามามองดูก็จะพบว่า  การเป็นคนรวยนั้น  เปิดโอกาสให้กับทุกคน  เพราะเราสามารถลงทุนในตลาดหุ้นได้ทุกคนเหมือนกับที่บัฟเฟตทำ  ส่วนการเป็นคนฉลาดนั้น  ต้องมีความเป็นอัจฉริยะหรือใช้ความพยายามสูงกว่า  ถ้าเราเลือกที่จะเป็นคนรวย  เราควรเริ่มศึกษาเรื่องการเงินการลงทุนเสียตั้งแต่วันนี้  หรือศึกษาจากตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จแล้วว่าเขาคิดอย่างไรและทำอย่างไร  เพราะของแบบนี้ต้องใช้เวลาในการตกผลึกทางความคิดพอสมควร  ใครเริ่มก่อนก็มักจะได้เปรียบ  ขนาดบัฟเฟตเองเริ่มซื้อหุ้นตั้งแต่อายุยังไม่ถึง  10  ขวบ  เขาก็ยังพูดว่า  เขาเริ่มต้นช้าไป!!!  เคยมีนักพัฒนาชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งบอกว่า  เขาอยากจะปลูกต้นไม้ไว้ตามริมถนนเส้นหนึ่ง  แต่มีบางคนค้านขึ้นว่า  กว่าต้นไม้ชนิดนี้จะใหญ่จนใช้การได้ก็ต้องใช้เวลาถึง  80  ปีทีเดียว  เขาก็ตอบทันทีว่า  ถ้าอย่างนั้นเราต้องเริ่มลงมือปลูกเดี๋ยวนี้เลย!!!


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: dominomanz ที่ วันที่ 06 กันยายน 2011, 07:46:03
เข้ามาอ่านอยู่บ่อย ๆ บทความที่ดีมีค่าและเป็นกำลังใจให้อีกหลายคน ขอชื่นชม


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 10 กันยายน 2011, 18:03:59
     อันนี้พิมพ์มาให้ทุกท่านอ่าน  และที่สำคัญ  อยากให้คุณ  pui_k  ได้อ่านด้วย   หลังจากที่คุณปุ้ยได้ส่งข้อความส่วนตัวหาผมแล้วนะครับ

อันนี้เป็นของคุณปุ้ยที่ส่งมาให้ผมอ่าน  ผมขออนุญาติเอามาแนบให้ท่านอื่นได้อ่านความคิดเห็นของคุณปุ้ยด้วยครับ

จะอธิบายว่าทำไมทองคำถึงมีความเสี่ยงต่ำกว่าสินทรัพย์อย่างอื่นนะค่ะ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณค่าในตัวเอง ไม่เหมือนกับหุ้น สมมุติว่าคุณต้องการทำกิจการอะไรสักอย่างแล้วลงหุ้นกันแล้วกิจการนั้นทำไปแล้วไม่ดีเกิดเจ้งเงินที่ลงทุนไปก็เป็นศูนย์(ถูกต้องหรือไม่ค่ะ) ส่วนทองคำถามว่ามีโอกาสเป็นศูนย์หรือไม่ มีแต่น้อย หรืออาจจะไม่มีโอกาสเลย ถ้าจะถามว่าทองคำเกิดขึ้นได้อย่างไรทองคำคือแร่ธาตุ(ถูกต้องไหมค่ะ) การเกิดทองคำไ้ม่ได้เกิดขึ้นได้ในเวลาปีสองปี มันอาจจะเกิดขึ้นได้นั้นเป็นร้อยๆ ปีแล้วเหมืองแร่ทองคำไม่ได้มีทุกที่ทุกจังหวัดหรือทุกจุดทั่วโลก กว่าจะพบเหมืองแร่ทองคำไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วทองคำเป็นสัญญาลักษณ์ของความร่ำรวย ใครๆ ก็อยากครอบครอง แล้วคุณวายุคิดดูสิค่ะว่าความต้องการในตัวสินค้ามีมากแต่ตัวสิ้นค้ามีน้อย (ราคาของทองคำก็ย่อมสูงขึ้นถูกหรือไมค่ะ)แล้วอีกอย่างหนึ่งปัจจุบันจำนวนประชากรก็เพิ่มขึ้น ความต้องการก็ย่อมมีมากขึ้นแล้วทองคำก็จะเป็นสินค้าที่หาได้อยากขึ้นเนื่องจากใครๆๆ ก็อยากครอบครอง นี่แหล่ะค่ะคือเหตุผลว่าทำไมความเสี่ยงต่ำถ้าเราลงทุนทองคำ บอกรายละเอียดเท่านี้คุณวายุคงจะพอจะนึกภาพออกไหมค่ะ มีปัญหาหรือสงสัยเรื่องทองคำเอ..หรือสนใจอยากจะลงทุนตรงนี้ก็ติดต่อที่ micky.04@live.com


สิ่งที่มีค่า
     สิ่งที่มีค่าที่สุดสามารถแยกออกมาได้  2  ประเภทใหญ่ๆในความคิดของผม  นั่นก็คือ  สิ่งที่มีค่าโดยความนิยมทั่วไปและสิ่งที่มีค่าสำหรับแต่ละคน

     สิ่งที่มีค่าโดยความนิยมทั่วไปนั้น  มันจะมีลักษณะเป็นสิ่งของหรืออะไรต่างๆที่ผู้อื่นก็เห็นว่ามันมีค่าหรือมีราคาเช่นเดียวกัน  ยกตัวอย่างเช่น  ธนบัตร  ทอง  ที่ดิน  หุ้น  ภาพเขียน  เพชร  ฯลฯ  ซึ่งสิ่งที่มีค่าเหล่านี้  คนส่วนใหญ่จะยอมรับในความมีค่าของมัน

     และก่อนที่ผมจะบอกเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่มีค่าเฉพาะบุคคลนั้น  ผมขอออกตัวก่อนสักเล็กน้อยว่า  สิ่งที่ผมกำลังจะเผยแพร่ออกไปนี้  อาจจะมีความขัดแย้งกับสิ่งที่ผมเคยกล่าวอ้างมาตลอดเวลาว่า  เราต้องทำเงินให้มากขึ้น  หรือเราควรสร้างร่ำรวยขึ้นเพื่ออนาคต  แต่สิ่งที่ผมกำลังจะบอกต่อไปนี้  เป็นความรู้สึกที่ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ  ซึ่งที่ผ่านมาทั้งหมด  ผมก็แค่พยายามเล่นไปตามเกมของสิ่งที่มีค่าโดยความนิยมทั่วไปเพียงเท่านั้น  แต่เมื่อมามองความคิดหลักของผมจริงๆแล้ว  ผมรู้สึกศรัทธาในกระแสพระราชดำรัสของในหลวงท่านมากว่า  “เงินทองเป็นมายา  ข้าวปลาเป็นของจริง”  เนื่องจากว่าที่ผมรู้สึกได้นั้นก็คือ  เราไม่มีเงินหรือทองเราก็ไม่ตาย  แต่ถ้าเราไม่มีอะไรตกถึงท้องก็ตายแน่นอน

     สิ่งที่มีค่าเฉพาะบุคคลนั้น  อาจหมายถึงอะไรก็ได้  ซึ่งบางทีมันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นของมีค่าสำหรับอีกคนเช่น  สัตว์เลี้ยง  ของสะสม  ลูกหลานญาติพี่น้อง  สามีภรรยา  ดอกไม้ที่ได้รับดอกแรกในชีวิต  ฯลฯ  สิ่งต่างๆเหล่านี้เท่าที่วิเคราะห์ดูจะพบว่า  มันมักมีค่าทางจิตใจมากกว่าเงินทองเสียอีก  เพราะของบางอย่างเช่น  ของประจำตระกูลนั้น  มันไม่สามารถหาที่ไหนมาชดเชยได้  ไม่ว่าจะใช้เงินอีกสักเท่าไหร่มันก็หาซื้อไม่ได้  บางครั้งสิ่งที่ผมมองว่ามีค่า  คนอื่นอาจจะคิดว่าไร้ค่าอย่างเช่น  ผมรู้สึกว่าทุกวันนี้  “ดิน”  มีค่ามากกว่าทอง  คุณคิดว่าผมตลกไหม  ถ้าคุณคิดว่าผมตลก  แล้วคุณเอาอะไรมาวัดว่าดินด้อยกว่าทอง  ต้นไม้งอกออกมาจากทองได้ไหม?  ผมว่าทุกวันนี้คนบนโลกให้คุณค่ากับวัตถุประเภทนี้มากเกินไป  ถ้าเรามีที่ดิน  เราสามารถปลูกอะไรให้มันงอกออกมาก็ได้  และไม่มีวันหมดด้วย  แต่บางคนอาจแย้งว่า  ถ้าเรามีทอง  เราก็เอาไปขาย  แล้วนำเงินนั้นมาซื้อที่ดินเอาสิ  นั่นมันก็ใช่  เพราะทองมันเป็น  “สิ่งที่มีค่าโดยความนิยมทั่วไป”  แต่ผมกำลังนึกเล่นๆว่า  วันไหนที่คนทั้งโลกไม่ได้ให้ความสำคัญกับทองแล้ว  ตัวของทองคำเองมันจะใช้การอะไรได้  มันก็เป็นแค่แร่ธาตุชนิดหนึ่งที่เอามาหลอมรวมเป็นก้อนหรือทำเป็นเครื่องประดับเท่านั้น  ทุกวันนี้ที่เรามีอากาศบริสุทธิ์หายใจ  นั่นก็มาจากต้นไม้  และต้นไม้ก็ต้องพึ่งพาดิน  ที่เรามีข้าวกินทุกวันนี้  ผลผลิตพวกนั้นก็มาจากดิน  และมีอีกหลายๆอย่างที่เกี่ยวข้องกับดินซึ่งจาระไนไม่หมด  แล้วทองคำทำประโยชน์ให้กับชีวิตเราได้มากเท่าดินหรือไม่?

     สมัยก่อนสิ่งที่มีค่าพอๆกับทองก็มีเช่น  เพชร  พลอย  ไข่มุก  ทับทิม  มรกต  ฯลฯ  แล้วตอนนี้ล่ะ  ใครให้คุณค่ามันมากเท่ากับทองไหม  ของพวกนี้มันเป็นสิ่งสมมติ  คนเราอุปโลกน์ตีค่ามันขึ้นมาเอง  เมื่อถึงวันหนึ่งที่คนไม่ได้ให้ความสำคัญกับทองเหมือนตอนนี้ที่เราไม่สนใจไข่มุกหรือเพชรแล้ว  เมื่อถึงตอนนั้น  คุณอยากจะมีทองไว้ในครอบครองอีกหรือไม่  ของพวกนี้เห่อเป็นช่วงๆ  เมื่อก่อนไม่นานมานี้คนก็บ้าจตุคามกันมาก  แล้วดูตอนนี้สิ  มีใครพูดถึงกันบ้าง  และผมขอสมมติตัวอย่างแบบสุดโต่งอีกตัวอย่างหนึ่งว่า  สมมติว่าโลกของเราประสบภาวะวิกฤต  มนุษย์ทุกคนไม่สามารถออกจากบ้านได้เป็นเวลา  1  ปี  และในขณะนั้น  คุณมีข้าวเก็บไว้ในยุ้งเพียงพอสำหรับให้คนในครอบครัวเก็บไว้กินได้เป็นเวลา  1  ปีพอดี  และมีบางคนที่ไม่มีข้าวเลย  มาขอแลกข้าวของคุณ  1  กระสอบต่อทอง  1  กิโล  หรือให้ราคาข้าวกระสอบละล้าน  คุณจะยอมแลกไหม....

     ผมอยากให้ทุกคนลงทุนทุกอย่างด้วยความมีสติ  ไม่ควรเห่อตามกระแสสังคม  ถ้าคุณกำลังตื่นเต้นที่จะลงทุนในอะไรก็ตาม  คนที่รู้จักการลงทุนประเภทนั้นดีกว่าคุณก็กำลังตื่นเต้นที่จะขายการลงทุนนั้นให้กับคุณเหมือนกัน  หลักการลงทุนง่ายๆที่ใช้ได้ผลเป็นอย่างยิ่งก็คือ  เราคิดว่าอันไหนดีสำหรับเรา  หรือเรารู้และเข้าใจ  หรือเราทำได้ดี  หรือเราเห็นว่ามีค่าในสายตาเรา  เราควรลงทุนในสิ่งนั้นจะดีที่สุด  เพราะถ้าเราทำในสิ่งที่เรารู้จักมันดีที่สุด  เราก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง  ถึงแม้ว่าบางคนไม่รู้จักการลงทุนในอะไรเลย  ตัวเขาก็เลยไม่ลงทุนอะไรสักอย่าง  นั่นผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี  เพราะถ้าเขาลงทุนไปโดยไม่มีความรู้  มันก็จะมีแต่เสีย  อย่างน้อยเขาก็ทำได้ดีและถูกต้องตรงที่  เขาไม่ได้เสียเงินไป  ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีเงินงอกออกมาก็ตาม  แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าการลงทุนในทองเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำนะ  เพราะถ้าคุณเข้าใจมัน  หรือรู้ว่าควรทำอย่างไร  คุณก็สำเร็จได้  ขนาดบางคนเล่นหุ้นปั่นก็ยังร่ำรวยขึ้นมาได้  สำคัญตรงที่ว่า  คุณเข้าใจหรือรู้จักมันไหมเท่านั้นเอง  สุดท้ายสำหรับมุมมองของผม  สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือตัวของเรานั่นเอง  เพราะมีเพียงแต่เราเท่านั้นที่จะทำให้การลงทุนใดๆก็ตามประสบความสำเร็จดังใจปรารถนา  หรือล้มเหลวจนหมดเนื้อหมดตัวอย่างที่คนสมัยเก่าชอบขู่ว่าอย่าไปยุ่งกับหุ้น  แต่มาวันนี้  คนที่ยุ่งกับหุ้นมาตั้งแต่เด็กอย่างบัฟเฟต  กลับติดอันดับร่ำรวยที่สุดในโลก


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 15 กันยายน 2011, 15:31:06
แตกประเด็น
     สำหรับช่วงนี้ไม่ค่อยมีประเด็นอะไรมานำเสนอ  ก็เผอิญว่ามีข้อความส่งมาหาผมพอดี  และในข้อความดังกล่าว  สามารถนำมาแยกประเด็นออกมาได้หลายอย่างเป็นเรื่องเป็นราว  ผมก็เลยนำข้อความนั้นมาแยกประเด็นแล้วก็นำมาตีแผ่ให้คุณๆได้อ่านกัน  เพื่อรับรู้ถึงแนวความคิดของผมเอง  ซึ่งก็ต้องขอบอกก่อนว่า  ไม่ได้มีเรื่องเคืองใจกับเจ้าของข้อความ  และประเด็นที่ผมจะนำเสนอนี้  อาจจะถูกใจหรือไม่ถูกใจคนอื่นก็ได้  อย่างไรเสีย  ก็อ่านไว้เพื่อประดับความรู้ก็แล้วกันนะครับ

อันนี้เป็นข้อความแรกที่ส่งถึงผม

จะอธิบายว่าทำไมทองคำถึงมีความเสี่ยงต่ำกว่าสินทรัพย์อย่างอื่นนะค่ะ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณค่าในตัวเอง ไม่เหมือนกับหุ้น สมมุติว่าคุณต้องการทำกิจการอะไรสักอย่างแล้วลงหุ้นกันแล้วกิจการนั้นทำไปแล้วไม่ดีเกิดเจ้งเงินที่ลงทุนไปก็เป็นศูนย์(ถูกต้องหรือไม่ค่ะ) ส่วนทองคำถามว่ามีโอกาสเป็นศูนย์หรือไม่ มีแต่น้อย หรืออาจจะไม่มีโอกาสเลย ถ้าจะถามว่าทองคำเกิดขึ้นได้อย่างไรทองคำคือแร่ธาตุ(ถูกต้องไหมค่ะ) การเกิดทองคำไม่ได้เกิดขึ้นได้ในเวลาปีสองปี มันอาจจะเกิดขึ้นได้นั้นเป็นร้อยๆ ปีแล้วเหมืองแร่ทองคำไม่ได้มีทุกที่ทุกจังหวัดหรือทุกจุดทั่วโลก กว่าจะพบเหมืองแร่ทองคำไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วทองคำเป็นสัญญาลักษณ์ของความร่ำรวย ใครๆ ก็อยากครอบครอง แล้วคุณวายุคิดดูสิค่ะว่าความต้องการในตัวสินค้ามีมากแต่ตัวสิ้นค้ามีน้อย (ราคาของทองคำก็ย่อมสูงขึ้นถูกหรือไมค่ะ)แล้วอีกอย่างหนึ่งปัจจุบันจำนวนประชากรก็เพิ่มขึ้น ความต้องการก็ย่อมมีมากขึ้นแล้วทองคำก็จะเป็นสินค้าที่หาได้อยากขึ้นเนื่องจากใครๆๆ ก็อยากครอบครอง นี่แหล่ะค่ะคือเหตุผลว่าทำไมความเสี่ยงต่ำถ้าเราลงทุนทองคำ บอกรายละเอียดเท่านี้คุณวายุคงจะพอจะนึกภาพออกไหมค่ะ มีปัญหาหรือสงสัยเรื่องทองคำเอ..หรือสนใจอยากจะลงทุนตรงนี้ก็ติดต่อที่ micky.04@live.com

     ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณค่าในตัวเอง ไม่เหมือนกับหุ้น สมมุติว่าคุณต้องการทำกิจการอะไรสักอย่างแล้วลงหุ้นกันแล้วกิจการนั้นทำไปแล้วไม่ดีเกิดเจ๊งเงินที่ลงทุนไปก็เป็นศูนย์(ถูกต้องหรือไม่ค่ะ)  สำหรับเรื่องของทองคำ  ผมได้ลงไว้ให้อ่านไปแล้ว  และผมก็หมายความตามนั้นแหละว่า  ทุกวันนี้คนเราอุปโลกน์ตีค่าราคาของทุกอย่างบนโลกนี้ขึ้นมากันทั้งนั้น  ผมไม่ได้บอกว่ามันถูกหรือผิด  แต่มันอยู่ที่ความนิยมต่างหาก  ถ้าของสิ่งใดก็ช่างมีคนต้องการมัน  ของสิ่งนั้นก็ยังมีราคาอยู่  ถ้าของสิ่งใดไม่มีใครต้องการมัน  มันก็ไม่มีราคา  แต่ตอนนี้ผมกำลังจะพูดถึงเรื่องการทำธุรกิจนะครับ

     สาเหตุหลักในการลงทุนทำธุรกิจอย่างแรกเลยก็คือ  ถ้าเราทำสำเร็จ  การลงทุนนั้นมันก็จะตอบแทนเราด้วย  “กระแสเงินสด”  ที่เราไปทำงานเป็นลูกจ้างคนอื่น  ก็เพราะเราต้องการกระแสเงินสดใช่หรือไม่?  กระแสเงินสดก็คือเงินรายเดือน  รายสัปดาห์  รายวัน  หรือแม้แต่รายชั่วโมง  เราต้องการกระแสเงินสดตรงนี้เพื่อมาหมุนเวียนจับจ่ายใช้สอยในชีวิต  คงไม่มีใครไปทำงานโดยหวังว่าสักวันหนึ่งเมื่อตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตก็จะขายตำแหน่งเพื่อทำกำไร  การทำธุรกิจก็เช่นเดียวกัน  เราลงทุนทำธุรกิจก็จะได้กำไร  และกำไรส่วนนั้นก็จะกลายมาเป็นกระแสเงินสดให้เราไปจับจ่ายใช้สอยนั่นเอง  อาจจะมีบ้างบางคนที่สร้างธุรกิจนั้นให้ดี  และสุดท้ายก็ขายมันในราคาแพง  และก็ดำเนินกระบวนการนั้นต่อไปเพื่อทำกำไร(อย่างที่เขาเซ้งกิจการกัน)  แต่การธุรกิจมันก็มีความเสี่ยง  แต่ความเสี่ยงพวกนั้น  เราสามารถจัดการหรือควบคุมมันได้  ยกตัวอย่างเช่น  เราขายอาหารเพราะเราทำอร่อย  และพอขายไปเรื่อยๆก็มีคู่แข่งโผล่ออกมา  เขาอาจจะทำไม่อร่อย  แต่เขาหาจุดขายด้วยการขายปริมาณเยอะ  แล้วคุณคิดว่า  ใครจะอยู่ใครจะไป  จากประสบการณ์จริงของผมแล้ว  มันจะอยู่ได้ทั้งสองเจ้า  เพราะเขาใช้กลยุทธ์การขายที่ไม่เหมือนกัน  ซึ่งตรงนี้จะเห็นว่า  ถึงแม้ว่าจะทำธุรกิจอย่างเดียวกัน  แต่จุดขายต่างกัน  ก็สามารถจับลูกค้าคนละกลุ่มกันได้  แต่ถ้าเจ้าแรกเห็นว่า  เขาได้เปรียบเรื่องรสชาติอยู่แล้ว  เขาพยายามจะจับลูกค้าทั้งสองกลุ่มเลย  เขาก็เน้นปริมาณขึ้นอีกหน่อย  เพื่อไปกินลูกค้าในส่วนที่ชอบปริมาณเยอะ  ถ้าเจ้าที่สองอยากอยู่รอด  ก็คงต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์กันต่อไป  เมื่อดูดังนี้จะเห็นว่า  ในการทำธุรกิจ  เราสามารถจัดการและควบคุมความเสี่ยงได้  ซึ่งต่างจากการลงทุนในทอง  เพราะราคาทองคำ  เราไม่สามารถควบคุมราคาได้เลย  แล้วอย่างนี้ท่านคิดว่า  อะไรเสี่ยงกว่ากัน  แต่ในเมื่อมันมีเสียมันก็ต้องมีดี  เพราะถ้าเรารู้อะไรบางอย่าง  และเราสามารถคาดการณ์มันได้ถูกต้อง  เราก็สามารถทำเงินจากมันได้  เพราะผมเคยบอกมาแล้วว่า  “ถ้าเราไม่รู้อะไรเลย  นั่นคือการพนัน  แต่ถ้าเรารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น  นั่นคือการลงทุน”

     ส่วนทองคำถามว่ามีโอกาสเป็นศูนย์หรือไม่ มีแต่น้อย หรืออาจจะไม่มีโอกาสเลย   อันนี้โดยความเห็นส่วนตัวแล้วมันก็คงจะจริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละ  เพราะอย่างไรเสียทองก็ยังเป็นสิ่งที่มีความนิยมโดยทั่วไปอยู่  แต่การเล่นบนราคาโดยไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาอ้างอิงนั้นไม่มีใครตอบได้ว่าราคามันจะไปอยู่ที่ตรงไหน  คล้ายกับการเล่นหุ้นปั่นนั่นแหละ  ถ้าผมถามว่า  พรุ่งนี้  สัปดาห์หน้า  เดือนหน้า  ปีหน้า  ราคาทองจะขึ้นหรือลง  และจะขึ้นหรือลงไปที่ราคาเท่าไหร่  ผมว่าคงไม่มีใครตอบได้  จากประสบการณ์ที่อยู่ในตลาดมา  ราคาทองมักจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักสองตัวนั่นก็คือ  ความต้องการทองและปริมาณเงินดอลล่าร์  ถ้าเราดูกันที่ปริมาณเงิน  ตอนนี้ถ้าคิดอย่างง่ายๆว่า  ถ้าเราลงทุนในทองคำโดยหวังจะได้กำไรสักหนึ่งเท่าตัว  ปริมาณเงินที่จะต้องมีเพิ่มขึ้นมาในระบบมันก็ต้องเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเท่าตัวเช่นกัน  แล้วเราคิดว่ามันมีทางเป็นไปได้ไหม  ในโลกนี้อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ  แต่เราจะรู้หรือไม่ว่ามันจะเกิดไหม  และจะเกิดเมื่อไหร่  ถ้าคุณรู้  คุณก็ลงทุนได้  ถ้าคุณไม่รู้  คุณก็กำลังพนันอยู่

     ทองคำเป็นสัญญาลักษณ์ของความร่ำรวย ใครๆ ก็อยากครอบครอง แล้วคุณวายุคิดดูสิคะว่าความต้องการในตัวสินค้ามีมากแต่ตัวสินค้ามีน้อย (ราคาของทองคำก็ย่อมสูงขึ้นถูกหรือไม่คะ)แล้วอีกอย่างหนึ่งปัจจุบันจำนวนประชากรก็เพิ่มขึ้น ความต้องการก็ย่อมมีมากขึ้นแล้วทองคำก็จะเป็นสินค้าที่หาได้ยากขึ้นเนื่องจากใครๆๆ ก็อยากครอบครอง นี่แหละค่ะคือเหตุผลว่าทำไมความเสี่ยงต่ำถ้าเราลงทุนทองคำ  คำถามของผมก็คือ...จริงหรือ?  ที่ว่าใครต่อใครก็อยากครอบครองทองคำ  ผมว่า  สาเหตุหนึ่งที่เขานิยมทองคำนั้น  ตัวเขาเองก็ไม่ได้คิดเองหรอกว่ามันมีค่าสำหรับตัวเขา  แต่เขามองดูจากคนอื่นว่า  คนอื่นเขานิยม  เขาก็เลยนิยมตาม  เพราะทองคำเป็นสิ่งที่มีความนิยมโดยทั่วไป  สาเหตุหนึ่งก็น่าจะมาจาก  มันทนกรด  ทนไฟ  ไม่เป็นสนิม  ไม่ว่าจะหลอมหรือเปลี่ยนรูปลักษณ์มันออกมาเป็นอย่างไรก็ช่าง  มันก็ยังมีอณูหรือโมเลกุลเป็นทองคำอยู่ดี  ถ้าวันหนึ่งเขาเลิกนิยมทองแล้วหันไปนิยมอย่างอื่นแทน  ผมว่าคงจะมีคนทิ้งทองกันบานเบอะเหมือนกัน  เพราะคนพวกนี้ชอบแห่ตามกัน  แห่ไปแห่มาก็เลยคล้ายๆแมงเม่า  และคนปั่นก็เล่นกับความโลภของคน(แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่ามีบางคนปั่นราคาทองนะครับ)  คนที่เห็นความเคลื่อนไหวของราคาแล้วก็เกิดจินตนาการว่ามันต้องไปต่อ  ก็จะกระโดดเข้ามาช่วยกันเป่าลมคนละนิดคนละหน่อย  ช่วยกันหลายคนฟองสบู่ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเร็ว  แต่พอมันแตกเมื่อไหร่มันก็บรรลัยล่ะคร้าบ  ถ้าใครเคยดูสารคดีเกี่ยวกับหนูเล็มมิงค์ก็จะเห็นว่า  มันต่างแย่งกัน  เบียดเสียดยัดเยียดกัน  เหยียบกัน  และพยายามวิ่งไปให้ถึงหน้าผาให้เร็วที่สุด  และพอสุดหน้าผามันก็ตกลงไปในทะเล  แล้วมันก็พยายามตะเกียกตะกายว่ายน้ำเพื่อแย่งกันไปตายกลางทะเล  แล้วก็จบสำหรับนิทานเรื่องนักลงทุนตามแห่  เอ้ย…!!!...ไม่ใช่  สารคดีเรื่องหนูเล็มมิงค์

     ส่วนที่บอกว่าทองคำหายากขึ้น  อันนี้ก็จริงนะครับ  เพราะขุดกันมาตั้งแต่สมัยฝรั่งตื่นทองแล้ว  และคุณทราบไหมครับว่าสมัยนั้นใครรวย  คนที่รวยจากสมัยนั้นเขาเรียกกลยุทธ์การหารายได้แบบนี้ว่าขุดและตัก  ช่วงนั้นฝรั่งตื่นทองเป็นอันมาก  ต่างคนต่างก็มุ่งหน้าไปที่เหมืองเพื่อหาทองคำกัน  แต่ไม่มีใครได้อะไรมากสักเท่าไหร่หรอก  คนที่ได้เยอะรู้ไหมใคร?  คนที่ขายพลั่ว  จอบ  และตะแกรงร่อนให้กับนักเสี่ยงโชคทั้งหลายนั่นแหละที่รวย  เพราะขายกันไม่หวาดไม่ไหว  เพราะนักเสี่ยงโชคแต่ละคนก็มุ่งหน้าเข้าไปอยู่จนกลายเป็นเมืองเลยทีเดียว  คนที่ค้าขายให้กับคนพวกนี้ก็ขายของกันอย่างสนุกสนาน  ได้กำรี้กำไรกันไปจนหน้าบานเชียว  ยกตัวอย่างเช่น  ยีนส์ลีวายส์ก็เกิดในสมัยนี้  ที่เขาขายยีนส์ได้ก็เนื่องจาก  เขาเอาผ้าที่มีความทนทานและราคาถูกมาเย็บขาย  ทำให้นักขุดทองพอใจเป็นอันมากที่ไม่ต้องเสียเวลามาเปลี่ยนชุดบ่อย  จะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการงมหาเศษทอง...หุ  หุ  และลองมาดูในประเทศไทยสิ  บ้านใครหรือตรงไหนมีของแปลกๆผิดธรรมชาติ  ก็จะมีนักเล่นหวยแห่กันไปเป็นจำนวนมาก  คนที่ได้แน่ๆก็คือคนที่ขายดอกไม้ธูปเทียนให้กับคนพวกนี้นั่นเอง  และยัง...ยังไม่พอ  ตอนนี้มีการตื่นทองรอบใหม่กันคุณคิดว่าใครรวย  ก็คนที่ขนเอาเครื่องมือทางการเล่นทองทั้งหลายมาขายให้กับคนอยากรวยนั่นแหละเช่น  กองทุนรวม  นายหน้า  มาร์เก็ตติ้ง  โบรกต่างๆ  และตลาดอนุพันธ์  คนพวกนี้เขาได้แน่ๆ  ได้ค่าคอมฯจากเราไง  เราลงทุนเสร็จก็ไปวัดดวงเอาเอง  เขาไม่เกี่ยว  เราซื้อเขาก็ได้เงิน  เราขายเขาก็ได้เงิน  ไม่มีความเสี่ยง  เหอ  เหอ  และยิ่งพวกที่ขายอนุพันธ์นี่ยิ่งไปใหญ่  คนพวกนี้จะบอกว่ามันไม่ใช่จะได้กำไรจากการขึ้นเพียงอย่างเดียว  ถ้าทองมันลง  เราก็ขายก่อนแล้วค่อยมาซื้อคืนทีหลังก็ได้ตังค์เหมือนกัน  ฟังดูดีนะ  แต่ปัญหาก็คือ  แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าจะต้องทำอะไรตอนไหน  ถ้าผมถามว่าพรุ่งนี้ทองจะเป็นอย่างไร  คุณตอบได้ไหม  ถ้าคุณไม่รู้  คุณก็กำลังพนันอยู่  และถ้าคุณเสียนี่  เสียหนักด้วย  เพราะถ้าเราเสียเขาก็จะทวงให้เอาเงินไปเติม  ถ้าเราไม่เอาเงินไปเติม  เขาก็จะขายสัญญาของเราออกมาซะงั้น  เราจะฉิบหายอย่างไรช่างมัน  ขอให้กรูได้เงินก็พอแล้ว

     และข้อความนี้เป็นข้อความที่สองที่ส่งถึงผม  ผมขออนุญาตนำมาลงเพื่อเป็นการอ้างอิงก็แล้วกันนะครับ


ถามว่าถ้าทองลงเหลืออะไร ก็เหลือทองคำสิค่ะ สมมุติว่าเราซื้อทองมายี่สิบบาทถือเก็บไว้เมื่อทองคำลงก็ยังเหลือทองคำเก็บไว้(การซื้อทองก็เหมือนเป็นการซื้อแร่ธาตุ ถือแร่ฯ ที่มีค่าในตัวเองก็ดีกว่าถือลมไว้ถูกต้องไหมค่ะ) ดิฉันจะตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับบริษัทฯ เท่านั้นนะค่ะ ถ้าคุณไม่ได้สนใจตรงจุดนี้ดิฉันคงตอบคำถามมากไม่ได้ การซื้อขายทองคำของบริษัทมีทั้งทำกำไรทั้งขาขึ้นและขาลง(แต่ดิฉันเชื่อว่าคุณวายุคงทราบอยู่แล้ว)
ส่วนในกรณีหุ้นของคุณวายุดิฉันเข้าใจค่ะ แต่ในทางกลับกันถ้าหุ้นมันลงหรือไม่มีผลกำไรในปีนั้น หรืออาจจะเจอวิกฤติทางการเงินเหมือนเมื่อประมาณปี40 ดิฉันก็ไม่ทราบว่าคนที่เล่นหุ้นเค้าจะได้อะไรตอบแทนน่ะค่ะ (เรื่องหุ้นดิฉันอาจจะไม่เก่งเท่าคุณวายุน่ะค่ะ)ต้องขอโทษด้วยนะค่ะที่ตอบได้แค่นี้ ขอบคุณสำหรับคำถามที่ไม่ได้ไล่บี้

     ถามว่าถ้าทองลงเหลืออะไร ก็เหลือทองคำสิค่ะ สมมุติว่าเราซื้อทองมายี่สิบบาทถือเก็บไว้เมื่อทองคำลงก็ยังเหลือทองคำเก็บไว้(การซื้อทองก็เหมือนเป็นการซื้อแร่ธาตุ ถือแร่ฯ ที่มีค่าในตัวเองก็ดีกว่าถือลมไว้ถูกต้องไหมค่ะ)  คำถามต่อไปก็คือแค่ถือเก็บไว้โดยไม่ได้ผลตอบแทนน่ะหรือครับ  มันเป็นการลงทุนแบบคิดชั้นเดียวเท่านั้น  ถ้าราคาทองมันไม่กลับมาเลยคุณจะทำอย่างไรครับ  ถ้าผมซื้อหุ้นแล้วหุ้นมันตก  ระหว่างที่ถือผมก็ยังได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลบ้างนะครับ  ก่อนที่ผมจะซื้อหุ้น  ผมจะทำการตรวจสอบถึงเงินปันผลทุกครั้ง  เพราะผมก็ไม่ได้ไว้ใจตลาดหรือบริษัทที่ผมถือหุ้นไว้มากมายนัก  ผมจึงต้องมีแผนสำรองไว้เผื่อฉุกเฉินไงครับ  ถ้าผมถามกลับไปว่า  ถ้าเราซื้อหุ้นในราคา  10  บาท  แล้วหุ้นนั้นสามารถปันผลให้เราได้ปีละ  1  บาทไปตลอด  คุณคิดว่าเป็นการลงทุนที่ดีไหม  ผมคิดว่าคุณคงตอบว่าดี  เพราะแค่  10  ปีคุณก็ได้เงินคืนหมดแล้ว  และหลังจากนั้นเราก็จะได้เงินเข้ากระเป๋าฟรีๆทุกปีโดยไม่มีความเสี่ยง  แล้วยิ่งดีเข้าไปใหญ่  ถ้าเราเลือกบริษัทที่สามารถจ่ายปันผลให้เราเพิ่มได้ทุกปี  จริงๆแล้วผมสามารถลงทุนแบบนี้ได้โดยไม่ต้องมีเรื่องราคาหุ้นเข้ามาเกี่ยวข้องก็ได้  เพราะอย่างไรเสียผมก็ว่ามันเป็นการลงทุนที่ดี  แต่ในเมื่อมันมีหุ้นให้ซื้อขายกันได้ในตลาด  ราคาหุ้นนั้นก็ย่อมมีการเหวี่ยงขึ้นลงเป็นธรรมดา  ถ้าผลประกอบการมีแนวโน้มที่ดีขึ้น  เขาก็คาดว่าจะได้รับผลตอบแทนหรือเงินปันผลเพิ่มขึ้นจากปีก่อน  ราคาหุ้นมันก็จะถูกซื้อขายกันในราคาที่แพงขึ้นไป  เพื่อให้เหมาะสมกับผลตอบแทน  เมื่อเป็นดังนี้  ผมก็เลยได้กำไร  2  เด้ง  เด้งที่หนึ่งจากเงินปันผลที่เพิ่มขึ้น  และเด้งที่สองจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น  ซึ่งการลงทุนแบบนี้  ไม่สามารถเกิดขึ้นกับทองคำได้  เพราะทองคำมีผลตอบแทนแค่ทางเดียวคือราคาเท่านั้น  และการที่ทองคำจะมีราคาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ  เพราะผู้เล่นมีทั้งโลก  ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะขึ้นมาเป็นเท่าตัวได้  แต่สำหรับหุ้นแล้ว  ขึ้นเป็น  10  เท่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ  ดูหุ้น  ปตท.หรือบ้านปูก็ได้  ปตท.เข้าตลาดราคา  35  บาท  ทุกวันนี้ก็เหวี่ยงแถวๆ  350  บาท  ราคาขึ้นมา  10  เท่าตัวแล้วครับ  ราคาของทองมันเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งโลก  ซึ่งกว้างไป  เราสามารถติดตามเหตุการณ์ของโลกทั้งใบได้หรือไม่  แต่สำหรับราคาหุ้นมันเกี่ยวข้องกับบริษัทแต่ละแห่งซึ่งดูง่ายกว่า

     การซื้อขายทองคำของบริษัทมีทั้งทำกำไรทั้งขาขึ้นและขาลง(แต่ดิฉันเชื่อว่าคุณวายุคงทราบอยู่แล้ว)  อันนี้ทราบแล้วครับ  และได้อธิบายไปแล้วด้วย

     ส่วนในกรณีหุ้นของคุณวายุดิฉันเข้าใจค่ะ แต่ในทางกลับกันถ้าหุ้นมันลงหรือไม่มีผลกำไรในปีนั้น หรืออาจจะเจอวิกฤติทางการเงินเหมือนเมื่อประมาณปี40 ดิฉันก็ไม่ทราบว่าคนที่เล่นหุ้นเค้าจะได้อะไรตอบแทนน่ะค่ะ (เรื่องหุ้นดิฉันอาจจะไม่เก่งเท่าคุณวายุน่ะค่ะ)ต้องขอโทษด้วยนะค่ะที่ตอบได้แค่นี้ ขอบคุณสำหรับคำถามที่ไม่ได้ไล่บี้  อันนี้ต้องแยกออกมาเป็นแต่ละประเด็นนะครับ  ถ้าหุ้นมันลง   คุณก็จะมีปันผล  ไม่มีผลกำไรในปีนั้น   อันนี้ต้องดูว่าเพราะอะไร  ถ้าหุ้นมันดีแต่มันเจอวิกฤต  ถ้าเราไม่อยากถือ  เราจะขายเอาเงินคืนมาก่อนก็ได้นี่ครับ  อาจจะเจอวิกฤติทางการเงินเหมือนเมื่อประมาณปี40   เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า  ที่คุณพูดนั้นคุณหมายถึงเศรษฐกิจและตลาดหุ้นนะครับ  แต่ถ้าคุณลองมองลึกลงไปดีๆจะเห็นว่า  มันก็ไม่ได้แย่ไปทุกบริษัทนี่  มันก็จะมีบางบริษัทที่ยังอยู่ได้  หรือมีบางบริษัทที่ได้รับผลดีจากเหตุการณ์นั้นด้วยซ้ำยกตัวอย่างเช่น  ช่วงนั้นค่าเงินบาทอ่อนตัวอย่างรุนแรง  บริษัทที่ส่งออกจะกำไรดีมากขึ้นเป็นพิเศษ  และราคาหุ้นของพวกธุรกิจส่งออกก็พุ่งขึ้นมาในช่วงนั้นแหละ  คุณลองไปหาหนังสือ  “ตีแตก”  ของ  ดร.นิเวศน์  มาอ่านดูก็ได้ว่าเขารอดช่วงนั้นมาได้อย่างไร  และทำได้ดีด้วย  และที่สำคัญ  เราต้องรู้จักพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส  ถ้าหุ้นมันลงเยอะเหมือนช่วงนั้น  คุณก็อย่ารอช้า  มีเงินเท่าไหร่ก็รีบสอยหุ้นดีราคาถูกมาให้หมดกระเป๋า!!!


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 15 กันยายน 2011, 15:40:05
มาซะยาวเลยกระทู้นี้ ขอเวลาอ่าน 1 วันครับ คริๆ

ขอบคุณท่านวายุมากครับ ที่นำเอาบทความดีๆมาลงอย่างสม่ำเสมอ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 15 กันยายน 2011, 15:46:57
จะซื้อทองหรือหุ้นแล้วแต่ถนัดเน้อ
แต่ถ้าทองผมว่าน่าจะซื้อเป็นทองจริงๆเก็บไว้ สำหรับ gold futures น่าจะเหมาะสำหรับคนมีทุนมากๆหรือพวกอาเฮียอาซ้อร้านทอง  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 15 กันยายน 2011, 15:48:56
คนทำงานแบบเราๆไม่มีเวลามานั่งจ้องราคาหรอกครับ

ซื้อของจริงดีกว่าสบายใจดี


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 15 กันยายน 2011, 16:10:49
ประกาศ!!!
     เสาร์นี้ว่าง  สนใจคุยเรื่องลงทุนกับผมก็เชิญได้  ใครมีที่ดีๆสงบๆหน่อยก็แนะนำด้วย  เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเข้ามาอ่านอีกที  ถ้าไม่มีที่ดีๆ  ผมเอา  CR  MALL  แล้วกันนะ  เพราะไม่รู้จะไปที่ไหน  หนวกหูหน่อยแต่ก็พอทน

     วันเสาร์  4  โมงเย็น  CR  MALL  ผมใส่กางเกงขายาวสีดำ  ผมสั้นเกรียนๆนะครับ  แล้วเจอกัน  แต่ถ้าใครมีที่ดีกว่านี้ก็แนะนำเข้ามา


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 23 กันยายน 2011, 15:01:54
อิสรภาพ
     เมื่อกล่าวถึงอิสรภาพแล้ว  สิ่งที่ผมนึกถึงก็คือ  การทำอะไรก็ได้ตามใจปรารถนาโดยต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการไม่เบียดเบียนใครและไม่ทำให้ใครเดือดร้อน  เราอยากกินอะไรก็กิน  เราอยากไปเที่ยวไหนก็ไป  ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะไม่สามารถเป็นจริงได้อย่างสมบูรณ์แบบหากเราขาดอีกสิ่งหนึ่งนั่นก็คือ  “อิสรภาพทางการเงิน”

     เมื่อกล่าวถึงอิสรภาพทางการเงินแล้วหลายคนอาจสงสัยว่ามันต้องมีลักษณะเป็นอย่างไร  ถ้าให้ผมจำกัดความก็คือ  เราต้องมีรายรับมากกว่ารายจ่ายโดยที่ไม่ต้องทำงาน   เราจึงจะสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา

     ทุกวันนี้เราต่างปฏิเสธไม่ได้ว่าชีวิตของคนเรานี้ช่างยุ่งนักเชียว  เพราะต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆตั้งแต่ยังเป็นวุ้นอยู่ในตัวของพ่อเสียด้วยซ้ำ  พอพ่อมีเมียเราก็เข้าไปอยู่ในท้องแม่  แม่ก็ต้องไปเสียเงินฝากท้องอีก  ตอนคลอดก็ต้องเสียเงินอีก  พอเกิดมาและใช้ชีวิตจนตายไปแล้วก็ยังไม่วายต้องใช้เงินมาจัดงานศพอีก  เพราะฉะนั้นแล้ว  ชีวิตของเราต้องยุ่งเกี่ยวกับเงินไปตลอดชีวิต  และถ้าในช่วงชีวิตของเราที่ได้เกิดมาเป็นคนกับเขาทั้งที  ต้องมาทำงานเพื่อหาเงินกันทั้งชีวิตคงไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่  ผมเชื่อว่าหลายคนคงคิดแบบนั้น  แต่ก็ไม่รู้ว่า  “เมื่อไหร่”  ที่จะได้ใช้ชีวิตอิสระอย่างนั้นจริงๆ  คำว่าเมื่อไหร่นั้นดูเหมือนว่ามันอยู่ห่างไกลสำหรับใครหลายคน  และมันดูเหมือนกับว่าไม่สามารถเป็นจริงได้  เพราะในทุกๆวัน  ชีวิตเขาต้องถูกพันธนาการจากอะไรหลายอย่างเช่น  อาหารการกิน  คนที่ต้องเลี้ยงดู  ที่อยู่อาศัย  และของที่เขาเห็นว่าจำเป็น  แต่ถ้าเรามุ่งมั่นจะไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้  สิ่งหนึ่งที่เราต้องมีก็คือ  “ความฉลาดทางการเงิน”

     ก่อนอื่นเราต้องเคลียร์ใจกันก่อนเลยว่า  เราถูกสอนให้มองเงินว่าเป็นสิ่งมีค่า  เป็นของหายาก  และต้องทำงานเท่านั้นจึงจะได้เงินมาตั้งแต่เด็กใช่หรือไม่  ถ้าคำตอบคือใช่  ผมอยากให้คุณลืมคำสอนพวกนั้นไปเสีย  สลัดความคิดที่โดนปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กที่มองว่าเงินเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง  มาเป็นมองว่าเงินมันเป็นแค่ตัวกลางในการแลกเปลี่ยนเท่านั้น  “เพราะเงินมันก็แค่เงิน”  ถ้าคุณลองหลับตานึกถึงเหตุผลจริงๆและตั้งคำถามว่า  เงินพวกนี้มาจากไหน  มันก็มาจากรัฐบาลหรือประเทศต่างๆพิมพ์ออกมาใช่หรือไม่  ลองดูหนังเรื่องคู่กรรมเป็นตัวอย่างก็ได้  ญี่ปุ่นเข้ามาในประเทศไทยแล้วก็พิมพ์เงินขึ้นมาเอง  โดยบังคับให้คนไทยต้องยอมรับในเงินที่พวกมันพิมพ์ขึ้นมา  แต่เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม  เงินพวกนั้นก็ไม่มีความหมาย  หรืออีกตัวอย่างหนึ่งที่ผมเคยเอามาลงแล้ว  ตอนเวียดนามใต้รู้ว่าตัวเองกำลังจะแพ้สงคราม  พวกชาวบ้านต่างก็เอาเงินไปแลกเป็นทองคำกันวุ่นวาย  เพราะถ้าเวียดนามใต้แพ้สงคราม  เงินพวกนั้นก็จะไม่มีความหมาย  เงินมันเป็นแค่เพียงตัวกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนเท่านั้นเราควรมองให้ออกว่าสิ่งไหนมีค่า  และเราก็เอาเงินพวกนั้นไปเปลี่ยนให้เป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับเรา  หรือเป็นสิ่งที่คนอื่นก็เห็นว่ามันมีค่าเหมือนกัน  เพราะฉะนั้น  “อย่าเก็บเงินให้มากนัก”  เพราะ  “เงินมันก็แค่เงิน”  เราควรเอาเงินที่มีไปเปลี่ยนให้เป็นสิ่งที่มีค่า  หรือถ้าจะให้ดีที่สุด  ควรเอาไปเปลี่ยนให้เป็นสิ่งที่มีค่าเพิ่มขึ้นตลอดเวลาหรือสามารถให้ผลตอบแทนเราตลอดเวลาจะดีกว่า

     แล้วต้องทำอย่างไรล่ะเราถึงจะมีอิสรภาพทางการเงิน  คำถามนี้มีคำตอบเดียวแต่มีหลายวิธีการ  คำตอบเดียวก็คือ  มีรายรับไหลเข้ากระเป๋าโดยที่เราไม่ต้องทำงานอีกเลย  ส่วนหลายวิธีการนั้นก็ได้แก่  มีบ้านให้เช่า  ทำธุรกิจที่มีลูกน้องทำให้  หรือได้รับเงินปันผลจากหุ้น  แต่ที่ผมจะเน้นจริงๆก็คือหุ้น  เพราะว่าผมรู้จักมันดีที่สุด

     เงินปันผลของหุ้นนั้นมาจาก  ผลกำไรของบริษัทที่เรามีหุ้นของเขาอยู่  และเมื่อครบกำหนดจ่ายปันผล  เงินกำไรบางส่วนหรือทั้งหมดที่เขาทำได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆแล้วก็จะถูกส่งมาให้เรา  มากบ้างน้อยบ้างก็แล้วแต่ผลประกอบการและจำนวนหุ้นที่เราถืออยู่  คนที่ต้องการมีอิสรภาพจริงๆเขาจะมองเงินปันผลมากกว่าราคาหุ้น  เพราะเงินปันผลคือกระแสเงินสดที่จะได้รับจริงๆ  ส่วนราคาหุ้นเป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น  คนที่มองราคาหุ้นเป็นหลัก  อย่างพวกเทรดเดอร์หรือนักลงทุนที่ชอบซื้อขายเป็นกิจวัตร  ตามความเห็นของผมแล้ว  คนพวกนี้ไม่ถือว่าเป็นนักลงทุนเสียด้วยซ้ำ  เพราะนักลงทุนจะต้องปล่อยให้เงินไปทำงานแทน  มิใช่เป็นคนเข้าไปควบคุมเงินให้มันเคลื่อนไหวตลอดเวลา  คนพวกนี้จะมีชีวิตที่ไม่สงบสุขนัก  เพราะชีวิตในแต่ละวันก็จ้องที่จะซื้อจะขายอยู่ตลอด  นอกจากจะไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นแล้ว  คนพวกนี้จะเสียสุขภาพจิต  และเสียค่าคอมเยอะกว่าคนที่เป็นนักลงทุนจริงๆ  คนที่ซื้อขายหุ้นรายวัน  จะไม่มีวันมีอิสรภาพทางการใช้ชีวิตและอิสรภาพทางการเงินได้เลย  นักลงทุนตัวจริงจะซื้อก็ต่อเมื่อราคาหุ้นนั้นถูกหรือเหมาะสมกับผลตอบแทน  และจะขายเมื่อราคาหุ้นนั้นไม่คุ้มค่ากับผลตอบแทนที่จะได้รับก็เท่านั้นเอง  เขาไม่ต้องมานั่งเก็งหรอกว่าพรุ่งนี้หรือชั่วโมงหน้าราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร  เพราะสิ่งที่เขาจะได้รับจริงๆมันสัมผัสได้  ไม่ใช่ลอยอยู่ในอากาศเหมือนราคาหุ้นที่เหวี่ยงไปมา  คนที่ฉลาดจริงๆก็คือ  “กำไรเมื่อซื้อ  ไม่ใช่เมื่อขาย”

     ดังนั้น...หลักใหญ่ใจความก็คือ  เราต้องมีความฉลาดทางการเงิน   ควรรู้จักเปรียบเทียบเงินลงทุนกับผลตอบแทนที่จะได้รับ  ไม่ใช่การประเมินราคาเพื่อซื้อมาขายไปทำกำไรเฉพาะหน้า  หรือเล่นกับกระแสของตลาด  และเราต้องรู้จักเอาเงินที่มีไปเปลี่ยนให้เป็นสิ่งที่มีค่า   ถ้าเมื่อไหร่ที่เงินปันผลที่เราได้รับเข้ามามีมากกว่ารายจ่าย  เมื่อนั้นอิสรภาพทางการเงินและอิสรภาพทางการใช้ชีวิตก็จะเป็นของคุณ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 24 กันยายน 2011, 20:30:14
     วันนี้เอาหุ้นระดับเทพมาลง  ยังไงเพื่อนนักลงทุนก็ดูราคาหุ้นและประเมินความพอใจของผลตอบแทนเอาเองนะครับ

     ดูปันผลกันก่อนเพื่อยั่วน้ำลาย  หุ้นตัวนี้ปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี

http://www.set.or.th/set/companyrights.do?symbol=CPALL&language=th&country=TH

ปี  52  ปันหุ้นละ  60  สตางค์
ปี  53  ปันหุ้นละ  80  สตางค์
ปี  54  ปันหุ้นละ  40  สตางค์ตอนเดือน  พ.ย  และอีก  1  บาทตอนเดือน  เม.ย

     มาดูฐานะของบริษัทบ้าง

http://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=CPALL&language=th&country=TH

กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทุกปี
กำไรต่อหุ้นก็เลยเพิ่มขึ้นทุกปี
ราคาหุ้นมันก็เลยเพิ่มขึ้นทุกปีเหมือนกัน(ดูที่ช่องราคาล่าสุด)

     มาดูงบดุลกัน

http://www.set.or.th/set/companyfinance.do?type=balance&symbol=CPALL&language=th&country=TH

บริษัทมีเงินสดเกือบหมื่นห้าพันล้าน!!!
ส่วนหนี้สิน  มีแต่เงินที่ต้องชำระค่าสินค้าที่รับมาขาย  อันนี้มันจะชดเชยได้ด้วยสินค้าที่กำลังจะขายออกไป  เพราะถ้าย้อนกลับไปดูด้านบนจะเห็นว่า  สินทรัพย์หมุนเวียนมีค่ามากกว่าหนี้สินหมุนเวียน

     ดูงบกำไรขาดทุน

http://www.set.or.th/set/companyfinance.do?type=income&symbol=CPALL&language=th&country=TH

กำไรสุทธิทำได้สี่พันสองร้อยล้าน  อันนี้แค่ครึ่งปีนะ

     สุดท้าย  งบกระแสเงินสด

http://www.set.or.th/set/companyfinance.do?type=cashflow&symbol=CPALL&language=th&country=TH

ดูบรรทัดที่  10  ให้ดีๆเพราะเป็นไคลแมกซ์ที่บอกว่าระดับเทพ  นั่นก็คือ...ต้นทุนทางการเงินเป็นศูนย์  ซึ่งหมายถึง  บริษัทนี้ไม่มีหนี้เลย!!!  แจ่มอะไรเช่นนี้
และมาดูบรรทัดที่  5  จากข้างล่างสุดขึ้นมา  เงินสดสุทธิได้มาจาก (ใช้ไปใน) กิจกรรมจัดหาเงิน  ติดลบสี่พันกว่าล้าน  ถ้ามองดีๆขึ้นไปอีกหนึ่งบรรทัดจะเห็นว่า  เงินที่หายไปทั้งหมดนั้น  จ่ายออกไปในรูปแบบของเงินปันผล!!!

     ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า  บริษัทนี้เงินสดมาก  ไม่มีหนี้  โอกาสขยายตัวของกิจการยังมีอีกมาก  ทำธุรกิจได้รับเงินสดตลอดเวลา  หนำซ้ำบางครั้งยังได้เงินสดจากสมาชิกมาก่อนอีกต่างหาก  เงินปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี  แล้วจะรออะไรอยู่อีกกับบริษัทระดับเทพแบบนี้  เพราะฉะนั้นอย่ารอช้า  หุ้นตกก็ให้รับซื้อโดยพลัน  อย่าปล่อยให้มันลอยนวล


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: แมงมุม ที่ วันที่ 25 กันยายน 2011, 08:54:48
.

หุ้นตัวที่พี่วายุเอามาแนะนำ...อยากบอกว่า งบการเงินแจ่มมากๆ

--------------------

สรุปคร่าวๆของงบดุลให้

.



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 25 กันยายน 2011, 09:26:01
7 ของเสี่ยมันดีอยู่แล้ว เพียงแต่โดนมรสุมไปด้วย
ภาวนาอย่าให้แย่ไปกว่านี้ เซท


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: เอ็มไอ ซิก (MI6) ที่ วันที่ 25 กันยายน 2011, 11:49:16
7 ของเสี่ยมันดีอยู่แล้ว เพียงแต่โดนมรสุมไปด้วย
ภาวนาอย่าให้แย่ไปกว่านี้ เซท

ในเมื่อ งบการเงินดี  ปันผลดี กิจกรรมยังเติบโตได้ดี

การผลิตและจำหน่าย ก็ทำได้ครบวงจร

แล้วกำไรจะหนีไปไหน ถ้าไม่ใช่เข้ากระเป๋าในเครือเดียวกัน

เช่นการที่ 7-11 ขายขนมปัง ซึ่ง ทำเอง ได้วัถุดิบมาจาก CPF

กำไร ถ้าคิดแบบง่ายๆก็แค่ 30% เอง  คือของราคา 10 บาท

ต้นทุน 7 บาท อีก3 บาทคือกำไรล้วนๆ

ซึ่งต่างจาก ของที่รับแล้วมาขาย สินค้าบางตัว

ได้กำไรยังไม่ถึง 1% เลยก็มี จุดนี้จึงทำให้ 7-11 เติบโตได้อย่างมั่นคง

และถ้าราคาตกไปอีก ก็เข้าซื้อเก็บไว้ เนื่องจากผลประกอบการยังเหมือนเดิม

ที่ตกไปก็เพราะนักลงทุนต่างหวาดกลัวกับผีตัวเดิมๆ ตามที่ท่านวายุได้บอกไว้แล้ว

ซึ่งนี้คือโอกาสของนักลงทุนแบบคุณค่า

ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: marcus147 ที่ วันที่ 25 กันยายน 2011, 22:30:34
ขอบคุณ คุณวายุ มากเลยครับ
เคยอ่านงบหลายทีแล้ว แต่ไม่เข้าใจว่า บางอันมันหมายความว่ายังไง
ตอนนี้เข้าใจขึ้นเยอะเลย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 25 กันยายน 2011, 23:14:39
     แล้วที่บอกว่าจะซื้อน่ะ  เก็บของบ้างหรือยัง  เพราะตอนนี้ก็เดือน  9  แล้ว  ผมกำลังรองบการเงินออกอยู่(งบการเงินออกทุก 3 เดือน)  ถ้ามันออกมาดีตามคาด  ราคาหุ้นก็คงจะไปต่อ  แต่ถ้าราคาหุ้นมันไม่ไป  ก็แสดงว่าเป็นโอกาสซื้อของเราแล้ว  ตอนนี้ผมก็กำลังรอจังหวะเข้าซื้อเพิ่มอยู่  รอสัก  47.50  ก่อนแล้วจะค่อยๆทยอยรับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: marcus147 ที่ วันที่ 26 กันยายน 2011, 01:44:54
เก็บไปเรียบร้อยแล้วครับ
ถ้าตกอีกก็คงเก็บเพิ่ม  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 26 กันยายน 2011, 09:34:21
7 ของเสี่ยมันดีอยู่แล้ว เพียงแต่โดนมรสุมไปด้วย
ภาวนาอย่าให้แย่ไปกว่านี้ เซท

ในเมื่อ งบการเงินดี  ปันผลดี กิจกรรมยังเติบโตได้ดี

การผลิตและจำหน่าย ก็ทำได้ครบวงจร

แล้วกำไรจะหนีไปไหน ถ้าไม่ใช่เข้ากระเป๋าในเครือเดียวกัน

เช่นการที่ 7-11 ขายขนมปัง ซึ่ง ทำเอง ได้วัถุดิบมาจาก CPF

กำไร ถ้าคิดแบบง่ายๆก็แค่ 30% เอง  คือของราคา 10 บาท

ต้นทุน 7 บาท อีก3 บาทคือกำไรล้วนๆ

ซึ่งต่างจาก ของที่รับแล้วมาขาย สินค้าบางตัว

ได้กำไรยังไม่ถึง 1% เลยก็มี จุดนี้จึงทำให้ 7-11 เติบโตได้อย่างมั่นคง

และถ้าราคาตกไปอีก ก็เข้าซื้อเก็บไว้ เนื่องจากผลประกอบการยังเหมือนเดิม

ที่ตกไปก็เพราะนักลงทุนต่างหวาดกลัวกับผีตัวเดิมๆ ตามที่ท่านวายุได้บอกไว้แล้ว

ซึ่งนี้คือโอกาสของนักลงทุนแบบคุณค่า

ขอบคุณครับ
ถูกต้องครับ แต่คงต้องค่อยๆเก็บ อย่าบุ่มบ่าม


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 26 กันยายน 2011, 13:18:20
     ช่วงนี้หุ้นลงแรงกว่าที่คาด  เนื่องจากมีกองทุนผสมโรงช่วยขายด้วย  และคนซื้อก็ไม่กล้ารับ  ถ้าเป็นอย่างนี้สักเดือน  ตลาดหุ้นไทยคงหายไปจากโลก  ตลาดหุ้นมีไว้เพื่อดูว่า  มีใครกำลังทำอะไรโง่ๆอยู่หรือเปล่า(ขึ้นเกินไป/ลงเวอร์)  ผมเคยบอกไปแล้วว่า  การเล่นหุ้นหรือทองบนราคาอย่างเดียว  มันเป็นความเสี่ยงอย่างมาก  นี่ถ้าใครมีทองจริงๆอยู่  คงต้องกอดทองไว้อย่างนั้นโดยไม่ได้ประโยชน์อันใดอย่างที่ผมเคยบอกไปหลายครั้งแล้ว  ตอนนี้ผมกำลังจะหาประโยชน์จากของที่ผมมีอีกวิธีหนึ่งว่า  จะสามารถเพิ่มผลตอบแทนให้กับผมได้อีกหรือไม่  เพราะตอนนี้เค้ามีโครงการยืมหุ้นอยู่  ผมก็ว่าจะเอาหุ้นไปให้คนอื่นเขายืมเพื่อขายก่อนแล้วก็ค่อยซื้อมาคืนให้ผม  ถ้ามีคนมายืมหุ้นเรา  ได้ผลตอบแทนด้วยนะ  ปีละ  1  %  เป็นรายได้เพิ่มเติมจากเงินปันผล  ถ้าใครรู้รายละเอียดก็ช่วยบอกทีครับ  แต่ในเรื่องหลักการนี่ผมรู้แล้ว  ขาดแต่เพียงว่าต้องเข้าโครงการอย่างไร  และค่ายืมหุ้นนี้ผมจะได้รับรายได้มาทางไหนบ้างเช่น  เข้าบัญชีมาให้หรืออะไรทำนองนี้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: montonsiri ที่ วันที่ 27 กันยายน 2011, 20:03:33
รบกวนคุณวายุดูhmproให้หน่อย มือใหม่ครับขอบคุณมากครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 27 กันยายน 2011, 22:30:52
มายามดึกนึกว่าจะไม่มีใคร แต่เจอสมาชิกโพสถาม โฮมโปร
ถามท่านวายุ แต่ผมขอแบ่งปันสักนิดแล้วกัน ของผมเอาแบบกว้างๆ ถ้างบการเงินต้องรอท่านวายุมาตอบ หรือทางเทคนิคเคิลต้องรอท่านอื่นที่เชี่ยวชาญ  ;D
ตัวนี้ฮอตมากหลายปีที่ผ่านมารวมทั้งปีนี้ก็ยังทำนิวไฮต่อ ดูเหมือน 7 ของท่านวายุเลย แต่จะเป็น super stock หรือไม่ ให้ท่านวายุวิเคราะห์น่ะครับ ไม่ทราบว่าเจ้าของคำถามซื้อไว้แล้วหรือว่ากำลังจะซื้อล่ะ คือถ้าซื้อตั้งนานแล้วผมว่าก็คงกำไรโข ถึงแม้ช่วงนี้จะมีปัญหาทางเมกาและยุโรป ก็น่าจะถือลุ้นไปจนสิ้นปี พอปีหน้าฟ้าใหม่ค่อยดูแนวโน้มทั้งตัวมันเองและเศรษฐกิจโลก แต่ถ้าคิดจะซื้อก็น่าจะรอดูเหตุการณ์สักนิด หุ้นมันขึ้นมานาน โอกาสไปต่อหรือปรับฐานก็น่าจะเริ่มสูสีกันแล้วล่ะ ผมว่านะ เสียดายถามช้าไปหน่อย ถ้าถามก่อนหน้าเลือกตั้งพอจะทำเป็นหมอฟันธงได้ว่าควรซื้อหรือไม่ ตอนนี้สถานการณ์แบบนี้ สำหรับผมแล้วคงต้องแบ่งปันแบบถนอมตัว อิอิ
เอ้า....เชิญท่านอื่นต่อไป  ;D



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 27 กันยายน 2011, 23:49:38
ยังไงก็อย่าลืม CPN มั่งเน้อ เห็นเปิดอยู่หลายสาขาในเครือ ไทยวัสดุก็ผุดขึ้นเอา ๆ ที่พิษนุโลกก็เคยเห็น ที่สมุทรสาครก็กำลังจะเปิด... ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: marcus147 ที่ วันที่ 28 กันยายน 2011, 01:43:51
พอดีผมก็ถือ HMPRO อยู่เป็นส่วนใหญ่ของพอร์ตเลยทีเดียว
เลยเอามาฝากกันครับ
http://dekisugi.net/archives/12811

ปล. วันนี้ช่วง CPALL ตกไป 4% มีใครเก็บทันบ้างเอ่ย ผมทันช่วง 3.75%


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 28 กันยายน 2011, 10:59:46
CPN CPALL HMPRO ใครมีไว้เยอะหลายปีก่อน ถึงตอนนี้ยังไม่ขาย ถือว่าเป็นเศรษฐีหุ้นได้เลย น่อ  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: montonsiri ที่ วันที่ 28 กันยายน 2011, 15:48:37
ขอบคุณท่านซาลาเปามากครับ คือซื้อโฮมโปรไว้แล้ว10.50 ตอนนี้ขาดทุนอยู่ไม่รู้จะทำไงดีครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 28 กันยายน 2011, 16:13:22
     สำหรับหุ้นตัวนี้  โดยมุมมองส่วนตัวของผมแล้ว  ธุรกิจนี้มีการแข่งขันสูง  และของพวกเฟอร์นิเจอร์นี้  ซื้อทีนึงก็อยู่ได้นาน  ผมก็เลยไม่ค่อยชอบครับ  เนื่องจากว่ามีอัตราการซื้อซ้ำต่ำ  และไม่มีจุดแข็งอะไรที่จะมาปิดกั้นคู่แข่งให้เข้ามาในตลาดได้  เพราะสินค้าพวกนี้เป็นสินค้าโภคภัณฑ์  ใครขายถูกกว่า  ใครมีต้นทุนถูกกว่า  คนนั้นจะเป็นผู้ชนะ

     เมื่อผมเข้าไปดูที่งบการเงินมาแล้ว  ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่  รวมถึงเงินปันผลด้วย  ผมว่ามันได้น้อยไปนิดหนึ่ง  ดูแล้วไม่ค่อยคุ้มกับการลงทุน  แต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่ามันไม่ดีนะครับ  บางทีมุมมองของผมอาจจะผิดก็ได้

ผมเอาข่าวเก่าๆของหุ้นตัวนี้มาให้อ่านครับ

โฮมโปร หุ้นในสเปค แวลู อินเวสเตอร์
หุ้นโฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ เป็นหนึ่งในหุ้นที่กูรูแวลูอินเวสเตอร์ของเมืองไทย "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" เลือกติดพอร์ตจำนวน 15.70 ล้านหุ้น สัดส่วน 0.81% มูลค่าปัจจุบันประมาณ 75 ล้านบาท โดยเข้าลักษณะเป็นผู้นำตลาดและมีรายได้เติบโตต่อเนื่องจากการขยายสาขาเพิ่มขึ้นทุกปี ปัจจุบันโฮมโปรถือหุ้นอันดับหนึ่งโดย บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ สัดส่วน 30.23% และ บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ สัดส่วน 21.32%

"คุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล" กรรมการผู้จัดการ บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ ประเมินภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า ในปีนี้คงจะเติบโตน้อยกว่าปีที่แล้วแน่นอน ทำให้รายได้รวมของโฮมโปรคงลดลงจากปี 2551 ที่เติบโต 16%

รายได้รวมในปี 2552 เราคาดว่าน่าจะเติบโตได้ 10% (จาก 19,824 ล้านบาท) โดยส่วนของยอดขายสาขาเดิมน่าจะเติบโตได้ 3%

ที่ผ่านมาโฮมโปรมีการเติบโตในแง่รายได้เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 17.3% ต่อปี โดยปีที่แล้วรายได้รวมเติบโต 16.29% เป็นเพราะมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยอดขายของร้านเดิมในปีที่แล้วยังมีการเติบโต 6.6% จากการเน้นออกโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายต่อเนื่อง ส่วนรายได้จากพื้นที่ให้เช่ามีการเติบโตขึ้น 10% เราเชื่อว่าถ้าเศรษฐกิจฟื้น รายได้ของโฮมโปรน่าจะกลับมาเติบโตได้ในระดับปกติ

โดยแผนธุรกิจในปีนี้ จะเน้นจับกลุ่มลูกค้าบ้านเก่าเป็นหลัก เนื่องจากคาดว่าปีนี้บ้านใหม่จะเกิดขึ้นน้อยลงกว่าปีที่แล้ว เพราะกำลังซื้อที่จำกัดทำให้ผู้คนที่คิดจะซื้อบ้านหลังที่สองก็จะเปลี่ยนแผนไปปรับปรุงบ้านเก่าแทน

สมัยก่อนสัดส่วนรายได้จากลูกค้าซื้อบ้านใหม่และปรับปรุงบ้านเก่าอยู่ที่ 50% เท่ากัน แต่ตอนนี้สัดส่วนลูกค้าปรับปรุงบ้านเก่าขึ้นมาอยู่ที่ 70% แล้ว

ทั้งนี้ ลูกค้าของโฮมโปรจะแบ่งเป็นสามกลุ่มคือ กลุ่ม Replacement หรือซื้อสินค้าใหม่ทดแทนรุ่นเก่าที่ตกรุ่น กลุ่ม Renovate หรือซ่อมแซมปรับปรุงบ้านเดิม และกลุ่ม Improvement หรือสินค้าใช้แล้วหมดไป ซึ่งโฮมโปรเน้นจับสองกลุ่มแรกเป็นหลัก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม B+ ซึ่งยังพอมีกำลังซื้อ

ปีที่แล้วรายได้จากการทำโปรโมชั่นต่างๆ เพิ่มขึ้น 30% หรือ 674 ล้านบาท จากการจัดโฮมโปรเอ็กซ์โปปีละ 2 ครั้ง ปีนี้ตัวเลขน่าจะเพิ่มขึ้นได้อีก

ส่วนแผนการขยายสาขาในปี 2552 เบื้องต้นได้เปิดไปแล้ว 2 สาขาที่จังหวัดนครราชสีมา และภูเก็ต และจะเปิดเพิ่มอีก 2 สาขาขนาดกลางในต่างจังหวัดช่วงครึ่งปีหลัง ถึงสิ้นปี 2552 โฮมโปรจะมีสาขาทั้งสิ้น 37 แห่ง ทำให้พื้นที่ขายและพื้นที่ให้เช่าเพิ่มขึ้น 5-10% ในปีนี้

ถ้าเศรษฐกิจไม่เลวร้ายไปมากกว่านี้เราก็จะเปิดอีก 3 สาขาในปี 2553 เพิ่มจำนวนสาขารวมเป็น 40 สาขา

ในแง่ส่วนแบ่งตลาด กรรมการผู้จัดการโฮมโปร ชี้ว่า ตลาดสินค้าก่อสร้างน่าจะมีมูลค่าตลาดรวมปีละ 137,300 ล้านบาท จำนวนนี้เป็นของผู้ค้ารายย่อยทั่วไป 71% อีก 17% เป็นของห้างโมเดิร์นเทรด โดย 14% เป็นของโฮมโปร

ปัจจุบันโฮมโปรมีมาร์เก็ตแชร์สูงสุด 40% เทียบระหว่างห้างโมเดิร์นเทรดสินค้าก่อสร้างด้วยกันในภาวะที่ตลาดชะลอการเติบโตยากมากที่คู่แข่งจะขึ้นมาใกล้เคียงได้เพราะโฮมโปรก็มีการขยายสาขาใหม่ด้วยเช่นกัน

ด้านประสิทธิภาพในการทำกำไร คุณวุฒิ อธิบายกลยุทธ์การขยายมาร์จินในปีนี้ด้วยการเพิ่มสัดส่วนสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ โดยเน้นสินค้าที่มีดีไซน์เฉพาะตัว ปกติจะมีมาร์จินสูงกว่าสินค้าทั่วไป 10% นอกจากนี้จะมุ่งเน้นบริหารสินค้าคงคลังให้ลดลงและมีการหมุนเวียนที่สูงขึ้น

ปีนี้เราตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้าเฮ้าส์แบรนด์อยู่ที่ 15% ของรายได้รวมจากปีที่แล้วอยู่ที่ 11.5% จะช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีที่แล้วอยู่ที่ 23.7%

ส่วนเงินลงทุนในปีนี้ คาดว่าจะใช้เงินทั้งหมด 1,600-2,700 ล้านบาท โดยจะนำมาจากผลการดำเนินงาน 1,200-1,700 ล้านบาท ออกหุ้นกู้ชุดใหม่ 1,000-1,700 ล้านบาท ที่เหลืออาจจะกู้ธนาคาร 200-700 ล้านบาท ส่วนหนี้สินต่อทุนปัจจุบันอยู่ที่ 0.54 เท่า ลดลงจากปีก่อนที่ 0.68 เท่า

ผู้บริหารรายนี้ กล่าวถึงนโยบายการเงินของบริษัทว่าจะรักษากระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA) อยู่ในระดับ 2,000 ล้านบาททุกปี และเมื่อตัดบางส่วนไปใช้ลงทุนขยายสาขาและจ่ายเงินปันผลแล้ว จะต้องเหลือเงินสดไว้เสมอ โดยต้นปีบริษัทมีกระแสเงินสดคงเหลือ 604 ล้านบาท

เราจะขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นขอวงเงินออกหุ้นกู้อีก 4,000 ล้านบาทเผื่อไว้ใช้ลงทุนในอนาคต ถึงจะมีเงินกู้มากขึ้นแต่ D/E Ratio ของเราก็ยังไม่เกินหนึ่งเท่า

ด้านผลตอบแทนการลงทุนหุ้น HMPRO คุณวุฒิ ให้ความเห็นว่า นักลงทุนส่วนใหญ่มองหุ้น HMPRO เป็นการลงทุนระยะยาวเนื่องจากให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ปีที่แล้วกำไรต่อหุ้นยังเพิ่มแบบก้าวกระโดดจาก 0.37 บาทต่อหุ้นเป็น 0.50 บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้น 37.1% ในแง่อัตราส่วนการเงิน ROE ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นจาก 17.4% มาเป็น 20.7% ปีนี้คาดว่าจะสามารถรักษาตัวเลขนี้ไว้ได้

สำหรับผลการดำเนินงานปี 2551 โฮมโปรจ่ายเงินปันผล 0.35 บาทต่อหุ้นคิดเป็น Payout Ratio 70% จากปีที่แล้วจ่ายปันผล 40% ของกำไรสุทธิ

เรามีมติให้จ่ายปันผลมากขึ้นอยากให้ผู้ถือหุ้นแฮปปี้และเป็นการโชว์ด้วยว่าบริษัทเรายังแข็งแกร่งในระยะยาว

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 18 พฤษภาคม 2552


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 28 กันยายน 2011, 17:21:38
ขอบคุณท่านซาลาเปามากครับ คือซื้อโฮมโปรไว้แล้ว10.50 ตอนนี้ขาดทุนอยู่ไม่รู้จะทำไงดีครับ
แสดงว่าเพิ่งซื้อไม่นาน  ลำบากใจน่ะแบบนี้ แม้จะขาดทุนยังไม่มาก แต่ตลาดโดยรวมก็กดดันซะไม่มี  ;D  ตัวมันเองก็ยังไม่เสียฟอร์มมาก ปีนี้ก็เหลืออีกไตรมาสเดียว
งั้นกล้ามั๊ยล่ะ ถ้าผมจะบอกว่าทนถือไปเรื่อยๆก่อน ตราบใดที่มันยังอยู่เหนือ 8 บาท ถ้าต่ำกว่า ค่อยช่วยกันวิเคราะห์อีกที ถามเพื่อนๆคนอื่นด้วย ว่าไงดี  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: montonsiri ที่ วันที่ 28 กันยายน 2011, 19:45:42
ขอขอบคุณท่านวายุอย่างมากที่ให้คำแนะนำและยังไปหาข้อมูลมาให้อีกเพรียบเกรงใจจริงๆ                              และขอคุณท่านซาลาเปาที่ให้ความห่วงใยและคำแนะนำ ติดดอยแค่หนาวแต่นํ้าไม่ท่วมเน๊าะ    :(


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 28 กันยายน 2011, 19:56:11
ขอขอบคุณท่านวายุอย่างมากที่ให้คำแนะนำและยังไปหาข้อมูลมาให้อีกเพรียบเกรงใจจริงๆ                              และขอคุณท่านซาลาเปาที่ให้ความห่วงใยและคำแนะนำ ติดดอยแค่หนาวแต่นํ้าไม่ท่วมเน๊าะ    :(

ถูกต้องครับ เราแค่ติดดอยหุ้น ยังพอมีกินมีใช้ไม่เดือนร้อนใคร

แต่คนที่ถูกน้ำท่วนหนักกว่าเราอีกครับ กินอยู่ลำบาก

คิดดอยหุ้นเรื่องจิบๆ ใครไม่ติดเชย (http://ถูกต้องครับ เราแค่ติดดอยหุ้น ยังพอมีกินมีใช้ไม่เดือนร้อนใคร

แต่คนที่ถูกน้ำท่วนหนักกว่าเราอีกครับ กินอยู่ลำบาก

คิดดอยหุ้นเรื่องจิบๆ ใครไม่ติดเชย)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: marcus147 ที่ วันที่ 28 กันยายน 2011, 23:23:46
โฮมโปร จ่ายปันผลเป็นหุ้นนะครับ
เดือนหน้าจ่ายปันผลหุ้น 7:1


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: chanuntida ที่ วันที่ 29 กันยายน 2011, 09:58:35
อยากลงทุนในหุ้น กำลังศึกษาข้อมูลอยู่ ไม่ทราบว่าที่เชียงราย มีบลจ. ไหนที่มีสาขาอยู่ที่เชียงรายบ้างคะ กำลังจะเปิดพอร์ต ค่ะ ใครรู้ช่วยตอบที ขอบคุณค่ะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 29 กันยายน 2011, 10:02:50
อยากลงทุนในหุ้น กำลังศึกษาข้อมูลอยู่ ไม่ทราบว่าที่เชียงราย มีบลจ. ไหนที่มีสาขาอยู่ที่เชียงรายบ้างคะ กำลังจะเปิดพอร์ต ค่ะ ใครรู้ช่วยตอบที ขอบคุณค่ะ
asiaplus บน ธ.กรุงเทพ 5 แยก
kgi ถ.อุตรกิจ หลัง รร.ดำรงค์
cgs ตรงข้าม ซีอาร์มอลล์หรือทวียนต์
และ sub broker บน ธ.นครหลวง 5 แยก และ บน ธ. กรุงศรีฯ ตลาดใหญ่


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 29 กันยายน 2011, 10:05:58
อยากลงทุนในหุ้น กำลังศึกษาข้อมูลอยู่ ไม่ทราบว่าที่เชียงราย มีบลจ. ไหนที่มีสาขาอยู่ที่เชียงรายบ้างคะ กำลังจะเปิดพอร์ต ค่ะ ใครรู้ช่วยตอบที ขอบคุณค่ะ

ลองอ่านดูครับ

http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=125185.0


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 29 กันยายน 2011, 11:34:05
อยากลงทุนในหุ้น กำลังศึกษาข้อมูลอยู่ ไม่ทราบว่าที่เชียงราย มีบลจ. ไหนที่มีสาขาอยู่ที่เชียงรายบ้างคะ กำลังจะเปิดพอร์ต ค่ะ ใครรู้ช่วยตอบที ขอบคุณค่ะ
บอกรายชื่อโบรคให้แล้ว ไปเปิดที่ไหน กลับมาเล่าให้เพื่อนๆด้วยนะ  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 29 กันยายน 2011, 16:07:19
โฮมโปร จ่ายปันผลเป็นหุ้นนะครับ
เดือนหน้าจ่ายปันผลหุ้น 7:1


     ขอบคุณท่านมากที่ให้ความกระจ่าง  พอดีเมื่อวานรีบไปหน่อยเลยไม่ได้ดูรายละเอียดดี  แต่ผมกำลังสงสัยอยู่ว่า  เขาไปขนหุ้นจากไหนมาแจกเยอะแยะ  เพราะดูจากจำนวนหุ้นที่จดทะเบียนไว้กับตลาดหลักทรัพย์จะเห็นว่า  มันเต็มจำนวนแล้ว

http://www.set.or.th/set/companyprofile.do?symbol=HMPRO&language=th&country=TH

     ถ้าเขายังแจกแต่หุ้นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ  ผมเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์

1.จำนวนหุ้นมีมากเกินไป  จะทำให้ราคาหุ้นลดลง(คำนวณจาก  เอาจำนวนหุ้นที่มีทั้งหมด  หารด้วยทรัพย์สินของบริษัท)
2.ราคาหุ้นนั้นมันไม่แน่นอน  ถ้าตราบใดที่บริษัทยังทำได้ดีอยู่  ราคามันก็จะไม่ตกลงมา  แต่ถ้ามันออกมาแย่  เมื่อนั้นราคาหุ้นก็จะดิ่งเหว  และเมื่อนั้นผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นได้ไปซึ่งก็คือหุ้นก็จะกลายเป็นควัน
3.ถ้าบริษัทปันผลออกมาเป็นเงินสด  เงินนั้นมันสามารถจับต้องได้จริงๆโดยไม่ต้องขายหุ้น  และยังช่วยพยุงราคาหุ้นไม่ให้ตกลงไปมากกว่าเงินที่นักลงทุนจะใส่เข้าไปเพื่อรับปันผลเช่น  ถ้าบริษัทปันผลปีละ  1  บาท  นักลงทุนที่คาดหวังจากผลตอบแทนจากเงินปันผลที่  10  %  ก็คงจะไม่ปล่อยให้ราคาหุ้นตกลงไปต่ำกว่า  10  บาทเป็นแน่แท้

     ถ้าคุณ  marcus147   มีอะไรแนะนำเพิ่มเติมก็เชิญนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: marcus147 ที่ วันที่ 30 กันยายน 2011, 00:10:37
คือว่าขอออกตัวไว้ก่อนเลยครับ ว่าพึ่งจะเข้ามาในตลาดหุ้นแค่สามอาทิตย์ ตอนนี้ยังมือใหม่มากๆ
แต่ว่าก็ศึกษาพื้นฐานมาก่อนประมาณสองเดือน

ที่ซื้อโฮมโปรนี่เพราะคิดว่าเป็นหุ้นที่ยังเติบโตไปได้ มีผลประกอบการดีทุกปี
อีกทั้งช่วงที่ผมเข้าตลาด ก็เป็นโอกาสที่กำลังจะปันผล ซึ่งจากการดูย้อนหลังสามปี หลังจากที่ปันผลหุ้นไปแล้วราคาจะตกลงประมาณ 15% แต่ประมาณ 2-4 เดือนราคาก็จะดีดกลับมาเกือบเท่าของเดิม
ผมก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าการที่จ่ายปันผลเป็นหุ้นจะดีกว่าเงินสดหรือไม่
เดี๋ยวถ้าหลังปันผล วันที่ 7 ตค จะมารายงานผลให้ฟังกันนะครับ
 


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 30 กันยายน 2011, 08:03:16
รู้สึกว่ามันจะจ่ายทั้งหุ้น จ่ายทั้งเงินสดเลยนะครับ

หุ้นปันผล     7.0 : 1.0

เงินปันผล     0.0159

ตัวนี้ผมก็ดูไว้นานละว่าจะซื้อเก็งกำไรก่อนปันผล

แต่ไม่มีเงิน 555+ (http://รู้สึกว่ามันจะจ่ายทั้งหุ้น จ่ายทั้งเงินสดเลยนะครับ

หุ้นปันผล     7.0 : 1.0

เงินปันผล     0.0159

ตัวนี้ผมก็ดูไว้นานละว่าจะซื้อเก็งกำไรก่อนปันผล

แต่ไม่มีเงิน 555+)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: marcus147 ที่ วันที่ 30 กันยายน 2011, 09:54:31
เพิ่มเติมครับ
เงินปันผลนั้นจะเป็นส่วนที่ให้มาเพื่อหักลบกับภาษีที่ต้องจ่ายในส่วนของหุ้นปันผลครับ
จะพอดีกัน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 30 กันยายน 2011, 16:05:53
     รบกวนช่วยตอบให้หายสงสัยหน่อยนะครับท่าน  คือผมสงสัยว่าเขาไปเอาหุ้นที่ไหนมาแจก

     ส่วนที่ท่านบอกว่าราคาหุ้นมันจะตกลงมาหลังจากแจกหุ้นแล้วนั้น  ผมมองว่าตรงนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาครับ  เพราะเมื่อจำนวนหุ้นมีเพิ่มขึ้น  แต่ทรัพย์สินยังไม่ได้ขยับเพิ่มขึ้นตาม  ราคาหุ้นมันก็ต้องตกลงมาเป็นธรรมดาเพราะตัวหารมันเยอะขึ้น  แต่ผมไม่ชอบก็ตรงที่  ถ้าหุ้นมันมีมากเกินไป  แต่บริษัทมันไม่ได้โตอย่างที่คิด  ตลาดจะทุบ  PE  ของหุ้นลงมาให้เหมาะสมกับตัวมัน  เพราะทุกวันนี้บริษัทนี้แบกค่า  PE  ไว้เยอะพอสมควร

     ส่วนที่ราคาหุ้นมันสามารถกลับไปยืนราคาเก่าได้ก็เนื่องจากว่า  บริษัทสามารถโตขึ้นไปได้จนสามารถดึงให้ทรัพย์สินหรือรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น  เมื่อเอาจำนวนหุ้นหารออกมา  ราคาหุ้นมันก็เลยกลับมาที่เก่า  โดยส่วนตัวแล้วผมชอบการเพิ่มเงินปันผลมากกว่าการแจกหุ้นครับ  หรือถ้าจะให้ดีมากก็คือ  อยากให้บริษัทซื้อหุ้นคืนเพื่อเพิ่มผลตอบแทนมากกว่าที่จะมาแจกหุ้นแล้วตัวเองต้องดิ้นรนเพื่อสร้างทรัพย์สินให้มากขึ้น  เพราะถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมา  ตลาดก็จะไม่ปราณีครับ  หรือถ้าให้มองอีกมุมหนึ่ง  มันดูเหมือนกับว่าบริษัทไม่มีกระแสเงินสดเพียงพอที่จะนำมาแบ่งปันให้กับผู้ถือหุ้น  เลยแก้ปัญหาด้วยการแจกหุ้นเพื่อเป็นการทดแทนในจุดนั้น

     ถ้ามีอะไรแนะนำอีกก็เชิญนะครับ  ผมชอบอ่านข้อมูล


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 30 กันยายน 2011, 23:58:52
อัตราผกผันระหว่างจำนวนหุ้นกับทรัพย์สิน
     อันนี้เป็นส่วนขยายเพิ่มเติมของหัวข้อที่เราคุยกันไว้  เผื่อบางทีคนที่ยังไม่เข้าใจจะได้มองเห็นภาพ  ผมจะเปรียบเทียบโดยยกตัวอย่างนะครับ

     สมมติว่ามีครอบครัวหนึ่ง  ครอบครัวนี้มีที่ดินทำมาหากินสำหรับครอบครัวอยู่  10  ไร่  และมีลูกอยู่ทั้งหมด  10  คน  ถ้าพ่อแม่ตายไป  ลูกๆทั้ง  10  คนก็จะได้รับการจัดสรรที่ดินคนละ  1  ไร่  แต่วันดีคืนดีพ่อมีน้องเพิ่มขึ้นมาอีกคน  สัดส่วนการแบ่งที่ดินต่อคนก็จะต้องลดลงเหลือไม่ถึงคนละ  1  ไร่ถูกไหมครับ  นี่เหมือนการเพิ่มขึ้นของจำนวนหุ้น  แต่ทรัพย์สินไม่ได้เพิ่มขึ้น

     แต่ถ้าสมมติว่า  พอพ่อมีน้องออกมาอีก  1  คน  แล้วพ่อก็ไปซื้อที่ดินมาเพิ่มอีก  1  ไร่  อย่างนี้เวลาลูกๆแบ่งสมบัติกันก็จะได้คนละ  1  ไร่  นั่นก็เปรียบกับเวลาที่บริษัทแจกหุ้นเสร็จแล้วก็ทำให้ทรัพย์สินมันเพิ่มขึ้นมา  ราคาหุ้นมันก็เลยกลับมาที่เก่า

     แต่ถ้าสมมติว่าพ่อมีลูกแค่  9  คน  ลูกๆแต่ละคนก็จะได้รับสมบัติมากกว่าคนละ  1  ไร่

     หรือถ้าพ่อมีลูก  9  คน  แต่ไปซื้อที่ดินเพิ่มขึ้นมาอีก  ลูกๆแต่ละคนก็จะได้รับที่ดินเพิ่มมากขึ้น

     เมื่อดูตามเหตุการณ์นี้จะเห็นว่า  การมีหุ้นเยอะนั้น  ไม่ได้เป็นวิธีการตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ดีเลย  ผมชอบให้บริษัทลดจำนวนหุ้นลงมากกว่าที่จะเพิ่มจำนวนหุ้นครับ

     และถ้าสมมติต่อไปอีกว่า  ถ้าบริษัทแจกหุ้นมากๆอย่างนี้  เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่บริษัทหยุดโต  เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไปผมก็สุดจะคาดเดา  เพราะถ้าบริษัทดีแต่เพิ่มจำนวนหุ้นโดยไม่มีการลดจำนวนหุ้นลงเลย  เมื่อนั้นผู้ถือหุ้นก็จะ..ก็จะ..ก็จะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: montonsiri ที่ วันที่ 03 ตุลาคม 2011, 07:03:44
ท่านวายุเปรียบเทียบได้เห็นภาพชัดเจนจริงๆ 8)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 03 ตุลาคม 2011, 16:00:21
รู้งี้
     คำว่ารู้งี้สามารถใช้ได้กับทุกสถานการณ์  ซึ่งความหมายก็มักจะคล้ายๆกันคือ  เป็นสิ่งที่เราไม่ได้ทำหรือไม่รู้  แต่ถ้าเราได้ทำมัน  ผลลัพธ์มันก็จะออกมาอย่างเช่นที่ปรากฏเช่น  ไปเดินซื้อเสื้อตามตลาด  พอซื้อเสร็จแล้วก็เดินไปเจออีกร้านขายของเหมือนกันแต่ราคาถูกกว่า  เราก็จะบ่นว่า  รู้งี้ยังไม่ซื้อซะก็ดี

     เมื่อมาดูในด้านการลงทุน  ผมได้พบเห็นคนที่เป็นนักลงทุนใช้คำนี้บ่อยและกว้างขวางมากเช่น  พอตัดสินใจซื้อหุ้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว  หุ้นก็ตกลงมา  ทำให้เขาใช้คำว่า  รู้งี้ยังไม่ซื้อซะก็ดี  หรือพอหุ้นขึ้นแต่เขาก็ไม่ยอมขาย  พอมันตกลงมาก็บ่นว่ารู้งี้ขายออกก่อนแล้วค่อยมาซื้อคืนดีกว่า  ตามความเห็นของผมก็คือ  จริงๆแล้วการที่เราจะรู้ว่าหุ้นมันจะขึ้นหรือลงไปที่ราคาใดนั้นมันยากมาก  ซึ่งแม้แต่คนที่ต้องการจะซื้อหรือขายเองก็ยังไม่แน่ใจว่าตนจะทำรายการได้ที่ราคาเท่าไหร่เลย  เมื่อก่อนผมก็มักจะใช้คำว่ารู้งี้บ่อย  แต่เมื่อกาลผ่านไป  ผมก็ค่อยๆเรียนรู้อะไรหลายอย่างเพิ่มขึ้น(หรือที่เขาเรียกกันว่าประสบการณ์)  ทำให้ตอนนี้  ผมไม่ใคร่ได้ใช้คำนี้มากนัก  เพราะถ้าเราไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ราคาหุ้นมากเกินไป  แต่เราทำใจให้สงบและยอมรับว่า  ความผันผวนของราคาหุ้นนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดา  สิ่งที่เราควรจับจ้องให้ดีก็คือพื้นฐานของกิจการและเงินปันผลจะดีกว่า  ถึงแม้ผมจะรู้ว่า  หุ้นของบริษัทที่ผมได้ลงทุนอยู่นี้มันดีมาก  แต่ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเมื่อไหร่ที่มันจะขึ้น  และเมื่อไหร่ที่มันจะลง  การที่เราไม่รู้ว่า  "เมื่อไหร่"  นั้น  ทำให้ผมจำเป็นจะต้องถือหุ้นไว้ตลอดเวลา  เพราะถ้าเรามัวแต่จดๆจ้องๆไม่ยอมซื้อหุ้นจนกว่าจะเห็นว่ากระแสเงินกำลังจะไหลเข้ามายังหุ้นตัวที่เราเล็งไว้และเราก็จะลงทุนตาม  เมื่อนั้นมันก็ช้าเกินไปเสียแล้ว  คนเรามักจะมั่นใจมากก็ตอนที่อะไรๆมันเกิดขึ้นแล้ว  และเมื่อถึงตอนนั้น  มันก็มักจะสายไปสำหรับการลงทุน  ถ้าเรามั่นใจในกิจการที่เรากำลังจะลงทุน  และได้ศึกษาในตัวบริษัทมาอย่างถ่องแท้แล้ว  มันก็จะไม่มีคำว่ารู้งี้มาเกี่ยวพันกับชีวิตการลงทุนมากนัก  ผมชอบคำกล่าวแบบติดตลกท่อนหนึ่งของหุ้นส่วนบัฟเฟตที่ชื่อชาลีมากว่า  เขาอยากรู้ว่าเขาจะตายที่ไหน  เขาจะได้ไม่ไปที่นั่น


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 06 ตุลาคม 2011, 15:08:46
หุ้นที่ยิ่งใหญ่
     บรรทัดฐานอย่างหนึ่งของผมก่อนที่จะทำการลงทุนก็คือ  ผมอยากรู้ว่าบริษัทนี้มีความยิ่งใหญ่มากแค่ไหน  คำว่ายิ่งใหญ่ในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัทที่มีขนาดองค์กรใหญ่โต  หรือมีทุนจดทะเบียนมหาศาล  ผมแค่มองไปที่สินค้าและบริการของบริษัทเพียงเท่านั้นเองครับ  ผมมักจะใช้ตัวผมเองเป็นนักวิเคราะห์และผู้บริโภคว่า  ถ้าผมจะซื้อสินค้าชนิดนี้เช่น  ยาสีฟัน  ขนมปัง  กาแฟ  ยาแก้ปวดหัว  ฯลฯ  ผมจะซื้อยี่ห้อไหน  การมียี่ห้อเป็นสิ่งสำคัญ  เนื่องจากว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของบริษัท  เพราะกว่าที่ผู้บริโภคจะให้การยอมรับในยี่ห้อใดๆนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย  และถ้าเขาให้การยอมรับแล้ว  เขาก็มักจะใช้ยี่ห้อนั้นไปตลอด

     บริษัทที่ยิ่งใหญ่นั้น  สามารถขึ้นราคาสินค้าได้โดยที่ไม่เสียลูกค้า  ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่สำคัญมาก  เพราะถ้าต้นทุนของบริษัทเพิ่มขึ้น  บริษัทก็สามารถผลักภาระตรงนี้ไปให้กับผู้บริโภคได้  ซึ่งจะสามารถทำให้บริษัทอยู่รอดได้ในระยะยาว  ถ้าสมมติต้นทุนของบริษัทเพิ่มขึ้น  แต่บริษัทไม่สามารถขึ้นราคาสินค้าได้เนื่องจากกลัวเสียลูกค้า  ตรงนี้จะทำให้ในระยะยาวแล้ว  บริษัทจะไม่สามารถอยู่รอดได้  หรือถึงอยู่ได้  กำไรก็จะลดลงตามระยะเวลาที่ผ่านไป  ซึ่งมันก็จะมีผลทำให้ราคาหุ้นและเงินปันผลลดลงตามไปด้วย

     การที่บริษัทสามารถขึ้นราคาสินค้าได้โดยที่ไม่เสียลูกค้านั้น  ถือเป็นจุดแข็งอย่างหนึ่งในการทำธุรกิจ  ถ้าผมประเมินแล้วว่า  ถึงแม้บริษัทจะขึ้นราคาสินค้า  ลูกค้าก็ยังพอใจที่จะซื้อสินค้าของบริษัทอยู่ดี  อย่างนี้ถือว่าบริษัทนั้นมีจุดแข็งที่คู่ต่อสู้ทำลายยาก  ยกตัวอย่างเช่น  บริษัทที่ผลิตบุหรี่  ไม่ว่าบุหรี่จะขึ้นราคามากี่ครั้งแล้วก็ตาม  ลูกค้าก็ยังไม่เลิกซื้อสักที  อย่างนี้แสดงให้เห็นว่า  บริษัทนี้มีความยิ่งใหญ่  หรือบริษัทที่ผลิตขนมปังเบเกอรี่  ซึ่งเวลาที่ต้นทุนเพิ่ม  ทำให้จำเป็นต้องปรับราคาขายขึ้น  แต่ลูกค้าก็ยังนิยมซื้ออยู่ดี  เนื่องจากรสชาติอร่อยกว่าเจ้าอื่น  อย่างนี้ก็ถือว่าบริษัทนี้ยิ่งใหญ่  และเพราะว่าสามารถขึ้นราคาสินค้าได้ด้วยตัวเอง  บริษัทที่เข้าเกณฑ์อย่างนี้  ถือว่าน่าลงทุนเป็นอย่างยิ่ง  และสำหรับผมแล้ว  บริษัทแบบนี้คือบริษัทที่ยิ่งใหญ่ครับ  ซึ่งตรงนี้ไม่เหมือนกับบริษัทที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์อย่างเช่นน้ำมันหรือถ่านหิน  เพราะสินค้าของแต่ละบริษัทไม่แตกต่างกันมากนัก  และราคาขายก็ยังไม่สามารถกำหนดได้เอง  ต้องดูราคาตามตลาดโลกเป็นหลัก  ข้อดีของการลงทุนในบริษัทที่ทำธุรกิจลักษณะนี้ก็คือ  มันสามารถคาดการณ์กำไรหรือสถานการณ์ได้ง่าย  ถ้าเรารู้ว่าช่วงไหนเป็นแนวโน้มแบบไหนเราก็สามารถลงทุนหรือออกจากการลงทุนได้ตามแนวโน้ม  แต่หุ้นลักษณะนี้จะถือยาวมากไม่ได้  เนื่องจากว่ามันเป็นหุ้นที่อิงกับวงจรเศรษฐกิจ  และระบบวงจรเศรษฐกิจมีทั้งขึ้นและลง  หรือยกตัวอย่างอีกธุรกิจหนึ่งคือ  ธุรกิจเป็นผู้ให้บริการอินเตอร์เนต  ตามความเห็นของผมแล้ว  ถ้าประเทศไทยเรานี้มีเนตใช้กันหมด  บริษัทที่ให้บริการลักษณะนี้ก็คงจะถึงทางตันเหมือนอย่างเช่นธุรกิจโทรศัพท์บ้าน ถึงแม้ว่าทุกวันนี้  อินเตอร์เนตจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนรุ่นใหม่คล้ายกับไฟฟ้าหรือประปาซึ่งถ้าใครติดแล้วก็คงจะใช้ไปตลอด(ขาดไม่ได้  ต้องบริโภคตลอด)   แต่การเก็บค่าบริการในอนาคตก็ไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้เหมือนค่าน้ำหรือค่าไฟเนื่องจากว่ามีคู่แข่งมาก  ซึ่งแต่ละรายก็ทำการตลาดโดยเน้นไปที่ราคาค่าบริการและความสามารถของระบบตัวเอง  และที่ผมเห็นว่ามันแย่กว่าโทรศัพท์บ้านก็คือ  ความสามารถของระบบเครือข่ายจำเป็นต้องเพิ่มขึ้นตลอดเวลาตามเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น  ทำให้บริษัทต้องทำการปรับปรุงความสามารถของระบบอยู่ตลอดเวลา  ซึ่งมันก็จะเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องทำ  การที่เราจะลงทุนในบริษัทที่ประกอบธุรกิจประเภทนี้  จึงต้องให้ความสนใจกับตัวเลขผู้ใช้บริการใหม่ว่ามันเริ่มอืดหรือยัง  และเราก็ขายหุ้นก่อนที่มันจะถึงทางตัน  มีบางประโยคที่ผมจำได้แม่นและชอบมากของ  ปีเตอร์  ลินซ์  คือ  ยาที่ยิ่งใหญ่สำหรับมนุษยชาติคือ  ยาที่กินครั้งเดียวหาย  แต่ยาที่ยิ่งใหญ่สำหรับนักลงทุนก็คือ  ยาที่คนต้องกลับมาซื้อซ้ำเรื่อยๆ

     ถ้าเราอยากถือยาวจริงๆ  ผมก็อยากให้นักลงทุนทุกท่านลงทุนในบริษัทที่สามารถควบคุมชะตาชีวิตของตัวเองได้  มีคู่แข่งน้อยหรือไม่มีเลย  และถึงแม้ว่าจะมีคู่แข่ง  แต่บริษัทก็ยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับหนึ่ง  และบริษัทยังสามารถขายสินค้าได้อย่างสม่ำเสมอไม่ว่าจะขึ้นราคาตามต้นทุนไปอีกกี่ครั้ง  ลูกค้าก็ยังพอใจที่จะใช้สินค้าและบริการของบริษัทอยู่ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 11 ตุลาคม 2011, 17:36:34
คำแนะนำที่ต้องเลือกเชื่อ
     ในตลาดหุ้นมีคำแนะนำต่างๆมากมายในแต่ละวัน  ทั้งจากนักวิเคราะห์และบุคคลทั่วไป  ซึ่งผมก็ไม่ได้บอกว่า  คำแนะนำจากใครดีกว่ากัน  มันอยู่ที่ว่า  เราจะสามารถ  “ย่อย”  ข้อมูลเหล่านั้นออกมาได้ดีเพียงไร  และการที่เราจะสามารถย่อยข้อมูลที่ได้รับมาจนมาสู่การปฏิบัติได้นั้น  เราต้องการเพียงแค่  เหตุผลและความรู้ของเราเพียงเท่านั้นเอง

     ถ้ามีคนมาบอกผมว่า  “ช่วงนี้เงินกำลังไหลเข้าตลาดหุ้น”  เพราะฉะนั้นเป็นจังหวะที่ดีในการลงทุน  คุณคิดว่าจริงไหม?  มันอาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้  โดยส่วนตัวผมแล้ว  เหตุที่เงินไหลเข้าตลาดก็มีหลายปัจจัย  แต่ปัจจัยหลักๆที่สำคัญที่สุดก็มาจาก  ราคาหุ้น  ณ  ขณะนั้นคุ้มค่าต่อการลงทุน  แล้วทำไมเราจึงไม่ลงมือก่อนที่จะรอให้มันเกิดขึ้นล่ะ   ผมว่า...การที่คนส่วนใหญ่ไม่ยอมลงทุนในขณะที่หุ้นนั้นราคาถูกก็เนื่องจากว่า  เขาต้องการความมั่นใจ  และการที่จะมั่นใจได้ว่ามันเป็นการลงทุนที่ดีจริงๆก็คือ  ต้องรอให้ผลลัพธ์นั้นออกมาเสียก่อน  แต่ถ้าเรารอให้ผลลัพธ์มันเกิดขึ้นแล้ว  จังหวะนั้นมันก็อาจช้าเกินไป  ทำไมเราจึงไม่จีบเธอก่อนที่จะรอให้คนอื่นมาจีบเธอล่ะ  ในเมื่อคุณก็มั่นใจว่าเธอเป็นคนดี   และผมก็อยากให้ข้อคิดอีกอย่างหนึ่งว่า  เวลาที่ลมพายุพัดเข้ามาแรง  แม้แต่ไก่ก็ยังบินได้  แต่เวลาที่พายุสงบลง  คนที่ยังอยู่บนฟ้าได้ก็คือพญาอินทรีเท่านั้น  ความหมายก็คือ  เวลาที่กระแสเงินไหลเข้าตลาดหุ้น  เราอย่าคิดว่ามันจะขึ้นทุกตัว  หรือถ้าบางทีจังหวะนั้นมันอาจจะมั่วไปบ้าง  ทำให้ราคาหุ้นของทั้งตลาดพาเหรดขึ้นไปกันหมด  แต่เมื่อพายุแห่งเงินสงบลง  หุ้นที่ดีจริงๆจะยังคงอยู่  ส่วนหุ้นที่ขึ้นไปโดยไม่ได้มีดีอะไรในตัวเองก็จะตกลงมา

     ถ้ามีคนมาบอกผมว่า  ช่วงนี้กราฟอยู่ในช่วงขาขึ้น  ราคาหุ้นทะลุแนวต้านใหญ่ขึ้นไปได้  คาดว่าหุ้นจะวิ่งขึ้นไปอีกยาว  ถ้าคำแนะนำออกมาในแนวนี้  ผมรับรู้ได้ทันทีเลยว่า  เขากำลังพูดถึงเรื่องเทคนิคอยู่  และคำตอบของผมก็คือ  ไร้สาระ   เพราะหลายต่อหลายครั้งที่ผมได้เฝ้ามองการทำนายตลาดในแนวนี้  ไม่ว่าจะมาจากใครก็ตาม  ผมเห็นว่ามัน  “มั่ว”  คุณลองคิดตามดูก็ได้นะครับ  ถ้าใครได้ดูรายการเกี่ยวกับหุ้น  และมีนักวิเคราะห์ออกมานั่งเจื้อยแจ้วที่หน้าจอและกล่าวอ้างจากเส้นกราฟต่างๆว่า  ถ้าทะลุแนวนี้ขึ้นไปได้  จะต้องไปเจอกับอีกแนวหนึ่ง  เมื่อผมได้ฟัง  ผมมี  2  คำถามเกิดขึ้นคือ
     
     1.ทำไมต้องมีตัวเลขสำรอง   ถ้าเป็นผมซึ่งไม่ต้องมีโปรแกรมพวกนั้นก็ได้  ผมก็สามารถมานั่งทำนายได้ว่า  วันนี้ถ้าหุ้นขึ้น  จะขึ้นกี่จุด  และหากมันขึ้นพ้นไปแล้วมันจะไปที่กี่จุด  ซึ่งผมสามารถนั่งประเมินสถานการณ์ได้เองว่า  แรงซื้อประมาณนี้  แรงขายประมาณนี้  ตลาดต่างประเทศเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้  ผมก็สามารถกำหนดค่าตัวเลขออกมาได้เหมือนกันโดยที่ไม่ต้องใช้โปรแกรมพวกนั้นเลย  ถ้าเราอยากทำนายได้แม่นหรือใกล้เคียง  เราก็ถ่างตัวเลขให้กว้างเข้าไว้เช่น  ตลาดหุ้นปิดเมื่อวานที่  850  จุด  เปิดตลาดมาหุ้นต่างประเทศขึ้น  1  %  ผมก็สามารถประเมินได้ว่า  ตลาดหุ้นบ้านเราคงจะไม่พ้นกัน  คงขึ้นประมาณ  8  จุด  และผมก็ให้ตัวเลขสำรองกันพลาดมาอีกชุดว่า  ถ้ามันผ่านไปได้  ก็คงไม่เกิน  15  จุดอะไรทำนองนี้  ถ้าอยากแม่นมากๆ  ก็ถ่างตัวเลขให้กว้างเข้าไว้เช่น  ไม่น่าเกิน  20  จุด  เมื่อเป็นดังนี้  ผู้ทำนายก็จะแม่นเอง  และถ้าสังเกตดูดีๆจะพบว่า  เวลาที่นักวิเคราะห์พวกนี้ให้ตัวเลขมา  เขามักจะให้เลขมา  4  ตัวเสมอนั่นก็คือ  แนวรับแรกและแนวรับที่สอง  แนวต้านแรกและแนวต้านที่สอง  ซึ่งผมสามารถประเมินได้ว่า  พวกนี้แทงกั๊ก   เพราะแนวรับนั้นหมายถึงการคาดว่าหุ้นจะลงไปที่จุดนั้น  และแนวต้านหมายถึงคาดว่าหุ้นจะขึ้นไปที่จุดนั้น  ถ้าแม่นจริงทำไมไม่ฟันธงไปเลยล่ะว่าจะขึ้นหรือลง
     
     ลองสังเกตว่าผมพบอะไร?  สิ่งที่ผมพบก็คือ  คำตอบของนักวิเคราะห์ให้มา  4  ตัว  แต่ผลลัพธ์นั้น  มีแค่ตัวเดียว  ซึ่งนั่นหมายถึงว่า  เขาจะทายถูกแค่เพียง 1  แต่ผิดถึง  3  เมื่อเป็นดังนี้แล้วคุณคิดว่าเทคนิคมันใช้ได้จริงหรือ  และถ้าหากเกิดอีกกรณีหนึ่ง  นักวิเคราะห์ผิดทั้ง  4  เลย  ซึ่งสถานการณ์ที่จะเกิดอย่างนั้นได้ก็คือ  มันทะลุทั้งแนวที่  1  และ  2  ที่เขาให้มา  ไม่ว่าจะเป็นแนวรับหรือแนวต้านก็ตาม  ซึ่งนั่นจะทำให้เขาผิดทั้ง  4  เลย  และเมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น  ก็ไม่เห็นจะมีนักวิเคราะห์คนไหนออกมารับผิดชอบในคำพูดของตัวเองเลย  อย่างดีก็แค่  ออกมาแก้ตัวอย่างนั้นอย่างนี้กับสิ่งที่เกิดขึ้น  สำหรับผมแล้ว  การใช้เทคนิคสำหรับนักวิเคราะห์มันก็แค่  การกระตุ้นให้คนที่ไม่รู้เรื่องหุ้นทำการซื้อขายบ่อยๆ  พวกเขาจะได้มีรายได้จากค่าคอมฯเยอะๆ
     
     2.มันเป็นการทำนายตลาด   มันทำนายที่ตลาดโดยรวมซึ่งไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นหุ้นตัวใด  สมมุติว่าหุ้นขึ้นกันทั้งตลาด  ยกเว้นหุ้นของคุณตัวเดียวที่ไม่ขึ้น  อย่างนี้นักวิเคราะห์ก็ทำนายไม่ผิดหรอกนะ  เพียงแต่ว่าคุณจะแฮปปี้หรือไม่?  บางท่านที่เทิดทูนเทคนิคอาจแย้งว่า  กราฟมันสามารถดูหุ้นได้ทุกตัว  แล้วผมอยากถามว่า  มันดูได้ทุกตัวนั้นใช่  แล้วมันแม่นทุกตัวหรือเปล่า?  คุณกล้ารับประกันไหม  ถ้าผมซื้อแล้วมันไม่ได้ขึ้นอย่างที่คุณบอก  แล้วคุณจะคืนเงินที่ผมเสียไปได้ไหม  ร้อยทั้งร้อยก็ไม่ยอมซ่อมให้คุณหรอก  เพราะฉะนั้น  คุณต้องเลือกที่จะเชื่อเอง  ถ้ากราฟมันแม่นจริง  พวกที่นั่งดูกราฟทุกวันนี้คงไม่มานั่งอยู่อย่างนี้แล้ว  ทำไมน่ะเหรอ?  ก็เขารวยแล้วไง  ไปเที่ยวใช้เงินให้สบายใจเฉิบไม่ดีกว่าหรือ  และมีข้อคิดอีกอย่างก็คือ  ถ้าใช้เทคนิคแล้วรวยจริง  ทั้งโลกนี้ก็คงไม่มีใครจน

     ถ้ามีคนมาบอกผมว่า  หุ้นตัวนี้พื้นฐานดี...ถ้าเป็นคำแนะนำแนวนี้  ผมจะสะดุดใจมาก  และจะพยายามค้นหาต่อว่า  มันดีอย่างไร  และผมสามารถเข้าใจมันไหม  โดยส่วนตัวของผมแล้ว  คำว่าพื้นฐานนั้น  ความหมายมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆเช่น  พื้นฐานกิจการ  ซึ่งตรงนี้มันจะสามารถเชื่อมโยงไปถึงพื้นฐานที่ควรจะเป็นอีกหลายอย่างต่อไปเช่นเงินปันผลหรือราคาหุ้นที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต  ซึ่งการวิเคราะห์หุ้นแนวนี้  ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจในกิจการและจินตนาการเข้ามาช่วย  รวมถึงทักษะของการเป็นผู้ประกอบการ  และก็ยังต้องใช้สถานการณ์จริงมาประกอบการตัดสินใจ  บางท่านอาจจะว่าวิธีนี้ยาก  แต่มันเป็นวิธีที่เป็นรูปธรรมที่สุด  ราคาหุ้นอาจเปลี่ยนแปลงได้ฉับพลันโดยไม่ต้องสนใจพื้นฐาน  แต่ถ้ามันไม่ใช่ของจริง  มันก็อยู่ได้ไม่นาน  แต่การซื้อหุ้นโดยใช้หลักวิเคราะห์แนวนี้  ผมว่ามันดูจะเป็นจริงเป็นจังมากกว่าการเล่นกับตัวเลขและอารมณ์ของนักลงทุน  ซึ่งตรงนี้ก็อยู่ที่ว่า  คุณพอใจจะเป็นอะไรระหว่างนักพนันหรือนักลงทุน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 15 ตุลาคม 2011, 19:18:13
ผู้ซื้อประกัน  &  ผู้ขายประกัน
     ทุกวันนี้เราต้องยอมรับว่า  รอบๆตัวเรามีแต่ประกัน  ไม่ว่าจะเป็นบ้านพักอาศัย  ตึกรามบ้านช่อง  รถ  เรือ  หรือแม้แต่คน  การมีประกันเป็นสิ่งที่ดี  ซึ่งผมก็เห็นด้วยในจุดนี้  เพียงแต่ว่าผมอยากเสนอมุมมองอีกแบบหนึ่งจากตัวผมเอง  ซึ่งผมคงไม่อาจตัดสินได้ว่ามันถูกหรือผิด  และผมก็ไม่ได้อยากจะต้องให้ถึงขนาดที่ว่าต้องไปปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขอะไรบางอย่าง  หรือเป็นการยุยงส่งเสริมใดๆ  เพราะการที่ประกันมันเป็นอย่างทุกวันนี้  ผมก็ว่า  มันเป็นข้อเสนอที่พอรับได้  เพราะถ้ามันรับไม่ได้  ก็คงไม่มีใครทำประกันหรอก...จริงไหม

     กฎข้อที่หนึ่งของการทำประกันก็คือ  คุณไม่สามารถซื้อประกันตอนที่คุณต้องการได้   แล้วต้องซื้อตอนไหนล่ะ?  ก็ก่อนที่คุณจะต้องการมันไง  แต่ที่ผมสงสัยก็คือ  สังเกตไหมว่าประกันชีวิตแบบที่มีค่ารักษาพยาบาลด้วย  จะเพิ่มเบี้ยประกันตามอายุของผู้ซื้อแบบเป็นขั้นบันได  หมายความว่า  เขาจะเพิ่มเบี้ยที่เราต้องชำระเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้นทุกๆ  5  ปี  ทำไมจึงเป็นแบบนั้น  นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อคนเราอายุมากขึ้น  ก็ย่อมมีความเสี่ยงในการที่จะต้องรักษาพยาบาลมากขึ้น  ซึ่งตรงนี้ผมก็เห็นว่ามันจริง  แต่ประเด็นก็คือ  ทำไมถึงรับทำประกันค่ารักษาพยาบาลถึงแค่อายุ  70  เท่านั้น  ถ้าอายุมากกว่า  70  แล้ว  บริษัทจะไม่ยอมทำกรมธรรม์ให้  ไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม  โดยไม่สนใจว่าคุณจะส่งเบี้ยมานานขนาดไหน  หรือคุณจะเคยเข้าโรงพยาบาลหรือไม่  ผมเห็นว่าข้อเสนอตรงนี้ไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่ถ้ามองในมุมของผู้ทำประกัน  เพราะในตอนที่เขาสุขภาพแข็งแรง  บริษัทก็รับทำประกันเต็มที่  บางทียังเสนอประกันพ่วงเพิ่มมาอีกเยอะแยะมากมาย  แต่พอถึงเวลาที่เรากำลังจะได้ใช้สิทธิ์ในประกันตัวนี้บ้าง  บริษัทกลับปัดป้องไม่ยอมให้เราต่ออายุประกันไม่ว่ากรณีใดๆ  ถ้ามันเป็นอย่างนี้จริงก็เท่ากับว่า  บริษัทเอาแต่ได้ฝ่ายเดียวหรือไม่  แต่ถ้าบริษัทจะแย้งว่า  ก็เรารับประกันในช่วงที่คุณได้ทำประกันไปแล้วไง  อย่างนี้จะมาว่าเราเอาแต่ได้ได้อย่างไร  ซึ่งตรงนี้ผมก็บอกไปแล้วว่า  ผมมองในฐานะผู้ซื้อประกัน   เพราะกว่าที่เราจะได้ใช้ประกันตัวนี้อย่างเต็มที่จริงๆ  ก็ต้องเป็นวัยไม้ใกล้ฝั่งอย่างนี้  แต่บริษัทซึ่งประเมินว่าจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ  กลับไม่ยอมต่อสัญญาต่างๆที่เราได้เคยทำมา  แล้วเบี้ยที่เราเคยส่งไปเป็นเวลาหลายปีนั้น  กลับไม่เหลืออะไรเลย  เพราะว่ามันเป็นการทำทิ้งปีต่อปี  โดยเฉพาะเมื่อเวลาอายุมากขึ้น  บริษัทก็ยิ่งได้ค่าเบี้ยประกันจากเราเพิ่มมากขึ้น  หรือแม้กระทั่งคนที่มีความเสี่ยงต่างๆเช่น  สูบบุหรี่  ดื่มเหล้า  หรือมีอาชีพเสี่ยง  ประกันก็จะไม่ยอมรับ  หรือถ้ารับ  ก็จะต้องจ่ายเบี้ยแพงกว่าปกติ  อย่างนี้ก็เท่ากับว่า  จริงๆแล้วบริษัทประกันก็ไม่ได้ห่วงใยคนทำประกันมากมายตามที่โฆษณาไว้  แต่บริษัทประกันนั้นออกแนวเป็นพ่อค้าเสียด้วยซ้ำไป  ถ้าเหตุการณ์มันลงเอยแบบนี้  โดยมุมมองของผมแล้ว  ผมว่าตัวผมเองจะยอมเสี่ยงโดยเอาเงินที่จะต้องส่งประกัน  นำไปลงทุนให้มันงอกเงยเองดีหรือไม่?  บางทีเมื่อถึงอายุ  70  จริงๆ  ผมอาจจะเป็นเศรษฐีแล้วก็ได้  หรืออย่างน้อย  เงินที่นำไปลงทุนมันก็ยังเหลือมากพอที่จะนำไปใช้ในชีวิตที่ยังเหลืออยู่  แทนที่จะต้องเอาเงินไปส่งให้บริษัทที่รับทำประกันต้องรวยขึ้น  แต่บริษัทก็ต้องบอกว่า  อนาคตมันไม่แน่นอน  ทำไว้ก่อนเป็นดี  พร้อมกับยกตัวอย่างคนที่เคยได้รับการชดเชยจากบริษัทมาประกอบคำพูด  ซึ่งนั่นผมก็เห็นว่า  มันเป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส  ความหมายก็คือ  ไหนๆบริษัทก็ต้องจ่ายเงินตามสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้  เพราะฉะนั้นก็เลยเอาคนที่เคยได้รับค่าชดเชยตรงนั้นมาเป็นพรีเซ็นเตอร์สร้างความน่าเชื่อถือเพื่อทำให้เห็นความสำคัญของการทำประกันเสียเลย

     เมื่อมามองในด้านของบริษัทประกันบ้าง  ถ้าผมเป็นบริษัทรับทำประกัน  สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงก็คือผลกำไร  เราก็ต้องมานั่งคิดว่าทำอย่างไรเราจึงจะได้กำไรสูงสุดและมีความเสี่ยงต่ำที่สุด  ซึ่งการรับทำประกันแบบที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นก็เป็นการควบคุมความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง  เพราะถ้าความเสี่ยงเพิ่มขึ้น  เราก็ต้องเพิ่มเบี้ยประกัน  ซึ่งการกระทำแบบนี้เท่ากับว่า  บริษัทเป็นคนคุมเกม  ดูอย่างเหตุการณ์ล่าสุดก็ได้  ช่วงนี้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่  บริษัทต้องจ่ายค่าสินไหมเป็นเงินก้อนโต  เพราะฉะนั้นแล้วในอนาคต  มันก็มีโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมได้อีกค่อนข้างสูง  อย่ากระนั้นเลย  บริษัทจึงขอปรับราคาเบี้ยประกันเพิ่มขึ้น  เพื่อให้คุ้มกับการที่ต้องรับความเสี่ยงมากขึ้นนั่นเอง  ถ้าใครไม่ทำก็ไม่เป็นไร  แต่ถ้าน้ำท่วมก็ซ่อมเอาเองเด้อ

     ถ้าเราลองมามองภาพกว้างๆจะเห็นว่า  การทำประกันอะไรก็ตาม  มันเหมือนเป็นการพนันอย่างหนึ่ง  โดยการพนันว่าอนาคตจะออกอะไร  ถ้าประกันการเข้าโรงพยาบาลก็จะเป็นประมาณว่าเข้าหรือไม่เข้า  ถ้าไม่เข้าบริษัทก็ได้  แต่ถ้าเข้า  บริษัทก็ต้องจ่าย  หรือทำประกันรถก็จะออกแนวว่าซ่อมหรือไม่ซ่อม  ถ้าไม่ซ่อมประกันก็รับทรัพย์  แต่ถ้ามองให้ลึกจะเห็นว่า  คนที่ต้องรับความเสี่ยงก็คือคนทั้งสองฝ่ายถูกต้องไหม  แต่คนที่ต้องจ่ายเพื่อรับความเสี่ยงกลับเป็นคนซื้อประกัน  ส่วนคนขายประกัน  รับเงินเพื่อรับความเสี่ยง  โดยเฉพาะประกันสุขภาพ  บริษัทจะได้เปรียบมากกว่าผู้ซื้อประกัน  เนื่องจากว่ามีใครอยากป่วยบ้าง  ถ้าไม่อยากป่วยก็ต้องดูแลตัวเองดีๆ  คนที่ทำประกันนั้นมักเป็นคนรอบคอบ  เพราะฉะนั้นนิสัยแบบนี้  ก็มักจะติดไปในชีวิตประจำวันด้วย  ซึ่งจะทำให้ความเสี่ยงในการใช้ชีวิตลดลงไปอีก  ซึ่งจะเป็นผลทำให้บริษัทประกันประหยัดค่าเจ็บค่าป่วยของผู้ทำประกันลงไปได้  และเมื่อเราไม่ป่วยคนที่ได้เบี้ยเราไปกินฟรีๆก็คือผู้ขายประกันนั่นเอง  ซึ่งนี่ก็คือข้อแตกต่างระหว่างคนที่แสวงหาความมั่นคง(โดยมากเป็นลูกจ้าง)  และคนที่แสวงหาความมั่งคั่งโดยไม่กลัวความเสี่ยง(นักลงทุนหรือผู้ประกอบการ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: E22YKA ที่ วันที่ 19 ตุลาคม 2011, 17:18:08
สุดยอดจริง ๆ ท่านวายุ มาตามอ่านทุกวันครับ
ส่วนผมกะลังตามมาก๊อปปี้ไปอ่านครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: E22YKA ที่ วันที่ 19 ตุลาคม 2011, 17:35:10
ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างมาอัพ  แต่อยากตั้งหัวข้อเล็กๆไว้ขบคิดกันหน่อยว่า  "ธุรกิจเครือข่าย"  เป็นการลงทุนหรือไม่  แล้วถ้าว่างผมจะเข้ามาต่ออีกทีครับ

ถ้าเป็นระดับคุณรสา คำแบน คุณธเนตร  วงษาคงใช่อ่ะครับ แต่ถ้าสำหรับตัวผม ผมว่าไม่ใช่ครับ

ฝากคลิปคุณรสานิดครับ ดูแล้วได้ความรู้สึกจริง ๆ ว่าง ๆ อยากไปสมัครเป็นคนสวนบ้านแกจัง อิอิ

rtVGI9tENZU
สำหรับผมแล้ว ตอนนี้ก็ทำมาสองเครือข่ายละ ล้มเหลว และตอนนี้ก็มีคนมาชวนทำอีกเครือข่ายนึง สำหรับคำคมของชาวเครือข่ายคือ"คุณต้องการที่จะปรบมือแสดงความยินดีกับบุคคลที่อยู่บนเวที หรือคุณต้องการที่จะให้คนข้างล่างเวทีปรบมือแสดงความยินดีกะคุณซึ่งอยู่บนเวที"กึ๊ดแล้วอิ๊ด.....ป๊าดโท๊ะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: E22YKA ที่ วันที่ 19 ตุลาคม 2011, 19:45:19
มีทั้งหมด ซาวเก้าหน้า กว่าจะก๊อปเสร็จ ปาเข้าไปเกือบสองทุ่ม ได้ความรู้หลายขนาด ขอบคุณพี่ๆมากนะครับ ผู้รู้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 20 ตุลาคม 2011, 16:04:04
วิธีเลือกเพื่อน
     สมมุติว่าคุณจบจากโรงเรียนมาพร้อมกับเพื่อนอีก  10  คน  ซึ่งแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปทำงานในแต่ละบริษัท  แต่แล้ววันหนึ่งเพื่อนทั้ง  10  คนก็เข้ามาหาคุณโดยเสนอผลตอบแทนว่า  เขาจะขอยืมเงินคุณเป็นจำนวน  10  เท่าของเงินเดือนในขณะนี้  และเขาจะใช้เงินคืนให้เป็นจำนวน  25  %  ของเงินเดือนที่เขาจะได้รับทุกปีตลอดไป  คุณคิดว่านั่นเป็นการลงทุนที่ดีไหม?  ผมคิดว่าคุณคงตอบว่าดี  แต่ปัญหามันติดอยู่ตรงที่ว่า  คุณมีเงินให้เพื่อนยืมได้แค่  3  คนเท่านั้น  สิ่งที่คุณจะต้องทำก็คือ  เลือกเพื่อนคนที่คิดว่าในอนาคตจะสามารถให้ผลตอบแทนได้สูงสุดถูกต้องไหมครับ  ซึ่งวิธีการลงทุนในหุ้นก็ไม่ต่างกัน  ถ้าเราดูแนวโน้มแล้วว่า  เพื่อนคนนี้เป็นคนขยันหรือฉลาด  มีโอกาสเติบโตในหน้าที่การงานสูง  เพราะฉะนั้น  เงินเดือนที่เพื่อนคนนี้จะได้รับในอนาคตก็ต้องสูงขึ้นไปด้วยตามตำแหน่งงานที่สูงขึ้น  และเราซึ่งเป็นผู้ลงทุนให้เพื่อนยืมเงิน  ก็จะได้รับผลตอบแทนที่สูงตามขึ้นไปด้วย  ยิ่งเพื่อนเรามีเงินเดือนมากเท่าไหร่  รายได้ของเราก็ยิ่งมากขึ้นตาม  และนั่นคือวิธีการในการลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 28 ตุลาคม 2011, 16:10:43
การเริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัว
     เนื่องจากมีคำถามเข้ามามากมายในห้องนักลงทุนว่า  มีเงินเก็บอยู่และต้องการนำไปลงทุน  จะเอาไปทำอะไรดี  หรืออยากทำธุรกิจ  ก็เลยขอคำแนะนำหน่อย  เดี๋ยวกระทู้ของผมนี้จะพยายามให้ความกระจ่างนะครับ  ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่กระจ่างเต็มที่ก็ตาม  แต่อย่างน้อยมันก็กลั่นมาจากประสบการณ์จริงของผมเอง  หวังว่าคงจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่เข้ามาอ่านหรือแฟนคลับของกระผมบ้างไม่มากก็น้อย

     สำหรับคนที่ต้องการเริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัวนั้น  ผมขอชมเชยก่อนเลยว่า  คุณมีพัฒนาการในชีวิตที่ดี  ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนก็ตาม  แต่อย่างน้อยก็ทำให้ทราบว่า  คุณเป็นผู้ที่แสวงหาโอกาสและความก้าวหน้าให้กับชีวิต  โดยไม่อยากพึ่งพาใครหรือเป็นลูกจ้างกินเงินเดือนใคร  เพราะการเป็นลูกจ้างนั้น  เราไม่มีอำนาจในการต่อรองใดๆทั้งสิ้น  ทำได้ก็แค่เพียงทำงานตามหน้าที่ไปวันๆโดยมีความหวังว่า  สักวันหนึ่งจะได้เลื่อนตำแหน่งหรือได้ขึ้นเงินเดือนบ้าง  ซึ่งมันก็เป็นได้แค่ความหวังที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะเป็นจริง

     สำหรับการเริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัวนั้น  เท่าที่ผมทราบมีอยู่  3  วิธีหลักๆด้วยกัน  ซึ่งแต่ละวิธีก็จะมีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันไป  ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยในการประกอบธุรกิจส่วนตัวนั้น  คงต้องมาเน้นเนื้อหากันอีกที  ใครอยากทราบอะไรมากกว่านี้ก็ถามเข้ามาได้นะครับ  สำหรับ  3  วิธีการเริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัวที่ว่านั้น  สามารถสรุปออกมาได้ดังนี้

1.แฟรนไชส์  วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีทุนน้อยและยังไม่มีประสบการณ์ในการสร้างธุรกิจ
ข้อดี  เราสามารถมองธุรกิจได้ก่อนที่จะลงทุน  และเราก็ไม่ต้องมาปวดหัวกับการแก้ไขปัญหาข้อบกพร่องต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  เนื่องจากว่าเจ้าของแฟรนไชส์นั้นได้มีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหามาก่อนแล้ว  ดังนั้นเราจึงมั่นใจได้ว่า  ธุรกิจที่เรากำลังจะลงมือทำ  จะมีผู้ช่วยอย่างแน่นอน  และเราสามารถมองก่อนได้ว่า  ธุรกิจนี้มีคนรู้จักหรือเป็นที่นิยมในตลาดอยู่แล้ว  เพราะฉะนั้น  ความเสี่ยงเรื่องการที่เราจะต้องพยายามสร้างยี่ห้อให้เป็นที่รู้จักก็ไม่จำเป็นต้องทำ

ข้อด้อย  เนื่องจากการซื้อแฟรนไชส์มันเป็นไปในลักษณะธุรกิจสำเร็จรูป  มันก็จึงต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่ต้องยอมเป็นบางอย่างคือ  “เราจะกลายเป็นลูกจ้างกิตติมศักดิ์ไปโดยปริยาย”  ซึ่งหมายความว่า  เราต้องรับสินค้าของเขาไปขายตลอดเวลาที่ดำเนินธุรกิจภายใต้ยี่ห้อของเขา  ผมเคยคิดนะว่า  เงินลงทุนก็เงินกรู  คนบริหารธุรกิจก็กรู  ยังต้องรับสินค้าของมันมาขายให้อีก  ถ้าเราเลิกทำ  เงินที่ลงทุนไปก็ไม่ได้คืน  หรืออาจได้คืนบางส่วน  แถมบางทีสินค้าที่มันเอามาขายให้เราก็แพงแสนแพง  แต่ก็ทำอะไรมันไม่ได้  นี่เรากำลังเป็นขี้ข้ามันอยู่หรือเปล่านี่?

     ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยของการทำธุรกิจในลักษณะที่คล้ายๆกันนี้ก็มีเหมือนกันคือ  บางทีเราก็ไปซื้อสูตรเขามา  หรือบางทีเราก็ไปซื้อสินค้าของคนอื่นที่เป็นที่รู้จักมาวางขายเลย  อันนี้มันก็จะมีลักษณะกึ่งๆแฟรนไชส์เหมือนกัน  ดีกว่าหน่อยตรงที่ว่า  ไม่ต้องโดนเจ้าของผลิตภัณฑ์บังคับขายของให้

2.ซื้อกิจการ  บางคนอาจจะเรียกหรูๆว่าเทคโอเวอร์  แต่ผมเรียกว่า  “เซ้ง”  การที่จะทำแบบนี้ได้ต้องมีทุนมากพอสมควร  และยังต้องมีความสามารถในการทำธุรกิจด้วย  บางทีเราเห็นว่าร้านนี้หรือยี่ห้อนี้มีคนรู้จักแล้ว  ไม่จำเป็นต้องไปทำการตลาดให้มากมาย  เราก็แค่เข้ามาสวมรอยและดำเนินงานต่อได้เลย  ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ประหยัดเวลาในการที่จะต้องทำให้คนอื่นรู้จัก  แต่ข้อด้อยของมันก็มีคือ  ถึงแม้ว่าเราจะเข้ามาสวมเลย  แต่ถ้าเราดำเนินธุรกิจไม่ดี  มันก็มีสิทธิ์พังได้  และเจ็บหนักด้วย  เนื่องจากว่าใช้ทุนมาก  เพราะฉะนั้น  การจะทำธุรกิจลักษณะนี้ให้ประสบความสำเร็จ  นอกจากมีทุนมากแล้ว  ยังต้องมีความสามารถประกอบด้วย  หนำซ้ำยังไม่พอ  บางทีอาจโดนดัดหลังจากเจ้าของเก่าได้เช่น  หลังจากที่เจ้าของขายกิจการให้เราแล้ว  เขาก็หอบเงินก้อนโตที่เราให้เขาไปน่ะ  กลับมาเปิดร้านแข่งกับเราอีก  แล้วเราจะสู้เจ้าเก่าได้หรือไม่  ถ้าเป็นอย่างนี้จริง  คนที่เพิ่งซื้อกิจการมาจะทำอย่างไรครับ

3.สร้างธุรกิจ  วิธีนี้ถ้าใครทำได้ถือว่าดีมากเนื่องจากว่า  ใช้ทุนเริ่มต้นน้อย  แต่ใช้ความสามารถและความอดทนมาก  ซึ่งตัวผมเองก็อยู่ในข่ายนี้  การสร้างธุรกิจจากศูนย์ไม่ใช่เรื่องง่าย  แต่ถ้าทำสำเร็จ  คุณก็จะนับถือตัวเองมาก  เพราะกว่าที่มันจะสำเร็จได้  คุณต้องลองผิดลองถูกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง  และเวลาที่คุณทำอะไรพลาดไป  แล้วคุณสามารถแก้ไขมันได้  ความฉลาดมันก็จะเกิดขึ้น  ทำให้คุณมีความมั่นใจในตัวเองเพิ่มมากขึ้น  ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีค่ามาก  คุณไม่สามารถหามันจากที่ไหนได้  และถ้าในอนาคตมันเกิดปัญหากับธุรกิจของคุณ  ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเดิมที่เคยเจอมาแล้วหรือเป็นปัญหาใหม่  คุณก็จะมีภูมิต้านทานพอที่จะรับมือกับปัญหาที่ถาโถมเข้ามา  ซึ่งถ้าคุณรับมือกับมันได้และทำได้ดี  คุณก็จะแข็งแกร่งยิ่งๆขึ้นไปอีก  ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้คุณก้าวหน้าต่อไปได้ในอนาคต  และเหนือสิ่งอื่นใด  คุณก็จะได้เป็นเจ้าของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้น  โดยที่มีตัวคุณเป็นคนคิดค้นมันขึ้นมาเอง  ซึ่งสินค้าพวกนี้นี่แหละ  ถ้ามันดีจริง  มันจะสามารถสร้างรายได้ให้คุณเป็นอย่างมาก  เพราะคุณจะสามารถขยายสาขาหรือทำแฟรนไชส์หรือขายสูตรหรือขายสินค้าให้คนอื่นก็สามารถทำได้  ไม่ต้องเป็นขี้ข้าใคร  ไม่มีใครมาบังคับ  ถ้าเราไม่อยากทำแล้ว  จะยกกิจการให้ลูกให้หลานดูแลต่อหรือขายธุรกิจเอาเงินก้อนก็ยังได้

     สรุปใจความหลักๆก็คือ
แฟรนไชส์     ใช้ทุนน้อย  ใช้ความสามารถน้อย
ซื้อธุรกิจ         ใช้ทุนมาก  ใช้ความสามารถมาก
สร้างธุรกิจ      ใช้ทุนน้อย  ใช้ความสามารถมาก

ตอนนี้ก็อยู่ที่คุณแล้วล่ะว่า  สนใจจะเริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัวแบบไหน?


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 06 พฤศจิกายน 2011, 21:37:31
กระจายความเสี่ยงโดยหุ้นตัวเดียว
     หลายคนที่เคยรู้ถึงหลักการลงทุนในหุ้นด้วยวิธีการกระจายความเสี่ยงมาก่อนอาจสงสัยว่าผมกำลังพูดถึงอะไร  คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ  ผมบอกว่า  “กระจายความเสี่ยงโดยหุ้นตัวเดียว”  จริงๆ  หลายคนอาจงงว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร  เดี๋ยวผมจะอธิบายให้รู้

     ตามหลักของการลงทุนโดยกระจายความเสี่ยงแล้วหมายถึง  เราต้องลงทุนในทรัพย์สินต่างชนิดกันเช่น  หุ้น  ทองคำ  ตราสารหนี้  เงินฝาก  สลากออมสิน  ที่ดิน  ฯลฯ  ซึ่งทรัพย์สินที่ต่างชนิดกันนี้  จะตอบสนองต่อปัจจัยหรือตัวแปรที่ต่างกันเช่น  ถ้าดอกเบี้ยกำลังเป็นขาขึ้น  เงินฝากประจำระยะสั้นจะดี  แต่ตราสารหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่จะไม่ดี  อย่างนี้เป็นต้น  ซึ่งถ้าดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นจริงๆ  แต่เราดันลงทุนเต็มที่ในตราสารหนี้  มันก็จะเกิดความเสียหายกับตัวเราได้  แต่ถ้าเรามาดูการลงทุนในหุ้นแล้วจะเห็นว่า  ถ้าเราลงทุนในตลาดหุ้นอย่างเดียว  แต่ซื้อหุ้นในหลายๆบริษัทหรือหลายๆอุตสาหกรรม  อย่างนี้จะเรียกว่ากระจายความเสี่ยงใช่หรือไม่  คำตอบมันมีทั้งใช่และไม่ใช่  คำตอบที่ใช่คือ  มันไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน  เพราะฉะนั้น  ปัจจัยที่มีผลกระทบกับหุ้นแต่ละตัวจะไม่เหมือนกันเช่น  ถ้าน้ำมันราคาขึ้น  หุ้นที่ขายน้ำมันจะดี  แต่มันจะไม่ดีกับหุ้นที่ใช้น้ำมันอย่างพวกขนส่งหรือสายการบิน  ส่วนคำตอบที่ไม่ใช่ก็คือ   ถ้าเราอยู่ในตลาดหุ้นมานานพอสมควรจะสังเกตเห็นได้ว่า  เวลาหุ้นมันตกแรง  มันก็มักจะตกพร้อมกันโดยไม่สนใจต่อปัจจัยที่จะมากระทบกับหุ้นเป็นรายบริษัทเลย  เวลาที่ตลาดปั่นป่วนหรือแตกตื่น  หุ้นทั้งดีและไม่ดีก็จะพากันร่วงกราวรูด  นั่นเป็นเพราะว่าทุกบริษัทต่างก็อยู่ในตลาดหุ้นเหมือนกัน  เมื่อตลาดไม่ดี  หุ้นทุกตัวก็เลยแย่ตามไปด้วย

     ทีนี้ถ้าเราจะมาพูดถึงประเด็นที่ว่า  กระจายความเสี่ยงโดยหุ้นตัวเดียวนั้นคืออะไร  สิ่งที่ผมจะบอกมันคือสินค้าของบริษัทหรือการทำธุรกิจของบริษัทนั่นเอง  บางบริษัทอาจจะขายสินค้าอย่างเดียวแต่ก็สามารถกระจายความเสี่ยงในตัวมันเองได้เช่น  เม็ดพลาสติก  เราต่างก็รู้ว่าพลาสติกสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง  ไม่ว่าจะเอาไปทำเป็นกาละมัง  โต๊ะเก้าอี้  ส่วนประกอบของรถมอเตอร์ไซค์  ส่วนประกอบของรถยนต์  ของเล่น  ฯลฯ  เพราะฉะนั้น  ลูกค้าของบริษัทพลาสติกจะไม่ได้มีอยู่แค่กลุ่มเดียว  ซึ่งนั่นจะทำให้บริษัทสามารถกระจายความเสี่ยงไปในสินค้าหลายๆผลิตภัณฑ์ได้  หรือบางบริษัท  อาจจะขายสินค้าหลายๆประเภทในบริษัทเดียวเช่น  7-11  ซึ่งถ้าเรามองดูจะเห็นได้ว่า  7-11  นั้นขายสินค้าหลายประเภทและหลายช่องทาง  สำหรับหลายประเภทก็ได้แก่  ของกิน  ของใช้  ของเล่น  หนังสือ  และบริการต่างๆ  ส่วนหลายช่องทางก็คือ  ขายที่สาขาเอง  ขายผ่านแคตตาล็อก  ขายผ่านอินเตอร์เนต  และขายผ่านทางจานดาวเทียม  ซึ่งนี่ก็อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมเลือกลงทุนแค่บริษัทเดียวแต่ก็คล้ายกับว่าผมได้กระจายความเสี่ยงไปในสินค้าหลายประเภทครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2011, 01:50:32
เปิดเกมรุก!!!
     เคยมีโค้ชทีมฟุตบอลบางท่านกล่าวไว้ว่า  เกมรับที่ดีที่สุดคือการรุก   ขยายความก็คือ  ถ้าเรามัวแต่ตั้งรับอยู่ในแดนของตัวเอง  โดยให้คู่ต่อสู้เข้ามาป้วนเปี้ยนแถวเขตประตูของเรา  ถ้าเราพลาดพลั้งบางจังหวะ  หรือคู่ต่อสู้ทำได้ดี  จะทำให้เราเสียประตูได้  แต่ถ้าเราเปิดเกมรุก  โดยเป็นฝ่ายบุกอยู่ตลอดเวลา  นั่นจะทำให้คู่ต่อสู้ต้องถอยกลับลงไปอยู่ในแดนของตัวเอง   ทำให้ไม่มีโอกาสเข้ามาบุกเราได้  และถ้าเราสามารถตรึงคู่ต่อสู้ให้อยู่แต่ในแดนของตัวเองได้แล้ว  โอกาสที่เราจะเสียประตูก็จะลดน้อยลงไปด้วย  และถ้าทีมเราทำได้ดี  เราก็จะได้ประตูเพิ่มมากขึ้น  ซึ่งนั่นจะทำให้ทีมมีความได้เปรียบที่มากขึ้นด้วย

     เฉกเช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้น  ถ้าเราเลือกหุ้นที่มีการเติบโต  ซึ่งหมายถึงหุ้นที่เราเลือกนั้น  ได้มีการเปิดเกมรุกตลอดเวลา  นั่นหมายความว่า  เราจะไม่โดนคู่แข่งแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดไป  ถึงแม้ว่าการเติบโตนั้นอาจจะไม่ได้เป็นการรับประกันว่ามันจะเป็นผลดีมาก  แต่อย่างน้อย  เราก็ได้กินแดนของคู่ต่อสู้  ทำให้คู่ต่อสู้บุกเราได้ยากลำบากขึ้น  แต่ถ้าเราเลือกหุ้นที่ไม่มีการเติบโต  ซึ่งนั่นอาจจะหมายถึงการตั้งรับของบริษัท  ถ้าบริษัทเกิดพลาดในจุดใดจุดหนึ่ง  หรือคู่ต่อสู้ทำได้ดี  เมื่อนั้น  อาจจะทำให้บริษัทเสียประตูและตกเป็นรองบริษัทที่บุกเข้ามาได้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2011, 19:02:29
สัจธรรม
     การลงทุนในหุ้นของผม  ใช้หลักการง่ายๆทั่วไป  สิ่งที่ผมทำก็แค่ติดตามข่าวคราวของบริษัทที่ผมลงทุนอยู่เท่านั้นเอง  ถ้ากำไรมันเพิ่มขึ้น  ก็แสดงว่ามันดีขึ้น  แต่มีบางคนที่พยายามใช้เครื่องมือแปลกประหลาดซับซ้อนต่างๆเพื่อช่วยให้การลงทุนของเขามีความได้เปรียบคนอื่น  แต่เชื่อผมเถอะว่า  ไม่มีวิธีการไหนใช้ได้  100  %  จริง  เดี๋ยวเราลองมาดูหุ้นที่ผมลงทุนอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัน

     ในวันที่  3  พ.ย  เวลา  5  โมงเย็น  ซึ่งเป็นเวลาหลังจากปิดตลาดไปแล้ว  บริษัท  CPALL  รายงานผลกำไรว่า  เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว  30  %

http://www.set.or.th/dat/news/201111/11043054.pdf

     แต่ราคาหุ้นในวันที่  4  และ  7  ไม่ได้เพิ่มขึ้นเพื่อรับข่าวดีนี้เลย  ซ้ำร้ายยังตกลงมาที่จุดต่ำสุด  45  บาทด้วย  นี่มันบ้าชัดๆ  จังหวะนี้เป็นเวลาที่ควรเข้าซื้อด้วยซ้ำไป  แต่มีหลายคนขายหุ้นออกมาจนทำให้ราคาหุ้นมันลดลง  และพอถึงวันที่  8  ดูว่าเกิดอะไรขึ้น  ราคาหุ้นพุ่งขึ้นไป  5  %  ไปปิดที่  47.25  บาท  และในวันที่  11  ราคาหุ้นก็ปิดที่  48.25  บาท

http://www.set.or.th/set/historicaltrading.do?symbol=CPALL&language=th&country=TH

     ถ้าคุณได้ตามข่าวของหุ้นตัวนี้ก็จะเห็นถึงโอกาสได้ว่า  "ต้องซื้อ"  เท่านั้น  และถ้าคุณเข้าซื้อที่ราคา  45  บาท  เมื่อถึงวันที่  11  คุณจะได้กำไรจากราคาหุ้น  6  %  กว่าทันที  แต่หลังจากวันนี้ไปแล้วผมก็ไม่รู้ว่าราคาหุ้นมันจะไปทางไหนต่อ  แต่ถ้าราคามันตกลงมาอีก  ก็ควรจะเป็นเวลาที่ดีในการซื้อเท่านั้น  และจะเห็นได้ว่า  การลงทุนแบบนี้คือการลงทุนบนความจริง  และนั่น...ทำให้ผมตั้งหัวข้อว่าสัจธรรม


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2011, 18:50:02
   ขออภัยที่หายไปนาน  เนื่องจากว่าอาซ้อไม่สบาย  ก็เลยต้องเฝ้าไข้กันตลอดเวลา  ของก็เลยพลอยไม่ได้ขายไปด้วย  วันนี้พอมีเวลามานั่ง  ก็เลยเอาความรู้มาฝากกันสักเล็กน้อย  หวังว่าแฟนๆคงไม่ว่ากันนะครับ

เรารวยแล้ว
     ปัญหาอย่างหนึ่งที่คู่กับคนส่วนใหญ่ก็คือการไม่มีเงิน  ทุกวันนี้หลายคนยังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยังลำบากมาก  ผมก็ยังเป็นหนึ่งในคนส่วนใหญ่นั้นด้วย  หลายคนมีความคิดว่า  ถ้าเขาถูกหวยรวยเบอร์ขึ้นมา  ชีวิตเขาคงจะดีขึ้น  แต่เมื่อถึงเวลานั้นขึ้นมาจริงๆ  เขากลับจะต้องพบกับปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นมานั่นก็คือ  จะเอาเงินไปทำอะไรดี  ลองมาดูวิธีจัดการกับเงินของคน  2  คนกันดีกว่า  สมมุติให้ทั้งคู่ถูกหวยรางวัลที่  1  ได้เงินมาคนละ  2  ล้านเท่ากัน

     คนที่  1  แหม...รอมานานแล้ว  ตอนนี้อยากได้อะไรพ่อจะซื้อให้ดู  ว่าแล้วก็นั่งคิดๆๆจะเอาเงินไปซื้ออะไรดี  อ่าใช่แล้ว...ไปซื้อรถเก๋งมาขับดีกว่า  อยากได้มานานแล้ว  ทีนี้ล่ะ  สาวๆจะต้องมองจนเหลียวหลัง  พ่อจะแต่งให้แหล่มทั้งคันเลย  คิดเสร็จปั๊บก็ออกไปซื้อรถมาบัดเดี๋ยวนั้น  ซื้อสดซะด้วย...โก้ชะมัด  ซื้อรถเสร็จเงินยังเหลือ  เอาไปใส่เครื่องเสียงดีกว่า  อยากได้ที่มันแบบกระหึ่มเต็มถนน  เวลาขับเปิดเพลงไปคนมองกันเหลียวหลัง  ว่าแล้วก็ไปติดเครื่องเสียงอีก  หมดไปอีกเป็นแสน  แต่เงินยังเหลืออยู่อีก  งั้นแต่งเครื่องอีกนิด  อยากแรงกว่าใคร  ยัง...ยังไม่พอ  ขอใส่สปอยเลอร์หน่อยสิ  สเกิ๊ตอีก  ลงแม็ก  โหลดต่ำ  ทำจนครบเซ็ทเงินหมดพอดี  แหม..เป็นปลื้ม  รถสวยกว่าใคร  จากที่ขี่มอ’ไซค์กลายเป็นรถเก๋งเท่ๆ  ชีวิตเหมือนฝัน  มีความสุข

     คนที่  2  ได้เงินมาเสร็จปั๊บทำไงดีหว่ายังงงๆ  ตอนนี้ชีวิตก็ยังไม่ถึงกับอับจนอะไรมาก  มอ’ไซค์ก็ยังขี่ได้อยู่  เอาเป็นว่าเอาไปลงทุนก่อนดีกว่า  ว่าแล้วเขาก็เอาเงินไปลงทุนที่มันได้ผลตอบแทน  7  %  ต่อปี  ปีแรกเขาทำผลตอบแทนได้แสนสี่จากเงินลงทุนสองล้านบาท  น่าประทับใจมาก  แต่เขาก็ยังไม่อยากเอาเงินไปใช้อยู่ดี  เขามีความคิดว่า  เอาเงินที่ได้มาแสนสี่กลับไปลงทุนเพิ่มดีกว่า  ซึ่งการลงทุนในลักษณะนี้เรียกว่า  “ทบต้น”  ว่าแล้วเขาก็นำเงินทั้งแสนสี่เข้าไปรวมกับเงินต้นสองล้าน  ทำให้ตอนนี้เขามีเงินลงทุนเพิ่มขึ้นมาเป็นสองล้านหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท  ในปีที่สองของการลงทุน  เขาได้ผลตอบแทนมาอีก  7  %  ทำให้ตอนนี้เขามีเงินเพิ่มขึ้นมาอีก  149,800  บาท  เมื่อเอาผลตอบแทนเข้าไปรวมกับเงินต้นจะทำให้ในปีที่สองเขามีเงินเป็น  2,289,800  และเขาก็ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆติดต่อกันเป็นเวลา  5  ปี  เมื่อถึงปีที่  5  เขามีเงินรวมทั้งสิ้น  2,805,103  บาท!!!  ภายในเวลา  5  ปี  เขาสามารถทำให้เงินงอกออกมาได้อีกแปดแสน  ตอนนี้ถ้าเขาอยากได้รถเก๋งสักคันเขาก็สามารถเอาดอกผลที่ทำได้ไปซื้อโดยที่เงินต้นก็ยังอยู่ครบ

     เมื่อเวลาผ่านไป  5  ปีรถยนต์ของคนที่  1  ก็เก่าพอสมควรแล้ว  ถึงแม้ว่าเขาอยากจะเปลี่ยนแต่เขาก็ไม่เหลือเงินอีกแล้ว  ถ้าเขานำรถไปขายตอนนี้  ราคาก็จะตกลงมาเหลือเพียงครึ่งเดียว  เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาทำได้ก็คือ  ขับรถคันเก่าต่อไป  โดยที่ค่าบำรุงรักษารถก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามสภาพการใช้งานของรถ  ในขณะที่ชายคนที่สอง  มีรถขับและก็ยังมีเงินเหลืออยู่ครบ  ถ้าเขาอยากจะเปลี่ยนรถ  เขาจะเปลี่ยนเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่เขาต้องการ  โดยมีข้อแม้ว่าต้องเป็นเงินที่งอกออกมาจากเงินต้นเท่านั้น...จบ

     เมื่อสรุปจากเหตุการณ์จะเห็นได้ว่า  ความฉลาดทางการเงิน  ความมีเหตุผลในการใช้เงินและการรู้จักยับยั้งชั่งใจในความอยากของตัวเราเอง  จะทำให้ชีวิตเราไม่ลำบาก  ถ้าตอนนี้เรายังไม่มีเงิน  ผมอยากให้ทุกคนอดออมและอดทนเข้าไว้  ถ้าเรามีความมุ่งมั่นที่จะมีเงิน  ความฉลาดทางการเงินช่วยคุณได้  เมื่อมีเงิน...ผมอยากให้ทุกคนอดเปรี้ยวไว้กินหวาน  ไม่ใช่สักแต่ว่าแค่มีเงินก็ใช้โดยไม่ยั้งคิด  คนรวยและคนจนมันไม่ได้แบ่งกันที่มีเงินมากหรือน้อย  มีได้ก็หมดได้  ไม่มีก็ทำให้มันมีขึ้นมาได้  ถ้าเป็นอย่างกรณีของชายคนที่  1  นั้น  ผมจะเรียกเขาว่า  คนจนที่มีเงินเท่านั้น   เขายังไม่ใช่คนรวยนะครับ  ถึงแม้ว่าเขาจะมีเงินก็ตาม  อยากเห็นคนเชียงรายไม่ลำบากครับ  คุณอยากรวยไหม  ถ้าอยากรวย  เรามาเดินไปพร้อมๆกันครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2011, 19:51:08
    แล้วทำเรื่องเคลมประกันรึยังล่ะ ทั่นวายุ.. :D  อย่างนี้ขาประจำก็อดได้ทานข้าวมันไก่อร่อยๆ เลย


คนไม่ได้ทำงาน   แต่ผมเชื่อว่าเงินทั่นวายุทำงานเหงื่อร่วงเป็นเม็ดๆ เลยแหละ ใช่มั้ย...ทั่น   ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2011, 16:00:15
ทำให้ดูซิ
     ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่หาเงินได้ง่าย  บางทีในการลงทุนมันก็ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังหรือพิถีพิถันมากนัก  แต่ถ้าเราคิดว่า  อันเงินทองนี้มันช่างหาได้ยากลำบากแท้  เราก็ควรไตร่ตรองให้มาก  ก่อนที่จะขยับทำอะไร  แต่ก็อีกนั่นแหละ  ถึงแม้จะมีบางคนที่หาเงินได้ง่าย  แต่ก็คงไม่มีใครชอบที่จะเสียตังค์  หรือคุณว่าไม่จริง  ใครเถียงยกมือขึ้น

     เพราะฉะนั้น  กลยุทธ์ทำให้ดูซิจึงเกิดขึ้น  หลักใหญ่ใจความของกลยุทธ์นี้ก็คือ  เราจะยังไม่ลงทุนในอะไรก็แล้วแต่  จนกว่าการลงทุนนั้นจะพิสูจน์ตัวเองได้แล้ว  ถ้าเรายังจำกันได้  เมื่อไม่นานมานี้  มีร้านสะดวกซื้อเกิดขึ้นมากมายหลายยี่ห้อ  ทั้ง  7-11  108  SHOP  แฟมิลี่มาร์ท  am-pm  เทสโก้โลตัส  ฯลฯ  และเราก็พอจะมองออกว่า  ในอนาคตร้านสะดวกซื้อจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนในประเทศไทยอย่างแน่นอน  แต่ปัญหาก็คือ  แล้วเราจะเลือกลงทุนในร้านไหนดีล่ะ?  ถ้าเราเป็นพ่อเลี้ยงเงินหนา  อาจเป็นไปได้ว่าคงจะกว้านซื้อหุ้นมันทุกยี่ห้อ  เพราะไม่ยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งหรือหลายยี่ห้อจะต้องเกิดได้  แต่ถ้าเป็นคนเบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างพวกเรา  คงจะลงทุนได้อย่างมากก็แค่  1-2  บริษัท  แล้วมีวิธีไหนบ้างล่ะที่จะทำให้เราสามารถลงทุนในหุ้นได้ถูกตัว  วิธีที่ว่าก็คือ  เราต้องรอดูก่อนว่า  เมื่อฝุ่นหายตลบแล้ว  บริษัทไหนที่ยังคงอยู่  วิธีนี้ถึงแม้ว่าอาจจะดูว่าลงมือช้าไปบ้าง  แต่มันก็ช่วยลดความเสียหายในการลงทุนได้ดีทีเดียว  และทุกวันนี้เราก็คงจะรู้แล้วว่าใครเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ  ส่วนพวกที่ได้เอ่ยนามมาแล้วนั้น  บ้างก็ล้มหายตายจาก  บ้างก็ยังสู้กับ  7-11  ไม่ได้สูสีนัก  ถึงแม้ว่าการลงทุนในช่วงหลังจากที่รู้ตัวผู้ชนะแล้ว  มันอาจจะสร้างผลตอบแทนได้ไม่มากมายเท่ากับช่วงเริ่มแรกสร้างกิจการก็ตาม  แต่ความเสี่ยงในการที่คุณจะทายผิดตั้งแต่ตอนแรก  มันก็ได้ลดน้อยลงมากเช่นกัน  เพราะถ้าคุณทายผิดตั้งแต่ตอนแรก  ป่านนี้คุณคงเหลือแต่ตัวไปแล้ว  และหลังจากที่เรารู้ตัวผู้ชนะแล้ว  เราก็รอเวลาที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนต่อไป  ด้วยการใช้ประโยชน์จากความผันผวนของตลาดเพื่อหาจังหวะเข้าลงทุน

     มีสิ่งหนึ่งที่คุณควรรู้ก็คือ  ถ้าคุณไม่ได้เข้าลงทุนในหุ้นตัวที่ชนะ  ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่  บางทีคุณอาจจะเทียบด้วยค่า  PE  โดยให้เหตุผลว่า  ทำธุรกิจอย่างเดียวกัน  แต่  PE  ของหุ้นตัวนี้ถูกกว่า  โดยเข้าใจว่านั่นคือวิถีแห่ง  VI  ผมว่า...คุณคงต้องหาหนังสือที่เกี่ยวข้องกับบัฟเฟตมาอ่านเสียกระมัง  จริงอยู่ที่ว่าค่า  PE  มันถูกกว่า  แล้วถ้าเทียบว่ามันมีโอกาสเจ๊งมากกว่าหรือเติบโตได้ช้ากว่า  คุณคิดว่ามันคุ้มที่จะลงทุนหรือเปล่า?  และอีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะย้ำในการลงทุนที่มีคนเข้าใจผิดเป็นจำนวนมากว่า  “หุ้นลงเป็นโอกาสของการซื้อ”  นั้น  ผมอยากให้ดูก่อนว่าที่มันลงนั้นคือตัวไหน  ถ้าตัวที่ชนะมันลง  นั่นก็เป็นจังหวะที่ดีในการซื้อ  แต่ถ้ามันไม่ใช่ตัวที่ชนะ  และคุณเข้าไปรับซื้อโดยคิดว่ามันลงเดี๋ยวมันก็ต้องขึ้น  สิ่งที่คุณทำอยู่นั้นมันคือ  คุณกำลังหวัง  มันไม่ใช่การลงทุน

     บางทีเราอาจเห็นแววว่าอนาคตหุ้นตัวนี้มันกำลังจะไปได้สวยเช่น  LOXLEY  (ล็อกซเล่ย์)  ซึ่งช่วงนี้กำลังมีข่าวว่าจะได้ทำหวยออนไลน์เพียงเจ้าเดียวในประเทศไทย  ถ้าเป็นเสือปืนไวก็อาจจะคิดว่า  นี่แหละคือสิ่งที่เรากำลังตามหา  แต่สำหรับผมแล้ว  มันยังเป็นแค่โครงการอยู่  มันจะน่าลงทุนก็ต่อเมื่อบริษัทได้ลงมือทำแล้ว  และมีกำไรให้เห็นได้จริง  เพราะถ้าเราซื้อหุ้นโดยคิดว่ามันจะดี  นั่นก็คือคุณกำลังหวังอีกแล้วครับท่าน  สาเหตุที่ผมยังไม่กล้าที่จะลงทุนในหุ้นตัวนี้ทั้งๆที่โครงการนั้นดีมากก็เนื่องจากว่า  การทำหวยออนไลน์ออกมาก็เพื่อช่วยไม่ให้หวยขายเกินราคา  แล้วคนที่เกี่ยวข้องกับการขายหวยในปัจจุบันนี้  ทั้งคนพิการ  คนไม่มีงานทำ  หรือคนใหญ่คนโตบางคนจะทำอย่างไรกับผลกระทบของรายได้ตัวเอง  อาจจะมีการก่อม็อบเพื่อมายื้อโครงการต่อไปอีกทำให้ไม่สามารถเกิดได้  และอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ  บริษัทนี้ไม่ได้ทำธุรกิจแค่อย่างเดียว  เราก็ควรจะดูด้วยว่าถ้าโครงการหวยออนไลน์เกิดได้จริงแล้ว  รายได้ที่จะเข้ามาตรงนั้น  จะสามารถทำให้กำไรที่บริษัททำได้เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยยะหรือไม่เช่น  สมมุติว่าผมเปิดร้านอาหารโดยขายสารพัดอย่าง  ซึ่งแต่ละอย่างก็ขายไม่ใคร่ดีนักทั้งตามสั่ง  ก๋วยเตี๋ยว  ส้มตำ  ข้าวต้ม  และข้าวแกง  ผมก็เลยดิ้นหาทางรอดด้วยการไปซื้อสูตรข้าวมันไก่ของร้านข้าวมันไก่ใบเฟิร์นแสนอร่อยมา( แฮ่  แฮ่ )  เมื่อผมนำข้าวมันไก่มาทำขายแล้วปรากฏว่า  ขายดีพอสมควร  แต่ทีนี้ปัญหามันติดอยู่ตรงที่ว่า  กำไรที่ได้มาจากข้าวมันไก่นั้น  มันจะโดนถัวให้กำไรลดลงด้วยการขาดทุนจากสินค้าตัวอื่นที่ขายไม่ได้  ทำให้รายได้ที่ได้รับจากข้าวมันไก่นั้น  ยังไม่สามารถดึงกำไรของทางร้านให้ดีขึ้นมากได้  เพราะฉะนั้น  การที่ผมทำข้าวมันไก่ขายโดยที่ยังมีสินค้าตัวอื่นเป็นตัวฉุดรั้งกำไรอยู่  จะทำให้กำไรที่ทำได้นั้น  ไม่ได้ดีอย่างที่หวังไว้  แต่ถ้าผมขายข้าวมันไก่แล้วนำไปถัวกับสินค้าอย่างอื่นที่ผมมีในร้าน  และกำไรที่ทำได้เป็นที่น่าพอใจจนทำให้กำไรโดยรวมดีขึ้น  นั่นมันก็ทำให้รู้ได้ว่า  สินค้าตัวที่เป็นข้าวมันไก่นั้นแรงจริง  สมควรที่จะลงทุนในร้านนี้เป็นอย่างยิ่ง  และถ้าในอนาคต  ผมตระหนักได้ว่า  สินค้าตัวอื่นที่ผมมีไม่ได้สร้างกำไร  แถมยังมาฉุดรั้งกำไรในส่วนรวมให้ลดต่ำลงด้วย  เมื่อถึงเวลานั้น  ผมอาจจะตัดสินค้าตัวที่ไม่ทำกำไรออกไป  และหันมาเน้นสินค้าตัวที่ทำกำไรได้ดีกว่า  ร้านของผมก็จะมีกำไรเพิ่มขึ้น  ซึ่งเมื่อผมทำอย่างนี้แล้ว  กำไรของทางร้านก็ดีขึ้นตามลำดับ  ฉะนั้นแสดงว่า  ร้านของผมนี้มีพัฒนาการที่ดี  สมควรลงทุนเป็นอย่างยิ่ง...ฟันธง  เพราะฉะนั้นสำหรับหุ้นที่ยังเป็นโครงการอยู่  เราก็ยังไม่ต้องรีบร้อนลงทุน  ใจเย็นๆ  ค่อยๆดู  ถ้ามันดีจริงค่อยลงทุนทีหลังก็ได้ไม่เสียหาย

     และขอยกตัวอย่างอีกธุรกิจมาให้ดู  ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเทคโนโลยี  3G  คุณคิดว่าใครจะชนะระหว่าง  AIS  DTAC  และ  TRUE  เท่าที่ผมดู  สังเกตเห็นว่า  ค่าย  TRUE  นั้นนำหน้ากว่าค่ายอื่น  ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา  การตั้งข่าย  และทุน  แต่เท่าที่เห็น  เราสามารถตัดสินได้หรือยังที่จะลงทุนในหุ้น  TRUE  นี้  ยัง...ช้าก่อน  ถ้าเป็นกลยุทธ์ทำให้ดูซิหัวใจของมันคือ  ต้องรอให้บริษัทพิสูจน์ตัวเองให้ได้ก่อนว่ามีกำไรจากการทำธุรกิจนั้นแล้วค่อยลงทุน  ช้าๆได้พร้าเล่มงาม  คำนี้ยังใช้ได้เสมอ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2011, 01:33:23
ตอบท่านเต
     เรื่องประกันนั้นผมไม่ได้ไปยุ่งกับมันหรอกครับ  ไม่สบายนิดๆหน่อยๆ  ไปหาหมอคลีนิค  เสียค่ายาไปร้อยกว่าบาทเอง


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2011, 18:16:51
ตอบท่านเต
     เรื่องประกันนั้นผมไม่ได้ไปยุ่งกับมันหรอกครับ  ไม่สบายนิดๆหน่อยๆ  ไปหาหมอคลีนิค  เสียค่ายาไปร้อยกว่าบาทเอง

 ก็ดีไปครับ  แต่ที่เมืองกรุงไม่ได้ วันนั้นเพื่อนมันกินน้ำประปาเข้าไป ต้องรุดเรียกแท็กซี่ไปหาหมอที่ รพ.เกษมราฎร์ สุขา ๓

ผมรูดบัตรเดบิตผมไปหมด พันสามร้อยกว่า แต่เพื่อนมันมีประกันสังคม และประกันชีวิตพ่วงค่ารักษาไปด้วย

เบิกประกันสังคมได้ พันนึง ประกันชีวิตได้เต็มจำนวนก็ถือว่าดีไป  แต่ถ้าหนักหนากว่านี้ลำบากครับสำหรับคนกรุง

ใช้สิทธิ สปสช. รอตายอย่างเดียวครับ สำหรับเมืองที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนที่คอยแย่งชิงโอกาสแห่งนี้.

ปล.วันนี้รับเงินเดือน ผมเจียดเงินอันน้อยนิดจากเงินเดือนลงทุนแล้วทั่น   ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 07 ธันวาคม 2011, 15:59:24
บลูชิพ
     คำนี้มีที่มาจากบ่อนคาสิโน  คือ...เวลาที่คนจะเข้าไปเล่นพนันในบ่อน  ก็ต้องนำเงินสดมาแลกเป็นชิพหลากสีกับทางบ่อนก่อน  หลังจากนั้นจึงนำชิพที่แลกมา  ไปใช้เล่นการพนันได้ตามต้องการ  ซึ่งสมัยก่อนชิพที่มีค่ามากที่สุดนั้นจะเป็นสีน้ำเงิน  และเมื่อนำคำนี้มาใช้ในวงการหุ้นแล้ว  เขาจะเรียกหุ้นตัวที่มีค่ามากๆว่าบลูชิพ  ซึ่งคำว่าค่ามากๆในที่นี้ก็ใช้กันหลายความหมายเช่น

-บ้างก็หมายความว่ามีมูลค่าทางตลาดมาก (มาร์เก็ตแค็ป)  การที่จะวัดว่ามีมูลค่าทางตลาดมากก็คือ  การเอาจำนวนหุ้นทั้งหมดคูณด้วยราคาหุ้นก็จะได้มูลค่าของกิจการหรือมูลค่าทางตลาดออกมา
-บ้างก็ว่าเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มของกิจการดี  อนาคตไกล
-บ้างก็ว่าเป็นหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่ล้มยาก

     ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่  ความหมายของมันก็มักจะคล้ายๆกันคือมีราคาแพง  ซึ่งการที่เราจะลงทุนกับบริษัทที่มีลักษณะนี้นั้น  มักจะได้ผลตอบแทนต่ำ  เนื่องจากหุ้นมีราคาแพงเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่จะได้ในปัจจุบัน  แต่เพราะมันมีความมั่นคงหรืออนาคตที่ดีของบริษัทเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน  มันจึงทำให้หุ้นนั้นมีราคาแพง

     แล้วหุ้นของบริษัทที่มีขนาดเล็กล่ะ?  ถ้าเป็นในสมัยก่อน  ใครๆต่างก็พูดกันว่าหุ้นเล็กนั้นเสี่ยง  เนื่องจากมองว่ามันเป็นการพนัน  สามารถปั่นให้ขึ้นหรือลงได้ง่าย  เพราะมันใช้เงินไม่มากในการปั่น  และการขยับขึ้นหรือลงแต่ละช่วงราคานั้นก็มักจะทำให้เกิดการได้เสียมากกว่าหุ้นใหญ่  คนก็มักจะเชื่อกันว่าหุ้นเล็กนั้นเป็นหุ้นเก็งกำไร  และก็เลยมีความเข้าใจแบบฝังรากมาว่า  หุ้นเล็กนั้นคือการเก็งกำไรมาตลอด  แต่ถ้าเราลองดูให้ดีจะพบว่า  ถ้าเรารู้จักหุ้นเล็กที่มีอนาคตดีสักตัวหนึ่ง  และเราก็รู้และเข้าใจการทำธุรกิจของมัน  เราก็จะพบว่านั่นไม่ใช่การเก็งกำไรอย่างที่หลายคนเชื่อว่ามันเป็น  และเมื่อไม่นานมานี้ก็มีคนพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าหุ้นเล็กนั้นเป็นการลงทุนจริงๆถ้ามันมีความสามารถเติบโตได้ในอนาคต  และการลงทุนในหุ้นเล็กนั้นก็ให้ผลตอบแทนที่ดีมากกว่าการลงทุนในหุ้นบลูชิพเสียอีก  จวบจนถึงวันนี้  เส้นแบ่งระหว่างการลงทุนและการเก็งกำไรได้ถูกแบ่งออกอีกครั้งอย่างชัดเจนด้วย  “ออปชั่นและฟิวเจอร์”

     ถ้าเราถามลึกลงไปอีกว่า  การลงทุนในหุ้นบลูชิพนั้นให้ผลตอบแทนที่ดีและปลอดภัยจริงหรือ?  ตามความเห็นของผมแล้ว  ผมว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน  ทุกอย่างสามารถเป็นไปได้หมด  และจากประสบการณ์ของผมที่เห็นตลาดหุ้นมานานพอสมควรก็สามารถสรุปได้ว่า  เราต้องดูให้ออกก่อนว่าหุ้นที่เราลงทุนนั้นเป็นหุ้นแบบไหนหรือทำธุรกิจอะไร  ยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ  ลองมองบริษัท  AIS  กับบริษัทปูนซีเมนต์ไทยก็แล้วกัน  ถึงแม้ว่าทั้งสองบริษัทนี้จะเป็นบริษัทขนาดใหญ่เหมือนกัน  แต่ความต่างของมันก็คือ  บริษัทไม่ได้ทำธุรกิจแบบเดียวกัน  บริษัทหนึ่งให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่  ซึ่งไม่ว่าเศรษฐกิจภายในหรือภายนอกประเทศจะเป็นอย่างไร  น้ำจะท่วมหรือไม่  คนก็ยังใช้โทรศัพท์อยู่ดีถูกต้องไหมครับ  อาจจะมีบ้างในบางช่วงที่คนจะใช้มากกว่าหรืออาจจะใช้น้อยกว่าปกติบ้าง  ส่วนบริษัทที่ขายปูน  ถ้าเป็นช่วงเศรษฐกิจดี  คนมีเงินกันอู้ฟู่  ช่วงเวลานั้นสร้างบ้านออกมากี่หลังก็ขายหมด  ถ้าสภาวะเป็นอย่างนี้มันจะทำให้คนขายปูนกำไรบานเบอะเพราะขายของได้มาก  แต่ถ้าเป็นช่วงเศรษฐกิจไม่ดี  จะลดราคาบ้านอย่างไรก็ขายไม่ออก  อย่างนี้คนขายปูนก็ต้องหน้าแห้งตามไปด้วย  และที่สำคัญ  เราก็จะได้เห็นว่า  หุ้นบลูชิพอย่างปูนซีเมนต์ที่เขาว่าปลอดภัยนั้น  มันจะเหลือกี่บาท  หรืออีกบริษัทหนึ่งอย่าง ปตท.  ถ้าใครเคยเห็นตอนน้ำมันราคาตกจาก  140  เหรียญเหลือแค่  40  เหรียญก็จะได้เห็นแหละว่า  ตอนนั้นราคาหุ้น  ปตท.  ได้ตกลงมาจาก  400  กว่าบาทเหลือแค่  100  กว่าบาท  เพราะฉะนั้นประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่า  บริษัทนั้นมั่นคงขนาดที่คนเขายกให้ว่าเป็นหุ้นบลูชิพ  แต่สิ่งที่ต้องมองจริงๆก็คือเราต้องรู้ว่า  เรารู้จักบริษัทนั้นดีแค่ไหนต่างหาก  ซึ่งสิ่งนี้นี่แหละที่จะทำให้เราอยู่รอดปลอดภัยในตลาดหุ้น  ไม่ว่าหุ้นที่เราลงทุนนั้นจะเป็นบลูชิพหรือไม่ก็ตาม


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 ธันวาคม 2011, 15:08:18
ถึงท่านมาร์คัส
     เห็นว่าท่านมีหุ้นโฮมโปรอยู่  ไม่ทราบว่าขายไปหรือยัง  เพราะโดยความรู้สึกส่วนตัวของตัวผมเองแล้วเห็นว่า  ช่วงนี้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปมากจนรู้สึกว่า  พื้นฐานของกิจการไม่น่าจะรับกับราคาหุ้นในขณะนี้ได้  ถ้าผมมีอยู่คงจะขนออกมาขายแล้ว  แต่อันนี้ก็แล้วแต่ท่านเถอะนะครับ  ผมแค่รู้สึกว่ามันแพงไปก็เท่านั้นเอง  ถ้าเป็นผมที่กำลังคิดจะเข้าลงทุน  ผมคงยังไม่เข้าซื้อที่ราคานี้เป็นแน่  เนื่องจากว่าไม่คุ้มกับเงินลงทุน  ถึงแม้ว่าจะมีสถานการณ์ที่ดีรออยู่ข้างหน้าก็ตาม  แต่ยอดขายมันยังไม่มานะครับ

http://www.set.or.th/set/companyprofile.do?symbol=HMPRO&language=th&country=TH

เอาค่า  PE  มาให้ดู  33  เท่าน่ะครับ  ผมว่ามันแพงไป


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: marcus147 ที่ วันที่ 09 ธันวาคม 2011, 22:52:12
ถึงท่านมาร์คัส
     เห็นว่าท่านมีหุ้นโฮมโปรอยู่  ไม่ทราบว่าขายไปหรือยัง  เพราะโดยความรู้สึกส่วนตัวของตัวผมเองแล้วเห็นว่า  ช่วงนี้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปมากจนรู้สึกว่า  พื้นฐานของกิจการไม่น่าจะรับกับราคาหุ้นในขณะนี้ได้  ถ้าผมมีอยู่คงจะขนออกมาขายแล้ว  แต่อันนี้ก็แล้วแต่ท่านเถอะนะครับ  ผมแค่รู้สึกว่ามันแพงไปก็เท่านั้นเอง  ถ้าเป็นผมที่กำลังคิดจะเข้าลงทุน  ผมคงยังไม่เข้าซื้อที่ราคานี้เป็นแน่  เนื่องจากว่าไม่คุ้มกับเงินลงทุน  ถึงแม้ว่าจะมีสถานการณ์ที่ดีรออยู่ข้างหน้าก็ตาม  แต่ยอดขายมันยังไม่มานะครับ

http://www.set.or.th/set/companyprofile.do?symbol=HMPRO&language=th&country=TH

เอาค่า  PE  มาให้ดู  33  เท่าน่ะครับ  ผมว่ามันแพงไป

ขอบคุณครับ
ผมมีขายไปส่วนนึงแล้วครับ ตอนช่วงที่ขึ้นไป 11 บาท  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: สมพร1962 ที่ วันที่ 14 ธันวาคม 2011, 08:06:31
เข้ามาอ่านห้องนี้ ครบทุกรสชาติจริงๆครับ ไม่ต้องไปกินเหล้าที่ไหนเลย เมาจนมึนตึบ แต่เงินอยู่ครบ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 15 ธันวาคม 2011, 15:58:15
ขำ  ขำ  กับคณิตศาสตร์
     วันนี้เอาเรื่องมาลงตามคำขอของท่านวัยทอง  สืบเนื่องมาจากว่าช่วงที่ผ่านมา  หุ้นขึ้นกันซะยกใหญ่  ท่านวัยทองก็เลยกลุ้ม  ต้องมาปรึกษากับผมว่า  ทำไงดี...ไม่รู้จะเอาเงินไปไว้ที่ไหน  อ่ะ...ล้อเล่น  คราวนี้เอาจริงละ  ท่านวัยทองมีปัญหาคือ  มีหุ้น  ESSO  อยู่  แต่ก็อยากขายออกเต็มที  เลยไม่รู้ว่าจะจัดการเช่นไร  ผมก็เลยแนะนำกลยุทธ์ไปนิดหน่อย  ท่านวัยทองเห็นว่าเข้าท่า  เลยบอกว่าน่าเอาไปลง  วันนี้จึงเอามาลงให้ตามคำขอ

     ปัญหาที่เกิดคือ  ท่านวัยทองเคยซื้อ  ESSO  ที่ราคา  10  บาทมา  800  หุ้น  และต่อมาตอนช่วงหุ้นตกหนักๆ  ท่านวัยทองก็เข้าไปซื้อเพิ่มมาอีก  600  หุ้นที่ราคา  8.70  บาท  สรุปได้ดังนี้  (เอาตัวเลขแบบตรงๆไม่รวมค่าคอม  เพื่อจะได้คิดง่ายและเป็นกรณีศึกษาสำหรับท่านอื่น  แต่ถ้าท่านอื่นจะทำตาม  ก็ขอให้บวกค่าคอมฯเข้าไปคำนวณด้วยนะครับ)

10     บาท  800  หุ้น  ใช้เงินทั้งสิ้น  8,000  บาท  และซื้อเพิ่มอีกที่

8.70  บาท  600  หุ้น  ใช้เงินทั้งสิ้น  5,220  บาท  (การซื้อหุ้นตัวเดิมเพิ่มเข้ามาตอนที่ราคาตกลงไปนั้น  เราเรียกว่าการถัวเฉลี่ย   ทำเพื่อให้ราคาต้นทุนรวมถูกลง)

เมื่อนำเงินทั้ง  2  งวดมารวมกัน  เท่ากับใช้เงินไปทั้งสิ้น  13,220  บาท

เมื่อนำเงินมาหารด้วยจำนวนหุ้นจะได้ดังนี้

13,220  บาท  หารด้วยหุ้นสองงวด  800 + 600 = 1400  หุ้น

13,220  หาร  1400  เท่ากับ  9.44  บาท

จะเห็นได้ว่า  ถ้าเราไม่ได้ซื้อหุ้นเพิ่มเข้ามา  ราคาต้นทุนหุ้นจะยังอยู่ที่  10  บาท  แต่ถ้าเราซื้อเพิ่มตอนที่ราคาหุ้นมันถูกลง  เมื่อนำมาถัวเฉลี่ยกันแล้ว  จะทำให้ต้นทุนหุ้นทั้งหมดถูกลง

และตอนที่ท่านวัยทองมาปรึกษากับผม  ช่วงนั้นหุ้น  ESSO  มีราคาพอๆกับต้นทุนถัวเฉลี่ย  แต่ปัญหามันติดอยู่ตรงที่ว่า  ถือหุ้นมานานพอสมควร  ก็เลยอยากได้ค่าถือบ้าง  ผมก็เลยบอกว่า  รอให้มันขึ้นอีกหน่อยค่อยขายก็ได้  แต่ท่านวัยทองก็กลัวว่ามันจะไปไม่ถึงไหนแล้วก็จะตกเสียก่อน  ผมก็เลยแนะนำให้  2  วิธีคือ

1.ขายหุ้นชุดที่ซื้อมาทีหลังออกมาก่อน  ตามธรรมดาเวลาเราเช็คพอร์ตหุ้นในเนต  ต้นทุนที่โชว์อยู่คือต้นทุนที่ถัวเฉลี่ยแล้ว  แต่ถ้าเราแบ่งขายออกมา  ราคาต้นทุนมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างเดิม  เนื่องจากเขานับหุ้นแบบ  ตัวไหนที่ซื้อมาก่อน  เวลาขายก็ต้องเอาออกมาขายก่อน  ซึ่งบางทีต้นทุนที่มันคงอยู่ในเนตอาจจะคลาดเคลื่อนไม่เป็นอย่างใจเรา  เพราะฉะนั้น  อันนี้ต้องทำบันทึกเอาเองนะครับ  ดังนั้น  ถ้าท่านวัยทองคิดว่าจะเอาชุดหลังขายก่อนชุดแรก  ต้นทุนที่โชว์อยู่อาจไม่ใช่ตามที่เราต้องการ

     ดังนั้น  หากขายชุดหลังออกมาก่อนที่ราคา  9.70  บาท(กะจะเอากำไร  1  บาทของชุดหลัง)  ถ้าขายได้จริงก็เท่ากับว่า  ตอนนี้ท่านวัยทองจะทำกำไรจากหุ้นไปได้ก่อน  600  บาท  ส่วนหุ้นชุดแรกที่ติดดอยอยู่ที่  10  บาทก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้น  รอให้มันขึ้นไปเกิน  10  บาทแล้วค่อยว่ากันอีกที  สำหรับช่วงที่รอให้มันขึ้นไปถึง  10  บาท  ก็เอาเงินที่ขายได้พร้อมกับกำไรไปเล่นตัวอื่นก่อน

2.ขายหุ้นชุดที่ซื้อมาทีหลังออกมาก่อน  กลยุทธ์เหมือนเดิม  แต่ให้ปรับมุมมองใหม่  คิดเสียว่าที่เราได้กำไรมา  600  บาทนั้นมันไม่ใช่กำไร  แต่ให้เรานำกำไรที่ได้ไปลดต้นทุนหุ้นที่ยังติดดอยอยู่

10     บาท  800  หุ้น  เงินยังค้างอยู่ในหุ้น  8,000  บาท

เราก็เอากำไร  600  บาทที่ได้ไปลบต้นทุนที่ยังเหลืออยู่

8,000 - 600 = 7400  บาท

เมื่อนำเงินที่ได้ลดต้นทุนลงแล้วมาคำนวณใหม่ก็จะได้เป็น

7400  หาร  800  หุ้น  จะได้เท่ากับ  ต้นทุนลดลงเหลือ  9.25  บาท!!!

ทีนี้เมื่อต้นทุนลดลง  เราก็สามารถใจชื้นได้ว่า  ตอนนี้ราคาต้นทุนของเราลดลงถูกกว่าราคาตลาดแล้ว  ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลขึ้นมา  ขายหุ้นออกมาก่อนที่มันจะตกลงมาถึง  9.25  บาทก็ยังเหลือกำไรอยู่  ทีนี้ท่านวัยทองก็จะสบายใจได้

     และอย่าลืมนะครับ  สำหรับท่านที่จะเอาวิธีนี้ไปใช้  ให้คำนวณค่าคอมเข้าไปด้วยทุกครั้ง  แต่ถ้าจะให้ดี  ผมว่าก่อนลงทุนทุกครั้ง  ควรทำการศึกษาตัวหุ้นให้เข้าใจก่อนดีกว่า  จะได้ไม่ต้องชักเข้าชักออกให้เสียค่าคอมเปล่าๆ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 15 ธันวาคม 2011, 17:16:28
ขอบคุณท่านวายุมากๆครับที่เอาบทความนี้มาลง

และเป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่(ติดดอยหลายๆท่าน)

ซึ่งตอนนี้ หุ้นตัวนี้ผมได้ขาย(หมู)ไปแล้วในราคา 9.90

แต่มันดันวิ่งไปที่ 10.30 แต่ก็ไม่เป็นไร ถือว่าได้ประสบการณ์

และกำไรค่าข้าวค่าขนมมานิดหน่อย (http://ขอบคุณท่านวายุมากๆครับที่เอาบทความนี้มาลง

และเป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่(ติดดอยหลายๆท่าน)

ซึ่งตอนนี้ หุ้นตัวนี้ผมได้ขาย(หมู)ไปแล้วในราคา 9.90

แต่มันดันวิ่งไปที่ 10.30 แต่ก็ไม่เป็นไร ถือว่าได้ประสบการณ์

และกำไรค่าข้าวค่าขนมมานิดหน่อย)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 18 ธันวาคม 2011, 16:27:39
เจอแล้วครับหนังเรื่อง inside-job (http://เจอแล้วครับ)

http://creativeshooter.com/misc/inside-job

(http://movie.mthai.com/wp-content/uploads/2011/03/in1.jpg)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 20 ธันวาคม 2011, 15:38:51
คุณเชื่อสายตาตัวเองได้มากแค่ไหน
     เรื่องของการมองนี้  สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้หลายเรื่องเช่น  เวลาที่คุณยืนอยู่ริมทะเลยามเย็น  เห็นพระอาทิตย์กำลังจะตกน้ำดูสวยงามมาก  แต่...ในความเป็นจริงแล้ว  พระอาทิตย์กำลังจะตกน้ำจริงๆใช่หรือไม่  คำตอบก็คือไม่ใช่แน่นอน  หรือถ้าเรากำลังยืนคร่อมรางรถไฟอยู่  เมื่อมองตรงออกไปไกลสุดสายตา  เราจะเห็นเหมือนกับว่ารางรถไฟนั้นมันจะไปบรรจบกันที่สุดสายตา  และความจริงมันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?  นี่เป็นเพียงตัวอย่างง่ายๆของการมอง  ถ้าเราไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร  เราก็อาจจะเชื่อสายตาของตัวเองก็เป็นได้

     แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหุ้น?  เกี่ยวแน่นอน  เพราะการที่เราลงทุนในหุ้นก็เพื่อต้องการเงินถูกต้องไหม  แล้วเราเคยคิดไหมว่าวิธีการที่เรากำลังใช้ลงทุนอยู่นั้นมันใช้สมองหรือใช้สายตา  สิ่งที่บอกได้ว่าคุณกำลังใช้สมองลงทุนอยู่หรือไม่ก็คือ  ก่อนลงทุนคุณมองอะไรก่อน  ราคาหุ้นหรือ?  การแกว่งตัวขึ้นลงที่รุนแรงของหุ้นหรือ?  หรือว่าจะเป็น  หุ้นตัวที่ตลาดนิยมซื้อขายกัน?  ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม  ขั้นตอนนั้นผิด  คนที่ใช้สมองในการลงทุนจริงๆแล้วอันดับแรกเลยควรจะเป็น  “มองบริษัทหรือกิจการที่เราเห็นว่าเป็นผู้ชนะในอุตสาหกรรมนั้นและเราเข้าใจมัน”   เมื่อเราได้หุ้นตัวที่เราต้องการออกมาแล้ว  ขั้นตอนต่อไปก็คือ  สืบดูว่าไส้ในของมันเป็นอย่างไร  มีหนี้มากไหม?  ปันผลเป็นอย่างไร?  สามารถเติบโตได้อีกหรือไม่  ฯลฯ  เมื่อได้ข้อมูลจนพอใจแล้ว  อันดับสุดท้ายควรจะเป็น  “ดูราคาหุ้น”  ว่าราคานี้คุ้มค่าต่อการลงทุนหรือไม่

“แล้ววิธีการของคนที่ใช้สายตาก่อนล่ะ”

เท่าที่ผมสังเกตดูจะเห็นว่า  นี่เป็นคนส่วนใหญ่ของตลาดเชียวล่ะ  อันดับแรกเลย  เขาจะดูที่ราคาหุ้นก่อน

“แล้วเขาจะรู้ได้ไงว่าควรซื้อหรือขายเมื่อไหร่”

อันนี้ที่นิยมใช้โดยทั่วไปก็คือ  ดูสถิติที่ผ่านมาของมันเพื่อกำหนดจุดในการซื้อหรือขาย  อ่านๆดูแล้วคุณว่าวิธีการนี้คุ้นๆไหม  จะไม่คุ้นได้อย่างไร  ก็ในเมื่อวิธีนี้คือศาสตร์ที่เรียกกันว่าเทคนิเคิลที่มืออาชีพและคนส่วนใหญ่ชอบใช้กันไง  แต่สิ่งที่เราต้องรับรู้ไว้อย่างหนึ่งก็คือ  พื้นฐานของกิจการนั้นไม่คงที่  มันจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา  ไม่ว่าจะดีขึ้นหรือเลวลง  ราคาหุ้นก็เช่นกัน  มันมักจะตามพื้นฐานไปเสมอ

“แล้วมันใช้ได้จริงหรือ”

เท่าที่ผมเห็นมา  มันใช้ไม่ได้ทุกครั้งหรอก  ถ้าใครที่ดูรายการเกี่ยวกับหุ้นบ่อยๆจะเห็นได้ว่า  พวกมืออาชีพจะอธิบายว่า  รอให้หุ้นทะลุแนวต้านขึ้นไปก่อนแล้วค่อยตาม  จะบ้าเหรอ  ก็ในเมื่อคุณอยากได้หุ้นนั้นอยู่แล้ว  และคุณคิดว่าหุ้นนั้นมันดี  ทำไมไม่ซื้อตอนที่มันยังไม่ขึ้นล่ะ  จะไปซื้อตอนที่มันขึ้นไปแล้วทำไม...ไร้สาระจริงๆ  ชอบของแพงหรือไง  และถ้าคุณตามเข้าไปซื้อตอนที่มันพุ่งขึ้นไปแล้ว  มันจะขึ้นต่อไปได้อีกเท่าไหร่  ถ้าได้ก็ได้นิดเดียว  แถมยังเสี่ยงต่อการติดดอยอีกต่างหาก  ถ้าหุ้นมันเกิดหัวปักลงมา  ถ้าคุณคิดจะซื้อหุ้นนั้นจริงๆ  ทำไมไม่ซื้อก่อนชาวบ้านเขาตอนต้นทุนถูกๆล่ะ  คนที่บอกว่าให้มันขึ้นไปก่อนแล้วค่อยตามนี่งี่เง่าชะมัด  (ผมเคยได้ฟังเกี่ยวกับทฤษฏีนี้มาเหมือนกัน  เขาบอกว่า  ทฤษฏีนี้เรียกว่าโมเมนตั้มหรือแรงเฉื่อย  โดยให้เหตุผลว่า  เวลาที่รถวิ่งมาแรงๆ  การที่เราจะหยุดรถแบบทันทีทันใดนั้นเป็นไปไม่ได้  อย่างน้อยมันก็ต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อให้รถมันหยุดได้  แต่ผมมาคิดต่อเอาเองว่า  แล้วถ้ารถที่วิ่งมาแรงๆแล้วเจอกับตอม่อสะพานล่ะ  ผมอยากรู้จังว่า  มันจะเอาอะไรมาเฉื่อย  เหมือนกับหุ้นที่กำลังโดนไล่ราคาขึ้นมาแล้วเจอกับไม้หน้าสามเข้าไปนั่นล่ะ)  และในทางกลับกัน  พอเห็นว่าหุ้นมันตก  พี่แก(มืออาชีพ)ก็บอกอีกว่า  ถ้ามันหลุดแนวนี้ให้ตัดขาดทุน(คัทลอส)  นี่ก็อีกละ  หุ้นมันกำลังถูก  จะไปขายตอนที่มันถูกหาพระแสงอะไร  ทำไมไม่ขายตอนที่มันแพง  ขายตอนที่มันตก  มันก็ขาดทุนหนักน่ะสิเพ่  แต่เท่าที่ผมมาประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดทั้งปวงของพฤติกรรมนี้ก็น่าจะได้ความว่า  เขาเข้าไปซื้อหรือขายหุ้นตัวนั้นโดยที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้น  มันจึงทำให้เขาต้องตื่นตูมอยู่ตลอดเวลาไม่ว่ามันจะขึ้นหรือลง

“ผมนั่งมองจอเทรดอยู่ตลอดเวลา  เห็นว่าบางทีคนตั้งซื้อก็เยอะกว่า  บางทีคนตั้งขายก็เยอะกว่า  นี่มันหมายความว่าไงครับ”

มันก็หมายความว่า  คนที่พูดแบบนี้หรือคนที่สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้กำลังใช้สายตามากกว่าสมองอยู่น่ะสิ  ทำไมไม่มานั่งคิดว่าบริษัทนี้ในอนาคตจะสามารถทำกำไรเพิ่มได้จากไหน  แทนที่จะมานั่งจ้องดูว่ามีคนอยากซื้อหรืออยากขายมากกว่ากัน  เพราะการที่เรามานั่งจ้องจออยู่แบบนี้นี่แหละ  จะทำให้เราเป็นเหยื่อได้ง่ายกว่าคนที่ลงทุนโดยดูพื้นฐานกิจการเป็นหลัก  ยกตัวอย่างเช่น  คุณนั่งดูราคาของหุ้นตัวหนึ่ง  ในขณะนั้นมีคนตั้งซื้ออยู่  20,000  แต่มีคนตั้งขายอยู่  200,000  ถ้าคุณพอจะมองออกและประมวลผลได้  คุณก็จะต้องเข้าใจว่า   มีคนอยากขายมากกว่า  ถ้าเหตุการณ์เป็นแบบนี้แสดงว่าสักพักหุ้นก็จะลง  หรืออย่างน้อยมันก็จะไม่ขึ้น  และถ้าบังเอิญคุณถือหุ้นตัวนั้นอยู่  คุณก็ต้องใจคอไม่ดีและคิดว่าขายหุ้นเอาตัวรอดก่อนที่มันจะตกดีกว่า  ในกรณีนี้ผมอยากชี้ให้เห็นว่า  เรื่องตัวเลขมันหลอกกันได้  มันไม่ใช่ว่าถ้าเลขข้างไหนมากกว่าแล้วมันจะจริงอย่างที่เห็น  เพราะบางที  คนมีเงินที่อยากได้หุ้นตัวนั้นแต่ไม่อยากจ่ายแพง  ก็อาจจะไปซื้อหุ้นมาก่อนจำนวนหนึ่ง  หลังจากนั้นก็เอามาตั้งขายขู่ซะงั้น  หรือบางทีก็อาจจะสาดหุ้นโชว์ออกมาก่อนเพื่อให้ดูสมจริง  แล้วตัวเองก็ไปตั้งซื้อแบบใส่ตัวเลขน้อยๆบางๆ  เพื่อทำให้คนอื่นเข้าใจว่าคนซื้อมีน้อยกว่า  คนอื่นที่ตื่นตูมก็จะเทขายกันยกใหญ่  รายใหญ่ที่อยากได้หุ้นก็ทยอยรับไปเรื่อย  กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร  รายใหญ่ก็กวาดหุ้นซะเรียบแล้ว  และหลังจากนั้น  หุ้นที่ตั้งขู่ไว้เป็นตัวเลขมากๆก็จะหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ  และเหตุการณ์ต่อจากนั้นก็คือ  หุ้นตัวนั้นวิ่งขึ้นหน้าตั้งแบบไม่เหลียวหลัง  ปล่อยให้รายย่อยนั่งเอ๋อด้วยความเสียดายและบ่นออกมาว่ารู้งี้ยังไม่ขายซะก็ดี  ซึ่งนี่ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนที่ใช้สายตามากกว่าสมองในการลงทุนนั่นเอง

“ถ้าการมองดูกราฟทางเทคนิคไม่สามารถช่วยในเรื่องการลงทุนได้  แล้วทำไมคนส่วนใหญ่จึงยังคงใช้วิธีการนี้อยู่อย่างแพร่หลาย”

นั่นน่ะสิ  ผมก็สงสัยเหมือนกัน  เพราะถ้าวิธีการนี้มันใช้ได้จริง  บนโลกนี้คงไม่มีใครจน  และคนที่เป็นมืออาชีพก็คงไม่ต้องมานั่งกินเงินเดือน  หรือมันอาจจะเป็นเพราะว่า  พวกเขาใช้สายตามากกว่าสมองกันแน่นะ  ถ้าใครรู้ช่วยบอกผมที


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 29 ธันวาคม 2011, 11:44:37
“แล้วมันใช้ได้จริงหรือ”

เท่าที่ผมเห็นมา  มันใช้ไม่ได้ทุกครั้งหรอก  ถ้าใครที่ดูรายการเกี่ยวกับหุ้นบ่อยๆจะเห็นได้ว่า  พวกมืออาชีพจะอธิบายว่า  รอให้หุ้นทะลุแนวต้านขึ้นไปก่อนแล้วค่อยตาม  จะบ้าเหรอ  ก็ในเมื่อคุณอยากได้หุ้นนั้นอยู่แล้ว  และคุณคิดว่าหุ้นนั้นมันดี  ทำไมไม่ซื้อตอนที่มันยังไม่ขึ้นล่ะ  จะไปซื้อตอนที่มันขึ้นไปแล้วทำไม...ไร้สาระจริงๆ  ชอบของแพงหรือไง  และถ้าคุณตามเข้าไปซื้อตอนที่มันพุ่งขึ้นไปแล้ว  มันจะขึ้นต่อไปได้อีกเท่าไหร่  ถ้าได้ก็ได้นิดเดียว  แถมยังเสี่ยงต่อการติดดอยอีกต่างหาก  ถ้าหุ้นมันเกิดหัวปักลงมา  ถ้าคุณคิดจะซื้อหุ้นนั้นจริงๆ  ทำไมไม่ซื้อก่อนชาวบ้านเขาตอนต้นทุนถูกๆล่ะ  คนที่บอกว่าให้มันขึ้นไปก่อนแล้วค่อยตามนี่งี่เง่าชะมัด  

(http://upic.me/i/bb/b71c1.jpg) (http://upic.me/show/31625585)

ผมเอาความจริงตามที่ท่านวายุกล่าวไว้มาให้รับชมครับ

ว่าเป็นเรื่องจริงครับ (http://ผมเอาความจริงตามที่ท่านวายุกล่าวไว้มาให้รับชมครับ

ว่าเป็นเรื่องจริงครับ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 07 มกราคม 2012, 03:42:18
ฤายักษ์ใหญ่จะไม่อยากพิมพ์เงิน
     สืบเนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้ที่ราคาทองคำร่วงกราวรูดเพียงเพราะว่าสหรัฐไม่มีมาตรการ  QE 3 ออกมา  ทำไมสหรัฐถึงไม่พิมพ์เงินเพิ่มเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา?  จากข้อมูลที่ผมได้รับรู้มา  บวกกับการประเมินส่วนตัวอีกเล็กน้อย  พอจะออกความเห็นและสรุปออกมาได้ว่า  สหรัฐยังไม่อยากตกกระป๋องในขณะนี้  ที่ผมพูดอย่างนี้มีข้อมูลอะไรอ้างอิงไหม?  จากการติดตามข่าวสารของประเทศจีน  ผมเห็นว่าเมื่อก่อนนี้  จีนลงทุนในพันธบัตรของสหรัฐเยอะมาก  และก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี  แต่หลังจากที่สหรัฐแก้ปัญหาของตัวเองด้วยการพิมพ์เงินเพิ่มครั้งแล้วครั้งเล่า  และหนักสุดในช่วงซับไพรม์  นั่นเท่ากับว่า  เงินที่จีนลงทุนไปกับพันธบัตรของสหรัฐนั้น  เมื่อครบกำหนดอายุของพันธบัตร  จีนจะได้เงินที่ด้อยค่าลงกว่าตอนที่ตัวเองเอาเงินไปให้สหรัฐยืม  ถึงแม้ว่าจำนวนเงินที่เป็นตัวเลขจะเพิ่มขึ้นก็ตาม  ซึ่งนั่นเป็นเหตุทำให้  จีนจะเสียเปรียบในเชิงมูลค่าของอำนาจเงินที่จะได้รับกลับคืนมาในภายหลัง  เมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้แล้ว  จีนจึงค่อยๆลดการถือครองพันธบัตรของสหรัฐลง  และหันไปสะสมทองคำมากขึ้น  เพราะเราต่างก็รู้ว่า  ราคาทองคำทุกวันนี้อ้างอิงกับเงินดอลล่าร์ของสหรัฐเป็นหลัก  ทุกครั้งที่เงินดอลล่าร์เพิ่มจำนวนขึ้น  ราคาทองคำก็จะต้องเพิ่มขึ้นตามเช่นกัน  เมื่อจีนหันไปสะสมทองคำเพิ่มขึ้น  และสหรัฐยังคงพิมพ์เงินขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน  นั่นก็จะยิ่งทำให้ประเทศคู่กัดอย่างจีนนั้นร่ำรวยขึ้นจากการกระทำของตัวเอง  และหนำซ้ำยังไม่พอ  พันธบัตรที่สหรัฐเคยขายได้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน  อาจจะหมดความน่าเชื่อถือลงไปจนถึงกับขายไม่ออก  เพราะคงไม่มีนักลงทุนคนไหนหรือประเทศไหนหรอกที่บ้าพอจะซื้อ  ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองจะเสียเปรียบ

     และถ้าหากเหตุการณ์ยังเป็นอย่างนี้ต่อไป(สหรัฐไม่พิมพ์เงินเพิ่ม)  ผมคาดว่าราคาทองคำคงจะไม่ไปไหนไกล  อาจจะมีนักวิเคราะห์บางคนออกมาพูดว่าราคาทองคำยังสามารถไปต่อได้จากความต้องการในตลาดโลก  แล้วผมอยากย้อนถามกลับไปว่า  ถ้าคุณเป็นรายใหญ่และต้องการจะซื้อทองขึ้นมาจริงๆแล้ว  คุณจะต้องค่อยๆซื้อเพื่อไม่ให้ตลาดตกใจจนราคามันพุ่งขึ้นไปถูกต้องไหม  ใครก็คงไม่ชอบของแพงหรอก  และถ้าราคาทองคำมันไม่ไปไหนจริง  คนที่ชอบบอกว่าทองคำเป็นทรัพย์สินไม่เสี่ยง  มีราคาเพิ่มขึ้นตลอดเวลา  ฯลฯ  เมื่อถึงเวลาที่ราคาทองคำไม่ยอมขยับไปไหนเลยเป็นเวลานาน  แต่ทรัพย์สินอื่นราคาขึ้นไปกันหมดแล้ว  เขายังจะยังยืนยันคำพูดเดิมอยู่หรือไม่  ทุกวันนี้ผมไม่เคยสนใจทองคำเลยไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม  ถ้าผมจะซื้อทองก็คงเพียงแค่ว่า  เห็นมันเป็นเครื่องประดับเท่านั้น  ผมมีเหตุผลมารองรับความคิดเห็นของผมก็คือ

1.มีใครให้เช่าหรือหาเช่าทองคำกันอย่างกว้างขวางหรือไม่  ผมไม่เคยเห็นใครหาเช่าทองคำเลย  เพราะถ้าเขาอยากได้  เขาก็คงจะซื้อเลยดีกว่า  เพราะฉะนั้นประเด็นนี้  การครอบครองทองคำไว้ก็ไม่สามารถเก็บค่าเช่าได้

2.เอาทองไปฝากได้ดอกเบี้ยไหม  ไม่แน่นอน...ไม่มีที่ไหนแม้แต่ธนาคารเองที่จะรับฝากทองแล้วให้ดอกเบี้ยแก่คนมาฝาก  มิหนำซ้ำถ้าใครเอาทองมาฝาก  ยังต้องโดนธนาคารคิดค่าฝากอีกต่างหาก  เพราะฉะนั้นประเด็นนี้  ฝากทองคำไม่มีดอกเบี้ย  แถมเสียค่าฝากด้วย

3.ถือทองคำไว้แล้วได้ปันผล  นี่ยิ่งเลอะเทอะไปกันใหญ่  มันไม่มีอะไรงอกออกมาจากทองได้เสียหน่อย  แล้วจะเอาอะไรมาปัน  เก็บที่ดินไว้ปลูกกล้วยยังดีเสียกว่า  ปักทิ้งไว้นั่นแหละ  เดี๋ยวมันก็งอกออกมาเอง  ไม่ต้องดูแลรักษาอะไรเลย  พอมีลูก  เราก็ไปเอามากิน

     แล้วถ้ามีคนมาบอกผมว่าราคาทองมันไม่เคยลดลงเลย  มีแต่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา  ตามความเห็นของผมแล้ว  นั่นมันคืออดีต  แต่อนาคตผมไม่รู้  และถ้าเราอยากลงทุนในอะไรก็ได้ที่มันมีราคาเพิ่มขึ้นจริง  สิ่งนั้นมันก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นทอง  อาจจะเป็นของที่พอจะคาดการณ์ได้อย่างหุ้นหรือที่ดิน  หรือว่าจะเป็นสิ่งของที่มีค่าทางใจและยังสามารถมีราคาเพิ่มขึ้นได้อีกด้วยเช่น  แสตมป์  พระเครื่อง  ภาพถ่าย  ธนบัตรเก่า  ฯลฯ  แล้วคุณรู้ไหมว่าสหรัฐอยากจะพิมพ์เงินเพิ่มไหม  ถ้าพิมพ์  เขาจะพิมพ์เพิ่มอีกเท่าไหร่  คำถามนี้คงต้องไปถามเบอร์นันเก้เสียกระมัง  ถ้าคุณรู้จักเขา  ไปถามแล้วมาบอกผมต่อหน่อยก็แล้วกันนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: varakrit ที่ วันที่ 07 มกราคม 2012, 12:27:46
     "เงิน กับ เวลา"
เป็นบทความที่น่าคิดมากครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 12 มกราคม 2012, 16:09:50
แล้วท่านคิดว่าอะไรมีค่ากว่ากันล่ะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 14 มกราคม 2012, 03:07:09
ปริมาณ  VS  คุณภาพ
     ถ้าให้เลือกระหว่างปริมาณกับคุณภาพ  ถามกี่คนก็คงตอบไม่เหมือนกัน  เพราะแต่ละคนก็คงจะมีเหตุผลเพื่อมารองรับกับคำตอบที่แตกต่างนั้น  ซึ่งบางที  ของบางอย่างอาจจะต้องเน้นไปที่ปริมาณ  ของบางอย่างก็อาจจะเน้นไปที่คุณภาพ  แล้วแต่ว่าสิ่งที่ให้เลือกนั้นมันคืออะไร  เราลองมาตั้งคำถามเล่นๆกันดูดีกว่า

1.แฟน  คุณจะเลือกอะไร  ระหว่างปริมาณกับคุณภาพ

คนที่เลือกปริมาณ  ถ้าคุณเลือกข้อนี้  ถือว่าคุณจริงใจ  หุ  หุ  และก็เป็นเหมือนใครอีกหลายๆคนที่ชอบปริมาณ  เข้าทำนองที่ว่า  “มีคนเดียว  มีให้โง่  มีเป็นโหล  โก้จะตาย”  แต่การที่เราจะเลือกคำตอบนี้ได้นั้น  เราต้องมีเหตุผลมารองรับด้วย  เพราะมีเป็นโหลก็อาจจะตายได้  ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม

คนที่เลือกคุณภาพ  อันนี้ต้องดูก่อนว่า  คนตอบเป็นคนคุณธรรมจัดหรือไม่  ถ้าไม่  บางทีคำตอบที่ดีอาจจะเป็นข้อนี้ก็ได้  คุณลองนึกดูสิว่า  เวลาที่คุณไปเดินเที่ยวห้าง  แล้วคุณเห็นชายสองคนเดินควงสาวมาพร้อมกัน  ชายคนนึงควงสาวมาสามคน  แต่สาวสามคนนี้หน้าตาธรรมดาไม่มีอะไรเด่น  แต่งตัวก็บ้านๆ  ส่วนชายอีกคนนึง  ควงสาวมาแค่คนเดียว  แต่สาวคนนี้หน้าตาสวยมาก  หุ่นก็ดี  แต่งตัวก็เซ็กซี่  แล้วคุณจะอิจฉาชายคนไหนมากกว่ากัน  และการที่เรามีแฟนหลายคนนั้น  มันก็เป็นภาระกับกระเป๋าด้วย  เพราะว่าเวลาที่จะซื้อของขวัญให้แต่ละที  ต้องเปลืองมากกว่ามีแฟนคนเดียวอยู่แล้วถูกต้องไหม  ผมมีตลกร้ายเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟังด้วย  เรื่องมีอยู่ว่า  ชายสองคนมานั่งกินเหล้าปรับทุกข์กัน  ชายคนแรกกล่าวขึ้นมาว่า

1  :  ผมโชคดีมากที่ได้พบกับผู้หญิงที่ตรงสเปคทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น
        -หน้าตาดี  แต่งตัวดี  บุคลิกดี  รสนิยมดี
        -มีความเป็นแม่บ้านแม่เรือน  กิริยามารยาทเรียบร้อย  เหมาะที่จะเป็นแม่ของลูก
        -หาเงินเก่ง  ฉลาดใช้  ฉลาดหา  ฉลาดเก็บ
2  :  ก็ดีแล้วนี่  จะมานั่งกลุ้มทำไม
1  :  ปัญหาก็คือ  ทั้งสามคนไม่รู้จักกัน
2  :  !!!!!

2.อาหาร  คนที่เลือกปริมาณ  พวกนี้คงจะเรื่องมากในด้านการกินหรืออาจจะเรียกว่าพิถีพิถันก็ได้  กินข้าวแต่ละทีจะต้องมีกับข้าวสักสามอย่าง  แต่ถ้ากับข้าวนั้นไม่อร่อยเลยสักอย่าง  คุณจะกินข้าวได้มากขนาดไหนกันเชียว

คนที่เลือกคุณภาพ  ไม่ต้องอะไรมาก  กับอย่างเดียวราดข้าว  ถ้ามันอร่อยมาก  คุณก็คงกินข้าวได้เยอะกว่า

     ทีนี้เรามาเข้าเรื่องหุ้นกันเลยดีกว่า  อยากถามว่า  ระหว่างปริมาณกับคุณภาพ  คุณจะเลือกอะไร

ปริมาณหมายถึง  มีหุ้นในครอบครองเป็นสิบตัว
และคุณภาพหมายถึง  มีหุ้นในครอบครองแค่ไม่กี่ตัว

คนที่เลือกปริมาณ  พวกนี้คือนักกระจายความเสี่ยง  พวกเขาอาจเคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับหลักการนี้มาจากที่ใดก็ตามว่า  “อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว”  เพราะถ้าตะกร้านั้นมีปัญหา  ความเสียหายก็จะมากกว่าการเก็บไข่ไว้ในตะกร้าหลายๆใบ  ผมก็อยากตั้งคำถามว่า  ถ้าเรามีไข่สักสิบฟอง  และเราก็แยกมันไว้ในตะกร้าสิบใบเช่นกัน  เราจะสามารถยกตะกร้าทั้งสิบใบไปไหนต่อไหนได้สะดวกหรือไม่  บางทีมันอาจจะเป็นภาระทำให้เราดูแลไข่ทั้งหมดได้ไม่ทั่วถึงก็เป็นได้  หรือบางทีคำตอบนี้อาจจะถูกต้อง  เพราะการกระทำแบบนี้นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วไป  ไม่ว่าใครก็ตาม  ต่างก็รู้จักการกระจายความเสี่ยงด้วยวิธีนี้ทั้งนั้น

คนที่เลือกคุณภาพ  คนพวกนี้มุ่งเน้นไปที่จุดใดจุดหนึ่ง  หรือมองไปที่องค์รวมแต่ครบครันในจุดเดียว  ถ้าเราต้องการกระจายความเสี่ยงโดยการซื้อหุ้นทุกตัวที่คิดว่าดี  แต่...มันจะดีกว่าไหมถ้าเราจะซื้อ  “หุ้นที่ดีที่สุด”  เพียงไม่กี่ตัว  การที่เราทำการกระจายความเสี่ยงโดยการซื้อหุ้นหลายๆตัวนั้น  ตามความเห็นของผมแล้ว  ผมเห็นว่ามันไม่น่าจะเป็นความคิดที่ดีเพราะ  เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกระจายความเสี่ยงเพียงเพื่อต้องการความหลากหลายในการลงทุนถ้าคุณยังไม่รู้จักมันดีพอ  การลงทุนที่ดีจะต้องมีคุณภาพด้วย  คุณรู้หรือไม่ว่า  การที่คุณซื้อหุ้นใดก็ตามโดยที่คุณยังไม่รู้จักมันดีพอนั้น  นอกจากมันไม่ใช่การกระจายความเสี่ยงที่ถูกวิธีแล้ว  มันยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้มากขึ้นไปอีก  ยิ่งคุณซื้อหุ้นที่คุณไม่รู้จักมันมากเท่าไหร่  ความเสี่ยงในการลงทุนของคุณก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย  เหมือนกับไข่(เงิน)ที่คุณต้องเอาไปใส่ในตะกร้าหลายๆใบนั่นแหละ  ยิ่งตะกร้ามาก  การที่เราจะต้องดูแลไข่(เงิน)ให้ทั่วถึงก็ยิ่งยากมากขึ้น  การกระจายความเสี่ยงที่ถูกวิธีตามความเห็นของผมก็คือ  เมื่อเราเห็นว่าธุรกิจไหนดีน่าสนใจ  และเราคิดว่ามันเป็นการลงทุนที่ดีมีคุณภาพโดยผ่านการวิเคราะห์ในทุกแง่มุมจากตัวเราเองแล้ว  เราก็ลงทุนไปเถอะ  พูดง่ายๆก็คือ  เราต้องรู้จักมันให้ดีพอก่อน  และเมื่อลงทุนแล้ว  เราก็ควรเฝ้ามองหรือดูแลมันอย่างใกล้ชิด  เพราะนี่คือจุดแข็งของการกระจายความเสี่ยงในแบบที่ผมแนะนำ  มันทำให้เราสามารถดูแลไข่ได้ทั่วถึงและใกล้ชิดดีกว่าการกระจายความเสี่ยงตามอย่างที่หลายคนชอบใช้โดยที่คนอื่นแนะนำมาอีกที  สิ่งที่ผมได้แนะนำไปอาจจะไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงได้อย่างเต็มปากเต็มคำนัก  เนื่องจากว่า  เราไม่ได้ตั้งธงตั้งแต่แรกว่าจะซื้อหุ้นหลายๆตัวด้วยเงินทั้งหมดที่เรามีอยู่  โดยหวังว่ามันจะสามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น  คำที่เหมาะสมในการเรียกการลงทุนแบบที่ผมแนะนำนี้น่าจะเป็น  “ซื้อหุ้นที่น่าซื้อ”  จะดีกว่า  เพียงแต่ว่า  ถ้าเราซื้อหุ้นที่น่าซื้อมากไปหน่อย  มันก็จะกลายเป็นการกระจายความเสี่ยงไปโดยปริยาย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 20 มกราคม 2012, 15:59:17
ไม่มีใครรู้ทุกอย่าง
     ในโลกของการลงทุน  มีการลงทุนหลายประเภทมาก  ซึ่งการลงทุนทั้งหลายนั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้ตรงกับความต้องการที่แตกต่างนั้น  ไม่ว่าจะเป็นเงินฝาก  สลากออมสิน  หุ้น  พันธบัตร  ฯลฯ  และโดยเฉพาะหุ้น  ก็แยกการลงทุนเป็นกลุ่มต่างๆออกไปอีก  ดูแล้วน่าปวดหัว  แต่สำหรับผมแล้ว  มันไม่เห็นจะน่าปวดหัวตรงไหนเลย  ถ้าอันไหนเราไม่เข้าใจหรือไม่รู้จักมันดีพอ  เราก็อย่าไปลงทุนสิ  และไม่มีคำถามใดที่บ่งบอกว่าคุณโง่ด้วยเวลาที่คุณไม่เข้าใจ  ในเมื่อคุณอยากรู้บางสิ่งบางอย่างเพื่อให้กระจ่างขึ้น  ถ้าคนที่จบปริญญาเอกสาขาแพทย์ไม่รู้ว่าส่วนประกอบของส้มตำมีอะไรบ้าง  คุณจะว่าเขาโง่หรือเปล่า  และในทางกลับกัน  คุณคงไม่รู้หรอกว่า  ส่วนประกอบของยาที่คุณเห็นข้างๆขวดหมายถึงอะไร  อย่างนี้หมอจะมาว่าเราโง่ก็คงไม่ถูก  ประเด็นนี้ชี้ให้เห็นว่า  เรารู้จักอะไร  และเราเข้าใจอะไร  เรามักจะทำสิ่งนั้นได้ดีกว่า  ถ้าหมอมาลงทุนซื้อหุ้นร้านส้มตำ  เขาจะรู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้มะละกอขึ้นจากโลละสิบบาทเป็นร้อยบาทแล้ว  ถ้าเขาไม่รู้  การลงทุนของหมอก็มีความเสี่ยงมาก  เพราะวันๆหมอก็คงจะยุ่งอยู่แต่กับยาและคนไข้  แต่ถ้าหมอรู้ว่า  ยาตัวไหนยี่ห้อไหนของบริษัทอะไรที่มีคุณภาพและขายดี  หรือแม้แต่เป็นยาที่หมอชอบสั่งจ่ายเป็นประจำ   หมอก็น่าจะลงทุนในหุ้นของยาตัวนั้น  สิ่งนี้จะเป็นเครื่องรับประกันว่า  การลงทุนของคุณจะอยู่ในสายตาของคุณตลอดเวลา  หรือเปรียบเสมือนประหนึ่งว่า  คุณเป็นนักลงทุนที่มีข้อมูลภายในเลยทีเดียว  แต่สิ่งที่น่าแปลกใจมากที่ผมได้พบเห็นก็คือ  ทุกวันนี้นักลงทุนจำนวนมากลงทุนในหุ้นที่พวกเขาไม่รู้ความตื้นลึกหนาบางของธุรกิจเหล่านั้น  การลงทุนที่ฉลาดก็คือ  คุณต้องรู้ข้อมูลก่อน  และคุณก็ค่อยลงทุนทีหลัง  ไม่ใช่ลงทุนไปแล้ว  พอติดดอยแล้วค่อยมาหาข้อมูล  ไม่มีวิธีไหนง่ายไปกว่านี้อีกแล้ว  และอย่าพยายามลงทุนนอกขอบเขตที่ความรอบรู้ของคุณจะเข้าใจ  สิ่งนี้จะช่วยยืนยันว่า  การลงทุนของคุณนั้นมีคุณภาพ  ซึ่งมันจะได้รับการดูแลจากตัวคุณเอง


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 24 มกราคม 2012, 16:31:05
แหนะ เดี๋ยวนี้มีการใส่ภาพด้วยนะนี้ท่านวายุ เหอๆ (http://แหนะ เดี๋ยวนี้มีการใส่ภาพด้วยนะนี้ท่านวายุ เหอๆ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 27 มกราคม 2012, 16:07:16
อิสรภาพที่คุณเลือกได้
     คำว่าอิสรภาพหมายถึง  ความเสรีในการใช้ชีวิต  เราไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเวลาทำงาน  หรือนี่ทำนั่นโดยที่เราไม่อยากทำแต่มันจำเป็นต้องทำ  เพื่อแลกกับบางสิ่งบางอย่างตามที่เราต้องการ  และโดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน  “เงิน”  มีความสำคัญมากในการที่จะช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างอิสระได้  ซึ่งการที่เราจะเรียกความมีอิสรภาพในยุคปัจจุบันอย่างเต็มปากเต็มคำได้นั้น  มันต้องมาจากการมีเงินเยอะๆด้วย  ซึ่งตัวช่วยในการที่จะทำให้เราจะมีอิสระได้นั้นมีหลายอย่างเช่น

1.มีคนเลี้ยงโดยที่เราไม่ต้องทำงาน  แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะเลี้ยงเราไปได้ตลอด  วันใดเขาไม่เลี้ยงเราขึ้นมาแล้ว  เราคงมีสภาพไม่ต่างจากหมาที่เขาเอาไปปล่อยวัด

2.ได้รับมรดก  มันก็ดีนะสำหรับการมีชีวิตแบบนี้  แต่เงินน่ะ  มีได้มันก็หมดได้  และถ้ามันหมดขึ้นมาจริงๆ  เราจะมีสภาพเป็นอย่างไร  เพราะถ้าเรารู้จักแต่วิธีใช้  แต่เราไม่รู้จักวิธีที่จะทำให้มันงอกเงยขึ้นมาเลย  อย่างนี้ก็จบไม่สวย

3.ส่งเงินไปทำงานแทนเรา  วิธีนี้ผมว่าเข้าท่าที่สุด  เนื่องจากเงินก็เป็นเงินของเรา  และเราก็ไม่ต้องไปทำงาน  แต่การที่จะทำวิธีนี้ให้สำเร็จได้นั้น  ความรู้ทางการเงินสำคัญมากที่สุด

     จากการที่ผมอยู่ในโลกของการลงทุนมา  ผมได้แบ่งประเภทของการคาดหวังผลตอบแทนจากเงินลงทุนคร่าวๆออกเป็น  3  ประเภทคือ  กำไร  กระแสเงินสด  และการทบต้นทวีคูณ

กำไร  การลงทุนในลักษณะนี้เราไม่จำเป็นต้องดูว่า  สินค้าในขณะนั้นราคาถูกหรือแพงกว่าในอดีต  เราเพียงแค่มีความมั่นใจว่า  ถ้าเรานำมันไปขายต่อในราคาที่สูงขึ้น  ก็จะยังคงมีคนซื้อต่ออยู่เช่น  บ้าน  รถยนต์  คนที่ซื้อของไปขายทั่วๆไป  หรือแม้แต่หุ้น  และถ้าเราต้องการลงทุนในหุ้นโดยคาดหวังผลตอบแทนในรูปของกำไรแบบนี้จริงๆแล้วล่ะก็  เราคงต้องมีความสามารถอย่างเพียงพอที่จะคะเนได้ว่า  หุ้นตัวไหนที่ซื้อไปขายต่อแล้วจะมีคนเอา  แต่ถ้าเราไม่มีความสามารถขนาดนั้น  การซื้อขายทางเทคนิคช่วยท่านได้(จริงหรือ?)

     โดยปกติแล้วคนที่แนะนำ  จะพยายามโน้มน้าวและให้เหตุผลว่ามันใช้ได้จริง  แต่โดยส่วนตัวแล้วผมยอมรับว่า  “ผมไม่เคยเชื่อเลย”  เพราะผมไม่เคยเห็นใครร่ำรวยด้วยวิธีแบบนี้  อาจจะมีบางคนที่ทำได้  แต่ตามสถิติแล้ว  เขาก็ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ทุกครั้งไป  มีคำคมได้กล่าวไว้ว่า  “คุณจะหาเงินให้ได้มากๆไปทำไม  ในเมื่อท้ายที่สุดแล้ว  คุณต้องเสียมันไปทั้งหมด”  ซึ่งนั่นก็หมายความว่า  มันเปล่าประโยชน์ที่จะทำเงินมากๆในตอนนี้  แล้วท้ายที่สุดมันก็จะไม่เหลืออะไร  และสิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดตั้งแต่ต้นก็จะเหนื่อยเปล่า  ผมว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ไม่ยั่งยืน  ไม่สามารถคาดหวังความมั่นคงในการลงทุนจากมันได้  และบัฟเฟต  ซึ่งเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกของการลงทุนก็แนะนำว่า  มันไร้สาระและไม่ควรค่าที่จะทำตาม  ผมว่า...การที่เราจะเชื่อใครสักคนหนึ่ง  คนๆนั้นจะต้องทำมันสำเร็จมาแล้ว  ถ้าคุณต้องการพิชิตเขาเอเวอร์เรส  คุณคงจะเชื่อคนที่เคยปีนมันสำเร็จมาแล้ว  ไม่ใช่คนที่ยังย่ำอยู่ที่ตีนเขา  และถ้าผมอยากรวย  ผมก็จะเลือกเชื่อคนที่รวยแล้วว่าเขาทำอย่างไร

กระแสเงินสด  คนที่ลงทุนเพื่อให้ได้กระแสเงินสดนี้คือ  คนที่ต้องการความมั่นคงแน่นอน  ถึงจะไม่หวือหวา  แต่มันก็มาเรื่อยๆแบบชัวร์ๆเช่น  มีบ้านให้เช่า  หรือมีหุ้นปันผลคุณภาพสูง  การลงทุนในลักษณะนี้นั้นเราต้องดูว่า  ราคาในขณะนั้น  เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ได้  จะต้องใช้เวลาคืนทุนนานขนาดไหน  ยิ่งต้นทุนสูง  เวลาคืนทุนก็นานขึ้น  เพราะฉะนั้นการลงทุนในลักษณะนี้  จะต้องดูจังหวะในการเข้าซื้อด้วยว่าคุ้มค่าต่อการลงทุนหรือไม่

การทบต้นทวีคูณ  ถ้าเอ่ยถึงการลงทุนแบบนี้  โดยส่วนมากแล้ว  คนมักจะคุ้นเคยกับการฝากเงินมากกว่า  เพราะมีคนลงทุนแบบนี้ในการฝากเงินเยอะ  แต่ไม่ค่อยมีใครลงทุนลักษณะนี้ในหุ้นสักเท่าไหร่  แต่ถ้าดูกันจริงๆแล้วจะเห็นว่า  กว่าจะเห็นการทบต้นทวีคูณในเงินฝาก  มันจะต้องใช้เวลานานมาก  และมันไม่ต้องใช้ความสามารถอะไรเลย  เพียงแค่เอาเงินไปฝากแล้วก็รอเท่านั้นเอง  แต่ถ้าเรานำการทบต้นทวีคูณไปใช้ในหุ้นแล้ว  ผลตอบแทนนั้นเหลือเชื่อมากถ้าเราลงทุนได้ถูกตัวถูกเวลา  สมมุติว่าเราลงทุนในหุ้นอะไรก็ได้ที่มันต้องมีสาขาเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆแล้วผลตอบแทนมันจะเพิ่มขึ้นตามนั้น  ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า  ปั๊มน้ำมัน  หรือบริษัทที่ขายสินค้าต่างๆ  ซึ่งในตอนแรกเริ่มของกิจการตอนที่บริษัทยังมีอยู่แค่สาขาเดียวนั้น  สมมุติว่าตอนนั้นหุ้นของบริษัทราคาหุ้นละ  1  บาท  แต่พอบริษัทขยายสาขาเพิ่มขึ้นไปอีก  1  สาขา  นั่นเท่ากับว่า  บริษัทโตขึ้นถึง  100  %  เลยทีเดียว  และสมมุติอีกว่า  ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นจาก  1  บาทเป็น  2  บาท  นั่นจะทำให้เงินที่เราลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทนั้น  เพิ่มขึ้นถึง    100  %  เช่นกัน  และถ้าสมมุติอีกว่า  บริษัทขยายสาขาเพิ่มขึ้นไปอีก  1  สาขา  ราคาหุ้นนั้นก็จะขยับตามไปอีก  1  บาท  นั่นเท่ากับว่า  ผลตอบแทนที่เราทำได้  จะเพิ่มขึ้นเป็น  2  เท่าตัวแล้วในขณะนี้  และถ้าบริษัทขยายสาขาเพิ่มขึ้นเป็น  100  สาขา  เงินของเราก็จะทบทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆตามสาขาที่เพิ่มขึ้น  แต่สำหรับคนที่เข้ามาลงทุนทีหลังเรา  สมมุติว่าเข้ามาลงทุนตอนที่บริษัทมีอยู่  50  สาขาแล้ว  พอบริษัทมี  100  สาขา  เงินของเขาเพิ่มขึ้นมาเพียงแค่  1  เท่าตัวเท่านั้น  ในขณะที่คนที่ลงทุนตั้งแต่แรกและถือยาว  มีเงินเพิ่มขึ้นมาเป็นร้อยเท่า  เมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้ก็จะเห็นได้ว่า  การลงทุนแบบทบต้นทวีคูณในเงินฝาก  เทียบไม่ได้กับการลงทุนในหุ้นเลย  และเคล็ดลับสำหรับการลงทุนแบบนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือการถือยาว  ถ้าเป็นคนที่ใช้เทคนิคซื้อๆขายๆ  เขาคงไม่สามารถทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นได้ถึงขนาดนี้  แต่การลงทุนโดยดูที่สาขา  มันก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะสำเร็จไปทุกครั้ง  เพราะฉะนั้น  เวลาเราจะลงทุนจริง  เราก็ต้องเลือกด้วย

     และทีนี้เราลองมาสรุปกันว่าเราเห็นอะไรในการลงทุนของทั้ง  3  ลักษณะนี้  ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้จักกับเงินสี่ด้านของพ่อรวยสอนลูก  คุณจะพบว่าคนที่ลงทุนโดยหวังกำไรนั้น  อยู่ในด้านซ้ายของเงินสี่ด้าน  ซึ่งเปรียบเสมือนว่า  เขาเป็นเจ้าของกิจการอยู่  นั่นก็คือ  ถ้าไม่ซื้อของมาขาย  ก็จะไม่ได้เงิน  และถ้าการหาเงินของเขามันออกมาในลักษณะนี้  คุณว่าเขาสามารถมีอิสระในการใช้ชีวิตได้ไหม?  ผมว่าคงไม่ได้  เพราะถ้าเขาไม่ทำ  เขาก็จะไม่มีเงิน  เวลาชีวิตที่เขามีอยู่  ก็ได้ใช้หมดไปกับการหาเงินเรียบร้อยแล้ว  ซึ่งน่าเสียดายมาก  แทนที่จะใช้เวลานั้นมาทำอะไรในแบบที่เราต้องการ  กลับกลายเป็นว่า  เขาต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมตลอดเวลา  ขนาดลุกไปเข้าห้องน้ำก็ยังไม่อยากเลย  เฮ้อ...สังเวชจริงๆ  ชีวิตที่ไม่มีความสุข  แต่ถ้าเขามีความสุขที่ได้ทำแบบนั้น  มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  อย่างนี้ก็ถือว่า  เขาใช้ชีวิตได้คุ้มค่าแล้ว  เพราะเขาได้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำและชอบ  แต่ปัญหาก็คือ  เขาจะสามารถชนะทุกครั้งที่ได้ลงทุนไปหรือไม่?

     คนที่ลงทุนเพื่อให้ได้กระแสเงินสดนี้  อยู่ในด้านขวาของเงินสี่ด้าน  ซึ่งด้านนี้เป็นด้านของคนที่ไม่ต้องทำงานก็มีเงินเข้ากระเป๋า  มันมีความแตกต่างในเรื่องของการทำงานระหว่างด้านซ้ายกับด้านขวาที่น่าสนใจว่า  “คนด้านซ้ายต้องทำ  แต่คนด้านขวาอยากทำ”  คนที่ลงทุนเพื่อให้ได้กระแสเงินสดนี้  อยู่ในช่องของนักลงทุน  ถ้าคุณอยากเป็น  คุณต้องพยายามศึกษาหาความรู้เรื่องการเงินให้มากๆ  และถ้าคุณฉลาด  คุณก็จะมีเงินใช้โดยไม่ต้องทำงาน  ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่า  คุณมีอิสระที่จะใช้ชีวิตแล้ว

     และสุดท้าย  การทบต้นทวีคูณ  การลงทุนในลักษณะนี้เป็นสิ่งที่ผมใฝ่ฝันและอยากเป็น  ซึ่งทุกวันนี้ผมก็พยายามจะทำมันให้ได้  วิธีนี้เป็นการสร้างความร่ำรวย  บางทีอาจต้องใช้เวลานานมาก  และก็ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่ามันจะสำเร็จดังใจหมาย  สิ่งที่เราต้องมีก็คือความอดทนและมีทักษะในด้านการเงิน  การลงทุนในลักษณะนี้ถ้าทำสำเร็จ  มันก็จะอยู่ในด้านขวาของเงินสี่ด้านเหมือนกัน  เพราะการลงทุนแล้วอยู่เฉยๆ  โดยปล่อยให้ผลตอบแทนมันงอกเงยขึ้นไปเรื่อยๆนั้น  เป็นด้านของนักลงทุน  หลักการน่ะมันง่ายนะ  แต่การทำให้สำเร็จนี่สิยากมาก  เพราะตลอดทางที่จะมุ่งไป  มันจะมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลาไม่รู้จบ  ต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างสูง  เพราะบางครั้งเราก็ไม่รู้ว่า  สิ่งที่เราได้คาดหวังไว้จะเป็นจริงหรือไม่  แต่ในเมื่อเลือกแล้ว  เราก็ต้องสู้ต่อไปให้ถึงที่สุด  เพราะถ้าเราทำสำเร็จ  ผลตอบแทนก้อนโตก็จะเป็นรางวัลแห่งความอดทนสำหรับเรา  ถึงแม้ว่ามันจะเสี่ยง  แต่มันก็คุ้มที่จะลองมิใช่หรือ  และมันก็จะไม่เสี่ยงเลย  ถ้าคุณมีความรู้ทางการเงินที่มากพอ

     ถ้าถามผมว่าทุกวันนี้ผมลงทุนลักษณะไหนอยู่  ผมบอกได้เลยว่าผมลงทุนทั้งกระแสเงินสดและการทบต้นทวีคูณอยู่  บางท่านอาจจะงงว่า  เป็นไปได้อย่างไร  ผมก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่า  มันมีการลงทุนประเภทนี้อยู่ในโลกจริง  และผมโชคดีที่ได้ค้นพบมัน  การลงทุนที่ว่านั้นคือ  7-11  นั่นเอง  ดูภาพประกอบได้

     ผมลงทุนตั้งแต่มันราคา  29  บาทกว่าๆ  แต่มาเผลอตัวขายไปตอนสี่สิบกว่าๆ  แต่เมื่อทบทวนทุกอย่างแล้วผมเห็นว่าไม่ควรทำอย่างนั้น  ผมก็เลยซื้อกลับคืนเข้ามา  ต้นทุนราคามันก็เลยเปลี่ยนเป็นสี่สิบกว่าบาท  และในช่วงนั้นผมก็แนะนำให้ทุกคนซื้อ  ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีคนเชื่อผมหรือเปล่านะ  แต่ทุกวันนี้การลงทุนนั้นมันก็ได้พิสูจน์ตัวเองแล้ว  และผมก็ดีใจที่ยังไม่ได้ขายมันออกไปอีก  แม้ว่าจะมีความผันผวนมากในบางครั้ง  แต่ผมก็ให้คำมั่นกับตัวเองว่า  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  ผมจะไม่ยอมปล่อยมือจากหุ้นตัวนี้อีกแล้ว  จนกว่ามันจะไม่สามารถโตได้อีก  และเมื่อถึงเวลานั้นจริง  ผมอาจจะรวยแล้วก็ได้  ใครจะไปรู้  สิ่งที่ผมทำทุกวันนี้ก็คือ  “อดทน”  เท่านั้นเอง  และอีกไม่นานนี้  เงินปันผลของบริษัทก็จะออกมาเพิ่มผลตอบแทนให้กับผมอีก  ซึ่งเป็นการลงทุนที่ได้กระแสเงินสดด้วยอีกทางหนึ่ง  นั่นเท่ากับว่า  ผมลงทุนในหุ้นตัวนี้แล้วได้สองเด้งเลย  ในอนาคตผมก็ไม่รู้ว่าจะสามารถมีอิสรภาพในชีวิตได้ไหม  แต่ทุกวันนี้ผมก็ได้ใช้ชีวิตในแบบของผมโดยที่ไม่ได้สนใจหุ้นมากนัก  เพียงแค่ดูแลเป็นบางครั้งเท่านั้นเอง  แล้วคุณล่ะ  อยากเป็นแบบไหน  อยู่ที่คุณเลือกแล้วล่ะ  มันไม่จำเป็นว่าคุณต้องลงทุนในหุ้นตัวเดียวกับผมก็ได้  คุณแค่หาการลงทุนที่เหมาะกับคุณก็พอ  แต่คุณต้องตั้งมั่นว่า  อยากเป็นอะไรระหว่างคนทำธุรกิจส่วนตัวหรือนักลงทุน  และคุณต้องการอะไรจากการลงทุนระหว่างกำไร  กระแสเงินสด  และการทบต้นทวีคูณ  เพราะอิสรภาพ  เป็นสิ่งที่คุณเลือกได้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: :i3abyzeed:: ที่ วันที่ 03 กุมภาพันธ์ 2012, 01:57:45
แวะมารออ่าน การอัปเดทของกระทู้ท่านวายุครับ :)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 04 กุมภาพันธ์ 2012, 04:38:33
เงินเราไม่เท่ากัน
     บางคนอาจจะสงสัยกับหัวข้อว่ามันคืออะไร  แต่ถ้าผมบอกว่า  เงินของคุณ  100  บาท  มีค่าไม่เท่ากับเงินของผม  100  บาทนั้น  คุณจะเข้าใจไหม  งั้นยกตัวอย่างก็ได้เช่น  สมมุติว่าเราไปหากินข้าว  1  มื้อ  บางทีคุณอาจจะไปหากินก๋วยเตี๋ยว  1  ชามในราคา  30  บาท  แต่ผมสามารถไปหากิน  1  ชามเท่ากับคุณได้ในราคา  25  บาท  นั่นเท่ากับว่าเรากินก๋วยเตี๋ยว  1  อิ่มเท่ากัน  แต่เราจ่ายต่างกัน  ซึ่งนี่ทำให้เห็นว่า  ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากเงิน  หรือความสามารถของเงินที่เรามีนั้นไม่เท่ากัน  และการที่ผลออกมาเป็นอย่างนี้ก็เป็นเพราะตัวเจ้าของเงินเองนั่นแหละที่จะทำให้เงินนั้นมันมีอำนาจในการซื้อไม่เท่ากัน  สรุปแล้วสิ่งที่ทำให้เงินนั้นมีค่าแตกต่างกันนั่นคือตัวของเจ้าของเงินเอง

     เมื่อมามองการลงทุนในหุ้นจะเห็นว่า  ราคาหุ้นนั้นมันไม่นิ่ง  ถ้ามีคนสองคนเข้าซื้อหุ้นตัวเดียวกันแต่ต่างราคา  นั่นจะทำให้อำนาจเงินนั้นแตกต่าง  แม้ว่าจะได้จำนวนหุ้นเท่ากันก็ตาม  สิ่งที่ทำให้คนหนึ่งต้องจ่ายมากกว่าอีกคนหนึ่งในขณะที่ได้จำนวนหุ้นเท่ากันนั่นก็คือ  จังหวะในการเข้าลงทุน

     และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้อำนาจเงินนั้นแตกต่างก็คือ  การเข้าลงทุนในหุ้นตัวไหน  ก็อย่างที่เราเห็นกัน  หุ้นบางตัวราคาขึ้นเอาขึ้นเอา  ในขณะที่บางตัวไม่ไปไหนเลย  หรือบางตัวก็ราคาลดลง  สิ่งที่ทำให้ได้ผลตอบแทนที่แตกต่างจากเงินจำนวนเท่ากันก็คือ  ตัวของผู้ลงทุนนั่นเอง  ว่าเขาจะสามารถดูออกไหมว่า  หุ้นตัวไหนจะมีมูลค่ามากกว่าเมื่อเวลาผ่านไป  ในตลาดหุ้นเต็มไปด้วยคนที่รู้ราคา  แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ถึงมูลค่าของหุ้นแต่ละตัว  เดี๋ยววันหลังผมจะเอาประสบการณ์ลงทุนแบบฉบับ  โหด  มัน  ฮา  ของตัวผมเองมาให้อ่านก็แล้วกันนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 04 กุมภาพันธ์ 2012, 16:43:22
ฝากคู่แข่งกิจการของท่านวายุ (http://ฝากคู่แข่งกิจการของท่านวายุ)

(http://farm8.staticflickr.com/7157/6812839957_2c04160d3d_z.jpg)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2012, 15:40:39
เส้นทางนักลงทุน
     ตามที่ได้สัญญากันไว้ว่าจะเอาเรื่องราวการลงทุนของตัวผมเองมาเล่าสู่กันฟัง  ก็ต้องขอบอกก่อนเลยว่า  ชีวิตการลงทุนของผมก็ผ่านอะไรมาเยอะพอสมควร  บางทีอาจจะจำไม่ได้ทุกเรื่องราว  แต่ก็จะพยายามเอาเท่าที่นึกออกก็แล้วกันนะครับ  หวังว่าประสบการณ์ของผมนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านบ้าง  และเมื่อได้อ่านแล้วก็จะได้นำเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับผมไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม  เพราะผมก็ไม่อยากให้ใครหลายคนโดนเหมือนกับที่ผมเคยโดน  ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า  การเรียนรู้ที่ดีที่สุดก็คือ  การเรียนรู้จากความผิดพลาด  และมันจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง  ถ้าคุณจะทำผิดซ้ำในสิ่งที่คนอื่นก็เคยทำมันมาแล้ว

     การลงทุนของผมเริ่มต้นจาก  วันหนึ่งผมไปฝากเงินที่ธนาคารตามปกติ  แต่ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจทำให้ผมสอบถามไปกับพนักงานธนาคารว่า  มีการออมแบบไหนบ้างที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงิน  พนักงานธนาคารคนนั้นจ้องหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า  “คุณรับความเสี่ยงได้ไหมล่ะ”  ผมก็ถามกลับไปว่า  ความเสี่ยงที่ว่าคืออะไร  เขาก็บอกว่า  ความเสี่ยงในการที่จะสูญเสียเงินต้น  ผมก็ถามกลับไปว่า  แล้วมันมากขนาดไหนล่ะ  เขาบอกว่า  มันก็ไม่ทั้งหมดหรอก  เนื่องจากทางเรามีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลการลงทุนพวกนั้นให้คุณอยู่  ผมก็ถามกลับไปว่า  แล้วเงินที่จะต้องใช้ลงทุนมันเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่  เขาก็บอกว่าแล้วแต่ตัวเราเอง  แต่ครั้งแรกที่เริ่มเปิดบัญชีจะต้องใส่เงินเข้าไปก่อนก้อนแรกเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าสองพันบาท  คุณจะเริ่มสักเท่าไหร่ดี?  ผมคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็บอกว่า  “สองหมื่นบาท”  พนักงานธนาคารมองหน้าผมอีกครู่หนึ่งแล้วบอกว่า  เดี๋ยวผมจะเปิดบัญชีให้

     นั่นคือครั้งแรกที่ผมได้เริ่มเข้าสู่โลกของการลงทุน  แต่ผมก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย  ผมคิดเพียงแค่ว่า  อยากได้ผลตอบแทนมากๆเท่านั้นเอง  ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะเอาเงินผมไปทำอะไร  ผมก็ได้แต่คิดว่า  “ไม่ลองไม่รู้”

     หลังจากที่พนักงานธนาคารเปิดบัญชีให้ผมแล้ว  เขาก็บอกว่า  เราจะนำเงินของคุณไปลงทุนซื้อหุ้นขนาดใหญ่ที่ผ่านการกลั่นกรองจากทางเราแล้วว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะลงทุน  และมีความเสี่ยงน้อยที่สุด  เงินของคุณสามารถซื้อหน่วยลงทุนของเราเป็นจำนวน...หน่วย  ถ้าคุณต้องการซื้อหน่วยลงทุนเพิ่ม  คุณก็สามารถมาซื้อเพิ่มได้ในครั้งต่อไป  แต่ราคาหน่วยลงทุนนั้นไม่คงที่  เพราะมันจะผันแปรไปตามราคาหุ้นด้วย  และในทางกลับกัน  คุณสามารถขายหน่วยลงทุนเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ตามที่คุณต้องการ  แต่ทุกครั้งที่มีการซื้อขายเกิดขึ้น  ทางเราจะคิดค่าดำเนินการด้วย  มีข้อสงสัยอะไรอีกไหมครับ?  ตอนที่ผมได้ฟังก็ยังพอเข้าใจอยู่นะครับว่ามันเป็นการซื้อขายหุ้นโดยต้องเสียค่านายหน้าในทุกครั้งที่มีการทำรายการ  และคำถามก็เกิดขึ้นในใจผมมากมาย  แต่ผมก็ไม่รู้จะถามอะไรเขา  เพราะสิ่งที่ผมอยากรู้  ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าจะตั้งคำถามยังไง  ถ้าจะให้จำกัดความก็คือ  ผมอยากให้เขาอธิบายให้ผมรู้อย่างละเอียดมากๆเกี่ยวกับการลงทุนชนิดนี้  แต่ผมก็มาคิดว่า  เดี๋ยวเราค่อยไปศึกษาเอาเองก็ได้  ทำไปเรียนรู้ไป  เดี๋ยวก็เข้าใจเองแหละ

     หลังจากเปิดบัญชีแล้ว  ผมก็เริ่มศึกษาเกี่ยวกับหุ้นทันทีว่ามันคืออะไร  แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันมากอยู่ดี  เนื่องจากผมลงทุนโดยไม่ได้รับการแนะนำจากใครเลย  และคนรอบตัวผมก็ไม่มีใครลงทุนด้วย  (ผมว่าคุณๆที่เข้ามาอ่านนี่โชคดีมากนะครับ  เพราะก่อนที่คุณจะลงทุนนั้น  คุณสามารถศึกษาหรือขอคำแนะนำทั้งจากตัวผมเองและจากผู้มีประสบการณ์ทั้งหลายได้)  ตอนนั้นผมไม่รู้ว่า  หุ้นขึ้นเพราะอะไร  หุ้นลงเพราะอะไร  เนื่องจากสิ่งที่ผมกำลังศึกษาอยู่นั้น  มันก็พูดในทำนองเดียวกันหมดคือ  ลงซื้อขึ้นขาย  แต่ไม่เห็นมีใครบอกว่า  มันขึ้นหรือลงเพราะเหตุใด  ตอนนั้นเรียกได้ว่าเป็นมวยวัดจริงๆ  เข้าไปลุยกับเขาผ่านทางกองทุนรวมโดยไม่รู้อะไรเลย  พอลงทุนในกองทุนรวมไปได้สักพักผมก็รู้สึกว่า  การลงทุนผ่านกองทุนรวมนี้  เราไม่สามารถระบุหุ้นเป็นรายตัวได้  เพราะเวลาเราซื้อขายกองทุน  มันก็จะต้องเหมาเอาหุ้นทั้งหมดที่เขาเลือกไว้  แล้วมาเฉลี่ยเป็นหน่วยลงทุน  ซึ่งนั่นมันน่าจะเกี่ยวกับภาวะตลาดมากกว่าเน้นที่ตัวหุ้นจริงๆ  และผมยังได้มารู้ตอนหลังอีกว่า  ยังมีค่าใช้จ่ายอีกตัวหนึ่งที่ต้องเสียนั่นก็คือ  “ค่าบริหารกองทุน”  ถ้าถามผมว่าการมีค่าบริหารกองทุนนั้นเป็นการเอาเปรียบเราไหม  ผมคิดว่าไม่นะ  เพราะในเมื่อเราไม่คิดที่จะทำการบ้านโดยการเลือกการลงทุนเอง  เมื่อให้เขาเลือกให้  มันก็ต้องมีค่าตอบแทนให้ผู้เลือกหุ้นด้วย  แต่ทีนี้ผมมาคิดเอาเองว่า  ถึงแม้ว่าเราจะซื้อกองทุนแล้วถือไว้เฉยๆโดยไม่ซื้อหรือขายเลย  มันก็จะต้องถูกเบียดกำไรที่กองทุนทำได้ไปเป็นค่าบริหาร  หรือถึงแม้ว่ากองทุนจะมีผลการดำเนินงานขาดทุน  แต่ทางกองทุนก็ยังคิดค่าบริหารอยู่ดี  ผมจึงคิดว่า  เราน่าจะเลือกการลงทุนด้วยตัวเองจะดีกว่า  และประโยชน์ที่จะได้ก็คือ  เราจะมีความรู้เพิ่มขึ้น  และจะทำให้เรามีกำไรมากขึ้นเนื่องจากประหยัดค่าใช้จ่ายตัวนี้ลง  ผมจึงถอนเงินออกจากหน่วยลงทุนทั้งหมดและมุ่งหน้าไปเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ทันที

     หลังจากเปิดบัญชีกับโบรกแล้ว  ความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนเด็กน้อยกำลังออกสู่โลกกว้าง  เพราะตอนนี้เราต้องทำเองทุกอย่าง  แต่ผมก็ไม่หวั่นอยู่แล้ว  เพราะนี่เป็นสิ่งที่ผมได้เลือกที่จะเป็น  คำแนะนำแรกที่ผมได้รับก็คือ  ลงซื้อขึ้นขาย(อีกแล้ว)  ผมสงสัยมากว่า  การลงทุนในหุ้นมันมีวิธีเดียวแค่นี้เองจริงๆหรือ  แต่ในเมื่อเขานิยมแบบนี้กัน  ผมก็เลยทำตามเขาไป  เดี๋ยวจะหาว่าเป็นแกะดำ  เพราะตอนนั้นผมก็ยังไม่รู้เลยว่า  มันมีการลงทุนได้กี่วิธีกัน  ช่วงนั้นก็มั่วกับเขาไปหมด  เขาแนะนำตัวไหนก็เข้าไปเรื่อย  หรือเขาแนะนำให้ใช้เครื่องมือทางเทคนิค  อย่างเช่นพวกเส้นค่าเฉลี่ยนี่ก็ใช้ไม่เป็น  เพราะไม่มีใครสอน  จำได้เลาๆว่าตอนที่เข้าตลาดไปช่วงแรกๆเขากำลังเล่นข่าวเรื่องค่าการกลั่นอยู่  และตอนนั้นตลาดก็กำลังมั่วกับไทยออยล์มาก  (TOP)  จำได้ว่าหลังจากเปิดบัญชีแล้วก็เข้าไทยออยล์ทันที  ตอนนั้นหุ้นไทยออยล์โดนไล่ราคาขึ้นไปแถวๆ  66  บาท  ผมก็โดดสอยทันที  และหลังจากนั้นไม่เกินครึ่งวัน  มันก็ร่วงลงมาเหลือ  60  ถ้วนๆ  ตอนนั้นก็เอ๋อกินเหมือนกัน  นึกกับตัวเองว่าจะทำอย่างไร  มาร์เก็ตติ้งบอกว่าถ้าไม่อยากถือต้องคัทลอส  ความหมายก็คือยอมขายขาดทุน  เพื่อเอาเงินกลับมาเล่นต่อ  ดีกว่าให้เงินจมอยู่อย่างนั้น  ผมก็คิดว่าเอางั้นเหรอ...ยังไม่ทันไรก็โดนซะแล้ว  เอาไงดีหว่า  อ่ะเชื่อเค้าหน่อย  ว่าแล้วก็ขาย  หลังจากขายเสร็จปุ๊บมันก็กลับขึ้นมาต่อ  ผมก็เอ๋ออีกเป็นรอบที่สองในวันเดียว  แล้วก็ถามมาร์ว่า  อ้าวพี่...ให้ผมขายทำไมเนี่ย  คำตอบที่ได้รับก็คือ  ไม่มีใครรู้หรอกว่าราคามันจะไปทางไหน  ผมก็นึกในใจว่า  ไม่รับผิดชอบคำแนะนำของตัวเองเลย  การที่เขาแนะนำมาอย่างนั้นแล้วทำให้คนอื่นเสียหาย  ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยหรือ  สอบได้ใบนายหน้ามาได้อย่างไร  ไม่มีความรู้เรื่องการลงทุนเลยสักนิด  แล้วที่เขาแนะนำให้ผมขายนั้นมันหมายถึงอะไร  เขาอยากได้ค่าคอมหรือ  หรือว่าเขาอยากช่วยเราจริงๆ  แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร  กรณีแรกที่ผมโดนไปก็ได้ความรู้มาว่า  “อย่าไปไล่ซื้อหุ้นที่ราคากำลังพุ่งขึ้นโดยที่เราไม่รู้ว่ามันขึ้นเพราะอะไร”


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2012, 15:41:35
     หลังจากที่โดนไปหนึ่งดอก  ช่วงนั้นผมก็ยังงมไปเรื่อย  เขาเล่นตัวไหนก็ตามเขาไป  ได้บ้างเสียบ้างไปตามเรื่องตามราว  แต่มีอยู่ช่วงหนึ่ง  มาร์บอกว่าตัวนี้เด็ด  ราคาไม่ถึงบาท  เล่นช่องเดียวออกก็ได้เงินแล้ว  หุ้นตัวนั้นคือ  BNT  ผมไม่รู้หรอกว่ามันคือหุ้นอะไร  แต่มาร์เชียร์ก็เอาซะหน่อย  ช่วงนั้นหุ้นนี้ซื้อขายกันแถวๆ  65  ตังค์  วันนั้นมาร์โทรมาหาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นมากว่า  มันลงมาเหลือ  63  ตังค์แล้ว  น้องจะรับไหม  ผมก็ตอบทันทีเลยว่าเอา  มาร์ก็เลยตั้งรับให้เรียบร้อย  พอรับเสร็จปุ๊บ  มันก็ไหลลงต่อ  ผมก็ถามมาร์ว่าจะทำอย่างไร  มาร์ก็บอกว่า  มันลงเดี๋ยวมันก็ขึ้น  ถือรอไว้ก่อน  เอาก็เอา  เชื่ออีกก็ได้  ผ่านไปอีกประมาณสองวัน  หุ้นนั้นราคาเหลืออยู่  40  กว่าตังค์  ผมเห็นท่าไม่ดีก็เลยถามมาร์ไปว่าจะทำอย่างไร  มาร์ก็ตอบมาว่า  ถ้าไม่อยากถือก็ต้องคัทลอส(อีกแล้วครับท่าน)  กรณีที่สองก็ได้ความรู้มาอีกว่า  “อย่าไปซื้อหุ้นที่กำลังตกลงโดยที่เราไม่รู้ว่ามันลงเพราะอะไร”

     หลังจากที่โดนไปอีกดอก  ผมก็รู้สึกว่า  เรานี่มวยวัดไปหน่อยไหม  ไม่ได้การแล้ว  ขืนมาเล่นเอาเองอย่างนี้มีหวังเจ๊งหมดตัวแน่นอน  ตอนนั้นก็เลยไปหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับหุ้นมาอ่าน  เล่มแรกที่ซื้อมาอ่านก็คือ  “เทคนิคการเล่นหุ้น  บทเรียนจากไต้หวัน”  หนังสือเล่มนี้บอกถึงกลยุทธ์การซื้อขายเช่น  การถัวเฉลี่ย  การแบ่งซื้อแบ่งขาย  การผ่อนสายเบ็ดยาวๆตกเอาปลาตัวโตๆ  การขายแบบพีระมิด  และการขายแบบพีระมิดกลับหัว  ฯลฯ  เมื่ออ่านเสร็จแล้วก็ไปทดลองทำดู  มันก็ยังไม่ได้เรื่องอะไรสักเท่าไหร่  เมื่อมาวิเคราะห์หนังสือผมก็พบว่า  นี่เป็นเพียงแค่กลยุทธ์ในการซื้อขายเท่านั้น  มันไม่ได้บอกอะไรลึกๆเกี่ยวกับตัวหุ้นเลย  มันเป็นแค่เพียงผิวๆเท่านั้น  แต่สิ่งที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ก็คือ  เราต้องแบ่งเงินไว้หลายๆก้อน  เวลาหุ้นมันตกก็จะได้เหลือเงินไว้ซื้อตอนที่มันราคาถูกลงไปอีก  ในทางกลับกัน  เวลาจะขาย  ก็ค่อยๆแบ่งขาย  เพราะถ้าราคามันค่อยๆเพิ่มขึ้นไป  เราก็จะยังเหลือหุ้นไว้ให้ขายเพื่อทำกำไรในราคาที่สูงขึ้นไปอีก  จากที่ตอนแรก  ผมมักจะซื้อหรือขายทีเดียวทั้งก้อนเลย  เวลาซื้อเสร็จแล้วหุ้นมันตกลงไปอีก  ผมก็จะติดดอยทุกที  หรือเวลาขายแล้วมันขึ้นไปต่อ  ผมก็เสียดายเพราะไม่มีหุ้นเหลือแล้ว  แต่ที่จำได้ไม่ลืมเลยก็คือกลยุทธ์การผ่อนสายเบ็ดยาวๆตกเอาปลาตัวโตๆนี่แหละ  ตอนนั้นผมซื้อหุ้นมาตัวหนึ่งคือ  TMT  พอราคามันขึ้นปุ๊บผมก็ขาย  แล้วทีนี้ราคามันก็ขึ้นไปต่อ  ด้วยความเสียดายและบวกด้วยประสบการณ์น้อยก็คิดว่ามันอาจจะขึ้นไปต่อ  ตามกลยุทธ์ผ่อนสายเบ็ดยาวๆตกเอาปลาตัวโตๆ  ผมก็เลยตามไปซื้อคืนมาในราคาที่แพงขึ้น  พอเข้าซื้อแค่นั้นแหละ  หุ้นก็ตกทันที  ด้วยความกลัวว่าจะเสียเงิน  ก็เลยชิงขายขาดทุนออกมาก่อนที่มันจะเสียมากไปกว่านี้  เมื่อคำนวณแล้วพบว่า  จากที่ได้กำไรในตอนเริ่มแรก  กลายเป็นว่าตามเข้าไปอีกทีแล้วขาดทุน  บวกลบกลบหนี้แล้วขาดทุนซะงั้น  เวรจริงๆ

     เมื่อได้ทดลองเล่นตามหนังสือเล่มแรกแล้ว  ผมก็รู้สึกว่ายังไม่ได้น้ำได้เนื้อสักเท่าไหร่  ตัวเราเองยังคงงมหุ้นต่อไป  แถมยังนอนไม่ค่อยจะหลับ  คิดมากว่าวันพรุ่งนี้หุ้นจะเป็นอย่างไร  ผมก็เลยรู้สึกว่า  วิธีนี้ไม่เหมาะกับผม  เพราะผมขายของกลางคืน  ปกติต้องตื่นใกล้เที่ยง  แต่นี่อะไร  ต้องตื่นมาดูโทรทัศน์ตั้งแต่ก่อนเปิดตลาด  เสียสุขภาพหมด  ผมก็เลยคิดว่า  วิธีนี้ผมไม่เอาแล้ว  และผมก็ได้หนังสือเล่มที่สองมา  หนังสือเล่มนี้คือ  “กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ”  เมื่ออ่านแล้วก็รู้สึกว่าดีกว่าเล่มแรก  เข้าท่าอยู่เหมือนกัน  ในหนังสือบอกว่า  ก่อนที่เราจะซื้อหุ้น  ให้เรามองที่ปันผลก่อนเป็นอันดับแรก  เนื่องจากหนังสือเล่มนี้  ผู้เขียนเน้นที่เงินปันผลเป็นหลัก  โดยเขาให้เหตุผลว่า  ไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง  เราก็ยังนอนหลับสบาย  ไม่ต้องคอยไปเครียดว่า  พรุ่งนี้ราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร  เพราะสิ่งที่เรามุ่งหวังนั้นคือเงินปันผลไม่ใช่ราคาหุ้น  แถมยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยบอกวิธีการเพิ่มผลตอบแทนอีกว่า  ทุกช่วงเวลาในตลาดคือโอกาสของเรา  อธิบายก็คือ

ตัวอย่างที่  1

สมมุติเราซื้อหุ้นเข้ามาตอนแรก  200  หุ้นที่ราคา  1  บาท  ใช้เงินไป  200  บาท

ถ้าราคาหุ้นตกลงมาเหลือ  90  ตังค์  เราก็ซื้อเพิ่มเข้าไป  อาจจะซัก  200  หุ้น  ต้องใช้เงินไปอีก  180  บาท

ตอนนี้เท่ากับว่าเรามีหุ้นอยู่  400  หุ้น  เมื่อเอาจำนวนเงินที่เราลงทุนไปสองรอบเป็นเงิน  200+180 = 380  มาหารกับจำนวนหุ้น  400  หุ้น  จะเท่ากับว่า  ต้นทุนรวมหุ้นในขณะนี้เหลือเพียง  95  ตังค์  จากครั้งแรกที่เราลงทุนหุ้นละ  1  บาท

ถ้าเงินปันผลของหุ้นตัวนี้อยู่ที่  10  สตางค์ต่อปี  ตอนที่เราลงทุนครั้งแรกโดยซื้อหุ้นที่ราคา  1  บาท  นั่นจะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่  10 %  แต่พอต้นทุนรวมเราเหลือแค่  95  สตางค์  และเงินปันผลยังปันเท่าเดิมอยู่ที่  10  สตางค์ต่อปี  นั่นเท่ากับว่า  ผลตอบแทนที่เราจะได้รับจากเงินลงทุนจะกลายเป็น  0.10*100 = 10 / 0.95 = 10.52 %

ตัวอย่างที่  2

สมมุติว่าเราซื้อหุ้นเข้ามาตอนแรก  200  หุ้นที่ราคา  1  บาท  ใช้เงินไป  200  บาท

ถ้าราคาหุ้นขึ้นไปเป็น  1.10  บาท  เราก็ขายออกมาครึ่งหนึ่ง  100  หุ้น  ได้เงินมา  110  บาท  วิธีการคิดของกลยุทธ์การขายแบบนี้คือ  อย่าถือเอากำไรที่ได้มาคิดว่าเป็นกำไร  ให้คิดเสียว่าเงินที่ได้ออกมาทั้งหมดนั้นเป็นต้นทุนที่เราดึงออกมา

นั่นเท่ากับว่าตอนนี้เงินที่เราเหลืออยู่ในหุ้นมีแค่  90  บาทเท่านั้น  และเรายังเหลือหุ้นอยู่อีก  100  หุ้น  ในราคาต้นทุนหุ้นละ  90  สตางค์เท่านั้นเอง

ถ้าเงินปันผลของหุ้นตัวนี้อยู่ที่  10  สตางค์ต่อปี  ตอนที่เราลงทุนครั้งแรกโดยซื้อหุ้นที่ราคา  1  บาท  นั่นจะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่  10 %  แต่พอต้นทุนรวมเราเหลือแค่  90  สตางค์  และเงินปันผลยังปันเท่าเดิมอยู่ที่  10  สตางค์ต่อปี  นั่นเท่ากับว่า  ผลตอบแทนที่เราจะได้รับจากเงินลงทุนจะกลายเป็น  0.10*100 = 10 / 0.90 = 11.11 %

     ในหนังสือบอกว่า  ถ้าเราหมั่นซื้อหมั่นขาย  แต่งตัวเลขไปเรื่อยๆ  ผลตอบแทนจากเงินปันผลเมื่อเทียบกับต้นทุนหุ้นแล้ว  มันก็จะมากตาม


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2012, 15:42:16
     เมื่อผมเห็นกลยุทธ์อย่างนี้ก็รู้สึกว่าเข้าท่ามาก  ดีล่ะ...เราจะเล่นหุ้นสไตล์นี้ก็แล้วกัน  แต่เมื่อได้ลองมาเล่นจริงๆก็พบว่า  การที่เราจะหาหุ้นที่ให้เงินปันผลสูงๆในตลาดได้นั้นหายากมาก  อาจจะเป็นเนื่องจากว่า  ตลาดของเรามีขนาดเล็ก  จนหุ้นแต่ละตัวที่ปันผลดีๆนั้นไม่เหลือให้หลงหูหลงตาอยู่เลย  เมื่อปันผลดี  ราคาหุ้นก็มักจะโดนไล่ราคาขึ้นไปจนผลตอบแทนจากเงินปันผลนั้นลดลง  แต่ผมก็พยายามหาหุ้นที่ให้ปันผลสูงๆสม่ำเสมอมาได้ตัวหนึ่ง  หุ้นตัวนั้นคือ  SPACK  ตอนนั้นหุ้นนี้ราคา  3.20  บาท  ปันผลต่อปีเท่าไหร่ผมก็จำไม่ได้  แต่คาดว่าน่าจะอยู่ราวๆ  8  %  จากราคาหุ้น  ผมก็ซื้อทันทีที่พบมัน  หลังจากที่ซื้อแล้วผมก็ตั้งหน้าตั้งตารอว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสให้ซื้อขายเพื่อแต่งตัวเลขให้ได้ตามที่หนังสือแนะนำไว้ซะที  แต่จนแล้วจนรอดหุ้นนั้นก็ไม่ยอมขยับเลย  ผมก็คิดว่าไม่เป็นไร  เรารอเอาแต่ปันผลก็ได้  เพราะยังไงก็ยังได้ผลตอบแทนที่ดีอยู่  คุณๆก็น่าจะรู้มั๊งว่า  เวลาที่เรารอคอยอะไรบางอย่างนั้น  มันดูเหมือนนานมาก  และในช่วงระหว่างที่ผมรอเงินปันผล  หุ้นตัวอื่นก็พุ่งขึ้นกันอย่างวูบวาบ  ผมรู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมากว่า  ทำไมหุ้นเราไม่ขึ้นเหมือนคนอื่นเขาบ้าง  ตอนนั้นผมลองคำนวณว่า  แทนที่เราจะเอาเงินมาซื้อหุ้นตัวนี้แล้วแช่ไว้เพื่อให้ได้ผลตอบแทน  8  %  ต่อปี  ถ้าเราเอาเงินไปซื้อหุ้นตัวอื่นที่ราคาขึ้นปีละ  8  %  ผมชอบหุ้นขึ้นมากกว่าเงินปันผล  ก็เป็นอันว่า  กลยุทธ์ซื้อหุ้นเพื่อรอปันผลของผมก็เอวังด้วยประการฉะนี้  เพราะมันไม่ล่ายหลั่งจาย  และกลยุทธ์ที่ผมคิดว่าตลกที่สุดสำหรับตัวผมเองและคนที่ได้ฟังก็คือ  ผมมักสังเกตว่า  เวลาที่หุ้นขึ้นเครื่องหมายปันผล  (XD)  แล้ว  ราคาหุ้นก็มักจะตกลงเท่ากับเงินที่จะปันผลออกมา  แต่มีบางครั้งที่ราคาหุ้นตกลงมาต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเช่น  ตอนนั้นหุ้น  ปตท.ปันผล  10  บาท  แต่หลังจากขึ้นเครื่องหมาย  XD  แล้วปรากฏว่า  หุ้นราคาตกลงมาเพียง  6  บาทเท่านั้น  ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง  คนที่ได้ปันผลไป  10  บาท  แล้วยอมขายขาดทุน  6  บาท  นั่นก็เท่ากับว่า  เขาจะได้กำไรถึง  4  บาท  เมื่อเห็นดังนี้ผมก็เลยเกิดไอเดียบรรเจิดว่า  เราก็ซื้อหุ้นก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย  และหลังจากที่ขึ้นเครื่องหมายแล้ว  เราก็ค่อยขายขาดทุนทิ้งไปก็ได้  และเราก็เอาเงินค่าขายหุ้นที่ยังเหลืออยู่  มาซื้อหุ้นตัวต่อไป  ส่วนเงินที่เราขาดทุนไปนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วง  เพราะเดี๋ยวอีกไม่นานเราก็จะได้รับกลับคืนมาในรูปของเงินปันผล  เมื่อคิดได้ดังนั้น  ผมก็ลงมือทันที  แต่เพียงแค่หุ้นตัวแรกเท่านั้นเอง  รู้สึกว่าจะเป็น  PRANDA  หุ้นตัวนี้สภาพคล่องต่ำมาก  เมื่อ  XD  เสร็จปั๊บ  ราคาหุ้นร่วงกราวรูด  มากกว่าที่จะได้รับจากปันผลอักโข  ผมก็เลยไม่ขาย  กลายเป็นติดหุ้นแบบแกะไม่ออก  ต้องใช้เวลานานมากกกว่าที่ราคาหุ้นจะกลับขึ้นมาอยู่ในระดับบวกกับปันผลแล้วถึงไม่ขาดทุนมาก  เมื่อราคาหุ้นขึ้นมาถึงระดับนั้นผมก็ขายออกไป  นี่ผมไม่เคยเล่าที่ไหนมาก่อนเลยนะนี่...อายจัง

     เมื่อผมมานั่งประมวลผลก็พบว่า  วิธีนี้ก็ไม่เหมาะกับผมอีกแล้ว  มันไม่สมบูรณ์แบบพอ  เพราะการที่เราจะมองที่ปันผลเพียงอย่างเดียวมันก็คงจะได้แต่ปันผลนั่นแหละ  ผมก็เลยไปได้หนังสือมาอีกเล่ม  เล่มนี้ชื่อว่า  “อยากรวยต้องรู้  เล่ม  4”  เนื้อหาในหนังสือนี้เน้นไปที่ภาวะของตลาดหุ้นเป็นหลัก  โดยกล่าวถึงปัจจัยที่มีผลกระทบกับตลาดหุ้นว่ามีอะไรบ้าง  ถ้าจะให้บอกโดยสรุปก็คือ  จากสถิติพบว่า  นักลงทุนที่เป็นผู้กำหนดแนวโน้มหลักของตลาดหุ้นของบ้านเราก็คือนักลงทุนต่างชาติ  ดังนั้น  ปัจจัยที่มีผลกระทบกับนักลงทุนต่างชาติได้แก่  อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา  ดอกเบี้ย  การเมืองในประเทศ  ภาวะเศรษฐกิจโลก  ฯลฯ  จึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม  และกราฟที่มีความสัมพันธ์กับดัชนีตลาดหุ้นมากที่สุดก็คือกราฟค่าเงิน  เขาบอกว่า  เวลาที่ฝรั่งขนเงินมาซื้อหุ้นไทย  เขาจะลงหน้าสมุดเป็นสกุลเงินดอลล่าร์  สมมุติว่าเขาเอาเงินมา  1  ดอล  แลกได้  30  บาท  และเขาก็เอาเงินที่แลกได้  30  บาทไปซื้อหุ้นที่ราคา  30  บาท  เขาก็จะซื้อได้  1  หุ้น  แต่เวลาที่ค่าเงินอ่อนเป็น  31  บาท  แต่ราคาหุ้นไม่ได้เปลี่ยนแปลง  เขาก็จะต้องรีบขายหุ้นออกมาก่อนเพราะ  ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ขาดทุนจากราคาหุ้น  แต่เมื่อเขาเอาเงินค่าหุ้นที่ได้  30  บาทมาแลกกลับเป็นเงินดอล  เขาจะขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนทันที  3  %  กว่าๆ  นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า  หากค่าเงินมีแนวโน้มอ่อนค่าลง  ฝรั่งจะต้องขายหุ้นออกมาก่อน  แล้วพอค่าเงินนิ่ง  ฝรั่งก็จะกลับเข้ามาซื้อหุ้นใหม่  และในทางกลับกัน  ถ้าค่าเงินมีทิศทางแข็งค่าขึ้น  ถึงแม้ว่าราคาหุ้นจะไม่เปลี่ยนแปลง  เขาก็จะมีกำไรที่เป็นอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ดี  เมื่อผมรู้ข้อมูลอย่างนี้แล้ว  ตัวผมเองก็เลยกลายเป็นนักสืบทันที  ทุกๆวันผมจะคอยถามโบรกว่า  ฝรั่งซื้อหรือขาย  แต่การที่ฝรั่งจะซื้อนั้น  เราก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่า  ฝรั่งจะเข้าซื้อตัวไหน  เราจึงต้องแกะรอยต่อไปอีกที่  NVDR  เมื่อผมได้ทำวิธีนี้ดูก็รู้สึกว่า  วันๆไม่ต้องไปทำมาหากินอะไรล่ะ  ต้องคอยเช็คอยู่ตลอดเวลาว่าฝรั่งจะซื้อหรือขาย  และวิธีการนี้ผมก็เห็นว่า  ถ้าเรารู้ว่าฝรั่งเข้าซื้อตัวไหน  เราก็ลงมือช้ากว่าอยู่ดี  เนื่องจากว่า  ข้อมูลใน  NVDR   จะประกาศหลังวันที่ฝรั่งทำรายการ  1  วัน  ซึ่งมันจะทำให้เราได้กำไรน้อยกว่าที่ควร  หรือถ้ากว่าจะรู้ว่าฝรั่งขาย  ก็ต้องขายทีหลังฝรั่งอีก  ผมก็เลยรู้สึกว่า  วิธีนี้ยังไม่ดีที่สุด(เรื่องมากจริงๆ)  แต่กลยุทธ์ที่ฝังใจจากหนังสือเล่มนี้จริงๆก็คือ  ทฤษฏีหนูตัวที่สอง  โดยเขาได้อธิบายไว้ว่า  เราไม่มีทางรู้หรอกว่าหุ้นมันจะตกลงไปถึงตรงไหน  สิ่งที่เราต้องทำก็คือรอให้มันตกลงไปเรื่อยๆก่อน  เพราะถ้าเรารีบร้อนเข้าไปซื้อแล้วราคามันตกลงไปอีก  เรานั่นแหละจะเจ็บตัว  เราควรรอให้หุ้นมันตกลงไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะถึงจุดต่ำสุดแล้วหุ้นวกกลับขึ้นมา  เมื่อนั้นเราก็ค่อยตามเข้าไปซื้อ  และในทางกลับกัน  เมื่อเราคิดจะขาย  เราก็ควรปล่อยให้หุ้นขึ้นไปเรื่อยๆ  รอจนมันขึ้นไปจนถึงจุดที่ไม่น่าจะผ่านไปได้แล้วหุ้นมันกำลังหันหัวตกลงมา  เมื่อนั้นเราก็ขายออกทำกำไรเลย  ซึ่งเรื่องนี้ผมก็เคยมีประสบการณ์มาบ้างเหมือนกันตอนช่วงซับไพรม์ตอนนั้นหุ้นตกกันสนั่นทั้งโลก  พอดีตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลก  และเหตุการณ์นั้นมันจะรุนแรงแค่ไหน  รู้แต่ว่าราคาน้ำมันขึ้นเอาขึ้นเอาไปจนถึง  140  เหรียญต่อบาร์เรล  ตอนนั้นผมเห็นหุ้น  PTTEP  ราคา  220  บาท  แต่เมื่อราคาน้ำมันกำลังตกลง  หุ้น  PTTEP   ก็ตกลงมาตาม  จนราคาหุ้นลงมาถึง  130  บาท  ที่ราคานั้นผมเห็นว่ามันถูกมาก  ผมก็โดดเข้าไปรับ  แต่หลังจากรับเสร็จ  ราคาหุ้นก็ไหลลงต่อไม่หยุด  ในเวลาเพียงแค่  2  นาที  ผมเสียเงินกับหุ้นตัวนี้ไปหมื่นกว่าบาท  เมื่อเห็นท่าไม่ดีผมก็เลยยอมตัดขาดทุนขายออกมาก่อน  ตอนนั้นท้อแท้จนถึงขั้นอยากเลิกเล่นหุ้นเลยทีเดียว  พอได้เงินค่าขายหุ้นมาเสร็จ  ผมก็เอาเงินไปซื้อกองทุนตราสารหนี้  และคิดว่าจะไม่เล่นหุ้นอีกแล้ว  แต่พอไปซื้อกองทุนได้ไม่นาน  ผมเห็นว่าหุ้นในตลาด  ราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ  และหุ้นก็หยุดตกแล้ว  ผมก็เลยถอนเงินออกจากกองทุน  กลับเข้าตลาดหุ้นอีกครั้งโดยคิดว่า  ถ้าซื้อหุ้นที่ราคานี้แล้ว  เมื่อเทียบกับเงินปันผล  มันก็ยังได้ผลตอบแทนที่ดีอยู่  ผมก็เลยซื้อหุ้น  DCC  เข้ามาตอนมัน  10  บาท  แต่พอมันขึ้นไปเป็น  14  บาทผมก็ขายออกไป  เพราะก่อนที่มันจะตกลงไป  ราคามันก็อยู่แถวๆ  15  บาทเท่านั้นเอง  ก็เสียดายเหมือนกันนะ  เพราะถ้าผมถือหุ้นนั้นจนถึงทุกวันนี้  เงินผมก็จะเพิ่มขึ้นมาถึง  6  เท่าตัวเลยล่ะ  เพราะตอนนี้หุ้นตัวนี้ราคา  60  บาทแล้ว  หลังจากขาย  DCC  ออกไป  ผมได้กำไรมาพอสมควร  ผมก็เอาเข้าไปซื้อหุ้นตัวอื่นที่ยังไม่ขึ้นอีกหลายตัว  ช่วงนั้นซื้อหุ้นอะไรมันก็ขึ้นหมด  เพราะมันราคาถูกทุกตัว  จำได้ว่าซื้อ  TTA  มาตอน  16  บาท  แล้วเอาไปขายที่  19  บาทกว่าๆ  จริงๆแล้วผมก็อยากขายแพงกว่านั้นนะ  แต่มาติดตรงกลยุทธ์หนูตัวที่สองนี่แหละที่ทำให้เสียเรื่อง  เพราะช่วงที่หุ้นมันกำลังพุ่งขึ้นไป  จู่ๆหุ้นก็ตกกันครึกโครม  ผมก็เลยคิดว่าราคาหุ้นอาจจะตันแล้ว  มันก็เลยเข้ากลยุทธ์ว่าต้องขายแล้ว  แต่จริงๆแล้วหลังจากที่มันตกอย่างหนัก  มันก็กลับขึ้นไปอีกรอบ  หลอกให้ใจเสียหมด  แต่ไม่เป็นไร  ตัวนี้ก็ได้มาอีกเพียบ  แต่พอหลังจากช่วงนั้นมาอีกไม่นานซักเท่าไหร่  ราคาหุ้นทุกตัวมันก็ขึ้นมาจนแทบจะเท่ากับตอนก่อนที่มันจะตกลงไปแล้ว  ช่วงนั้นก็เลยมุขตันไปพักนึง  เพราะหุ้นตัวไหนก็ไม่วิ่งแล้ว  เนื่องจากว่า  ราคามันเหมาะสมกับพื้นฐานของมันแทบทั้งสิ้น


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2012, 15:46:57
     และช่วงนั้นผมรู้สึกว่ากระแสหนังสือตีแตกดังมาก  ผมก็เลยซื้อมาอ่านซะหน่อย  เดี๋ยวจะหาว่าไม่อินเทรนด์  เท่าที่อ่านดูก็รู้สึกว่า  เป็นหนังสือที่เป็นเหตุเป็นผลพอสมควร  สามารถบอกที่มาที่ไปของรายได้ของบริษัทได้  ซึ่งรายได้พวกนี้นี่แหละจะเป็นตัวกำหนดราคาหุ้นที่ควรจะเป็น  เนื้อหาในหนังสือจะบอกถึงประสบการณ์และการคิดวิเคราะห์ก่อนที่จะลงทุนจริงของ  ดร.นิเวศน์  ซึ่งเป็นผู้เขียน  เท่าที่อ่านๆดูก็รู้สึกว่า  เนื้อหานั้นมีความเป็นไทยๆเยอะมาก  ซึ่งถ้าเราได้อ่านก็จะเห็นภาพตามได้ง่าย  ผมก็เลยรู้สึกว่า  หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง  มีความเป็นเหตุเป็นผลในการลงทุน  เมื่อผมรู้สึกว่าตัวผู้เขียนเป็นคนมีเหตุมีผล  ผมก็เลยสืบหาข้อมูลว่า  เขาถือหุ้นตัวไหนอยู่บ้าง  จะเรียกว่าลอกข้อสอบก็ได้  ผมก็เลยเข้าไปในกูเกิ้ล  และหาข้อมูลการถือหุ้นของ  ดร.เขา  พอร์ตของ  ดร.ปรากฏออกมา  มีรายชื่อหุ้นต่างๆมากมาย  มีทั้งที่ผมรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง  แต่หนึ่งในนั้นที่  ดร.ถืออยู่ก็คือ  7-11   ดร.มีอยู่ทั้งหมด  22  ล้านหุ้นโดยซื้อเป็นชื่อเมีย  ผมก็มาคิดดูว่า  ทำไมเขาถึงกล้าถือหุ้นตัวนี้มากมายขนาดนี้  มันต้องมีดีอะไรสักอย่างแน่นอน  จากนั้นผมก็เริ่มสืบค้นข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับหุ้นตัวนี้  และจากการสืบค้นก็พบว่า  มันเป็นหุ้นที่ดีมากตัวหนึ่งเลยทีเดียว  ไม่มีหนี้เลย  มีบริษัทแม่ที่แข็งแกร่ง  เงินปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี  และมีคู่แข่งในประเทศน้อยมาก  และเมื่อสืบค้นถึงผู้ถือหุ้นใหญ่ก็พบอีกว่า  บริษัทประกันยักษ์ใหญ่ (AIA)  ก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นอันดับสามด้วย

     ช่วงระหว่างที่ผมสืบข้อมูลของหุ้น  7-11  อยู่นั้น  ผมก็ไปได้หนังสืออีกเล่มหนึ่งชื่อว่า  “ตามรอยบัฟเฟต”  หนังสือเล่มนี้ได้บอกเกี่ยวกับกลยุทธ์ของมหาเศรษฐีบัฟเฟตว่าทำอย่างไรถึงรวย  โดยย่อๆก็คือ  เขาดูที่กิจการ  ผู้บริหาร  ลักษณะธุรกิจ  ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทในระยะยาว  เป็นยี่ห้อที่คนรู้จักดี  เรามีความเข้าใจในการทำธุรกิจของเขา  ไม่กระจายความเสี่ยง  ไม่สนเรื่องเทคนิค  ไม่ซื้อขายบ่อย  เพราะจะถูกกินเงินต้นจากค่าคอม  ต้องศึกษาบริษัทให้ทะลุปรุโปร่งแล้วจึงลงทุนเป็นเงินก้อนใหญ่  และที่สำคัญคือ  ให้ซื้อตอนที่ราคามันไม่แพง  ถ้ามันแพงก็รอให้มันตกลงมาก่อน  เมื่อซื้อหุ้นแล้วก็ให้ถือยาว  ฯลฯ  เมื่อผมมาประมวลผลดูแล้วก็เห็นว่า  หุ้น  7-11  เข้าข่ายทุกประการ  ผมก็เลยมีความมั่นใจมากว่า  ผมเจอหุ้นที่เป็นเหตุเป็นผลและผมก็สามารถเข้าใจมันได้ว่ามันจะโตได้อย่างไรได้แล้ว  และผมก็ไม่รอช้าที่จะซื้อหุ้นทันที  และผมก็ซื้อหุ้นเพียงตัวเดียวด้วย  ซึ่งทุกวันนี้  ผมก็ยังมีหุ้นอยู่แค่ตัวเดียวเท่านั้น  สาเหตุที่ผมซื้อหุ้นนั้นทันทีที่เจอโดยไม่รอให้ราคาตกลงมาก่อนก็เนื่องจาก  ผมเห็นว่าอนาคตมันยังไปได้อีกไกลจากตรงนี้  ผมก็เลยซื้อที่ราคานั้นเลย  (29  บาท)  โดยมีความเชื่อส่วนตัวว่า  หุ้นตัวนี้ราคาจะมีแต่ขึ้น  เนื่องจากว่ามันยังไม่หยุดโต  และเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ผมซื้อทันทีก็เนื่องจาก  ภาวะตลาดหุ้นขณะนั้นได้ฟื้นตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุดแล้ว  ถ้าผมอยากจะได้หุ้นราคาถูกก็คงต้องรอให้เกิดวิกฤตอีกรอบ  ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดเมื่อไหร่  และมันจะเกิดขึ้นไหม  และถ้ามันไม่เกิดวิกฤตขึ้นอีกล่ะ  ผมก็คงไม่มีโอกาสจะได้ซื้อหุ้นที่ผมคิดว่าใช่แน่นอน  หรือถ้าผมอยากจะซื้อจริงๆ  ผมก็คงจะต้องซื้อที่ราคาแพงๆ  และมันก็จะกลายเป็นการลงทุนที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร  เพราะฉะนั้นแล้วผมก็เลยคิดว่า  ทำไมไม่จีบเธอก่อนที่คนอื่นจะจีบเธอล่ะ  ในเมื่อคุณก็รู้ว่าเธอเป็นคนดี  ถ้าคุณมัวแต่รีรอด้วยความไม่แน่ใจ  คนอื่นอาจจะเข้ามาจีบเธอเป็นคู่แข่ง  เมื่อถึงเวลานั้นคุณก็จะเหนื่อย  และเสียดายโอกาสมากว่า  ทำไมไม่จีบเธอตั้งแต่ยังไม่มีคู่แข่งซะก็ดี  ทั้งๆที่เราก็เจอก่อนคนอื่นเขาแท้ๆ

     และหนังสือเล่มต่อมา  ผมก็ได้  “เหนือกว่าวอลสตรีท”  ของปีเตอร์  ลินซ์มาอ่านเพิ่มเติมความรู้  หลังจากที่ผมอ่านจบแล้ว  ผมก็ลงคะแนนเลยว่า  หนังสือเหนือกว่าวอลสตรีท  เป็นหนังสือที่น่าอ่านมากที่สุดสำหรับนักลงทุนหุ้น  เพราะเนื้อหาในนั้นครอบคลุมหมดทุกมิติของการลงทุน  และเป็นหนังสือที่ไม่ใช้ศัพท์แสงในการลงทุนมากจนเกินไป  มีการยกตัวอย่างประกอบชัดเจนโดยของจริง  และมีประสบการณ์ตรงในการเป็นผู้บริหารกองทุนรวมของเขามาบอกเล่าในมุมที่ทุกคนควรรู้  แต่ในขณะนี้  ผมก็ยังไม่ได้ใช้ความรู้ที่ได้อ่านจากหนังสือของลินซ์มากเท่าที่ควร  เนื่องจากว่า  ผมยังไม่พบการลงทุนในแบบที่เขาบอกมาทั้งหมด  ส่วนการลงทุนที่ผมทุ่มลงไปจนสุดตัวนี้  มันก็เป็นการลงทุนที่ดีอยู่แล้ว  จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปทำอะไรกับมัน

     และหนังสือเล่มล่าสุดที่ผมได้มาก็คือ  “หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ”  หนังสือเล่มนี้เขาวิจารณ์กันว่า  เป็นหนังสือที่ดีที่สุดหนึ่งในสองเล่มของโลกในเรื่องของการลงทุน  แต่เท่าที่ผมอ่านดู  ผมรู้สึกว่ามันวิชาการเกินไป  สำนวนเข้าใจยาก  อ่านแล้วเครียด  จนทำให้ดูเหมือนกับว่าการลงทุนนั้นไม่น่าสนุก  โดยส่วนตัวแล้วผมชอบเหนือกว่าวอลสตรีทมากกว่า  แต่หนังสือหุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญนี้  เนื้อหาแน่นมาก  ผู้เขียนได้รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นสำหรับหุ้นเติบโตเพียงอย่างเดียวมารวมไว้ได้ทุกองค์ประกอบ  ผมก็นึกไม่ถึงว่าหุ้นเติบโตเพียงอย่างเดียวจะมีรายละเอียดได้ถึงเพียงนี้

     สรุปสุดท้ายนี้  มันไม่จำเป็นว่าคุณต้องลงทุนในหุ้นตัวเดียวกับผม  หรือคุณต้องใช้วิธีการหาหุ้นในแบบเดียวกับผม  เพราะลักษณะนิสัยคนแต่ละคนและความชอบไม่ชอบนั้นไม่เหมือนกัน  ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหน  คุณก็สามารถประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ทั้งนั้น  ดังเช่นที่นักลงทุนระดับโลกทั้งสามคนคือ  วอร์เร็น  บัฟเฟต  ,  ปีเตอร์  ลินซ์  ,  และจอร์จ  โซรอส  ต่างก็ประสบความสำเร็จในการลงทุนด้วยวิธีที่ไม่เหมือนกัน  แมวจะสีอะไรก็ช่าง  ขอให้จับหนูได้ก็พอ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: :i3abyzeed:: ที่ วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2012, 16:38:57
ไล่อ่านทุกบรรทัดจนจบ ขอบคุณที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์จากชีวิตจริง

เป็นประสบการณ์ที่ดี ( รู้ไว้จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปเจ็บตัวเอง ) มีประโยชน์มากจริงๆครับ :) :)

    ช่วงระหว่างที่ผมสืบข้อมูลของหุ้น  7-11  อยู่นั้น  ผมก็ไปได้หนังสืออีกเล่มหนึ่งชื่อว่า  “ตามรอยบัฟเฟต”  หนังสือเล่มนี้ได้บอกเกี่ยวกับกลยุทธ์ของมหาเศรษฐีบัฟเฟตว่าทำอย่างไรถึงรวย  โดยย่อๆก็คือ  เขาดูที่กิจการ  ผู้บริหาร  ลักษณะธุรกิจ  ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทในระยะยาว  เป็นยี่ห้อที่คนรู้จักดี  เรามีความเข้าใจในการทำธุรกิจของเขา  ไม่กระจายความเสี่ยง  ไม่สนเรื่องเทคนิค  ไม่ซื้อขายบ่อย  เพราะจะถูกกินเงินต้นจากค่าคอม  ต้องศึกษาบริษัทให้ทะลุปรุโปร่งแล้วจึงลงทุนเป็นเงินก้อนใหญ่  และที่สำคัญคือ  ให้ซื้อตอนที่ราคามันไม่แพง  ถ้ามันแพงก็รอให้มันตกลงมาก่อน  เมื่อซื้อหุ้นแล้วก็ให้ถือยาว  ฯลฯ

ชอบส่วนนี้ ถึงจะไม่เคยอ่านแต่ก็ตรงกับคอนเซปการลงทุนส่วนตัวพอดีครับ :) Like!!!!;) :) ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2012, 01:51:52
แม่ผมเป็นนักลงทุนที่ยอดเยี่ยม
     จริงๆแล้วเนื้อเรื่องนี้ควรเอาไปลงไว้ในห้องกระทู้  “กับดักชีวิต”  แต่ผมมาคิดว่า  เรื่องที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้  มันเป็นเรื่องราวชีวิตของแม่ผมมากไปหน่อย  ผมก็เลยคิดว่า  เอามาลงไว้ที่กระทู้ของผมจะดีกว่า  เพราะมันจะได้ไม่ไปเกะกะข้อมูลความรู้ของท่านอื่นเขา  ชีวิตแม่ผมก็มีอยู่ว่า

     แม่ผมมีลูกอยู่  3  คน  เป็นชาย  1  คนและหญิง  2  คน  ซึ่งก็คือมีผมเป็นคนโต  และมีน้องสาวอีก  2  คน  ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะว่าทำไมแม่ต้องมีลูกเยอะแยะ  ทั้งๆที่แม่ก็ไม่ค่อยจะมีเงินเลี้ยงสักเท่าไหร่  พอผมกำลังจะ จบ ม.3  แม่กับพ่อผมเลิกกัน  สาเหตุก็เนื่องจากว่า  พ่อผมแอบไปมีเมียน้อย  แม่ผมก็ถามพ่อว่าจะเลือกใคร  พ่อผมตอบว่าเลือกคนใหม่  แม่ก็เลยบอกว่า  งั้นขอให้ดาวน์บ้านให้หน่อย  แล้วจะไปผ่อนเอาเอง  พ่อผมก็เลยมาดาวน์บ้านที่เชียงรายให้  หลังจากที่พ่อมาดาวน์บ้านให้  แม่ก็หอบลูกๆมาอยู่ที่เชียงรายด้วย  เหลือผมอยู่กรุงเทพแค่คนเดียวเพราะต้องทำงานช่วยแม่หาเงิน(จบ  ม.3  ก็ทำงานเลย)  พอแม่เลิกกับพ่อ  ชีวิตแม่ก็ยิ่งลำบากใหญ่เลย  ตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจอีกว่า  ทำไมแม่ต้องเอาลูกๆทั้งสามคนไว้กับตัวเองทั้งหมด  ทำไมไม่แบ่งให้พ่อไปบ้าง  ในเมื่อตอนนั้นแม่ก็ลำบากมาก  แต่ช่วงนั้นยังดีที่มีผมช่วยทำงานหาเงินอีกแรงหนึ่ง  หลังจากที่ผมอยู่กรุงเทพได้สักพัก  ผมก็อยากเรียนต่อ  แม่ผมก็บอกว่าให้มาเรียนที่เชียงรายเพราะค่าเทอมมันถูกดี  ผมก็เลยขึ้นมาเรียนที่เชียงราย  พอผมขึ้นมาที่เชียงรายแล้ว  นั่นก็เท่ากับว่า  จะขาดคนหาเงินไปอีกคนหนึ่ง  ช่วงนั้นพอผมมาเชียงราย  แม่ผมก็ไปช่วยป้าขายน้ำที่โคราชทันที  โดยแม่ฝากให้ผมดูแลน้องๆให้ด้วย  แล้วแม่จะส่งเงินมาให้  ผมก็เรียนไปด้วยดูแลน้องไปด้วยจนผมจบ  เมื่อเรียนจบแล้วผมก็บอกแม่ว่าจะไปทำงานที่กรุงเทพ  แม่ผมก็บอกว่าไม่ต้องลงไป  ให้หางานทำที่เชียงรายพร้อมกับดูแลน้องๆไปด้วย  ผมก็เลยติดแหง็กอยู่ที่เชียงรายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  และถึงแม้ว่าน้องๆของผมจะเรียนจบไปกันหมดทุกคนแล้ว  แต่ผมก็ยังไม่ได้ไปไหน  เพราะแม่ให้เหตุผลว่า  ไม่มีใครดูแลบ้าน  และทุกวันนี้  น้องผมทั้งสองคนก็ไปอยู่กับแม่ที่โคราชกันหมดแล้ว  พอลูกๆเรียนจบทุกคนแล้ว  แม่ก็ไม่มีภาระที่จะต้องส่งเสียเลี้ยงดูอีก  เงินที่หามาได้เท่าไหร่ก็เลยเอาไปผ่อนบ้านจนบ้านหมดในที่สุด

     พอน้องผมไปช่วยแม่ขายน้ำที่โคราชแล้ว  แม่ก็บอกว่าอยากมีรถปิคอัพสักคัน  เพราะใฝ่ฝันมานานแล้วว่าอยากมี  แต่ผมก็ยังไม่เห็นด้วยกับแม่เพราะว่า  ตลาดที่แม่ขายน้ำกับที่พักของแม่  มันก็อยู่ใกล้ๆกัน  ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้รถเลย  ผมก็บอกแม่ว่า  ถ้าออกรถมาผมไม่ช่วยผ่อนนะ  เพราะตอนนี้ผมก็มีภาระต้องผ่อนบ้านของตัวเองอยู่  แต่ในที่สุด  แม่ก็ออกรถมาจนได้  โดยให้เหตุผลว่า  ตอนนี้ยังหาเงินได้ก็รีบเอาไว้ก่อน  ตอนแกแก่ทำงานไม่ไหวแล้วก็จะกลับมาอยู่ที่เชียงราย  จะได้มีรถไว้ขับไปหาหมอ  ผมก็เข้าใจแม่นะ  เพียงแต่ว่าหนี้ค่าผ่อนรถมันหนักมากเหลือเกิน  เดือนละเกือบหมื่นเลยทีเดียว  ผมไม่อยากให้แม่ต้องโหมทำงานเพื่อหาเงินมาจ่ายหนี้  แต่แม่ก็บอกไม่เป็นไร  มันเป็นความสุขของแก

     และเมื่อวันที่  28  มกราที่ผ่านมาตอน  6  โมงเย็น  น้องผมร้องไห้โทรมาบอกว่า  แม่เป็นอะไรไม่รู้  กำลังขายน้ำอยู่ดีๆ  จู่ๆแม่ก็ทำน้ำที่กำลังจะยื่นให้ลูกค้าหลุดมือหล่น  แล้วแม่ก็ทรุดลงนั่งกับเก้าอี้  โดยที่ตัวแกเอียงไปทางขวา  ดีแต่ว่าทางขวามีถังน้ำแข็งใบใหญ่ค้ำแกเอาไว้  แกก็เลยไม่ล้มหัวฟาด  น้องผมรีบเขย่าตัวแล้วถามแม่ว่า  “แม่เป็นอะไร  แม่รู้เรื่องมั๊ย”  ตอนนั้นแม่ผมก็เริ่มปากเบี้ยวและพูดเหมือนคนเมาว่า  “ไม่รู้”  น้องผมเห็นท่าไม่ดีก็เลยรีบเอาแม่ขึ้นรถรถปิคอัพขับไปโรงพยาบาลทันที  พอไปถึงโรงพยาบาลแล้วหมอก็เอาเข้าเครื่องเอ็กซเรย์สมองทันที  แล้วผลก็ออกมาว่า  “แม่เป็นไขมันอุดตันในส้นเลือดสมองด้านซ้าย”  หมอบอกว่าดีแล้วที่รีบพามาภายใน  4  ชั่วโมง  เพราะยังมีโอกาสหายได้  100  %  อยู่  แต่เนื่องจากว่าไขมันที่อุดอยู่ในเส้นเลือดสมองของแม่ผมนั้นมันใหญ่มาก  หมอจะให้ยาทลายไขมันที่แรงๆก็กลัวว่ามันจะไปทำให้เส้นเลือดสมองเส้นอื่นๆมันแตก  มันจะหนักกว่านี้อีก  หมอก็เลยต้องให้แม่นอนพักหยอดน้ำเกลือเพื่อรอดูอาการ  และหมอก็พูดว่า  ต้องรอดูอาการ  3  วัน  ถ้าทรุดก็แสดงว่าไม่รอด  แต่ถ้ามันทรงๆแล้วไม่ทรุดลง  ก็มีโอกาสหาย  แต่ต้องทำกายภาพบำบัดหลายเดือนอยู่

     ตอนแรกผมก็คิดว่ายังไม่ต้องไปหาแม่ก็ได้มั๊ง  เพราะตอนนี้น้องผมก็เฝ้าดูอาการอยู่  ผมก็เลยออกมาขายของในวันที่  29  มกราอีก  1  วัน  เพราะช่วงนั้นมีงานพ่อขุน  ซึ่งจะทำให้ขายดีกว่าปกติ  แต่ในวันที่  29  น้องผมก็โทรมาบอกว่า  อาการแม่ยังไม่ดีขึ้นเลย  แต่ก็ไม่ทรุดลง  อยากให้ผมไปดูแม่หน่อย  เพราะหมอบอกว่า  เนื่องจากก้อนไขมันได้ไปปิดทางออกซิเจนที่จะไปเลี้ยงสมอง  ถ้าสมองขาดออกซิเจนนานไป  เซลล์สมองก็จะตายไปเรื่อยๆ  บางทีอาจจะจำใครไม่ได้  ซึ่งตอนนี้ก็ไม่รู้ว่า  สมองแม่ขาดออกซิเจนนานขนาดไหนแล้ว  อยากให้รีบมาก่อนที่แม่จะจำใครไม่ได้  เมื่อผมได้ฟังดังนั้น  เย็นวันที่  30  ผมก็ตีตั๋วรถทัวร์ไปโคราชทันที  ถึงแม้ว่าช่วงนี้ผมจะขายของดีแค่ไหน  แต่ผมก็ไม่เอาแล้ว  เพราะแม่สำคัญที่สุด  ผมไปถึงโคราชเช้าวันที่  31  และเข้าไปหาแม่ทันที  พอผมไปถึง  แม่กำลังหลับอยู่  แต่น้องผมก็เขย่าตัวแม่และบอกว่าผมมาหา  แม่ผมตื่นขึ้นมาเห็นผมก็น้ำตาไหล  ถึงแกจะยังปากเบี้ยวอยู่แต่แกก็จำผมได้และพูดว่าอยากกลับบ้าน  ผมก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างเพราะรู้ว่า  ถ้าแกจำผมได้ก็แสดงว่าสมองแกยังดีอยู่  หมอก็เข้ามาบอกว่า  แม่ผมเป็นไขมันอุดตันในสมองด้านซ้าย  ซึ่งจะมีผลทำให้ร่างกายด้านขวาไม่สามารถขยับได้  คงต้องทำกายภาพบำบัดหลายเดือนอยู่กว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม  และหมอก็แนะนำว่า  ตอนนี้คนไข้นอนที่โรงพยาบาลมา  3  วันแล้ว  อาการก็ไม่ได้ทรุดลง  หมอไม่ค่อยอยากให้อยู่ในโรงพยาบาลนัก  เนื่องจากว่าร่างกายของคนไข้กำลังอ่อนแอ  อาจจะได้รับเชื้อโรคจากผู้ป่วยรายอื่นเข้าไป  มันจะหนักกว่าที่เป็นอยู่  ผมก็เลยตกลงว่า  พาแม่กลับบ้านในเย็นวันนั้นด้วยรถปิคอัพของแม่แกเอง

     ตอนที่แม่แกได้ขึ้นรถกลับบ้าน  ดูแกมีความสุขมาก  ถึงแม้ว่าแม่จะยังพูดไม่ค่อยได้  แต่สีหน้าและแววตาบ่งบอกได้ว่ามีความสุข  พอกลับมาถึงบ้าน  ผมกับน้องๆก็ช่วยกันพยุงแม่ไปที่เตียง  และปล่อยให้แกนอนหลับพักผ่อนให้มากๆ  เมื่อแม่นอนหลับไปแล้ว  ผมกับน้องๆก็มานั่งคุยกันว่า  หลังจากนี้จะเอาอย่างไรต่อไป  คุยกันไปคุยกันมา  ก็เลยสรุปว่า  คงต้องดูอาการแม่ไปก่อนว่าจะเป็นอย่างไร  ถ้าแม่ค่อยๆหายจนเป็นปกติแล้ว  และแม่ยังอยากขายน้ำอยู่  ผมก็กะว่า  จะเอาบ้านแม่ไปเข้าธนาคาร  และเอาเงินที่ได้ไปปิดค่ารถ  เพราะหนี้ค่าผ่อนบ้านมันถูกกว่าหนี้ค่ารถ  เนื่องจากว่ามันสามารถยืดระยะเวลาของหนี้ออกไปได้นานกว่า  ซึ่งนั่นก็จะทำให้แม่ไม่ต้องโหมขายของเพื่อหาเงินมาจ่ายหนี้มากนัก  แต่ถ้าแม่หายป่วยแล้ว  และไม่อยากขายของต่อ  ผมก็กะจะเอาบ้านเข้าธนาคารอยู่ดี  และลูกๆก็จะช่วยกันผ่อน  พร้อมกันนั้นลูกๆทั้งสามคนก็จะส่งเงินให้แม่ใช้ทุกเดือนด้วย  ตอนนี้ก็อยู่ที่ว่า  แม่จะเอาอย่างไรต่อไป

     โดยสรุปของเรื่องนี้ก็คือ  ตอนนี้ผมทราบแล้วว่าทำไมแม่ถึงมีลูกเยอะ  นั่นเป็นเพราะว่า  จะได้มีคนช่วยดูแลตอนที่แม่แกทำอะไรไม่ได้  เพราะเท่าที่ดูตอนนี้  ลูกๆของแม่ต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองและช่วยเหลือกันได้ดีมาก  ตัวผมเองก็กลับมาหาเงินไว้คอยรองรับว่า  ในอนาคตถ้าแม่ต้องใช้เงินในการรักษาตัวอีก  จะได้ไม่ขัดสนเรื่องเงินทอง  น้องคนรองก็ไปขายของแทนแม่ที่กำลังป่วย  น้องคนเล็กก็เฝ้าดูแลแม่อย่างใกล้ชิด  ช่วยทำกายภาพบำบัดและขับรถพาแม่ไปโรงพยาบาลตามที่หมอนัด  การมีลูกมากของแม่นั้น  ได้ทำลายความเชื่อโดยส่วนตัวของผมเองอย่างหมดสิ้นว่า  “การมีลูกเป็นภาระ”  ลองนึกถึงตอนที่แม่ผมออกอาการสิ  ถ้าแม่ไม่มีลูก  ใครจะเป็นคนพาแม่ไปส่งโรงพยาบาล  เมื่อถึงเวลานั้นจริง  ถึงแม้ว่าเราจะมีเงินล้นฟ้า  แต่ถ้าขณะเราไม่มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ  สุดท้ายเราก็ไม่รอด  และสิ่งที่ลูกทำไป  ก็ไม่ได้หวังผลตอบแทนอะไรเลยสักนิด  ทุกอย่างที่ลูกทำไป  ล้วนเป็นหน้าที่ของผู้เป็นลูกอยู่แล้ว  และตอนที่แม่ออกจากโรงพยาบาลมาแล้วอีก  คนที่จะมาช่วยแม่ทำกายภาพ  คนที่จะคอยหาอาหารให้แม่กิน  คนที่จะพาแม่ไปหาหมอ  จะหาใครอบอุ่นใจใกล้ชิดได้เท่ากับลูกตัวเอง  และถ้าแม่ไม่ต้องการทำงานแล้ว  เพียงแต่แม่กลับมาอยู่บ้านเฉยๆ  แม่ก็ยังจะได้รับกระแสเงินสดจากลูกๆที่ส่งให้แม่ใช้ทุกเดือนไปตลอด  เท่านั้นยังไม่พอ  แม่จะยังได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากลูกๆอีกด้วย  การลงทุนกับลูกๆของแม่นั้น  ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ  เมื่อผมเห็นแม่เป็นอย่างนี้แล้ว  ตอนนี้ผมชักอยากจะลงทุนกับลูกๆเสียแล้วสิ

     เมื่อมาดูที่รถของแม่  ซึ่งผมไม่เห็นด้วยในตอนแรกนั้น  ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า  แค่เรื่องที่รถคันนี้ช่วยพาแม่ผมไปส่งที่โรงพยาบาลในวันเกิดเหตุได้แค่เรื่องเดียว  ผมก็คิดว่า  รถคันนี้คุ้มค่าที่ได้ซื้อมันมาใช้จริงๆแล้ว  เพราะรถราคาคันละไม่กี่แสน  แต่สามารถช่วยชีวิตแม่ที่เป็นที่รักของลูกๆทั้งสามได้  ถ้าแม่ผมเป็นอะไรไป  เงินกี่ล้านก็ไม่สามารถทดแทนได้  เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่า  มันคุ้มจริงๆ  และนี่ก็ถือเป็นการลงทุนที่ยอดเยี่ยมมากของแม่ผมอีกเรื่องหนึ่ง

     สุดท้ายเรื่องบ้าน  อย่างไรเสียตอนนี้หนี้รถมันก็ยังไม่หมดไป  แต่ถ้าเราเอาบ้านไปเข้าธนาคาร  เรื่องผ่อนรถที่หนักๆ  ก็จะกลายเป็นเรื่องเบาๆได้ทันที  เรื่องนี้ดีกว่าหุ้นเสียอีก  ลองนึกดูสิว่า  ถ้าเรามีหุ้นแล้วเราต้องการเอาเงินไปปิดรถ  เราก็จะต้องขายหุ้นออกมาถูกต้องไหม?  และถ้าเราขายหุ้นออกมาเสร็จแล้ว  เรายังจะได้รับเงินปันผลจากหุ้นตัวนั้นอยู่ไหม?  หรือเรายังจะได้รับผลดีจากการที่หุ้นตัวนั้นราคาขึ้นอยู่ไหม?  ไม่ได้แน่นอนจริงไหม  แต่ถ้าเราเอาบ้านไปเข้าธนาคาร  เราได้เงินเอาไปจ่ายค่ารถแล้ว  แต่เราก็ยังมีสิทธิ์ที่จะอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไป  ตราบเท่าที่เรายังจ่ายค่าผ่อนบ้านอยู่  และถ้าบ้านและที่ดินราคาขึ้น  เราก็ยังได้ประโยชน์จากการเพิ่มมูลค่าของบ้านอีก  เพราะฉะนั้นแล้ว  นี่ก็ถือเป็นการลงทุนที่ยอดเยี่ยมอีกอย่างหนึ่งของแม่ผม

     เมื่อมาประมวลเรื่องราวทั้งหมดออกมา  สิ่งของทั้งสามชนิดคือ  ลูก  รถ  และบ้าน  ซึ่งมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยที่ควรจะมีมันเพื่อมาลิดรอนความมั่งคั่งในระยะยาว  ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า  สำหรับแม่ผมแล้ว  สิ่งของทั้งสามชนิดที่แม่มีนั้น  กลายเป็นทรัพย์สินที่มีค่าของแม่ผมทั้งหมด  ตอนนี้ผมก็ได้แต่หวังเป็นอย่างยิ่งว่า  ช่วงระยะเวลาที่เหลืออยู่ของชีวิตแม่  ผมอยากให้แม่มีความสุขกับทรัพย์สินที่แม่ได้อุตส่าห์ลงทุนสร้างมันขึ้นมาทั้งชีวิต  เพราะทุกสิ่งที่แม่ได้สร้างมันขึ้นมานั้น  เป็นการลงทุนที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้วสำหรับแม่ผม


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2012, 09:19:47
ขอให้ท่านหายป่วยไวๆครับ

ได้มีโอกาสเจอกันครั้งนึง

ก็เป็นบุญของผมแล้วครับ

ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะครับแม่ (http://ขอให้ท่านหายป่วยไวๆครับ

ได้มีโอกาสเจอกันครั้งนึง

ก็เป็นบุญของผมแล้วครับ

ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะครับแม่)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Cupid ที่ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2012, 09:30:46

บิดามารดาเป็นพรหมของบุตร

ขอให้คุณแม่ของท่านวายุหายป่วยไวๆ มีสุขภาพแข็งแรงดีดังเดิม นะครับ...


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2012, 09:16:47
  เป็นกำลังใจให้แม่ท่านวายุครับ...

ถึงแม่ผมจะไม่มีตังค์ให้ผมยืมไปเทรดหุ้นเป็นแสนๆ แต่ผมก็รักแม่ผมครับ...ท่านวายุ

ปล.ว่าแต่นอนโรงบาลที่ผมเป็นหุ้นส่วนอยู่รึเปล่าละนั่น...สู้ๆ ครับ  :D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: chate ที่ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2012, 17:03:44

บิดามารดาเป็นพรหมของบุตร

ขอให้คุณแม่ของท่านวายุหายป่วยไวๆ มีสุขภาพแข็งแรงดีดังเดิม นะครับ...

+1 ครับ ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: marcus147 ที่ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2012, 01:26:10
ขอให้คุณแม่หายไวๆนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2012, 15:37:05
     ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาให้กำลังใจนะครับ  ช่วงนี้อาจจะหายๆไปบ้าง  เพราะต้องขยันปั๊มเงิน  ถ้ามีเวลาและหาเรื่องมาลงได้  ก็จะเข้ามาอัพให้นะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: :i3abyzeed:: ที่ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2012, 16:01:32
ตัวอย่างที่ดี มีค่ามากกว่าคำสอนจริงๆ

เป็นประสบการณ์และมุมมองจากชีวิตจริงที่ดีมากๆ

ขอบคุณท่านวายุมากครับที่มาแชร์แบ่งปันให้กันรู้ ถึงอีกมุมมองหนึ่งของความหมายของทรัพย์สิน,หนี้สิน หนี้เลว หนี้ดี ...และที่สำคัญขอให้คุณแม่ของท่านวายุหายจากอาการเจ็บป่วยในเร็ววัน..อาการดีวันดีคืนครับ :)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: lucky girl ที่ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2012, 19:16:35
ดีนะคะจะได้เข้าห้องนี้บ่อยๆ ปกติเข้าเวปบอร์สินธร พันทิพค่ะ

ช่วงนี้ลงทุนในหุ้นกู้ไทยพาณิช์ค่ะ

รอเก็บของถูกค่ะ  PTTGC / CPALL



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: marcus147 ที่ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2012, 22:26:42
วันนี้มีประชุม
ปันผลเป็นหุ้น 1:1 ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2012, 15:11:46
วันนี้มีประชุม
ปันผลเป็นหุ้น 1:1 ครับ

  ซื้อง่าย ขายคล่องอีกแล้วล่ะซิ... :D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: chater_fender ที่ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2012, 16:00:30
ผมอยากเล่นหุ้น แต่ผมยังไม่รู้วิธีเล่นและไม่มีข้อมูลอะไรเลยครับ ไม่ทราบว่าในเชียงรายพอจะมีที่ไหนสอนเล่นหุ้นบ้างครับหรือผมควรจะเริ่มต้นที่ไหนยังไงดีครับ (รบกวนขอข้อมูลด้วยครับ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2012, 15:22:08
นานๆเข้ามาทีครับ  ช่วงนี้ไม่ค่อยสบาย  เดี๋ยวตอบรวมๆก็แล้วกันนะครับ

     เรื่องปันผลเป็นหุ้นนั้น  โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบเท่าไหร่  ก็อย่างที่ได้เคยอธิบายไปในตอนเปรียบเทียบเรื่องพ่อมีลูกเยอะนั่นแหละครับ  ตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าเจ้าสัวเขาทำไปทำไม  แต่การลงทุนในหุ้นก็คือ  การที่เราเอาเงินของเราไปร่วมลงทุนกับคนอื่นเขา  ซึ่งธุรกิจนั้นเราอาจจะไม่มีความรู้หรือความสามารถเทียบเท่ากับเขา  เราก็เลยไปลงทุนกับเขา  เพราะฉะนั้นแล้วเหตุการณ์นี้  ผมเชื่อใจเจ้าสัวครับว่า  จะไม่ทำให้ผมและผู้ถือหุ้นท่านอื่น  รวมทั้งตัวของเจ้าสัวเองเดือดร้อน  และหน้าที่ของนักลงทุนอย่างผมก็คือ  การให้คนอื่นสร้างความมั่งคั่งให้กับผม  ถ้าผมไม่ชอบใจในวิธีการของเขา  ผมก็ไม่ควรไปร่วมลงทุนกับเขาครับ

     และสำหรับคุณ  chater_fender ที่ส่งข้อความมาหาผม  ผมอ่านแล้วนะครับ  ถ้าอยากรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับหุ้นก็ถามมาในห้องนี้ได้ครับ  บางทีผมอาจจะเข้ามาตอบ  หรือบางทีท่านอื่นที่มีความรู้จะเข้ามาตอบให้  ยินดีด้วยนะครับที่สนใจเรื่องการลงทุน  เพราะผมเคยเห็นหลายคนที่ได้พูดว่า  เพียงแต่ถ้าผมได้ทำมันก่อนหน้านี้เท่านั้น  ทุกวันนี้ผมก็จะมีชีวิตที่ดีกว่านี้  ที่เขาพูดก็เพราะ  เขาเสียดายที่ไม่ได้ทำมันครับ  และมันก็ย้อนเวลากลับไปทำอะไรไม่ได้อีกแล้วด้วย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: montonsiri ที่ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2012, 21:45:59
ขอรบกวนท่านวายุหรือผู้รู้ท่านอื่นช่วยดูตัว jmartและitให้หน่อยว่าถือต่อหรือขายทิ้งดี ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2012, 23:58:37
     วันนี้พอจะว่าง  เข้ามาตอบคำถามก็แล้วกันนะครับ

สำหรับคุณ  Oconner

;D ช่วงนี้พี่หรั่งจัดหนักตลอด ใครมีวิธีสู้บอกที



การลงทุนมิใช่การสู้รบกับคนอื่นครับ  เราควรต่อสู้กับความโลภและความไม่รู้ของตัวเราเองจะดีกว่า  คุณว่าช่วงนี้ฝรั่งซื้อใช่ไหม  แล้วคุณว่าฝรั่งจะไล่ซื้อหุ้นจนมันแพงไปหรือไม่?  คำตอบของผมก็คือไม่  หุ้นทุกตัวควรมีราคาที่เป็นธรรมสำหรับตัวมัน  เพราะถ้าราคาที่กำลังซื้อขายกันอยู่นั้นมันไม่ยุติธรรม  การซื้อขายจะไม่เกิดขึ้น  ตอนนี้สิ่งที่คุณควรทำก็คือ  ประเมินราคาหุ้นที่คุณสนใจเอาเองว่า  ราคาเท่าไหร่ที่คุณเรียกว่าแพง  และถ้ามันเกินไปกว่านั้น  คุณก็ตัดสินใจเอาเองเถอะนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2012, 00:11:37
สำหรับคุณ  lucky girl

ดีนะคะจะได้เข้าห้องนี้บ่อยๆ ปกติเข้าเวปบอร์สินธร พันทิพค่ะ

ช่วงนี้ลงทุนในหุ้นกู้ไทยพาณิช์ค่ะ

รอเก็บของถูกค่ะ  PTTGC / CPALL



ที่คุณว่ารอเก็บของถูกนั้นคือเมื่อไหร่  คุณคิดว่าเวลานั้นจะเกิดขึ้นจริงไหม?  อันนี้ไม่มีใครรู้หรอกนะครับ  ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน  ถ้าสมมุติว่าหุ้น  7-11  มันขึ้นไปถึงร้อยแล้วมันตกลงมาเหลือแปดสิบ  ถึงเวลานั้นคุณจะว่ามันถูกหรือเปล่า?  อันนี้ก็บอกไม่ได้อยู่ดี  แต่เท่าที่ผมอ่านเสาหลักของการลงทุนในหุ้นทั้งสองปรมาจารย์มา  ผมเห็นว่าเกรแฮมจะซื้อหุ้นตัวที่มันราคาถูก  โดยไม่สนใจพื้นฐานของมัน  และเขาจะขายเมื่อราคามันได้ปรับขึ้น  นั่นคือการลงทุนในแบบที่เรียกว่า  VI  ส่วนการลงทุนในแบบของฟิลลิปนั้น  เขาสนใจแต่หุ้นคุณภาพสูง  และยังสามารถโตไปได้อีก  ถ้าเขาเห็นว่าหุ้นนั้นยังจะโตไปได้อีก  เขาก็มักจะไม่สนใจว่ามันราคาถูกหรือไม่  เพราะเขาเคยเล่าให้ฟังว่า  เคยมีลูกค้าของเขาอยากได้หุ้นตัวหนึ่งมาก  และลูกค้าได้สั่งให้เขาตั้งราคารับไว้  แต่จนแล้วจนรอดหุ้นนั้นก็ไม่ยอมตกลงมาสักที  ที่ว่ายังไม่ตกลงมาก็คือ  เพียงแค่เขาขยับราคาให้แพงขึ้นไปอีกสองช่อง  ลูกค้าเขาก็จะได้หุ้นนั้นแล้ว  แต่ด้วยความอยากประหยัดเงินเพียงแค่สองช่อง  มันจึงทำให้ลูกค้าของเขาไม่ได้หุ้น  และเมื่อการตกของหุ้นสิ้นสุดลง  ราคาหุ้นก็พุ่งขึ้นไปอีกมากมาย  นั่นทำให้ลูกค้าของเขาชวดกำไรที่ควรจะได้เป็นเงินจำนวนมาก  แล้วตอนนี้คุณคิดออกหรือยังว่า  คุณควรซื้อหุ้นตัวที่คุณเล็งไว้หรือไม่?


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2012, 00:17:59
สำหรับคุณ  montonsiri
ขอรบกวนท่านวายุหรือผู้รู้ท่านอื่นช่วยดูตัว jmartและitให้หน่อยว่าถือต่อหรือขายทิ้งดี ขอบคุณครับ
คำถามที่คุณถามมานั้น  ผมอยากจะถามคุณกลับหน่อยนะครับว่า  ก่อนคุณซื้อ  คุณได้ศึกษาหุ้นพวกนั้นดีหรือยัง  เพราะคำถามทำนองนี้ที่ว่าซื้อดีไหมขายดีไหม  ผมตอบไม่ได้หรอกครับ  เพราะการซื้อขายให้ได้เงิน  มันเกี่ยวกับตลาด  มันไม่ได้เกี่ยวกับตัวหุ้น  ถ้าคุณอยากจะปรึกษาผมจริงๆแล้วล่ะก็  ผมขอถามคุณดังนี้

-หุ้นพวกนั้นมีสินค้าอะไรบ้าง
-มีคู่แข่งคือใคร
-ปันผลเป็นอย่างไร
-กำไรของบริษัทเป็นอย่างไร

เอาแค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2012, 15:21:45
แจกหุ้น   
     ช่วงนี้ได้มีการพูดถึงเรื่องการแจกหุ้นของ  7-11  พอสมควร  ผมก็เลยอยากแสดงความคิดเห็นของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างนะครับ

     การแจกหุ้นนี้ก็คือหนึ่งในวิธีการเพิ่มทุนและเพิ่มสภาพคล่องของบริษัท  โดยปกติแล้วเรามักจะรู้จักและคุ้นเคยกับการเพิ่มทุนของบริษัทด้วยการที่เราต้องเอาเงินของเราเองไปซื้อหุ้นของบริษัทที่จะเพิ่มขึ้นมา  แต่การแจกหุ้นนี้แตกต่างออกไป  ถ้าบริษัทไหนก็ตามที่เพิ่มทุนด้วยการขายหุ้นที่ออกมาใหม่ให้กับคนอื่น  ผมว่าบริษัทนั้น  “ใช้ไม่ได้”  ครับ  นี่เป็นสัญญาณอันตรายว่า  บริษัทนั้นกำลังขาดเงิน  หรือบริหารงานผิดพลาด  หรือไม่มีความสามารถในการทำธุรกิจ  จนทำให้บริษัทขาดทุน  ซึ่งการที่จะทำให้บริษัทไม่ล้มนั้นก็มีวิธีอื่นอีกเช่น  ไปกู้เงินมาทำธุรกิจ  แต่ตัวผู้บริหารเองไม่อยากเสี่ยงหรือเสียเครดิต  ก็เลยผลักภาระความเสี่ยงนั้นมาให้ผู้อื่นแทน  โดยการออกหุ้นใหม่และนำมาขายเพื่อเอาเงินไปทำธุรกิจต่อ  ซึ่งถ้าบริษัทไหนทำอย่างนี้  ในความเห็นของผมแล้ว  บริษัทนั้นไม่เหมาะที่จะลงทุนอีกต่อไป  เนื่องจากสัญญาณอันตรายแรกมาแล้ว  นั่นก็คือบริษัทต้องการเงินทุนก้อนใหม่  และถ้าเรายอมซื้อหุ้นที่ออกมาใหม่นั้นโดยการใส่เงินเพิ่มเข้าไปอีกในขณะที่บริษัทกำลังแย่  อย่างนี้เราก็จะแย่ตามไปด้วย  และถ้าสมมุติว่าบริษัทสามารถกลับมาที่จุดเดิมได้  แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมก็คือ  หุ้นมันมีจำนวนมากขึ้น  เพราะฉะนั้น  ราคาหุ้นมันก็จะไม่เท่าเดิม  เนื่องจากมันมีตัวหารเพิ่มมากขึ้น  นั่นเป็นเพราะว่า  เวลาที่บริษัทมีรายได้เข้ามาเท่าเดิม  แต่ต้องเอารายได้เหล่านั้นไปแตกส่วนให้กับทุกหุ้นนั่นเอง

     ในด้านของการแจกหุ้น  เป็นอะไรที่แตกต่างออกไป  ส่วนมากบริษัทที่แจกหุ้น  มักจะเป็นบริษัทที่ไม่มีปัญหาทางด้านการเงิน  ดูได้จากเขาเพิ่มหุ้นโดยที่ไม่ได้เรียกร้องเงินจากคนอื่น  แต่การเพิ่มหุ้นในลักษณะนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียคือ

ข้อดี  การที่บริษัททำการเพิ่มหุ้น  นั่นก็แสดงว่า  บริษัทมีความมั่นใจว่า  จะยังสามารถรักษาอัตราการเจริญเติบโตให้คงอยู่อย่างต่อเนื่องได้ต่อไปอีก  ซึ่งถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง  หุ้นที่เขาได้แจกมาให้นั้น  มันก็จะมีค่ามากกว่าที่จะได้รับปันผลที่ออกมาเป็นตัวเงินจริงๆเสียอีก  เนื่องจากว่า  ในวงการหุ้นนั้นมีค่า  PE  อยู่  ซึ่งค่า  PE  พวกนี้นี่แหละจะเป็นตัวที่เอามาคูณกับกำไรที่บริษัทจะทำได้  สมมุติว่าบริษัทสามารถทำกำไรได้  1  บาทต่อหุ้น  ค่า  PE  พวกนี้ก็จะทำให้กำไร  1  บาทที่บริษัทหามาได้ทวีคูณขึ้นไปในทุกตัวหุ้น  ซึ่งตรงนี้เป็นผลตอบแทนที่มากกว่าการที่เราจะได้รับเป็นตัวเงินจริงๆ  และยิ่งเวลาผ่านไปนานขึ้น  กำไรสะสมที่บริษัททำได้มีมากขึ้น  ราคาหุ้นทั้งที่มีอยู่เดิมและที่ได้รับแจกมาใหม่ก็จะทวีคูณขึ้นไปตาม  นี่จึงเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้นอีกอย่างหนึ่งนอกเหนือจากเงินปันผล  ซึ่งเราก็คงต้องตามดูกันต่อไป  และการที่เราได้รับหุ้นมานั้น  ถ้าในอนาคตราคาหุ้นมันเพิ่มขึ้น  เราก็ไม่ต้องเสียภาษีในส่วนนั้นด้วย  ผิดกับการที่เราได้รับปันผลเป็นตัวเงิน  เพราะทุกครั้งที่มีการจ่ายเงินปันผลเป็นเงินออกมา  รัฐบาลก็จะหักเงินของเราไปทุกครั้งเช่นกัน

ข้อเสีย  การมีหุ้นใหม่เพิ่มขึ้นมา  จะทำให้มีตัวหารเพิ่มขึ้น  ยิ่งแจกหุ้น  1:1  ด้วยแล้ว  ราคาหุ้นน่าจะลดลงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว  แต่ทฤษฏีนี้ก็จะไม่มีผลต่อผู้ถือหุ้นในปัจจุบันเลย  เนื่องจากว่าสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ของการถือหุ้นยังคงเดิมอยู่  แต่มันจะไปมีผลในอนาคต  ถ้าบริษัทไม่ได้เติบโตอย่างที่คิดไว้  ราคาหุ้นก็จะขยับได้อืดมากหรือลดลง  เนื่องจากตัวหารเยอะนั่นเอง

     มีคนสงสัยและมาถามผมพอสมควรเหมือนกันว่า  แจกหุ้นแล้วมันดีอย่างไร  หลังจากนี้แล้วมันจะเป็นอย่างไร  คิดว่ามันดีหรือไม่  ผมก็เลยเอามาตอบรวมในที่เดียวเลยว่า  ผมไม่รู้หรอกว่าอนาคตมันจะเป็นยังไง  การที่ผมลงทุนในหุ้นตัวนี้ก็เพราะว่ามันเติบโตอย่างโดดเด่น  ไม่ใช่เพราะว่ามันมีราคาถูก  ผมชื่นชอบในการบริหารของฝ่ายจัดการ  และผมก็ยังเชื่อใจในตัวเจ้าของหุ้นเองด้วยว่าจะไม่ทำให้ตัวเขาเองและผู้ถือหุ้นอย่างผมเสียหาย

     และถ้าถามผมว่า  ระหว่างปันผลเป็นเงินกับปันผลเป็นหุ้น  ผมชอบแบบไหนมากกว่ากัน?  มันก็มีดีมีเสียไปคนละอย่าง  ถ้าปันผลเป็นเงิน  ผมก็ว่าดี  เพราะเราสามารถนำเงินพวกนี้ไปทำอะไรก็ได้ตามใจเราได้ทันทีโดยไม่ต้องรอว่าเมื่อไหร่หุ้นมันจะขึ้น  หรือถ้าเราไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปทำอะไร  เราจะเอาไปซื้อหุ้นเพิ่มเข้ามาอีกเป็นการลงทุนแบบทบทวีคูณก็ได้  แต่ถ้าปันผลเป็นหุ้นอย่างเดียวโดยไม่มีเงินปันผลเลย  ผมก็ยอมรับได้นะ  ถ้าผู้บริหารสามารถทำประโยชน์ให้แก่ผู้ถือหุ้นได้มากกว่าการจ่ายแต่เงินปันผล  ผมจะยอมเสี่ยงที่จะไม่ยอมรับปันผลเป็นเงินเลยก็ได้ถ้าฝ่ายบริหารจะเก็บเงินสดไว้เพื่อฉกฉวยโอกาสทางธุรกิจในทุกโครงการที่ฝ่ายบริหารค้นพบ  แต่ตอนนี้ที่หุ้น  7-11  ทำนี่สิ  มันได้ทั้งสองอย่างเลย  แล้วคุณคิดว่ามันเป็นการลงทุนที่ดีไหมล่ะ?


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: marcus147 ที่ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2012, 22:28:21
ผมจัดเพิ่มไปตั้งแต่วันที่ประกาศปันผลเป้นหุ้นแล้วหละครับ  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: montonsiri ที่ วันที่ 01 มีนาคม 2012, 20:05:49
ขอบคุณท่านวายุที่ให้คำแนะนำ พวกงบการเงินผมอ่านก่อนเข้าซื้อแล้วครับ ขอโทษที่รบกวนคุณนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 02 มีนาคม 2012, 15:34:55
ขอบคุณท่านวายุที่ให้คำแนะนำ พวกงบการเงินผมอ่านก่อนเข้าซื้อแล้วครับ ขอโทษที่รบกวนคุณนะครับ

ไม่ได้รบกวนหรอกนะครับ  แต่ผมอยากให้ท่านเป็นนักลงทุนที่รอบรู้ต่างหาก  บางคนอาจจะเป็นนักลงทุนอัจฉริยะ  บางคนอาจจะเป็นนักลงทุนเทวดา  แต่สิ่งที่ดีที่สุดผมว่าน่าจะเป็นนักลงทุนผู้รอบรู้  ความหมายก็คือ  คุณไม่จำเป็นต้องรู้ถึงรูปแบบธุรกิจเกี่ยวกับหุ้นทุกตัว  ขอเพียงคุณรู้ความตื้นลึกหนาบางของหุ้นตัวที่คุณสนใจก็เพียงพอแล้ว  ซึ่งนั่นจะทำให้คุณทำเงินได้ดีกว่า  อย่างผมทุกวันนี้  ผมก็ไม่รู้หรอกว่าโทรศัพท์ยี่ห้ออะไรที่เขานิยมใช้กัน  หรือว่าราคายางและน้ำมันทุกวันนี้เป็นอย่างไร  ขอให้คุณสร้างขอบเขตความรอบรู้ของคุณขึ้นมา  และคุณก็พยายามอยู่ในขอบเขตของความรอบรู้นั้น  สิ่งที่อันตรายที่สุดมันไม่ได้อยู่ที่ว่าความรอบรู้ของคุณนั้นมันมีน้อยขนาดไหน  แต่สิ่งที่อันตรายก็คือ  การไม่รู้ว่าขอบเขตที่คุณรู้นั้นมันอยู่ตรงไหน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ่jarun1914 ที่ วันที่ 06 มีนาคม 2012, 19:22:30
เงินสี่ด้าน คนสี่ประเภท ผมอ่านหลายรอบมากแต่ยังอยู่ในข้อลูกจ้างอยู่เลยครับ
พึ่งจะลงทุนไปครับ  แต่มีความเสี่ยงต่ำอยากลงทุนเกี่ยวกับธนาคารครับมีอะไรให้ลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำบ้างครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 15:46:15
ตอบคุณ  jarun1914
     ความเสี่ยงต่ำ  ผลตอบแทนต่ำ  เอาไหมครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 13 มีนาคม 2012, 15:48:43
นิยามของความถูก
     เมื่อพูดถึงเรื่องถูกหรือแพงแล้ว  “ราคา”  มักจะเป็นสิ่งแรกที่เรานึกถึง  และคนโดยส่วนมากก็มักจะมีความตื่นเต้นกับคำว่าถูกอย่างอัตโนมัติ  เพราะโดยความเชื่อแล้ว  ความถูกนั้นหมายถึง  เป็นโอกาสที่ดีของผู้ซื้อ  ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงมักจะต้านไม่อยู่  หากมีใครมาบอกว่า  ของสิ่งนั้นมันมีราคาถูก  แต่ก็ยังมีผู้บริโภคอยู่อีกจำนวนหนึ่ง  ที่มักจะมีความยับยั้งชั่งใจหรือมีเหตุผลเพียงพอที่จะตรวจสอบว่า  ราคาที่ว่าถูกนั้น  มันเหมาะสมกับคุณภาพหรือไม่  บางทีอาจเป็นไปได้ว่า  ของที่ว่าถูก  อาจจะเป็นสินค้าที่ใกล้หมดอายุแล้ว  หรือเป็นสินค้ามีตำหนิ  หรือเป็นสินค้าตกรุ่น  ฯลฯ  ซึ่งการกระทำแบบนี้ถือว่า  เป็นการกระทำที่ฉลาด  เพราะว่าเราไม่ได้ตกอยู่ภายใต้การชักนำด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว  แต่ก็มีผู้บริโภคอยู่อีกจำนวนหนึ่งที่ยอมรับกับราคาถูกและความด้อยของคุณภาพสินค้าได้  เนื่องจากว่า  เขาไม่ได้มีเงินเพียงพอที่จะไปซื้อของที่มีราคาแพงแต่คุณภาพดี  หรืออาจจะมีเงินแต่งก  อันนี้มันก็แล้วแต่เหตุผลส่วนตัวและสภาพเศรษฐกิจของใครของมันนะครับ

     เมื่อพูดถึงการลงทุน  ความถูกก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนค้นหา  ไม่ว่าจะซื้ออะไรก็ตาม  ไม่มีใครชอบของแพง  แต่นิยามของความถูกในการลงทุนนั้นกลับแตกต่างกันไปในแต่ละคน  บางทีอาจจะเป็นไปได้ว่า  ความรู้หรือสไตล์ส่วนตัว  เป็นเรื่องที่แยกนักลงทุนเหล่านั้นให้มองของสิ่งเดียวกันไม่เหมือนกัน  เดี๋ยวเราลองมาจำแนกกันดูดีกว่า

ถ้าเป็นอสังหา  คนส่วนมากก็มักจะมองคล้ายๆกันว่า  ถ้าตรงไหนเจริญ  ตรงนั้นก็มักจะราคาดีกว่า  แต่การมองเพียงมิติเดียวนั้น  บางทีอาจจะพลาดในบางเรื่องได้  เพราะถ้าเราไม่สืบดูให้ดีเสียก่อนว่า  ทำไมเขาจึงขาย  และแถวๆนั้น  มันมีอะไรที่เป็นสิ่งรบกวนหรือไม่เช่น  ขโมยเยอะ  น้ำไม่ค่อยไหล  หรือในอนาคตจะมีโครงการเกิดขึ้นแถวๆนั้นและจะกระทบกับคนที่อยู่แถวนั้น  ถ้ามันออกแนวอย่างนี้  ถึงเขาจะขายถูก  เราก็ไม่ควรซื้อ  สิ่งนี้ถือเป็นการเปรียบเทียบข้อมูลที่เราได้รับมา (คุณภาพของสินค้า)  กับราคาที่เราต้องจ่าย  แต่ก็จะมีคนประเภทที่ว่า  ยอมรับกับราคาถูกและความด้อยของคุณภาพสินค้าได้  อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

หุ้น  อันนี้สามารถจำแนกออกมาได้หลายอย่างเลยในเรื่องมุมมองของนักลงทุนต่อสิ่งที่เรียกว่าถูก

1.ถูกกว่าตลาด  คำนี้เป็นคำที่ใช้กันเยอะมากคำหนึ่งในการที่จะยกมาประกอบให้เป็นเหตุผลที่น่าเชื่อถือสำหรับการลงทุน  และคนที่ใช้คำนี้ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นนักวิเคราะห์เสียด้วย  ซึ่งคำพูดของนักวิเคราะห์พวกนี้มักจะมีน้ำหนักมากสำหรับคนที่ไม่รู้จริง  ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า  แค่คำนี้เพียงคำเดียว  มันจะสามารถปกป้องการสูญเสียหรือเราจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าคนที่ลงทุนในหุ้นตัวอื่นได้อย่างไร  ถ้าสมมุติเขาบอกว่า  ตลาดมีค่า  PE  15  เท่า  ในขณะที่หุ้นตัวนี้มี  PE  แค่  10  เท่า  เท่านั้น  เพราะฉะนั้น  หุ้นตัวนี้จึงมีราคาถูก!!!  นั่นเพียงพอแล้วหรือสำหรับการลงทุน  “ไม่”  ยังไม่พอหรอก  คุณต้องสาวให้ลึกลงไปกว่านั้นว่า  ทำไมมันจึงถูกกว่าตลาดได้  ในขณะที่ตลาดหุ้นบูมอย่างทุกวันนี้  ผมเห็นหุ้นบางตัว  PE  ยังไม่ถึง  10  เท่าก็มี  ในขณะที่บางตัว  PE  เกือบ  40  เท่าแล้ว  อะไรคือสิ่งที่แยกหุ้นทั้งสองตัวนี้ให้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง  สิ่งนั้นคือคุณภาพในการสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนนั่นเอง

2.ถูกกว่าอดีต  สำหรับเรื่องราคาหุ้นเมื่อเปรียบเทียบกับอดีตแล้ว  มันสามารถแยกสาเหตุออกมาได้เป็นสามลักษณะคือ  โดยนักลงทุนทางเทคนิค  โดยปัจจัยพื้นฐานของกิจการ  และโดยตลาดหุ้นโดยรวม

2.1  นักลงทุนทางเทคนิค  นักเทคนิคส่วนใหญ่จะซื้อขายจากกราฟ  เขาจะเก็บสถิติที่ผ่านมาของหุ้นทุกตัวและของตลาดเอาไว้  เมื่อเขาได้ราคามา  เขาก็จะเอามาทำเป็นกราฟและมองดูว่า  จังหวะไหนที่ควรซื้อหรือขาย  และผมก็อยากจะถามว่า  นั่นเพียงพอแล้วหรือสำหรับการลงทุน  “ไม่”  นี่ก็ยังไม่พอหรอก  ของทุกอย่างน่าจะมีเหตุผลที่เพียงพอสำหรับตัวมันเอง  การลงทุนมันต้องมีอะไรมากกว่านั้น  นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องดูกิจการด้วยตามข้อ  2.2

2.2  ปัจจัยพื้นฐานของกิจการ  ถ้าสมมุติว่าหุ้นอสังหาตัวหนึ่ง  เคยซื้อขายกันแถวๆ  10  บาท  และถ้าสมมุติว่าในปีนี้  หุ้นตัวนั้นหาซื้อที่มาสร้างบ้านขายไม่ได้  จึงทำให้ยอดขายบ้านในปีนี้น้อยลงกว่าปีที่ผ่านมา  และหนำซ้ำยังไม่พอ  ราคาอุปกรณ์ก่อสร้างก็เพิ่มขึ้น  ในขณะที่ไม่สามารถเพิ่มราคาขายขึ้นไปได้  เมื่อราคาหุ้นตกลงมาต่ำกว่า  10  บาท  คุณคิดว่า  หุ้นนั้นราคาถูกน่าลงทุนหรือไม่  ถ้าคุณดูแต่ราคาหุ้นโดยใช้เทคนิคเพียงอย่างเดียว  นั่นคือจุดอ่อน  และเป็นจุดตาย

2.3  ตลาดหุ้นโดยรวม  ข้อนี้เป็นข้อยกเว้นเกี่ยวกับเรื่องราคาของหุ้นในตลาด  อย่างช่วงที่ผ่านมาเมื่อไม่นานมานี้  เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  มันได้สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้าง  และตลาดหุ้นก็ตกใจกับเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นด้วย  จนทำให้ราคาหุ้นร่วงลงกราวรูดเป็นร้อยจุด  การที่ราคาหุ้นมันถูกกว่าในอดีตในลักษณะนี้  เป็นการตกลงเพียงชั่วคราว  มันไม่ได้มีผลต่อการทำธุรกิจของบางบริษัทมากนัก  ถ้าเราประเมินได้ว่า  น้ำท่วมมันก็ต้องมีวันลด  มันเป็นแค่ผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น  ในที่สุดเมื่อเข้าสู่ภาวะปกติ  ธุรกิจก็จะดำเนินต่อไป  ถ้าราคาหุ้นมันตกลงมาด้วยแรงขายมากเกินไป  เราก็สามารถเข้าไปลงทุนได้

3.ราคาถูกสำหรับอนาคต  หัวข้อนี้อธิบายได้ว่า  เมื่อดูราคาในปัจจุบันแล้ว  หลายคนอาจจะบอกว่าราคามันแพงมากเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่จะได้รับ  แต่ถ้าผมถามว่า  ถ้าในอีก  5  ปีข้างหน้า  ราคามันจะมากกว่านี้อีก  1  เท่าตัว  คุณคิดว่ามันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่?  นี่ผมกำลังพูดถึงเรื่องการลงทุนในหุ้นที่เติบโตอยู่  และการที่เราจะรู้ว่าตัวไหนกำลังโตหรือตัวไหนไม่โตแล้วนั้น  มันต้องใช้การประเมินเป็นหลัก  ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยากพอสมควร  การที่จะมองเรื่องนี้ให้สมบูรณ์แบบมากที่สุดนั้น  จำเป็นต้องใช้ทักษะหลายอย่างประกอบกัน

     เรื่องที่สำคัญมากที่สุดเรื่องแรกเลยก็คือ  เราต้องมีจินตนาการวาดภาพกิจการออกมาให้ได้ว่า  ในอนาคตกิจการนั้นจะเป็นอย่างไร  ตัวอย่างที่คลาสสิกสำหรับเรื่องทำนองนี้ก็คือ  ในตอนที่ประเทศไทยยังไม่เจริญ  ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงทุกบ้าน  แต่เรารู้ว่าในอนาคต  ทุกบ้านจำเป็นต้องมีไฟฟ้าใช้  เราก็ลงทุนไปกับหุ้นไฟฟ้า  และอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้  ทุกบ้าน  (ยกเว้นในที่กันดาร)  มีไฟฟ้าใช้กันหมดแล้ว  หรืออีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ  เมื่อไม่นานมานี้เราจะสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงได้ว่า  การติดต่อสื่อสารเริ่มพัฒนาขึ้นไปทุกที  จากไปรษณีย์ก็กลายเป็นโทรศัพท์บ้าน  และจากโทรศัพท์บ้านก็กลายเป็นเพจเจอร์  และจากเพจเจอร์ก็กลายเป็นมือถือ  เมื่อเราประเมินแล้วว่า  ในอนาคตต้องมีคนใช้มือถือกันเป็นจำนวนมากแน่นอน  เราก็ลงทุนกับหุ้นมือถือไป  จวบจนถึงทุกวันนี้  เราก็จะไม่ผิดหวังที่เราได้ลงทุนไปกับมัน

     ส่วนเรื่องที่สองที่เราต้องนำมาประเมินประกอบกันอีกก็คือ  ถ้าสินค้านั้นมีคนต้องการใช้จริง  แล้วมันจะสามารถทำกำไรได้หรือไม่  เรื่องนี้ขอยกตัวอย่างบริษัท  true  ถ้าเราเป็นคนช่างสังเกตจะเห็นได้ว่า  บริษัท  true  นั้นมาทีหลังแต่มาแรงมาก  ที่ว่าแรงในที่นี้หมายถึง  อัดโปรกระหน่ำ  เพื่อหวังจะได้ส่วนแบ่งทางการตลาดจากเจ้าเก่า  แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  เมื่อทำตามกลยุทธ์นั้นไปแล้ว  บริษัทก็ยังขาดทุนตลอดมา  บางทีก็เป็นการขาดทุนที่น้อยลง  แต่มันก็ยังเป็นผลการดำเนินงานที่ขาดทุนอยู่ดี  เมื่อไม่มีกำไร  แล้วจะเอาผลตอบแทนที่ไหนมาให้ผู้ถือหุ้น  ซึ่งตรงนี้จะเห็นได้ว่า  แม้จะมีผู้ใช้สินค้าและบริการของบริษัทเยอะ  แต่ทางบริษัท  ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้  มันก็จะทำให้เราพลอยอึดอัดตามไปด้วยถ้าเราได้ลงทุนกับบริษัทไป

     และส่วนสุดท้ายนี้เป็นตัวอย่างของการประเมินธุรกิจในแบบของผม  แต่ต้องย้ำก่อนว่า  นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น  ซึ่งมันอาจจะผิดก็ได้

     ตัวอย่างสำหรับการประเมินหุ้นในอนาคตของผมก็จะออกแนวเช่น  ทุกวันนี้ผมก็ยังมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆอยู่  เพียงแต่ว่าบางธุรกิจเช่นขายอาหารเสริมอย่างบริษัท  APCO  นั้น  ผมก็ยังไม่เคยได้ทดลองใช้สินค้าของเขาเลยว่ามันดีหรือไม่  และในธุรกิจนี้  มีใครที่โด่งดังจนติดลมบนอยู่บ้าง  และบริษัทจะสามารถแทรกตัวเข้าไปในตลาดนี้ได้หรือไม่  และในอนาคต  จะมีบริษัทที่โดดลงมาเล่นกับธุรกิจอาหารเสริมอีกมากเท่าไหร่  ตรงนี้มันประเมินยาก  เพราะอย่างที่เราเห็นกัน  ธุรกิจเครือข่ายหรือขายตรงก็โผล่ขึ้นมาเป็นดอกเห็ด  ไหนจะยังมีสินค้าที่โฆษณาตามนิตยสารต่างๆหรือในโทรทัศน์อีกมากมาย  ซึ่งเค้กก้อนนี้  (ตลาดสุขภาพ)  ยังมีคนจ้องจะมาแบ่งอีกเยอะ  ผมก็เลยยังไม่สนใจที่จะลงทุน  หรืออีกธุรกิจหนึ่งที่กำลังขยายตัวอยู่พอสมควรอย่างโฮมโปร  ผมประเมินได้ว่า  สินค้าของเขาเป็นแบบซื้อทีเดียวแล้วอยู่ได้นาน  อัตราการซื้อซ้ำต่ำ  ผมก็เลยไม่ชอบเท่าไหร่  หรืออีกบริษัทหนึ่งที่ตอนนี้โบรกเชียร์กันเป็นอย่างมากสุดใจขาดดิ้นเลยก็คือแมคโคร  บางทีหุ้นตัวนี้จากการประเมินของผมอาจจะผิด  บริษัทอาจจะสามารถอยู่รอดได้ด้วยความสามารถของตัวเองก็เป็นได้  แต่สิ่งที่ผมประเมินด้วยตัวเองนั้นออกมาได้ว่า  ทุกวันนี้ลูกค้าที่เข้าแมคโครโดยซื้อของไปกินไปใช้เองจะน้อยมาก  เนื่องจากต้องซื้อเหมาทีละเยอะๆ  ลูกค้าส่วนใหญ่จึงเป็นพวกร้านโชห่วยหรือคนที่ซื้อของไปขายต่อ  ทีนี้ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า  ถ้าร้านโชห่วยพวกนั้นถูก  7-11  หรือโลตัสเล็กเข้าไปบี้มากๆจนทำให้ร้านโชห่วยค่อยๆตายไป  ทีนี้คนที่จะเข้าแมคโครเพื่อซื้อของไปขายต่อก็จะลดน้อยลง  ยอดขายของตัวแมคโครเองก็น่าจะตกลง  และหนำซ้ำยังไม่พอ  ถ้าโลตัสใหญ่หรือบิ๊กซีเข้าไปประกบกับแมคโครอีก  ตรงนี้ก็จะทำให้เกิดการแย่งชิงลูกค้าในพื้นที่เดียวกัน  ซึ่งนั่นก็หมายถึง  สงครามราคาก็จะเกิดขึ้น  และเมื่อต่างคนต่างก็ลดราคา  ขายของดีแต่ไม่มีกำไร  ในขณะที่ค่าจ้างพนักงานและค่าไฟยังต้องจ่ายเท่าเดิมอยู่  อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไรนะครับท่านผู้ชม


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 19 มีนาคม 2012, 16:07:05
ปันผล  ปันผล  และปันผล
     เมื่อกล่าวถึงเรื่องเงินปันผลแล้ว  ทั้งคนที่ถือหุ้นอยู่และไม่ได้ถือหุ้น  ต่างก็หูผึ่งกันเป็นแถว  เพราะการปันผลนั้นหมายความว่า  เราจะได้เงินนั้นมาใช้ฟรีๆโดยไม่ต้องออกแรงไปซื้อขายหุ้นให้เมื่อยตุ้ม  แต่ประเด็นที่ผมจะมาให้ความรู้ในวันนี้ก็คือ  ระหว่างหุ้นที่ไม่โตแต่ปันผลเป็นเปอร์เซ็นต์มากๆเมื่อเทียบกับราคาหุ้น  กับหุ้นที่เติบโตไปเรื่อยๆแต่ปันผลออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยเมื่อเทียบกับราคาหุ้น  คุณคิดว่า  หุ้นตัวไหนให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากันในระยะยาว  เอาล่ะ...เพื่อไม่ให้เสียเวลา  เรามาเริ่มตัวอย่างกันเลยดีกว่า

     ตัวอย่างที่  1  สมมุติให้หุ้นตัวหนึ่งชื่อว่า  “หุ้นไม่โต”  หุ้นตัวนี้มีนโยบายจ่ายปันผล  100  %  ของรายได้  พูดง่ายๆว่าหามาได้เท่าไหร่แจกหมด  ราคาหุ้นตัวนี้อยู่ที่  10  บาท  และหุ้นตัวนี้ปันผลปีละ  1  บาทต่อหุ้น  นั่นเท่ากับว่า  ในปีหนึ่งๆ  เราจะได้รับเงินปันผลเป็นจำนวน  10  %  ของเงินลงทุนถูกต้องไหม  ถ้าเรามีอยู่  1  หุ้น  เมื่อเวลาผ่านไป  10  ปี  เงินที่เราได้รับจากหุ้นตัวนี้จะเป็นเงินเท่ากับ  10  บาท  และเนื่องจากว่ามันเป็นธุรกิจที่ไม่โตแล้ว  ดังนั้นราคาหุ้นจึงไม่มีการเปลี่ยนแปลง    เมื่อเวลาผ่านไป  10  ปี  เราจะมีเงินรวมทั้งหมด  20  บาท  โดยแบ่งเป็นเงินลงทุนเริ่มแรก  10  บาท  บวกกับเงินปันผลที่เราได้รับมาตลอด  10  ปีอีก  10  บาท

     ตัวอย่างที่  2  หุ้นตัวนี้ชื่อว่า  “อนาคตที่สดใส”  หุ้นตัวนี้มีนโยบายจ่ายปันผลเพียง  50  %  ของกำไร  โดยเขาให้เหตุผลว่า  ต้องกันเงินส่วนหนึ่งไว้ลงทุนต่อ  เพื่อให้บริษัทเติบโตขึ้น  ราคาหุ้นตัวนี้เริ่มแรกอยู่ที่  10  บาทเท่ากับหุ้นตัวแรก  แต่เงินปันผลที่ออกมาตอนแรกนั้นได้แค่  50  สตางค์ต่อหุ้นเท่านั้น  ถ้าเราคำนวณก็จะพบว่า  ผลตอบแทนที่ได้รับ  เพียงแค่  5  %  ของเงินลงทุนเท่านั้นเอง  ไม่คุ้มค่าเงินลงทุนเท่ากับหุ้นตัวแรกเลย  แต่...ช้าก่อน  เดี๋ยวเราลองมาดูกันต่อไป  ถ้าสมมุติอีกว่า  ให้หุ้นตัวนี้มีอัตราการทำกำไรเพิ่มขึ้นปีละ  20  %  ปีแรกที่บริษัททำกำไรได้ก็คือ  1  บาท  แต่ปันผลออกมาแค่  50  สตางค์  แต่เมื่อขึ้นปีที่สอง  บริษัทสามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้นเป็น  1.20  บาทต่อหุ้น  เมื่อถึงเวลาปันผล  บริษัทจะปันผลออกมาเป็นเงินหุ้นละ  60  สตางค์  และถ้าตลาดยังให้ราคาของหุ้นเมื่อเทียบกับเงินปันผลเท่ากับ  5  %  อยู่  ราคาหุ้นในปีที่สองก็น่าจะเป็น  12  บาท  และเมื่อคำนวณต่อไปอีก  10  ปีจะพบว่า

     ปีที่     กำไรต่อหุ้นที่ทำได้     เงินปันผล     ราคาหุ้นที่ควรจะเป็น
      1            1  บาท                50  สต.          10
      2           1.20  บาท            60  สต.          12
      3           1.44  บาท            72  สต.         14.4
      4          1.728  บาท           86  สต.         17.2
      5           2  บาท                 1  บาท          20
      6          2.40  บาท             1.20  บาท     24
      7          2.88  บาท             1.44  บาท     28.8
      8          3.456  บาท           1.72  บาท     34.5
      9          4.15  บาท             2.07  บาท     41.5
     10          4.98  บาท            2.49  บาท     49.8


     เมื่อเวลาผ่านไป  10  ปีเท่ากัน  หุ้นตัวที่มีการเติบโตสูง  สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว  เมื่อเราลองมารวมผลตอบแทนที่ได้รับก็จะพบว่า  ในปีที่  10  เราจะมีเงินเท่ากับ  62.4  บาท  ซึ่งเงินที่คำนวณได้นี้มาจาก  49.8 (ราคาหุ้นในปีที่  10) + 12.6 (เอาเงินปันผลที่ได้รับทั้ง  10  ปีมารวมกัน)  เมื่อเทียบกับหุ้นตัวแรกที่ไม่โตแล้ว  ในปีที่  10  เราจะมีเงินเพียงแค่  20  บาท  ดังนั้นจะเห็นได้ว่า  ถ้าเราลงทุนในหุ้นตัวที่สองที่มีการเติบโตสูงแล้วล่ะก็  มันจะให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันมากทีเดียว  ถึงแม้ว่าในตอนแรก  ผลตอบแทนของหุ้นตัวที่สองอาจจะสู้หุ้นตัวแรกไม่ได้  แต่ระยะยาวแล้ว  หุ้นที่เติบโตจะชนะในที่สุด  นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับการเทียบผลตอบแทนของหุ้นที่เติบโต  20  %  เท่านั้น  ถ้าคุณเลือกหุ้นที่เติบโตน้อยกว่านี้หรือสูงกว่านี้  อัตราผลตอบแทนมันก็จะแตกต่างออกไป  แต่อย่างน้อย  สิ่งที่เราต้องลงทุนก็น่าจะเป็นหุ้นที่มีการเติบโต  ดังจะสังเกตได้ว่า  ถึงแม้จะนับแต่เงินปันผล  หุ้นที่มีการเติบโตก็ยังให้ผลตอบแทนในระยะยาวที่มากกว่าอยู่ดี  และสุดท้ายก็ขอยกตัวอย่างจริงมาประกอบนะครับ

อันนี้เป็นข่าวเกี่ยวกับบริษัท  7-11  นะครับ  7-11  ได้รายงานผลการดำเนินงานโตเกิน  20  %  มาตลอด  ดูได้จากวันที่  21  ก.พ.  55  -  3  พ.ย.  54  และ  9  ส.ค.  54

http://www.set.or.th/set/companynews.do?symbol=CPALL&language=th&country=TH

และอันนี้เป็นการจ่ายปันผลที่เพิ่มขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง  (XD)

http://www.set.or.th/set/companyrights.do?symbol=CPALL&language=th&country=TH

และสุดท้าย  อันนี้คือการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นตามพื้นฐานกิจการที่มันโตขึ้น  ดูช่องที่  7  จากข้างล่างสุดขึ้นมาครับ  (ราคาล่าสุด  บาท)

http://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=CPALL&language=th&country=TH


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 27 มีนาคม 2012, 15:40:08
IPO
     เป็นที่เข้าใจกันดีว่า  IPO  คือหุ้นที่เพิ่งถูกขายให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก  และกำลังจะเข้าตลาดหุ้น  มีนักลงทุนหลายคนที่มักจะเข้าไปไล่ซื้อหุ้นในวันแรกๆที่หุ้นเหล่านั้นเข้าตลาด  เพราะหลายคนมีความเชื่อว่า  นั่นคือโอกาสที่เราจะได้เป็นเจ้าของหุ้นในตอนเริ่มต้น  เนื่องจากว่าราคาหุ้นยังไม่ได้ขยับไปไหนไกล  ถ้าปล่อยนานไปราคาหุ้นจะแพงขึ้น  “จะรอทำไม  เดี๋ยวก็อดรวยกันพอดี”  ซึ่งความเชื่อนี้โดยส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยนัก  นักลงทุนอาจจะมองตัวอย่างของบริษัทที่ได้เข้ามาในตลาดก่อนหน้านี้  และเห็นว่าเมื่อบริษัทเหล่านั้นประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ  ราคาหุ้นของบริษัทที่ประสบความสำเร็จหลังจากนั้นไม่นานก็ซื้อขายกันที่หลายเท่าของราคาที่เข้าตลาดในครั้งแรก  พวกเขาก็เลยพากันไปรุมทึ้งแย่งชิงกันในวันแรกที่หุ้นเข้าตลาด  แต่ผมอยากจะบอกว่า  ถ้าคุณลงทุนแบบนี้นั่นเท่ากับว่าคุณกำลังหวัง  มันยังไม่ใช่การลงทุน  สำหรับผมแล้ว  การลงทุนก็คือ  เราต้องรู้ก่อนว่าอะไรมันกำลังจะเกิดขึ้น  ถ้าสิ่งดีๆกำลังจะเกิดขึ้นคุณค่อยลงทุน  เพราะสิ่งต่างๆที่สำคัญมันจะเกิดขึ้นหลังจากที่เราได้ซื้อหุ้นไปแล้ว  และในส่วนของเจ้าของหุ้นนั้น  เป็นธรรมดาของคนที่ต้องการจะขายอะไรสักอย่าง  มันก็ต้องทำให้สินค้าดูดีน่าเป็นเจ้าของ  เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่ก่อนจะเข้าตลาด  งบการเงินของกิจการแต่ละแห่งและคำโฆษณาต่างๆจะดูดีชวนให้คิดต่อไปอีกไกลถึงความสำเร็จที่จะตามมา  แต่ผมอยากให้ตรึกตรองกันสักนิดว่า  บริษัทที่เพิ่งเข้ามาใหม่นั้น  มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบริษัทที่มั่นคงอยู่ตัวแล้วและมองเห็นได้โดยไม่ต้องเดา  ในบริษัทที่มั่นคงอยู่ตัวแล้วนั้น  ไม่ว่าจะเป็นสินค้า  การตลาด  ระบบขนส่ง  ลูกค้า  คู่แข่ง  การผลิต  ต้นทุน  ความสามารถของฝ่ายบริหาร  และเรื่องอื่นๆทั้งหมดของการดำเนินงานของบริษัท  เราสามารถนำมันมาประมวลผลได้  และหนำซ้ำยังไม่พอ  ถ้าเรายังไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับบริษัทมากนัก  เราสามารถสอบถามข้อมูลกับผู้ที่คลุกคลีหรือผู้ที่รู้เรื่องของบริษัทดีกว่าเราได้ว่า  บริษัทที่เรากำลังพิจารณาเพื่อจะลงทุนอยู่นั้น  มีความเข้มแข็งหรืออ่อนแอมากแค่ไหน  ในทางกลับกัน  ถ้าบริษัทที่เรากำลังสนใจยังอยู่ในช่วงก่อตั้ง  สิ่งที่เราจะทำได้ก็แค่  เดาว่าปัญหาและจุดแข็งน่าจะเป็นอะไร  ซึ่งมันมีโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในการลงความเห็นและสรุปได้สูงกว่า  ไม่ว่านักลงทุนจะมีทักษะมากแค่ไหนก็ตาม  มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากที่เราจะเลือกบริษัทที่โดดเด่นมากในขณะที่บริษัทกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น  ด้วยเหตุผลเหล่านี้  ไม่ว่าบริษัทที่เพิ่งจะเริ่มก่อตั้งจะน่าสนใจมากแค่ไหนเมื่อมองครั้งแรก  ผมคิดว่าการลงทุนในบริษัทที่ยังใหม่เหล่านี้  ยังไม่เพียงพอต่อความปลอดภัยสำหรับเงินลงทุนของเรา  และตัวผมเองก็ยังไม่เคยซื้อหุ้นของบริษัทที่กำลังก่อตั้งใหม่เลย  ไม่ว่ามันจะดูน่าสนใจมากแค่ไหน  คำแนะนำของผมก็คือ  “ให้รอกำไรก่อน”  จะดีกว่าไหม  ถ้าเราจะยอมซื้อของแพงไปสักหน่อย  แต่ได้ของที่มีคุณภาพ  เฉกเช่นเดียวกับสินค้าที่ออกใหม่  ถ้าคุณยังไม่รู้จักสินค้านั้น  วิธีการที่ฉลาดก็คือ  คุณก็คงปล่อยให้คนอื่นซื้อมาใช้ก่อน  หลังจากนั้นคุณก็ค่อยไปถามเขาว่าการใช้งานเป็นอย่างไร  ถ้าข้อมูลที่ได้รับมาว่ามันใช้ดี  คุณค่อยไปซื้อทีหลังก็ได้...ไม่เสียหาย  แต่ถ้าสินค้านั้นกำลังออกใหม่  และคุณก็ลองไปซื้อมาใช้เป็นคนแรกโดยที่ยังไม่มีข้อมูลจากผู้ที่เคยใช้มันมาเลย  และถ้ามันใช้ไม่ดีขึ้นมา  คุณจะโทษใคร  เพราะหลายคนก็เซ็งกับพระเจ้าจอร์จมันยอดมากมาเยอะแล้ว


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 05 เมษายน 2012, 15:51:31
ราคาเป้าหมาย
     ทุกครั้งที่ผมได้อ่านบทวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์แต่ละสำนักแล้ว  ผมมักจะตั้งข้อสังเกตว่า  ในบทวิเคราะห์พวกนั้นมักจะมีข้อมูลและเหตุผลต่างๆที่นำมาประกอบกันอย่างเป็นเหตุเป็นผลว่า  หุ้นตัวนั้นมันน่าสนใจหรือไม่น่าสนใจแค่ไหน  และสิ่งที่เกือบทุกบทวิเคราะห์จะต้องทำเหมือนกันก็คือ  “ราคาเป้าหมาย”

     ผมว่าราคาเป้าหมายเป็นแค่เพียงความเห็น  มันไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรือหลักการที่มันจะต้องเป็นจริงเหมือนอย่างที่นักวิเคราะห์ทั้งหลายแนะนำ(แต่ถ้าคุณมาเชียร์หุ้นผม  ผมก็ขอบคุณ)  ผมไม่รู้ว่าเขาทำไปทำไม  ทำไปเพื่อใคร  ทำเพื่อตัวเองหรือเปล่า?  และสาเหตุที่ผมคิดว่าเขาทำเพื่อตัวเองนั้น  สามารถแยกออกมาได้  2  เหตุผลใหญ่ๆนั่นก็คือ

1.หวังค่าคอม  การออกบทวิเคราะห์และนำมาแจกจ่ายให้กับนักลงทุนนั้น  เป็นวิธีการกระตุ้นหรือชี้นำให้นักลงทุนทุกคนที่ได้รับข้อมูลนั้นตื่นตัวที่จะทำตาม  ถ้าบทวิเคราะห์ออกมาในเชิงบวก  คนที่โลภก็มักจะซื้อหุ้นตัวที่เชียร์อยู่  โดยมีความหวังที่จะได้เงินก้อนโตแบบง่ายๆโดยที่ไม่ต้องทำการบ้านเอง  ซึ่งบางทีราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์เชียร์อยู่  อาจจะสูงมากเป็นเท่าตัวจากตอนที่นักลงทุนผู้โลภมากได้รับข่าว  ซึ่งการที่ผมบอกอย่างนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า  การที่นักวิเคราะห์ทำอย่างนั้น  และคนที่ซื้อตามที่นักวิเคราะห์เชียร์นั้นมันเป็นเรื่องที่ผิดอย่างไม่น่าให้อภัย  ผมคิดว่าทางที่ดีที่สุดน่าจะมาจากการทำการบ้านด้วยตัวเราเองมากกว่า  ลองนึกดูง่ายๆนะครับว่า  เมื่อทุกคนได้อ่านบทวิเคราะห์พวกนั้นพร้อมกัน  ราคาหุ้นก็มักจะถีบตัวสูงขึ้น  แล้วอย่างนี้เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า  เราจะไม่ใช่คนสุดท้ายที่กำลังซื้อหุ้นตัวนั้นอยู่  ถ้าเราเป็นคนสุดท้ายที่กำลังซื้อหุ้นนั้นอยู่  และไม่มีใครยอมมาซื้อต่อจากเรา  คุณก็น่าจะนึกสภาพตัวเองออกว่า  จะตกอยู่ในสภาพแบบใด  ในกรณีนี้มันมักจะออกมาได้  2  ลักษณะคือ  อึดอัดเพราะหุ้นมันไม่ขึ้นแล้ว  หรือหุ้นนั้นมันกำลังตกลง  เนื่องจากว่าคนที่ได้ซื้อก่อนหน้าคุณนั้นมีกำไรกันทุกคนและเขาก็พยายามแย่งกันขาย  แต่ไม่ว่าจะออกมาในลักษณะไหนก็แล้วแต่  สุดท้ายคนที่ได้ก็คือโบรกเกอร์  ไม่ว่าคุณจะได้หรือเสีย

2.หวังกำไร   วิธีนี้แสบมาก  เพราะเป็นการหาเงินจากการชี้นำของตัวเอง  โดยปกติแล้ว  คนที่สามารถแนะนำการลงทุนให้กับคนอื่นได้จะต้องมีใบอนุญาต  และเนื่องจากว่ามันมีความน่าเชื่อถือจากใบอนุญาตเป็นตัวรับรอง  คนก็มักจะเชื่อกันง่าย  โดยเข้าใจว่าคนที่มีใบอนุญาตจะต้องเก่งและรอบรู้  แต่ทีนี้ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  ถ้าเขาไปซื้อหุ้นนั้นไว้ก่อนแล้วค่อยออกบทวิเคราะห์ตามหลังมาล่ะ?  ในกรณีนี้คนที่ซื้อหุ้นก่อนอย่างนักวิเคราะห์ก็จะไร้ความเสี่ยงโดยสิ้นเชิง หรือถ้ามีความเสี่ยงก็จะน้อยมาก  เนื่องจากว่าการซื้อหุ้นตอนที่ราคามันยังไม่ได้ขยับ  จะยังไม่มีใครมีกำไรจนเป็นเหตุจูงใจทำให้คนที่ได้ถือหุ้นตัวนั้นอยู่ก่อนแล้วอยากที่จะขายมัน  แต่เมื่อใดก็ตามที่ราคาหุ้นเริ่มพุ่งขึ้น  คนที่มีหุ้นนั้นอยู่ก่อนแล้วก็เริ่มที่จะคิดถึงการขายมันเพื่อทำกำไร  และผมอยากให้ข้อคิดกับทุกคนไว้ว่า  “เมื่อใดก็ตามที่คุณกำลังตื่นเต้นที่จะซื้อทรัพย์สินใดๆ  คนที่รู้จักทรัพย์สินพวกนั้นดีกว่าคุณ  ก็กำลังตื่นเต้นที่จะขายมันให้คุณเช่นกัน”  อาจจะมีนักวิเคราะห์บางท่านออกมาปฏิเสธว่า  เขามีคุณธรรมเพียงพอ  เขาไม่ทำอย่างนั้นหรอก  แล้วถ้าผมถามต่อไปว่า  ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่ทำ  แล้วคุณคิดว่านักวิเคราะห์คนอื่นเขาจะทำไหม?  จากการสำรวจในต่างประเทศพบว่า  นักวิเคราะห์ทุกคนเชื่อว่าตัวเองนั้นเป็นคนมีคุณธรรม  แต่ตัวเขาเองไม่เชื่อว่าเพื่อนร่วมอาชีพของเขาจะมีคุณธรรมเหมือนกันกับเขา...ตลกไหมล่ะ  และถ้ามีนักวิเคราะห์บางคนออกมาบอกว่า  ถ้าผมพูดอย่างนี้ก็เท่ากับว่า  ผมกล่าวหาเขาลอยๆโดยไร้หลักฐาน  อันนี้ผมอยากจะถามกลับไปว่า  คุณคิดว่านักการเมืองทุกคนคอร์รัปชั่นไหม?  แน่นอน...คุณก็ต้องบอกว่ามันต้องมี  ถูกต้องแล้วครับ  แต่ทีนี้ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  ถึงแม้ว่าคุณจะรู้ว่านักการเมืองชอบคอร์รัปชั่น  แต่คุณก็จะไม่รู้หรอกว่าเขาทำเมื่อไหร่  ที่ไหน  อย่างไร  เพราะคงไม่มีใครบ้าออกมาป่าวประกาศหรอกนะว่าผมจะโกงแล้ว  ดังนั้น  พวกนักวิเคราะห์ที่สามารถทำเงินได้โดยใช้บัญชีนอมินี  ก็คงจะไม่ออกมาป่าวประกาศเหมือนกัน

     ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า  คนที่เข้ามาอ่านบทความของผมคงไม่อยากเป็นเหยื่อหรือแมงเม่า  และถ้าไม่อยากเป็นแล้วจะต้องทำอย่างไร?  ก็ต้องทำการบ้านด้วยตัวเองสิครับ  และเวลาที่เราอ่านบทวิเคราะห์  เราก็ควรเสพแต่ข้อมูลและนำมาประเมินด้วยตนเอง  อย่าหลงเชื่อในราคาเป้าหมายที่เป็นแค่ความเห็น  เพราะการที่ราคาหุ้นมันจะไปถึงหรือไม่ถึงตรงนั้น  นักวิเคราะห์ทุกคนไม่สามารถทำให้มันเป็นไปได้หรอก  ไม่อย่างนั้นเขาจะออกมาเชียร์ทำไมกัน  และสุดท้าย  ถ้านักวิเคราะห์บางคนยังคงยืนยันถึงบทวิเคราะห์ของตัวเขาเองว่าถูกต้องเชื่อถือได้  ผมก็อยากถามเขากลับไปว่า  ถ้าผมซื้อแล้วหุ้นมันไม่ได้ขึ้นไปอย่างที่คุณแนะนำ  คุณกล้ารับประกันไหมว่า จะคืนเงินต้นพร้อมกับกำไรนั้นให้กับผม


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 23 เมษายน 2012, 16:10:28
เวลาและความสุข
     นักลงทุนที่กำลังลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นทุกวันนี้  ไม่ว่าจะเป็นมือเก่าหรือมือใหม่ก็ตาม  น่าจะเคยมี  หรือกำลังมีอาการอย่างที่ผมกำลังจะกล่าวถึงต่อไปนี้คือ

1.ติดตามข่าวสารทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา  ไม่ว่าจะเป็นทั้งของหุ้นตัวที่ถืออยู่  ตัวที่กำลังเล็งอยู่  หรือแม้กระทั่งตัวที่ไม่ได้สนใจจะซื้อ  และติดตามแม้กระทั่งข่าวเศรษฐกิจของต่างประเทศและในประเทศ  รวมทั้งข่าวของสินทรัพย์อย่างอื่นเช่นทองคำ  พันธบัตร  หุ้นของต่างประเทศ

2.สนใจในเรื่องของเทคนิคมากๆไม่ว่าคุณจะใช้เทคนิคเป็นหรือไม่ก็ตาม  ทั้งเรื่องการหาจังหวะซื้อ(แนวรับ)  การหาจังหวะขาย(แนวต้าน)  ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง  ราคาย้อนหลัง  ค่าเบต้า  การคัทลอส  หรืออ่านบทวิเคราะห์การแสดงความเห็นของนักวิเคราะห์ทั้งหลาย

3.เวลาหุ้นขึ้นแล้วมีความสุข  แต่ความสุขนั้นก็มาพร้อมกับความหวั่นใจและความกลัวว่า  ถ้าไม่รีบขายแล้วหุ้นตก  ก็จะไม่ได้กำไร  เวลาหุ้นตกก็อยากซื้อ  แต่ไม่กล้าซื้อ  มัวแต่รีๆรอๆดูเชิงอยู่  หรือถ้าอาการหนักกว่านั้นก็คือ  ขายทิ้งตามน้ำเสียเลย

4.สนใจกับภาวการณ์ที่  “เขา”  บอกว่า  เป็นปัจจัยหรือมีส่วนที่จะกระทบกับตลาดหุ้นเช่น  อัตราดอกเบี้ย  เงินเฟ้อ  เงินฝืด  ค่าP/Eตลาดของเราเมื่อเทียบกับต่างประเทศ  ฝรั่งซื้อหรือขาย  การเมือง  อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน

5.เวลาเราจะซื้อหุ้น  เราก็มานั่งคำนวณดูว่า  ถ้าเข้าซื้อที่ราคานี้  แล้วถ้ามันขึ้นไปที่ราคานี้  เราจะได้เท่าไหร่  และตัวที่เราเล็งไว้ก็ต้องเป็นตัวที่เขานิยมซื้อขายกันจนติดอันดับในตลาด  หรือเป็นหุ้นขนาดเล็กที่ขึ้นไม่กี่ช่องก็ได้เงินแล้ว  หรือเป็นหุ้นที่ขึ้นลงหวือหวาจนน่าจะลองจับจังหวะเข้าดู  หรือเป็นหุ้นที่กำลังมีข่าวอะไรสักอย่างหนึ่ง  ซึ่งข่าวนั้นยังไม่รู้ว่าจะเกิดผลดีหรือผลเสียต่อบริษัท

6.นอนไม่หลับกระสับกระส่าย  เนื่องจากเวลามีหุ้นอยู่ก็กลัวว่ามันจะตก  ถ้ายังไม่มีหุ้น  ก็กลัวว่าราคามันจะขึ้นไปโดยที่ยังไม่ได้ซื้อ  ไม่มีเวลาชีวิตไปทำอย่างอื่น  มัวแต่คอยจ้องตลาดตาไม่กระพริบ

     อาการที่ผมได้กล่าวมาทั้งหมดแล้วนั้น  เป็นอาการของ  “นักเก็งกำไร”  ล้วนๆ  ผมเชื่อว่าคนที่เข้าตลาดมาใหม่ๆ  จะต้องเป็นอย่างนี้กันทุกคน  เพราะผมก็เคยเป็นมาก่อน  ถ้าเราสามารถปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงตัวเองได้  เราก็จะกลายเป็นนักลงทุนในที่สุด  แต่น่าเสียดายกับบางคน  ที่อยู่ในตลาดมานานแล้ว  ก็ยังมีอาการอย่างนี้อยู่  ซึ่งนั่นเท่ากับว่า  เขาไม่ได้มีพัฒนาการที่ดีขึ้นเลย  เดี๋ยวผมจะมาแยกย่อยอธิบายเป็นข้อๆกันเลยดีกว่า  ว่าที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนั้น  มันไม่ดีอย่างไร

ข้อ  1  การติดตามข่าวสารเป็นสิ่งที่เราควรทำ  แต่ควรทำอย่างเหมาะสม  เราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องก็ได้  เอาเฉพาะที่มันน่าจะมีผลกับหุ้นตัวที่เราสนใจอยู่ก็พอแล้ว  บัฟเฟตเคยพูดว่าว่า  “ผมสนใจแต่เรื่องของต้นไม้  ไม่ได้สนใจเรื่องของป่า”  ถ้าป่านั้นกำลังแห้งแล้ง  แต่ต้นไม้ของคุณนั้นแข็งแกร่งและสามารถยืนต้นอยู่ได้  คุณก็ไม่มีความจำเป็นต้องกลัว

ข้อ  2  การใช้เทคนิค  ผมเคยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปหลายครั้งแล้ว  ผมจะไม่ตอกย้ำมันอีกนะครับ  ส่วนเรื่องการดูราคาและจังหวะ  อันนี้เป็นสิ่งที่เราควรให้ความสนใจ  แต่อย่าให้มันเป็นสิ่งสำคัญในอันดับแรกเลย   ถ้าคุณซื้อขายเร็ว(เก็งกำไร)  การได้สักบาทหรือสองบาทเป็นสิ่งสำคัญ  แต่ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่ต้องการถือยาวและมั่นใจว่าการวิเคราะห์ของคุณนั้นถูกต้อง  ถ้าสมมุติว่าราคาหุ้นตอนนี้มันอยู่ที่  50  บาท  ถ้าคุณถือยาวไปเรื่อยๆจนมันสามารถขึ้นไปได้อีก  50  บาท  ซึ่งในวันนี้คุณอาจจะซื้อแพงไปบ้างสักบาทหรือสองบาท  แต่มันก็จะมีผลน้อยมาก  เมื่อเทียบกับการที่คุณซื้อหุ้นไม่ได้  จนชวดเงินก้อนใหญ่ที่ควรจะได้ไป  เพียงแค่ต้องการจะประหยัดเงินในจำนวนเล็กน้อยเพียงแค่นั้น

ข้อ  3  ข้อนี้มันเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์ของผู้ลงทุนเอง  ถ้าเราคิดว่าได้เลือกหุ้นที่ดีแล้ว  เราจะไปสนใจกับราคาที่มันแกว่งขึ้นแกว่งลงจนเป็นปกติให้มันปวดหัวไปทำไมกัน

ข้อ  4  เหตุการณ์ในข้อนี้  ก็ต้องยอมรับว่ามันมีผลกระทบบ้าง  แต่ถ้าหุ้นเรามันโตไปเรื่อยๆแล้ว  เวลาที่หุ้นมันตกหนักๆ  คุณคิดว่าคนอื่นเขาไม่อยากได้หรือ  ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งหรือกองทุน?

ข้อ  5  ข้อนี้น่ากลัวมาก  เพราะเป็นทัศนะคติของแมงเม่า  ถ้าใครเข้าไปยุ่งด้วย  ไม่ว่าจะได้หรือเสีย  ผมจะเรียกเม่าไว้ก่อน  และคำแนะนำของผมก็คือ  หุ้น...ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่  มันไม่ใช่ประเด็น  สำคัญมันอยู่ที่ว่า  มันต้องโตได้อีกเท่านั้นเอง  ถ้าคุณซื้อหุ้นเล็กแต่มันไม่โต  ราคามันก็จะนิ่งอยู่ตรงนั้น  อย่าไปหวังว่า  ราคาขยับนิดเดียวแต่ได้อื้อซ่า  แล้วถ้ามันตกลงมาล่ะ  มันก็อื้อซ่าเหมือนกันแหละ

ข้อ  6  เรื่องการนอนไม่หลับนี้  ใครเคยเป็นยกมือขึ้น...นนน  ผมว่า...คนที่เข้ามาในตลาดหุ้นแล้ว  น่าจะเคยเป็นกันทุกคน(รวมทั้งผมด้วย)  เผลอๆทุกวันนี้ก็ยังมีคนเป็นอยู่  หลอนจนนอนผวา

     ถ้าพวกเราลองมาสรุปให้เห็นภาพกว้างๆกันอีกทีจะเห็นได้ว่า  ถ้าเราดำเนินชีวิตในแบบที่ได้กล่าวมาทุกข้อแล้วนั้น  ชีวิตเราจะไร้เวลาและความสุขโดยสิ้นเชิง   ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในชีวิตของพวกเรา  มันจะมีประโยชน์อะไร  ถ้าเรามีเงินแต่ไม่มีเวลาและความสุข  การที่เราลงทุนทุกวันนี้เราต้องการอะไร  ต้องการเงินมากๆถูกต้องไหม?  เมื่อเรามีเงินมากๆเราก็จะได้ไม่ต้องทำงานถูกต้องไหม?  แต่ในขณะเดียวกันก่อนที่เราจะไปถึงจุดนั้นได้  ระหว่างทางเราจำเป็นต้องเครียดอย่างนั้นหรือเปล่า  เราจำเป็นต้องใช้เวลาที่มีค่าของเราให้หมดเปลืองไปกับการนั่งเฝ้ามองตลาดหรือติดตามข่าวสารในทุกขณะจิตหรือเปล่า  คำตอบคือไม่จำเป็น  ถ้าคุณสามารถเปลี่ยนแปลงตัวคุณให้เป็นนักลงทุนที่อดทนและรอบรู้ได้  คุณก็จะสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า  ได้ส่งเงินไปทำงานแทนคุณเรียบร้อยแล้ว  และเวลาในชีวิตส่วนที่เหลือ  คุณสามารถนำมันไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองมากกว่าที่จะต้องมานั่งเฝ้ามองตลาดอย่างขวัญผวา  เสียสุขภาพจิตหมด

     มีตลกร้ายอยู่เรื่องหนึ่งบอกว่า

คำถาม     นักเก็งกำไรจะเป็นอย่างไรถ้าไม่มีตลาดหุ้น

คำตอบ     นักเก็งกำไรก็จะหมดไป


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 25 เมษายน 2012, 16:07:05
     วันนี้เอารายงานประจำปีของ  7-11  มาฝากกันครับ  ใครสนใจก็โหลดไปอ่านเอา  ของผมมีเป็นแผ่นส่งมาให้ที่บ้านแล้วครับ  ช่วงนี้หุ้นก็แรงได้ใจจริงๆเลย  เจ็ดสิบกว่าเข้าไปแล้ว

http://www.cpall.co.th/contentlv3.aspx?mnu=th&ctlv1=2&ctlv2=9fc7bb90-9c4f-429d-9027-c2ba85ca5c90&ctlv3=07983011-d8a9-416f-80ae-18e81e3710e2&ctst=True


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 25 เมษายน 2012, 18:04:29
เสี่ยวายุ ลูกท่านทำนิวไฮทุกวันเลยน๊า หุหุ (http://เสี่ยวายุ ลูกท่านทำนิวไฮทุกวันเลยน๊า หุหุ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 26 เมษายน 2012, 12:24:39
  แนะนำถึง 75 ปล่อยเลยครับ  แล้วค่อยไปรับหลังปิด XD เพราะมีการจ่ายปันผลเป็นหุ้น...ซื้อง่ายขายคล่องกันอีกแล้ว... :D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 26 เมษายน 2012, 12:34:17
  แนะนำถึง 75 ปล่อยเลยครับ  แล้วค่อยไปรับหลังปิด XD เพราะมีการจ่ายปันผลเป็นหุ้น...ซื้อง่ายขายคล่องกันอีกแล้ว... :D ;D

เค้าคงไม่ปล่อยหลอกครับ เค้ารักของเค้า ฮาๆ (http://เค้าคงไม่ปล่อยหลอกครับ เค้ารักของเค้า ฮาๆ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 26 เมษายน 2012, 16:09:36
 แนะนำถึง 75 ปล่อยเลยครับ  แล้วค่อยไปรับหลังปิด XD เพราะมีการจ่ายปันผลเป็นหุ้น...ซื้อง่ายขายคล่องกันอีกแล้ว... :D ;D

เค้าคงไม่ปล่อยหลอกครับ เค้ารักของเค้า ฮาๆ (http://เค้าคงไม่ปล่อยหลอกครับ เค้ารักของเค้า ฮาๆ)

  สงสัยจะเก็บกระทั่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เลยมั้ง  และผมจะได้บัตรสิทธิพิเศษคลับการ์ดจากท่านวายุ

จะสะสมแต้มเอาไว้แลกซื้อข้าวมันไก่ อีซี่โก สูตรของท่านก็เป็นได้ ใครจะรู้  สู้ๆ ครับนักลงทุนทั้งหลาย... :D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 27 เมษายน 2012, 16:33:37
ตอบท่านเต
     ผมคงไม่ขายหรอกนะครับ  เพราะขี้เกียจมาตามซื้อคืน  ตลาดมันเอาแน่นนอนอะไรไม่ได้  ถือไปเรื่อยๆอย่างนี้ก็ดีแล้ว  อีกอย่างถ้าขายออกไป  เดี๋ยวต้นทุนมันเปลี่ยนน่ะครับ  ทีหลังจะควักมาโชว์ไม่ได้  หุ  หุ

     และสำหรับท่านวัยทอง  ตกรถเสียแล้ว  ง้างอยู่ตั้งนาน  ไม่ยิงเสียที  แล้วเราก็จะ...แล้วเราก็จะ...หุ  หุ  วันนี้นิวไฮอีกแล้ว  ราคาน่ากลัวจัง  ถ้าจะซื้อก็รอให้มันลงก่อนก็แล้วกันเด้อ


    วันนี้นิมนต์พระมาเทศน์ซะหน่อย  สืบเนื่องมาจากกระทู้เวลาและความสุขที่ผมลงไปแล้ว  เชิญทัศนากันตามอัธยาศัยนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 28 เมษายน 2012, 15:40:05
  ตอนนั้นผมเชียร์ให้ซื้อ CPN ตั้งแต่ 25-26 บาทมีใครซื้อไว้มั่งล่ะ  ท่านวัยทองผมรู้สึกแนะนำไปอยู่ ตอนนั้นอาจลองเชิงอยู่... :D ;D

ปล.ถ้าซื้อตอนนั้นโชว์ได้แบบไม่อายใครเลย...55+


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 28 เมษายน 2012, 16:14:06
  ลึกซึ้งมากครับ  สำหรับคติธรรมที่ท่านนำมาฝาก  ผมบอกแล้วไง  ว่านักลงทุนที่ดีควรศึกษาเรื่องปรัชญาในแขนงต่างๆ ด้วย

บางครั้ง ความกลัว ความโลภนี่แหละที่ทำให้เรามีวินัยและอารมณ์ที่ไม่มั่นคงเพียงพอ แนะนำให้ท่านๆ ที่สนใจการลงทุน

สนใจการศึกษาวิชาปรัชญาบ้าง เผื่อมันทำให้ชีวิตดีขึ้น มิใช่...แค่ด้านการลงทุน  แต่โดยรวมก็จะดีขึ้น ผมเชื่ออย่างนั้น.. :D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: pkai69 ที่ วันที่ 28 เมษายน 2012, 20:14:21
พึ่งมาเจอกระทู้นี้ ก็เมื่อตอนขวานบิ่น เง้อ เสียดาย สวัสดีทุกๆท่านนะครับพึ่งมาเป็นสมาชิกใหม่ในเวบนี้ แต่เล่นหุ้นมาสิบกว่าปีแระเหนด้วยกับความเห็นของหลายๆท่านในกระทู้นี้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 30 เมษายน 2012, 09:38:32
พึ่งมาเจอกระทู้นี้ ก็เมื่อตอนขวานบิ่น เง้อ เสียดาย สวัสดีทุกๆท่านนะครับพึ่งมาเป็นสมาชิกใหม่ในเวบนี้ แต่เล่นหุ้นมาสิบกว่าปีแระเหนด้วยกับความเห็นของหลายๆท่านในกระทู้นี้

  ยินดีต้อนรับครับท่าน... บิ่นก็ไปตีไปเข่นมันให้คมใหม่ได้  ผมก็บิ่นมาหลายรอบแล้ว  แต่ก้ยังใช้ฟันไม้งามอยู่... :D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 30 เมษายน 2012, 09:44:42
อยากให้ท่านวายุอธิบายเกี่ยวกับการซื้อหุ้นที่ละ 100 หุ้นหน่อยครับ

เพราะวันก่อนที่คุยกันแล้วน่าสนใจ และน่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกมากๆ

เรื่องก็ประมาณว่า บางรายไม่กล้าซื้อหุ้นที่ละ 100 เพราะกลัวเสียค่าคอมที่แพงๆ  (http://อยากให้ท่านวายุอธิบายเกี่ยวกับการซื้อหุ้นที่ละ 100 หุ้นหน่อยครับ

เพราะวันก่อนที่คุยกันแล้วน่าสนใจ และน่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกมากๆ

เรื่องก็ประมาณว่า บางรายไม่กล้าซื้อหุ้นที่ละ 100 เพราะกลัวเสียค่าคอมที่แพงๆ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 30 เมษายน 2012, 09:53:56
อยากให้ท่านวายุอธิบายเกี่ยวกับการซื้อหุ้นที่ละ 100 หุ้นหน่อยครับ

เพราะวันก่อนที่คุยกันแล้วน่าสนใจ และน่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกมากๆ

เรื่องก็ประมาณว่า บางรายไม่กล้าซื้อหุ้นที่ละ 100 เพราะกลัวเสียค่าคอมที่แพงๆ  (http://อยากให้ท่านวายุอธิบายเกี่ยวกับการซื้อหุ้นที่ละ 100 หุ้นหน่อยครับ

เพราะวันก่อนที่คุยกันแล้วน่าสนใจ และน่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกมากๆ

เรื่องก็ประมาณว่า บางรายไม่กล้าซื้อหุ้นที่ละ 100 เพราะกลัวเสียค่าคอมที่แพงๆ)

  ก็ตามหลักเหรียญ 2 ด้านนั่นแหละครับ สำหรับผมจะซื้อเป็นล๊อต (ไม่ใช่บิ๊กล๊อตนะ  :D ;D) เช่นเช้าซื้อ 5 พัน

บ่ายอีก 5 พันในวันนั้น  ก็จะเสียค่าคอมฯ เท่ากัน ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย  แต่เราบริหารความเสี่ยงตรงนี้ได้ถ้าบ่ายลบ...


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 30 เมษายน 2012, 14:02:00
อยากให้ท่านวายุอธิบายเกี่ยวกับการซื้อหุ้นที่ละ 100 หุ้นหน่อยครับ

เพราะวันก่อนที่คุยกันแล้วน่าสนใจ และน่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกมากๆ

เรื่องก็ประมาณว่า บางรายไม่กล้าซื้อหุ้นที่ละ 100 เพราะกลัวเสียค่าคอมที่แพงๆ  (http://อยากให้ท่านวายุอธิบายเกี่ยวกับการซื้อหุ้นที่ละ 100 หุ้นหน่อยครับ

เพราะวันก่อนที่คุยกันแล้วน่าสนใจ และน่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกมากๆ

เรื่องก็ประมาณว่า บางรายไม่กล้าซื้อหุ้นที่ละ 100 เพราะกลัวเสียค่าคอมที่แพงๆ)

  ก็ตามหลักเหรียญ 2 ด้านนั่นแหละครับ สำหรับผมจะซื้อเป็นล๊อต (ไม่ใช่บิ๊กล๊อตนะ  :D ;D) เช่นเช้าซื้อ 5 พัน

บ่ายอีก 5 พันในวันนั้น  ก็จะเสียค่าคอมฯ เท่ากัน ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย  แต่เราบริหารความเสี่ยงตรงนี้ได้ถ้าบ่ายลบ...

ก็น่าจะประมาณนี้แหละครับ แต่วิธีการอธิบายให้เข้าใจและเป็นเนื้อหา ท่านวายุเขาชำนาญ 55+ (http://ก็น่าจะประมาณนี้แหละครับ แต่วิธีการอธิบายให้เข้าใจและเป็นเนื้อหา ท่านวายุเขาชำนาญ 55+)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 30 เมษายน 2012, 15:44:59
อยากให้ท่านวายุอธิบายเกี่ยวกับการซื้อหุ้นที่ละ 100 หุ้นหน่อยครับ

เพราะวันก่อนที่คุยกันแล้วน่าสนใจ และน่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกมากๆ

เรื่องก็ประมาณว่า บางรายไม่กล้าซื้อหุ้นที่ละ 100 เพราะกลัวเสียค่าคอมที่แพงๆ  (http://อยากให้ท่านวายุอธิบายเกี่ยวกับการซื้อหุ้นที่ละ 100 หุ้นหน่อยครับ

เพราะวันก่อนที่คุยกันแล้วน่าสนใจ และน่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกมากๆ

เรื่องก็ประมาณว่า บางรายไม่กล้าซื้อหุ้นที่ละ 100 เพราะกลัวเสียค่าคอมที่แพงๆ)
มาแล้วตามคำขอ

     ขอยกตัวอย่างเลยดีกว่า  อธิบายง่ายดี  มีอยู่วันหนึ่งท่านวัยทองมาปรึกษาด้วยความกลุ้มอกกลุ้มใจว่า  เงินเยอะจนไม่รู้ว่าจะเอาไปเก็บไว้ไหนดี  ผมก็เลยแนะนำไปว่า  ซื้อหุ้น  7-11  สิ  ท่านวัยทองได้ยินดังนั้นก็นั่งดีดลูกคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็บอกว่า  ได้สิ...แต่เงินผมสามารถซื้อได้เพียงแค่  500  หุ้นเท่านั้น  ผมว่ากำลังจะรอซื้อตูมเดียวหมดตังค์เลย  ผมก็เลยทักท้วงไปว่า  ซื้อไม้เดียวหมดตังค์นั้นเสี่ยงมาก  น่าจะทยอยเข้าซื้อจะดีกว่า  ท่านวัยทองก็บอกมาว่า  ถ้าแบ่งซื้อแล้วเสียดายค่าคอมเป็นหนักหนา  เพราะถ้าเข้าซื้อสองขยัก  จากที่ต้องโดนค่าคอมแค่ไม่กี่สิบ  ก็จะต้องโดนค่าคอมเป็นร้อย  แต่ผมก็ให้ข้อคิดว่า  สมมุติว่าท่านซื้อไปก่อน  300  หุ้น  ท่านเสียค่าคอมไป  50  บาทถูกต้องไหม  แต่ถ้าสมมุติว่าหุ้นตกลงมาอีก  2  บาท  ท่านก็ยังเหลือเงินไว้ซื้ออีก  200  หุ้น  นั่นเท่ากับว่า  ท่านสามารถประหยัดเงินจากที่ต้องเข้าทีเดียวตอนแรกไปถึง  400  บาทเชียวนา  ถึงแม้ว่าท่านจะโดนค่าคอมในรอบหลังไปอีก  50  บาทก็ตาม  แต่ท่านก็ยังประหยัดตังค์ไปได้อีกถึง  300  บาทเชียว  หนำซ้ำยังไม่พอ  ต้นทุนถัวเฉลี่ยของหุ้นก็ยังลดลงด้วย  เมื่อท่านวัยทองได้ฟังดังนั้น  ก็บรรลุสัจธรรมทันที

     นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของคนเบี้ยน้อยหอยน้อยแต่อยากลงทุน  แต่ทีนี้ก็ดันมางกค่าคอมโดยไม่ใช่เรื่อง  และในทางกลับกัน  ถ้าคุณเห็นหุ้นตัวนั้นน่าจะขึ้นแน่นอน  คุณจะเสียเวลาเก็บเงินให้เยอะๆก่อนแล้วค่อยมาซื้อโดยหวังจะประหยัดค่าคอม  แล้วถ้าหุ้นตัวนั้นมันพุ่งขึ้นไปอีกเรื่อยๆ  ทีนี้คุณอาจจะท้อใจจนไม่อยากซื้อหุ้นนั้นแล้วก็ได้  เพราะราคามันแพงกว่าตอนที่คุณเล็งมันไว้ซะอีก


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 30 เมษายน 2012, 16:09:27
แกะรอย  (สำหรับมือใหม่ทุกท่าน)
     ในชีวิตประจำวัน  ไม่ว่าหุ้นจะผ่านเข้ามาทำให้คุณสนใจด้วยวิธีใดก็ตาม  ทั้งจากรายการช่องเศรษฐกิจ  จากหนังสือพิมพ์  จากคนอื่นบอกมา  จากการใช้สินค้าและบริการต่างๆของบริษัทแล้วเกิดความประทับใจ  จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการแกะรอยควรจะเป็นการอ่านรายงานประจำปีของบริษัทที่เรากำลังสนใจอยู่  และการแกะรอยนี้  ถือว่าเป็นสุดยอดวิชาสำหรับนักลงทุนวงนอก(รายย่อย)อย่างพวกเราเลยนะครับ  เดี๋ยวผมจะมาช่วยทุกท่านที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยมาแกะรอยของหุ้นตัวที่เราสนใจกันดีกว่า  ซึ่งนี่จะเป็นตัวอย่างหนึ่งในการเริ่มต้นของเรา  แต่ผมขอบอกไว้ก่อนเลยนะครับว่า  ถ้าคุณอ่านรายงานประจำปีไม่รู้เรื่อง  แสดงว่าคุณไม่เข้าใจธุรกิจนั้น  หรือถ้าคุณมีความรู้ในเรื่องการทำธุรกิจปานกลาง  และคุณก็ยังอ่านไม่เข้าใจอยู่ดี  นั่นก็แสดงว่า  เจ้าของบริษัทไม่ต้องการให้คุณรู้เรื่อง  คำแนะนำก็คือ  ไม่ว่าคุณจะมีความรู้ในระดับใด  ถ้าคุณอ่านแล้วไม่เข้าใจ  คุณก็ไม่ควรไปยุ่งกับบริษัทนั้น

     สำหรับหุ้นตัวอย่างที่ผมจะพามาแกะรอยกันในวันนี้คือ  หุ้นที่กำลังอยู่ในกระแสมากตัวหนึ่ง  หุ้นตัวนั้นก็คือ  Loxley  หุ้นตัวนี้กำลังมีข่าวเกี่ยวกับการทำหวยออนไลน์อยู่  ซึ่งทุกวันนี้  ราคามันขึ้นๆลงๆเพราะข่าวนี้เป็นส่วนใหญ่  แล้วการได้ทำหวย  มันมีความสำคัญต่อหุ้นตัวนี้มากขนาดนั้นเลยหรือ  เดี๋ยวผมจะมาช่วยทุกท่านไขข้อข้องใจกันแล้ว  แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า  นี่เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวเท่านั้น  ซึ่งมันอาจจะผิดก็ได้  พิจารณากันเอาเองนะครับ

     ก่อนอื่นเลย  ขอให้ทุกท่านที่สนใจ  โหลดรายงานประจำปีของบริษัทมาเก็บไว้ก่อน

http://www.loxley.co.th/upload/multi/189/annual11_t.pdf

หลังจากวันนี้อีกพอประมาณ  เดี๋ยวผมจะเข้ามาลงความรู้ให้อ่านกัน  เพราะเดี๋ยวเราต้องรอเพื่อนๆที่สนใจแต่เข้ามาอ่านช้ากว่าก่อนนะครับ  หรือถ้าท่านโหลดมาแล้วและอยากรู้  ก็อ่านก่อนได้นะครับ  เวลาอ่านก็พยายามทำความเข้าใจกับธุรกิจเขาหน่อย  ถ้ายังไม่รู้เรื่องก็รอผมและเพื่อนๆอีกแป๊บนึง  เพราะมีมือใหม่หลายคนแล้วที่ไปหาผม  แต่ผมก็มัวแต่ขายของอยู่  เลยไม่มีเวลาคุยกันมาก  เดี๋ยวกระทู้นี้แหละจะแหล่มแล้ว


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 03 พฤษภาคม 2012, 16:02:08
วิเคราะห์บริษัทล็อกซเล่ย์  (การลงทุนมีความเสี่ยง)
     รายงานประจำปีฉบับนี้มีทั้งหมด  172  หน้า  และการกล่าวอ้างของผมก็จะบอกกล่าวเป็นหน้าที่เท่าไหร่(จากคอม  ไม่ใช่หน้าที่เท่าไหร่จากตัวรายงาน)  ขอให้เข้าใจตรงกันด้วยนะครับ

     หน้า  8  หน้านี้เป็นข้อมูลสรุปทางการเงิน  สังเกตดูช่องรายได้รวม  แม้รายได้จะเพิ่มขึ้นทุกปี  แต่กำไรไม่คงที่(ปี  52  กำไร  310  ล้าน  ปี  53  ขาดทุน  138  ล้าน  ปี  54  กำไร  298  ล้าน)  เพราะฉะนั้น  อาจเป็นไปได้ว่า  ขายของหรือทำงานมากก็จริง  แต่ไม่มีกำไร  ทำไปก็เหนื่อย  ดังจะเห็นได้จาก  เมื่อเอากำไรของปี  52  และปี  54  ไปคำนวณกับรายได้รวมจะพบว่า  ทั้งสองปีบริษัททำรายได้ไปปีละหมื่นกว่าล้าน  แต่มีกำไรแค่สามร้อยล้าน  เมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว  กำไรแค่  2-3  %  เท่านั้นเอง  นับว่ากำไรน้อยมาก  เมื่อเทียบกับการทำธุรกิจอย่างอื่น  ถ้ามีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นเช่นค่าแรงขึ้น  ราคาน้ำมันขึ้น  นั่นจะเป็นเหตุทำให้ได้กำไรน้อยลงหรือถึงกับขาดทุนได้เลยทีเดียว  สำหรับช่องอื่นๆนั้น  ผมไม่ค่อยให้ความสนใจมากเท่าไหร่  เพราะไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน  หนี้สิน  หรืออะไรก็ตาม  มันก็จะมาสะท้อนเบ็ดเสร็จอยู่ตรงที่กำไรนี่แหละ  ถึงแม้ว่าจะมีทรัพย์สินมากขนาดไหนก็ช่าง  แต่ถ้ามันทำให้งอกออกมาเป็นเงินไม่ได้  มีไปก็เท่านั้น

     หน้า  9  โครงสร้างรายได้ของบริษัท  ถ้าสังเกตดูจะพบว่า  บริษัทนี้ทำธุรกิจหลายอย่างมาก  แบ่งออกเป็น  3  สายธุรกิจ  และแต่ละธุรกิจ  ก็แยกย่อยออกมาอีก  แต่สิ่งที่ผมให้ความสำคัญก็คือข้อ  1.1 , 1.3  และ  2.1  เนื่องจาก  3  ข้อนี้  มีรายได้มากที่สุด  ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำไรโดยรวมของบริษัท  และตรงนี้จะมีผลต่อราคาหุ้นด้วย  และถ้าเราลองมาดูเป็นข้อๆ  จะเห็นได้ว่า  รายได้ของทั้งสามข้อนี้เพิ่มขึ้นมาจากปีก่อนหน้า  แต่ข้อ  1.3  และ  2.1  นั้นดูดีกว่าเพื่อน  เพราะรายได้เพิ่มขึ้นมา  3  ปีติดต่อกันแล้ว  แต่ถึงแม้ว่าข้อ  1.3  และ  2.1  จะดีขนาดไหน  ก็ไม่สามารถทำให้กำไรโดยรวมเพิ่มขึ้นมาได้  เพราะรายได้ส่วนใหญ่มาจากข้อ  1.1  และเมื่อเรามองย้อนกลับไปที่หน้า  8  ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า  เมื่อข้อ  1.1  รายได้ตก  กำไรโดยรวมของบริษัทก็ตกตาม  ดังนั้น  เมื่อมาโฟกัสกันดีๆก็จะเห็นว่า  บริษัทนี้  มีรายได้หลักมาจากข้อ  1.1

     หน้า  10-13  โครงสร้างองค์กร  เมื่อมาดูลึกๆแล้วก็ให้ตกใจเป็นอย่างมาก  เพราะบริษัทนี้  แตกตัวออกเป็นบริษัทย่อยๆอีกเพียบ  ถ้าคุณอยากรู้ความเคลื่อนไหวของบริษัทนี้จริงๆล่ะก็  วันๆคุณไม่ต้องไปทำอะไรแล้ว  คุณต้องคอยเช็คบริษัทลูกที่มีอยู่ทั้งหมด  ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก  แต่ถ้าคุณไม่ต้องการเช็คทั้งหมดก็ได้  เพราะตอนนี้เรารับรู้มาแล้วว่า  หน่วยงานที่มีรายได้กับบริษัทมากที่สุดคือกลุ่มสารสนเทศและโทรคมนาคม  คุณก็โฟกัสลงไปที่หน่วยงานนี้เลยก็ได้  แต่กลุ่มสารสนเทศและโทรคมนาคมก็มีบริษัทลูกอีกเพียบ  คำถามก็คือว่า  คุณรู้จักบริษัทพวกนี้ทั้งหมดหรือไม่?  และคุณจะรู้ไหมว่าเมื่อไหร่ที่บริษัทพวกนี้จะได้งานหรือไม่ได้งาน  ถ้าคุณไม่รู้  การลงทุนนี้ก็ยากที่จะติดตามได้  และไหนจะเป็นงานตามข้อ  1.3  อีกล่ะ(กลุ่มธุรกิจงานโครงการ)  ว่ากันตามตรงแล้ว  ผมไม่ชอบบริษัทที่ทำธุรกิจแบบรับเหมาหรืองานโครงการเลย  เหตุผลก็เพราะว่า  งานพวกนี้มันเหมือนตำข้าวสารกรอกหม้อ  เวลาไม่มีงานก็ไม่มีรายได้  งานพวกนี้มันก็เลยรายได้ไม่แน่นอน  ถ้าวันไหนไม่มีงานทำ  รายได้ก็คงจะหดตัวลง  และเมื่อเรามาดูเฉพาะกลุ่มธุรกิจงานโครงการอีกก็จะเห็นว่า  มีบริษัทลูกอีกบานตะเกียง  แล้วเราจะรู้ความเคลื่อนไหวของทั้งหมดได้อย่างไร  และถ้าดูให้ดีในหน้า  10  ที่บรรทัดล่างสุดเขาบอกว่า  ทั้งข้อ  1.1 , 1.2  และ  1.3  นั้น  งานส่วนใหญ่เป็นงานโครงการ  ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่า  รายได้หลักของบริษัท  กระจุกตัวอยู่แต่ในงานโครงการเท่านั้น

     หน้า  20  แผนภาพธุรกิจ  เมื่อมองเข้าไปถึงสินค้าของบริษัทก็พบว่า  ทำธุรกิจหลากหลาย(มั่วได้ใจจริงๆ)  มีทั้งน้ำมันพืชกุ๊ก  นมหนองโพ  ถั่วกรีนนัท  ปลากระป๋องซีเล็ค  ชาระมิงค์  ผลไม้กระป๋องมาลี  กูลิโกะ  น้ำมันคาสตรอลและบีพี  ทำธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น  ทำธุรกิจ รปภ.  ทำภาพยนตร์  ขายมือถือโซนี่,แอปเปิ้ล,โมโตโรล่า  การให้บริการเช่าอาคารสำนักงาน  เช่าพื้นที่ป้ายโฆษณา  งานบริการรักษาความสะอาด  งานก่อสร้าง  ขายเคมีภัณฑ์  ขายอาหารกุ้ง  ฯลฯ  และเมื่อมองสินค้าที่ขายแต่ละอย่างนั้น  จะเห็นได้ว่าไม่มีสินค้าอะไรที่เป็นของตัวเองเลย  รับเขามาขายทั้งนั้น  แถมยังไม่พอ  สินค้าพวกนี้ก็ไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างสักเท่าไหร่  รายได้มันก็เลยเรื่อยๆ

     หน้า  21-44  เป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกิจของบริษัท  อ่านกันให้ตายไปเลยครับ  รู้เรื่องบ้าง  ไม่รู้เรื่องบ้าง  แต่ที่เป็นประเด็นจริงๆของหุ้นตัวนี้ก็คือ  ทุกวันนี้นักลงทุนต่างก็มีความหวังกับโครงการหวยออนไลน์กันมาก  โดยเข้าใจว่า  เมื่อบริษัทได้ทำหวยเมื่อไหร่  กำไรคงกระฉูด  แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ  ดูที่หน้า  40  ครับ  มีคำอธิบายของทางบริษัทไว้ว่า  บริษัทที่เป็นผู้รับดำเนินการเรื่องเกมสลากนั้นคือบริษัทล็อกซเล่ย์  จีเท็ค  เทคโนโลยี  ซึ่งเมื่อเรามองย้อนกลับมาดูที่หน้า  13  ก็จะเห็นได้ว่า  บริษัทล็อกซเล่ย์  จีเท็ค  เทคโนโลยีนั้น  เป็นส่วนเล็กๆแค่ส่วนหนึ่งของบริษัทล็อกซเล่ย์เท่านั้นเอง  เนื่องจากเป็นการร่วมทุนกับบริษัทอื่น  โดยส่วนของบริษัทล็อกซเล่ย์เองมีสัดส่วนการถือหุ้นนั้นเพียงแค่  35  %  เท่านั้น  ทีนี้ถ้าบริษัทล็อกซเล่ย์ได้ทำหวยออนไลน์จริง  รายได้ที่เข้ามาก็เพียงแค่  35  %  ตามจำนวนเงินที่ร่วมทุน  และรายได้จากหวยที่เข้ามานั้น  ยังต้องนำมาคำนวณรวมกับรายได้ที่มาจากทางอื่นอีก  ถ้าสมมุติว่ารายได้จากกลุ่มใหญ่ที่สุดตกลง(งานโครงการ)  รายได้โดยส่วนใหญ่ก็คงโดนถัวลงมาเช่นกัน  ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว  การได้ทำหวยออนไลน์ก็คงไม่มีผลอะไรมากมายต่อบริษัทนี้นัก  เนื่องจากว่า  บริษัทนี้ทำธุรกิจหลายอย่างเกินไป  แต่ถ้าสมมุติว่าบริษัทนี้  ทำธุรกิจหวยออนไลน์เพียงอย่างเดียว  และไม่ได้ไปร่วมทุนกับใครด้วย  การวิเคราะห์ตัวบริษัทจะง่ายกว่านี้  และถ้าบริษัทได้ทำหวยออนไลน์เมื่อไหร่  ราคาหุ้นคงกระฉูดจนหยุดไม่อยู่แน่นอน  สรุปแล้วในมุมมองของผม  บริษัทนี้ยากเกินไปสำหรับผมครับ  ผมจะไม่ลงทุนกับหุ้นตัวนี้  ไม่ว่าจะได้ทำหวยหรือไม่ได้ทำก็ตาม  แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นผลกระทบจากเหตุการณ์นี้นั่นก็คือ  ถ้าบริษัทนี้ได้ทำหวยจริง  7-11  จะได้ประโยชน์ไปด้วยโดยไร้ความเสี่ยง  เพราะเคยมีข่าวออกมาว่า  ถ้าบริษัทล็อกซเล่ย์ได้ทำหวยเมื่อไหร่  ก็คงจะเอาเครื่องไปวางตาม  7-11  ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง  7-11  ก็จะได้ค่าวางเครื่อง  ยิ่งวางมาก  7-11  ก็ได้ค่าวางมาก  ดีจริงๆ...เสร็จหุ้นผมอีกแล้ว


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 04 พฤษภาคม 2012, 08:25:16
หุ้น cpall วันนี้ลงแรงดีจริงๆ น่ารับที่ราคาเท่าไรดีครับ  อยากมากๆ หุ หุ

  สำหรับผม ณ ตอนนี้สำหรับหุ้น CPALL และราคานี้  ผมไปเล่นตัว SPC,SPI ดีกว่าดูมีอนาคตกว่าเยอะ ได้หลายอย่างด้วย   :D ;D

ปล.รู้มั้ยว่า 108 Shop ไม่มีสาขาเยอะเพราะอะไร  คิดให้มากๆ นะนักลงทุน  55+


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: pkai69 ที่ วันที่ 04 พฤษภาคม 2012, 10:05:53
หุ้น cpall วันนี้ลงแรงดีจริงๆ น่ารับที่ราคาเท่าไรดีครับ  อยากมากๆ หุ หุ

  สำหรับผม ณ ตอนนี้สำหรับหุ้น CPALL และราคานี้  ผมไปเล่นตัว SPC,SPI ดีกว่าดูมีอนาคตกว่าเยอะ ได้หลายอย่างด้วย   :D ;D

ปล.รู้มั้ยว่า 108 Shop ไม่มีสาขาเยอะเพราะอะไร  คิดให้มากๆ นะนักลงทุน  55+
  สนใจอยู่เหมือนกันนะ รอจังหวะอยู่ครับ 555+


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: pkai69 ที่ วันที่ 04 พฤษภาคม 2012, 10:12:19
หุ้น cpall วันนี้ลงแรงดีจริงๆ น่ารับที่ราคาเท่าไรดีครับ  อยากมากๆ หุ หุ

ท่านต้องทราบด้วยนะครับ ว่าที่มันลง เพราะอะไร (http://ท่านต้องทราบด้วยนะครับ ว่าที่มันลง เพราะอะไร)
หุ หุ รอจังหวะเข้าเสียบถ้าราคาสมเหตูสมผล รอบที่ผ่านมามัวแต่ง้างไม่ได้ฟันพอจะฟันแล้วหนี รอหุ้นที่ปันผลเข้า 22 พ ค ก่อนค่อยดูเชิงอีกที


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 08 พฤษภาคม 2012, 15:56:00
ฉีกตำราเกี่ยวกับค่า  PE  (สำหรับมืออาชีพ)
     ผมเชื่อว่ามีไม่กี่คนที่มีความคิดเหมือนผมเกี่ยวกับค่า  PE  เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วเรารู้จักค่า  PE  มาจากการศึกษาและการบอกต่อหรือมันเป็นเครื่องมือที่นิยมใช้กันในตลาด  แต่ทีนี้จากการสังเกตการณ์ของผมเองกลับพบว่า  การประเมินด้วยวิธีนี้มันมีจุดอ่อน  เวลาเราจะใช้เครื่องมือชนิดนี้(PE)  เราไม่ควรปักใจเชื่อว่ามันเป็นมาตรวัดเดียวหรือมีมาตรฐานเดียวในการที่ต้องใช้มัน  PE  พวกนี้มันเป็นแค่ตัวช่วยหนึ่งในการตัดสินใจลงทุนเท่านั้น  เนื่องจากว่าแต่ละบริษัทที่อยู่ในตลาด  ไม่สามารถใช้ค่า  PE  ร่วมกันได้  แม้ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมที่เหมือนกันเปี๊ยบก็ตาม  และอีกหนึ่งอย่างที่เราควรรู้ก็คือ  ตัวเลขของค่า  PE  นั้น  “ไม่ถูกต้องเสมอไป”  ยิ่งถ้าหากว่าเราต้องคาดการณ์ไปในอนาคตเกี่ยวกับหุ้นของบริษัทที่ต้องเติบโตด้วยแล้ว  การกำหนดให้ค่า  PE  นั้นถูกต้องจะเป็นเรื่องที่ยากมาก  และมีบางอย่างที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ  ค่า  PE  ที่เรามองมันอยู่บ่อยๆ  บางทีมันกลับเป็นตัวที่ทำให้เราปอดแหกเสียเองเช่น  ค่า  PE  ของบางบริษัทมีค่าสูงมาก  เราก็จะไม่สนใจมัน  ไม่ว่ามันจะสามารถโตได้อย่างน่าตื่นเต้นแค่ไหนก็ตาม  เพราะคนโดยส่วนใหญ่จะมีความคิดหรือถูกเสี้ยมมาว่า  จะซื้อทั้งทีต้องของถูกเท่านั้น  ใครซื้อแพง...โง่  ซึ่งในส่วนของประเด็นนี้ที่ว่า  หุ้นที่มีค่า  PE  สูงจะทำให้ระยะเวลาในการคืนทุนนานนั้นท่านว่าจริงหรือไม่  เดี๋ยวเรามาพิสูจน์กัน

     เมื่อไม่กี่วันมานี้  มีมหกรรมติดดอยกันยกใหญ่จากหุ้น  7-11  พ่อเลี้ยงเกิดมาในตลาดกันเพียบ(ซื้อดอยเป็นลูกๆ)  ตอนที่หุ้นพุ่งขึ้นไปจนถึงราคา 44  บาท  มันน่าตกใจมากที่ค่า  PE  ของ  7-11  ขึ้นไปถึง  50  เท่า  ถ้าค่า  PE  ที่มันเป็นอยู่ในขณะนี้เกิดขึ้นกับหุ้นที่อิ่มตัวแล้ว  นั่นจะหมายความว่า  คุณต้องถือหุ้นนั้นไปอีก  50  ปีจึงจะคืนทุน!!!  แต่คุณต้องทำความเข้าใจก่อนว่านี่มันไม่ใช่หุ้นอิ่มตัว  มันเป็นหุ้นเติบโตสูง  เพราะฉะนั้นแล้ว  มันจะไม่ใช่  50  ปีอย่างที่พ่อเลี้ยงทุกคนคิด  แล้วคำถามที่ตามมาก็คือ  มันต้องถือไปอีกกี่ปีล่ะ  งั้นดูตามตัวเลขประมาณการของผมได้

     ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนสักเล็กน้อยเกี่ยวกับตัวเลขต่างๆที่จะเอามานำเสนอ  ในปีที่ผ่านมา  7-11  ทำกำไรไปได้หุ้นละ  1.78  บาท  แต่เมื่อนำมาหารสองตามจำนวนของหุ้นที่จะเพิ่มขึ้นมาในอัตรา  1:1  กำไรต่อหุ้นก็จะลดลงเหลือ  0.89  บาทต่อหุ้น  และถ้าคุณเกิดเข้าไปซื้อตอนที่หุ้นมันราคา  44  บาท  นั่นก็จะเท่ากับว่า  44  /  0.89  =  PE   49.43  สิ่งนี้มันจะน่าตกใจหากหุ้นนั้นไม่โตแล้ว  เพราะคุณต้องถือหุ้นไปจนหงำเหงือกกว่าจะได้เงินคืนมา  แต่...แต่น  แตน  แต๊น  นี่คือ  7-11  ก๊าบ..บบ  มันสามารถโตได้ปีละ  20  %  (จากที่มันเคยเป็น)  และตลาดจะให้ค่า  PE  สำหรับตัวมัน  30  (จากที่มันเคยเป็น)  แล้วเราลองมาดูกันว่า  คุณต้องถืออีกกี่ปี  (นี่เป็นการประมาณการเท่านั้น)


กำไรต่อหุ้น               ราคาที่คุณเข้าซื้อ     ค่า  PE  ของคุณ     ราคาที่ควรจะเป็น
(ถ้ามันโตปีละ  20  %)                           จะเท่ากับ             หากตลาดให้ค่า PE 30
0.89                             44                   49.43                        26.70
1.068                           44                   41.19                        32.04
1.28                             44                   34.37                        38.4
1.53                             44                   28.75                        45.9

     เมื่อได้ดูแล้วเห็นอะไรบ้างครับ  จากประมาณการดังกล่าว  คุณต้องถือหุ้นเพียงแค่  4  ปีเท่านั้นจึงจะคืนทุน  ไม่ใช่  49  ปีตามตัวเลขในตอนแรก  เพราะถ้าบริษัทมันโตได้เรื่อยๆ  ค่า  PE  มันก็จะลดลงมาเอง  และเมื่อค่า  PE  ลดลงมา  ตลาดก็จะไล่ราคาขึ้นไปให้มันเหมาะสมใหม่  ดังนั้นในปีที่  4  ทุนคุณก็คืนมาพร้อมกับกำไรอีกนิดหน่อยแล้ว  นี่ยังไม่ได้นับรวมเงินปันผลที่คุณจะได้ระหว่างติดหุ้นอยู่อีกนะ  ถ้าปันผลกันมาทุกปีและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  คุณก็จะคืนทุนไวขึ้น  เหมือนผมสมัยที่เข้าซื้อ  7-11  ในตอนแรกๆ  ตอนนั้นหุ้นราคายี่สิบกว่าบาทและค่า  PE  30  ช่วงนั้นใครก็บอกว่าหุ้นแพง  ต้องถือตั้ง  30  ปีจึงจะคืนทุน  แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน  ไอ้ที่บอกว่าต้องถือกัน  30  ปี  กลับกลายเป็นว่าถือแค่ไม่เท่าไหร่กำไรบานเบอะ  แต่นี่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะใช้ได้กับหุ้นทุกตัวหรอกนะ  เพราะแต่ละตัวจะมีการเติบโตที่ไม่เท่ากัน  ถ้าคุณติดหุ้นตัวอื่นอยู่  ก็ต้องไปนั่งคำนวณเอาเองแล้วล่ะ  แต่ผมคาดว่าคนที่ติดดอยส่วนใหญ่  คงจะไม่มานั่งคำนวณให้เสียเวลาหรอก  สู้ขายทิ้งเอาเงินกลับคืนมาง่ายกว่า  ทำไมถึงเป็นงั้นน่ะเหรอ  ก็ถ้าเขาคำนวณเก่งจริง  เขาคงไม่เข้าไปติดหุ้นตั้งแต่ทีแรกแล้วล่ะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 11 พฤษภาคม 2012, 12:14:08
ไม่รู้จะเอาลงกระทู้ไหน  ขอเอามาลงกระทู้พี่ชายวายุละกันครับ (http://ไม่รู้จะเอาลงกระทู้ไหน  ขอเอามาลงกระทู้พี่ชายวายุละกันครับ)

(https://fbcdn-sphotos-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/544579_420523674643075_212220085473436_1511219_2112375757_n.jpg)

"คนรวย...เป็นคนกำหนดหลักสูตรการศึกษา
ส่วนคนจน...เรียนปริญญาเพื่อทำงานให้คนรวย !!!"

จากหนังสือชื่อ คำคมผู้นำ ถ้อยคำแห่งปราชญ์

-- โรเบิร์ต คิโยซากิ --

เจ้าของหนังสือ พ่อรวยสอนลูก (http://"คนรวย...เป็นคนกำหนดหลักสูตรการศึกษา
ส่วนคนจน...เรียนปริญญาเพื่อทำงานให้คนรวย !!!"

-- โรเบิร์ต คิโยซากิ --

เจ้าของหนังสือ พ่อรวยสอนลูก)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 14 พฤษภาคม 2012, 15:49:23
การซื้อหุ้นกลับคืน
     ผมเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้ที่เคยผ่านการซื้อขายหุ้นมาแล้ว  จะต้องเคยขายหุ้นเสร็จแล้วมันก็วิ่งขึ้นไปต่อ(ที่เขาเรียกกันว่าขายหมู)  เมื่อขายเสร็จแล้วก็ให้เสียดายเป็นหนักหนา  อดคิดไม่ได้ว่าถ้าถือไว้นานอีกสักหน่อย  กำไรก็จะเยอะกว่านี้  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมบอกได้เลยว่า  ไม่มีใครรู้หรอกว่าหุ้นมันจะขึ้นและลงไปถึงตรงไหน  ส่วนมากที่ทำได้ก็แค่กะๆเอาเท่านั้น  เมื่อขายหมูเสร็จแล้วก็พลางนึกปลงอนิจจาว่า  ได้น้อยยังดีกว่าไม่ได้  หรือกำไรพอแล้ว  แบ่งให้คนอื่นเขาบ้าง  ไม่อย่างนั้นก็รวยตายน่ะสิ  ฯลฯ  และถ้าทุกคนรู้เหมือนกันหมดว่าหุ้นมันจะไปหยุดอยู่ที่ตรงไหน  ก็คงไม่มีภาษาหุ้นที่ว่าติดดอยหรือขายหมูออกมาเพื่อจำกัดความกันเป็นแน่แท้

     แล้วสาเหตุที่เราขายหุ้นนั้น  เราขายไปทำไม  ขายไปเพื่ออะไร?  บางคนก็บอกว่าทำกำไร  บางคนก็ว่าราคามันสูงเกินพื้นฐานไป  บางคนเห็นตลาดกำลังตกก็ขายตามคนอื่นเขาไป  เพราะกลัวว่าถ้าถือนานกว่านี้ก็อาจขาดทุนบานเบอะ  แต่ไม่ว่าท่านจะขายไปด้วยเหตุผลใดก็ตาม  ไม่ว่าท่านจะคิดก่อนขาย  หรือขายเพราะตกใจ  ท่านเคยคิดจะซื้อหุ้นตัวนั้นคืนบ้างหรือไม่?

     ผมมีความเชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า  เกือบทุกคนก็อยากจะซื้อหุ้นตัวนั้นคืน  แต่ปัญหามันติดอยู่ตรงที่ว่า  ถ้าหุ้นนั้นมันดันราคากระเด้งกลับมาสูงกว่าตอนที่เราขายออกไป  หลายคนทำใจไม่ได้  เขาจะซื้อคืนก็ต่อเมื่อราคามันต่ำกว่าตอนที่เขาขายออกไปเท่านั้น  และถ้าราคาหุ้นนั้นมันไม่ยอมลง  เขาก็จะหันไปซื้อหุ้นตัวอื่นแทน...ถูกต้องไหม  แต่ผมมีประเด็นอยากให้คิดกันนิดหนึ่งว่า  ไม่ว่าคุณจะขายไปด้วยสาเหตุอะไร  หลังจากที่คุณได้ขายไปเสร็จแล้ว  คุณก็ได้ตระหนักว่า  สิ่งที่คุณได้ทำลงไปนั้นมันไม่สมควร  การซื้อหุ้นกลับคืนมา  ไม่ว่าจะในราคาที่ถูกกว่าหรือแพงกว่าตอนที่คุณได้ขายออกไป  มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องและควรทำ(แต่นี่ไม่ได้หมายถึงการซื้อๆขายๆแบบเล่นรอบหรือเก็งกำไรนะ)  หลายคนคิดว่า  การซื้อหุ้นกลับคืนในราคาที่สูงกว่าตอนที่ได้ขายออกไปเป็นสิ่งผิดและโง่เขลา  แต่สำหรับผมแล้ว  ถ้าเหตุผลในการซื้อหุ้นกลับคืนมานั้นเพียงพอ  และมันจะไม่ทำให้คุณต้องสูญเสียหุ้นที่ดีตัวนั้นไปตลอด  นั่นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง  การที่คุณได้ขายหุ้นออกมานั้น  มันเป็นแค่การพลาดไปเท่านั้น  แต่ถ้าคุณไม่ยอมซื้อหุ้นนั้นกลับคืนมาในขณะที่หุ้นตัวนั้นยังดูดีทุกอย่าง  นั่นจะเป็นความผิด  ผมเองก็เคยพลาดขายหุ้นออกมาเพราะกลัวว่าจะไม่ได้กำไรที่กำลังอยู่ในมือ  แต่เมื่อผมได้ขายหุ้นนั้นออกไปแล้ว  กลับกลายเป็นว่าหุ้นตัวนั้นวิ่งขึ้นไปต่ออีก  5  บาท  แต่ผมก็ยอมซื้อหุ้นนั้นกลับคืนในราคาที่แพงขึ้นถึง  5  บาท  เพราะผมได้ตระหนักว่า  ผมได้ทำมันพลาดไป  แต่ผมจะไม่ยอมทำผิดซ้ำอีกอย่างแน่นอน  และทุกวันนี้  สิ่งที่ผมได้ตัดสินใจทำในวันนั้น  ก็ได้ตอบแทนผมด้วยผลตอบแทนที่ดี  ถ้าในวันนั้นผมไม่ยอมซื้อหุ้นกลับคืนมาในราคาที่สูงขึ้นถึง  5  บาท  ทุกวันนี้ผมคงจะต้องสูญเสียหุ้นตัวนั้นและกำไรที่ควรจะได้ไปจริงๆ  การลงทุนส่วนบุคคลสามารถทำได้ไม่มีใครว่า  แต่ถ้าคุณเป็นผู้บริหารกองทุนหรือเทรดเดอร์  การที่คุณทำแบบนี้  คุณอาจถูกยึดจอเทรดได้  และข้อคิดสุดท้ายที่อยากฝากไว้ก็คือ  การที่คุณจะซื้อหุ้นกลับคืนมา  ต้องให้แน่ใจแล้วว่ามันเป็นการลงทุนที่ดีจริงๆ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 16 พฤษภาคม 2012, 15:50:32
ช่วงนี้ใครอยากได้  7-11  ก็จ้องนะครับเพราะ....

รายงานผลกำไรไตรมาสแรกออกมาว่า  กำไรต่อหุ้นที่ทำได้  0.61  บาทต่อหุ้น  ถ้าคำนวณผลกระทบจากการแจกหุ้นแล้วก็ต้องหารสองเหลือกำไรหุ้นละ  0.305

คำนวณต่อไปอีกว่า  ถ้ากำไรปีนี้ที่ทำได้ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยทั้งปีก็ต้องคูณสี่  0.305  *  4  =  1.22  บาท  ต่อหุ้น

ให้ค่า  PE  ไปอีกเท่าเก่าคือ  30  เท่า  ราคาหุ้นที่ควรจะเป็นสำหรับปีนี้คือ  1.22  *  30  =  36.6  บาท

ซึ่งราคาหุ้นช่วงนี้ก็เหมาะสมต่อการลงทุนแล้วนะครับ  ผมก็ซื้อเพิ่มไปแล้ววันนี้ที่  35.50  เพราะผมประเมินว่า  กำไรต่อปีที่  7-11  จะทำได้  ไม่น่าจะเป็นเท่าที่คำนวณไว้จริง  มันน่าจะทำได้มากกว่านั้น  เพราะรัฐบาลกำลังลดภาษีเงินได้ให้บริษัทอยู่อีก  2  ปีข้างหน้า  เพราะฉะนั้น  จะช้าอยู่ใย  หาจังหวะเก็บกันเอาเองเด้อ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 16 พฤษภาคม 2012, 17:34:03
เสี่ยวายุก็โหดเกิน เอาเงินลาก 7-11 ซะเขียวเลยอ่ะ หุหุ (http://เสี่ยวายุก็โหดเกิน เอาเงินลาก 7-11 ซะเขียวเลยอ่ะ หุหุ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 21 พฤษภาคม 2012, 16:08:16
     วันนี้เอาบริษัทที่หุ้นหวือหวาและเป็นที่กล่าวถึงพอสมควรในเว็ปเชียงรายของเรามาให้ช่วยกันวิเคราห์นั่นก็คือ  malee  เท่าที่ผมอ่านรายงานประจำปีดูแล้ว  รู้สึกว่าง่ายต่อการวิเคราะห์ตัวบริษัทพอสมควร  แต่มือใหม่ทุกท่านจะเข้าใจบ้างหรือเปล่า  เดี๋ยวเราค่อยมาว่ากันทีหลัง  วันนี้โหลดรายงานไปอ่านทำความเข้าใจกันก่อน  แล้วเดี๋ยวผมจะเข้ามาออกความเห็นทีหลังนะครับ

http://www.set.or.th/set/companyprofile.do?symbol=MALEE&language=th&country=TH

ดูในกรอบสีฟ้า  ด้านขวาอันบนสุดเขียนว่า  รายงานประจำปีฉบับล่าสุด 2554  โหลดกันเลยนะพี่น้อง  ลับสมองกันหน่อย  ใครรู้สึกอย่างไร  รู้เรื่องอย่างไร  ก็มาบอกกันได้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 21 พฤษภาคม 2012, 18:45:24
     วันนี้เอาบริษัทที่หุ้นหวือหวาและเป็นที่กล่าวถึงพอสมควรในเว็ปเชียงรายของเรามาให้ช่วยกันวิเคราห์นั่นก็คือ  malee  เท่าที่ผมอ่านรายงานประจำปีดูแล้ว  รู้สึกว่าง่ายต่อการวิเคราะห์ตัวบริษัทพอสมควร  แต่มือใหม่ทุกท่านจะเข้าใจบ้างหรือเปล่า  เดี๋ยวเราค่อยมาว่ากันทีหลัง  วันนี้โหลดรายงานไปอ่านทำความเข้าใจกันก่อน  แล้วเดี๋ยวผมจะเข้ามาออกความเห็นทีหลังนะครับ

http://www.set.or.th/set/companyprofile.do?symbol=MALEE&language=th&country=TH

ดูในกรอบสีฟ้า  ด้านขวาอันบนสุดเขียนว่า  รายงานประจำปีฉบับล่าสุด 2554  โหลดกันเลยนะพี่น้อง  ลับสมองกันหน่อย  ใครรู้สึกอย่างไร  รู้เรื่องอย่างไร  ก็มาบอกกันได้

กำไรบาน แถมยังลดหุ้นด้วย เหอๆ มิน่าไล่กันทุกวัน (http://กำไรบาน แถมยังลดหุ้นด้วย เหอๆ มิน่าไล่กันทุกวัน)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 30 พฤษภาคม 2012, 16:02:45
     ขอโทษที่หายไปนานพอดีไม่ค่อยว่างน่ะครับ  วันนี้มาแล้ว  มิตรรักทั้งหลายก็เข้ามาอ่านกันได้ตามอัธยาศัยนะครับ

วิเคราะห์บริษัทมาลี
     มาเริ่มที่หน้า  5  กันเลยนะครับ  ส่วนนี้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการเงิน  เมื่อดูรายได้รวมก็ไม่แน่ไม่นอน  กำไรสุทธิก็เลยผันผวนตามยอดขาย  ตัวเลขอื่นไม่ต้องไปสนใจมันครับ  เพราะมันไม่ได้บ่งบอกอะไรที่ชัดเจนเกี่ยวกับบริษัทเท่ากับกำไรสุทธิ  มีเทคนิคในการอ่านรายงานประจำปีหรืองบการเงินแบบง่ายๆก็คือ  ดูที่กำไรไว้ก่อน  เพราะราคาหุ้นจะวิ่งตามเส้นกำไรเสมอ  สำหรับช่องสินทรัพย์รวมที่มันเพิ่มขึ้น  ถ้ามันเป็นที่ดินและอาคารหรือเครื่องจักร  มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเกี่ยวกับธุรกิจเลย  เพราะมาลีเขาเน้นขายของ  ไม่ได้เน้นที่ทรัพย์สินเหมือนกับพวกอสังหาริมทรัพย์  และถัดลงมาก็เป็นอัตราส่วนทางการเงิน  ตรงนี้ถ้าเป็นมือใหม่ก็ปวดหัว  เพราะไม่รู้ความหมายของสิ่งที่บอก  ถ้าไม่รู้เรื่องก็ผ่านมันไปก็ได้  เพราะมันไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่(สำหรับผม)

     หน้า  7  โครงสร้างรายได้  ให้ดูที่ช่องเปอร์เซ็นต์เป็นสำคัญ  ตรงนี้แสดงให้เห็นว่า  ขายในประเทศเป็นส่วนใหญ่  เพราะมียอดขายถึงเจ็ดสิบกว่าเปอร์เซ็นต์มาตลอด  ไม่รู้ว่าส่งออกแล้วกำไรไม่ดี  หรือว่าไม่เป็นที่นิยมในต่างประเทศหรืออย่างไร  ผมก็สุดจะเดา

     หน้า  17  ลักษณะการประกอบธุรกิจ  ตรงส่วนนี้เริ่มจะเห็นภาพชัดขึ้นแล้วว่า  บริษัทนี้ทำมาหากินอย่างไรบ้าง  โดยสรุปก็มีสินค้าคือ  ผลไม้กระป๋อง  น้ำผลไม้  น้ำนมข้าวโพด  นมตราฟาร์มโชคชัย  และน้ำดื่ม  เมื่อเราดูที่รายการสินค้าของบริษัทแล้วเห็นอะไรบ้างครับ  จากสายตาของผมเอง  สินค้าของบริษัทมาลีนี้  ผมซื้อน้อยครั้งมาก  ปีหนึ่งคงไม่กี่ครั้ง  แล้วทุกคนที่เข้ามาอ่านเป็นเหมือนผมกันบ้างหรือเปล่าครับ  ถ้าเป็นเหมือนกัน  เราก็เดาได้ทันทีว่ามันไม่ค่อยรุ่ง  สำหรับสินค้าของบริษัทนี้  เพราะอัตราการซื้อซ้ำต่ำมาก

     หน้า  21  -  24  ภาวะอุตสาหกรรมและแนวโน้ม

-สำหรับรายได้ของข้าวโพดหวาน  ก็คงไม่หวือหวาเท่ากับราคาหุ้น

-ส่วนธุรกิจน้ำผักและน้ำผลไม้  คำกล่าวอ้างของบริษัท(บรรทัดที่  2)ที่ว่า  เพราะผู้บริโภคเล็งเห็นประโยชน์ที่มากล้นของน้ำผักและผลไม้นั้น  ผมว่ามันก็อาจจะจริง  แต่ทีนี้ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  ช่องโฆษณาในจานดาวเทียมที่เขาขายเครื่องปั่นหรือเครื่องทำน้ำผลไม้สดๆด้วยตัวเองต่างก็ออกมาบอกว่า  น้ำผักและผลไม้ที่ทำมาจากโรงงานนั้น  ไม่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์หลงเหลืออยู่แล้ว  เนื่องจากว่าวิตามินพวกนี้  จะสูญสลายได้ง่ายในความร้อน  แล้วถ้ามันทำมาจากโรงงานจริง  คุณคิดว่าดื่มแล้วจะได้อะไร?  ต้องนี่เลย...เครื่องทำน้ำผลไม้ด้วยตัวเอง  เอาผลไม้สดๆยัดเข้าไปในเครื่อง  แป๊บเดียวก็ออกมาเป็นน้ำให้เห็นกันจะๆตาว่าสดจริง  อย่างนี้คุณค่าสารอาหารมันจะหายไปไหนล่ะซาร่า  โอ้พระเจ้าจอร์จมันเยี่ยมมากเลย...  ถ้าเป็นคนที่รักสุขภาพจริงและติดตามข้อมูลอย่างเพียงพอ  เขาจะแห่กันมาซื้อน้ำกระป๋องกันหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ  แต่สำหรับพวกเราชาวขี้เหล้าหลวงคงได้แต่ขอบาย  ถ้าเป็นเบียร์กระป๋องคงจะโอกว่านี้

-กลุ่มธุรกิจผลไม้กระป๋อง  ความเสี่ยงของสินค้านี้มาจากการควบคุมผลผลิตไม่ได้  ถ้าธรรมชาติเป็นบ้าขึ้นมา  เราก็อาจจะเห็นผู้ถือหุ้นเป็นบ้าตามมาได้  และสำหรับกระป๋องที่เอามาไว้ให้ผลไม้ลงไปยัดกันนั้น  บริษัทก็ไม่ได้ผลิตเอง  ฉะนั้นตรงนี้ก็เป็นความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้อีกเช่นกัน  แต่ถ้าคิดในด้านของผู้ผลิตจริงๆก็จะเห็นว่า  ถ้าต้นทุนเพิ่ม  เราก็สามารถขึ้นราคาได้  แต่ทีนี้มันมีประเด็นอีกว่า(หน้า  23)  ตำแหน่งของบริษัทในอุตสาหกรรม  เมื่อดูจากตัวเลขอาจจะกระหยิ่มในใจว่าไอแอมลีดเดอร์  แต่บริษัทคงลืมไปแล้วกระมังว่าขายในประเทศเป็นหลัก  แล้วทีนี้คนที่ใหญ่กว่าบริษัทมาลี  แต่มาลีนั้นไม่ได้ลงรายละเอียดไว้ก็คือชาวสวนทั้งประเทศ  ถ้าราคาผลไม้กระป๋องหนึ่ง  สามารถซื้อผลไม้สดได้  2  กิโล  ถ้าเป็นเรา  เราจะเลือกอะไร

-กลุ่มเครื่องดื่มธัญพืช  ตลาดนี้ไม่ใหญ่นัก  มีมูลค่าประมาณ  2000  ล้าน  และเจ้าใหญ่ที่ครองตลาดอยู่แล้วก็เป็นไมโลโอวัลติน  ตรงนี้ไม่ต้องให้ความสำคัญมากก็ได้

-นม  อันนี้หนักเลย  มีการควบคุมราคาโดยรัฐอีกต่างหาก  อย่างนี้ถ้าต้นทุนขึ้น  แต่เราไม่สามารถขึ้นราคาเองได้...ตายมั๊ยล่ะ  และที่สำคัญ  นมฟาร์มโชคชัยก็ไม่เป็นที่นิยมด้วย  เพราะถ้าลองถามผมและคนอื่นๆว่ารู้จักนมยี่ห้ออะไรบ้าง  ผมว่าส่วนใหญ่จะตอบว่าโฟร์โมสต์หรือเมจิ  หรือไม่ก็ไทยเดนมาร์ก

     โดยสรุป  ยอดขายที่เพิ่มขึ้นมาของบริษัท  ผมไม่แน่ใจว่ามาจากความสามารถในการแข่งขันของบริษัทจริงๆหรือว่ามาจากน้ำท่วมใหญ่  ซึ่งช่วงนั้นมีของกินอะไรที่สามารถตุนได้และไม่เน่าคนก็จะเอาไว้ก่อน  ถ้าคิดจะลงทุนกันจริงๆ  ปีหน้าฟ้าใหม่ค่อยมาว่ากันอีกที  เพราะถ้าไม่เกิดเหตุการณ์พิเศษอะไรขึ้นแล้วบริษัทสามารถโตได้  อย่างนี้ต้องถือว่าเป็นความสามารถของบริษัทจริงๆ  แต่สิ่งที่ผมไม่ชอบเกี่ยวกับบริษัทนี้ก็คือ  การควบคุมความเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆไม่สามารถทำได้มาก  ไม่ว่าจะเป็นจากภัยธรรมชาติ  จากการแข่งขันกับยี่ห้ออื่น  จากการควบคุมราคาโดยรัฐ  จากราคาเหล็กที่จะนำมาทำกระป๋อง  และตัวสินค้าเองที่สามารถใช้อย่างอื่นมาทดแทนได้(อย่างเช่นผลไม้กระป๋องซึ่งสามารถซื้อของสดทานก็ได้  หรือน้ำผักผลไม้ที่สามารถคั้นเองได้)  ซึ่งเมื่อรวมเอาความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดมาประเมินแล้ว  คนที่ใกล้ชิดกับบริษัทอย่างพวกโชห่วยหรือคนในวงการเกษตร  น่าจะลงทุนในบริษัทนี้ได้ดีที่สุด  ซึ่งนั่น...ไม่ใช่ตำแหน่งที่ผมกำลังเป็นอยู่


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 01 มิถุนายน 2012, 15:54:25
     สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่านิตยสาร ฟอร์บส์ โกลบอล 2000 ทำการจัดอันดับบริษัทมหาชนของโลกจำนวน 2,000 อันดับ ประจำปี 2554 โดยวัดผลจากศักยภาพทางธุรกิจ ได้แก่ ยอดขาย กำไร มูลค่าทรัพย์สินและมูลค่าตลาด

ทั้งนี้บริษัทของไทยมี 17 บริษัทชั้นนำที่ติดอันดับในครั้งนี้ อาทิเช่น บมจ.ปตท.(PTT) หรือปตท. อยู่ในอันดับที่ 167 ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในจำนวนบริษัทของไทย , ขณะที่ธนาคารไทยพาณิชย์ติดอันดับที่ 662 หรือบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน) (ซีพีเอฟ) ที่อยู่ในอันดับที่ 1215 เป็นต้น

สำหรับบริษัทของไทยที่ติดอันดับทั้ง 17 อันดับ มีดังนี้
1. ปตท. อันดับที่ 167
2. ธนาคารไทยพาณิชย์ อันดับที่ 662
3. ปตท. เคมิคอล อันดับที่ 665
4. ธนาคารกสิกรไทย อันดับที่ 679
5. ปูนซิเมนต์ไทย อันดับที่ 683
6. ธนาคารกรุงเทพ อันดับที่ 745
7. ธนาคารกรุงไทย อันดับที่ 974
8. เอไอเอส อันดับที่ 1167
9. ซีพีเอฟ อันดับที่ 1215
10. ไทยออยล์ อันดับที่ 1288
11. อินโดรามา อันดับที่ 1428
12. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา อันดับที่ 1443
13. บ้านปู อันดับที่ 1707
14. ซีพีออลล์ อันดับที่ 1714
15.อินทัช อันดับที่ 1742
16. ไทยเบฟเวอเรจ อันดับที่ 1838
17. ธนาคารธนชาติ อันดับที่ 1886


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 02 มิถุนายน 2012, 08:31:17
ผมอยากลงทุนในหุ้นครับ...
พี่วายุ ช่วยดันผมด้วยนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: thexfile ที่ วันที่ 05 มิถุนายน 2012, 12:02:35
CPALL 33 แล้ว ใครเก็บแล้วบ้าง  ::)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 06 มิถุนายน 2012, 16:28:03
ผมอยากลงทุนในหุ้นครับ...
พี่วายุ ช่วยดันผมด้วยนะครับ

จะให้ดันอย่างไรครับ?


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 06 มิถุนายน 2012, 17:59:56
เป็นป๋าดันแล้ว ฮาๆ (http://เป็นป๋าดันแล้ว ฮาๆ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 06 มิถุนายน 2012, 20:18:39
เป็นป๋าดันแล้ว ฮาๆ (http://เป็นป๋าดันแล้ว ฮาๆ)

 นี่ก็เด็กปั้นของท่านวายุอีกคน  ผู้มีอนาคตไกล  (ถ้ามีค่ารถ)   :D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 06 มิถุนายน 2012, 20:30:34
เป็นป๋าดันแล้ว ฮาๆ (http://เป็นป๋าดันแล้ว ฮาๆ)

 นี่ก็เด็กปั้นของท่านวายุอีกคน  ผู้มีอนาคตไกล  (ถ้ามีค่ารถ)   :D ;D

ช่วงนี้ก็จ่ายค่ารถแพงหน่อยครับ หนทางอีกยาวไกล ค่อยๆไป จะได้ไม่เจ็บตัว (http://ช่วงนี้ก็จ่ายค่ารถแพงหน่อยครับ หนทางอีกยาวไกล ค่อยๆไป จะได้ไม่เจ็บตัว)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 13 มิถุนายน 2012, 01:54:22
ผลตอบแทนมาแล้ว
     ผลตอบแทนในปีที่ผ่านมาของผมน่าพอใจมากทีเดียว  ราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นประมาณ  40  %  และได้รับเงินปันผลอีกประมาณ  2  %  ของเงินลงทุน  เมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นที่ผมรู้จัก  ผมว่ามันน่าจะชนะทุกอย่าง  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ไม่ใช่ว่าหุ้นทุกตัวจะให้ผลตอบแทนได้อย่างนี้  ซึ่งทุกวันนี้ผมก็มีความสุขดีกับชีวิตในแบบที่ผมกำลังอยากให้มันเป็นนั่นก็คือ

1.อยู่เฉยๆให้ผลตอบแทนมันงอกขึ้นเรื่อยๆ  ไม่ต้องคอยประสาทเสียกับการขึ้นลงของตลาด

2.มีเวลาชีวิตไปทำอย่างอื่นที่ผมอยากทำมากไปกว่าที่ต้องมานั่งลุ้นว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร  การที่เราทุกคนจะมีชีวิตอย่างนี้ได้  เราต้องมีความรู้ทางการเงิน  ต้องมีจินตนาการวาดภาพกิจการที่เราต้องการจะลงทุนว่า  ในอนาคตกิจการนั้นมันจะเป็นอย่างไร  โดยการนำเอาข้อมูลหลายๆส่วนเข้ามาประกอบกันและประเมินมันออกมา

3.เราต้องมีเหตุผลและควบคุมอารมณ์ตนเองให้ได้  เราต้องไม่อยากได้หุ้นจนเกินไปในตอนที่ราคามันพุ่งขึ้น  และเราก็อย่าตื่นตกใจขายเมื่อหุ้นกำลังร่วงลง  ถ้าเรามั่นใจว่ากิจการนั้นดีจริง

     ซึ่งการที่เราจะปฏิบัติตนให้ครบได้ทั้งสามข้อดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ยากพอสมควร  แต่ถ้าคุณอยากรวย  นั่นเป็นหน้าที่ของคุณ  ทุกวันนี้การที่ผมออกมาบอกทุกคนว่าต้องทำอย่างไรเพราะผมอยากให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้น  ผมรู้ว่าการไม่มีเงินเป็นอย่างไร  การทำงานหนักแล้วได้เงินน้อยเป็นอย่างไร  การก้มหน้าก้มตาเก็บเงินเพื่อให้มันงอกเงยขึ้นนั้นมันยากขนาดไหน  และการที่ผมมักเอาพอร์ตการลงทุนของผมมาลงก็เพื่อสร้างกำลังใจให้กับทุกคนได้รู้ว่า  การที่ผมทำอย่างนี้แล้วผมได้ผลตอบแทนจริงๆ  ซึ่งอย่าหาว่าผมชอบอวดเลยนะครับที่ผมเอามาลงบ่อยๆ  เพราะผมเชื่อว่าทุกคนที่มีความกลัวจะยังไม่กล้า  ถ้ายังไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จให้ได้เห็น  ซึ่งทุกวันนี้ผมก็พยายามกระตุ้นให้คนที่ยังคลางแคลงใจต่อตลาดหุ้นว่า  มันสามารถทำเงินได้จริงหรือ  ด้วยวิธีการลงทุนที่ธรรมดาๆไม่ซับซ้อนอะไรเลย  ซึ่งคุณก็สามารถทำได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งมืออาชีพแต่อย่างใด  “อย่าพยายามหาคำตอบที่ดีด้วยวิธีการที่ซับซ้อน  เป็นการง่ายกว่าที่จะหาผลลัพธ์ที่ดีด้วยวิธีการที่ง่ายๆ”
  เอาล่ะ...เรามาเข้าเรื่องการลงทุนกันต่อดีกว่า  ช่วงไม่กี่วันมานี้  หุ้นร่วงระนาวกันทั่วโลกจากความวิตกกังลวเกี่ยวกับกลุ่มยูโรโซน  ผมก็คน  คนอื่นก็คน  เพราะฉะนั้นทุกคนก็ต้องมีความกลัว  มันอยู่ที่ว่า  แต่ละคนจะจัดการกับความกลัวตรงนั้นอย่างไร  ถ้าเราไม่ได้มองที่ตลาดหุ้นเป็นสำคัญ  แต่เรามองที่กิจการก่อน  เราก็ควรพยายามอดทนเอาไว้  หรือถ้าจะให้ดีที่สุดก็คือซื้อหุ้นเพิ่ม(ดูที่พอร์ตผมได้  ผมซื้อหุ้นเพิ่มเข้ามาอีก  200  หุ้นจากเงินปันผลที่ผมได้รับ)  เมื่อเวลาที่ความตื่นตระหนกผ่านพ้นไป  เราจะมาคิดย้อนหลังได้ว่า  ถูกแล้วที่เราไม่ได้โดนตลาดชักจูงให้ทำอะไรโง่ๆลงไป  ทุกวันนี้ถ้าเราต้องลงทุนในตลาดหุ้น  มันย่อมหลีกเลี่ยงกับความผันผวนแบบนี้ไปไม่ได้แน่นอน  เราควรเรียนรู้วิธีที่จะอยู่กับมันจะดีกว่า  และเมื่อจะลงทุน  อย่ารอให้อะไรๆมันชัดเจน  เพราะเมื่อถึงเวลานั้น  มันก็สายไปเสียแล้วสำหรับการลงทุนที่ดี  อย่าพยายามรู้ทุกเรื่องก่อนแล้วค่อยลงทุน  เพราะมันเป็นไปไม่ได้  “การที่เราต้องรู้อะไรทุกสิ่งทุกอย่างก่อนแล้วค่อยลงมือทำเหมือนนักวิทยาศาสตร์จะพ่ายแพ้ในที่นี้  เพราะการลงทุนนั้นเป็นศิลปะไม่ใช่ศาสตร์”


     ผมหวังว่าผู้ที่กำลังคิดจะเริ่มลงทุน  ควรมีทัศนคติและมุมมองที่ดีก่อนเริ่มการลงทุน  เพราะนั่นเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่จะทำให้เราไม่ตกเป็นเหยื่อ  ซึ่งผมก็เคยเป็นมันมาก่อน  ผมเริ่มต้นเข้าตลาดโดยไม่มีใครแนะนำ  และผมไม่อยากให้ทุกคนเป็นแบบนั้น  การลงทุนในอุดมคติของผมควรจะออกมาในลักษณะลงทุนในบริษัทที่ดี  มีความแข็งแกร่งในการต่อสู้กับคู่แข่งขัน  มีการเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ  มีเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นบ้างตามสมควร  และที่สำคัญในส่วนของผู้ลงทุนเองก็คือ  อย่าซื้อขายบ่อย  เพราะจะเสียค่าคอมเยอะมาก  และจะเกิดความผิดพลาดได้ง่าย  ควรจะถือยาวเพื่อให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆตามพื้นฐานและความเฟื่องฟูของกิจการ  และการถือยาวนี้ก็มีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งก็คือ  เราจะไม่เสียเวลาไปกับการนั่งเฝ้ามองตลาดเพื่อจะลงมือซื้อและขายจนไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น  ชีวิตเรานี้สั้นนัก  เวลามีน้อย  จงใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตัวเองจะดีกว่า  เนื่องจากว่า  เราเก็บเวลาเอาไว้ใช้ในอนาคตไม่ได้

     และสำหรับท้ายสุดนี้  ถ้าคุณสังเกตดูในปันผลของผมจะเห็นว่า  ผมโดนหักภาษีไปเยอะพอสมควร  ตอนแรกผมมีความคิดว่า  ไม่อยากโดนหักภาษีแบบนี้เลย กะว่าจะขายหุ้นออกมาก่อนแล้วพอปันผลออกหุ้นตก  ผมก็จะกลับมาซื้อหุ้นคืน  แต่ทีนี้ปัญหามันอยู่ที่ว่า  ผมไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่า  เมื่อปันผลแล้วหุ้นจะตกลงมาหรือไม่  และถ้าตกลงมาแล้ว  หุ้นนั้นมันจะลงมาต่ำสุดที่ราคาเท่าไหร่  และที่สำคัญเลย  ถ้าเรามัวแต่นึกถึงภาษีที่เราจะโดนหัก  แต่ไม่ได้นึกเฉลียวใจเลยด้วยซ้ำว่า  ถ้าผมขายออกและซื้อเข้า  ผมจะโดนค่าคอมเป็นจำนวนมากกว่าที่จะต้องเสียภาษีให้รัฐเสียอีก  และเงินในส่วนที่โดนค่าคอมไปนั้น  มีเป็นส่วนน้อยที่จะไปถึงรัฐบาล  เพราะเงินส่วนมากจะเข้ากระเป๋าของโบรกเกอร์  ซึ่งนั่นจะไม่เกิดประโยชน์อันใดต่อภาพรวมของการพัฒนาประเทศเลย  ถ้าผมยอมเสียเงินให้กับรัฐบาล  รัฐบาลสามารถนำเงินของผมตรงนั้นไปสร้างประโยชน์ให้คนอื่นๆรวมทั้งตัวผมเองได้มากกว่าที่จะต้องเสียเงินให้กับโบรกเกอร์  และในตอนนี้ผมก็ไม่คิดที่จะไปขอคืนภาษีเงินได้ก้อนนั้นด้วย  เนื่องจากว่าทุกวันนี้ผมคิดว่า  ผมได้จากรัฐบาลมากกว่าเงินที่ผมเสียให้กับรัฐบาลไปเสียอีก  เพราะช่วงก่อนหน้านี้แม่ผมเข้าโรงพยาบาลโดยไม่เสียเงินเลยสักบาท  และทุกวันนี้แม่ผมยังต้องไปรักษาตัวอย่างต่อเนื่องและต้องเอายาจากโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ  และแฟนผมก็ต้องไปเอายารักษาไมเกรนจากโรงพยาบาลมากินเป็นประจำด้วยเช่นกัน  ซึ่งก่อนหน้าที่แฟนผมจะไปเอายาจากโรงพยาบาลมากินนั้น  แฟนผมไปหาหมอที่คลินิกสัปดาห์ละครั้ง  และเสียค่ายาไปครั้งละพันกว่าบาท  ต้องขอขอบคุณรัฐบาลที่มีโครงการดีๆอย่างนี้ออกมาช่วยเหลือประชาชนนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 13 มิถุนายน 2012, 10:21:18
ผมอยากลงทุนในหุ้นครับ...
พี่วายุ ช่วยดันผมด้วยนะครับ

จะให้ดันอย่างไรครับ?

ช่วยดันให้ผมลงทุนในหุ้น ให้ได้กำไรครับ.. 


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 14 มิถุนายน 2012, 10:17:51
9BS08iMhgHU

 ;D

เตรียมขยายสาขาไปต่างประเทศ สุดยอด

ถ้าได้ ไม่รู้ว่าจะดึงราคาอยู่หรือเปล่า (http://สุดยอด)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 14 มิถุนายน 2012, 10:21:50
ดูการวิเคราะห์แบบละเอียดครับ (http://ดูการวิเคราะห์แบบละเอียดครับ)

http://vihybrid.wordpress.com/2012/05/08/cpall-dilute/

ดูแล้วไม่รู้จะพูดยังไง ผมเชื่อแล้วครับท่านวายุ (http://ดูแล้วไม่รู้จะพูดยังไง ผมเชื่อแล้วครับท่านวายุ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 14 มิถุนายน 2012, 15:47:24
ตอบคุณ  eaku
     ถ้างั้นก่อนอื่นเลย  ผมขอตรวจสอบเกี่ยวกับมุมมองและทัศนคติในหุ้นของคุณว่า  ในมุมมองของคุณแล้ว  "หุ้นคืออะไร"


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 15 มิถุนายน 2012, 15:33:51
ตามมุมมองผม

หุ้น คือ สิทธิ์ในการเป็นเจ้าของกิจการหรือเจ้าของธุรกิจ เป็นลักษณะของการหาผู้ร่วมลงทุน
จึงทำหุ้นออกมาขาย (ขายสิทธิ์) ถ้าเราซื้อเราก็ได้สิทธิ์เป็นเจ้าของและมีสิทธิ์รับผลกำไรจาก
ธุรกิจนั้นๆ ครับ ซึ่งเราสามารถจะซื้อเพิ่มสิทธิ์ก็ได้ หรือขายสิทธิ์นั้นก็ได้

หวังว่า คงไม่ผิดมากนัก นะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 15 มิถุนายน 2012, 15:47:28
ตามมุมมองผม

หุ้น คือ สิทธิ์ในการเป็นเจ้าของกิจการหรือเจ้าของธุรกิจ เป็นลักษณะของการหาผู้ร่วมลงทุน
จึงทำหุ้นออกมาขาย (ขายสิทธิ์) ถ้าเราซื้อเราก็ได้สิทธิ์เป็นเจ้าของและมีสิทธิ์รับผลกำไรจาก
ธุรกิจนั้นๆ ครับ ซึ่งเราสามารถจะซื้อเพิ่มสิทธิ์ก็ได้ หรือขายสิทธิ์นั้นก็ได้

หวังว่า คงไม่ผิดมากนัก นะครับ

ฟังดูแล้วออกมาจะวิชาการมากไปหน่อยนะครับ เหมือนก๊อปมา

แต่โดยหลักทั่วไปแล้ว ก็ถูกต้องแล้วครับ และจากนั้นเราก็มาดูว่า

เราต้องการอะไรจากการลงทุนหุ้น เช่น เงินปันผล ราคาหุ้น หรือกำไรรายวัน-ระยะยาว (http://ฟังดูแล้วออกมาจะวิชาการมากไปหน่อยนะครับ เหมือนก๊อปมา

แต่โดยหลักทั่วไปแล้ว ก็ถูกต้องแล้วครับ และจากนั้นเราก็มาดูว่า

เราต้องการอะไรจากการลงทุนหุ้น เช่น เงินปันผล ราคาหุ้น หรือกำไรรายวัน-ระยะยาว)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 15 มิถุนายน 2012, 16:08:28
ตอบคุณ  eaku
     จริงๆแล้วทุกคำตอบล้วนถูกต้องหมดแหละครับ  เพียงแต่ว่าผมอยากดูตัวตนของคุณมากกว่าว่า  คุณรู้สึกอย่างไรต่อหุ้น  ผมจะได้ให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับตัวคุณน่ะครับ  คำถามต่อไปขอถามว่า  คุณเคยลงทุนไหม  เคยลงทุนอะไรบ้าง(ทำธุรกิจส่วนตัว  กองทุนรวม  สลากออมสิน  ฯลฯ)  และการลงทุนที่ผ่านมาเป็นอย่างไร


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 15 มิถุนายน 2012, 16:41:27
*** แหะๆๆ ผมป่าวก๊อปจากที่ไหนมาเน้อ.555..  ความเข้าใจของตัวเองล้วนๆ จ้า... ***

ธุรกิจใหญ่ๆไม่เคยครับ..แต่เคยทำเติมเงินออนไลน์ ผ่าน SAVEPAY แต่ได้กำไรน้อยครับลงทุนเดือนละ 5000  แต่ได้กำไรเดือนละ ร้อยหรือสองร้อยกว่าบาทเท่านั้น.. ทำได้ปีกว่า จึงเลิก..

กองทุนรวมก็ไม่เคยครับ.. เคยเห็นข้อมูลผ่านๆ

เริ่มหัดเล่น Click2Win เล่นมาเป็นปีที่ 3 แล้วครับ..
แต่เงินห้าล้านของเขาก็ไม่ได้งอกเงยขึ้นเท่าไหร่ เพราะไม่ได้เล่นจริงๆ จังๆ ผมทำงานประจำอยู่ครับ เลยไม่ได้เฝ้าจอ.. จะเปิดจอขึ้นมาดูก็ช่วงที่เจ้านายเผลอ เท่านั้น..ครับ..  

สรุปยังไม่สำเร็จในการลงทุนครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ►•••   Natz.   •••◄ ที่ วันที่ 15 มิถุนายน 2012, 18:42:37
ผลตอบแทนมาแล้ว
     ผลตอบแทนในปีที่ผ่านมาของผมน่าพอใจมากทีเดียว  ราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นประมาณ  40  %  และได้รับเงินปันผลอีกประมาณ  2  %  ของเงินลงทุน
 

พอจะให้ข้อมูลได้ไหมครับ ว่าถือมานานประมาณเท่าไรจาก 23 ไป 35  :D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 16 มิถุนายน 2012, 01:13:58
ตอบคุณ  eaku
     การที่คุณหัดเล่น  Click2Play  แล้วคุณได้อะไรจากมันบ้างครับ  เพราะเวลาไม่ใช่น้อยๆเลยนะครับ  ตั้ง  3  ปี  และการที่คุณอยากลงทุนในหุ้นนั้น  คุณคาดหวังอะไรจากมันครับ

ตอบคุณ  ►•••   Natz.   •••◄
     ผมซื้อที่ราคานี้เมื่อตอนน้ำท่วมปีที่แล้วครับ  ตอนนั้นผมก็บอกให้ทุกคนซื้อนะครับ  แต่ไม่รู้มีใครเชื่อผมบ้างหรือเปล่า  จริงๆแล้วต้นทุนหุ้นของผมถูกกว่าที่เอามาลงไว้เยอะครับ  แต่ถ้าบอกไปมันก็เป็นแค่ราคาคุยเพราะไม่มีหลักฐาน  เนื่องจากเวลาที่เราขายหุ้นออกไปแล้วและซื้อกลับคืนมาใหม่  ต้นทุนราคาหุ้นมันจะเปลี่ยนครับ  ผมซื้อตั้งแต่มัน  29  บาทกว่าๆแล้วครับ  แล้วผมก็ตกใจขายออกไป  แต่ก็ซื้อกลับคืนมาใหม่ที่ราคาที่สูงขึ้น  และผมก็ซื้อมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อมีเงิน  ทุกวันนี้ผมจดในบันทึกส่วนตัวว่าผมมีต้นทุนที่ประมาณ  30  กว่าบาท  จนก่อนที่มันจะเพิ่มหุ้น  ราคามันขึ้นไปถึง  70  กว่า  แล้วก็เพิ่มหุ้น  แล้วก็ตกลงมาอีกรอบ  จนมาอยู่แถวๆ  30  กว่าบาทอย่างทุกวันนี้นี่แหละครับ  สรุปแล้ว  ผมกำไรประมาณ  100  กว่าเปอร์เซ็นต์แล้วครับ  (ผมเริ่มซื้อมันมา  2  ปีที่แล้วครับ)  ดูหลักฐานได้ที่หน้า  16  #319  ทุกวันนี้ที่หุ้นผมเยอะก็เนื่องจากว่าเขาแจกหุ้นมาให้เท่าตัว  และส่วนหนึ่งก็มาจากการซื้อเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆของผมเอง


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 16 มิถุนายน 2012, 09:31:51
มาดึกจังแฮะ ตีหนึ่งยังไม่นอนเหรอครับ

ผมพิมพ์เป็น Click2Play เหรอเนี่ย.. โทษทีครับ..พิมพ์ผิด (แก้ไขละเน้อ)
เข้ามาปีที่ 3  ครับ.. ไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ คงเพราะไม่ได้ลงมือจริงๆจังๆ ครับ แอบเจ้านายเล่นมั่ง
จะได้นั่งดูข้อมูล(อ่าน) ตามที่เว็บบอร์ดเขาแนะนำมาก็จะเป็นช่วงตอนกลางคืนที่บ้านเท่านั้น

ก็ได้เข้าใจการส่งคำสั่งซื้อขายครับ.. และก็กระบวนการก่อนเปิดตลาด และก่อนปิดตลาด
ในแต่ละรอบ(สังเกตได้ว่าใน Click2Win ไม่มีคำสั่ง ATO/ATC ให้เล่นนะครับ) และรู้วิธีการเล่นเดย์เทรดอีกเล็กน้อยครับ แต่เข้า-ออกไม่เคยทันครับ..แต่ก็มีโชคดีบ้าง
เช่นถือหุ้นบางตัวนานเกินจนมันขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง นั่นละถึงจะได้กับเขา..


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 16 มิถุนายน 2012, 21:27:41
ตอบคุณ  eaku
     อยากทราบว่าเงินที่คุณจะเอามาลงทุนนั้น  จำเป็นต้องใช้มันมากน้อยแค่ไหนในเวลาประมาณ  5  ปีนับจากนี้  และขอถามว่า  ถ้าคุณต้องสูญเสียเงินก้อนนั้นไป  คุณจะมีความรู้สึกอย่างไร  และคุณจะทำอย่างไรครับ

     และมีคำถามอีกข้อหนึ่งก็คือ  คุณมีความเห็นอย่างไรต่อตลาดหุ้นครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 17 มิถุนายน 2012, 09:52:10
ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ครับ.. เป็นเงินจำนวนน้อยครับ..ไม่มาก
เพราะแบ่งมาลง  ถ้าเสียไปก็คงเสียดายครับ..

และเตรียมการหาความรู้เพิ่มหรือหาที่ปรึกษาที่เก่งกว่าเรา ไว้ แก้แค้นเอาคืน..

แต่ก็เข้าใจนะ ว่าตลาดหุ้นมีความเสี่ยง ถ้ายอมรับได้ก็คงไม่เป็นปัญหาใหญ่ของคนที่ลงทุนในหุ้น
 ยิ่งถ้าคุณวายุช่วยเป็นที่ปรึกษา หรือเป็นพี่เลี้ยงให้
ก็มีความมั่นใจมากขึ้นครับ



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 18 มิถุนายน 2012, 13:27:36
ตอบคุณ  eaku
     วันนี้ผมขอตอบเรื่องเกี่ยวกับเกมจำลองการลงทุนในหุ้นก่อนนะครับ  ตามความเห็นของผมแล้ว  การที่เขาทำเกมจำลองการลงทุนออกมาให้เราเล่นนั้น  จะว่าไปมันก็เป็นการช่วยสอนให้คนที่กำลังสนใจในการลงทุนอยู่ได้ทดลองการซื้อและขายหุ้นในตลาดเสมือนว่าเป็นสถานการณ์จริง  แต่สิ่งที่ผมเห็นว่ามันไม่มีความเหมือนกับการลงทุนจริงเลยก็คือ  มันขาด  “อารมณ์ที่เป็นจริง”  อยู่  เพราะโดยทั่วไปแล้ว  คนที่เข้ามาเล่น  จะไม่ได้ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่จะเกิดมากนัก  เพราะไม่ว่าเขาจะเล่นได้หรือเสีย  มันก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อชีวิตของเขาเลย  การได้หรือเสีย  มันเป็นแค่แต้มในเกมเท่านั้น  นั่นจึงทำให้คนที่ทดลองเล่น  มักไม่สนใจที่จะไปสืบค้นข้อมูลในเชิงลึกของบริษัทเพื่อนำมาลงทุน  เนื่องจากว่า  ถ้าเขาจะทำมันลงไปจริงๆมันก็เหนื่อยเปล่า  เพราะแม้ว่าเขาจะเล่นเกมนั้นชนะ  เงินที่ได้มามันก็ไม่ใช่ของจริงอยู่ดี  นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้ผมเห็นว่า  มันไม่มีประโยชน์ในการเพิ่มพูนความรู้ในด้านการลงทุนเลยสักนิดเดียว  แต่ถ้าจะให้เหมาทั้งหมดมันก็ไม่ใช่  อาจจะมีบางคนที่ได้ไปสืบค้นข้อมูลเพื่อที่จะนำมาลงทุน  แต่เชื่อผมเถอะว่านั่นมันเป็นส่วนน้อยมากๆ  เพราะคุณก็เป็นคนหนึ่งมิใช่หรือที่เล่นมา  3  ปีแล้วแต่ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลยนอกจากการส่งคำสั่งซื้อและขายเท่านั้น...ถูกต้องไหม  แล้วทีนี้จะทำอย่างไรให้ได้ผลดีล่ะ?  ผมคิดว่าคุณควรไปเปิดบัญชีซื้อขายกับโบรกเกอร์และเริ่มต้นการลงทุนจริงเดี๋ยวนี้เลย!!!  บางทีวิธีนี้มันอาจจะดูเหมือนเสี่ยง  แต่ผมเชื่อว่านี่คือวิธีที่จะทำให้คุณเริ่มต้นการลงทุนได้ดีที่สุด  ช่วงแรกๆอาจจะเจ็บตัวบ้าง  แต่อยากให้ถือว่าผิดเป็นครู  (ในตลาดหุ้นมีครูเยอะ)  ถ้ามีใครมาบอกผมว่าตั้งแต่เล่นหุ้นมาไม่เคยเสียเงินเลย  ผมจะบอกว่า  อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ  เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากเก่ง  ผมขอแนะนำว่า  ให้เริ่มต้นกับของจริงเลยดีกว่าเพราะ  “การที่เราต้องรู้อะไรทุกสิ่งทุกอย่างก่อนแล้วค่อยลงมือทำเหมือนนักวิทยาศาสตร์จะพ่ายแพ้ในที่นี้  เพราะการลงทุนนั้นเป็นศิลปะไม่ใช่ศาสตร์”  สำหรับช่วงนี้  อยากให้คุณลองอ่านนิทานที่ผมแต่งเองดู  และช่วยตีความออกมาให้หน่อยว่า  เมื่อคุณได้อ่านนิทานเรื่องนี้จบลง  คุณมีความเห็นว่ามันมีส่วนคล้ายกับพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาดหุ้นอย่างไรบ้าง

นิทานเรื่องร่ม
     กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้  มีพนักงานบริษัทคนหนึ่งชื่อว่าวายุ  กำลังจะเดินออกจากบริษัทเพราะเป็นเวลาเลิกงานพอดี  ทันใดนั้นเอง  ฝนก็ตกลงมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทั้งๆที่เป็นหน้าร้อนแท้ๆ  แต่วายุก็คิดในใจว่าไม่เป็นไร  เนื่องจากว่าเขาพกร่มติดตัวมาด้วย  ในขณะที่เขากำลังจะเดินออกจากบริษัทไปนั้น  “วัยทอง”  พนักงานอีกคนก็ได้เดินเข้ามาบอกกับวายุว่า  ช้าก่อนท่านวายุ  กระผมขอซื้อร่มคันที่ท่านถืออยู่นี้จะได้หรือไม่  เนื่องจากกระผมไม่รู้ว่า  ฝนที่กำลังตกอยู่นี้จะหยุดลงเมื่อใด  และผมก็ไม่อยากรอ  เพราะฉะนั้น  กระผมขอซื้อร่มคันนี้ในราคา  200  บาท  ท่านจะว่ากระไร  วายุหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งและคำนวณอยู่ในหัวของตัวเองว่า  ร่มคันนี้เขาซื้อมาในราคา  100  บาทเท่านั้น  ถ้าเขาขายให้กับวัยทองในขณะนี้  เขาจะมีกำไรถึงหนึ่งเท่าตัวเลยทีเดียว  แต่เขากำลังชั่งใจอยู่ว่า  ฝนที่กำลังตกอยู่นี้  จะหยุดลงเมื่อใด  และถ้าเขาขายร่มไปแล้ว  เขาจะได้กลับบ้านเมื่อใด  แต่ตอนนี้เขาก็มีเวลาเหลือเฟืออยู่แล้วเพราะไม่ได้รีบไปไหน  อย่ากระนั้นเลย  ขายทำกำไรเสียก่อนเลยดีกว่า  ว่าแล้วเขาก็ขายร่มคันนั้นให้กับวัยทองไปในราคา  200  บาท  เมื่อวัยทองได้ร่มเสร็จแล้ว  เขาก็เดินฝ่าสายฝนออกไปพร้อมกับร่มที่เพิ่งซื้อวายุมา  ส่วนตัวของวายุเองนั้น  ก็นั่งรออยู่ในบริษัทอย่างใจเย็นด้วยความหวังว่า  เมื่อเวลาฝนหยุดตก  เขาจะได้กลับบ้านเสียที  และในเวลาไม่นานนักฝนก็หยุดตก  วายุจึงเดินทางกลับบ้านพร้อมด้วยเงิน  200  บาทในกระเป๋า  พลางก็คิดไปว่า  เขาจะเอาเงินที่ได้นั้นไปซื้อร่มมาอีก  2  คันเพื่อขายต่อคนอื่นดี  หรือว่าเขาจะซื้อแค่พอใช้เพียงแค่คันเดียว  แล้วเก็บเงินส่วนที่ได้กำไรนั้นไปทำอย่างอื่นดี  นิทานก็จบลงแต่เพียงเท่านี้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 19 มิถุนายน 2012, 00:30:52
สำหรับเรื่องเกมส์ ก็เห็นด้วยตามที่คุณวายุกล่าวครับ.. มันขาดอารมณ์สมจริงไป (แต่ในช่วงที่เล่นครั้งแรก
มันสมจริงมากนะ.. หลังๆ เริ่มชิน นานๆ เริ่มเฉยๆ )


ส่วนเรื่องเปิดบัญชี ผมลืมบอกคุณวายุไป (ต้องขออภัย) ผมได้เปิดบัญชีกับโบรกเกอร์แล้วครับ ตั้งแต่
เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาครับ..เปิดกับทิสโก้ เป็นเงินหนึ่งหมื่นบาท.. "เล่น"มาเรื่อยๆ จนถึงเมษายน
ได้เงินเป็นหนึ่งหมื่นหนึ่งพันสองร้อยกว่าๆ และเมื่อสิ้นเดือนพฤษภาคม ผมเหลือเงิน หนึ่งหมื่นสองร้อยบาทเท่านั้นครับพร้อมกับใจสั่นๆ ที่เห็นหุ้นมันลงๆๆๆ และลงๆๆ
จึงมาอ่านบทความในกระทู้ของคุณวายุ และทิ้งข้อความในกระทู้ขอให้คุณวายุช่วย เพราะผมจะเปลี่ยน
จาก "เล่น" มาเป็น "ลงทุน" โดยขอคำแนะนำ เพราะผมไม่รู้ว่าจะต้องลง
ทุนอย่างไรจึงจะลงทุนในให้ได้กำไร

ส่วนเรื่องนิทานผมคงตอบผิดแน่ๆ
ถามว่าเหมือนกับพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาดหุ้นอย่างไร..
- มีคนซื้อถูกมาขายแพง
- มีคนใจร้อนซื้อของแพงๆเสมอ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 19 มิถุนายน 2012, 14:53:14
ตอบคุณ  eaku
     เรื่องเกี่ยวกับนิทานนั้น  จริงๆแล้วมันบอกอะไรหลายอย่างมาก  แต่ที่เป็นหัวใจสำคัญหลักๆเลยก็คือ  "จังหวะ"  ถ้าเหตุการณ์เป็นเหมือนอย่างในนิทาน  เราควรจะตระหนักไว้ว่า  "หุ้นมันจะน่าสนใจก็ต่อเมื่อไม่มีใครสนใจมัน"  ถ้าช่วงที่หุ้นกำลังเร่งตัวขึ้น  เหมือนอย่างเช่นที่ฝนกำลังตก  มันก็จะมีแต่คนมาแย่งกันซื้อร่ม  ทำให้ร่มนั้นราคาแพงกว่าที่ควรจะเป็น  แต่ในทางกลับกัน  ช่วงที่ไม่มีเหตุการณ์อะไร  เราจะพบว่า  ร่มพวกนั้นมีราคาถูก  และสามารถเลือกซื้อได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องรีบร้อน

     เพราะฉะนั้น  ถ้าเรามีเงินเย็น  และมีเหตุผลว่าควรซื้อตอนไหน  มันก็จะดีกับตัวเราครับ  เพราะเราก็ไม่รู้ว่าฝนมันจะตกเมื่อใด  แต่ถ้าเราคิดไว้ว่า  ซื้อไว้แล้วอนาคตได้ใช้แน่ๆ  ก็ซื้อไว้เถอะครับ  ถึงแม้ว่าฝนมันอาจจะไม่ตกก็ตาม  และตามที่คุณบอกว่า



เตรียมการหาความรู้เพิ่มหรือหาที่ปรึกษาที่เก่งกว่าเรา ไว้ แก้แค้นเอาคืน..




ผมไม่อยากให้คุณมีมุมมองอย่างนี้เลย  เพราะถ้าจะเปรียบการลงทุนเหมือนเกมกีฬา  ผมรู้สึกว่า  การลงทุนจะเหมือนกับพวกกอล์ฟ  วิ่งแข่ง  ว่ายน้ำ  หรือยิงปืนยิงธนูน่ะครับ  เพราะกีฬาพวกนี้  เราจะชนะได้ก็ต่อเมื่อตัวเราทำได้ดีกว่าคนอื่น  ไม่ใช่อย่างพวกฟุตบอล  ปิงปอง  หรือเทนนิส  ที่เราจะชนะได้โดยการทำลายคู่ต่อสู้

     และคำถามที่ผมอยากถามก็คือ  ในมุมมองของคุณเอง  คุณมีความรู้สึกว่าธุรกิจไหน  หรืออุตสาหกรรมไหนน่าลงทุนที่สุดในตอนนี้ครับ  และเพราะอะไร


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 19 มิถุนายน 2012, 17:29:34
ในตอนนี้.. เป็นช่วงหุ้นฟื้นตัว.. หุ้นส่วนใหญ่ก็ขึ้นหมดครับ..

ถ้าถามว่า ตอนนี้ตัวไหนน่าลงทุนผมไม่รู้ครับ..
(ผมขาดประสบการณ์ไป จึงต้องการผู้ชี้แนะว่าควรสังเกตจากอะไร ว่าตอนไหนหุ้นตัวไหนถึงจะเหมาะแก่การลงทุน)

ตัวผมเลือกธุรกิจตาม ปัจจัย4 + สื่อสาร ครับ

เอ่อ..รบกวน ดูพอร์ตผมไปด้วยเลยได้มั้ยครับ ผมจะได้ก็อปหน้าจอมาแปะโชว์เลยดีป่ะครับ
เผื่อมีคนสนใจบางตัวที่ผมถืออยู่จะได้ซื้อสะสมไว้ด้วยกันเลยครับ..(แต่ไม่รับประกันเน้อ)
หรือให้ผมส่งให้ดูทาง PM ก็ได้นะครับ 


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 21 มิถุนายน 2012, 15:37:52
ตอบคุณ  eaku
     คุณสนใจกลุ่มสื่อสารเพราะอะไรครับ  หรือว่าคุณคุ้นเคยกับมันสมัยที่คุณทำธุรกิจเติมเงินออนไลน์  แล้วตอนที่คุณทำธุรกิจอยู่นั้น  คุณสังเกตุเห็นอะไรบ้าง

     ถ้าจะเอาพอร์ตมาลงก็เชิญเลยครับ  ไม่ต้องส่งมาทาง  PM  หรอก  บางทีอาจมีเนื้อร้ายซ่อนอยู่  ผมจะดูให้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 21 มิถุนายน 2012, 19:23:25
ผมก็แดงไม่ต้องกลัว 555+ (http://ผมก็แดงไม่ต้องกลัว 555+)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 21 มิถุนายน 2012, 22:56:53
...

เพราะธุรกิจเกี่ยวกับการสื่อสาร เช่นโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต 3G  4G ดาวเทียม..ฯลฯ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องผมคิดว่ากลุ่มธุรกิจนี้..จะยังเติบโตไปอีกมากและอีกไกลครับ
...

ด้านล่างนี่คือพอร์ตฯของผมครับ ตอนเงินจะต่อทุนไม่มากพอ..ได้เงินเดือนนี้อีกสองพันก็ต่อได้อีกนิดหน่อย   จะขายก็ไม่รู้จะแบ่งอย่างไร.. Vol ของแต่ละตัวมันน้อยนัก

(http://upic.me/i/ym/21-6-255522-45-31.png) (http://upic.me/show/36785133)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 22 มิถุนายน 2012, 00:33:42
ง่า พอร์ตเขียวหมดเลย ฮูฮู  แต่มีหลายตัวมากเกินไปนะผมว่า

เงินทุนประมาณนี้ แต่มีหุ้น 6-7 ตัว เลยทีเดียว

หากจะลงทุนแนวสะสมไปเรื่อยๆก็โอเคอยู่

แต่ถ้าจะเล่นเก็งกำไรแบบนี้ยากครับ เพราะโดนค่าคอมบาน

จากที่ดูนะครับ บางตัวต้นทุนต่ำ พอได้เลยครับ ซื้อเฉลี่ยนสะสม ดีสุดครับ (http://ง่า พอร์ตเขียวหมดเลย ฮูฮู  แต่มีหลายตัวมากเกินไปนะผมว่า

เงินทุนประมาณนี้ แต่มีหุ้น 6-7 ตัว เลยทีเดียว

หากจะลงทุนแนวสะสมไปเรื่อยๆก็โอเคอยู่

แต่ถ้าจะเล่นเก็งกำไรแบบนี้ยากครับ เพราะโดนค่าคอมบาน

จากที่ดูนะครับ บางตัวต้นทุนต่ำ พอได้เลยครับ ซื้อเฉลี่ยนสะสม ดีสุดครับ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 22 มิถุนายน 2012, 08:25:03
ขอบคุณคำแนะนำของพี่วัยทองฯ ครับผม

เพราะผมคิดว่าสำหรับผมการเล่นแบบเก็งกำไรคงไม่เวิร์คครับ เข้าออกไม่ทัน ติดดอยนานๆ เหนื่อย (แต่ก็ไม่ตัดใจครับ บางตัวที่เอาไว้เก็งกำไรก็ยังมีในพอร์ตอยู่ เช่น Ties ครับ)

ผมไม่มีโอกาสเฝ้าหน้าจอ ที่ได้ต้นทุนบางตัวต่ำเพราะขายขาดทุนไปหมดแล้ว
ตอนที่หุ้นตกในเดือน พ.ค.55 ที่ผ่านมา

แล้วก็ซื้อเก็บตอนนั้น..ด้วยความตั้งใจว่าจะเริ่มซื้อถือยาวๆ ครับ..

แต่ยังมีข้อสงสัยคือ ถ้าเราตั้งใจจะซื้อทุกเดือน...
เราจะทำไงกับราคาที่แพงกว่าที่เราซื้อครั้งแรก (เพราะบางตัวซื้อในราคาปัจจุบันมันก็ทำให้ต้นทุนเราเพิ่มจริงมั้ยครับ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 22 มิถุนายน 2012, 08:30:03
แม้แต่วันที่ 21 ก็ยังมีขายขาดทุนนะ.. UKEM ซื้อมา 2.28 นานละ.. ก็ขึ้นมาไม่ถึงซะที

ส่วนที่ว่ามีหุ้นมาก..ผมจำไม่ได้ว่าไปจดจำมาจากที่ไหน ให้มี 6-7 ตัว.. (เป็นบทความเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น แบบระยะยาวน่ะครับ.. ถ้าเจอเด๋วก็อปมาแปะให้ดูครับ) ผมอาจจะอ่านและเข้าใจอะไรผิดไปก็ได้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 22 มิถุนายน 2012, 09:56:01
ขอตอบแบบนี้ละกันครับ

1. สำหรับผมการเล่นแบบเก็งกำไรคงไม่เวิร์คครับ เข้าออกไม่ทัน ติดดอยนานๆ เหนื่อย
    แต่ก็ไม่ตัดใจครับ บางตัวที่เอาไว้เก็งกำไรก็ยังมีในพอร์ตอยู่

แบบนี้เขาเรียกว่าการปรับพอร์ตครับ เช่น มี 1000 หุ้น ราคาขึ้นมามากจนเห้นว่าเกินราคาที่เหมาะสม
ก็ขายทำกำไร ประมาณ 500 หุ้น และก็รอราคาตกลงมาก็ค่อยเก็บคืน แต่อันนี้เราก็ไม่ทราบนะครับ
ว่ามันจะตกมาให้เราซื้ออีกหรือเปล่า

2. แต่ยังมีข้อสงสัยคือ ถ้าเราตั้งใจจะซื้อทุกเดือน... เราจะทำไงกับราคาที่แพงกว่าที่เราซื้อครั้งแรก
(เพราะบางตัวซื้อในราคาปัจจุบันมันก็ทำให้ต้นทุนเราเพิ่มจริงมั้ยครับ)

อันนี้เป็นเพราะท่านไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหุ้นที่เราจะซื้อเก็บสะสมระยะยาว ไม่รู้ในที่นี้คือ
การทำกำไร การซื้อ-ขาย สินค้าของบริษัท หรืออื่นๆอีกมากมายเกี่ยวกับหุ้นที่เราถือ
ซึ่งไม่ต่างกับตอนที่ราคามันตกลงมากๆ แบบว่าไม่มีใครอยากซื้อหุ้นตัวนี้ ถ้าท่านไม่ทราบข้อมูล
ของหุ้นตัวนี้อย่างลึกซึ่ง ท่านกล้าซื้อเก็บหรือเปล่าครับ
เช่น หุ้น7-11 ตอนนี้ราคาสูงกว่าทุนมาเยอะพอสมควร แต่เราก็ยังลังเลว่าจะซื้อดีไหม เพราะเห็นว่ามันแพง
แต่ดูข้อมูลแต่ละไตรมาส พบว่า กำไรเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส และคนก็เข้า 7-11 ไม่ขาดสาย
ท่านคิดว่าน่าซื้อไหมครับ
และถ้าตอนหุ้น 7-11 ตกลงมามากๆ ตามตลาดโลก เทขายแบบไม่นึกถึงทุนตัวเอง จนเหลือไม่กี่บาท
ถ้าหากพื้นฐานไม่มีการเปลี่ยนแปลง คนก็เข้าเยอะเหมือนเดิม กำไรก็เพิ่มเรื่อยๆทุกไตรมาส
ท่านคิดว่าน่าเก็บไหมครับ

3. ส่วนที่ว่ามีหุ้นมาก..ผมจำไม่ได้ว่าไปจดจำมาจากที่ไหน ให้มี 6-7 ตัว..

อันนี้แล้วแต่ความชิบส่วนตัวครับ เช่น ท่านมีหุ้นทั้งหมด 10 ตัว แล้วท่านสามารถดูแลมันได้ครบทุกตัวไหมครับ
หรือจะสู้ดูแลตัวเดียว แต่ให้มันเจริญเติบโตอย่างดี ก็คิดเอานะครับ
แต่ท่านที่มีหุ้นหลายตัวนี้ ก็หมายถึงทุนก็ต้องเยอะพอสมควรครับ หลักหมื่นแบบเราๆ ลำบากครับ (http://ขอตอบแบบนี้ละกันครับ

1. สำหรับผมการเล่นแบบเก็งกำไรคงไม่เวิร์คครับ เข้าออกไม่ทัน ติดดอยนานๆ เหนื่อย
    แต่ก็ไม่ตัดใจครับ บางตัวที่เอาไว้เก็งกำไรก็ยังมีในพอร์ตอยู่

แบบนี้เขาเรียกว่าการปรับพอร์ตครับ เช่น มี 1000 หุ้น ราคาขึ้นมามากจนเห้นว่าเกินราคาที่เหมาะสม
ก็ขายทำกำไร ประมาณ 500 หุ้น และก็รอราคาตกลงมาก็ค่อยเก็บคืน แต่อันนี้เราก็ไม่ทราบนะครับ
ว่ามันจะตกมาให้เราซื้ออีกหรือเปล่า

2. แต่ยังมีข้อสงสัยคือ ถ้าเราตั้งใจจะซื้อทุกเดือน... เราจะทำไงกับราคาที่แพงกว่าที่เราซื้อครั้งแรก
(เพราะบางตัวซื้อในราคาปัจจุบันมันก็ทำให้ต้นทุนเราเพิ่มจริงมั้ยครับ)

อันนี้เป็นเพราะท่านไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหุ้นที่เราจะซื้อเก็บสะสมระยะยาว ไม่รู้ในที่นี้คือ
การทำกำไร การซื้อ-ขาย สินค้าของบริษัท หรืออื่นๆอีกมากมายเกี่ยวกับหุ้นที่เราถือ
ซึ่งไม่ต่างกับตอนที่ราคามันตกลงมากๆ แบบว่าไม่มีใครอยากซื้อหุ้นตัวนี้ ถ้าท่านไม่ทราบข้อมูล
ของหุ้นตัวนี้อย่างลึกซึ่ง ท่านกล้าซื้อเก็บหรือเปล่าครับ
เช่น หุ้น7-11 ตอนนี้ราคาสูงกว่าทุนมาเยอะพอสมควร แต่เราก็ยังลังเลว่าจะซื้อดีไหม เพราะเห็นว่ามันแพง
แต่ดูข้อมูลแต่ละไตรมาส พบว่า กำไรเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส และคนก็เข้า 7-11 ไม่ขาดสาย
ท่านคิดว่าน่าซื้อไหมครับ
และถ้าตอนหุ้น 7-11 ตกลงมามากๆ ตามตลาดโลก เทขายแบบไม่นึกถึงทุนตัวเอง จนเหลือไม่กี่บาท
ถ้าหากพื้นฐานไม่มีการเปลี่ยนแปลง คนก็เข้าเยอะเหมือนเดิม กำไรก็เพิ่มเรื่อยๆทุกไตรมาส
ท่านคิดว่าน่าเก็บไหมครับ

3. ส่วนที่ว่ามีหุ้นมาก..ผมจำไม่ได้ว่าไปจดจำมาจากที่ไหน ให้มี 6-7 ตัว..

อันนี้แล้วแต่ความชิบส่วนตัวครับ เช่น ท่านมีหุ้นทั้งหมด 10 ตัว แล้วท่านสามารถดูแลมันได้ครบทุกตัวไหมครับ
หรือจะสู้ดูแลตัวเดียว แต่ให้มันเจริญเติบโตอย่างดี ก็คิดเอานะครับ
แต่ท่านที่มีหุ้นหลายตัวนี้ ก็หมายถึงทุนก็ต้องเยอะพอสมควรครับ หลักหมื่นแบบเราๆ ลำบากครับ)



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 22 มิถุนายน 2012, 09:57:51
ตอบคุณ  eaku
     คุณสนใจกลุ่มสื่อสารเพราะอะไรครับ  หรือว่าคุณคุ้นเคยกับมันสมัยที่คุณทำธุรกิจเติมเงินออนไลน์  แล้วตอนที่คุณทำธุรกิจอยู่นั้น  คุณสังเกตุเห็นอะไรบ้าง

     ถ้าจะเอาพอร์ตมาลงก็เชิญเลยครับ  ไม่ต้องส่งมาทาง  PM  หรอก  บางทีอาจมีเนื้อร้ายซ่อนอยู่  ผมจะดูให้

  จัดมาเดียวคุณหมอจะดูให้... ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ►•••   Natz.   •••◄ ที่ วันที่ 22 มิถุนายน 2012, 13:09:42
ตอบคุณ  eaku
     การที่คุณหัดเล่น  Click2Play  แล้วคุณได้อะไรจากมันบ้างครับ  เพราะเวลาไม่ใช่น้อยๆเลยนะครับ  ตั้ง  3  ปี  และการที่คุณอยากลงทุนในหุ้นนั้น  คุณคาดหวังอะไรจากมันครับ

ตอบคุณ  ►•••   Natz.   •••◄
     ผมซื้อที่ราคานี้เมื่อตอนน้ำท่วมปีที่แล้วครับ  ตอนนั้นผมก็บอกให้ทุกคนซื้อนะครับ  แต่ไม่รู้มีใครเชื่อผมบ้างหรือเปล่า  จริงๆแล้วต้นทุนหุ้นของผมถูกกว่าที่เอามาลงไว้เยอะครับ  แต่ถ้าบอกไปมันก็เป็นแค่ราคาคุยเพราะไม่มีหลักฐาน  เนื่องจากเวลาที่เราขายหุ้นออกไปแล้วและซื้อกลับคืนมาใหม่  ต้นทุนราคาหุ้นมันจะเปลี่ยนครับ  ผมซื้อตั้งแต่มัน  29  บาทกว่าๆแล้วครับ  แล้วผมก็ตกใจขายออกไป  แต่ก็ซื้อกลับคืนมาใหม่ที่ราคาที่สูงขึ้น  และผมก็ซื้อมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อมีเงิน  ทุกวันนี้ผมจดในบันทึกส่วนตัวว่าผมมีต้นทุนที่ประมาณ  30  กว่าบาท  จนก่อนที่มันจะเพิ่มหุ้น  ราคามันขึ้นไปถึง  70  กว่า  แล้วก็เพิ่มหุ้น  แล้วก็ตกลงมาอีกรอบ  จนมาอยู่แถวๆ  30  กว่าบาทอย่างทุกวันนี้นี่แหละครับ  สรุปแล้ว  ผมกำไรประมาณ  100  กว่าเปอร์เซ็นต์แล้วครับ  (ผมเริ่มซื้อมันมา  2  ปีที่แล้วครับ)  ดูหลักฐานได้ที่หน้า  16  #319  ทุกวันนี้ที่หุ้นผมเยอะก็เนื่องจากว่าเขาแจกหุ้นมาให้เท่าตัว  และส่วนหนึ่งก็มาจากการซื้อเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆของผมเอง

ขอบคุณครับสำหรับข้อมูล ว่าแต่ cpall น่าสนเหมือนกันนะ เห็นจะขยายไปต่างประเทศ   :D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ►•••   Natz.   •••◄ ที่ วันที่ 22 มิถุนายน 2012, 13:18:19
...

เพราะธุรกิจเกี่ยวกับการสื่อสาร เช่นโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต 3G  4G ดาวเทียม..ฯลฯ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องผมคิดว่ากลุ่มธุรกิจนี้..จะยังเติบโตไปอีกมากและอีกไกลครับ
...

ด้านล่างนี่คือพอร์ตฯของผมครับ ตอนเงินจะต่อทุนไม่มากพอ..ได้เงินเดือนนี้อีกสองพันก็ต่อได้อีกนิดหน่อย   จะขายก็ไม่รู้จะแบ่งอย่างไร.. Vol ของแต่ละตัวมันน้อยนัก

(http://upic.me/i/ym/21-6-255522-45-31.png) (http://upic.me/show/36785133)


มันจะคุ้มค่าคอมหรือเปล่าละครับนิ กระจายซะ  :o

ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าเงินหมื่นนี่น่าจะเล่นตัว 40 50 บาทขึ้นจะดีกว่าอ่ะ หักค่าคอมเหลือค่า KFC พอได้อยู่  :D เล่นสักตัว 2 ตัว ถ้าเงินน้อยเล่นราคาถูกแบบนี้กว่าจะมีกำไรถือกันจนแก่ละผมว่านะ  ซื้อไข่ไก่มาขายยังได้กำไรใวกว่าอีก แต่ถ้ามีเงินฝากเข้าทุกเดือนเดือนละหมื่นนี่น่าสนอยู่
ตอนนี้ก็เฝ้าดูตัวหนึ่งอยู่ ดูพฤติกรรมมันอยู่ดูมาหลายเดือนละดูตัวเดียวอยู่เลย 555  และแอบสน CPALL เพราะจะไปต่างประเทศนี่แหละ  :D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 22 มิถุนายน 2012, 14:14:19
ขอบคุณที่ปรึกษาทุกท่านครับ

แหะๆ บอกไปแล้วว่า ไปอ่านมา(จากไหนไม่รู้) ยังหาไม่เจอว่าเอามาจากไหนครับ
กำลังหาอยู่ครับ.. เด๋วเจอก็รู้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 22 มิถุนายน 2012, 14:18:10
นี่ไงๆๆๆๆๆ
เจอแล้วครับ.. บล็อกของคุณพี่ เดคิสุงิ ครับ...

http://dekisugi.net/7thltg (http://dekisugi.net/7thltg)

เชิญทัศนา ครับผม

แต่ป่าวลอกตัวหุ้นนะ..

แค่ลอกวิธี..และเอามายำเป็นแนวของตัวเองเรียบร้อยแล้ว


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 22 มิถุนายน 2012, 14:25:55
ค่าคอมฯ (คือค่าธรรมเนียมใช่มะ) 

ผมจ่ายไม่แพงครับ..

ไม่มีขั้นต่ำ 50 บาท ครับผม  ซื้อเท่าไหร่จ่ายตามจริงครับ

ผมเปิดบัญชีซื้อขาย กับ  Tisco  ครับ เปิดบัญชีขั้นต่ำ 5,000 บาท

แล้วก็มีของ บัวหลวง อีกครับ. ถ้าเปิดบัญชีแบบ Cash Balance ไม่มีค่าธรรมเนียมซื้อขายขั้นต่ำ
แถมยังเปิดบัญชีเริ่มแรกกี่บาทก็ได้ด้วยนะ (โทรถามละ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 22 มิถุนายน 2012, 15:22:12
ตอบคุณ  eaku
     ผมจะยังไม่วิจารณ์พอร์ตของคุณนะครับ  แต่ผมมีคำถามคือ  ทำไมคุณจึงซื้อหุ้นพวกนั้นครับ(ผมหมายถึงเหตุผลในการซื้อ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 22 มิถุนายน 2012, 18:13:12
SC ซื้อเพราะเป็นหุ้นของบริษัทท่านนายก ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่เจ๊งแน่ๆ สินทรัพย์โตขึ้น

SIRI ซื้อเพราะคิดว่าเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีข่าวกับท่านนายก และข่าวโครงการคอนโดที่ภูเก็ต 400 ห้อง หลังเปิดจองหมดภายใน 1 วันทั้งสองโครงการ(CEO เก่ง-> อ่านจากข่าว)


BTS หุ้นบริษัทรถไฟฟ้า มีข่าวว่าได้รับสัมปทานกับกทม. 30 ปี ครับ มีข่าวว่าจะซ์้อตู้เพิ่มอีก 100 ตู้
มั่นใจว่ารายได้ต้องมากขึ้นครับ

NMG หุ้นปั่นในเครือเดอะเนชั่น แม้หนี้สินรวมจะมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียนเป็นพันล้านและไม่ปันผลก็ตาม  แต่ผมเชื่อว่าสื่อไม่มีวันตายแน่นอน

VIH หุ้นใหม่ แต่อยู่ในกลุ่มโรงพยาบาล ถูกสุดในกลุ่ม รพ. น่าจะมีโอกาสโตได้อีกครับ
แม้ว่าค่า P/E ขึ้นเป็น 51.84 แต่ขอลองหน่อย ถ้า 2 ปีไม่ไปไหน ค่อยว่ากัน

JMART หุ้นตัวนี้ ดูประวัติย้อนหลังเข้าท่า ไม่เคยตกแรงๆ เป็นธุรกิจกลุ่มสื่อสารและเทคโนโลยี ผมอยากเป็นเจ้าของธุรกิจนี้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 22 มิถุนายน 2012, 23:46:46

ตัวผมเลือกธุรกิจตาม ปัจจัย4 + สื่อสาร ครับ


อยากทราบว่าในเมื่อเลือก ด้านนี้ ในพอร์ตทำไมยังไม่มีกลุ่มสื่อสารติดมาเลยครับ (http://อยากทราบว่าในเมื่อเลือก ด้านนี้ ในพอร์ตทำไมยังไม่มีกลุ่มสื่อสารติดมาเลยครับ)



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 23 มิถุนายน 2012, 09:28:44


JMART ไม่ใช่เหรอครับ 


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 23 มิถุนายน 2012, 12:49:34


JMART ไม่ใช่เหรอครับ  

ก็ใช่ครับ แต่พวก TRUE DTAC ADVEN 3 ค่ายนี้แหละครับ

เพราะถ้่าพูดถึงกลุ่มสือสาร อันดับแรกๆในหัวก็คงพวกนี้แหละครับ เลยสงสัย

หรือยังไม่สนใจหรือครับ (http://ก็ใช่ครับ แต่พวก TRUE DTAC ADVEN 3 ค่ายนี้แหละครับ ยังไม่สนใจหรือครับ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 23 มิถุนายน 2012, 14:04:04
intuch  advanc  dtac มันแปงครับ

ส่วน True  กำลังแน อยู่ครับ แต่จะซื้อแน่นอน.....รอกระแสการประมูล 3G ออกมาก่อนครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 23 มิถุนายน 2012, 22:20:48
ตอบคุณ  eaku
     เอาล่ะ  มาอ่านคำตอบผมหน่อยก็แล้วกันนะครับ

SC  คุณอย่าซื้อเพราะว่ามันเป็นของใคร  แล้วถ้านายกหมดอำนาจ  คุณคิดว่าหุ้นนี้จะเป็นอย่างไร

SIRI  ถ้า  CEO  เก่ง  นั่นเป็นเรื่องที่ดี  แต่เราไม่ควรเอาอดีตมาตัดสินอนาคต  เพราะการซื้อหุ้นคือการซื้ออนาคต  ข่าวเรื่องคอนโดมันจบไปแล้ว  เราต้องดูที่อนาคตไปเลยว่า  มันจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้

BTS  รายได้มากขึ้น  แล้วรายจ่ายล่ะ  คุณคิดเข้าไปด้วยหรือยังว่ามันจะเพิ่มขึ้นไหม  และรายได้ที่ว่ามากขึ้นนั้น  มันจะมากขึ้นอีกขนาดไหน  มากขึ้นเพียง  1%  ก็ถือว่ามากขึ้นนะครับ  ถ้ามากขึ้นแค่  1%  แพ้เงินเฟ้อแน่นอน  นั่นหมายถึงเงินคุณมันจะหดเหลือน้อยเดียว

NMG  ถูกต้องที่สื่อไม่มีวันตาย  แล้วทุกวันนี้บริษัทนี้เป็นหนึ่งในกี่บริษัทที่เป็นช่องข่าวอยู่  เท่าที่ผมประเมิน  แม้แต่ช่องฟรีทีวีก็มีข่าวให้ดู  และบริษัทนี้มีอะไรที่เป็นจุดเด่นบ้าง

VIH  ผมยังไม่รู้จักหุ้นตัวนี้  แต่จากข้อมูลที่คุณให้มาว่ายังมีโอกาสโตได้อีก  แล้วมันจะโตได้ปีละกี่เปอร์เซ็นต์ครับ  และ  PE  ที่เป็นอยู่  มันเว่อร์ไปหรือเปล่า  และโรงพยาบาลนี้มีอะไรเป็นจุดเด่นบ้าง

JMART  อย่าดูย้อนหลังครับ  เพราะซื้อหุ้นคือซื้ออนาคต  จุดด้อยของธุรกิจนี้ก็คือ  สินค้าล้าสมัยเร็วมาก  ถ้าสินค้าคงคลังมันล้าสมัยอยู่บานเบอะ  คุณคิดว่าสภาพบริษัทจะเป็นอย่างไร  เพราะถึงเขาจะขนเอาโทรศัพท์ไปขายลดราคาลงครึ่งหนึ่งก็คงจะหาคนซื้อยากอยู่ดี  แล้วบริษัทมีการรับมือกับปัญหานี้อย่างไรบ้างครับ

     สำหรับการบ้านในวันนี้คือ  ทุกบริษัทที่คุณเป็นเจ้าของอยู่  มีฐานะการเงินเป็นอย่างไรครับ  และมีจุดเด่นในสินค้าหรือบริการของเขาอย่างไรบ้าง


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: เอ็มไอ ซิก (MI6) ที่ วันที่ 24 มิถุนายน 2012, 12:59:09
intuch  advanc  dtac มันแปงครับ

ส่วน True  กำลังแน อยู่ครับ แต่จะซื้อแน่นอน.....รอกระแสการประมูล 3G ออกมาก่อนครับ

สนใจ TRUE แล้วท่านเข้าไปดูงบการเงินของเขาหรือยังครับ

ดูลึกๆ จะเจอของดีครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 25 มิถุนายน 2012, 00:04:21
ขอบคุณ ท่านหน่วยพลีชีพ ครับ รอจะซื้อ True แต่ก็จับตาอยู่ครับ..อยากเห็นของดีครับ
เอามาโชว์เลยบ๋อ.. คนอื่นๆ จะได้เห็นด้วยครับ

ตอบท่านวายุ ครับ เอาตัวแรกก่อน
sc  
- สินทรัพย์เพิ่มขึ้นทุกปี หนี้สินก็เพิ่มทุกปี และจำนวนผู้ถือหุ้นก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
- กำไรสุทธิไตรมาสแรกน้อยไปนิด ถ้าจะให้กำไรทั้งปีเท่าปีที่แล้วน่าจะได้ 269ล้านขึ้นในไตรฯแรก
- มีสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าหนี้สินรวมครับ
สรุปว่าฐานะทางการเงินดีครับ ถ้าเจ๊งไปก็ไม่มีหนี้ติดตัวแน่นอน  
จุดเด่นของกิจการ.. รู้แผนการพัฒนาครับ สร้างบ้านรอขายได้เลยตามจุดที่จะเข้าพัฒนา
หรือเข้าพัฒนาเพิ่มเติมในทำเลที่ตัวเองลงทุนไปแล้ว ก็ได้

siri
- กำไรไตรมาสแรกปีนี้ ถ้าได้เท่านี้ทุกไตรฯ กำไรก็จะใกล้กับปีที่แล้วแน่นอน
- สินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าหนี้สินรวม ครับ
>> ฐานะทางการเงินดีครับ 
จุดเด่นของกิจการก็ อยู่มานาน จากเหตุการณ์น้ำท่วมปีที่แล้ว โครงการของแสนสิริไม่โดนทำให้
คนเริ่มหันมามองมากและให้ความสนใจกับแสนสิริมากขึ้น และมีโรงงาน pre cast(จำไม่ได้ว่าสร้างปีนี้
หรือว่าสร้างเสร็จไปแล้ว) จึงทำให้ประหยัดเวลาในการก่อสร้างบ้านเพื่อขาย





คำตอบพอได้มั้ยครับ

ง่วงแฮะ หลับดีกว่า


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ►•••   Natz.   •••◄ ที่ วันที่ 25 มิถุนายน 2012, 10:25:43
คุณ eaku ไม่ใช่มือใหม่ละมั้งครับนิ ข้อมูลตรึม  ;D

ข้อมูลเด็ดๆทั้งนั้นเลย อ่าน อ่าน อ่าน   :D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 25 มิถุนายน 2012, 10:48:33
คุณ eaku ไม่ใช่มือใหม่ละมั้งครับนิ ข้อมูลตรึม  ;D

ข้อมูลเด็ดๆทั้งนั้นเลย อ่าน อ่าน อ่าน   :D

ผมก็สังเกตุมานานเหมือนกันครับ เพราะดูๆแล้ว การหาข้อมูล

การวิเคราะห์มีเหตุมีผล ใช้ได้เลยครับ

แบบนี้คงไม่ต้องให้ใครมาช่วยดันแล้วครับ

มาแลกเปลี่ยนความรู้กันดีกว่าครับ มีอะไรดีๆก็แนะนำกันได้เลย

เปิดพอร์ตก่อนเป็นพี่ เปิดพอร์ตที่หลังเป็นน้อง เปิดพอร์ตพร้อมกันเป็นเพื่อน (http://ผมก็สังเกตุมานานเหมือนกันครับ เพราะดูๆแล้ว การหาข้อมูล

การวิเคราะห์มีเหตุมีผล ใช้ได้เลยครับ

แบบนี้คงไม่ต้องให้ใครมาช่วยดันแล้วครับ

มาแลกเปลี่ยนความรู้กันดีกว่าครับ มีอะไรดีๆก็แนะนำกันได้เลย

เปิดพอร์ตก่อนเป็นพี่ เปิดพอร์ตที่หลังเป็นน้อง เปิดพอร์ตพร้อมกันเป็นเพื่อน)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: thexfile ที่ วันที่ 25 มิถุนายน 2012, 11:02:21
เข้ามาเก็บข้อมูลด้วยคน เอ๊กๆ  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 25 มิถุนายน 2012, 16:14:49
ตอบคุณ  eaku
     แล้วข้อมูลของบริทที่เหลือล่ะครับ  ผมเห็นมีแค่สองบริษัทเอง  และคำถามที่ผมอยากจะถามอีกก็คือ  ในบริษัทที่คุณถือหุ้นอยู่  มีใครเป็นคู่แข่งในอุตสาหกรรมนั้นบ้าง  และบริษัทของคุณอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 26 มิถุนายน 2012, 00:12:21
คุณ Natz  ผมเป็นมือใหม่จริงๆครับ เพิ่งเปิดบัญชีซื้อขายเองครับ

คุณพี่วัยทองฯ ผมอยากเล่นหุ้น ให้ได้กำไรครับ จึงขอให้คุณวายุช่วยดัน ส่วนเรื่องการแลกเปลี่ยนผมยินดีครับ บอร์ดนี้อบอุ่นดีครับ ยังไงผมก็เป็นน้องใหม่ ประสบการณ์ยังน้อยมากๆครับ

ตอบคุณวายุ หุ้นที่เหลือครับเมื่อวานง่วงมากไปหน่อย..เลยพิมพ์ไม่ไหว

Jmart
- ฐานะทางการเงินน่าห่วง เพราะหนี้สินรวม มากกว่า สินทรัพย์หมุนเวียน
แต่สินทรัพย์ทั้งหมดก็มากกว่าหนี้อยู่นะ
- แต่สินทรัพย์ , หนี้สิน, จำนวนผู้ถือหุ้น เพิ่มขึ้นทุกปี
- กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมากทีเดียว รอดูผลดำเนินงานไตรมาส2 นี้ก่อนเต๊อะกำไรทะยานแน่
จุดเด่น ของธุรกิจช่วงนี้ ก็คือ โทรศัพท์มือถือยังขายได้ และสมาร์ทโฟนก็ขายม่วนขนาด สินค้าตกรุ่นเร็วก็จริงแต่ยังขายได้นะ แล้วของใหม่ก็มาเร็วไม่แพ้กันครับ

BTS
- ยอดจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น เป็นสถิติใหม่เชียว มีรายได้เพิ่มขึ้น และไม่ใช่ 1 เปอร์เซ็นแน่นอนครับ พรุ่งนี้ XD
- ฐานะทางการเงิน หนี้สินรวม มากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน
จุดเด่น มีสัมปทานกับรัฐ 

NMG
- ฐานะการเงิน หนี้สินรวม มากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน
- ผลดำเนินการบอกว่า มีกำไรมากกว่า ไตรมาสแรกของปีก่อน 20ล้าน
จุดเด่นก็คือเป็นสื่อ ขายโฆษณายังไงก็ขายได้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 26 มิถุนายน 2012, 00:16:02
ส่วนการบ้านอันใหม่

ใครเป็นคู่แข่งในธุรกิจบ้างนี่ - ผมไม่รู้ครับ.. แต่ถ้าให้ตอบผมจะมุ่งไปที่บริษัทที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจนั้นๆ แหละครับ ส่วนที่ว่า เป็นที่เท่าไหร่ นี่ไม่ทราบครับ..

ขอคุณวายุบอกผมด้วยครับ.. ว่าไปดูข้อมูลตรงไหนครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 26 มิถุนายน 2012, 16:02:05
ตอบคุณ  eaku
     เรื่องอันดับในธุรกิจนั้นผมก็ไม่รู้ว่าเขาไปหาได้ที่ไหน  ส่วนตัวผมเองนั้นใช้การประเมินและหาข้อมูลทั่วๆไปเอาครับ  เช่น  7-11  มีคู่แข่งคือเทสโก้โลตัสเอ็กซ์เพรส  ทีนี้เราก็มาประเมินเอาเองว่า  ใครมีลูกค้า  หรือมีสาขา  หรือมีกำไร  หรือสามารถโตได้อีก  มากกว่ากันครับ  ส่วนสิริของคุณนั้น  ผมก็ไม่รู้ว่าเขาเน้นบ้านแนวราบหรือแนวตั้งมากกว่า  ถ้าเป็นแนวตั้ง  ผมว่าน่าจะมีคู่แข่งก็คือ  LPN  เพราะขานี้เขาก็นิยมแนวตั้งเหมือนกัน  การติดตามข้อมูลและนำมันมาประเมินนั้น  คุณคงต้องติดตามข้อมูลเอาเองนะครับ  เพราะผมก็ติดตามข้อมูลของหุ้นผมเหมือนกัน

     และสำหรับคำถามนี้  อาจเป็นคำถามสุดท้ายในภารกิจการดันของผมแล้วนะครับ  ขอถามว่า  แผนงานในการเพิ่มกำไรในอนาคตของบริษัทของคุณคืออะไร  และปัจจัยความเสี่ยงของธุรกิจคืออะไร  และที่เป็นเรื่องหลักเลยก็คือ  อะไรจะทำให้มันดีขึ้นหรือแย่ลง  ถ้าคุณตอบคำถามเหล่านี้ได้  คุณก็สามารถเรียกตัวเองว่า"นักลงทุน"ได้อย่างเต็มปากครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ►•••   Natz.   •••◄ ที่ วันที่ 27 มิถุนายน 2012, 10:12:28
มันไม่แสดงราคาอะไรเลยครับเป็นเพราะอะไรหรอครับ





หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 27 มิถุนายน 2012, 10:17:52
มันไม่แสดงราคาอะไรเลยครับเป็นเพราะอะไรหรอครับ





เพราะไม่มีคนเ่ล่นไงครับ หมายความว่าหุ้นตัวนี้ ไม่มีใครซื้อ-ขาย ณ เวลานั้น (http://เพราะไม่มีคนเ่ล่นไงครับ หมายความว่าหุ้นตัวนี้ ไม่มีใครซื้อ-ขาย ณ เวลานั้น)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ►•••   Natz.   •••◄ ที่ วันที่ 27 มิถุนายน 2012, 15:18:59
มันไม่แสดงราคาอะไรเลยครับเป็นเพราะอะไรหรอครับ





เพราะไม่มีคนเ่ล่นไงครับ หมายความว่าหุ้นตัวนี้ ไม่มีใครซื้อ-ขาย ณ เวลานั้น (http://เพราะไม่มีคนเ่ล่นไงครับ หมายความว่าหุ้นตัวนี้ ไม่มีใครซื้อ-ขาย ณ เวลานั้น)

แบบนี้นี่เอง ขอบคุณมากๆครับ เป็นประสบการณ์ใหม่ ๆ สำหรับผม  :D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 30 มิถุนายน 2012, 19:31:35
     จากการที่ผมได้ตอบโต้พูดคุยกับคุณ  eaku  ไปแล้วนั้น  ทำให้ผมสังเกตเห็นว่า  ยังมีมือใหม่อีกหลายท่าน  รวมถึงมือเก่าที่ลงทุนมานานแล้ว  ยังไม่เคยหรือไม่ค่อยมีใครนิยมใช้แนวทางที่ผมใช้อยู่มากนัก  ส่วนมากแล้วเขาจะเล่นหุ้นโดยใช้เทคนิคมากกว่า  ซึ่งนั่นผมถือว่า  เขาทำมันเป็นงานอดิเรกครับ  มันยังมิใช่การลงทุน  ถ้าคุณคิดว่าวิธีที่ผมใช้อยู่มันมีเหตุผล  มันสามารถอธิบายถึงความเป็นมาเป็นไปเกี่ยวกับหุ้นแต่ละตัวได้  เราก็น่าจะลองหันมาใช้วิธีที่ผมใช้อยู่บ้างก็ได้นะครับ  เนื่องจากคำถามที่ผมถามคุณ  eaku  ไปทั้งหมดนั้น  เป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับคนที่ต้องการจะเป็น  “นักลงทุนที่ดี”  ต้องทำ  คำถามทั้งหมดนั้นมีความสำคัญมาก  เนื่องจากว่ามันจะเกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของเงินลงทุนของเราโดยตรง  ถ้ามีคำถามใดคำถามหนึ่งที่เราไม่สามารถหาคำตอบได้  มีสองวิธีที่เราจะต้องทำคือ

1.เราต้องค้นหาคำตอบให้ได้  เพราะถ้าเราไม่รู้เพียงข้อหนึ่งข้อใด  บางทีข้อนั้นอาจเป็นจุดตาย  เพราะถ้าคำตอบนั้นมันเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่จะทำให้บริษัทแย่ลง  การลงทุนของคุณก็จะไม่ประสบความสำเร็จ

2.คุณไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย  ถ้าคุณไม่มีหุ้น  คุณก็ไม่ควรซื้อมัน  เพราะนั่นคือ  “ความเสี่ยง”  อย่างที่วลีเด็ดในการลงทุนชอบใช้  หรือถ้าคุณมีหุ้นนั้นอยู่  คำแนะนำของผมก็คือ  ควรหาจังหวะขายมันทิ้งซะ  เพราะคุณจะได้ไม่ต้องไปผวาเวลาที่หุ้นตก  สาเหตุหนึ่งที่คนมักจะชอบคัทลอสก็คือ  เขาไม่รู้จักหุ้นที่เขาลงทุนอยู่  และเขาจะไม่รู้ว่าจังหวะไหนควรทำอะไรกับหุ้นของตัวเอง

     ผมมีข้อคิดให้ทุกคนหน่อยนึงว่า  อย่าพยายามกระจายความเสี่ยงตามที่คนอื่นแนะนำมา  แทนที่เราจะซื้อหุ้นที่ดี  10  ตัว  หรือซื้อทุกหุ้นที่เรารู้จัก  จะเป็นการดีกว่ามาก  ถ้าเราจะซื้อ  “หุ้นที่ดีที่สุด”  ที่เรารู้จักเพียงไม่กี่ตัว  การที่เราจำเป็นต้องมีหุ้นมากตัวนั้น  มันต้องมีเพราะว่าเราเข้าใจมันและมันเป็นหุ้นที่ดีมาก  แต่อย่ามีหุ้นมากตัวเพียงเพราะว่าเราต้องการกระจายความเสี่ยงเท่านั้นเอง  สำหรับคำว่าซื้อหุ้นที่ดีที่สุดของผมนั้นหมายถึง  หุ้นที่จะให้ผลตอบแทนแก่เรามากกว่าตัวอื่น  ซึ่งเราเห็นอนาคตแล้วว่า  มันสามารถไปได้ไกลกว่าตัวอื่น  หรือให้ผลตอบแทนที่คาดการณ์ได้ดีกว่าตัวอื่น  คุณลองคำนวณดูก็ได้ว่า  ถ้าคุณลงทุน  10,000  บาทในหุ้นที่โต  5 %  ต่อปี  เทียบกับหุ้นที่โต  10 %  ต่อปี  เมื่อเวลาผ่านไป  5  ปี  เงินที่คุณลงทุนในหุ้นที่โต  5 %  จะทำให้เงินคุณเพิ่มขึ้นมาเป็น  12,762  บาท  แต่ถ้าคุณลงทุนในหุ้นที่โต  10 %  เมื่อเวลาผ่านไป  5  ปี  เงินคุณจะเพิ่มขึ้นมาเป็น  16,105  บาท  ตอนนี้คุณก็จะรู้ได้ว่า  ถ้าคุณลงทุนด้วยเงินจำนวนที่เท่ากันในหุ้นที่โตต่างกัน  เมื่อเวลาผ่านไป  5  ปี  ผลตอบแทนมันก็จะแตกต่างกันถึง  26 %  เลยทีเดียว  นี่ถ้าจำนวนเงินลงทุนเป็นหลักล้าน  กำไรที่มากกว่าถึง  26 %  มันคงออกรถยนต์ได้เป็นคันเลย  ขอให้ทุกคนโชคดีในการลงทุนและเจอหุ้นที่ใช่ตัวนั้นนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 30 มิถุนายน 2012, 19:44:07
เฮ้ย!!!  ฝรั่งเอาจริงเว๊ย  ดูการซื้อ  CPALL  วันที่  29/06/12  ดิ

ซื้อสุทธิ  27  ล้านหุ้น!!!  แล้วดูวันที่  27/06/12  ดิ  ซื้อมาเบาะๆแค่  7  ล้านกว่าหุ้นเอง  เหอ  เหอ  สีท่าจะวิ่งหน้าตั้งแล้วหุ้นเรา  ใครมีถือไว้  ใครไม่มี...ใจไม่ถึงก็อย่า

http://www.set.or.th/set/nvdrbystock.do?filename=nvdr_stockvol_1_1


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 02 กรกฎาคม 2012, 18:28:33
ตอบคุณวายุ

     และสำหรับคำถามนี้  อาจเป็นคำถามสุดท้ายในภารกิจการดันของผมแล้วนะครับ  ขอถามว่า  แผนงานในการเพิ่มกำไรในอนาคตของบริษัทของคุณคืออะไร  และปัจจัยความเสี่ยงของธุรกิจคืออะไร  และที่เป็นเรื่องหลักเลยก็คือ  อะไรจะทำให้มันดีขึ้นหรือแย่ลง  ถ้าคุณตอบคำถามเหล่านี้ได้  คุณก็สามารถเรียกตัวเองว่า"นักลงทุน"ได้อย่างเต็มปากครับ

ข้อนี้ยากแฮะ.. (1)แผนงานในการเพิ่มกำไร มันอยู่ในรายงานประจำปีของบริษัทครับ หาอ่านได้ในเว็บและหน้าข่าวเศรษฐกิจครับ.. (2)ปัจจัยความเสี่ยงของธุรกิจ ก็เช่นกันอยู่ในหน้าของรายการการตรวจสอบกิจการครับ แต่ถ้าจะให้ละเอียดกว่าก็ต้องติดตามข่าวและวิเคราะห์คู่แข่งเองด้วย (3) อะไรจะทำให้มัน(ธุรกิจของเรา)ดีขึ้นหรือแย่ลง อันนี้ก็ต้องวิเคราะห์เองเช่นกันมั้งครับ.....

การตอบคำถามส่วนสุดท้ายของพี่วายุนี้.. ต้องอาศัยความขยันและทำความเข้าใจในธุรกิจนั้นๆ อย่างถ่องแท้ครับ.. จะมาบอกว่าเวลาน้อยไม่ได้นะ..ถึงจะมีน้อยก็ต้องแบ่งเวลามาศึกษาครับ..

แต่ผมใช้วิธีดูและอ่านจะบทวิเคราะห์ที่รายการทีวี หรือที่เขียนในหนังสือพิมพ์พิมพ์เศรษฐกิจเอาครับ..พออ่านแล้วก็ไปดูข้อมูลตามที่เขาบอกมาครับเร็วดี... อาจมีที่ไม่ตรงบ้างก็ปรับเอาครับ..
ขอบคุณที่คุณวายุชี้แนะแนวทางครับ.. พอจะได้ความรู้เพิ่มในการคัดสรร หุ้นที่จะซื้อ..
และหลังจากปรับมุมมองตามคำถามคุณวายุแล้วทำให้รู้ว่าต้องปรับพอร์ตอีกนิดหน่อย..อาจต้องขายทิ้งสัก 2-3 ตัวแน่ะ..555

ขอบคุณมากครับ..

แต่ฝรั่งซื้อเยอะจริงๆครับ 555


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 02 กรกฎาคม 2012, 18:38:21
เอ่อ.. วอนพี่ๆ ทั้งหลายให้ความเห็นทีครับ
ว่าความคิดนี้..

   "หุ้น blue chip = หุ้นที่อยู่ใน SET50"

เป็นความคิดที่ ถูกมั้ยครับ



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 03 กรกฎาคม 2012, 15:54:24
เอ่อ.. วอนพี่ๆ ทั้งหลายให้ความเห็นทีครับ
ว่าความคิดนี้..

   "หุ้น blue chip = หุ้นที่อยู่ใน SET50"

เป็นความคิดที่ ถูกมั้ยครับ



ไม่เห็นมีใครมาตอบ  งั้นผมตอบให้ก็แล้วกันนะครับ  แต่ก่อนที่จะตอบ  ต้องถามกลับไปก่อนว่า  บลูชิพนั้นหมายถึงอะไร  ถ้าคุณรู้ที่มาที่ไป  คุณก็จะตอบคำถามได้เอง


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: eaku ที่ วันที่ 03 กรกฎาคม 2012, 16:47:26
เอาง่ายๆ ก็หุ้นที่พวก VI เค้าถือกันถูกป่ะครับ..

ในกระทู้ใครเคยบอกไว้นะ.. ว่าเป็น ดีเฟ้นซีฟ สต็อก(พิมพ์อังกฤษก็กลัวไม่ถูก) คือเป็นหุ้นของธุรกิจที่
สามารถจะยืนอยู่ได้แม้จะไม่ว่าจะเป็นภาวะเลวร้ายที่สุดของตลาด (เวอร์ไปมั้ยครับ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 05 กรกฎาคม 2012, 15:42:29
ตอบคุณ  eaku

     คุณสามารถไปอ่านความคิดเห็นเกี่ยวกับหุ้นบลูชิพของผมได้ที่หน้า  30  #584   ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 10 กรกฎาคม 2012, 15:55:57
7-11  สาขาใหม่  ระบบโอเพ่นแอร์


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ►•••   Natz.   •••◄ ที่ วันที่ 10 กรกฎาคม 2012, 18:09:36
7-11  สาขาใหม่  ระบบโอเพ่นแอร์

โอ้ว 555  :D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ►•••   Natz.   •••◄ ที่ วันที่ 10 กรกฎาคม 2012, 18:12:12
มีใครเทรดผ่าน Jvix มั้งครับหาวิธีที่ใหนได้มั้งครับ เข้าไป งงเป็นไก่ตาแตกเลย  ???


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ►•••   Natz.   •••◄ ที่ วันที่ 12 กรกฎาคม 2012, 11:51:22
ท่านใดเทรดผ่านโปรแกรมอื่นนอกเหนือจาก streaming มั้ง อยากทราบว่า streaming มันดีเลย์มากกว่าหรือน้อยกว่าโปรแกรมอื่นแค่ใหนครับ  


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 12 กรกฎาคม 2012, 13:39:36
ท่านใดเทรดผ่านโปรแกรมอื่นนอกเหนือจาก streaming มั้ง อยากทราบว่า streaming มันดีเลย์มากกว่าหรือน้อยกว่าโปรแกรมอื่นแค่ใหนครับ  


ลองสอบถามกับทาง ท่าน เตมูจินครับ เขาเทรดกับอีกโบรกหนึ่ง บอกว่ามีโปแกรมของโบรกเองเลย

แต่ส่วนตัวของผมก็ใช้ติมมิ่งเหมือนกัน แต่ความดีเลย์ ไม่มีผลกับการลงทุนของผมครับ (http://ลองสอบถามกับทาง ท่าน เตมูจินครับ เขาเทรดกับอีกโบรกหนึ่ง บอกว่ามีโปแกรมของโบรกเองเลย

แต่ส่วนตัวของผมก็ใช้ติมมิ่งเหมือนกัน แต่ความลีเลย์ ไม่มีผลกับการลงทุนของผมครับ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ►•••   Natz.   •••◄ ที่ วันที่ 12 กรกฎาคม 2012, 16:51:04
ท่านใดเทรดผ่านโปรแกรมอื่นนอกเหนือจาก streaming มั้ง อยากทราบว่า streaming มันดีเลย์มากกว่าหรือน้อยกว่าโปรแกรมอื่นแค่ใหนครับ  


ลองสอบถามกับทาง ท่าน เตมูจินครับ เขาเทรดกับอีกโบรกหนึ่ง บอกว่ามีโปแกรมของโบรกเองเลย

แต่ส่วนตัวของผมก็ใช้ติมมิ่งเหมือนกัน แต่ความดีเลย์ ไม่มีผลกับการลงทุนของผมครับ (http://ลองสอบถามกับทาง ท่าน เตมูจินครับ เขาเทรดกับอีกโบรกหนึ่ง บอกว่ามีโปแกรมของโบรกเองเลย

แต่ส่วนตัวของผมก็ใช้ติมมิ่งเหมือนกัน แต่ความลีเลย์ ไม่มีผลกับการลงทุนของผมครับ)

ขอบคุณมากครับ วันนี้ลองดูดูบ้างแล้ว เริ่มดูเป็นละครับ  streaming ดีเลย์ประมาณ 2-3 วิ

วันนี้เข้าสู่สนามจริงกะจะเป็นเม่าน้อยสักหน่อยดันไม่ match ซะนี้ สงสัยมีอะไรบางอย่างบังคับให้ซื้อพรุ่งนี้ ศุกร์ 13 อาถรรพ์   :D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ~I☺Gën~ ที่ วันที่ 12 กรกฎาคม 2012, 17:44:44
ท่านใดเทรดผ่านโปรแกรมอื่นนอกเหนือจาก streaming มั้ง อยากทราบว่า streaming มันดีเลย์มากกว่าหรือน้อยกว่าโปรแกรมอื่นแค่ใหนครับ  


ลองสอบถามกับทาง ท่าน เตมูจินครับ เขาเทรดกับอีกโบรกหนึ่ง บอกว่ามีโปแกรมของโบรกเองเลย

แต่ส่วนตัวของผมก็ใช้ติมมิ่งเหมือนกัน แต่ความดีเลย์ ไม่มีผลกับการลงทุนของผมครับ (http://ลองสอบถามกับทาง ท่าน เตมูจินครับ เขาเทรดกับอีกโบรกหนึ่ง บอกว่ามีโปแกรมของโบรกเองเลย

แต่ส่วนตัวของผมก็ใช้ติมมิ่งเหมือนกัน แต่ความลีเลย์ ไม่มีผลกับการลงทุนของผมครับ)

ขอบคุณมากครับ วันนี้ลองดูดูบ้างแล้ว เริ่มดูเป็นละครับ  streaming ดีเลย์ประมาณ 2-3 วิ

วันนี้เข้าสู่สนามจริงกะจะเป็นเม่าน้อยสักหน่อยดันไม่ match ซะนี้ สงสัยมีอะไรบางอย่างบังคับให้ซื้อพรุ่งนี้ ศุกร์ 13 อาถรรพ์   :D


ที่ไม่จับคู่ให้เรา ก็คงเป็นเพราะยังไม่ถึงตาเรามั้งครับ คิวเราน่าจะท้ายๆของ bid

ถ้ายังไม่ได้ของก็ดีแล้วครับ ดูเหตุการณ์วันพรุ่งนี้ก่อนก็ดีครับ

ดูเพื่อจะดูว่า มีใครกำลังทำอะไรโง่ๆในตลาดหุ้นไหมนะครับ

และจากนั้นก็จะเห็นจังหวะที่เราจะเข้าไปช้อนซื้อหุ้นดีๆ ที่เขาทิ้งกันแบบโง่ๆครับ

จะซื้อแบบตั้งรับหรือ งาบ เลย ถ้าของดีราคาถูก งบคาดว่าน่าจะออกมาดี

รับรอง ไม่เกิน 18 มิ.ย. 55 (วันสุดท้ายของการส่งงบ) มีเฮแน่ครับ

แต่การลงทุนก็มีความเสี่ยงครับ ศึกษาราคา กับพื้นฐานดีๆเน้อครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 15 กรกฎาคม 2012, 22:25:30
คุณเป็นใคร
     บทความนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวิธีการจัดการเงินของคน  ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณกำลังเป็นอยู่จริง  บางทีคุณอาจจะอ่านแล้วบอกว่ามันไม่ใช่  แต่ผมก็ไม่อยากให้คุณจริงจังอะไรมากมายนัก  เพราะเรื่องนี้มันอยู่ที่มุมมองของเราเองต่างหากว่า  เรายอมรับหรือเห็นด้วยกับมันไหมแค่นั้นเอง

     คำถามมีอยู่ว่า  ถ้าเราอยากได้มือถือสักเครื่อง  แต่ตอนนี้เรายังไม่มีเงินเลย  เราจะทำอย่างไร?

ถ้าคุณมีทัศนคติแบบคนจน  คุณก็คงจะค่อยๆเก็บเงินไปเรื่อยๆ  พอเก็บได้ครบเมื่อไหร่ก็ค่อยไปซื้อ  ถ้าถามผมว่าวิธีนี้ดีไหม  ผมว่ามันก็ดีนะ  เพราะอย่างน้อยมันก็ไม่ได้ทำให้เราเป็นหนี้ใคร  แถมยังเป็นการฝึกความอดทนและความแน่วแน่ไปในตัวด้วยว่า  เมื่อถึงวันที่เราเก็บเงินได้จนครบแล้ว  เราอาจจะลองถามตัวเองดูก่อนว่า  เรายังต้องการมันอยู่ไหม  หากเรายังต้องการมันอยู่  สิ่งนั้นมันก็คือความต้องการที่แท้จริงของเรา  เรามิใช่อยากจะได้มันเพราะความใจเร็วด่วนได้  หรือหลงมัวเมาไปกับโฆษณา  แต่ถ้าเมื่อเราเก็บเงินได้ครบตามจำนวนแล้ว  เรากลับพบว่าเราไม่ได้ต้องการมันแล้ว  ไม่ว่าจะเกิดจากการที่มันมีรุ่นใหม่ที่ดีกว่าออกมา  หรือเรามาคิดได้ทีหลังว่า  เราก็ไม่ได้อยากจะได้มันจริงสักเท่าไหร่  เราก็จะไม่เสียหายอะไร

ถ้าคุณมีทัศนคติแบบคนชั้นกลาง  คุณคงไม่ต้องการรอจนถึงวันนั้นหรอก  เพราะคุณต้องการมันเดี๋ยวนี้!!!  แต่จะทำอย่างไรล่ะ  ในเมื่อตอนนี้คุณยังไม่มีเงินเลย  ไม่มีปัญหา...เรื่องแค่นี้มันจิ๊บจ๊อย  รูดปรื๊ด...รูดปรื๊ด  “ยอมเป็นหนี้สักหน่อยก็แล้วกัน  คนมันรอไม่ไหวแล้ว  ต่อมอยากได้มันสั่นระริก  มือถือแค่นี้  ผ่อนไม่นานเดี๋ยวก็หมด  เงินเดือนก็มีประจำ  จะกลัวอะไร”  นี่เป็นทัศนคติที่น่ากลัวมาก  ไม่มีการข่มความอยากได้อยากมีเอาเสียเลย  ก็ในเมื่อตอนนี้คุณยังไม่มีเงินเลย  แล้วคุณคิดว่าในอนาคตคุณจะมีเงินไหม  การที่คุณไม่มีเงินในวันนี้  นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่า  คุณเป็นคนที่ไม่สามารถสะกดกลั้นความอยากเอาไว้ได้  และการที่คุณยอมเป็นหนี้ในสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เงินของคุณมันงอกเงยออกมานั้น  มันก็เป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่าจริงๆ  ผมว่า...คนที่มีทัศนคติแบบนี้  จะเป็นคนที่ผู้ผลิตสินค้าให้ความเอ็นดูเป็นพิเศษ  และถ้าผมถามต่อไปว่า  เกิดมีมือถือรุ่นที่ดีกว่าออกมา  คุณจะทำอย่างไรอีก?  แล้วถ้าคุณยังเป็นคนแบบนี้อยู่  ชาตินี้ทั้งชาติ  คุณก็คงจะมีแต่ชีวิตหนี้เท่านั้น

ถ้าคุณมีทัศนคติแบบคนรวย  ความอยากได้อยากมี  มันก็เป็นกันทุกคนนั่นแหละ  แต่ทีนี้ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  วิธีการเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เราต้องการนั้น  มันสามารถแยกคนออกมาเป็นแต่ละประเภทได้  แล้วคนรวยเขาทำยังไง?  คำตอบในที่นี้คงไม่ใช่เดินดุ่มๆไปซื้อเพราะมีตังค์อยู่แล้วแน่  นั่นมันของตายอยู่แล้ว  ถ้าใครมีเงินสดก็คงไปซื้อมาได้เลย  แต่เรื่องที่เราเอามาพูดกันในวันนี้  จุดเริ่มต้นมันอยู่ที่ยังไม่มีตังค์  ถ้ายังไม่มีตังค์ต้องทำยังไง?  ก็ต้องทำงานเก็บเงินก่อนถูกไหม  แต่หลังจากที่เก็บเงินได้ครบตามจำนวนแล้ว  เขาก็ยังจะไม่เอาเงินไปซื้ออยู่ดี  เขาจะต้องเอาเงินที่เก็บมาได้นั้น  ไปลงทุนทำให้มันออกดอกออกผลเสียก่อน  เมื่อดอกผลที่ได้จากการลงทุนนั้นมีมากพอที่จะซื้อมือถือโดยไม่เดือดร้อนเงินต้นแล้ว  เมื่อนั้นแหละ  เขาถึงจะเอาดอกผลที่ได้รับมา  ไปซื้อมือถือที่เขาอยากได้  ถ้าเราคิดอย่างนี้  ทำอย่างนี้ได้  เมื่อนั้นเราถึงจะเรียกตัวเองว่าคนรวยได้ครับ  คนรวยไม่ได้วัดกันที่มีเงินมากเท่าไหร่  เพราะมีได้มันก็หมดได้  แต่วิธีการเพื่อให้ได้สิ่งของนั้นมาต่างหาก  ที่จะแยกเราได้ว่าเรามีแนวคิดเป็นแบบไหน  ถ้าเราไม่ต้องเสียเงินของตัวเองไป  นั่นต่างหากที่จะทำให้เรารวย  สิ่งที่สำคัญคือ  เราจะรักษาเงินที่มีอยู่  ให้อยู่กับเราไปนานๆหรือเพิ่มพูนขึ้นไปได้อย่างไรต่างหาก


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: MRJACOP ที่ วันที่ 19 กรกฎาคม 2012, 01:26:04
คุณเป็นใคร
     บทความนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวิธีการจัดการเงินของคน  ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณกำลังเป็นอยู่จริง  บางทีคุณอาจจะอ่านแล้วบอกว่ามันไม่ใช่  แต่ผมก็ไม่อยากให้คุณจริงจังอะไรมากมายนัก  เพราะเรื่องนี้มันอยู่ที่มุมมองของเราเองต่างหากว่า  เรายอมรับหรือเห็นด้วยกับมันไหมแค่นั้นเอง

     คำถามมีอยู่ว่า  ถ้าเราอยากได้มือถือสักเครื่อง  แต่ตอนนี้เรายังไม่มีเงินเลย  เราจะทำอย่างไร?

ถ้าคุณมีทัศนคติแบบคนจน  คุณก็คงจะค่อยๆเก็บเงินไปเรื่อยๆ  พอเก็บได้ครบเมื่อไหร่ก็ค่อยไปซื้อ  ถ้าถามผมว่าวิธีนี้ดีไหม  ผมว่ามันก็ดีนะ  เพราะอย่างน้อยมันก็ไม่ได้ทำให้เราเป็นหนี้ใคร  แถมยังเป็นการฝึกความอดทนและความแน่วแน่ไปในตัวด้วยว่า  เมื่อถึงวันที่เราเก็บเงินได้จนครบแล้ว  เราอาจจะลองถามตัวเองดูก่อนว่า  เรายังต้องการมันอยู่ไหม  หากเรายังต้องการมันอยู่  สิ่งนั้นมันก็คือความต้องการที่แท้จริงของเรา  เรามิใช่อยากจะได้มันเพราะความใจเร็วด่วนได้  หรือหลงมัวเมาไปกับโฆษณา  แต่ถ้าเมื่อเราเก็บเงินได้ครบตามจำนวนแล้ว  เรากลับพบว่าเราไม่ได้ต้องการมันแล้ว  ไม่ว่าจะเกิดจากการที่มันมีรุ่นใหม่ที่ดีกว่าออกมา  หรือเรามาคิดได้ทีหลังว่า  เราก็ไม่ได้อยากจะได้มันจริงสักเท่าไหร่  เราก็จะไม่เสียหายอะไร

ถ้าคุณมีทัศนคติแบบคนชั้นกลาง  คุณคงไม่ต้องการรอจนถึงวันนั้นหรอก  เพราะคุณต้องการมันเดี๋ยวนี้!!!  แต่จะทำอย่างไรล่ะ  ในเมื่อตอนนี้คุณยังไม่มีเงินเลย  ไม่มีปัญหา...เรื่องแค่นี้มันจิ๊บจ๊อย  รูดปรื๊ด...รูดปรื๊ด  “ยอมเป็นหนี้สักหน่อยก็แล้วกัน  คนมันรอไม่ไหวแล้ว  ต่อมอยากได้มันสั่นระริก  มือถือแค่นี้  ผ่อนไม่นานเดี๋ยวก็หมด  เงินเดือนก็มีประจำ  จะกลัวอะไร”  นี่เป็นทัศนคติที่น่ากลัวมาก  ไม่มีการข่มความอยากได้อยากมีเอาเสียเลย  ก็ในเมื่อตอนนี้คุณยังไม่มีเงินเลย  แล้วคุณคิดว่าในอนาคตคุณจะมีเงินไหม  การที่คุณไม่มีเงินในวันนี้  นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่า  คุณเป็นคนที่ไม่สามารถสะกดกลั้นความอยากเอาไว้ได้  และการที่คุณยอมเป็นหนี้ในสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เงินของคุณมันงอกเงยออกมานั้น  มันก็เป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่าจริงๆ  ผมว่า...คนที่มีทัศนคติแบบนี้  จะเป็นคนที่ผู้ผลิตสินค้าให้ความเอ็นดูเป็นพิเศษ  และถ้าผมถามต่อไปว่า  เกิดมีมือถือรุ่นที่ดีกว่าออกมา  คุณจะทำอย่างไรอีก?  แล้วถ้าคุณยังเป็นคนแบบนี้อยู่  ชาตินี้ทั้งชาติ  คุณก็คงจะมีแต่ชีวิตหนี้เท่านั้น

ถ้าคุณมีทัศนคติแบบคนรวย  ความอยากได้อยากมี  มันก็เป็นกันทุกคนนั่นแหละ  แต่ทีนี้ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  วิธีการเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เราต้องการนั้น  มันสามารถแยกคนออกมาเป็นแต่ละประเภทได้  แล้วคนรวยเขาทำยังไง?  คำตอบในที่นี้คงไม่ใช่เดินดุ่มๆไปซื้อเพราะมีตังค์อยู่แล้วแน่  นั่นมันของตายอยู่แล้ว  ถ้าใครมีเงินสดก็คงไปซื้อมาได้เลย  แต่เรื่องที่เราเอามาพูดกันในวันนี้  จุดเริ่มต้นมันอยู่ที่ยังไม่มีตังค์  ถ้ายังไม่มีตังค์ต้องทำยังไง?  ก็ต้องทำงานเก็บเงินก่อนถูกไหม  แต่หลังจากที่เก็บเงินได้ครบตามจำนวนแล้ว  เขาก็ยังจะไม่เอาเงินไปซื้ออยู่ดี  เขาจะต้องเอาเงินที่เก็บมาได้นั้น  ไปลงทุนทำให้มันออกดอกออกผลเสียก่อน  เมื่อดอกผลที่ได้จากการลงทุนนั้นมีมากพอที่จะซื้อมือถือโดยไม่เดือดร้อนเงินต้นแล้ว  เมื่อนั้นแหละ  เขาถึงจะเอาดอกผลที่ได้รับมา  ไปซื้อมือถือที่เขาอยากได้  ถ้าเราคิดอย่างนี้  ทำอย่างนี้ได้  เมื่อนั้นเราถึงจะเรียกตัวเองว่าคนรวยได้ครับ  คนรวยไม่ได้วัดกันที่มีเงินมากเท่าไหร่  เพราะมีได้มันก็หมดได้  แต่วิธีการเพื่อให้ได้สิ่งของนั้นมาต่างหาก  ที่จะแยกเราได้ว่าเรามีแนวคิดเป็นแบบไหน  ถ้าเราไม่ต้องเสียเงินของตัวเองไป  นั่นต่างหากที่จะทำให้เรารวย  สิ่งที่สำคัญคือ  เราจะรักษาเงินที่มีอยู่  ให้อยู่กับเราไปนานๆหรือเพิ่มพูนขึ้นไปได้อย่างไรต่างหาก

อ่านแล้วได้แง่คิดดีมากๆเลย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: เอ็มไอ ซิก (MI6) ที่ วันที่ 21 กรกฎาคม 2012, 14:07:21
แอบไปเจอแฟนพันธุ์แท้ cpall มาครับ เลยเอามาแบ่งท่านวายุและเพื่อนสมาชิก

ทำเป็นเว็บเลย สุดยอด

http://jo.klongjan.com/news/CPALL

ผมขอตามอ่านก่อนครับ พิมพ์ CPALL ใน google ขึ้นมาเยอะจริงๆ

สนุกมากเลยครับ ใครสนใจก็ลองศึกษาดูนะครับ

เพราะกำไรไตรมาส 1 ได้ 0.305 ต่อหุ้น และถ้าไตรมาสที่ 2 โตเพิ่มอีก 15%

จะคำนวนราคาเหมาะสมได้อยู่ที่  0.305 * 15% = 0.04575

บวกกับกำไรไตรมาส 1 คือ 0.305+0.04575= 0.35 ต่อหุ้น

สมมุติว่า ไตรมาสอื่นๆไม่โตขึ้นเลย ก็จะคำนวนได้ว่า

0.305 + 0.35 + 0.305 + 0.305 = 1.265 กำไรสุทธิ/ หุ้น ต่อปี

และเอามาคุณกับ PE ซึ่งเฉี่ลยแล้วอยู่ที่ 30 เท่า ก็จะได้

30 * 1.265 = 37.95 บาท ซึ่งนี้แค่คิดแบบโตแค่ไตรมาสเดียว

และถ้ามันโตขึ้นทุกๆไตรมาส มันจะวิ่งไปเท่าๆไหร่ ก็คำนวนกันเอาเองนะครับ

ซึ่งราคาตอนนี้อยู่ที่ 36.25 บาท/หุ้น และยังไม่ประกาศผลประกอบการ

ลองมาติดตามกันนะครับว่า หลังจากประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/55 แล้ว

กำไรต่อหุ้นจะอยุ่ที่เท่าไหร่ โตกี่% และราคาหุ้นที่วิ่งไปหากำไร จะอยู่ที่เท่าไหร่ครับ

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็น การลงทุนมีความเสี่ยงครับ

http://portal.settrade.com/brokerpage/IPO/Research/upload/2000000184434/U_CPALL_120616.pdf

http://portal.settrade.com/brokerpage/IPO/Research/upload/2000000183831/Cpall_550608.pdf


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: เอ็มไอ ซิก (MI6) ที่ วันที่ 21 กรกฎาคม 2012, 20:58:04
(http://upic.me/i/nf/101untitled.jpg) (http://upic.me/show/37549459)

ผมมีข้อสังเกตุอีกข้อสองข้อตามรูปข้างบนนี้ครับ

จากรูปข้างบน เป็นการเปรียบเทียบกำไร ปีที่มีมหกรรมกีฬา

ซึ่งในที่นี้ก็คือ ฟุตบอลยูโร นั้นเองครับ จะเห็นได้ว่า

ปีไหนที่มีช่วงกีฬายอดรายได้ของของไตรมาสนั้นๆ จะเพิ่มขึ้นสูงกว่าปกติ

เพราะเหตุที่ว่า ไตรมาสสองเป็นช่วงหน้าร้อนจึงทำให้มีการซื้อเครื่องดื่มเป็นจำนวนมาก

และช่วงเทศกาลบอลยูโรมีการแข่งขันที่ดึกพอสมควร

ดังนั้นช่วงเวลาดังกล่าว ร้านโชว์ห่วยต่างๆก็เปิดนอนกันหมดแล้ว

จะเหลือแต่ร้านสะดวกซื้อต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเข้า 7-11 มากกว่าร้านอื่นๆ (เกินครึ่งของผู้มาซื้อทั้งหมด)

ดังนั้นจึงทำให้ผลประกอบการไตรมาสที่สองซึ่งมีเทศกาลบอลยูโร

เติบโตขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดเจน (ซึ่งณ เวลาที่พิมพ์นี้ งบการเงินไตรมาสสองยังไม่ออก)

แต่ก็คาดการได้แน่นอนว่า ผลประกอบการน่าจะโต เหมือนในรูปที่เห็นดังกล่าง


และประเด็นอีกข้อก็คือ ไตรมาสที่สาม

ซึ่งจะเป็นช่วงหน้าฝนพอดี หลายๆท่านคงคิดว่า เวลาฝนตกคงไม่อยากออกไปไหน

ใช่ครับ ช่วงเวลานี้คงไม่มีใครอยากออกไปเที่ยวซื้อของที่ไหนกันแหละครับ

แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็คือ หากช่วงไหนที่ฝนหยุดตก ผู้คนส่วนมากก็อยากหาอะไรอร่อยๆทาน

ซึ่งจากการสังเกตุ ฝนส่วนใหญ่มักจะหยุดตกก็ดึกมากโขแล้ว และจะมีที่ไหนละครับ

ที่จะค่อยเปิดบริการกับผู้ที่หิวโหยเหล่านั้น  อ้าวก็ร้านสะดวกซื้อนั้นเองครับ

งานนี้ก็รับลูกค้าไปเต็มๆเลยครับท่านๆ

และอีกอย่างก็คือ มหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2012

ช่วงระหว่างวันที่ 27 กรกฎาคม – 12 สิงหาคม 2555

ซึ่งนักลงทุนทุกๆท่านดูก็คงรู้แล้วนะครับว่า อยู่ในช่วงไตรมาสที่สามนั้นเอง

โอ้ว แบบนี้มันจะมาแนวกับไตรมาสที่สองซึ่งมีฟุตบอลยูโรหรือเปล่า

ไม่ต้องให้หมดดูก็เดาออกได้ว่า ถูกต้องนะคร๊าบๆๆๆๆๆ

และโอลิมปิกนี้ ใช้เวลาแข่งขันตั้ง 17 วัน ซึ่งมากว่าบอลยูโลซึ่งแข่งกัน 15 วัน

และเป็นการแข่งขันที่หลากหลายชนิดกว่าบอลยูโร ซึ่งมีแต่ฟุตบอลอย่างเดียว

จึงทำให้จำนวนผู้ที่ดูกีฬาเยอะกว่าเพราะสามารถดูได้หลายเพศหลายวัย

และการดื่มกินในช่วงเวลานั้นๆ ก็คงหนีไม่พ้นไปแน่แท้เลยครับ

ซึ่งจะไปพ้นจากร้านสะดวกซื้อไปได้อย่างไร ท่านๆว่าจริงหรือไม่ครับ


ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่ผมกล่าวมานี้ เป้นการคาดการส่วนตัวเท่านั้นครับ

ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ก็คอยติดตามผลประกอบการไตรมาสต่างๆ เอาเองละกันครับ

ถึงแม้ว่าเราไม่ใช้พวก Inside ที่รู้ตื้นลึกหรือความเคลื่อนไหวภายในของบริษัท

แต่เราก็คาดการได้โดยดูจากสิ่งต่างๆ รอบๆตัวได้สบายๆ

ถ้าพวก Inside เขาซื้อเก็งกำไรงบการเงิน เราก็ต้องเป็นโคตร Inside

เพราะเราซื้อตั้งแต่พวก Inside ไม่เข้าซื้อซะอีก ฮาๆ จากนั้นก็นอนตีพุงจากราคาของ

พวก  Inside และพวกไล่ตามงบการเงินตอนประกาศผลประกอบการ

ขอบคุณมากครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: เอ็มไอ ซิก (MI6) ที่ วันที่ 22 กรกฎาคม 2012, 12:32:45
จะซื้อหุ้น ลงทุนในหุ้น ต้องศึกษาข้อมูลหุ้นนิดนึงครับ หุ้นไม่ใช่หวย ที่หลับตาแล้วก็หยิบซื้อ

ถ้าทำแบบนั้น โอกาสขาดทุนก็มากพอๆกับซื้อหวยแล้วไม่ถูก

หุ้นต่างจากหวย มีข้อมูลประกอบมากมาย ให้ศึกษาให้ตัดสินใจ มีข้อมูลที่ทำให้คาดว่าจะกำไร

หรือขาดทุนได้  ยิ่งรู้มากศึกษามากเข้าใจหุ้นมากโอกาสกำไรจะมากขึ้นและขาดทุนจะน้อยลง

บางคนซื้อหุ้นโดยไม่รู้ ว่าบริษัททำอะไร อยู่ที่ไหน งบออกช่วงไหน ปันผลช่วงไหนหรือตัวย่อมาจากชื่ออะไร

สาเหตุหลักๆที่มักทำให้ขาดทุนอีกอย่าง คือการเข้าซื้อหุ้น ที่ ฮิตในกระทู้ทั้งหลาย  ถ้าคุณซื้อหุ้นที่

คนพูดถึงกันบ่อยหรือเห็นบ่อยในกระทู้แล้วละก็ โอกาสที่จะได้กำไรหรือขาดทุนแทบจะเป็น 50/50

เพราะอย่างแรกคือ กว่าฝูงชนจะรุมสนใจ ก็มีคนที่ทุนต่ำกว่าคุณเก็บกันไปนานแล้ว และพร้อมขาย

เมื่อเกิดเหตุการ์ณใดๆไม่คาดฝัน  อย่างที่สอง เมื่อคลื่นฝูงชนเข้าซื้อและคาดหวังไปในทางเดียวกัน

มากๆ ผลมักจะออกมาตรงกันข้าม เพราะตลาดหุ้นไม่ใช่ตลาดที่ใจดีที่แจกตังทุกคนที่เข้ามาลงทุน

มีหุ้นอีกหลายสิบหลายร้อยตัว ที่แทบไม่มีคนพูดถึงหรือมีคนรู้จักมากมาย แต่ราคาโตขึ้นเรื่อยๆ

มาหลายเท่าตัวตลอดทาง   มีกลุ่มคนบางกลุ่มที่คอยเฝ้าดูลุ้นผลประกอบการของหุ้นตัวเองเหล่านั้น

ที่โตวันโตคืน คอยดีใจ และเก็บผลกำไรกินกันเงียบๆ

ลองศึกษา ลองมั่นใจ ลองตัดสินใจเลือกหุ้นด้วยตัวเอง ยอมเป็นกลุ่มคนที่ซื้อหุ้นที่ไม่มีคนสนใจ

แต่กลับได้กำไรโตวันโตคืน ดีกว่าซื้อหุ้น ที่ใครๆก็รู้จัก แล้วต้องมานั่งปลอบใจตัวเองว่า

ไม่เป็นไรมีคนอีกมากมายที่ขาดทุนเป็นเพื่อนเรา


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 18:17:12
(https://fbcdn-sphotos-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/599448_10150978959986094_1888398449_n.jpg)

เกินไปละ 7-11 จะเอาหมดเลยหรือไง ถึงขนาดขายตั๋วหนังด้วย (http://เกินไปละ 7-11 จะเอาหมดเลยหรือไง ถึงขนาดขายตั๋วหนังด้วย)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 27 กรกฎาคม 2012, 15:58:37
NISSAN  LEAF  ฝันร้ายของหุ้นน้ำมัน
     เมื่อไม่กี่วันมานี้ผมได้ดูรายการเกี่ยวกับการทดสอบรถของช่องสปีดแชนแนลทางจานแดงทรูวิชั่น  เมื่อดูจบผมมีความรู้สึกว่ารถรุ่นที่เอามาทดสอบนั้นเป็นรถที่ดีมากๆรุ่นหนึ่ง  รถรุ่นนั้นก็คือนิสสันลีฟ  จุดเด่นของรถรุ่นนี้คือเป็นรถสีเขียว!!!  มันไม่ได้หมายความว่าเขาเอารถสีเขียวมาทดสอบนะครับ  แต่สีเขียวในที่นี้คือมันเป็นรถที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ดีมากๆ  อุปกรณ์ที่นำมาทำเป็นรถนั้น  ทำมาจากของรีไซเคิลแทบทุกอย่าง  และในขณะเดียวกัน  เมื่อรถนั้นหมดสภาพแล้ว  เขาก็สามารถนำมันไปรีไซเคิลได้อีกสูงสุดถึง  99  %  เลยทีเดียว  ซึ่งนับว่าเป็นค่าการรีไซเคิลที่สูงมาก  ส่วนระบบขับเคลื่อนของรถนั้นใช้มอเตอร์ไฟฟ้าครับ  ใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว  ไม่ใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนเลย  ซึ่งตรงนี้จะทำให้  ไม่มีควันไอเสียออกมาในอากาศ  และเราผู้ใช้รถก็ไม่ต้องใช้พลังงานฟอสซิลที่ต้องขุดหาขึ้นมาจากใต้พื้นโลกด้วย  และเนื่องจากมันไม่ได้ใช้เครื่องยนต์  มันก็ไม่ต้องใช้น้ำมันเครื่อง  ตรงนี้ก็จะทำให้เราประหยัดค่าถ่ายน้ำมันเครื่องไปได้อีก  เนื่องจากมันจะไม่เกิดการสึกหรอของเครื่องยนต์  และยังเป็นการช่วยโลกไม่ให้มีคราบน้ำมันดำๆที่หมดสภาพจากการใช้งานแล้วเพิ่มขึ้นมาเป็นขยะสารพิษได้อีกทางหนึ่ง  สำหรับที่เก็บพลังงานของรถนั้นใช้แบตเตอรี่ชนิดลิเที่ยม  ซึ่งเป็นแบบชนิดเดียวกันกับที่เราใช้ในมือถือนั่นแหละ  การชาร์จไฟเข้าไปก็ใช้ไฟบ้าน  220  โวลท์ธรรมดา  เสียบปลั๊กทิ้งไว้  8  ชั่วโมงก็เต็ม  เมื่อชาร์จจนเต็ม  100  %  แล้ว  สามารถวิ่งได้ไกลถึง  160  กม.  ซึ่งระยะทางเท่านี้  เราสามารถขับไปเที่ยวหากิ๊กข้ามจังหวัดได้สบายเลย  ในแผงหน้าปัดจะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับพลังงานไฟที่ยังเหลืออยู่  แถมคำนวณให้เสร็จสรรพเลยว่าสามารถวิ่งได้อีกกี่กิโล  และที่สำคัญ  รถนี้มีแอร์ด้วยนะครับ  ซึ่งก็ใช้พลังงานไฟฟ้าด้วยเหมือนกัน  ถ้าเราอยากขับรถให้ได้ระยะทางไกลขึ้น  เพียงแค่เราปิดแอร์ขับ  ไฟก็จะเหลือเพิ่มขึ้นมาอีก  สำหรับสมรรถนะของรถนั้นก็ดีครับ  เพราะความเร็วสูงสุดที่ผู้ทดสอบทำได้คือประมาณ  160  กม./ชม.  อัตราแรงบิดนั้นก็ไม่ต้องรอรอบเหมือนรถที่ใช้เครื่องยนต์  เพราะมันเป็นมอเตอร์จึงสามารถเร่งขึ้นได้ทันใจ  เมื่อเทียบแรงบิดแล้ว  สามารถเทียบได้กับรถที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด  3000  C.C.  เลยทีเดียว  แต่สิ่งที่หลายท่านอาจสงสัยก็คือ  ถ้าเราเดินทางไกลกว่า  160  กม.  แล้วจะทำอย่างไร  ก็ต้องขอบอกก่อนเลยว่ารถรุ่นนี้ยังไม่มีขายในเมืองไทยนะครับ  ตอนนี้มีขายแต่ในต่างประเทศเท่านั้น  แต่ปัญหาเกี่ยวกับการที่ต้องเดินทางไกลนั้นเขาก็แก้ไว้แล้วคือ  เขาจะมีจุดพักรถตามที่ต่างๆไว้คอยบริการครับ  เราสามารถเข้าไปชาร์จไฟได้โดยใช้เวลาเพียงแค่  45  นาทีเท่านั้นก็เต็ม  เนื่องจากว่าสถานที่ชาร์จไฟที่เขาเตรียมไว้ให้นั้น  ใช้แรงดันไฟสูงถึง  400  กว่าโวลท์  มันก็เลยใช้เวลาน้อยกว่าการชาร์จที่บ้านครับ  เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วผมอยากซูฮกคนที่คิดรถรุ่นนี้ขึ้นมาจริงๆ  เพราะยิงปืนนัดเดียวแต่ได้นกหลายตัวเลย

นกตัวแรกก็คือ  ช่วยทำให้โลกนี้ปลอดมลพิษ  ไม่ว่าจะเป็นควันพิษจากท่อไอเสีย  การกำจัดน้ำมันเครื่องที่หมดสภาพแล้ว  เสียงดังของท่อไอเสีย  และลดการใช้เหล็กลงไปได้มาก

นกตัวที่สองคือ  ช่วยเซฟค่าใช้จ่ายของเราไปได้มาก  เนื่องจากว่ารถใช้พลังงานไฟฟ้า  เราก็ไม่ต้องขวัญผวาว่า  พรุ่งนี้ราคาน้ำมันจะเป็นอย่างไร  และเราก็ไม่ต้องกังวลว่า  จะถึงรอบถ่ายน้ำมันเครื่องหรือยัง

นกตัวที่สามคือ  วัสดุทุกชิ้นที่นำมาประกอบเป็นรถ  สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ด้วยกระบวนการรีไซเคิล

     เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วก็ชื่นใจ  เพราะนับจากนี้ไปคุณภาพชีวิตของมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ก็จะดีขึ้น  และผมคิดว่าในอนาคตอันใกล้นี้  คงจะมีค่ายรถต่างๆแข่งกันทำรถไฟฟ้าออกมาขายกันให้เกลื่อน  เพราะผมมีความเชื่อว่า  ทุกสิ่งต้องพัฒนาไปสู่จุดที่ดีกว่า  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าเรามีอายุมากหน่อยก็คงจะเห็นวิวัฒนาการเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์ได้ว่า  สมัยก่อนนนู้นมีแต่มอเตอร์ไซค์สองจังหวะที่ทั้งเสียงท่อดังและควันโขมง  ซ้ำยังไม่พอ  คราบน้ำมันที่ปลายท่อซึ่งเกิดจากการสันดาปที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์ก็ย้อยติ๋งๆ  น้ำมันออโต้ลูปหรือที่เรียกกันว่า  2  T  ก็ต้องใส่  ทำให้เปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ  และพอหมดจากรุ่นสองจังหวะมา  ก็มาถึงรุ่นสี่จังหวะที่เสียงเงียบกว่า  ไอเสียมีพิษน้อยกว่า  และไม่ต้องเติมออโต้ลูป  แต่ทุกวันนี้สิ่งที่เรากำลังจะเปลี่ยนอีกครั้งก็คือ  อีกหน่อยก็คงจะมีแต่มอเตอร์ไซค์หัวฉีดซึ่งประหยัดน้ำมันมากกว่า

     เอาล่ะ...ทีนี้มาถึงประเด็นสำคัญ  ในฐานะที่เราเป็นนักลงทุน  เราเห็นอะไรจากความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้บ้าง?  จากความเห็นส่วนตัวของผมแล้วคาดว่า  อีกไม่นานรถที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงจะหมดไป  โดยมีรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเข้ามาแทนที่  และเมื่อถึงเวลานั้น  หุ้นน้ำมันจะเป็นอย่างไรผมก็นึกสภาพไม่ออก  จริงอยู่ที่น้ำมันสามารถเอาไปทำอะไรได้หลากหลายกว่าการเอามาเติมรถยนต์  แต่เราลองนึกถึงว่าอุปสงค์น้ำมันจากส่วนนี้หายไปทั้งโลก  แล้วรายได้ของคนที่ทำธุรกิจน้ำมันอยู่จะตกลงไปขนาดไหน  สิ่งที่น่าสนใจกว่าก็คือ  ในการสร้างรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้านั้น  ส่วนประกอบของรถที่เปลี่ยนไปมีอะไรบ้าง  เราไม่ต้องใช้เหล็กเพื่อทำเครื่องยนต์ถูกต้องไหม  แล้วเราใช้อะไรมาแทนมันล่ะ  “มอเตอร์”  ใช่แล้ว...แล้วใครเป็นคนผลิตมันล่ะ  “แบตเตอรี่”  ใช่แล้ว...แล้วใครเป็นคนผลิตมันล่ะ  “ธุรกิจรีไซเคิล”  ใช่แล้ว...แล้วใครเป็นคนทำมันล่ะ  ถ้าเราหูไวตาไว  เราคงรู้เข้าสักวัน  และเมื่อถึงวันนั้น  ก็จะเป็นวันที่เราควรลงทุนในหุ้นที่เราคิดว่าต้องตีแตกให้ได้  ถ้าใครรู้จักบริษัทที่ทำกิจการเหล่านี้ก็อย่าลืมบอกผมด้วยนะครับ

http://www.siamsport.co.th/Motoring/120408_159.html


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Ni KruNi ที่ วันที่ 30 กรกฎาคม 2012, 14:43:43
แวะเข้ามาศึกษาดูจ้า
ขอคำชี้แนะด้วยนะคะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: thexfile ที่ วันที่ 31 กรกฎาคม 2012, 10:43:43
NISSAN  LEAF  ฝันร้ายของหุ้นน้ำมัน
     เมื่อไม่กี่วันมานี้ผมได้ดูรายการเกี่ยวกับการทดสอบรถของช่องสปีดแชนแนลทางจานแดงทรูวิชั่น  เมื่อดูจบผมมีความรู้สึกว่ารถรุ่นที่เอามาทดสอบนั้นเป็นรถที่ดีมากๆรุ่นหนึ่ง  รถรุ่นนั้นก็คือนิสสันลีฟ  จุดเด่นของรถรุ่นนี้คือเป็นรถสีเขียว!!!  มันไม่ได้หมายความว่าเขาเอารถสีเขียวมาทดสอบนะครับ  แต่สีเขียวในที่นี้คือมันเป็นรถที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ดีมากๆ  อุปกรณ์ที่นำมาทำเป็นรถนั้น  ทำมาจากของรีไซเคิลแทบทุกอย่าง  และในขณะเดียวกัน  เมื่อรถนั้นหมดสภาพแล้ว  เขาก็สามารถนำมันไปรีไซเคิลได้อีกสูงสุดถึง  99  %  เลยทีเดียว  ซึ่งนับว่าเป็นค่าการรีไซเคิลที่สูงมาก  ส่วนระบบขับเคลื่อนของรถนั้นใช้มอเตอร์ไฟฟ้าครับ  ใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว  ไม่ใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนเลย  ซึ่งตรงนี้จะทำให้  ไม่มีควันไอเสียออกมาในอากาศ  และเราผู้ใช้รถก็ไม่ต้องใช้พลังงานฟอสซิลที่ต้องขุดหาขึ้นมาจากใต้พื้นโลกด้วย  และเนื่องจากมันไม่ได้ใช้เครื่องยนต์  มันก็ไม่ต้องใช้น้ำมันเครื่อง  ตรงนี้ก็จะทำให้เราประหยัดค่าถ่ายน้ำมันเครื่องไปได้อีก  เนื่องจากมันจะไม่เกิดการสึกหรอของเครื่องยนต์  และยังเป็นการช่วยโลกไม่ให้มีคราบน้ำมันดำๆที่หมดสภาพจากการใช้งานแล้วเพิ่มขึ้นมาเป็นขยะสารพิษได้อีกทางหนึ่ง  สำหรับที่เก็บพลังงานของรถนั้นใช้แบตเตอรี่ชนิดลิเที่ยม  ซึ่งเป็นแบบชนิดเดียวกันกับที่เราใช้ในมือถือนั่นแหละ  การชาร์จไฟเข้าไปก็ใช้ไฟบ้าน  220  โวลท์ธรรมดา  เสียบปลั๊กทิ้งไว้  8  ชั่วโมงก็เต็ม  เมื่อชาร์จจนเต็ม  100  %  แล้ว  สามารถวิ่งได้ไกลถึง  160  กม.  ซึ่งระยะทางเท่านี้  เราสามารถขับไปเที่ยวหากิ๊กข้ามจังหวัดได้สบายเลย  ในแผงหน้าปัดจะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับพลังงานไฟที่ยังเหลืออยู่  แถมคำนวณให้เสร็จสรรพเลยว่าสามารถวิ่งได้อีกกี่กิโล  และที่สำคัญ  รถนี้มีแอร์ด้วยนะครับ  ซึ่งก็ใช้พลังงานไฟฟ้าด้วยเหมือนกัน  ถ้าเราอยากขับรถให้ได้ระยะทางไกลขึ้น  เพียงแค่เราปิดแอร์ขับ  ไฟก็จะเหลือเพิ่มขึ้นมาอีก  สำหรับสมรรถนะของรถนั้นก็ดีครับ  เพราะความเร็วสูงสุดที่ผู้ทดสอบทำได้คือประมาณ  160  กม./ชม.  อัตราแรงบิดนั้นก็ไม่ต้องรอรอบเหมือนรถที่ใช้เครื่องยนต์  เพราะมันเป็นมอเตอร์จึงสามารถเร่งขึ้นได้ทันใจ  เมื่อเทียบแรงบิดแล้ว  สามารถเทียบได้กับรถที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด  3000  C.C.  เลยทีเดียว  แต่สิ่งที่หลายท่านอาจสงสัยก็คือ  ถ้าเราเดินทางไกลกว่า  160  กม.  แล้วจะทำอย่างไร  ก็ต้องขอบอกก่อนเลยว่ารถรุ่นนี้ยังไม่มีขายในเมืองไทยนะครับ  ตอนนี้มีขายแต่ในต่างประเทศเท่านั้น  แต่ปัญหาเกี่ยวกับการที่ต้องเดินทางไกลนั้นเขาก็แก้ไว้แล้วคือ  เขาจะมีจุดพักรถตามที่ต่างๆไว้คอยบริการครับ  เราสามารถเข้าไปชาร์จไฟได้โดยใช้เวลาเพียงแค่  45  นาทีเท่านั้นก็เต็ม  เนื่องจากว่าสถานที่ชาร์จไฟที่เขาเตรียมไว้ให้นั้น  ใช้แรงดันไฟสูงถึง  400  กว่าโวลท์  มันก็เลยใช้เวลาน้อยกว่าการชาร์จที่บ้านครับ  เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วผมอยากซูฮกคนที่คิดรถรุ่นนี้ขึ้นมาจริงๆ  เพราะยิงปืนนัดเดียวแต่ได้นกหลายตัวเลย

นกตัวแรกก็คือ  ช่วยทำให้โลกนี้ปลอดมลพิษ  ไม่ว่าจะเป็นควันพิษจากท่อไอเสีย  การกำจัดน้ำมันเครื่องที่หมดสภาพแล้ว  เสียงดังของท่อไอเสีย  และลดการใช้เหล็กลงไปได้มาก

นกตัวที่สองคือ  ช่วยเซฟค่าใช้จ่ายของเราไปได้มาก  เนื่องจากว่ารถใช้พลังงานไฟฟ้า  เราก็ไม่ต้องขวัญผวาว่า  พรุ่งนี้ราคาน้ำมันจะเป็นอย่างไร  และเราก็ไม่ต้องกังวลว่า  จะถึงรอบถ่ายน้ำมันเครื่องหรือยัง

นกตัวที่สามคือ  วัสดุทุกชิ้นที่นำมาประกอบเป็นรถ  สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ด้วยกระบวนการรีไซเคิล

     เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วก็ชื่นใจ  เพราะนับจากนี้ไปคุณภาพชีวิตของมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ก็จะดีขึ้น  และผมคิดว่าในอนาคตอันใกล้นี้  คงจะมีค่ายรถต่างๆแข่งกันทำรถไฟฟ้าออกมาขายกันให้เกลื่อน  เพราะผมมีความเชื่อว่า  ทุกสิ่งต้องพัฒนาไปสู่จุดที่ดีกว่า  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าเรามีอายุมากหน่อยก็คงจะเห็นวิวัฒนาการเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์ได้ว่า  สมัยก่อนนนู้นมีแต่มอเตอร์ไซค์สองจังหวะที่ทั้งเสียงท่อดังและควันโขมง  ซ้ำยังไม่พอ  คราบน้ำมันที่ปลายท่อซึ่งเกิดจากการสันดาปที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์ก็ย้อยติ๋งๆ  น้ำมันออโต้ลูปหรือที่เรียกกันว่า  2  T  ก็ต้องใส่  ทำให้เปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ  และพอหมดจากรุ่นสองจังหวะมา  ก็มาถึงรุ่นสี่จังหวะที่เสียงเงียบกว่า  ไอเสียมีพิษน้อยกว่า  และไม่ต้องเติมออโต้ลูป  แต่ทุกวันนี้สิ่งที่เรากำลังจะเปลี่ยนอีกครั้งก็คือ  อีกหน่อยก็คงจะมีแต่มอเตอร์ไซค์หัวฉีดซึ่งประหยัดน้ำมันมากกว่า

     เอาล่ะ...ทีนี้มาถึงประเด็นสำคัญ  ในฐานะที่เราเป็นนักลงทุน  เราเห็นอะไรจากความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้บ้าง?  จากความเห็นส่วนตัวของผมแล้วคาดว่า  อีกไม่นานรถที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงจะหมดไป  โดยมีรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเข้ามาแทนที่  และเมื่อถึงเวลานั้น  หุ้นน้ำมันจะเป็นอย่างไรผมก็นึกสภาพไม่ออก  จริงอยู่ที่น้ำมันสามารถเอาไปทำอะไรได้หลากหลายกว่าการเอามาเติมรถยนต์  แต่เราลองนึกถึงว่าอุปสงค์น้ำมันจากส่วนนี้หายไปทั้งโลก  แล้วรายได้ของคนที่ทำธุรกิจน้ำมันอยู่จะตกลงไปขนาดไหน  สิ่งที่น่าสนใจกว่าก็คือ  ในการสร้างรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้านั้น  ส่วนประกอบของรถที่เปลี่ยนไปมีอะไรบ้าง  เราไม่ต้องใช้เหล็กเพื่อทำเครื่องยนต์ถูกต้องไหม  แล้วเราใช้อะไรมาแทนมันล่ะ  “มอเตอร์”  ใช่แล้ว...แล้วใครเป็นคนผลิตมันล่ะ  “แบตเตอรี่”  ใช่แล้ว...แล้วใครเป็นคนผลิตมันล่ะ  “ธุรกิจรีไซเคิล”  ใช่แล้ว...แล้วใครเป็นคนทำมันล่ะ  ถ้าเราหูไวตาไว  เราคงรู้เข้าสักวัน  และเมื่อถึงวันนั้น  ก็จะเป็นวันที่เราควรลงทุนในหุ้นที่เราคิดว่าต้องตีแตกให้ได้  ถ้าใครรู้จักบริษัทที่ทำกิจการเหล่านี้ก็อย่าลืมบอกผมด้วยนะครับ

http://www.siamsport.co.th/Motoring/120408_159.html

ถ้าเพิ่มหลังคาเป็น โซล่าเซล ชาร์จไฟคงจะแจ่มกว่านี้ ขับกลางแดดไปชาร์จไป จอดก็แย่งกันจอดรถกลางแดดกันเลย 555


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 31 กรกฎาคม 2012, 16:05:13
ผมคิดไปไกลกว่านั้นอีกนะ  ผมคิดว่าถ้าขณะที่รถกำลังวิ่งอยู่  เราก็น่าจะใช้ประโยชน์จากพลังลมอีกทางหนึ่งด้วย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ►•••   Natz.   •••◄ ที่ วันที่ 03 สิงหาคม 2012, 16:42:54
ยังไงก็ดีแน่นอนครับ  :D  แต่ว่าถ้าราคาไม่แพงเกินไปนะ  โดยส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะอีกนานอยู่ครับ

ดูอย่างโฆษณา toyota prius ที่เขาบอกว่าเราใช้แล้ว แล้วคุณละ..?  อยากจะตอบว่าอยากใช้อยู่ อยากช่วยโลกอยู่แต่ว่าไม่มีตังซื้อ แบตเตอรี่แพ๊งแพง  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 06 สิงหาคม 2012, 16:00:17
ธุรกิจเครือข่าย  VS  หุ้นเก็งกำไร
     เมื่อไม่กี่วันมานี้  ขณะที่ผมกำลังขายของอยู่นั้น  ก็มีคนมาชักชวนให้ผมไปฟังการบรรยายกับเขาด้วยโดยบอกว่า  มาชวนให้ไปเอาเงิน  ใช้เวลาไม่นานหรอก  ไม่ต้องรักษายอดด้วย !!!  เพียงแค่คำว่าไม่ต้องรักษายอด  ผมก็รู้แล้วว่ามันคืออะไร  นี่ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่า  นี่มันเป็นการเก็งกำไรชัดๆ  แล้วมันเป็นการเก็งกำไรได้อย่างไร?

     เวลาเราจะทำธุรกิจเครือข่ายยี่ห้ออะไรสักอย่างหนึ่ง  เรารู้ไหมว่า  เราจะเข้าไปอยู่ในตำแหน่งที่เท่าไหร่  แล้วมีธุรกิจเครือข่ายยี่ห้ออื่นอยู่อีกกี่ยี่ห้อบ้าง  และยี่ห้อพวกนั้นมีคนเข้าไปแล้วมากน้อยแค่ไหน  และมันจะเหลือคนที่ยังว่างให้เราไปชวน(หลอก)ได้อีกเท่าไหร่  ถ้าคุณไม่รู้คำตอบของคำถามพวกนี้  คุณก็เหมือนนักเก็งกำไรในหุ้นนั่นแหละ  นักเก็งกำไรส่วนมากหวังแต่ได้  และไม่ค่อยจะรู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เขากำลังจะเข้าไปพัวพันเลย  สิ่งที่นำพาให้เขาไปถึงจุดนั้นได้ก็คือ  ”ความโลภ”  เพียงอย่างเดียว  โลภอยากได้เงินคนอื่น  โดยลืมนึกไปว่า  คนอื่นก็อยากได้เงินของเราเหมือนกัน  เวลาเราเข้าไปสมัครปั๊บ  มีคนรอกินหัวคิวเราบานเลย

     การเก็งกำไรในหุ้นก็เช่นกัน  เวลาเราเห็นหุ้นวิ่งปั๊บ  เราก็อยากจะเข้าไปมั่วแล้ว  และคำถามก็คือ  เราอยู่ในตำแหน่งที่เท่าไหร่ของเกมนี้  เผลอๆตอนที่เราเข้าไป  เราอาจเป็นคนสุดท้ายแล้วก็ได้  และเหตุการณ์หลังจากนั้นก็คาดเดาได้ไม่ยาก  แต่มีสิ่งหนึ่งตามความคิดเห็นของผมที่อาจจะไม่มีใครเห็นด้วยคือ  ถ้าเรา  “รู้”  ว่าจุดสิ้นสุดของเกมนั้นมันอยู่ตรงไหน  นั่นก็ไม่นับว่ามันเป็นการเก็งกำไร  เพราะการลงทุนกับการเก็งกำไรมันมีเส้นแบ่งนิดเดียวก็คือ  คุณรู้หรือไม่เท่านั้นเอง  บัฟเฟตเคยพูดว่า  ถ้าคุณนั่งเล่นโปกเกอร์แล้วภายใน  20  นาทีคุณไม่รู้ว่าใครหมู  “คุณนั่นแหละหมู”

     แต่สิ่งที่ผมจะมาบอกกล่าวคุณในวันนี้  มันไม่ใช่แค่การที่ผมออกมานั่งบ่นเพียงอย่างเดียวหรอกนะ  วันนี้ผมมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับการปฏิเสธคนที่มาชวนไปทำธุรกิจเครือข่ายมาฝากด้วย  ผมก็ไม่รู้จะเรียกวิธีการนี้ว่าอะไรดี  มันอาจจะเรียกว่าย้อนศร  หรือหนามยอกเอาหนามบ่ง  หรือว่าเกลือจิ้มเกลือ  ก็สุดแท้แต่เราจะเข้าใจให้ตรงกันก็แล้วกันนะครับ  เพราะทันทีที่เขาชวนผม  ผมก็ตอบเขาไปว่า  ผมกำลังทำยี่ห้อ...อยู่  ซึ่งการที่เราบอกไปอย่างนี้  มันอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้  เพียงแค่เราบ่ายเบี่ยงแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น  แต่มันจะทำให้คนชวนชะงักไปชั่วครู่  ถ้าเขาไม่ใช่คนที่ขี้ตื้อนัก  เขาอาจจะไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับเรา  เพราะถึงชวนไปก็เท่านั้น  ยังไงเสีย  เราก็มีสังกัดแล้ว(นี่เป็นการปฏิเสธในกระบวนท่าแรก)  แต่พอดีคนที่ผมเจอนั้น  ไม่ทราบว่าไปกินดีหมีมาจากไหน  พูดง่ายๆว่าจะเอาให้ได้  เขาชวนผมต่อทันทีเลยว่า  ที่นี่ไม่ต้องรักษายอดนะ  ผมก็ตอบไปว่า  ทุกวันนี้ผมไม่เน้นขายหรอกครับ  ซื้อใช้อย่างเดียว(โม้อีกแล้ว)  เขาก็บอกอีกว่า  ที่นี่ไม่ต้องขายหรอก  แค่ซื้อใช้อย่างเดียวก็ได้เงินแล้ว  เพียงแค่เราชวนคนอื่นให้มาใช้สินค้าของบริษัทด้วยก็พอ  ผมก็เลยงัดไม้ตายกระบวนท่าสุดท้ายปล่อยออกไปเลยว่า  ผมเคยชวนแล้ว  แต่ทุกคนที่ผมชวน  ไม่มีใครเข้าร้านมาอีกเลย  ซึ่งนั่น...ทำให้ผมเสียฐานลูกค้าของตัวเองไป  ผมจึงคิดว่า  ผมจะไม่ชวนใครอีกแล้ว  เพราะถ้าผมมุ่งแต่จะขายสินค้าให้คนอื่น  แต่ทำให้สินค้าของตัวผมเองเสียหาย  ผมเลือกสินค้าของตัวเองครับ  แล้วพี่ไม่สนใจมาสมัครเป็นดาวน์ไลน์ผมบ้างหรือ  เมื่อผมบอกออกไปอย่างนี้  สุดท้ายมันก็เลยแตกตึ้งบ้านใครบ้านมัน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: thexfile ที่ วันที่ 08 สิงหาคม 2012, 20:14:00
ผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ (Financial Statement Quarter) 2/2555(2012)
http://www.dcs-digital.com/setweb/index.php


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: pairote ที่ วันที่ 08 สิงหาคม 2012, 22:00:54
นักวิเคราะห์ยังปากกาหักมานับไม่ถ้วนผมว่ามีได้ก็มีเสียครับ. ไม่งั้นก็รวยกันหมดไม่ต้องทำไรแล้วครับการลงทุนมีความเสี่ยงหุ้นพื้นฐานก็อยู่ที่ฐานนั่นหละครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 สิงหาคม 2012, 13:34:27
     ถูกของคุณ  pairote นะครับ  เพราะหุ้นมันมักจะอิงกับพื้นฐานของบริษัท  แต่ทุกวันนี้ผมไม่เคยเชื่อนักวิเคราะห์เลยนะครับ  เพราะถ้าเค้าเก่งจริง  เค้าคงจะรวยไปแล้ว  ส่วนเรื่องความเสี่ยง  อันนี้มันก็มีอยู่ทุกที่แหละครับ  มันไม่ได้มีแต่ในการลงทุนในกิจการของคนอื่นเท่านั้น  ถ้าสมมุติว่าคุณขายอาหารที่ถนนคนเดิน  คุณจะรู้ไหมว่าวันเสาร์ที่จะถึงนี้คุณจะขายของได้เงินเท่าไหร่?  นั่นคือความเสี่ยงไหม?  แต่ถ้าผมไม่ได้สนใจว่าเขาจะได้เงินเท่าไหร่และฝนจะตกไหม  แต่สิ่งที่ผมให้ความสำคัญคือ  ถ้าเขาเป็นคนขายอาหาร  และเขาทำอร่อย  ราคาไม่แพง  มีลูกค้าติดเยอะ  นั่นคือวิธีการลงทุนโดยการลดความเสี่ยงของผมครับ  เพราะผมดูที่พ่อค้าก่อนว่าอาหารเขาอร่อยและขายได้  ส่วนเรื่องจะขายได้เท่าไหร่มันเป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่มีใครรู้ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 14 สิงหาคม 2012, 16:53:28
ความลับของบัฟเฟต
     ถ้าหากว่าเราลองไปดูหุ้นของบัฟเฟตนักลงทุนบันลือโลกกันก็จะเห็นได้ว่า  แม้กิจการที่เขาถือหุ้นอยู่จะอยู่ในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน  และแต่ละบริษัทก็ผลิตสินค้าและบริการที่แตกต่างกันเช่น  โค้ก  มีดโกนยิลเลตต์  หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์  ลูกอมซีแคนดี้  บัตรเครดิตอเมริกันเอ็กซ์เพรส  แต่ถ้าเรามองให้ลึกๆและพิจารณาให้ถ้วนถี่ก็จะเห็นได้ว่า  มีสามอย่างที่เป็นปัจจัยหลักทำให้บัฟเฟตเลือกลงทุนในบริษัทพวกนี้  สิ่งนั้นก็คือ

1.มันเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนั้น  การเลือกผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรมจะทำให้มั่นใจได้ว่า  ทางบริษัทเองมีความสามารถในการแข่งขันสูงและคู่แข่งจะทำลายได้ยาก  เนื่องจากว่าบริษัทพวกนี้จะมีบางสิ่งบางอย่างที่ผูกใจลูกค้าอยู่เช่น  “ยี่ห้อ”  บัฟเฟตจะไม่ซื้อบริษัทใหม่ๆ  แม้ว่าเรื่องราวในตอนเริ่มต้นมันจะน่าตื่นเต้นแค่ไหนก็ตาม  เขาจะรอจนกว่าจะเห็นตัวผู้ชนะแล้ว  และเขาก็จะเลือกผู้นั้น

2.มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอ  ถ้าเรามองดูที่บริษัทซึ่งบัฟเฟตเป็นเจ้าของอยู่ก็จะเห็นได้ว่า  สินค้าทั้งหมดนั้น  ลูกค้าต้องซื้อเป็นประจำหรือใช้ในชีวิตประจำวันทั้งสิ้น  และเมื่อลูกค้าใช้สินค้าบ่อย  กระแสเงินสดก็มักจะคงที่  และมีสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับการทำธุรกิจก็คือ  บริษัทพวกนี้สามารถขึ้นราคาสินค้าได้อย่างอิสระเมื่อต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น  ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ดีในการทำธุรกิจมาก  เพราะมันจะไม่ทำให้บริษัทต้องขาดทุน  บัฟเฟตเคยพูดเกี่ยวกับบริษัทซีแคนดี้ไว้ว่า  “ไม่ว่าราคาลูกอมของบริษัทจะแพงกว่าของคู่แข่งขนาดไหน  ทุกครั้งที่ลูกค้าต้องการซื้อลูกอม  ลูกค้าก็ยังจะซื้อลูกอมของบริษัทอยู่ดี  นั่นก็เป็นเพราะว่า  ลูกค้าเชื่อมันในยี่ห้อของซี”

3.ราคาหุ้นตอนนั้นมันสามารถซื้อได้  เมื่อบัฟเฟตพบบริษัทที่ดีแล้ว  เขาจะจดรายชื่อของบริษัทต่างๆที่เขาสนใจไว้  แต่เขาจะยังไม่ซื้อหุ้นในขณะนั้น  เขาจะรอจนกว่าราคาหุ้นของบริษัทที่เขาสนใจไว้จะตกลงมา  และไม่ว่าจะต้องรอนานแค่ไหน  เขาก็มีความอดทนที่จะรออย่างดีเยี่ยม  และเมื่อวันนั้นมาถึง  เขาก็ไม่ลังเลที่จะเข้าซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก  ตัวอย่างที่ดีก็คือ  ตอนที่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์โดนถล่มขายอย่างหนัก  ราคาหุ้นของบริษัทตกลงมาอยู่ที่  2  เหรียญ  บัฟเฟตก็เข้าซื้อทันที  แต่หลังจากที่บัฟเฟตเข้าซื้อแล้ว  ปรากฎว่าราคาหุ้นไหลลงต่อมาอยู่ที่  1  เหรียญ  แต่บัฟเฟตก็ไม่ได้ร้อนใจขายออกมาแต่อย่างใด  แม้ว่าเขาจะขาดทุนไปถึง  50  %  ก็ตาม  และเมื่อเหตุการณ์ต่างๆในตลาดหุ้นสงบลง  การกลับมาของราคาที่ควรจะเป็นก็เกิดขึ้น  และเมื่อถึงตอนนั้น  บัฟเฟตก็รวยแล้ว  บัฟเฟตให้เหตุผลว่า  ถ้าใครไม่สามารถจะทำใจได้ว่าราคาหุ้นจะตกลงมาครึ่งหนึ่งในชั่วข้ามคืนได้  เขาก็ไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับหุ้นเสียตั้งแต่แรกแล้ว

     และในทุกๆวัน  บัฟเฟตก็ยังดำเนินการตามกระบวนการนี้อยู่  เขาจะศึกษาบริษัทต่างๆโดยใช้วิธีตะกร้า  3  ใบคือ  เขาจะมีตะกร้าอยู่  3  ใบ  โดยแต่ละใบจะเขียนว่า  เข้า,ออก,และยากเกินไป  โดยเขาจะเอาข้อมูลของบริษัทต่างๆที่ได้รับมาและเอามันมาวิเคราะห์  ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว  บริษัทที่ผ่านเข้ามาจะลงไปสู่ตะกร้ายากเกินไป  บัฟเฟตให้เหตุผลว่า  ถ้าเขาไม่รู้จักหรือไม่เข้าใจในตัวบริษัทดีพอ  เขาก็จะไม่เข้าไปยุ่งด้วย  ยกตัวอย่างเช่นบริษัทอินเตอร์เนตทั้งหลาย  เขาไม่เข้าใจว่าบริษัทพวกนี้จะมีวิธีหาเงินอย่างไร  และจะสามารถดำรงความเป็นผู้นำไว้ได้อย่างไร  บริษัทหลังๆที่บัฟเฟตลงทุน  คุณทราบไหมว่าเขาลงทุนในอะไร  เขาลงทุนในบริษัทผลิตก้อนอิฐ!!!  ก้อนอิฐมันน่าสนใจขนาดนั้นเลยหรือ?  เขาตอบว่ามันน่าสนใจแน่ถ้ามันเป็นบริษัทที่ใช่  ลองไปถามชาวเท็กซัสดูก็ได้ว่าพวกเขารู้จักอิฐยี่ห้ออะไร  3  ใน  4  คนจะตอบว่าแอคมี่  ซึ่งนั่นก็คือบริษัทที่บัฟเฟตลงทุน  สุดท้ายนี้ผมคงไม่ต้องกล่าวอะไรมากถึงวิธีการที่บัฟเฟตใช้ในการลงทุนเพื่อให้ประสบความสำเร็จ  เพราะสิ่งที่ช่วยยืนยันให้ผมเชื่อในหลักการลงทุนของเขาก็คือ  ทุกวันนี้เขาเป็นนักลงทุนที่รวยที่สุดในโลกนั่นเอง  และคำเตือนสำหรับคนที่อยากเป็นนักลงทุนมืออาชีพก็คือ  หลีกเลี่ยงการซื้อขายที่บ่อยครั้งเกินไป  เพราะมันมักจะผิดพลาดได้  และนั่น...จะเป็นสาเหตุที่จะทำให้เงินที่คุณควรจะได้รับอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยถูกทำให้ลดลงจากค่าคอมที่ต้องเสียให้กับนายหน้า  และสิ่งที่คุณควรรู้ไว้ก็คือ  คุณไม่สามารถซื้อขายได้ถูกจังหวะในทุกครั้งที่ลงมือหรอก  "ถ้าเรามั่นใจกับบริษัทตั้งแต่ตอนแรกที่เราเข้าลงทุนแล้ว  คุณจะซื้อๆขายๆไปเพื่ออะไรกัน"


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 18 สิงหาคม 2012, 20:22:43
     สำหรับมือใหม่ที่สนใจการลงทุนแบบเป็นเรื่องเป็นราว  โอกาสมาถึงคุณแล้ว  วันเสาร์ที่  25  ส.ค  นี้  ตลาดหลักทรัพย์พร้อมด้วยธนาคารกรุงไทยจะจัดงานเกี่ยวกับการลงทุนที่โรงแรม  เลอ  เมอริเดียน  ท่านที่สนใจก็เข้าไปติดต่อที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขาเพื่อขอบัตรได้นะครับ  ผมก็ไปขอมาหนึ่งใบแล้ว  ถ้าใครไม่มีบัตร  ก็จะเข้างานได้แค่เฉพาะช่วงบ่าย  แต่ถ้ามีบัตร  เราสามารถเข้าไปร่วมงานได้ตั้งแต่เช้าเลย  แถมยังได้รับประทานอาหารกลางวันด้วย

     จริงๆแล้วผมก็รู้เรื่องการลงทุนมากพอสมควรแล้ว  แต่ที่ผมอยากจะไปก็คือ  ผมอยากจะไปดูว่าเขาจะพูดเรื่องอะไรที่น่าสนใจบ้าง  แล้วการเลี้ยงดูผู้ร่วมงานจะดีไหม  และผมอยากเข้าไปเที่ยวในโรงแรมดูด้วย  เพราะปกติผมคงไม่ได้เข้าไปในที่หรูๆแบบนี้แน่

    ถ้าใครไปร่วมงานเราคงได้พบกันนะครับ

ใครสนใจก็รีบหน่อย  เพราะบัตรมีแค่ร้อยที่นั่งเท่านั้น  แล้วเจอกันนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 19 สิงหาคม 2012, 08:16:17
ขออภัยท่านวายุด้วย ลืมเอาลงให้ (http://ขออภัยท่านวายุด้วย ลืมเอาลงให้)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Oconner ที่ วันที่ 24 สิงหาคม 2012, 21:46:47
ผมแนว technical พรุ่งนี้เจอกัน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: nutbogger ที่ วันที่ 25 สิงหาคม 2012, 00:18:53
ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าของกระทู้ครับ. คอเดียวกัน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ซาลาเปา(เฉพาะกิจ) ที่ วันที่ 25 สิงหาคม 2012, 10:16:02
แล้วเอาข้อมูลดีๆมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ นลท.ในนี้ด้วยล่ะ 
หลายท่านไปบ่ได้  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 25 สิงหาคม 2012, 10:24:03
เสียดายจริงๆที่ผมไม่มีโอกาสได้ไปร่วมสัมมนา

เพราะติดภารกิจเดินทางไปสอบ กพ. ที่ จังหวัดเชียงใหม่

จะไปครึ่งเช้าก็กลัวจะเตรียมเอกสารไม่ครบไม่ทัน

ไว้รอท่านวายุมาแบ่งปันความรู้จากที่ไปสัมมนามาให้ฟังที่หลังแล้วกัน

ขอบคุณครับ (ห้องเราได้ส่งหน่วยกล้าตายไปละ ;D ;D) (http://เสียดายจริงๆที่ผมไม่มีโอกาสได้ไปร่วมสัมมนา

เพราะติดภารกิจเดินทางไปสอบ กพ. ที่ จังหวัดเชียงใหม่

จะไปครึ่งเช้าก็กลัวจะเตรียมเอกสารไม่ครบไม่ทัน

ไว้รอท่านวายุมาแบ่งปันความรู้จากที่ไปสัมมนามาให้ฟังที่หลังแล้วกัน

ขอบคุณครับ (ส่งหน่วยกล้าตายไปละ ;D ;D))


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 26 สิงหาคม 2012, 17:33:01
     มาบอกข่าวเกี่ยวกับการเข้าร่วมสัมมนาครับ  ขอบอกก่อนนะครับว่า  ผมอยู่แต่รอบเช้าเท่านั้น  จริงๆแล้วอยากอยู่ทั้งวันนะครับ  แต่เนื่องจากว่า  ผมขายของตอนกลางคืน  เมื่อผมตื่นเช้ามาก  มันก็เลยง่วงครับ  ผมเลยกลับก่อน

     ที่นั่งไม่เต็ม  แสดงว่าชาวเชียงรายไม่ค่อยมีใครสนใจเรื่องการลงทุนเท่าที่ควรครับ  หรืออาจเป็นไปได้ว่า  หลายท่านไม่มีเวลาว่างในวันนั้นก็เป็นได้  หลายคนที่ผมเห็นไปร่วมงาน  คล้ายๆจะเป็นสปายชอบกล  เพราะมีทั้งคนจาก  CGS  คนจากธนชาติ  และสาวๆที่เคยทำงานที่ธนาคารทหารไทยสาขาไนท์บาซ่าร์

     รูปแบบงาน  เนื่องจากเนื้อหามีหลากหลาย  แต่เวลามีน้อย  การอธิบายเรื่องราวต่างๆเพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้าใจอย่างแจ่มชัดยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรครับ  และถ้าจะให้ผมเสนอแนะ  ผมแนะนำว่า  ถ้าจะจัดคราวหน้า  หรือใครจะจัดอีก  ควรจะเจาะเป็นเรื่องๆดีกว่า  และน่าจะเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้ซักถามข้อข้องใจด้วย  เพราะดูๆไปแล้ว  มันไม่ต่างจากการนั่งดูโทรทัศน์ที่บ้านเลย  แต่เอกสารที่แจกมาให้นั้น  จากการที่ผมเอากลับมาอ่านดู  รู้สึกว่าเนื้อหาดีมากๆครับ  และที่ผมชอบมากๆคือ  เขาแจกหนังสือให้ผู้ร่วมงานคนละหนึ่งเล่ม  เลือกเอาตามสะดวก  ตามแต่เรื่องที่เราสนใจครับ

     อาหารการกิน  ต้องขอโทษด้วยที่ผมไม่ได้ทาน  เพราะผมไม่ค่อยชอบบรรยากาศแบบที่ต้องเบียดเสียดหรือต้องเร่งรีบกินครับ  อาหารมีหลายอย่าง  แต่โดยส่วนตัวแล้วผมว่า  ที่นั่งทานมันจำกัดไปหน่อยครับ  เหมือนจะพอดีคน  แต่ในความเป็นจริงแล้ว  คนที่เขาไปร่วมงาน  เขาก็ไม่ได้รู้จักกันทุกคน  เพราะฉะนั้นแล้ว  โต๊ะแต่ละตัวมันจึงควรมีที่ว่างเผื่อไว้ด้วย  อย่างเช่นโต๊ะบางตัวสามารถนั่งได้  4  ที่  แต่พอนั่งจริงๆแล้ว  กลับมีคนนั่งแค่  2  คน  การเตรียมโต๊ะ  จากการสังเกตุของผมเอง  ผู้จัดงานน่าจะเผื่อไว้สำหรับที่ว่างของผู้ร่วมงานที่ไม่รู้จักกันและไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะหรือต้องนั่งติดกับคนที่ไม่คุ้นเคยด้วยนะครับ

     แล้วคนที่ไปร่วมงานรู้ไหมว่าผมเป็นคนไหน?  ผมเป็นคนที่ยกมือคนเดียวในห้องสัมมนาเมื่อเขาถามว่า  มีใครสามารถทำผลตอบแทนได้เกิน  20  %  ในปีนี้บ้าง  อย่างไรเสีย  ผมก็ต้องขอขอบคุณและชมเชยธนาคารกรุงไทย  ที่ใจป้ำจัดงานนี้ขึ้นมานะครับ  เพราะเมื่อจัดงานไปแล้ว  ก็ไม่รู้ว่าจะได้ลูกค้าเพิ่มสักกี่คน  ยังไงผมขอเอาใจช่วยให้ได้ลูกค้าเยอะๆนะครับ

แล้วถ้ามีโอกาส  เอาไว้เจอกันใหม่ปลายปีตอนงานมหกรรมการลงทุนนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Oconner ที่ วันที่ 26 สิงหาคม 2012, 19:30:48
เขาบอกหลายตั๋วอยู่ครับ แต่ผมคิดว่ามันขึ้นมาแล้วหมดหนะ กลุ่ม สื่อสาร  ธนาคาร เหมือนคุณวายุบอกครับเหมือนฟังในมันนี่แชลแนลเลย แต่กะถือว่าดีครับ ที่เชียงรายมีแบบนี้ตวย ผมว่าควรจะจัดตั้งนานแล้ว ตะก่อนผมไปฟังกรุงเทพปู้น ทั้งตลาดAFET FOREX ก่อน่าจะมาได้ละครับ ถ้าจะฮื้อดีเอาพวก S2M มาเลยมีคนรุ่นใหม่สนใจ๋อีกเยอะครับส่วนผม ผมถือว่าผมเป๋นนักลงทุนรุ่นใหม่ครับ  (เทรดอยู่ที่บ้านคอม 3 เครื่อง 4 จอ แนว...อิ อิ ) ฝากถึงโบรคในเจียงฮายตวย ทำก่อนได้ก่อนครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 27 สิงหาคม 2012, 15:54:51
ความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว
     ถ้าเราสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า  โลกของเราทุกวันนี้  หมุนเร็วขึ้น  เปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์อะไรก็ตาม  ต่างก็เปลี่ยนแปลงในอัตราที่เร่งตัวขึ้นกว่าในอดีตมาก  ประเภทแบบว่า  มาเร็ว...เคลมเร็ว...ไปเร็ว  อะไรทำนองนั้น  สาเหตุใหญ่น่าจะมาจาก  ผู้ประกอบการแต่ละเจ้า  ต่างก็พยายามคิดค้นเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ๆออกมาให้ดีกว่าหรือเหนือกว่าของคู่แข่ง  เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดให้ได้มากที่สุด  เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันแล้ว  ผลิตผลจากความคิดเหล่านั้น  ก็ได้กลายมาเป็นสินค้าให้เราได้ใช้กันอย่างทุกวันนี้  และคำถามหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในใจของผมก็คือ  สิ่งที่เกิดขึ้นนี้  จะมีผลอย่างไรต่อชีวิตการลงทุนของพวกเรา  และเราจะปฏิบัติตัวเช่นไรต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

     ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการเป็นนักลงทุน  อยากมีคนทำงานหาเงินมาให้  โดยที่เรานั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆก็ได้เงินใช้แล้ว  เราควรเลือกบริษัทที่มีความสามารถในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างเช่นทุกวันนี้ได้ดี  สมัยก่อนเคยมีคนกล่าวไว้ว่า  ปลาใหญ่กินปลาเล็ก  แต่สมัยนี้เจ้าสัวธนินท์ได้ออกมาบอกว่า  ปลาเร็วกินปลาช้า  อันนี้ก็ท่าจะจริง  เพราะสมัยก่อนต้องยอมรับว่า  เจ้าเล็กๆนี่โดนเจ้าใหญ่บี้ขี้แตกเลย  แต่สมัยนี้  ใครๆก็ใหญ่กันทั้งนั้น  เมื่อต่างคนต่างใหญ่  ต่างคนต่างก็มีตังค์  ทีนี้มันก็ต้องมาวัดกันตรงกึ๋นนี่แหละว่า  ใครจะแน่กว่ากัน  และมันก็ขึ้นอยู่กับว่า  ใครชิงลงมือก่อน  คนนั้นได้เปรียบ  และต้องเป็นการลงมือก่อนแบบมีคุณภาพด้วย  เพราะถ้าไม่มีคุณภาพหรือเปิดช่องว่างไว้  มันจะกลายเป็นว่า  ไปกรุยทางให้คนอื่นเขาเห็นเสียเปล่าๆ  เพราะฉะนั้น  บริษัทต้องอาศัยความได้เปรียบเกี่ยวกับการไปถึงก่อนให้เป็นประโยชน์กับตัวเองด้วย  หรือถ้าไม่อย่างนั้น  ไปถึงทีหลังก็ได้  แต่ต้อง  “ดีกว่า”  ของเก่า  ดูอย่างบริษัทแอปเปิ้ลก็ได้  เขาทำมือถือขาย  แต่เขาทำได้ดีกว่าโนเกีย  บริษัทเขาก็เลยโดดเด่นขึ้นมาเป็นดาวได้  และช่วงหลังๆมานี้  ซัมซุงก็ขอแจมบ้าง  เอาราคามาท้าชน  อันนี้ก็ว่ากันไปตามกลยุทธ์ของแต่ละบริษัท  แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาแล้ว  เราจะเห็นได้ว่า  ทุกบริษัทต่างก็ต้องพัฒนาตัวเองให้ทันคู่แข่ง  หรือถ้าจะให้ดี  ควรจะนำหน้าคู่แข่งให้ได้  ถ้าบริษัทไหนล้าหลัง  บริษัทนั้นจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง  และในไม่ช้ามันก็จะกลายเป็นอดีตไป  และที่แน่ยิ่งกว่านั้นก็คือ  มันจะสร้างนักลงทุนกลุ่มหนึ่งให้ติดดอยโดยที่ตัวเขาเองไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น

     ผมเคยบอกไว้ว่า  การลงทุนที่จะสร้างความมั่งคั่งให้กับเราได้นั้น  ควรจะเป็นการลงทุนระยะยาวและไม่ควรซื้อขายบ่อย  แต่ถึงกระนั้นก็ตาม  ถึงแม้ว่าเราจะเชื่อมั่นในตัวบริษัทแค่ไหน  เราก็ควรจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวของบริษัทที่เราไปลงทุนด้วยว่า  เขากำลังทำอะไรที่ไหนอย่างไร  และมันจะเกิดผลดีหรือไม่  เพราะถึงแม้ว่าเราจะเลือกบริษัทที่ดีแล้ว  แต่บางทีมันอาจมีบริษัทที่ดีกว่าโผล่ขึ้นมา  เพราะเหนือฟ้าก็ต้องมีฟ้า  หรือบางทีบริษัทอาจสะดุดขาตัวเองล้มก็ได้  คำแนะนำของผมก็คือ  ติดตามบริษัทไปเรื่อยๆ  ถ้าเรื่องราวมันยังดีอยู่ก็ยาว...วว  ไป  ให้อดทนถือหุ้นไว้  และเราก็ไม่ควรตกอกตกใจเวลาที่หุ้นมันตกลงมา

     การที่เราเลือกอยู่ในด้านของนักลงทุนนั้น  มันก็มีข้อได้เปรียบบางด้านที่มากกว่าเจ้าของกิจการเองด้วยซ้ำไป  บางด้านที่ผมว่านั้นก็คือ  ถ้าสมมุติว่าเราเป็นเจ้าของกิจการเช่น  7-11  อยู่  และเมื่อถึงจุดๆหนึ่ง  ที่เราไม่สามารถขยายสาขาไปไหนได้อีกแล้ว  เมื่อนั้นธุรกิจมันก็จะไม่เกิดการเติบโต  และเมื่อมันไม่เกิดการเติบโต  นับวันมันก็มีแต่จะเหี่ยวเฉาลง  ถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการ  เราคงต้องคิดหาวิธีจนหัวแทบระเบิดว่า  จะทำอย่างไรให้มันโตขึ้นได้อีก  ถ้าคิดได้มันก็ดี  แต่ถ้าคิดไม่ได้  เราก็คงจะเหมือนกับติดอยู่ในเมืองลับแลนั้นตลอดไป  แต่ถ้าเราเป็นนักลงทุนล่ะ  เมื่อเห็นว่าเจ้าของกิจการหมดไอเดียใหม่ๆที่จะทำให้มันโตได้อีก  เราก็อาจจะเทขายหุ้นรวดเดียวหมด  แล้วสะบัดตูดออกไปจากการลงทุนในบริษัทที่ไม่น่าสนใจนั้นแล้วพร้อมกับหอบเอาเงินก้อนใหญ่ที่เราทำได้  เพื่อเอาไปลงทุนในบริษัทอื่นที่น่าสนใจต่อไป  ซึ่งการที่เราเลือกที่จะเป็นนักลงทุนนั้น  ทำให้เราไม่ต้องติดอยู่กับบริษัทที่หมดอนาคตหรืออะไรก็ตามที่มันจะไม่ทำให้เงินของเรางอกเงยได้อีก  สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ  หมุนเงินให้มันโตไปเรื่อยๆ  โดยการเข้าไปลงทุนในบริษัทที่เราอ่านว่ามันจะทำให้เงินของเราโตได้อีก  และเมื่อมันหยุดโต  เราก็เอาเงินก้อนที่ได้มา  นำมันไปลงทุนซ้ำกระบวนการต่อไปเรื่อยๆไม่รู้จบ  ซึ่งวิธีการที่ผมกล่าวมาแล้วมันดูเข้าท่าไหม?  ยากไหม?  คำตอบที่ได้มันคงจะออกมาเป็นว่า  "เข้าท่ามาก  ไม่ยากเลย"  แต่ก่อนที่จะทำอย่างนั้นได้มันต้องเริ่มจาก  “ความรู้”  เสียก่อน  แล้วทุกวันนี้คนที่ต้องการรวยอย่างนักลงทุน  มีสิ่งนี้กันแล้วหรือยัง  เพราะเท่าที่ผมเห็น  แค่มีเงินและกราฟราคาหุ้น  (เครื่องมือทางเทคนิค)  ก็โดดเข้าไปลุยกันแล้ว  การลงทุนมันต้องมี  “ข้อมูล”  เสียก่อน  เมื่อมีข้อมูลแล้วมันก็ต้องตามด้วย  “แผนการ”  และเมื่อมีแผนการแล้วมันก็จะต้องตามด้วย  “วิธีการ”  เงินมาจากความคิด  ถ้าไม่เห็นเงินในสมอง  ก็จะไม่เห็นเงินในมือ  ทุกวันนี้คนที่ใช้สมองมากกว่าใช้แรง  จะเป็นคนที่ทำเงินได้มากกว่าและเหนื่อยน้อยกว่า  แต่บางครั้ง  การที่เราทำอะไรไปก่อน  พอผิดพลาดแล้วค่อยมาคิดได้ทีหลังก็ดีไปอีกแบบ  เพราะมันจะทำให้เราจดจำอะไรได้ดีกว่า  แต่ถ้าคุณได้ทำบางอย่างผิดพลาดไป  และคุณไม่ได้ความรู้อะไรเพิ่มขึ้นมาเลย  นั่นมันเป็นความเสียหายที่สูญเปล่าและน่าเสียดายมาก

     การที่ทุกวันนี้ผมยังไม่ได้ขายหุ้นของผมออกมาก็เพราะผมเห็นว่ามันยังโตได้อีก  ไม่ใช่พอขึ้นก็ขาย  พอลงก็ซื้อ  ซึ่งนั่น  มันเป็นวิธีการลงทุนของคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย  หรือบางทีคนที่ลงทุนในหุ้นตัวเดียวกันกับผมอาจจะรู้  แต่เขามีความอดทนไม่เพียงพอก็เป็นได้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Oconner ที่ วันที่ 27 สิงหาคม 2012, 21:37:36
ท่านที่เป็นนักลงทุนประเภทถือยาว ช่วยบอกเคล็ดลับหรือ เครื่องมือที่ใช้ช่วยในการตัดสินใจในการขายหุ้นในพอร์ท ให้เป็นความรู้หน่อยได้ไหมครับ ไว้เพื่อศึกษาครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: nutbogger ที่ วันที่ 27 สิงหาคม 2012, 22:16:17
วันนั้นผมได้เข้าช่วงบ่ายนะครับได้ความรู้มากมายเลยครับเขาก็แนะเคร็ดลับบางอย่างให้มากมายนะครับแบบsot-long แบบนี้ก็มีบ้านเราแล้วฮ่าๆๆๆๆผมก็นึกว่ามีแต่forex ซะอีกส่วนตัวเทรดforexครับอยู่บ้านเฮาครับกะว่าจะลองเปิดบัญชีกะเคทีซีมีโ้หน่อยครับเพื่อเทรดsot-long inset50 กะเขาบ้าง ยินดีที่ได้รู้จักนักลงทุนเชียงรายครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ซาลาเปา(เฉพาะกิจ) ที่ วันที่ 28 สิงหาคม 2012, 11:25:57
วันนั้นผมได้เข้าช่วงบ่ายนะครับได้ความรู้มากมายเลยครับเขาก็แนะเคร็ดลับบางอย่างให้มากมายนะครับแบบsot-long แบบนี้ก็มีบ้านเราแล้วฮ่าๆๆๆๆผมก็นึกว่ามีแต่forex ซะอีกส่วนตัวเทรดforexครับอยู่บ้านเฮาครับกะว่าจะลองเปิดบัญชีกะเคทีซีมีโ้หน่อยครับเพื่อเทรดsot-long inset50 กะเขาบ้าง ยินดีที่ได้รู้จักนักลงทุนเชียงรายครับ
น่าจะเป็น short-long


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ซาลาเปา(เฉพาะกิจ) ที่ วันที่ 28 สิงหาคม 2012, 11:32:23
ท่านที่เป็นนักลงทุนประเภทถือยาว ช่วยบอกเคล็ดลับหรือ เครื่องมือที่ใช้ช่วยในการตัดสินใจในการขายหุ้นในพอร์ท ให้เป็นความรู้หน่อยได้ไหมครับ ไว้เพื่อศึกษาครับ
ท่านชำนาญด้านใด ก็คงต้องใช้ประยุกต์กับหุ้นตัวที่มี นอกเหนือจากข้อมูลข่าวสารและพื้นฐานของหุ้นนั้น  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 28 สิงหาคม 2012, 16:11:13
ท่านที่เป็นนักลงทุนประเภทถือยาว ช่วยบอกเคล็ดลับหรือ เครื่องมือที่ใช้ช่วยในการตัดสินใจในการขายหุ้นในพอร์ท ให้เป็นความรู้หน่อยได้ไหมครับ ไว้เพื่อศึกษาครับ

     งั้นผมจะตอบแบบคำตอบสุดท้ายเลยก็แล้วกันนะครับ  เพื่อไม่ให้เยิ่นเย้อ  เคล็ดลับของการถือยาวก็คือ "ความรู้"  ครับ เพราะถ้าคุณไม่รู้จักหุ้นตัวนั้นดีพอ  คุณกล้าถือยาวไหม?  ส่วนเครื่องมือนั้น  ถ้าคุณจะหมายถึงโปรแกรมต่างๆ  ผมไม่ได้ใช้ครับ  เพราะผมไม่เชื่อว่ามันจะใช้ได้อย่างถูกต้องทุกครั้ง  คุณลองยกตัวอย่างของคนที่ใช้แต่เครื่องมือทางเทคนิคพวกนั้นแล้วรวยระดับโลกมาให้ผมรู้หน่อยได้ไหมว่า  มีใครรวยเพราะใช้กราฟพวกนั้นบ้าง  แม้แต่คนที่เขียนโปรแกรมพวกนั้นขึ้นมา  ก็ยังไม่เห็นมีใครรวยระดับโลกเลย คุณรู้ไหมว่า  ทำไมพวกโบรกต่างๆจึงแนะนำให้ทุกคนลงทุนด้วยวิธีนี้  เพราะการใช้กราฟมันจะทำให้เราต้องซื้อขายบ่อย  และก็อย่างที่เรารู้  ไม่ว่าเราจะได้หรือเสีย  ใครเป็นคนได้ค่าคอม  จริงๆแล้วผมก็ไม่อยากท้าใครต่อใครที่เขาศรัทธาในเครื่องมือทางเทคนิคพวกนี้หรอกนะครับ  แต่ผมอยากให้ข้อคิดไว้อย่างหนึ่งว่า  เครื่องมือทางเทคนิค  ใครๆก็ใช้เป็น  เพราะมันมีสอนกันตามที่ต่างๆ  แล้วมีสักกี่คนที่รวยด้วยเทคนิค  ถ้าทุกคนรู้  ทุกคนต้องรวย...ถูกไหม?

     ส่วนเรื่องการตัดสินใจขายหุ้นนั้น  สาเหตุมันมีหลายอย่าง  เราต้องดูก่อนว่า  ก่อนที่เราจะเข้าไปลงทุน  เราตั้งธงไว้ว่าอย่างไร  ถ้าเราต้องการซื้อหุ้นที่มันเติบโต  เราก็ควรขายเมื่อมันหยุดโต  ถ้าเราเข้าซื้อเพราะราคามันถูก  เราก็ควรขายตอนที่ราคามันแพง  ถ้าเราเห็นว่าตอนนี้มันแย่  แต่อนาคตมันจะต้องกลับมาได้  เมื่อมันกลับมาได้แล้ว  มันก็หมดประเด็นที่จะเล่น  เอาแค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: nutbogger ที่ วันที่ 28 สิงหาคม 2012, 20:07:47
ขอบคุณครับshort-long


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 04 กันยายน 2012, 16:21:46
ต้นสาย  เป้าหมายใหม่
     วลีนี้ฟังๆไปก็คล้ายกับว่าจะชักชวนให้ไปทำธุรกิจเครือข่ายซะงั้น  แต่จริงๆแล้วผมกำลังพูดถึงเรื่องหุ้นอยู่ต่างหาก

     พอดีผมไปได้ข่าวมาว่า  มีหุ้นตัวหนึ่งกำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์  และเท่าที่ผมลองใช้สินค้าของเขาดูแล้วปรากฏว่ามีความประทับใจพอประมาณ  ผมก็เลยมีความสนใจในหุ้นตัวนี้พอสมควร  จริงๆแล้วมันก็ยังต้องใช้เวลาอีกนาน  กว่าที่หุ้นตัวนี้จะเข้ามาซื้อขายได้  เพราะบริษัทกำลังเดินเรื่องอยู่  ตอนแรกผมคิดว่า  เอาไว้ใกล้ๆแล้วค่อยมาแนะนำดีกว่า  แต่พอมาคิดอีกทีหนึ่ง  ถ้ามันใกล้เกินไป  คนที่สนใจจริงๆก็อาจจะไม่ทันได้ตั้งตัวเพื่อเก็บเงินซื้อ  ผมก็เลยคิดว่า  ห่างๆอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน

     สำหรับหุ้นตัวนี้  ผมจะยังไม่แนะนำออกมาในกระทู้นะครับ  เพราะมันก็ยังไม่ได้มีข่าวว่าจะได้เทรดแน่นอน  เอาเป็นว่า  คนที่สนใจเพื่อที่จะลงทุนเป็นต้นสายของหุ้นตัวนี้จริงๆล่ะก็  PM  มาหาผมก็แล้วกัน  เพราะผมยังมีบางคำถามที่อยากรู้ว่าหุ้นตัวนี้ดีจริงสำหรับทุกคนหรือไม่  ผมก็เลยอยากสอบถามจากคนอื่นๆด้วย  ซึ่งกระบวนการในการคัดเลือกหุ้นตามแบบฉบับหรือสไตล์ของผมนั้น  เป็นการหาข้อมูลจากผู้ใช้จริง  สถานการณ์จริง  ไม่มีสตั๊นท์  ถ้าข้อมูลไม่ดีก็เจ็บจริงนะครับ  แต่ถ้าข้อมูลถูกต้อง  เราก็อาจจะรวยไม่รู้เรื่อง  ท่านที่สนใจอยากได้หุ้นตัวนี้ก็ต้องตอบคำถามของผมก่อนนะครับ  เพราะผมจะนำมันมาประเมินด้วยตัวเองจากผู้ที่ใช้สินค้านั้นจริงๆว่า  มีความรู้สึกอย่างไรต่อสินค้านั้น  เมื่อตอบคำถามผมจนเป็นที่พอใจแล้ว  ผมก็จะส่งบทวิเคราะห์ส่วนตัวของหุ้นตัวนี้ให้ทาง  PM  เหมือนกัน  เพราะผมมีข้อมูลเชิงลึกของตัวบริษัทด้วย  โดยการโทรไปสอบถามกับทางบริษัทเองเลยว่าผมเป็นนักลงทุน  และกำลังสนใจที่จะลงทุนในบริษัทของคุณ  เขาก็ให้ความร่วมมือดีมากครับ  ตอบทุกคำถามที่ผมอยากรู้  และผมก็ประเมินได้ว่า  บริษัทกำลังปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น  ถ้าเป็นไปได้  ผมอยากให้เพื่อนๆชาวเชียงรายมาลงทุนด้วยกันครับ  คุณรู้ไหมว่า  ตอน  ปตท.  เข้าตลาดใหม่ๆ  ราคา  35  บาทเท่านั้น  ตอนนี้ราคาสามร้อยกว่าบาทแล้ว  หุ้นแอดวานซ์ที่ทำเครือข่ายมือถือ  1-2-CALL  ตอนเข้าตลาดใหม่ๆน่าจะราคา  115  บาท  หลังจากแตกพาร์แล้วก็เหลือ  11.5  บาท  แต่ตอนนี้ราคาสองร้อยกว่า หุ้น  7-11  ตอนเข้าตลาดราคา  5  บาท  แต่หลังจากแตกพาร์ก็เหลือหุ้นละ  1  บาท  และตอนนี้เขาแจกหุ้นให้ฟรีอีก  นั่นเท่ากับว่า  เหลือต้นทุนแค่หุ้นละ  50  ตังค์  ตอนนี้ราคาหุ้น  สามสิบกว่าบาท  นี่ขนาดผมซื้อไว้แค่สองปี  ราคาเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเท่าตัวแล้ว  นี่ถ้าผมซื้อเร็วกว่านี้  เงินคงเพิ่มขึ้นมาอีกบานเบอะ  และยังมีหุ้นอีกหลายๆตัว  ที่ราคาหุ้นในปัจจุบัน  มีราคาเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าจากวันที่เข้าตลาดครั้งแรก  ถ้าใครอยากมาร่วมด้วยช่วยกันค้นหากับผม  ก็  PM  มานะครับ  แล้วเรามาช่วยกันวิเคราะห์และแลกเปลี่ยนข้อมูลหุ้นด้วยกัน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 07 กันยายน 2012, 15:38:15
ดาวน์เกรด
     ทุกครั้งที่มีการลดอันดับความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ลง  หุ้นมักจะตกเสมอ  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?  จากความเห็นส่วนตัวแล้วผมคิดว่า  เรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับสองสิ่งที่สัมพันธ์กัน  สิ่งแรกก็คือลูกค้าของธนาคารเหล่านั้น  และสิ่งที่สองก็คือตัวของธนาคารเอง

     สองสิ่งที่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆก็คือ  เมื่อธนาคารใดถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลง  ถ้าเราเป็น  ”ลูกค้า”  ของธนาคารนั้น  เราก็มักจะตกอกตกใจมิใช่น้อยว่า  อุตส่าห์ฝากเงินไว้ตั้งหลายบาท  กลัวเงินจะสูญเสียกระมัง  อย่ากระนั้นเลย  เราเร่งไปถอนเงินออกมาก่อนจะดีกว่า  ถ้ามันไม่เจ๊ง  เดี๋ยวเราค่อยเอาไปฝากคืนใหม่ก็ได้  เมื่อต่างคนต่างก็คิดอย่างนั้น  มันก็จะเกิดการเฮโลเข้ามาถอนเงินกับธนาคาร  แล้วคุณลองคิดดูสิว่า  ถ้าเราไปแย่งกันถอนเงิน  แต่ธนาคารไม่สามารถหาเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้นมาให้เราได้  เนื่องจากว่ายังไม่ทันได้ตั้งตัว  มันจะเกิดความโกลาหลแค่ไหน  ยิ่งธนาคารไม่มีให้  มันก็ยิ่งแตกตื่นกันไปใหญ่  ทีนี้ล่ะได้เรื่อง  คุณลูกค้าที่เคารพก็จะไม่ฟังอีร้าค่าอีรมแต่อย่างใด  เขาจะแย่งกันพูดแต่ว่า  ”เอาตังค์กูคืนมา”

     จริงๆแล้วก็น่าเห็นใจธนาคารนะ  เพราะว่าการรับฝากเงิน  เราก็ต้องให้ดอกเบี้ยเขา  แล้วทีนี้เราก็จำเป็นที่จะต้องเอาเงินของเขาไปหมุนเพื่อทำให้มันออกดอกออกผลมากกว่าดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายให้แก่คนเอามาฝาก  ซึ่งหนึ่งในวิธีการทำเงินของธนาคารก็คือ  “เอาเงินไปลงทุนในตลาดหุ้น”  เมื่อตัวธนาคารเองถูกลดอันดับลง  ธนาคารก็ต้องอ่านเกมแล้วว่า  ถ้ามีลูกค้ามามะรุมมะตุ้มแย่งกันถอนเงิน  ทางธนาคารควรจะมีเงินให้เขาถอน  เพื่อลดการแตกตื่นเป็นวงกว้างของลูกค้า  เพราะฉะนั้น  ทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องสูงๆขายออกไวๆอย่างหุ้นจึงโดนขายก่อนเป็นอันดับแรก  ถ้าบังเอิญเราก็อ่านเกมขาดเหมือนกัน  เมื่อหุ้นตกด้วยเหตุผลนี้  เราจะช้าอยู่ใยล่ะ  เพราะการที่หุ้นตกด้วยเหตุการณ์แบบนี้  มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวบริษัทที่เขาขายออกมาเลยสักนิด  เขาขายเพราะว่ามันขายได้เร็ว  เนื่องจากเป็นหุ้นที่ดี  มีคนรอรับซื้ออยู่เป็นจำนวนมากก็เท่านั้น  ถ้าเราวิเคราะห์แล้วเห็นว่า  บริษัทที่โดนขายไม่ได้มีปัญหาอะไร  เราก็ควรที่จะเข้าไปรับซื้อด้วยความนอบน้อม  ที่เขากรุณายอมขายหุ้นดีๆในราคาถูกๆให้  เอ...หรือว่าจะต้องซื้อด้วยความผยองดีนะ  เพราะถ้าเราไม่ยอมรับซื้อไว้  ธนาคารจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายให้ลูกค้าล่ะถ้าไม่ใช่เงินของเรา  อิอิ  เพราะฉะนั้นแล้วผมจึงคอยย้ำเตือนมิตรรักทั้งหลายอยู่ตลอดเวลาว่า  ซื้อหุ้นต้องดูพื้นฐานก่อน  ไม่ใช่ดูที่ราคาหรือกราฟทางเทคนิคก่อน  เพราะเราเป็นนักลงทุน  มิใช่นักเล่นหุ้นที่คอยจับจังหวะตลาดอยู่ตลอดเวลา  การที่เราลงเงินไปกับความผันผวนของตลาดโดยที่ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับตัวบริษัทเลยสักนิดนั้น  เสี่ยงมาก...ขอบอก  และคุณลองนึกถึงพวกงี่เง่าที่เอาแต่เดาว่าราคาหุ้นจะตกลงไปถึงเท่าไหร่ดูสิ  ไม่มีใครเดาถูกหรอก  ขนาดคนที่เขากำลังขายเอง  เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าราคาต่ำสุดมันจะอยู่ที่เท่าไหร่  เขาจะหยุดขายก็ต่อเมื่อได้เงินไปตุนไว้ตามที่ต้องการแล้วต่างหาก  ถ้าเป็นพวกที่นิยมคัทลอส(ขายเพื่อตัดขาดทุน)  เมื่อเห็นว่าตรงนี้หลุดแนวรับแล้ว(ราคาสุดท้ายที่มาร์กเอาไว้เพื่อกำหนดจุดในการรับซื้อหุ้น  แต่ถ้ามันยังลงต่อไปอีก  เขาก็คิดว่ามันจะต้องตกลงไปลึกมากกว่านั้น)  เขาก็จะผสมโรงขายหุ้นออกมาด้วย  มันก็จะขาดทุนตามเขาไปด้วย  บ้าไปกันใหญ่  ตัวอย่างที่ดีสำหรับเหตุการณ์นี้ก็คือช่วงวิกฤตซับไพร์ม  ตอนนั้นพวกสถาบันการลงทุนของอเมริกาใหญ่ๆอย่างพวกแบร์สเติร์น  เจ.พี.มอร์แกน  เมอร์รินลินช์  AIG  ฯลฯ  กำลังแย่  พวกสถาบันเหล่านี้ก็จำเป็นที่จะต้องดึงเงินกลับไปพยุงบริษัทก่อน  ซึ่งนั่นเป็นเหตุที่ทำให้หุ้นตกกันทั้งโลก  และเมื่อมีพวกนิยมคัทลอสเข้ามาผสมโรงด้วย  มันก็ยิ่งซ้ำเติมเหตุการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก  เมื่อเวลาผ่านไปและสถาบันพวกนี้บางแห่งไม่ได้ล้ม  เงินที่ไหลออกไปก็ไหลกลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง  เรื่องที่ดีเพียงอย่างเดียวของเหตุการณ์แย่งกันขายแบบนี้ก็คือ  นักลงทุนที่ศึกษาตัวบริษัทมาเป็นอย่างดีจะได้ของดีในราคาถูก

     ถ้าคนที่ชอบซื้อๆขายๆเป็นประจำหรือพวกที่ชอบใช้เทคนิคบอกว่า  ถ้าไม่ขายมันก็เจ็บน่ะสิ  มันก็ถูก...แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเราจะต้องขายตรงไหนและซื้อตรงไหน  เพราะเวลาหุ้นตก  คนที่มีหุ้นก็มักจะลุ้นให้มันกลับขึ้นมา  ก็เลยไม่ยอมขาย  เพราะกลัวขาดทุน  ส่วนพวกที่ไม่มีหุ้นก็จ้องตาเป็นมัน  เพราะราคาหุ้นตอนที่เกิดวิกฤตนั้นมันถูกมาก  แต่ปัญหาก็คือ  แล้วเราจะซื้อตรงไหนล่ะ?  ช่วงนั้นผมก็โดนไปกับเขาเหมือนกัน  ผมเคยเห็นหุ้น  ปตท.สผ  ราคาร้อยแก่ๆถึงสองร้อยต้นๆ  พอผมเห็นว่ามันตกลงมาเหลือร้อยต้นๆผมก็เลยโดดเข้าไปรับ  ผลสุดท้าย  2  นาทีเงินหายไปหมื่นนึง  เมื่อผมย้อนกลับไปมองตัวเองก็เห็นว่า  ถ้าผมซื้อไว้ตอนนั้นและถือไว้ไม่ยอมขาย  จนถึงวันนี้ผมก็ไม่ต้องขาดทุนมากขนาดนั้น  แถมยังได้กำไรอีกต่างหาก  นี่ยังไม่ได้นับปันผลที่เขาแจกให้ระหว่างถือหุ้นอีกนะ  เมื่อมาสรุปเป็นความเข้าใจส่วนตัวก็เลยเห็นว่า  ถ้าเรามั่นใจว่าบริษัทนั้นดีจริง  เพราะเราได้ศึกษามาแล้ว  และราคาที่เราเข้าไปรับซื้อก็เป็นราคาที่เราพอใจ  เราควรจะอดทนอยู่กับมัน  เพราะในที่สุด  มันก็จะกลับมา


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Ni KruNi ที่ วันที่ 07 กันยายน 2012, 16:05:09
 ;) ;) ;)
เห็นด้วยอย่างยิ่งเจ้าค่ะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 17 กันยายน 2012, 15:48:20
งานหนักไม่เคยฆ่าคน
     ผมเป็นคนชอบสังเกตครับ  เวลาผมขี่รถไปตามถนน  ผมชอบหันไปมองโน่นมองนี่เพื่อดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง  หรือว่ามีอะไรที่ผมควรจะรู้ไว้บ้าง  เพื่อจะได้ไม่ต้องเป็นคนตกยุค  หรือเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรสักอย่าง  เวลาใครถามว่าอะไรอยู่ตรงไหน  เราจะได้รู้ไงครับ  ก็พอดีด้วยความที่สายตาชอบสอดส่ายนี่แหละ  ทำให้ผมได้อ่านข้อความหนึ่งที่มักจะแปะไว้ด้านท้ายรถของหลายๆคันว่า  “งานหนักไม่เคยฆ่าคน”  เมื่อผมอ่านดูแล้ว  ผมรู้สึกค้านกับคำกล่าวนั้นมาก  เพราะการที่เราต้องทำอะไรหนักๆ  นั่นคือการหักโหมใช่ไหม?  แล้วการหักโหม  มันดีหรือไม่?  ไม่ว่าจะเป็นหักโหมกิน  หักโหมเที่ยว  หักโหมเล่น  มันก็ไม่ดีทั้งนั้น  รู้สึกว่าข้อยกเว้นอย่างเดียวสำหรับคำพูดนี้ก็คือการหักโหมรวย  และเท่าที่ผมสังเกตดู  รถที่แปะข้อความนี้ส่วนมาก  มักจะเป็นคนที่...ยังไงดีล่ะ  ไม่อยากใช้ถ้อยคำรุนแรงเลย  เอาเป็นว่า  เขาคงไม่เคยรับรู้ว่า  มีวิธีทำเงินได้อีกมากมายหลายวิธีโดยที่ตัวเขาเองไม่ต้องไปหักโหมขนาดนั้น  ซึ่งตัวเขาเองอาจจะไม่รู้ก็เป็นได้  และในทางกลับกัน  ท้ายรถของคนที่ทำธุรกิจเครือข่ายจะออกแนวประมาณว่าทำแล้วรวย  จริงๆแล้วเขาก็ไม่ได้โกหกหรอกนะ  เพราะถ้าเราเริ่มทำตั้งแต่เป็นคนแรกๆเราก็อาจจะรวย  เพราะทุกเครือข่ายจะมี  ”ระบบ”  ทำงานให้เรา  ถ้าเราสามารถต้อนคนให้เข้ามาในระบบได้มากพอ  เราก็จะมีรายได้ที่มากมายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง   แต่การที่เขามาบอกว่าในระบบธุรกิจเครือข่ายนั้น  หากเราทำสำเร็จแล้ว(ชวนคนได้เยอะ)  เราก็ไม่ต้องทำงานอีกเลยตลอดชีวิต  อยากหยุดเมื่อไหร่ก็หยุดได้  ซึ่งตามความเห็นของผมแล้ว  ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ล้วน  เกิดมา  ตั้งอยู่  และดับไป  นั่นคืออนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  ไม่มีสิ่งใดหรอกที่จะคงอยู่ไปได้ตลอดกาล  แม้แต่หุ้นของบริษัทดีๆ  เมื่อถึงวันหนึ่งที่หุ้นมันหยุดโต  ราคาหุ้นมันก็จะไม่ไปไหนอีกแล้ว  และเมื่อวันนั้นมาถึง  มันก็เป็นวันที่งานเลี้ยงต้องเลิกรา  มีเพียงตัวเราเท่านั้นที่จะสามารถเลือกได้ว่า  จะทำอย่างไรต่อไป  เอาล่ะ...มาพูดเรื่องงานหนักกันต่อดีกว่า  สำหรับคนที่เชื่อมั่นในคำนี้  ผมมีคำถามที่อยากรู้คือ  ถ้าคุณทำงานขับรถแล้วคุณไม่ยอมพักผ่อนเลย  คุณคิดว่างานนี้มันฆ่าคุณได้ไหม  ถ้าคุณเป็นกรรมกรต้องปีนขึ้นไปอยู่บนนั่งร้านสูงๆ  ถ้าคุณตกลงมา  คุณจะเป็นอะไรไหม  และถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้ทำงานที่เสี่ยงขนาดนั้น  แต่ถ้าคุณไม่ได้พักผ่อนเลย  สุขภาพในระยะยาวของคุณจะเป็นอย่างไร


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 24 กันยายน 2012, 01:00:19
บ้าน  บ้าน  บ้าน
     เมื่อพูดถึงการทำเงินจากอสังหาริมทรัพย์  ทรัพย์สินส่วนใหญ่ที่เรานึกถึงก็คือบ้าน  และถ้าเราพูดถึงแต่เรื่องการทำกำไรล้วนๆเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้คิดถึงเรื่องค่าเช่าเลย  วิธีการทำกำไรจากบ้านนั้น  ผมสามารถแยกออกมาเป็นข้อหลักๆได้  3  ข้อดังที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้คือ

1.ซื้อบ้านตอนราคามันตก  ความหมายก็คือการซื้อบ้านในที่ๆมีทำเลดีอยู่แล้ว  เช่น  ในเมือง  ใกล้ห้าง  ใกล้โรงพยาบาล  ฯลฯ  หรือสรุปง่ายๆก็คือ  ซื้อตรงทำเลที่มันมีราคาดีอยู่แล้วนั่นเอง  เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ซื้อตามราคาที่เขาขายกัน  เราจะรอซื้อตอนที่มันเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหรือเจ้าของร้อนเงินก็เลยเอามาปล่อยถูกๆอะไรเทือกนั้น  ยิ่งราคาห่างจากที่มันเคยเป็นอยู่เท่าไหร่  เราก็ยิ่งกำไรมากเท่านั้น

2.ซื้ออนาคต  ความหมายก็คือการซื้อบ้านตอนที่ราคามันยังไม่ได้ไปไหน  หรืออาจจะไปแล้วแต่ก็ยังไม่แพงเกินไปสำหรับอนาคตเช่น  ซื้อตรงที่ถนนตัดผ่าน  ซื้อตรงที่เขากำลังจะก่อสร้างอะไรสักอย่างซึ่งในอนาคตมันจะเป็นทำเลที่ดี  ฯลฯ  การซื้อในลักษณะนี้  เราต้องคาดการณ์ได้ว่าอนาคตมันจะดี  และมันก็จะมีผลทำให้ที่ๆเราซื้อไว้มีราคาเพิ่มขึ้น

3.ซื้อดะ  ความหมายก็คือเราไม่ได้สนใจหรอกว่าที่ตรงนั้นมันจะเป็นอย่างไรในอนาคต  มันจะอยู่ในเมืองหรือนอกเมือง  หรือมันจะอยู่ใกล้กับอะไร  เหตุผลก็เพราะเราต้องการทำกำไรระยะสั้นเท่านั้น  เราระลึกอยู่เสมอว่าจะต้องซื้อถูกขายแพง  เราอาจจะไม่ต้องการกำไรก้อนใหญ่  กำไรเท่าไหร่เราก็เอา  เพราะมันก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ  เราไม่ค่อยจะอดทนที่ต้องครอบครองบ้านไว้นานๆ  เพราะเราต้องการหมุนเงินเราไปเรื่อยๆเพื่อไม่ให้มันจมอยู่กับที่  ถ้าวิธีการแบบนี้ทำสำเร็จ  มันก็สามารถทำเงินได้มากเหมือนกัน  แต่เป็นการได้เงินก้อนเล็กๆหลายๆครั้งเพื่อรวบรวมให้มันเป็นก้อนใหญ่  แต่ทีนี้ประเด็นก็คือ  เราจะสามารถทำอย่างนั้นได้ทุกครั้งหรือไม่  เพราะผมเคยได้ยินบางคนบอกว่า  ซื้อแล้วติดมือปล่อยไม่ออกก็มีเยอะแยะไป  ถ้าอยากจะให้มันออกเร็วๆก็ต้องขายถูกๆ  แต่เรื่องของเรื่องก็คือ  เขาซื้อมาตอนที่มันยังไม่ได้ลดราคาสักเท่าไหร่  ถ้าอยากได้เงินเอาไปหมุนต่อ  ก็คงต้องยอมขายขาดทุนบ้าง  ไม่งั้นเงินจม  ฟังๆดูแล้วเหมือนคนติดดอยในหุ้นอย่างไรไม่รู้

     เมื่ออ่านแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนำมันมาเปรียบกับนักลงทุนในหุ้น  คนที่ซื้อหุ้นตามวิธีการในข้อ  1  นั้น  สมัยนี้เขาเรียกกันว่า  VI  คนที่จะเรียกตัวเองว่า  VI  ได้นั้นจะต้องมีความอดทนเป็นเยี่ยมทั้งการรอคอยให้ราคามันตก  และเมื่อซื้อแล้วก็มีความอดทนรอคอยให้ราคามันขึ้น  การตัดสินใจซื้อก็มีเหตุผลที่ดีในการซื้อ  เพราะถ้าเอามาเปรียบเทียบกับลักษณะการลงทุนซื้อบ้านในทำเลที่ดีอยู่แล้วนั้น  “แทบไม่เสี่ยงอะไรเลย”  ยกตัวอย่างเช่น  ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าบ้านที่อยู่ในตัวเมืองนั้น  “ทำเลดี”  จะไปไหนมาไหนก็สะดวก  จะหาอะไรกินก็ง่าย  แล้วถ้าราคามันตกลงมาทำไมจะไม่กล้าซื้อล่ะ  ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับบ้าน  เป็นที่แน่นอนว่าคนจะแย่งกันซื้อ  แต่เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดกับหุ้นของบริษัทที่ดี  กลายเป็นว่าแย่งกันขายหัวแทบแตกเพราะกลัวขาดทุน  ถ้าใครทำอย่างนั้นผมก็อยากถามว่า  นี่คุณบ้าไปแล้วรึ?  แย่งกันขายหุ้นดีๆออกมาทำไมกัน  พิลึกคนจริงๆ  ถ้าคุณขายตอนมันถูกๆ  ผมอยากจะถามว่า  ตอนที่มันแพงกว่านี้ทำไมคุณถึงกล้าซื้อ  งี่เง่าไม่เข้าท่า  และด้วยเหตุที่ว่าโลกนี้มีคนประเภทนี้อยู่เยอะ  VI  จึงยังคงทำเงินได้มาก  ไม่ว่าจะในสมัยไหนก็ตาม  ทั้งในอดีต  ปัจจุบัน  รวมถึงในอนาคตด้วย

     สำหรับคนที่ซื้อหุ้นตามวิธีการในข้อ  2  นั้น  เขาจะเป็นคนประเภทที่ลงทุนในหุ้นเติบโต  วิธีการลงทุนก็คล้ายๆกับการซื้อบ้านนั่นแหละ  เพราะเขาจะวิเคราะห์ดูว่า  หุ้นตัวที่เขากำลังจะซื้อเข้ามานั้นมันยังโตไปได้อีกจากวันที่ซื้อเข้ามา  บางครั้งราคาหุ้นที่ซื้อเข้ามามันอาจจะไม่ได้ถูกเหมือนกับหุ้นที่พวก  VI  ชอบซื้อ  แต่ถ้าเขาวิเคราะห์แล้วว่าวันนี้มันแพง  แต่ถ้ามันยังโตไปได้อีก  ราคานี้ก็ถือว่าถูกสำหรับการเติบโตที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  การลงทุนในลักษณะนี้  ต้องมีความรู้ความเข้าใจทั้งในตัวธุรกิจ  ตัวบริษัท  และคู่แข่ง  เมื่อวิเคราะห์ว่าดีแล้วก็ไม่ต้องรอให้มันถูกมากเหมือนหุ้น  VI  แต่ถ้ามีคนบ้าขายออกมาจนราคามันตกต่ำลงมา  นั่นก็นับว่าเป็นโชคดีของผู้ลงทุน

     สำหรับคนที่ซื้อหุ้นตามวิธีการในข้อ  3  นั้น  ผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า  นี่เป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้น  แต่เป็นกลุ่มคนที่ทำเงินได้น้อยที่สุดในตลาด  ที่ผมบอกว่าทำเงินได้น้อยนั้นหมายถึงจำนวนคน  ไม่ใช่จำนวนเงิน  คนที่เล่นสั้นๆแล้วได้เงินเยอะมันก็มี  แต่คนที่ได้น้อยหรือเสียเงินจะมีมากกว่า  และจำนวนเกินครึ่งใช้วิธีการที่เรียกว่า  “เทคนิคคอล”  ผมคงไม่ต้องบรรยายมากว่ามันดีหรือไม่ดีอย่างไร  เพราะผมเคยให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว  และคนที่ซื้อๆขายๆบ่อยส่วนหนึ่งก็ไม่ได้ใช้เทคนิคเสมอไป  บางคนก็ซื้อขายด้วยความรู้สึกหรือที่เรียกว่าเซ้นส์  ซึ่งมันได้ผ่านการพิสูจน์แล้วว่า  “ผิด”  ถ้าคุณเป็นหนึ่งในกลุ่มคนลักษณะนี้และเถียงคอเป็นเอ็น  ผมถามคุณแค่คำถามเดียวว่า  “คุณรวยหรือยัง”  กับวิธีที่ใช้อยู่  ถ้าคุณยังไม่รวยก็แสดงว่า  วิธีที่คุณใช้อยู่นั้นมันไม่เวิร์ค  และไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายบ้านหรือการซื้อขายหุ้นบ่อยๆ  การทำธุรกรรมทุกครั้งจะมีค่าใช้จ่ายเสมอ  ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุแห่งความสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุของนักลงทุนเองด้วย  อันนี้ท่านผู้อ่านก็คิดกันเอาเองแล้วกันนะครับว่าคุณอยากเป็นนักลงทุนประเภทไหน

     แล้วถ้าพูดถึงกรณีที่สุดยอดในการซื้อบ้านและหุ้นขึ้นไปอีก  เมื่อเราจะลงทุน  มันต้องได้สองเด้ง  ถ้าเป็นบ้าน  เราควรจะได้ค่าเช่าและราคาบ้านที่เพิ่มขึ้นด้วย  และในกรณีของหุ้น  เราควรจะได้รับเงินปันผลและมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้น  และถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า  การลงทุนแบบสุดยอดนี้  ไม่ต้องขยับตัวไปทำอะไรกับการลงทุนให้มากเลย  เราใช้สมองให้มาก  ลงทุนอย่างมีคุณภาพแบบไม่ต้องบ่อยครั้ง  นั่งเฉยๆรอรับผลตอบแทน  แล้วเราจะจ่ายน้อยกว่าที่เคยและเหนื่อยน้อยกว่าครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Ni KruNi ที่ วันที่ 24 กันยายน 2012, 08:23:48
มาซะดึกเชียว แต่ก็มีข้อคิดแถมมาเสมอๆเลย  :)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: thexfile ที่ วันที่ 24 กันยายน 2012, 22:12:27
เยี่ยมครับ ติดตามอ่าน บทความของคุณวายุเสมอ ชอบวิธีคิดครับ  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: มิสเตอร์เอฟ ที่ วันที่ 30 กันยายน 2012, 02:26:10
ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 01 ตุลาคม 2012, 15:52:54
นางงามลูกโป่ง
     สมัยที่ผมยังเด็ก  ผมได้เห็นการประกวดนางงามประจำหมู่บ้านที่ตายายของผมอาศัยอยู่  ตอนนั้นน้าสาวของผมก็เข้าประกวดด้วย  กติกาการตัดสินก็มีอยู่ว่า  ผู้จัดงานจะขายลูกโป่งให้กับผู้ชม  และให้ผู้ชมที่ซื้อลูกโป่ง  นำไปมอบให้กับคนที่คิดว่าสวยที่สุด  ถ้าผู้เข้าประกวดคนไหนได้ลูกโป่งมากที่สุด  คนนั้นก็จะได้เป็นนางงามในปีนั้น  และเมื่อการลงคะแนนโดยผู้ชมผ่านพ้นไป  ปรากฏว่าคนที่ได้ตำแหน่งก็คือลูกสาวของพ่อหลวง  ซึ่งถ้าว่ากันตามสายตาจริงๆแล้ว  น้าสาวของผมนั้นสวยที่สุด  อันนี้พูดจากสายตาตัวเอง  และผู้ร่วมงานที่อยู่ใกล้ๆกันนั้นออกปากวิจารณ์  แต่สาเหตุที่ลูกของพ่อหลวงได้ตำแหน่งก็คือ  “พ่อหลวงนั้นรวย”  จึงมีเงินไปซื้อลูกโป่งได้มาก  และอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ  พ่อหลวงมีพวกมาก  เมื่อมีการลงคะแนนด้วยคนหมู่มาก  ลูกสาวของพ่อหลวงจึงได้ตำแหน่งไป

     หลังจากงานประกวดผ่านไปได้ไม่นาน  ก็มีพ่อเลี้ยงสวนมะขามที่  อ.แม่ใจ  มาสู่ขอน้าสาว  ซึ่งน้าของผมก็ตอบตกลง  แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  ทำไมพ่อเลี้ยงจึงไม่ไปขอคนที่ได้ตำแหน่งล่ะ?  จะมาขอนางงามตกรอบอย่างน้าผมทำไมกัน  ด้วยความเห็นส่วนตัวแล้วผมมองว่า  การที่คนเราจะต้องตัดสินใจทำอะไรเพื่อตัวเองสักอย่างแล้ว  สิ่งนั้นจะต้องดีที่สุดหรือตัวเราเองจะต้องพอใจที่สุด...ถูกต้องไหม  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้ามีคนหลายคนมาบอกว่า  อาหารร้านนี้อร่อยที่สุด  หรือเห็นลูกค้าเข้าร้านนี้ไม่ขาดสายเลย  แต่เมื่อเราลองไปซื้อมาชิมดูแล้วปรากฏว่า  “ไม่ถูกปาก”  เราก็เลยคิดว่าจะไม่เข้าร้านนี้อีก  ไม่ว่าเขาจะขายดีหรือจะมีคนมาเชียร์แค่ไหนก็ตาม  และถ้าเป็นในกรณีการขอสาว  ไม่ว่าใครจะมาเชียร์เราว่าสาวคนนี้สวยอย่างไร  แต่ถ้าสาวคนนั้น  “ไม่เข้าตา”  เราก็คงจะไม่ไปขอ  เหมือนอย่างที่พ่อเลี้ยงไม่ไปขอคนที่ได้ตำแหน่งนั่นแหละ  ซึ่งตรงนี้พอจะบอกได้ว่า  “คนทุกคนนั้นมีเหตุผลเพียงพอในการที่จะตัดสินใจกระทำสิ่งต่างๆเพื่อตัวเอง”  หรือพูดง่ายๆก็คือ...ต้องได้เลือก

     เมื่อเรามามองเรื่องการลงทุนในหุ้นกันบ้าง  บางครั้งหุ้นที่มีการซื้อขายคึกคัก  หรือเป็นหุ้นที่คนจำนวนมากกำลังให้ความสนใจเข้ามาลงทุนอยู่  ตัวเราเองก็เลยให้ความสำคัญเข้าไปลงทุนด้วย  แต่เราไม่ได้ดูว่า  หุ้นนั้นเหมาะกับเราหรือไม่  หรือสวยที่สุด...ดีที่สุดในสายตาของเราหรือยัง  บางทีการที่หุ้นบางตัวนั้นมีการซื้อขายคึกคัก  อาจเป็นไปได้ว่าพ่อหลวงกำลังเล่นอยู่(เพราะเขามีเงินเยอะ  และอยากให้ลูกสาวได้ตำแหน่ง)  ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง  เราจะยอมมอบลูกโป่งในมือของเราให้กับคนที่เขากำลังให้กัน  หรือเราอยากให้ลูกโป่งแก่คนที่สวยที่สุดในสายตาของเราล่ะ  ถ้าคุณให้ลูกโป่งแก่ลูกสาวของพ่อหลวง  นั่นก็แสดงว่าคุณกำลังแพ้กระแสสังคม  คุณได้สูญเสียการตัดสินใจของตัวคุณเองให้กับคนหมู่มาก  ถ้าคุณได้ตัดสินใจให้ลูกโป่งแก่คนที่คุณไม่ได้ตั้งใจเลือกเองว่าสวยที่สุดแล้ว  คุณจะเสียใจในภายหลังหรือไม่?

     บางครั้งเราอาจจะพบกับหุ้นที่เราคิดว่าดีสำหรับเรา  แต่เราสังเกตเห็นว่า  ทำไมหุ้นมันจึงไม่ค่อยมีการซื้อขายเลย  หรือว่าเราจะคาดการณ์ผิด  หรือว่าคนอื่นอาจจะไม่เห็นเหมือนอย่างที่เราเห็น  สารพัดจะคิดมาก  แต่อย่างไรเสีย  สุดท้ายเราก็ยังไม่ได้ซื้อหุ้นนั้นอยู่ดี  เพียงเพราะว่าคนอื่นไม่ได้ให้ความสนใจมัน  แต่เมื่อใดก็ตามที่หุ้นตัวนั้นเกิดวิ่งขึ้นมา  เราก็จะมานึกเสียดายว่า  เราเห็นก่อนคนอื่นแท้ๆแต่ดันไม่ซื้อ  จะให้ซื้อตอนนี้ก็ซื้อไม่ลงแล้วเพราะราคามันแพงมาก  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  คุณก็เลยไม่ได้เมียสวยๆซะที  เพราะตอนที่คุณเห็นก่อน  คุณก็ดันไม่ไปขอ  แต่พอมีคนอื่นมาขอตัดหน้าไป  คุณก็เลยต้องกินแห้วต่อไป  ว่าแต่ตอนนี้เถอะ  คุณมีคน(หุ้น)ที่อยากจะมอบลูกโป่งให้แล้วหรือยัง?


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ►•••   Natz.   •••◄ ที่ วันที่ 01 ตุลาคม 2012, 17:10:55
นางงามลูกโป่ง
     สมัยที่ผมยังเด็ก  ผมได้เห็นการประกวดนางงามประจำหมู่บ้านที่ตายายของผมอาศัยอยู่  ตอนนั้นน้าสาวของผมก็เข้าประกวดด้วย  กติกาการตัดสินก็มีอยู่ว่า  ผู้จัดงานจะขายลูกโป่งให้กับผู้ชม  และให้ผู้ชมที่ซื้อลูกโป่ง  นำไปมอบให้กับคนที่คิดว่าสวยที่สุด  ถ้าผู้เข้าประกวดคนไหนได้ลูกโป่งมากที่สุด  คนนั้นก็จะได้เป็นนางงามในปีนั้น  และเมื่อการลงคะแนนโดยผู้ชมผ่านพ้นไป  ปรากฏว่าคนที่ได้ตำแหน่งก็คือลูกสาวของพ่อหลวง  ซึ่งถ้าว่ากันตามสายตาจริงๆแล้ว  น้าสาวของผมนั้นสวยที่สุด  อันนี้พูดจากสายตาตัวเอง  และผู้ร่วมงานที่อยู่ใกล้ๆกันนั้นออกปากวิจารณ์  แต่สาเหตุที่ลูกของพ่อหลวงได้ตำแหน่งก็คือ  “พ่อหลวงนั้นรวย”  จึงมีเงินไปซื้อลูกโป่งได้มาก  และอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ  พ่อหลวงมีพวกมาก  เมื่อมีการลงคะแนนด้วยคนหมู่มาก  ลูกสาวของพ่อหลวงจึงได้ตำแหน่งไป

     หลังจากงานประกวดผ่านไปได้ไม่นาน  ก็มีพ่อเลี้ยงสวนมะขามที่  อ.แม่ใจ  มาสู่ขอน้าสาว  ซึ่งน้าของผมก็ตอบตกลง  แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  ทำไมพ่อเลี้ยงจึงไม่ไปขอคนที่ได้ตำแหน่งล่ะ?  จะมาขอนางงามตกรอบอย่างน้าผมทำไมกัน  ด้วยความเห็นส่วนตัวแล้วผมมองว่า  การที่คนเราจะต้องตัดสินใจทำอะไรเพื่อตัวเองสักอย่างแล้ว  สิ่งนั้นจะต้องดีที่สุดหรือตัวเราเองจะต้องพอใจที่สุด...ถูกต้องไหม  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้ามีคนหลายคนมาบอกว่า  อาหารร้านนี้อร่อยที่สุด  หรือเห็นลูกค้าเข้าร้านนี้ไม่ขาดสายเลย  แต่เมื่อเราลองไปซื้อมาชิมดูแล้วปรากฏว่า  “ไม่ถูกปาก”  เราก็เลยคิดว่าจะไม่เข้าร้านนี้อีก  ไม่ว่าเขาจะขายดีหรือจะมีคนมาเชียร์แค่ไหนก็ตาม  และถ้าเป็นในกรณีการขอสาว  ไม่ว่าใครจะมาเชียร์เราว่าสาวคนนี้สวยอย่างไร  แต่ถ้าสาวคนนั้น  “ไม่เข้าตา”  เราก็คงจะไม่ไปขอ  เหมือนอย่างที่พ่อเลี้ยงไม่ไปขอคนที่ได้ตำแหน่งนั่นแหละ  ซึ่งตรงนี้พอจะบอกได้ว่า  “คนทุกคนนั้นมีเหตุผลเพียงพอในการที่จะตัดสินใจกระทำสิ่งต่างๆเพื่อตัวเอง”  หรือพูดง่ายๆก็คือ...ต้องได้เลือก

     เมื่อเรามามองเรื่องการลงทุนในหุ้นกันบ้าง  บางครั้งหุ้นที่มีการซื้อขายคึกคัก  หรือเป็นหุ้นที่คนจำนวนมากกำลังให้ความสนใจเข้ามาลงทุนอยู่  ตัวเราเองก็เลยให้ความสำคัญเข้าไปลงทุนด้วย  แต่เราไม่ได้ดูว่า  หุ้นนั้นเหมาะกับเราหรือไม่  หรือสวยที่สุด...ดีที่สุดในสายตาของเราหรือยัง  บางทีการที่หุ้นบางตัวนั้นมีการซื้อขายคึกคัก  อาจเป็นไปได้ว่าพ่อหลวงกำลังเล่นอยู่(เพราะเขามีเงินเยอะ  และอยากให้ลูกสาวได้ตำแหน่ง)  ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง  เราจะยอมมอบลูกโป่งในมือของเราให้กับคนที่เขากำลังให้กัน  หรือเราอยากให้ลูกโป่งแก่คนที่สวยที่สุดในสายตาของเราล่ะ  ถ้าคุณให้ลูกโป่งแก่ลูกสาวของพ่อหลวง  นั่นก็แสดงว่าคุณกำลังแพ้กระแสสังคม  คุณได้สูญเสียการตัดสินใจของตัวคุณเองให้กับคนหมู่มาก  ถ้าคุณได้ตัดสินใจให้ลูกโป่งแก่คนที่คุณไม่ได้ตั้งใจเลือกเองว่าสวยที่สุดแล้ว  คุณจะเสียใจในภายหลังหรือไม่?

     บางครั้งเราอาจจะพบกับหุ้นที่เราคิดว่าดีสำหรับเรา  แต่เราสังเกตเห็นว่า  ทำไมหุ้นมันจึงไม่ค่อยมีการซื้อขายเลย  หรือว่าเราจะคาดการณ์ผิด  หรือว่าคนอื่นอาจจะไม่เห็นเหมือนอย่างที่เราเห็น  สารพัดจะคิดมาก  แต่อย่างไรเสีย  สุดท้ายเราก็ยังไม่ได้ซื้อนั้นอยู่ดี  เพียงเพราะว่าคนอื่นไม่ได้ให้ความสนใจมัน  แต่เมื่อใดก็ตามที่หุ้นตัวนั้นเกิดวิ่งขึ้นมา  เราก็จะมานึกเสียดายว่า  เราเห็นก่อนคนอื่นแท้ๆแต่ดันไม่ซื้อ  จะให้ซื้อตอนนี้ก็ซื้อไม่ลงแล้วเพราะราคามันแพงมาก  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  คุณก็เลยไม่ได้เมียสวยๆซะที  เพราะตอนที่คุณเห็นก่อน  คุณก็ดันไม่ไปขอ  แต่พอมีคนอื่นมาขอตัดหน้าไป  คุณก็เลยต้องกินแห้วต่อไป  ว่าแต่ตอนนี้เถอะ  คุณมีคน(หุ้น)ที่อยากจะมอบลูกโป่งให้แล้วหรือยัง?

วรรคสุดท้ายอ่านแล้วขนลุกเลยครับ โดนเข้าเต็มๆเลย  บางทีเห้น vol. แล้วน้อยมากกลัวขายไม่ออกเลยไม่กล้าซื้อ บางตัว vol. เวอร์มากแต่ไม่เข้าราคาไม่งาม ยังไงแนะนำบทความแบบนี้เยอะๆนะครับจะเข้ามาอ่านเรื่อย ๆ  เป็นแนวทางเอาเก็บไปคิด  :D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: มิสเตอร์เอฟ ที่ วันที่ 01 ตุลาคม 2012, 20:43:09
สวัสดีครับ ขออนุญาติเรียกว่าพี่วายุนะครับ ผมสมัครสมาชิกเชียงรายโฟกัส เพราะผมไปเซิร์ทความรู้ต่างๆเกี่ยวกับการลงทุน บังเอินมาเจอของพี่วายุ เป็นอะไรที่อ่านง่ายๆ เข้าใจสไตล์บ้านๆผมเป็นคนภาคกลางอายุ21 เองครับมาได้ภรรยาเป็นคนเชียงราย ค้าขายผัดไทแถวๆบ้านดู่ครับ แต่ผมสนใจเรื่องการลงทุนมาก อย่างที่ใครท่านหนึ่งว่า "ผมเล่นหุ้นตอนอายุ11 ผมว่ายังช้าเกินไป" จำคนพูดไม่ได้แล้วครับ สนใจแต่บทความ ห้าๆๆ   ขอบคุณครับสหรับความรู้ดีๆที่พี่อุตสาหะเขียนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม อ่านผ่านหลายครั้งเห็นพี่จะนัดคุยเรื่องหุ้น จะมีวันไหนอีกหรอกครับ ผมอยากไปคุยปรึกษาหาความรู้ด้วยคนนะครับ ด้วยความเคารพครับ เอฟ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 05 ตุลาคม 2012, 11:19:26
เขาเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และปัจจุบันก็ยังบอกว่ารู้สึกเสียใจที่เริ่มช้าไป!

เป็นวลีเด็ดของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ครับ (http://เขาเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และปัจจุบันก็ยังบอกว่ารู้สึกเสียใจที่เริ่มช้าไป!

เป็นวลีเด็ดของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ครับ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 05 ตุลาคม 2012, 15:44:50
ตอบคุณ  ►•••   Natz.   •••◄
     เรื่องจำนวนหุ้นหมุนเวียน(โวลุ่ม)น้อยนั้น  ตามความเห็นของผมมองว่า  มันเป็นดาบสองคมครับ  เพราะถ้าคุณบอกว่าไม่กล้าซื้อเพราะมันไม่ค่อยมีการซื้อขาย  แต่ถ้าเรามองมุมกลับอีกด้านหนึ่งจะเห็นว่า  ถ้าเวลามันจะขึ้น  มันจะขึ้นได้ง่ายกว่า  เนื่องจากว่าไม่ค่อยมีคนเข้ามายุ่งเกี่ยวกับมันมากนัก  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่สำคัญจริงๆเราควรจะ  "โฟกัส"  ที่ผลประกอบการของบริษัทจะดีกว่าครับ  เพราะถึงแม้ว่าหุ้นจะโวลุ่มเยอะ  แต่ถ้าผลประกอบการออกมาไม่ถูกใจนักลงทุนล่ะก็  เมื่อนั้นก็ศพไม่สวยครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 05 ตุลาคม 2012, 15:59:24
ตอบคุณ  มิสเตอร์เอฟ
     จะเรียกผมว่าอะไรก็ตามสะดวกครับ  และขอแสดงความยินดีด้วยที่คุณเริ่มสนใจการลงทุนเพื่ออนาคตทางการเงินของตัวเอง  อายุ  21  นี่ก็กำลังใช้ได้ครับ  เพราะท่านวัยทองก็พอๆกับคุณนั่นแหละ  แต่เขาเริ่มไปก่อนคุณแล้ว  เดี๋ยวขอแหย่ท่านวัยทองหน่อยนึงนะ...ว่าไงท่านวัยทอง  เอาพอร์ตมาโชว์เขาหน่อยสิท่าน  ช่วงนี้หน้าตามีราศีขึ้นตั้งเยอะ(พอดีหุ้นขึ้น)  กำไรไปหลายแล้ว

     ถ้าคุณมิสเตอร์เอฟอยากคุยกับผมจริงๆล่ะก็  ขอคนจริงหน่อยนะครับ  เพราะคราวที่แล้วผมประกาศนัดออกไป  ปรากฏว่าไม่มีใครมาซักคน  ผมก็พยายามทำความเข้าใจนะว่า  บางคนอาจไม่ว่าง  บางคนอาจอยู่ไกล  และตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาผมก็เลยคิดว่า  ไม่อยากจะนัดใครอีกแล้ว  เพราะบางที  เวลาอันมีค่าของท่านทั้งหลายคงจะสำคัญมากกว่าการมาเอาความรู้จากผมกระมัง  ผมก็เลยวางความรู้เอาไว้ให้ในกระทู้  รอเวลาที่ท่านทั้งหลายว่างก็เข้ามาหยิบฉวยเอาไป  มันคงง่ายกว่ากันเยอะ

     ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าจะมาได้ไหม  ผมแนะนำให้คุณไปซื้อหนังสือที่ชื่อว่า  "เหนือกว่าวอลสตรีท"  ของปีเตอร์  ลินซ์  มาอ่านก็แล้วกันนะครับ  แต่ถ้าอยากถามตอบปัญหาไขข้อข้องใจกับผมจริงๆล่ะก็  เดี๋ยวเราค่อยนัดกันอีกที  เดี๋ยวผมจะส่งเบอร์ให้ทางข้อความส่วนตัวก็แล้วกัน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ►•••   Natz.   •••◄ ที่ วันที่ 08 ตุลาคม 2012, 19:58:55
ตอบคุณ  ►•••   Natz.   •••◄
     เรื่องจำนวนหุ้นหมุนเวียน(โวลุ่ม)น้อยนั้น  ตามความเห็นของผมมองว่า  มันเป็นดาบสองคมครับ  เพราะถ้าคุณบอกว่าไม่กล้าซื้อเพราะมันไม่ค่อยมีการซื้อขาย  แต่ถ้าเรามองมุมกลับอีกด้านหนึ่งจะเห็นว่า  ถ้าเวลามันจะขึ้น  มันจะขึ้นได้ง่ายกว่า  เนื่องจากว่าไม่ค่อยมีคนเข้ามายุ่งเกี่ยวกับมันมากนัก  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่สำคัญจริงๆเราควรจะ  "โฟกัส"  ที่ผลประกอบการของบริษัทจะดีกว่าครับ  เพราะถึงแม้ว่าหุ้นจะโวลุ่มเยอะ  แต่ถ้าผลประกอบการออกมาไม่ถูกใจนักลงทุนล่ะก็  เมื่อนั้นก็ศพไม่สวยครับ

ขอบคุณครับ ยังไงจะพยายามติดตามอ่านข่าวสารเรื่อยๆครับ

วันนี้ขึ้นมารับผมก็เลยขายดูไม่หวังกำไรนะครับช่วงศึกษา  :D จะลองดูค่า comm.+VAT วันนี้ผมมีกำไรแล้ว แต่ก็รู้จักคำว่าขายหมู  :D ปิดซะ 1.15 เลย  ??? กำไร 7 บาท




หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 08 ตุลาคม 2012, 22:20:59
เกษตรกร
     ยอมรับเลยว่าวันนี้ผมเอาพอร์ตมาโชว์ครับ  เพราะว่าในชีวิตนี้ผมยังไม่เคยทำเงินได้มากขนาดนี้ด้วยการนั่งอยู่เฉยๆมาก่อนเลย  ผมว่า...ทั้งตัวผมเองและอีกหลายๆคนที่เข้ามาอ่าน  ก็คงฝันถึงวันที่เรามีตังค์เยอะๆใช่ไหม?  ถ้าดูจากกำไรในพอร์ตของผมแล้วก็จะเห็นว่า  ถ้าผมขายหุ้นที่ราคาตลาดในขณะนี้  ผมจะสามารถทำกำไรได้ถึงสองแสนบาทจากเงินลงทุนเริ่มแรกที่สามแสนบาท  เงินสองแสนบาทนี่มันมากขนาดไหนหรือสำหรับคนอย่างผมและคนทั่วๆไป  เอาง่ายๆนะครับ  ถ้าเราเป็นคนที่มีรายได้พอสมควร  และสามารถเก็บเงินได้เดือนละ  1  หมื่นบาท  เพราะฉะนั้นเราต้องใช้เวลา

ถ้าเก็บเดือนละ  1  หมื่น  ต้องเก็บ  20  เดือน  หรือเท่ากับ  1  ปีกับอีก  8  เดือน

ถ้าเก็บเดือนละ  5  พัน  ต้องเก็บ  40  เดือน  หรือเท่ากับ  3  ปีกับอีก  6  เดือน

ถ้าเก็บเดือนละ  2  พัน  ต้องเก็บ  100  เดือน  หรือเท่ากับ  8  ปีกับอีก  4  เดือน

     นี่จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับตัวผมเอง  ที่ผมสามารถมีเงินก้อนนี้เพิ่มขึ้นมาได้โดยที่ไม่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นและโดยที่ไม่ต้องเหนื่อยด้วย  เพราะในแต่ละเดือนผมจะเก็บเงินได้เพียงเดือนละ  3  พันบาทเท่านั้น  นั่นเป็นเพราะว่าผมมีรายจ่ายทางด้านอื่นอีกมากมาย  แต่สาระสำคัญที่เราจะมาพูดกันในวันนี้ไม่ใช่ว่า  “ผมทำเงินได้เท่าไหร่”  แต่ประเด็นหลักก็คือ  “ผมทำเงินได้อย่างไร”  ต่างหาก  เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นที่มาของหัวข้อเปรียบเทียบการลงทุนในวันนี้

     จากการสังเกตพฤติกรรมหรือวิธีการลงทุนของนักลงทุนในตลาดหุ้น  ผมสามารถแบ่งแยกวิธีการลงทุนออกมาได้เป็น  4  ข้อใหญ่ๆดังนี้  และผมจะเอามันมาเปรียบเทียบกับเกษตรกรก็แล้วกันนะครับ  เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพได้ง่ายขึ้น

ปลูกไม้ผลต้นใหญ่ด้วยเมล็ด  วิธีการที่ว่านี้โดยส่วนมากแล้วมักจะเป็นเจ้าของบริษัทหรือผู้ที่ร่วมกันก่อตั้งบริษัทใช้  การลงทุนประเภทนี้ลงทุนน้อยแต่ให้ผลตอบแทนมหาศาลถ้าทำสำเร็จ  แต่ยังไงเสีย  มันก็มีความเสี่ยงที่จะสูญเงินไปทั้งหมดเหมือนกันถ้าทำไม่สำเร็จ  ในช่วงเริ่มแรก  โครงการยังเป็นเพียงแค่จินตนาการเท่านั้น  เหมือนกับการที่เราได้เมล็ดพันธ์มาและหวังว่ามันจะโตเป็นต้นไม้ใหญ่นั่นแหละ  การที่จะหาคนมาร่วมทุนได้ก็ต้องมีการเชื่อใจหรือเชื่อฝีมือกัน  ถ้าเป็นคนที่มีเงินหนาหน่อยก็คงไม่เดือดร้อนที่จะเสียเงินบางส่วนไป  เพราะถ้ามันไม่สำเร็จ  เงินส่วนที่เสียไปก็ไม่ต้องคิดมาก  แต่ถ้าบริษัทที่ได้ลงทุนไป  เติบใหญ่ขึ้นจนเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ได้  ต้นไม้ใหญ่ที่เกิดจากเมล็ดพันธ์เล็กๆ  ก็จะกลายเป็นไม้ผลที่ให้ผลตอบแทน(ปันผล)ทุกปี  ปีแล้วปีเล่าจากการเติบโตขึ้นของต้นไม้นั้น  และเมื่อเขาต้องการจะขายต้นไม้นั้น  กำไรที่ได้ก็จะมหาศาล

ปลูกถั่วงอกหรือปลูกต้นกล้าขาย  วิธีนี้จะใช้กันมากในหมู่นักเก็งกำไร  กล่าวคือ  พวกเขาจะซื้อเมล็ด(บริษัท)มาปลูก  เมื่อบริษัทสามารถทำกำไรได้เพียงเล็กน้อยแล้ว  เขาก็จะขายมันทำกำไรทันทีโดยไม่ได้สนใจว่าหลังจากนี้มันจะเป็นอย่างไรต่อไป  ถ้ามันเป็นถั่วงอกมันก็สมควรทำ  เพราะวงจรชีวิตของถั่วงอกมันสั้น  มันไม่มีทางที่จะเติบโตขึ้นเป็นไม้ใหญ่ให้เก็บผลกินไปได้หลายๆปีเหมือนกับต้นไม้ใหญ่  แต่ถ้าเป็นคนที่ปลูกกล้าของต้นไม้ใหญ่ขาย  วิธีการที่เขาใช้ก็เหมือนกับคนปลูกถั่วงอกคือ  เมื่อเริ่มมีกำไรก็ขายทันที  ซึ่งมันจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากหากกล้าไม้ที่เขาขายออกไปนั้นมันสามารถโตขึ้นไปเป็นไม้ใหญ่ได้อีก  แต่ตัวเขาเองอาจจะไม่รู้ว่าต้นไม้ที่เขาปลูกคือต้นอะไร  หรือบางทีเขาอาจจะรู้ว่าต้นไม้ที่เขาปลูกอยู่นั้นมันเป็นต้นอะไร  แต่เขาไม่มีความอดทนอย่างเพียงพอเพื่อรอให้ต้นไม้นั้นเติบใหญ่จนสร้างผลตอบแทนให้เขาสูงๆอย่างทบต้นทวีคูณได้  เมื่อเขาชิงขายมันออกไปก่อน  กำไรที่ทำได้ก็เลยเหมือนกับคนที่ปลูกถั่วงอกขาย

ผู้ซื้อกล้าไม้ใหญ่มาปลูกจนโต  วิธีการของเขาก็คือ  เขาพอจะมองออกว่าต้นไม้ต้นไหนที่มันแข็งแรงและสามารถที่จะโตต่อไปได้อีกหลายๆปี  เมื่อเขาซื้อมาปลูกแล้วเขาก็จะมีความอดทนรอคอยให้มันเติบโตจนเป็นไม้ใหญ่ที่โตเต็มที่  ช่วงที่มันกำลังเล็กและเริ่มเติบโต  มันก็ให้ผลแก่เขามากินทุกปีตามความเติบโตที่มันทำได้  และเมื่อมันโตเต็มที่แล้ว  เขาอาจจะเก็บมันไว้กินผลไปเรื่อยๆหรือบางทีอาจจะขายต่อไปให้กับคนอื่นที่สนใจ  และตัวเขาเองก็จะดำเนินกระบวนการนั้นซ้ำต่อไป  อย่างไรเสีย  กำไรที่เขาทำได้จากการขายต้นไม้ที่โตแล้วไปให้กับคนอื่น  มันก็คุ้มค่าต่อความอดทนของเขาจริงๆ

ผู้ซื้อไม้ใหญ่  คนที่ซื้อต้นไม้ใหญ่ที่มั่นคงแข็งแรงอยู่แล้วนั้น  อัตราความเสี่ยงมีน้อย  เพราะว่าต้นไม้นั้นได้ผ่านการพิสูจน์จากกาลเวลามาแล้วว่าสามารถทนได้มาจนเติบใหญ่  แต่ปัญหาก็คือมันไม่สามารถโตจากที่มันเป็นอยู่ได้อีกแล้ว  หรือถ้าโตได้ก็โตขึ้นไปอีกนิดเดียว  สิ่งที่หวังได้จากการซื้อต้นไม้ที่ใหญ่อยู่แล้วนั้นก็คือ  การหวังว่ามันจะออกผลให้เขากินต่อไปนานๆ  หรือบางทีถ้ามันโตขึ้นไปได้อีกนิดหน่อยจากที่ได้ซื้อมา  เขาก็นำมันไปขายต่อเพื่อกินกำไร  วิธีนี้ก็ไม่ต่างจากคนที่ปลูกถั่วงอกหรือคนที่ปลูกกล้าขาย  เพียงแต่ว่า  เขาซื้อและขายต้นไม้ใหญ่เพียงเท่านั้นเอง  และยังมีปลีกย่อยอีกนิดหน่อย  ในกรณีที่เขาซื้อไม้ต้นเล็กมาขาย  วิธีการมันก็ไม่ต่างจากซื้อไม้ใหญ่มาขาย  มันต่างกันเพียงแค่ขนาดของไม้เท่านั้น  การได้มาซึ่งกำไรมันก็มีวิธีการที่เหมือนกัน

     เมื่อสรุปออกมาแล้ว  ผมจัดว่าผมน่าจะเป็นคนที่อยู่ในกลุ่ม  “ผู้ซื้อกล้าไม้ใหญ่มาปลูกจนโต”  สาเหตุที่ผมทำอย่างนี้ก็เพราะว่า  ผมไม่มีความสามารถในการสร้างบริษัทตั้งแต่มันยังเป็นเมล็ดพันธ์อยู่  และถึงแม้ว่าจะมีคนมาชวนผมไปลงทุนตั้งแต่บริษัทกำลังเริ่มทำธุรกิจ  ผมก็ยังไม่อยากอยู่ดี  เพราะว่าผมไม่อยากสูญเสียเงินลงทุนไป  แม้ว่ามันจะสามารถทำกำไรให้มหาศาลถ้าทำสำเร็จ  ผมขอแบบช้าแต่ชัวร์ดีกว่า  อยากให้บริษัทนั้นทำสำเร็จก่อน  ถึงจะมาซื้อทีหลังก็ยังไม่สาย  วิธีนี้จะเป็นการจำกัดความเสี่ยงได้พอสมควร  เพราะว่าเราเห็นในสิ่งที่เรากำลังจะเอามาปลูกและเราได้เลือกแล้ว  ขอเพียงแค่มีความอดทนให้มากก็พอ  และในระหว่างที่รอให้มันเติบใหญ่  เราก็ยังมีผลให้เก็บกินได้อีก  ส่วนพวกที่ปลูกถั่วงอกขายก็ได้กำไรนิดหน่อย  พอขายแล้วก็ไปหามาปลูกใหม่  เหนื่อยเหมือนกันนะนี่  ผมไม่อยากมีชีวิตแบบนี้เลย  สุดท้ายคือพวกที่ซื้อต้นไม้ใหญ่มาปลูก  ถ้าถามผมว่ามันเป็นการลงทุนที่มั่นคงไหม  ผมตอบได้เลยว่ามั่นคง  เพราะมันไม่ค่อยจะมีความเสี่ยงอะไรมากนัก  เนื่องจากว่าต้นไม้พวกนั้นได้ผ่านการพิสูจน์ตัวเองมาแล้ว  แต่ถ้าถามผมอีกว่ามันเป็นการลงทุนที่ดีไหม  ในความเห็นส่วนตัวแล้วผมมองว่า  มันไม่ใช่การลงทุนที่ดีนัก  เนื่องจากว่ามันเป็นการลงทุนที่หยุดโตแล้ว  สิ่งที่เราจะได้จากมันก็แค่ผลที่จะออกมาให้เราทุกๆปีเพียงอย่างเดียว  มันจึงไม่สามารถสร้างผลตอบแทนในด้านการเติบโตที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคตได้ดีเทียบเท่ากับต้นไม้ที่กำลังเจริญงอกงามแบบโตวันโตคืนได้เมื่อมาเทียบกับต้นทุนที่เราได้จ่ายเป็นค่าต้นไม้ไป  และเมื่อคนที่ซื้อต้นไม้ใหญ่มาปลูกกำลังต้องการเงิน  การขายต้นไม้ใหญ่ออกมามันก็จะไม่สร้างผลกำไรให้กับเขามากมาย

     สรุปสุดท้ายก็คือ

คนที่ปลูกไม้ผลต้นใหญ่ด้วยเมล็ด  มีความเสี่ยงมากที่สุด  แต่ถ้าทำสำเร็จ  จะได้รับผลตอบแทนสูงสุด

คนที่ปลูกถั่วงอกหรือปลูกต้นกล้าขาย  มีความเสี่ยงที่จะได้และเสียพอๆกัน  และเมื่อจะได้  เขาก็จะได้นิดเดียว  เพราะเขาไม่อดทนพอ

คนที่ซื้อกล้าไม้ใหญ่มาปลูกจนโต  มีความเสี่ยงปานกลาง  แต่ความเสี่ยงพวกนั้นถูกคัดกรองมาก่อนหนึ่งชั้นแล้วจากความสามารถในการคัดกรองต้นไม้ของเขาเอง  แต่ถ้าต้นไม้ที่เขาเลือกมาปลูกนั้นโตวันโตคืน  ผลตอบแทนที่เขาจะได้รับก็จะมากพอสมควรเหมือนพอร์ตของผมที่ตัวผมเองคิดว่ามันยังไม่น่าจะหยุดโต

คนที่ซื้อไม้ใหญ่  ความเสี่ยงมีน้อยมาก  แต่ผลตอบแทนก็น้อยตามไปด้วย  เนื่องจากว่าผลตอบแทนที่หวังได้จะมีแค่ผลที่จะออกมาให้ทุกๆปีเท่านั้น

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็คงจะแล้วแต่สไตล์ของแต่ละคนด้วยว่า  ให้น้ำหนักกับอะไรมากกว่ากัน  หรือว่าเราเป็นคนประเภทไหน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 12 ตุลาคม 2012, 23:06:37
ผมมีแค่นี้เองท่านวายุขายหุ้นให้ผมราคาทุนสัก100หุ้นได้มะ  กำไรทางบัญชี 10% ละ (http://ผมมีแค่นี้เองท่านวายุขายหุ้นให้ผมราคาทุนสัก100หุ้นได้มะ)



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Luke@1805 ที่ วันที่ 15 ตุลาคม 2012, 12:29:27
@ คุณวายุ
ได้อ่านบทความของคุณแล้วรู้สึกดีมากที่ได้ทราบว่ามีผู้รู้ด้านลงทุนอย่างถ่องแท้อยู่ในจังหวัดบ้านเกิดของผมด้วย  หวังว่าเราคงได้คุยแลกเปลี่ยนทัศนคติเรื่องการลงทุน อย่างสนิทสนมมากขึ้น เพื่อเป้นประโยชน์แก่ผู้สนใจทั้งหลาย...ด้วยจิตบริสุทธิ์และหวังให้คนทั่วไปได้หลุดพ้นห่วงความทุกข์แห่งความขัดสน แร้งแค้น หรือกับดักทางการเงิน(สนามแข่งหนู)

อันที่จริงบ้านเรามีคนที่มีอิสระภาพทางการเงินและนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากมาย แต่เท่าที่ผมเคยคุยด้วย...ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากแชร์วิธีการ..พวกที่อยากแชร์ส่วนใหญ่ก็มักจะทำธุรกิจ MLM

ผมอยากแชร์และนำเสนอคุณวายุในบางประเด็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องรูปแบบการลงทุน ซึ่งแม้ผมตั้งใจและมุ่งเน้นจะลงทุนโดยใช้แนวของ โยชิซากิ กล่าวคือ เน้น กระแสเงินสด มากกว่า capital gain
แต่ผมก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า แนวการการลงทุนในตลาดหุ้นก็เป้นสิ่งที่สร้างกระแสเงินสด(เงินปันผล) ได้เช่นกัน  ผมจึงสนใจลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เช่นกัน เพียงแต่รอจังหวะที่ดีเท่านั้น...เนื่องจากตอนนี้ราคาหุ้นดีๆ ที่สามารถทำ VI ได้ขึ้นสูงจนเรียกว่า ถ้าจะหวังแค่กระแสเงินสด ก็คงไม่คุ้มแน่  หรือถ้าจะหวังทำกำไรจากการขายหุ้น(capital gain) ผมก็รู้สึกว่าเป้นการขัดแย้งกับหลักการของกระแสเงินสด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมได้เคยเล่นเกมส์กระแสเงินสดมาแล้ว และผมก็ไม่สามารถหลุดพ้นสนามแข่งหนูได้ ก็เพราะหวังกำไรจาก capital gain  นั่นแหละครับ สรุปคือ"แม้ผมจะมีเงินสะสมจำนวนมากแต่ผมก้ต้องเสียเวลาในการหาสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดกระแสเงินสดใหม่อยู่ดี"

แม้นั่นจะเป้นแค่เกมส์ แต่ก็สามารถสะท้อนความเป็นจริงได้เช่นกัน กล่าวคือหากผมทำกำไรโดยการขายต่อ แม้ผมจะมีรายได้หรือกำไร และเงินสด แต่ผมก็ขาดกระแสเงินสดที่จะใช้รายเดือน ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงที่ไม่มีสินทรัพย์ที่ไว้ทำกำไรจากการขายต่อนั้น กระแสเงินสดก็ไม่มีและต้องควักทุนเดิมอยู่ร่ำไป

หวังว่าคุณวายุจะมีมุมมองดีๆแนะนำให้ผมครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 15 ตุลาคม 2012, 17:00:35
ตอบคุณ  Luke@1805
     จริงๆแล้วผมก็เป็นแฟนพันธุ์แท้ของโรเบิร์ตเหมือนกันครับ  แต่ทีนี้จากการอ่านและวิเคราะห์แนวทางของโรเบิร์ต  ผมประเมินได้ว่า  เขาเป็นนักลงทุนมืออาชีพในอสังหาฯครับ  ถ้าคุณจับเนื้อหาและประเด็นที่เขาเขียนได้  คุณจะพบว่าเขามีความรู้ขั้นสูงมากในธุรกิจอสังหา  แต่เขาเป็นคนที่รู้น้อยมากในเรื่องหุ้น  ถ้าไม่เชื่อ...คุณลองอ่านและวิเคราะห์ข้อเขียนของเขาดูนะครับว่า  ในหนังสือแต่ละเล่มของเขามีเนื่อหาเกี่ยวกับหุ้นอยู่กี่เปอร์เซ็นต์  และเนื้อหาพวกนั้นบอกเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นลึกแค่ไหน  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ไม่ได้ดูถูกเขานะครับ  เพราะหนังสือของเขาเป็นผู้จุดประกายในการให้ความสำคัญเกี่ยวกับการลงทุนของผมและอีกหลายๆคนในโลก  แต่ทีนี้ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  กติกาของอสังหาและหุ้นนั้นไม่เหมือนกัน  เมื่อคุณลงทุนในอสังหา  สิ่งที่สำคัญและเป็นหัวใจหลักก็คือ  "กระแสเงินสด"  ส่วนราคาที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นแค่ปัจจัยรองเท่านั้น  หรือที่ตัวเขาเองเรียกว่าน้ำจิ้ม  เนื่องจากว่าถ้าเป็นอสังหา  สภาพคล่องมันจะต่ำกว่าหุ้น  แต่ถ้าเป็นหุ้น  กติกามันกลับกลายเป็นว่า  คุณต้องหาหุ้นที่ราคามันควรจะเพิ่มสูงขึ้น  และเงินปันผลควรจะเป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น

     ลองคิดตามผมนะครับ  ถ้าคุณซื้อบ้านหนึ่งหลังเพื่อให้เช่า  และถ้าสมมุติว่าบ้านหลังนั้นตั้งอยู่ใกล้กับห้าง  คุณคิดว่าอีกกี่ปีห้างแห่งนั้นถึงจะเจ๊งหรือย้ายที่ครับ?  มันคงนานมากใช่ไหม  กว่าที่อะไรๆมันจะเปลี่ยนแปลง  และถึงแม้ว่าจะมีห้างมาเปิดใหม่อีกที่หนึ่ง  ราคาบ้านของเราก็จะไม่ถูกกระทบครับ  ในทางกลับกัน  ราคาบ้านมันควรจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำเนื่องจากว่า  มีความเจริญเพิ่มมากขึ้น  เพราะฉะนั้นแล้ว  ค่าเช่าและราคาบ้านจึงเป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างมั่นคงแข็งแกร่ง  แต่ถ้าเป็นหุ้น  คุณกำลังลงทุนในธุรกิจอยู่นะครับ  ถ้าบริษัทนั้นกำลังเติบโตได้อย่างโดดเด่นอย่างที่ไม่สามารถหาใครเทียบได้  หุ้นนั้นก็จะพุ่งขึ้นเป็นจรวด  แต่เมื่อใดก็ตามที่คู่แข่งปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับแผนธุรกิจที่จะมาฆ่าเรา  เมื่อถึงเวลานั้น  ความเปลี่ยนแปลงหรือความไม่แน่นอนก็จะเกิดขึ้นทันที  ดังนั้น...ถ้าเราหวังว่าอยากจะได้เงินปันผลไปเรื่อยๆตลอดชีวิตโดยที่เงินปันผลนั้นเพิ่มขึ้นตลอดเวลานั้นมันหวังยากครับ  ความเห็นส่วนตัวของผมในการลงทุนในหุ้นก็คือ  ราคาหุ้นเป็นเรื่องหลัก  และเงินปันผลเป็นน้ำจิ้มครับ  เพราะวงจรชีวิตของธุรกิจมันไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า  วันหนึ่งมันก็จะโตได้ช้าลง  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องซื้อขายหุ้นอยู่ตลอดเวลานะครับ  เพียงแต่ว่า  ถ้ามันมีเหตุการณ์อะไรเปลี่ยนแปลงในโลกแห่งการแข่งขันทางธุรกิจ  เราก็ต้องประเมินอีกทีว่า  บริษัทเราจะชนะได้หรือไม่  ถ้าบริษัทที่เราเลือก  ไม่มีจุดแข็งอะไรที่ดีพอ  คู่แข่งก็จะฆ่าเราได้ครับ  เพราะฉะนั้น  ความรู้ในการมองธุรกิจ  จึงแตกต่างจากความรู้ในการมองทำเลในธุรกิจอสังหาครับ

     ถ้าจะให้ผมยกตัวอย่างการลงทุนของผม  สาเหตุที่ผมเลือกลงทุนใน  7-11  ก็เพราะ  ทุกวันนี้เขาเป็นเบอร์หนึ่งในไทย  และยังไม่มีใครตามเขาทัน  และถ้ามองให้ลึกก็จะเห็นว่า  สินค้าที่ทำกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำให้กับเขาก็คืออาหารพร้อมทานเช่น  ขนมปัง  ซาลาเปา  เบอร์เกอร์  ข้าวกล่อง  ฯลฯ  ครับ  ซึ่งสินค้าของเขาผมลองชิมดูแล้วปรากฏว่ารสชาติดีทีเดียว  แต่เรื่องรสชาติแค่อย่างเดียวมันยังไม่พอครับ  เพราะถ้าใครมีเงินมันก็สามารถซื้อได้  ถ้าสมมุติว่ามีการซื้อตัวเชฟที่ทำงานอยู่ที่  7-11  ไปโดยให้เงินเดือนที่สูงกว่า  และเมื่อนั้นรสชาติของคู่แข่งมันก็จะเหมือนกับ  7-11  ถูกต้องไหม?  แต่ผมมองลึกไปอีกชั้นหนึ่งคือ  7-11  มีบริษัทแม่คือ  CPF  ครับ  ดังนั้นเรื่องต้นทุนวัตถุดิบของ  7-11  จะได้ราคาถูกกว่าคู่แข่ง  เพราะเขาเลี้ยงสัตว์เอง  ปลูกข้าวเองครับ  ซึ่งตรงนี้ไม่ว่าคู่แข่งที่เป็นมินิมาร์ทเจ้าไหนก็ยังทำไม่ได้ครับ  เมื่อผมมองอย่างนี้แล้ว  ผมจึงกล้าถือหุ้นเขาไว้ได้นานๆโดยไม่ต้องกังวลมากนัก  เพราะจุดแข็งตรงนี้ทำให้เขาได้เปรียบในการแข่งขันครับ  แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาไม่รู้ว่าจะเอา  7-11  ไปตั้งไว้ตรงจุดไหนของประเทศแล้ว  เมื่อนั้นงานเลี้ยงก็ต้องเลิกราครับ  เราควรจะขายหุ้นและหอบเงินก้อนโตออกไปจากตลาด  เพื่อรอจังหวะในการเข้าลงทุนหุ้นตัวที่น่าสนใจต่อไป  ซึ่งถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่เลือกรับแต่เงินปันผลแล้ว  คุณต้องใช้เวลากี่ปีเพื่อให้ได้เงินเท่ากับกำไรที่ทำได้จากราคาหุ้น  หรือถ้าเรายังหาหุ้นตัวที่เหมาะแก่การลงทุนไม่ได้  เราก็ถือรับปันผลไปเรื่อยๆก็ไม่เสียหายแต่อย่างใด

     กติกาในหุ้นไม่มีอะไรยากครับ  เราแค่ต้องรู้ว่าบริษัทไหนที่จะทำกำไรเพิ่มได้อีก  เพราะราคาหุ้นกับกำไรที่บริษัททำได้มักจะไปด้วยกัน  แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  ถ้าเป็นกีฬาฟุตบอล  กติกาบอกไว้ว่า  ใครทำประตูได้มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะ  ซึ่งตรงนี้เข้าใจง่ายครับ  แต่วิธีการที่จะทำประตูจากคู่ต่อสู้นั้นไม่ง่ายเลย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 18 ตุลาคม 2012, 22:23:58
ผมไปเจอมาในเว็บพันทิพ ผมอ่านดูแล้วมันก็ใช่จริงๆ แพงวันนี้ แต่ถูกในหลายปีข้างหน้า

ไม่ได้เข้ามาชักชวนให้ซื้อนะครับ แค่อยากให้เห็นแนวทางความคิดเฉยๆ ผมว่าน่าจะมีประโยชน์ (http://ผมไปเจอมาในเว็บพันทิพ ผมอ่านดูแล้วมันก็ใช่จริงๆ แพงวันนี้ แต่ถูกในหลายปีข้างหน้า)

อ้างถึง
นอกจาก CPALL  แล้ว .. ยังมีหุ้นตัวไหนอีกบ้าง ที่คุณคิดว่า "แพงเกินไป" ในความรู้สึกของคุณ .. แต่ราคามันก็ "พุ่งขึ้น" ไปเรื่อย ๆ ..

คือ มันไม่เคย "ถูก" ในความรู้สึกของคุณ .. ไม่ว่าจะวิเคราะห์งบการเงิน ลักษณะของธุรกิจ หรือ ค่า Ratio ต่าง  ๆ ..

คือ ไม่ว่าเราจะวิเคราะห์ หรือ มองมุมไหน เราก็รู้สึกว่าหุ้นตัวนี้ "แพง"  อยู่ตลอดเวลา ..

ถ้าราคาที่เราคิดว่ามัน "แพง "  แล้วบริษัทมัน "ห่วย"  อย่างนี้ก็ยังรับได้ ..

แต่นี่ เราว่าราคามัน แพง แล้ว .. แต่ราคามันดัน "พุ่งขึ้น" เรื่อย ๆ  เพราะบริษัทมัน "ดีมาก ๆ" .. (ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า จะดีแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน)

คือ ราคามัน "พุ่ง" ขึ้นมากจนคุณรู้สึกว่า .. ถ้าคุณซื้อตั้งแต่ตอนที่คุณรู้สึกว่าหุ้นตัวนี้ แพง "ตั้งแต่ครั้งแรก" ..

แล้วถือมาจนตอนนี้ .. ป่านนี้ คุณก็กลายเป็นเศรษฐีใหม่ไปแล้ว ..

แต่ถึงแม้ว่า หุ้น ตัวไหน จะดีมาก ๆ แค่ไหน และ ราคาเพิ่มขึ้น อย่างมากแค่ไหน .. คุณก็ไม่เคยคิดจะซื้อ ..

เพราะคุณรู้สึกว่า .. หุ้นตัวนี้ "แพง"  อยู่ตลอดเวลา ..

ทางเดียวที่คุณจะซื้อหุ้นตัวนี้ได้ .. ต้องรอ "วิกฤติ"  เท่านั้น ..

ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า  "วิกฤติ"  จะมาถึงเมื่อไหร่ .. แล้วเมื่อถึงตอนนั้น .. ราคามันจะ "ถูก"  กว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นจริง ๆ หรอ ..

นอกจาก CPALL  แล้ว .. ในความคิดของคุณ ยังมีหุ้นตัวไหนอีกบ้างครับ ???


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 22 ตุลาคม 2012, 02:23:39
ตราสารอนุพันธ์  การพนันที่ถูกกฎหมาย
     บทความนี้จริงๆแล้วล่อแหลมมาก  ผมคิดอยู่ตั้งนานว่าจะเอามันลงดีหรือไม่  เพราะมุมมองและความคิดเห็นของผมออกจะไม่เหมือนชาวบ้านอยู่สักหน่อย  แต่ในเมื่อเราได้พูดกันถึงเรื่องหุ้นมาเยอะแล้ว  สิ่งที่เป็นการลงทุนอีกชนิดหนึ่งคือก็ตราสารอนุพันธ์นี่เอง

     จากมุมมองของผมเองแล้วผมเห็นว่า  ทุกการลงทุนล้วนมีความเสี่ยงด้วยกันทั้งสิ้น  มากบ้างน้อยบ้างก็ว่ากันไป  ถ้าเป็นแบบความเสี่ยงต่ำๆก็เห็นจะมีเงินฝากและสลากออมสิน  ความเสี่ยงที่ว่านี้ก็คือการที่ผลตอบแทนอาจไม่ชนะเงินเฟ้อแต่เงินต้นยังอยู่ครบ  การลงทุนที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาเป็นระดับกลางๆก็ได้แก่  ตราสารหนี้  เพราะการลงทุนชนิดนี้มีความเสี่ยงว่าเงินต้นอาจจะถูกกินไปบ้างถ้ามีเหตุการณ์ต่างๆมากระทบ  ส่วนการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงก็เช่นหุ้นทุน  เพราะถ้าเราเลือกบริษัทไม่ดีแล้ว  มีโอกาสสูงที่เราจะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดไป  บางทีเราอาจจะไม่ได้เสียทั้งหมด  แต่มันก็จะทำให้เราเข็ดจนไม่กล้านึกถึงหุ้นอีกเลย  และสำหรับการลงทุนประเภทสุดท้ายก็คือ  การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมาก  นั่นก็คือตราสารอนุพันธ์ชนิดต่างๆ  (TFEX)

     ทำไมผมถึงได้บอกว่าตราสารอนุพันธ์มีความเสี่ยงสูงมาก  เหตุผลก็เพราะ  ด้วยเหตุที่ว่าถ้าเราลองมองลงไปให้ลึกถึงรายละเอียดของการลงทุนในแต่ละประเภทจะเห็นได้ว่า

ถ้าเป็นเงินฝาก  เราจะฝากเงินเท่าไหร่หรือนานแค่ไหน  ธนาคารก็ไม่อาจปฏิเสธความต้องการของเราได้  ความเสี่ยงที่เราต้องเผชิญก็แค่การได้ดอกเบี้ยในอัตราที่เราไม่สามารถกำหนดเองได้ก็เท่านั้น  ซึ่งถ้าเราไม่พอใจในอัตราผลตอบแทน  เราก็สามารถยกเลิกการฝากเงินของเราได้ตลอดเวลา

ถ้าเป็นสลากออมสิน  ไม่มีการกำหนดว่าจะต้องฝากเท่าไหร่  และอัตราดอกเบี้ยที่เราจะได้รับก็ค่อนข้างแน่นอน  เนื่องจากจะมีการทำสัญญากันไว้ก่อนเลยว่า  เมื่อสลากหมดอายุแล้วเราจะได้ดอกเบี้ยเท่าไหร่ต่อหน่วย  แต่ธนาคารจะกำหนดระยะเวลาในการไถ่ถอน  ซึ่งถ้าเราพอใจที่จะลงทุนต่อ  เราก็แค่ขายการลงทุนที่หมดอายุแล้ว  และซื้อการลงทุนใหม่ต่อไป

ถ้าเป็นตราสารหนี้  การลงทุนประเภทนี้ต้องใช้ความรู้บ้างเล็กน้อย  โดยที่ตัวผู้ลงทุนเองต้องศึกษาว่า  ปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลกระทบต่อการขึ้น-ลงของราคาตราสาร  และตัวผู้ออกตราสารเหล่านั้นมีความมั่นคงแค่ไหน  ซึ่งถ้าเรามีความรู้ดีพอ  เราจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึงสองเด้ง  เด้งแรกคือราคาตราสารที่เพิ่มขึ้น  และเด้งที่สองคือผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยจากผู้ออกตราสารเหล่านั้น

ถ้าเป็นหุ้นทุน  การลงทุนประเภทนี้ต้องใช้ความรู้ในขั้นสูง  ไม่ว่าจะเป็นความรู้ทางการเงิน(อ่านงบการเงินได้)  และความรู้เชิงธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ  ถ้าเราเลือกหุ้นได้ถูกตัวแล้ว  ผลตอบแทนที่ได้ก็จะงดงามมาก  แต่ถ้าเราวิเคราะห์ไม่ขาดและผลออกมาเป็นด้านลบอย่างรุนแรง  เราก็อาจจะสูญเสียเงินลงทุนไปเป็นจำนวนมาก  แต่อย่างไรเสีย  ความสูญเสียที่เกิดขึ้น  มันก็เท่ากับจำนวนเงินที่เราได้ลงทุนไปแล้วเท่านั้นเอง

ถ้าเป็นตราสารอนุพันธ์  ผมไม่อยากใช้คำว่าลงทุนกับการลงทุนประเภทนี้เลย  เพราะไม่มีศาสตร์ไหนที่เข้าใจได้สามารถนำมาใช้กับการลงทุนประเภทนี้ได้นอกจากเทคนิคเคิลและจิตวิทยา  การลงทุนประเภทนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณหมดเงินก้อนที่ลงไปในตอนแรกเท่านั้น  แต่ถ้าคุณคาดการณ์เกี่ยวกับการแกว่งตัวของดัชนี(หุ้น  ทองคำ  น้ำมัน  ค่าเงิน  สินค้าการเกษตร)ในทิศทางที่ผิด  คุณยังจะโดนเรียกเก็บเงินเพิ่มเพื่อไปวางเป็นประกันอีก  นี่มันเท่ากับว่า  คุณ  “ติดลบ”  ด้วยซ้ำ  เพราะถ้าเป็นหุ้น  การสูญเสียของคุณมันก็จะจำกัดแค่เงินที่คุณได้ลงทุนไปแล้วเท่านั้น  แต่ตราสารอนุพันธ์มันสามารถทำให้คุณต้องวิ่งหาเงินก้อนใหม่มาเติม  มิเช่นนั้นแล้ว  คุณก็จะถูกบังคับให้ปิดสถานะโดยที่ตัวคุณเองอาจจะยังไม่อยากทำ  เพียงเพราะว่าคุณไม่สามารถหาเงินไปเติมได้  และในทางกลับกัน  ถ้าคุณคาดการณ์ได้ถูกต้อง  และคุณก็ต้องการผลตอบแทนมากๆ  วิธีหนึ่งที่น่าจะใช้ได้ดีก็คือถือยาว  ถ้าเป็นหุ้น  ไม่มีใครหน้าไหนที่จะมาบังคับให้คุณขายการลงทุนที่ดีได้ถ้าคุณไม่อยากทำ  แต่ในตราสารอนุพันธ์นั้น  ตราสารพวกนี้จะหมดอายุทุกๆ  3  เดือน  ซึ่งนั่นก็หมายความว่า  ถึงแม้ว่าคุณยังไม่อยากหยุดกำไรไว้มากแค่ไหนก็ตาม  แต่เมื่อตราสารเหล่านั้นหมดอายุลง  คุณก็ต้องปิดสถานะ  และนั่น...ก็เป็นการจำกัดกำไรที่คุณควรจะทำได้ลงไป  แต่ถ้าคุณยังคาดว่ามันจะต้องไปต่อในทิศทางที่คุณคิดไว้  คุณก็ต้องเปิดสถานะตราสารขึ้นมาใหม่  และนั่นก็หมายถึง  ค่าใช้จ่ายจากการทำธุรกรรมพวกนั้น  และถ้าเราลองสังเกตให้ดีจะพบว่า  เงินที่เราลงทุนไปกับตราสารอนุพันธ์เหล่านั้น  มันไปอยู่ในมือใคร  ถ้าจะให้พูดตรงๆก็คือเจ้ามือนั่นเอง  เจ้ามือก็คือหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลเกี่ยวกับการซื้อ-ขายตราสารอนุพันธ์พวกนี้  สิ่งที่เจ้ามือทำก็คือ  หมุนเงินในระบบการซื้อขายให้กับคนที่เข้ามาเล่น  โดยการเอาเงินไปให้กับคนทายถูก  และหักเงินจากคนทายผิด  ซึ่งวิธีการที่ว่านี้  ตามความเห็นของผมเองแล้วรู้สึกว่า  ถ้าแม้นคนที่ลงทุนซื้อหุ้นจะมีความเสี่ยง  แต่ความเสี่ยงที่ว่านั้นก็ยังมีประโยชน์  ทำให้บริษัทขนาดเล็กหรือบริษัทที่ขาดเงินทุนได้เติบโตขึ้นไปได้จากเงินที่ระดมได้จากประชาชน  ซึ่งนั่นก็หมายถึงโอกาสในการพัฒนาประเทศถ้าบริษัทเหล่านี้ได้เติบโตขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงานหรือการส่งออกสินค้าเพื่อนำเงินตราจากต่างประเทศเข้ามา  ผมก็เลยคิดว่า  ตราสารอนุพันธ์พวกนี้มีประโยชน์อะไรบ้างกับระบบเศรษฐกิจของประเทศ  นอกจากจะเป็นการพนันเท่านั้น


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 26 ตุลาคม 2012, 02:22:06
การ์ตูน  3  G


http://hilight.kapook.com/view/77405


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 27 ตุลาคม 2012, 20:04:20
มาอ่านข่าวพ่อรวยกันหน่อย

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=meowlady&month=12-10-2012&group=30&gblog=5

http://byowen.wordpress.com/2012/10/16/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95-%E0%B8%84%E0%B8%B4/

http://www.cway-investment.com/2012/10/blog-post_14.html

โปรดใช้วิจารณญานในการย่อยข้อมูล


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Homuncruz ที่ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2012, 01:49:13
อยากรู้รายละเอียดเหมือนกันคับ พอจะมีข้อมูลลให้ศึกษาไหม ?


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2012, 02:50:59
ขออภัยที่หายไปนาน

     ช่วงนี้แม่ผมมาเที่ยวหาครับ  ก็เลยไม่ได้เอาข้อมูลมาลง  เพราะกว่าที่บทความใดๆของผมจะออกมาวางในกระทู้นี้ได้  ต้องผ่านการคิดอย่างรอบคอบจากผมแล้วว่ามันถูกต้องหรือเป็นความเห็นที่ดี(ในมุมมองของผมเอง)  เพราะฉะนั้นแล้ว  สมาธิสำคัญที่สุดครับ  เวลาที่ผมจะพิมพ์บทความสักบทหนึ่ง  มันจะต้องใช้อารมณ์  ใช้ความเงียบ  และต้องใช้สมองเพื่อกลั่นกรองเนื้อหาเป็นอย่างมาก  แต่พอแม่ผมมาหา  ผมก็เลยต้องใช้ความพยายามในการดูแลแม่ผม  เนื่องจากแม่ผมป่วยอยู่  สมาธิและเวลามันก็เลยมีไม่เพียงพอที่จะพิมพ์บทความใดๆได้  ถ้าแม่ผมกลับไปรักษาตัวที่บ้านแม่ผมเมื่อไหร่  ผมคงจะพิมพ์บทความที่ผมเห็นว่าเข้าท่าเอามาลงอีกนะครับ

     สำหรับคำถามของคุณ  Homuncruz  ผมไม่แน่ใจว่าที่ถามมาหมายถึงอะไร  แต่ถ้าต้องการรู้เกี่ยวกับหลักการลงทุนในหุ้นแล้ว  ผมว่าคุณควรจะเริ่มที่หนังสือระดับโลกที่เข้าใจง่ายเล่มนี้ก่อนนะครับ  และถ้าคุณอ่านไม่เข้าใจ  คุณก็ควรที่จะอ่านมันซ้ำหลายๆเที่ยวจนคุณเข้าใจนะครับ  เพราะผมก็อ่านเล่มนี้มาเกือบจะสิบรอบแล้ว  และทุกครั้งที่อ่าน  ผมก็มักจะพบเนื้อหาหรือมุมมองใหม่ๆเสมอ  ทั้งๆที่หนังสือก็เล่มเดิม


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: atzcret ที่ วันที่ 09 ธันวาคม 2012, 13:49:23
เห็นภาพเลยคะ
ขอบคุณคะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: kraiws ที่ วันที่ 23 ธันวาคม 2012, 22:42:24
ใครมี GUNKUL WORK บ้างครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 24 ธันวาคม 2012, 20:56:36
ใครมี GUNKUL WORK บ้างครับ


ถามทำไมหรือครับ?  ถ้ามีอะไรดีในหุ้นทั้งสองตัวนี้  ท่านก็บอกมาได้เลย...อย่าช้า


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: kraiws ที่ วันที่ 24 ธันวาคม 2012, 22:50:37
ทั้งFUNDA และ กราฟ ดีทั้งคู่ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: kraiws ที่ วันที่ 24 ธันวาคม 2012, 22:53:02
แต่ราคามันวิ่งไปแล้วนะครับ ถามเฉยๆ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: kraiws ที่ วันที่ 24 ธันวาคม 2012, 22:58:02
GUNGUL กลางๆ ปีหน้า คงเห็น 40 -45 บาท
WORK 65 บาท
อย่างต่ำๆ นะ ถึงแหละ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 25 ธันวาคม 2012, 15:26:11
GUNGUL กลางๆ ปีหน้า คงเห็น 40 -45 บาท
WORK 65 บาท
อย่างต่ำๆ นะ ถึงแหละ

อะไรที่ทำให้คุณมั่นใจว่ามันจะไปที่ราคานั้นครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: แมงมุม ที่ วันที่ 31 ธันวาคม 2012, 23:02:58
ปีนี้ถ้าโบนัสออก ตั้งใจจะเก็บ AIS DTAC กะ TRUE ไว้อย่างละ เท่าๆกัน

เพราะดูจากการประมูลที่ได้ รายได้จะเพิ่มขึ้น ประกอบกับ ต้นทุนค่าบริการจะต่ำลงมากเนื่องจากเปลี่ยนจากสัมปทานมาเป็ยใบอนุญาต


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: btland07 ที่ วันที่ 04 มกราคม 2013, 05:53:59
ลองเล่นกองทุนรวม SCBSFF ตราสารหนี้ ตัวนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: btland07 ที่ วันที่ 05 มกราคม 2013, 06:16:34
วันจันทร์ผมจะซื้อระหว่าง scbsff กับ  scbtmf ตัวไหนให้ผลตอบแทนดีกว่ากันครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 05 มกราคม 2013, 21:31:18
วันจันทร์ผมจะซื้อระหว่าง scbsff กับ  scbtmf ตัวไหนให้ผลตอบแทนดีกว่ากันครับ

ขออภัยด้วย  ผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องตราสารหนี้หรือกองทุนน่ะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 05 มกราคม 2013, 21:39:16
ปีนี้ถ้าโบนัสออก ตั้งใจจะเก็บ AIS DTAC กะ TRUE ไว้อย่างละ เท่าๆกัน

เพราะดูจากการประมูลที่ได้ รายได้จะเพิ่มขึ้น ประกอบกับ ต้นทุนค่าบริการจะต่ำลงมากเนื่องจากเปลี่ยนจากสัมปทานมาเป็ยใบอนุญาต

     ดู  JAS ไว้ด้วยก็ดีนะครับ  เพราะเมื่อหลายวันก่อน  ผมเห็นคนของ  3BB  มาติด  WIFI  ที่ปากซอยบ้านผม  ผมก็ขอรายละเอียดจากเขา  เขาก็ให้ใบโบรชัวร์มา  และผมก็ค้นพบว่า  ตอนนี้  JAS  กำลังจะรุ่งครับ  เพราะมือถือในบ้านเรามีทั้งหมด  3  ค่าย  แต่  ADVANCE  กับ  DTAC  เลือกที่จะเป็นพันธมิตรกับ  JAS  ครับ  ADVANCE  กับ  DTAC  นั้นไม่ได้ติดตั้งข่าย  WIFI  เอง  แต่เขาเลือกที่จะเช่าเอาจาก  JAS  ครับ  สำหรับมุมมองของผมก็เห็นว่าดีนะครับสำหรับ  ADVANCE  กับ  DTAC  เพราะว่าเขาจะได้ไม่ต้องใช้เงินลงทุนเอง  ไม่เหมือนกับ  TRUE  ที่ลงทุนเองทุกอย่าง  เมื่อมองอย่างนี้แล้วมันก็ดูเหมือนจะ  วิน  วิน  ครับ  เพราะ  ADVANCE  กับ  DTAC  ไม่ต้องเสียเงินลงทุนเอง  และ  JAS  ก็ได้ลูกค้าของทั้งสองค่ายนี้ด้วย  และก็อย่างที่เรารู้กัน  ADVANCE  กับ  DTAC  มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นเบอร์หนึ่งและเบอร์สองของไทยน่ะครับ  ผมก็กำลังมอง  JAS  อยู่ครับ  รอให้ราคาต่ำกว่า  5  บาทก่อน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 05 มกราคม 2013, 21:45:14
ถึงทุกท่าน
     จริงๆแล้วผมมีเรื่องราวต่างๆที่จะพิมพ์มากมาย  แต่เนื่องจากทุกวันนี้  ความเป็นส่วนตัวของผมได้ลดน้อยลงไปมาก  จึงทำให้ไม่ค่อยได้มีช่วงเวลาที่สงบเงียบเพียงพอที่จะเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆที่อยู่ในหัวออกมาได้อย่างสละสลวย  ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่ผมจะไม่ต้องคิดถึงมันว่า  ผมมีทำหน้าที่บางอย่างที่จะต้องให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องการลงทุนแก่ทุกท่านที่สนใจ  บางทีการที่ผมไม่ต้องคิดถึงมัน  ชีวิตผมอาจจะมีความสุขมากกว่า  แต่อย่างไรเสียในท้ายที่สุดนี้  ผมอยากจะสรุปเป็นเนื้อหาการลงทุนในแบบฉบับของตัวผมเอง  ซึ่งคนอื่นอาจจะไม่เห็นด้วย  หรือบางทีคนอื่นอาจจะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้  หรือคิดว่าเสี่ยงเกินไป  หรือว่าทำตามได้ยาก  นั่นก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละท่าน  อันนี้มันก็ห้ามกันไม่ได้

     การลงทุนเพื่อให้ประสบความสำเร็จ  มันก็ไม่ได้มีเพียงเส้นทางเดียวหรือวิธีเดียว  ดุจดั่งเช่นการเดินทางจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง  เราอาจจะเลือกใช้พาหนะที่ต่างกัน  แต่สุดท้ายแล้วเราก็คงจะไปถึงจุดหมายเหมือนกัน  เพียงแต่ว่าระยะเวลาอาจจะไม่เท่ากัน  เพราะถ้าผมเดินทางโดยเครื่องบิน  ผมอาจจะถึงเร็วกว่าวิธีอื่น  แต่ถ้าเครื่องบินตก  ผมก็จะไปไม่ถึงจุดหมาย  แต่ตัวผมเองยอมเสี่ยงด้วยวิธีดังกล่าว  เพราะผมไม่ชอบเดินเท้าและไม่ชอบแวะบ่อยๆ  ซึ่งความเสี่ยงในการไปทางเครื่องบินนี้  เราก็สามารถที่จะลดมันลงได้ด้วยการตรวจเช็คเครื่องให้ดีว่า  เครื่องที่จะพาเราเดินทางไปนั้น  มีสภาพดีไว้ใจได้เพียงใด  และถ้าเราไว้ใจในเครื่องที่จะเป็นพาหนะของเราแล้ว  มันจำเป็นหรือไม่ที่เราจะต้องกระจายการเดินทางไปในหลากหลายพาหนะเพื่อให้เราถึงจุดหมาย  คำตอบสำหรับตัวผมแล้ว  “ไม่จำเป็น”  เราจะเดินเท้า  ขึ้นรถ  ลงเรือ  ขึ้นเครื่องบิน  สลับกันไปมาเพื่อที่จะไปให้ถึงจุดหมายกันทำไมเล่า  ทำไมเราจึงไม่ขึ้นเครื่องบินเสียตั้งแต่ทีแรก  แล้วนั่งมันยาวไปจนถึงที่หมายเลย  เราจะพยายามเปลี่ยนพาหนะบ่อยๆเพื่อลดความเสี่ยงในการนั่งเครื่องบินนานๆอย่างนั้นหรือ?  สำหรับผมแล้ว  นั่นมันเป็นเหตุผลที่ไร้สาระมาก  แต่ถ้าเราไม่สามารถหาเครื่องบินที่ดีมานั่งได้  และเราพยายามจะไปด้วยวิธีอื่น  อันนี้มันก็พอจะเป็นเหตุผลที่ดี  เพราะฉะนั้นแล้ว  คำแนะนำสำหรับการเลือกพาหนะนี้ก็คือ  พยายามเลือกมันให้ดีที่สุด  แล้วก็อดทนให้มันพาเราไปให้ไกลที่สุดเท่าที่ความสามารถของมันจะมี  การซื้อหุ้นที่ดีเพียงไม่กี่ตัวที่เรารู้จักมันอย่างลึกซึ้ง  สามารถลดความเสี่ยงได้ดียิ่งกว่าการซื้อหุ้นหลายๆตัวที่เราไม่ได้รู้จักมันอย่างดีเพียงพอ  คำเสียดสีที่ดูเหมือนจะรุนแรงได้กล่าวไว้ว่า  สาเหตุที่กลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงนี้เป็นที่นิยมก็เพราะว่าความง่ายของมัน  ซึ่งแม้แต่โบรกเกอร์เองก็ยังเข้าใจ

สิ่งสำคัญ
     ทุกวันนี้เวลาเป็นสิ่งมีค่า  ยิ่งเวลาเดินไปมากเท่าไหร่  เวลาก็ยิ่งมีความสำคัญต่อเรามากขึ้น  สำหรับผมแล้ว  การมีเวลาเหลือเพื่อไปทำอะไรตามที่ใจต้องการ  เป็นสิ่งที่ดีที่สุด  เพราะถึงแม้ว่าเราจะมีเงินมากเท่าไหร่  เราก็หาซื้อเวลามาใช้ไม่ได้  และเมื่อผมลงทุน  ผมก็ต้องการทั้งเงินและเวลา  ดังนั้นแล้ว  วิธีที่ผมใช้อยู่ทุกวันนี้  ให้ทั้งความสุขในด้านเวลาและเงินที่พอกพูนขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน  ผมไม่จำเป็นต้องติดตามตลาดหุ้นทุกขณะ  ซึ่งตรงนี้มันอาจเป็นข้อยกเว้นสำหรับบางคนที่ชอบการนั่งเฝ้ามองตลาด  บางทีนั่นอาจเป็นความสุขของเขา...แต่ไม่ใช่ผม  ชีวิตมันมีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะ...มากกว่ามานั่งมองจอคอม  การที่เราต้องการไปไหนต่อไหน  เราจำเป็นไหมที่จะต้องไปเฉพาะตอนตลาดหุ้นปิด  ถ้าเป็นผมแล้ว  ผมสามารถไปไหนต่อไหนได้ตลอดเวลา  “ผมต้องการเป็นเจ้าของหุ้น  แต่ผมไม่ต้องการให้หุ้นมาเป็นเจ้าของชีวิตผม”  ผมต้องการทำอะไรก็ได้ตามที่ใจปรารถนา  โดยมีหุ้นเป็นตัวช่วยส่งเสริมให้ผมได้ทำสิ่งต่างๆเหล่านั้น  จะเป็นการดีกว่า  ที่คุณจะทำเงินได้โดยที่ไม่ต้องเอาความเครียดและเวลาไปแลก  ถ้าผมต้องลงทุนโดยต้องใช้เวลาที่ผมมีอยู่ทั้งหมดเข้าไปแลก  ผมคงเลือกที่จะไม่ลงทุน  แต่มันเป็นโชคดีที่ว่า  การลงทุนมันไม่ได้มีเพียงแค่กลยุทธ์เดียว(ซื้อและขาย)  แต่มันยังมีกลยุทธ์ที่เหมาะสำหรับการใช้ชีวิตของตัวผมเองด้วย(ซื้อและถือ)  ดังนั้นในทุกวันนี้  ผมค่อนข้างที่จะเรียกตัวเองได้ว่า  “เป็นนักลงทุนที่มีความสุข”

     จริงๆแล้วการเล่นหุ้นสั้นๆแล้วได้เงินเยอะๆมันก็มี  เพราะผมก็เคยเห็นบ่อยไป  แต่ผมเลือกที่จะใช้เวลาให้หมดไปกับตัวผมเองมากกว่าที่จะต้องใช้มันให้หมดไปกับตลาดหุ้น  ซึ่งแม้แต่ปีเตอร์  ลินซ์เองก็ยังยอมแพ้ต่อการใช้ชีวิตในรูปแบบนี้  เมื่อเขาขอลาออกจากการเป็นผู้บริหารกองทุนที่เขาเป็นผู้บริหารอยู่  โดยเขาให้เหตุผลว่า  เขาไม่มีเวลาให้ครอบครัว  เมื่อผมเห็นคนอื่นเป็นเยี่ยงนี้แล้ว  ผมก็เลยไม่อยากจะเอาอย่าง

     และในทุกวันนี้  การที่ผมนำความรู้และความเห็นส่วนตัวของผมเองมาลง  มันก็ไม่ใช่ว่าผมใช้เวลาให้หมดไปกับสิ่งไร้สาระ  ตรงกันข้าม  ผมกลับรู้สึกว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นี้ได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่คนอื่นที่สนใจมากมาย  เมื่อผมได้...ผมก็อยากให้คนอื่นได้ด้วย  นี่เป็นการทำความดีให้กับชีวิตของตัวผมเองอีกทางหนึ่ง  ดังคำกล่าวที่ว่า  “เกิดมาไม่ทำดี  อยู่ร้อยปีก็ไม่มีความหมาย”  และผมก็ดีใจที่ผมได้เป็นแรงบันดาลใจหรือเป็นผู้จุดประกายในด้านการอยากลงทุนให้กับหลายคนที่เข้ามาอ่านข้อความของผม

ราคาหุ้น
     มีเซียนหุ้นได้กล่าวเกี่ยวกับราคาหุ้นไว้อย่างน่าสนใจว่า  “ราคาหุ้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์น้อยที่สุดเวลาที่เราจะลงทุน  แต่มันกลับเป็นสิ่งที่มีคนติดตามมากที่สุด”  บ่อยครั้งที่เราถูกทำให้เข้าใจผิดจากราคาหุ้นว่า  ราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดของหุ้นตัวหนึ่งที่เราเห็นในช่วงเวลาหนึ่งๆ  มันคือมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมตลอดไป  และเราก็จะตกหลุมพรางนั้นเมื่อเวลาที่ราคาหุ้นเข้ามาอยู่ในเกณฑ์แห่งการซื้อของเรา  แต่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่  เมื่อพื้นฐานของกิจการเปลี่ยนแปลงไป  ราคาหุ้นก็จะเปลี่ยนแปลงตาม  สิ่งที่เราควรให้ความสนใจ  ไม่ใช่ว่าราคาต่ำสุดและราคาสูงสุดคือตรงไหน  สิ่งสำคัญเวลาที่เราจะเข้าลงทุนก็คือ  พื้นฐานกิจการมันเปลี่ยนไปในทิศทางไหน  ถ้ามันดีขึ้น  ราคาสูงสุดที่เราเคยเห็นมันก็สามารถขึ้นไปได้อีก  แต่ถ้ามันแย่ลง  ราคาที่เราเคยเห็นว่ามันถูกแล้ว  มันก็ยังสามารถลงได้อีก  ดังนั้น  ประเด็นเกี่ยวกับราคาหุ้นมันจึงเป็นเรื่องที่ต้องมาทีหลังพื้นฐานของกิจการ  เมื่อคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลได้ดังนี้แล้ว  ผมจึงบอกว่า  “ผมไม่สนใจเทคนิค”  เพราะเครื่องมือชนิดนี้  ทำได้เพียงแต่คำนวณราคาสูงต่ำของหุ้น  แต่มันไม่สามารถรับรู้เหตุผลได้ว่าสาเหตุอะไรที่ทำให้หุ้นขึ้นหรือลงไปตามทิศทางนั้น  ถ้าใช้การคำนวณจากคอมแล้วทำให้เรารวยได้  เราสามารถเช่าซุปเปอร์คอมพิวเตอร์มาใช้  แล้วทำเงินจากตลาดหุ้นได้อย่างมากมาย

     มีเรื่องเล่าที่เย้ยหยันเกี่ยวกับนักเทคนิคว่า  ในสมัยอดีต  มีคนโบราณอยู่กลุ่มหนึ่ง  นั่งเถียงกันที่รอบกองไฟอยู่ยันเช้าว่าม้ามีฟันกี่ซี่แล้วก็ไม่ได้ข้อสรุป  สิ่งที่คนกลุ่มนั้นควรทำก็คือ  ไปแหกปากม้าแล้วนับดู  ไม่ใช่การมานั่งเถียงกันอยู่ตรงนั้นซึ่งมันจะไม่ได้ความจริง  ซ้ำร้าย  เขายังต้องเสียเวลาและสมองไปกับการวิเคราะห์อยู่นั่นแหละ  ถ้าเป็นการลงทุนในหุ้น  สิ่งที่ต้องทำไม่ใช่การมานั่งวิเคราะห์กันว่าหุ้นมันจะขึ้นหรือลงและราคามันจะเป็นเท่าไหร่  การกระทำที่ถูกต้องก็คือให้ตรวจสอบบริษัท  และใช้สามัญสำนึกของเรามาประเมินมัน

ปันผล
     เป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากว่า  การเลือกลงทุนในหุ้นที่จ่ายปันผลดีเป็นการกระทำที่ดีหรือไม่  ตอบได้เลยว่า  “ดี”  เพราะการที่เราได้เงินเข้ากระเป๋า  ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดย่อมดีทั้งนั้น  แต่โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่า  เงินปันผลนี้คล้ายกับโบนัสหรืออั่งเปามากกว่า  คือมันเหมือนเป็นเงินพิเศษ  ซึ่งถ้าขึ้นชื่อว่าพิเศษแล้วใครๆก็ชอบ  แต่ถ้าสมมติว่าคุณเป็นลูกจ้างแล้วไปทำงานกับบริษัทที่มั่นคงเงินเดือนดีแต่ไม่จ่ายโบนัสล่ะ  คุณจะลาออกแล้วไปทำงานกับบริษัทที่เงินเดือนน้อยแต่จ่ายโบนัสไหม?  ผมเชื่อว่าคำถามนี้คงได้รับคำตอบที่แตกต่าง  นั่นมันก็แล้วแต่ความพอใจของแต่ละคน  แต่สำหรับผมแล้ว  ในขณะนี้ผมไม่ได้ยังชีพด้วยเงินปันผล  ผมจึงยังไม่ต้องการมันมาก  เพราะผมก็มีรายได้จากงานที่ตัวเองทำอยู่  สิ่งที่ผมต้องการในตอนนี้จริงๆก็คือ  ให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นไปสูงสุดเท่าที่มันจะเป็นไปได้  เพราะผมต้องการรวย!!!  แต่สำหรับคนที่ชอบปันผลมากๆมันก็ไม่ใช่เรื่องผิด  เพราะรสนิยมและความต้องการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน  แต่เท่าที่ผมสังเกตมา  ราคาหุ้นและเงินปันผลเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง  นั่นหมายความว่า  ถ้าคุณชอบเงินปันผลเยอะๆ  หุ้นนั้นมักไม่ค่อยไปไหน  ยกเว้นบางจังหวะที่พื้นฐานมันได้เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น  แต่ถ้าคุณอยากได้หุ้นที่ขึ้นมากๆ  คุณก็ไม่ควรหวังว่าเงินปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้นแล้วมันจะเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงๆ  แต่สำหรับผมแล้ว  ผมอยากได้ทั้งสองอย่าง!!!  ถ้าผมเลือกหุ้นที่เติบโต  ในช่วงแรกๆของการถือหุ้น  เงินปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้นมันจะเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อย  แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ  เงินปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่เป็นอยู่ในขณะนั้นมันก็ยังเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยอยู่  แต่อย่าลืมว่าผมถือหุ้นมาตั้งแต่ราคาหุ้นมันยังถูกกว่านี้  เพราะฉะนั้น  ปันผลที่ผมจะได้รับในอนาคต  มันจะเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงสำหรับเงินต้นทุนที่ผมได้ซื้อไว้  และเมื่อหุ้นมีการเติบโต  ก็อย่างที่เราได้เห็นกัน  ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปตามที่มันควรจะเป็น  และตรงส่วนนั้นแหละ  ที่ผมคาดหวังว่ามันยังจะไปเรื่อยๆไม่ยอมหยุด  และผมก็หวังอย่างนั้น

เกร่อ
     จากการที่ผมได้ติดตามข่าวสารเรื่องหุ้นในทุกวันนี้  บ่อยครั้งที่หลายๆคนมักจะออกมาอวดอ้างว่าตัวเองเป็น  VI  (Value  Investor)  ผมรู้สึกว่าคำๆนี้ออกจะใช้กันเกร่อไปสักหน่อย  ผมไม่ทราบว่าผู้ที่ใช้คำนี้กับตัวเอง  จะรู้ความหมายที่แท้จริงของมันหรือไม่  ผมได้เคยอธิบายความหมายเกี่ยวกับคำว่า  VI  ไปแล้ว  ลองไปหาอ่านในกระทู้เก่าๆของผมดูก็แล้วกันนะครับ

     หลักการของ  VI  เริ่มต้นจากอาจารย์ของบัฟเฟตที่ชื่อ  เบน  เกรแฮม  หลักการของเขานิยามไว้ว่า  “ให้ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าของมัน”  ซึ่งเกรแฮมเองก็ไม่ได้กำหนดหรอกนะว่าหุ้นที่จะต้องซื้อเพื่อการเป็น  VI  นั้นจะเป็นหุ้นอะไร  เพราะหลักการมันมีแค่อย่างเดียวเท่านั้นคือให้ซื้อตอนถูก  และคำว่าถูกในที่นี้ก็คือ  ซื้อถูกกว่าราคาที่มันเคยเป็น  และเอาไปขายตอนที่ตลาดให้ราคาเต็ม  จากนั้นก็ให้ดำเนินกระบวนการซ้ำใหม่  ซึ่งถ้าถามผมว่าการเป็น  VI  นั้นยากไหม  ผมตอบได้เลยว่า  “ไม่ยาก”  เพราะหุ้นแต่ละตัวมันก็จะมีราคาฐานของมันอยู่แล้ว  สิ่งที่ต้องทำก็แค่รอให้ตลาดนำมันมาลดราคาให้เท่านั้นเอง  และเมื่อซื้อแล้วก็อดทนถือไว้จนกระทั่งตลาดกลับมาซื้อในราคาเต็ม

     แต่เมื่อผมค้นพบการลงทุนอีกวิธีหนึ่ง  ซึ่งหลักการนี้ไม่เหมือน  VI  ผมก็ไม่รู้จะเรียกศาสตร์นี้ว่าอะไร  แต่ผมเข้าใจเอาเองว่ามันน่าจะเรียกว่า  GI  (Growth Investor)  ซึ่งคำนี้เป็นคำที่ผมไม่เคยได้ยินใครพูด  การลงทุนในลักษณะนี้ไม่ได้มองเรื่องความถูกของราคาหุ้น  แต่สิ่งที่  GI  จะให้ความสนใจจริงๆก็คือว่ามันยังโตต่อไปอีกหลายๆปีได้หรือไม่  เพราะการลงทุนในลักษณะนี้ต้องการทำเงินก้อนโตในระยะยาว  ถ้าเป็น  VI  ผลตอบแทนมันสามารถคาดการณ์ได้พอประมาณในตอนที่เราซื้อเลยว่า  ราคาหุ้นมันตกลงมากี่เปอร์เซ็นต์จากที่มันเคยเป็น  และเราจะได้กำไรกี่เปอร์เซ็นต์เมื่อตอนที่เราขายออกไป  แต่ถ้าเป็น  GI  แล้ว  เราไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าเราจะทำเงินได้เท่าไหร่นับจากวันที่ซื้อ  เพราะการลงทุนลักษณะนี้  มันเป็นการคาดการณ์ถึงดินแดนที่เรายังไม่เคยไปถึง  ถ้าถามว่าการเป็น  GI  นี่เสี่ยงกว่า  VI  หรือไม่  เนื่องจากว่ามันไม่มีอะไรให้อ้างอิง  คำตอบนั้นชัดเจนว่า  “ใช่”  แต่ถ้ากำไรที่เราจะทำได้จากราคาหุ้นในการลงทุนแบบ  GI   มันสามารถให้ผลตอบแทนเราได้เป็นหลายเท่าตัวล่ะ  มันก็คุ้มเสี่ยงมิใช่หรือ?  และถ้าถามความเห็นส่วนตัวของผมว่าใครเก่งกว่ากัน  ผมเทใจให้  GI  จนหมด  แต่ถ้าถามว่าใครเสี่ยงน้อยกว่า  คำตอบก็คือ  VI

     ทุกวันนี้ผมก็พยายามเป็นให้ได้ทั้งสองแบบ  ผมมองหาการเติบโตที่ดีในอนาคต  และในอีกด้านหนึ่ง  ผมก็รอซื้อหุ้นที่จะเติบโตในราคาที่ตลาดนำมาลดให้  ซึ่งราคาของหุ้นที่เติบโตอาจจะไม่ได้ตกลงมามากเท่ากับหุ้นที่ไม่มีอนาคต  เนื่องจากว่ามันมีแรงต้านในการตกจากตัวมันเอง  ดังเช่นปลาเป็นที่ยังสามารถว่ายทวนน้ำได้บ้าง  แต่ถ้าเป็นปลาตายแล้ว  เมื่อกระแสน้ำพัดพาไปในทิศทางใดก็ย่อมไม่มีแรงขัดขืน  นี่จึงเป็นภูมิต้านทานที่ดีอีกประการหนึ่งของหุ้น  GI  และผมก็หวังว่าคุณคงจะเจอสักตัว

จุดมุ่งหมายในการลงทุนของผม
     จริงๆแล้วเวลาที่คนเราจะทำอะไรก็ตาม  มักจะต้องมีเหตุผลมารองรับการกระทำของตัวเองเสมอ  ซึ่งสาเหตุที่ผมลงทุนในหุ้นก็เพราะว่า  “ผมอยากมีอิสรภาพทางการเงิน”  ซึ่งเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของอนาคต  ผมไม่อาจทราบได้ว่ามันจะสำเร็จหรือไม่  ซึ่งตัวผมเองก็ไม่ได้หวังที่จะร่ำรวยอะไรมากมาย (แต่ถ้าได้มันก็ดี)  ผมอยากมีบั้นปลายชีวิตที่สงบสุข  ใช้ชีวิตแบบพอเพียงและไม่วุ่นวาย  มีเงินปันผลให้ใช้โดยที่ไม่ต้องทำงานสักวันละ  300 – 500  บาทก็พอ  ถ้าวันนั้นมาถึงเร็ว  ผมคงจะดีใจไม่น้อยที่จุดมุ่งหมายของผมสำเร็จดังที่หวัง  แต่ถ้าแม้นว่าในชีวิตของผมนี้ทำมันไม่สำเร็จ  ผมก็คงจะไม่เสียใจเลย  เพราะอย่างน้อยผมก็ได้พยายามแล้ว  ซึ่งยังดีกว่าอีกหลายคนที่ยังไม่กล้าลงมือวางแผนเพื่ออนาคตของตัวเอง

     สุดท้ายนี้...เนื้อหาที่ทุกท่านได้อ่านมาทั้งหมด  อาจจะมองว่าผมเป็นนักลงทุนผู้ละโมบหรือเป็นนักลงทุนที่ขี้โม้  ผู้ซึ่งลงทุนเพื่อต้องการทั้งเงินและเวลา  ผู้ซึ่งลงทุนเพื่อเงินปันผลและราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น  และสุดท้าย  ต้องการเป็นนักลงทุนทั้งสองแบบ  ไม่ว่าจะทั้งแบบ  VI  หรือ  GI  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมจะไม่กล้าพูดกับทุกท่านแบบนี้เลย  ถ้าสิ่งที่ผมได้บอกทุกท่านไปแล้วนั้น  ผมไม่ได้กำลังทำอยู่  และสุดท้าย  ผมอยากจะกล่าวถึงเรื่องที่สำคัญมาก  อาจกล่าวได้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการลงทุนในแบบของผมเลยก็ว่าได้  นั่นก็คือ  “ลงทุนในหุ้นที่ถูกต้อง  ในเวลาที่เหมาะสม  และอดทนอยู่กับมันจนกว่าพื้นฐานมันจะเปลี่ยนไป”  แล้วพบกันใหม่เมื่อผมมีเวลามากกว่านี้  ซึ่งตอนนั้นผมอาจจะรวยแล้ว


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 05 มกราคม 2013, 22:18:02
     นี่คือสิ่งตอบแทนสำหรับความอดทนของผมครับ  อีกแค่  1  บาท  ผมก็จะทำผลตอบแทนได้  1  เท่าตัวแล้ว  และอีกไม่นาน  หุ้นตัวนี้ก็จะปันผลออกมาอีก  อยากรู้จังน๊า...าาา  ว่าปีนี้จะได้เท่าไหร่หนอ  ทุกท่านอยากเป็นเหมือนผมไหมครับ?  และผมก็หวังว่า  ราคาหุ้นควรจะขึ้นไปอีก  เพราะมันยังไม่หยุดโต


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: kraiws ที่ วันที่ 13 มกราคม 2013, 16:48:48
GUNGUL กลางๆ ปีหน้า คงเห็น 40 -45 บาท
WORK 65 บาท
อย่างต่ำๆ นะ ถึงแหละ

อะไรที่ทำให้คุณมั่นใจว่ามันจะไปที่ราคานั้นครับ

ผมตีกราฟและวัดเป้า Fibo ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: bomsummer ที่ วันที่ 19 มกราคม 2013, 17:11:32
อ่านจนตาลายล่ะครับ กำลังถึงหน้า 7 ต้องมีเงินอย่างน้อยเท่าไรหรือครับถึงจะเล่นหุ้นได้ แล้วจะต้องเอาเงินไปไว้ตรงไหนถึงจะร่วมเล่นได้ครับ สนใจอยู่ครับ ขอบคุณครับท่านผู้รู้


หัวข้อ: ขอฝากตัวเป็นน้องใหม่ของห้องนี้ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Tikky cacumiya39 ที่ วันที่ 19 มกราคม 2013, 17:56:21
สวัดดีท่านสมาชิกในห้องนี้ทุกคนครับ ผมชื่อติ๊กเป็นคนเชียงรายแถวสนามบินเก่าครับแต่ไปทำงานที่ระยอง 20ปีแล้วแรกเริ่มเลยป็นพนักงานบริษัท SCG เครือปูนสองปีแล้วก็ย้ายมาทำบริษัท ปตท.GC อะโรเมติกส์ ก็มีหุ้นของบริษัทอยู่บ้างก็รับแต่ปันผล แต่ไม่ได้ศึกษาเรื่องตลาดหุ้นเท่าไรฟังแต่เพื่อนๆคุยกันเรื่องหุ้นตอนนั้นผมเห็นว่ามีความเสี่ยงเพาะเพื่อนบ่นว่ามีแต่เสียบ้างติดดอยบ้างก็เลยถือหุ้นมาเรื่อยตอนนี้เริ่มสนใจครับเพราะกะลังจะลาออกไปอยู่กับครอบครัวที่เชียงรายประมาณเดือนมีนาคมที่จะถึงวันนี้ไล่อ่านกระทู้หน้าแรกจนหน้าสุดท้ายเลยก็อยากเป็นนักลงทุนบ้างเห็นมีกูรูหลายท่านเรยโดยเช่นท่าน วายุ อธิบายเห็นภาพชัดเจนดีมาก ส่วนผมก็พอมีความเข้าใจในวัฎจัก ธุรกิจพลังงาน,ปิโตรเคมี อยู่บ้าง ก็อยากมีส่วนร่วมวงสนทนาในห้องคนเชียงรายด้วยครับ ขอฝากตัวเป็นน้องใหม่ด้วยตอนนี้กะลังหาหนังสือแนวนี้อ่านอยู่ครับ. แต่กลับไปก็ยังไม่รู้จะเริ่มทำธุรกิจอะไรดีขอคำชี้แนะด้วยครับ.


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: fard ที่ วันที่ 25 มกราคม 2013, 15:09:39
ชอบพอร์ตที่มีหุ้นตัวเดียวครับ ผมหลงทางมานานในพอร์ตมี 22 ตัว ดูแลไม่ทั่วถึงครับเงินลงทุนเลยกระจายทำให้กำไรได้ 20%  เริ่มซื้อหุ้นใหม่ๆ หนังสือเล่นไหนนะมาบอกว่าไม่ควรใส่ไข่ในตระกร้าใบเดียว เลยซื้อทุกตัวที่เห็นว่าดีมีปันผล จะขายตอนนี้ก็เสียดายไม่รู้ขายตัวไหนออกดี   


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: tiwly-pg ที่ วันที่ 28 มกราคม 2013, 05:15:01
หุ้นมันไม่รวยเสมอไปหรอกครับ งั้นเขาก็รวยกันทังบ้านทั้งเมืองแล้ว(แต่ดีกว่าหวยและบอล)

ดูจากคำของ จขกท เงินเย็น น่าจะ ชวนเล่นหุ้นคงที่ หรือ พวกเงินหุ้นกองทุนเปิดกระมัง

เชียวชาญวิชาละอย่าไปริลองเล่น หุ้นปั่น หุ้นรายวันละกัน ขาใหญ่ขยับที ลูกจ๊อกพินาศ

ถามพวกเก๋าเกมส์มีแต่คนอยากมีความรุ้สึกในการเล่นหุ้นในทีแรกที่ก้าวมาเลยนะ คึคึ

สิ่งสำคัญสุด ขอให้ขยันทำงาน ไม่อายที่จะทำครับ

ยิ่งการพนัน และ การใช้ดวง เป็นไปได้เลี่ยงไปดีกว่านะครับ เงินหายไปแล้วจะรู้สึกเสียดาย

 ;D  ;D  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: :i3abyzeed:: ที่ วันที่ 02 กุมภาพันธ์ 2013, 17:43:37
เกษตรกร

ผู้ซื้อกล้าไม้ใหญ่มาปลูกจนโต  วิธีการของเขาก็คือ  เขาพอจะมองออกว่าต้นไม้ต้นไหนที่มันแข็งแรงและสามารถที่จะโตต่อไปได้อีกหลายๆปี  เมื่อเขาซื้อมาปลูกแล้วเขาก็จะมีความอดทนรอคอยให้มันเติบโตจนเป็นไม้ใหญ่ที่โตเต็มที่  ช่วงที่มันกำลังเล็กและเริ่มเติบโต  มันก็ให้ผลแก่เขามากินทุกปีตามความเติบโตที่มันทำได้  และเมื่อมันโตเต็มที่แล้ว  เขาอาจจะเก็บมันไว้กินผลไปเรื่อยๆหรือบางทีอาจจะขายต่อไปให้กับคนอื่นที่สนใจ  และตัวเขาเองก็จะดำเนินกระบวนการนั้นซ้ำต่อไป  อย่างไรเสีย  กำไรที่เขาทำได้จากการขายต้นไม้ที่โตแล้วไปให้กับคนอื่น  มันก็คุ้มค่าต่อความอดทนของเขาจริงๆ...

ขอบคุณมากครับสำหรับประสบการณ์ และบทความเรื่อง เกษตรกร ที่เล่าสู่กันฟัง
ผมชอบคำว่า "คนที่ซื้อกล้าไม้ใหญ่มาปลูกจนโต" มากครับ
คล้ายกับแนวคิดที่ผมที่คิดไว้ แต่บรรยายให้ใครฟังไม่ค่อยเป็น
เกี่ยวกับการซื้อ "ลูกวัวพันธ์ุดี" มาเก็บไว้ เมื่อเห็นว่าดีก็เลยซื้อ "อีกตัว" มาเพิ่ม
ก็ดูแลกันไป เรียนรู้กันไปตามประสาคนมีความรู้น้อย ( รู้ตัวอีกทีก็มีอยู่ 2-3 คู่แล้ว )
ระหว่างนั้นก็ได้ค่าปุ๋ย,ค่านม(จากอึและน้ำนม) เล็กๆน้อยๆพอเป็นกำลังใจ
จนเมื่อวัวนั้นเติบใหญ่และให้ผลผลิตเป็น "ลูกวัว" ก็ยิ่งดีใจมาก ;D ;D
บางส่วนก็เก็บไว้ บางส่วนก็นำไปขาย เอาเงินไปทำอย่างอื่นแก้เลี่ยนวัวบ้างอะไรบ้าง
ตามประสาวัยรุ่นตอนปลายที่ขี้เบื่อคนหนึ่ง ;D :D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2013, 02:43:55
วันนี้ว่างนิดหน่อย  ก็เลยเข้ามาตอบกระทู้

อ่านจนตาลายล่ะครับ กำลังถึงหน้า 7 ต้องมีเงินอย่างน้อยเท่าไรหรือครับถึงจะเล่นหุ้นได้ แล้วจะต้องเอาเงินไปไว้ตรงไหนถึงจะร่วมเล่นได้ครับ สนใจอยู่ครับ ขอบคุณครับท่านผู้รู้

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าเขากำหนดขั้นต่ำไว้ที่เท่าไหร่  ลองเข้าไปถามที่โบรกดูก็แล้วกันนะครับ  สำหรับผม  เริ่มต้นตอนที่มีเงินอยู่  6  หมื่นครับ  เริ่มเล่นแรกๆก็เสียไปหมื่นนึง  เหลือแค่  5  หมื่น  แต่ก็ถูไถมาเรื่อยจนมีเงินเท่าทุกวันนี้ล่ะครับ  นี่ถ้าผมไม่ได้แบ่งเงินออกไปดาวน์บ้านครึ่งหนึ่ง  ทุกวันนี้เงินที่ผมทำได้จากการลงทุนก็ต้องเป็นอีกหนึ่งเท่าตัวจากที่ผมมีอยู่


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2013, 02:46:23
สวัดดีท่านสมาชิกในห้องนี้ทุกคนครับ ผมชื่อติ๊กเป็นคนเชียงรายแถวสนามบินเก่าครับแต่ไปทำงานที่ระยอง 20ปีแล้วแรกเริ่มเลยป็นพนักงานบริษัท SCG เครือปูนสองปีแล้วก็ย้ายมาทำบริษัท ปตท.GC อะโรเมติกส์ ก็มีหุ้นของบริษัทอยู่บ้างก็รับแต่ปันผล แต่ไม่ได้ศึกษาเรื่องตลาดหุ้นเท่าไรฟังแต่เพื่อนๆคุยกันเรื่องหุ้นตอนนั้นผมเห็นว่ามีความเสี่ยงเพาะเพื่อนบ่นว่ามีแต่เสียบ้างติดดอยบ้างก็เลยถือหุ้นมาเรื่อยตอนนี้เริ่มสนใจครับเพราะกะลังจะลาออกไปอยู่กับครอบครัวที่เชียงรายประมาณเดือนมีนาคมที่จะถึงวันนี้ไล่อ่านกระทู้หน้าแรกจนหน้าสุดท้ายเลยก็อยากเป็นนักลงทุนบ้างเห็นมีกูรูหลายท่านเรยโดยเช่นท่าน วายุ อธิบายเห็นภาพชัดเจนดีมาก ส่วนผมก็พอมีความเข้าใจในวัฎจัก ธุรกิจพลังงาน,ปิโตรเคมี อยู่บ้าง ก็อยากมีส่วนร่วมวงสนทนาในห้องคนเชียงรายด้วยครับ ขอฝากตัวเป็นน้องใหม่ด้วยตอนนี้กะลังหาหนังสือแนวนี้อ่านอยู่ครับ. แต่กลับไปก็ยังไม่รู้จะเริ่มทำธุรกิจอะไรดีขอคำชี้แนะด้วยครับ.

ถ้าคุณลาออกแล้ว  คุณจะรู้จังหวะที่ควรจะเข้าลงทุนหุ้นวัฎจักรพวกนี้เหรอครับ?


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2013, 02:49:49
ชอบพอร์ตที่มีหุ้นตัวเดียวครับ ผมหลงทางมานานในพอร์ตมี 22 ตัว ดูแลไม่ทั่วถึงครับเงินลงทุนเลยกระจายทำให้กำไรได้ 20%  เริ่มซื้อหุ้นใหม่ๆ หนังสือเล่นไหนนะมาบอกว่าไม่ควรใส่ไข่ในตระกร้าใบเดียว เลยซื้อทุกตัวที่เห็นว่าดีมีปันผล จะขายตอนนี้ก็เสียดายไม่รู้ขายตัวไหนออกดี  

จริงๆแล้วสาเหตุที่ผมมีหุ้นตัวเดียวก็เพราะว่า  ผมไม่เห็นตัวไหนที่เข้าตาและน่าลงทุนครับ  ถ้าผมเห็นว่ามีตัวไหนที่เหมาะแก่การลงทุน  และผมถือแล้วสบายใจ  ผมก็คงจะซื้อเข้ามาเพิ่มครับ

ส่วนเรื่องที่คุณจะขายหุ้นออก  ผมแนะนำว่า  ถ้าตัวไหนอนาคตไม่ค่อยมีแล้ว  ก็น่าจะตัดทิ้งนะครับ

ช่วงไม่นานมานี้  ผมก็ซื้อหุ้นเข้ามาเพิ่มครับ(TRUE)  แต่หลังจากถือไว้แล้ว  ผมไม่ค่อยแน่ใจในอนาคตของเขา  ผมก็เลยขายทำกำไรออกมาก่อนครับ

และส่วนสุดท้ายก็คือพอร์ตล่าสุดของผมครับ  ตอนนี้ผมเริ่มซื้อ  JAS  เข้ามา  เพราะผมรู้สึกว่าอยากเป็นเจ้าของมัน  และผมสบายใจที่ได้ถือมันครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2013, 02:53:30
ตอบคุณ  :i3abyzeed::
     ถ้าคุณชอบบทความที่ผมเอามาลง  ผมก็ขอขอบคุณครับ  แต่ช่วงนี้ผมยังไม่มีอะไรเอามาลงเพิ่มนะครับ  เพราะคอมผมมันเสีย  และผมก็ไม่ค่อยว่างด้วย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2013, 03:19:04
     พอพูดถึงเรื่องของหุ้น  JAS  แล้ว  ผมก็ถือโอกาสเอางบการเงินของเขามาลงเลยก็แล้วกัน  ใครจะว่าผมชี้นำก็แล้วแต่นะครับ  ใครไม่ชอบก็ขอให้ผ่านไป  ไม่ต้องดูก็ได้

     ผมได้ตีกรอบสีแดงไว้บนงบการเงินตรงส่วนกำไรสุทธิไว้น่ะครับ  จะเห็นว่ากำไรเพิ่มขึ้นทุกปี  เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วมันก็เป็นอะไรที่เร้าใจมาก  จนอยากจะมีเก็บไว้ในพอร์ตสักหน่อย  ใครอยากได้ก็สอยเอานะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Mong6 ที่ วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2013, 03:28:12


แต่ Jas มันก็ขึ้นมาเยอะแล้วนา

ตรุษจีนปีที่แล้ว 2.00 - 2.10 บาทอยู่เลย

ตรุษจีนปีนี้ 6.15 บาท น่าจะ 200% แล้ว  และไม่รู้ว่า ปีนี้เขาจะแจกอั่งเปาหรือเปล่า ...



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2013, 20:37:07


แต่ Jas มันก็ขึ้นมาเยอะแล้วนา

ตรุษจีนปีที่แล้ว 2.00 - 2.10 บาทอยู่เลย

ตรุษจีนปีนี้ 6.15 บาท น่าจะ 200% แล้ว  และไม่รู้ว่า ปีนี้เขาจะแจกอั่งเปาหรือเปล่า ...



     ไม่มีปัญหาครับสำหรับเรื่องราคาหุ้น  เพราะถ้ากำไรมันยังโตได้ต่อเนื่อง  ราคาหุ้นมันก็จะไปต่อตามกำไรเอง

     เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงเสียงนกเสียงกาที่คอยพ่นออกมาใส่ตลาดหุ้นอยู่ไม่ได้ขาดของนักวิเคราะห์ทั้งหลาย  เดี๋ยวเรามาย้อนกลับไปดูอดีตกันดีกว่า

     วันที่  2  พ.ค.  2555  มีนักวิเคราะห์ค่ายหนึ่งออกมาบอกว่าให้ขายหุ้น  CPALL  ดังที่ผมได้ตีกรอบสีแดงเอาไว้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2013, 20:38:32
ซึ่งราคาหุ้น  ณ  วันนั้นผมก็ได้ตีกรอบแดงเอาไว้

วันนั้นราคาปิดของหุ้นคือ  76.50  บาท


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2013, 20:42:30
และพออีกวันเขาก็แจกหุ้นในอัตรา  1:1  ซึ่งมันจะมีผลทำให้ราคาหุ้นจะถูกหารสอง  เพราะฉะนั้น  ในวันถัดมา  ราคาหุ้นที่เหมาะสมก็ควรจะเป็น  38.25  บาท


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2013, 20:44:23
และจากวันนั้นถึงวันนี้  ก็เป็นเวลาไม่ถึง  1  ปีดี  ราคาหุ้นล่าสุดก็คือ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2013, 20:48:23
     ถ้านับว่าหลังจากวันที่แจกหุ้นแล้ว  ราคาที่ควรจะเป็นก็คือ  38.25  แต่ทำไมวันนี้ราคามันถึงขึ้นมาอีกล่ะครับ?  แต่นั่นไม่ใช่"ประเด็น"  สิ่งที่ผมอยากบอกก็คือ  เราจะกลัวว่ามันขึ้นมาแล้วกี่เปอร์เซ็นต์  หรือมันขึ้นมาแล้วกี่เท่า สิ่งสำคัญก็คือ  มันยังไปต่อได้อีกไหมต่างหาก  และที่สำคัญก็คือ  คนที่มาบอกให้เราขาย  และถ้าเราเชื่อเขา  ทุกวันนี้เขาจะรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราอย่างไร


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: fard ที่ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2013, 00:39:35
   และที่สำคัญก็คือ  คนที่มาบอกให้เราขาย  และถ้าเราเชื่อเขา  ทุกวันนี้เขาจะรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราอย่างไร

คนมาบอกให้ผมขายไม่ใช่คนอื่นครับ  ;D ;D จำเป็นต้องเชื่อเลยครับ vi อย่างไหร่ก็สู้แรงขับเคลื่อนจากภรรยา ไม่ได้ครับ ท่านวายุ    ;D ;D ;D  cpall ของผมก็ประมาณ 29 บาท/หุ้น คำบัญชาการ ยังไม่ตกมา เลยสบายใจได้อยู่ครับ  ;D ;D ;D 


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 10 มีนาคม 2013, 01:50:57
ถึงมือใหม่ทุกท่าน
     ช่วงนี้ผมสังเกตเห็นว่า  ถึงแม้ว่ากระทู้ของผมจะไม่ได้อัพ  แต่ก็มีผู้ที่เข้ามาเปิดอ่านอย่างต่อเนื่อง  อาจเป็นไปได้ว่า  ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นมือใหม่ที่กำลังศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องหุ้นอยู่  เพราะจากข้อมูลที่ผมได้รับมาทำให้ทราบว่า  ในปีที่แล้วทั้งปี  มีคนเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นเพียง  20000  บัญชีเท่านั้น  แต่ในปีนี้  เพียงแค่มกราคมเดือนเดียว  มีคนเปิดบัญชีไปแล้ว  50000  บัญชี  สังเกตได้จากมูลค่าการซื้อขายรายวันที่โป่งพองมากกว่าที่เคยเป็นก็ได้  เมื่อสัก  2-3  ปีที่แล้ว  มูลค่าการซื้อขายต่อวันอยู่ที่วันละ  30000  ล้านบาท  แต่ทุกวันนี้คุณลองสังเกตดูสิ  5-7  หมื่นล้านบาทต่อวัน  และจำนวนมากนั้นมาจากรายย่อย!!!  ผู้ที่เข้ามาใหม่นี้  หลายคนคงเข้ามาเพราะอยากลงทุนจริงๆ  แต่อีกส่วนหนึ่งก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า  เข้ามาเพราะความโลภ  เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมา  ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นเต็มตัว  เรื่องราวความสำเร็จของผู้คนจากที่ต่างๆ  คงจะทำให้ต่อมความโลภเข้ามาครอบงำ  และจากมุมมองส่วนตัวของผมเองนั้นรู้สึกว่า  การลงทุนในช่วงหลังจากนี้  เป็นระยะของงานเลี้ยงใกล้เลิกราแล้ว  เพราะในสายตาของผมเองนั้น  ในช่วงนี้ผมหาหุ้นที่ดีมีราคาเหมาะสมที่จะเข้าลงทุนไม่ได้เลย  ลองดูหุ้นที่ผมถืออยู่ก็ได้ครับ (CPALL)  ในปีที่ผ่านมา  บริษัททำกำไรได้  11023  ล้านบาท  เมื่อเอามาหารด้วยจำนวนหุ้นที่มีอยู่ทั้งหมด  ประมาณ  9000  ล้านหุ้น  กำไรต่อหุ้นก็จะออกมาเป็น  1.22  บาทต่อหุ้น  ในขณะที่บริษัทจะปันผลเต็มเหยียดเลยที่  90  สตางค์ต่อหุ้น  นี่คิดเป็น  73  %  ของกำไรที่บริษัททำได้ทีเดียว  และเมื่อเรามาดูที่ราคาหุ้น  ช่วงนี้แกว่งอยู่แถวๆ  47  บาท  ซึ่งถ้าเราคิดจะลงทุนจริงๆ  เงินปันผลที่ได้รับ  ก็เพียงแค่ไม่ถึง  2  %  ของเงินลงทุนด้วยซ้ำ  นี่ผมกำลังพูดถึงหุ้นเติบโตที่แข็งแกร่งอยู่นะครับ  แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นหุ้นที่แข็งแกร่ง  เงินลงทุนมันก็ควรจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากกว่านี้  ผมจึงเห็นว่าตลาดหุ้นช่วงนี้  “มันบ้า”  ซึ่งแม้แต่ทุกวันนี้  ผมก็ระแวดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา  เพราะราคาหุ้นช่วงนี้มันเกินไปแล้ว  ถึงแม้ว่าด้านหนึ่งผมก็ดีใจที่ราคาหุ้นของผมสูงขึ้น  แต่อีกด้านหนึ่งผมก็เป็นห่วง  เนื่องจากว่าถ้าถึงวันที่ตลาดแตกตื่นขึ้นมา  ราคาหุ้นมันก็คงร่วงลงอย่างไม่เป็นท่า  ถึงแม้ว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลการดำเนินงานของบริษัทเลยสักนิดก็ตาม

     ผู้ที่กำลังเข้ามาในตลาดหุ้นใหม่นี้  ทำให้ผมนึกถึงการที่เราไปกินอาหารที่ร้านหมูกระทะ  ซึ่งตอนที่เขากำลังเริ่มเปิดร้านก็มีหลายคน(รวมทั้งผมเอง)เข้าไปนั่งในร้านเป็นกลุ่มแรกๆ  เมื่อเราลองกินดูก็รู้สึกว่าอาหารอร่อยและราคาไม่แพง  ด้วยความหวังดีต่อเพื่อนร่วมโลก  ทุกคนในร้านต่างก็โทรบอกคนรู้จักให้เข้ามาร่วมกันกินที่ร้านนั้นโดยบอกว่าร้านนี้เข้าท่าผู้ว่ายกนิ้ว  เมื่อคนรู้จักของทุกคนได้รับการบอกกล่าว  ต่างคนต่างก็รีบมุ่งหน้ามาที่ร้านนั้นด้วยความหวังว่าจะฟาดให้เต็มคราบ  แต่อนิจจา  เมื่อหลายๆคนมาถึงกลับพบว่า  อาหารที่บอกว่าดีเหล่านั้น  กลับไม่ค่อยมีมาเติมให้สำหรับคนที่มาใหม่เสียแล้ว  แล้วถ้าเป็นคุณ  คุณยังจะยอมเสียเงินเท่าคนอื่นเพื่อไปร่วมในมหกรรมการกินนั้นหรือไม่  เพราะในขณะที่ทุกคนต้องจ่ายเท่ากัน  แต่อาหารดีๆกลับไม่เหลือมาถึงเราแล้ว  เมื่อผู้มาใหม่กำลังไปถึง  คนที่เข้าไปเป็นกลุ่มแรกๆก็กำลังเดินออกจากร้านมาด้วยอาหารชั้นเลิศที่เต็มกระเพาะและรอยยิ้มที่สุขสม  คุณจะจ่ายเงินเท่ากันกับคนอื่นเพื่อเข้าไปกินแต่ผักงั้นหรือ?

     ช่วงนี้ทางตลาดหลักทรัพย์ก็ขยันเดินสายเสียจริง  นี่คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งกระมังที่ทำให้มีคนเข้ามาร่วมในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น  ผมก็ไม่ได้บอกว่ามันเป็นเรื่องผิด  ที่ใครต่อใครต่างก็อยากรวย  แต่ผมอยากให้มุมมองส่วนตัวไว้อย่างหนึ่งว่า  ในขณะที่ราคาหุ้นกำลังแพงเต็มเหยียดอย่างนี้  ถ้ามันจะขึ้น  มันจะขึ้นไปได้อีกสักเท่าไหร่  และถ้ามันตก  มันจะตกได้สักเท่าไหร่?  เรื่องนี้ไม่มีอะไรแน่นอน  ในขณะที่หุ้นอยู่ที่  1500  จุดและเต็มมูลค่าแล้ว  หรือบางทีก็เวอร์นิดๆ  ถ้ามันขึ้นมันก็คงได้อีกไม่มาก  แต่ถ้าเวลามันตก  คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็จะรู้ว่านรกมีจริง  เพราะในขณะที่หุ้นกำลังตกอย่างน่ากลัว  มือใหม่ซึ่งเป็นพวกลูกวัวไม่กลัวเสือก็จะดี๊ด๊าพากันเข้าไปซื้อแล้วบอกว่าได้ของถูก  แต่เมื่อมันตกลงมาอีกเรื่อยๆ  คนที่เก๋าเกมกว่าก็จะหายหน้าไปทันที  ซึ่งโดยปกติแล้วตลาดต้องมีการถ่วงน้ำหนักทั้งด้านซื้อและด้านขาย  แต่เมื่อไม่มีคนอยู่อีกด้านหนึ่ง  เพราะใครๆก็กลัวเสียเงินทั้งนั้น  เมื่อถึงเวลานั้นตลาดก็จะพัง  แล้วมือใหม่ก็จะพากันติดดอยทั้งประเทศ...ไชโย

     ผมก็พูดเกินไป  บางทีสิ่งนั้นอาจจะไม่เกิด  แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นจริง  เพราะธรรมชาติทุกสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง  เพียงแต่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง  และลองถามตัวคุณเองเถอะว่า  คุณพร้อมหรือยังเมื่อวันนั้นมาถึง

     สำหรับข้อคิดในวันนี้คือ  ถ้าคุณเข้าซื้อหุ้นแล้วหุ้นมันตกจาก  1500  จุดลงมาเหลือ  750  จุด  นั่นเท่ากับว่าคุณเสียเงินไป  50  %  ใช่ไหม  แต่ถ้ามันกระเด้งกลับมาที่เก่า  คุณก็ไม่ได้เสียอะไรเลยถ้าคุณไม่ได้ขายมันออกไป  แต่ถ้ามีอีกคนหนึ่งเข้ามาซื้อหุ้นตอนที่มันตกลงมาเหลือ  750  จุดแล้วมันกระเด้งกลับขึ้นมานี่สิ  นั่นเท่ากับว่าคนที่โชคดีคนนั้นจะทำเงินได้เท่ากับ  100  %  เชียวนะ  และยิ่งช่องว่างตรงนั้นถ่างกว้างเท่าไหร่  ผลตอบแทนที่ได้รับเกี่ยวกับการเข้าตลาดถูกจังหวะก็จะมากขึ้น  สมมติอีกว่าถ้าตลาดตกลงมาเหลือ  150  จุด (มันคงเป็นไปไม่ได้  ผมแค่ยกตัวอย่างเท่านั้น)  ถ้าคุณซื้อหุ้นตอน  1500  จุด  คุณจะติดลบ  90  %  แต่ถ้าคุณโชคดีเข้าไปซื้อตอน  150  จุดทัน  ผลตอบแทนที่คุณจะได้รับเมื่อมันกระเด้งกลับมาที่เก่าก็คือ  900  %  นะครับ!!!

     เมื่ออ่านจบแล้ว  ทีนี้ก็มาถึงดุลพินิจของคุณเองแล้วแหละว่าจะเห็นด้วยกับผมหรือไม่  เพราะเรื่องอย่างนี้คุณต้องคิดเอาเอง  ในเมื่อคุณต้องการเข้าสู่โลกของนักลงทุนแล้ว  คุณก็ควรจะคิดเองและแยกแยะให้ได้ว่า  อันไหนเป็นความเห็น  และอันไหนเป็นข้อมูล  ผมหวังว่าพวกคุณคงจะมีความสามารถเพียงพอที่จะแยกแยะได้ว่าอันไหนเป็นอะไร  และมันมีประโยชน์กับเราแค่ไหน  แต่ถ้าคุณไม่ทราบ  ผมพอจะยกตัวอย่างได้บางส่วน

ความเห็น
-ตลาดเป็นขาขึ้น  ราคาหุ้นจะไปต่อ
-ตรงนี้เป็นแนวรับ  เมื่อหุ้นตกลงมาให้ซื้อ  ตรงนี้เป็นแนวต้าน  เมื่อหุ้นขึ้นมาถึงค่อยขาย
-หุ้นตัวนี้มีเจ้ามือ  เจ้ากำลังปั่น

ข้อมูล
-หุ้นตัวนี้ปันผลทุกปีไม่เคยขาด  ปีละ...บาท
-บริษัทกำลังได้งานใหม่
-บริษัทกำลังขยายสาขา
-บริษัทออกสินค้าตัวใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 18 เมษายน 2013, 15:40:45
ถัว
     นักลงทุนทั้งมือเก่าและมือใหม่คงจะคุ้นเคยกับคำนี้เป็นอย่างดี  เพราะมันเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การเล่นหุ้นที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ  แต่ในความเป็นจริงแล้ว  มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด  เพราะมันมีอะไรที่ลึกกว่าแค่คำว่า  "ถัว"  ธรรมดาๆ
 
     ความหมายของคำว่าถัวโดยกว้างๆก็คือ  ทำสิ่งที่เรามีอยู่ทั้งหมดให้เป็นจำนวนที่เท่ากันหรืออยู่ในระดับเดียวกัน  เมื่อนำวิธีการถัวมาใช้ในการเล่นหุ้น  การถัวนิยมทำกันเมื่อหุ้นลงมากกว่าหุ้นขึ้น  สาเหตุที่ต้องถัวตอนหุ้นลงก็เนื่องจากว่า  เราต้องการต้นทุนราคาหุ้นที่ถูกลง  และสิ่งที่ตลกในมุมมองของผมก็คือ  บ่อยๆที่นักวิเคราะห์ชอบบอกให้ขายหุ้นทิ้งเมื่อหุ้นตกลงมา  โดยเขาให้เหตุผลว่า  เป็นการลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นเมื่อมันจะตกลงไปอีก  อย่ากระนั้นเลย  โดยความเห็นส่วนตัวของผมแล้วมองว่า  ความสูญเสียนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว  เพราะเมื่อคุณได้ขายหุ้นออกไปในราคาที่ขาดทุน  มันก็คือความสูญเสีย  ถ้าคุณโดดเข้าไปเล่นกับหุ้นร้อนแล้วไม่รู้จักขายไปในตอนที่ได้กำไร  นั่นก็แสดงให้เห็นว่า  "คุณไม่เก่ง"  เพราะด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าก็คุณเข้าไปซื้อมันมา
 
     สิ่งที่ผมบอกว่าการถัวนั้นลึกกว่าที่คุณคิดก็คือ  สมมุติว่าเมื่อหุ้นตัวที่คุณมีอยู่ได้ตกลงมา  คุณจะถัวเลยหรือไม่  สิ่งที่ผมกำลังจะบอกคุณต่อไปนี้ก็คือ  การถัวมันเป็นกลยุทธ์  แต่มันไม่ได้หมายถึงว่าคุณจะใช้ได้พร่ำเพรื่อหรือกับหุ้นทุกตัว  เดี๋ยวผมจะยกตัวอย่างให้ดู
 
     หุ้นสุดคลาสสิกตัวหนึ่งที่นักวิเคราะห์หรือใครหลายๆคนฝันและเชียร์ให้มันราคาไปถึงหนึ่งพันบาท  " BANPU "  หุ้นตัวนี้มีราคาสูงสุดในวันที่  5/1/11  ด้วยราคา  868  บาท  ในขณะนั้นตลาดทั้งตลาดเต็มไปด้วยเสียงเชียร์ว่าเป้าหมายหนึ่งพันบาท  และคุณก็เป็นคนหนึ่งที่สนใจในหุ้น  BANPU  คุณกำลังคิดว่าถ้าซื้อตอนนี้  ยังเหลืออีกหลายบาทกว่าจะถึงพัน  อย่ากระนั้นเลย  เข้าสักเล็กน้อยพอให้กระชุ่มกระชวยดีกว่า  เมื่อคุณซื้อเสร็จเรียบร้อย  หลังจากนั้น  1  เดือน  ราคาหุ้นก็ไหลลงมาเรื่อยๆ  คุณนั่งสังเกตอยู่เงียบๆแล้วรำพึงรำพันว่า  ถ้ามันน่าซื้อที่แปดร้อย  มันจะเป็นเรื่องที่ดีมากที่จะซื้อในราคานี้  ว่าแล้วคุณก็ควักกระเป๋าซื้อหุ้นเข้ามาอีกในราคา  700  บาท  และเมื่อเวลาผ่านไปถึงจนสิ้นปี  2011  ราคาหุ้นเหลืออยู่ห้าร้อยกว่าบาท  คุณคงจะต้องคิดว่า  ถ้ามันน่าซื้อที่  700  บาท  มันจะต้องน่าซื้อมากที่สุดที่ราคานี้  ว่าแล้วคุณก็ทุ่มสุดตัวเข้าไปที่ราคานั้น  และจวบจนถึงวันนี้  ราคาหุ้นบ้านปูเหลืออยู่สามร้อยกว่าบาท  คุณจะบอกกับตัวเองว่าอย่างไร  ในเมื่อวันนี้เงินคุณหมดแล้ว
 
     สิ่งที่เป็นประเด็นก็คือ  ถ้าคุณมองแต่ราคาหุ้นแล้วเล่นอย่างนี้  อีกไม่นานคุณก็คงต้องขายบ้านแล้วไปหาถ้ำอยู่  จริงๆสิ่งที่ควรให้ความสำคัญมากกว่าราคาหุ้นก็คือ  "เรื่องราวของบริษัท"  เพราะช่วงที่ราคาหุ้นกำลังไหลลง  ข่าวเกี่ยวกับการฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากบ้านปูเป็นเงินจำนวนมากและราคาถ่านหินที่ลดลงเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวพันกับความสามารถในการหาเงินและความสามารถในการจ่ายเงินปันผลของบริษัทในอนาคต  ซึ่งสิ่งนี้เป็นตัวกดดันทำให้ราคาหุ้นไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง
 
     ตัวอย่างอีกหนึ่งบริษัท  " THAI "  หุ้นสายการบินแห่งชาติที่ครั้งหนึ่งในอดีตเคยรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก  มันมีราคาหุ้นสูงสุดในวันที่  30/11/10  ด้วยราคา  57.25  บาท  และในกรณีเดียวกับบ้านปู  ราคาหุ้นไหลลงมาเรื่อยๆ  จวบจนถึงวันนี้  ราคาหุ้นเหลืออยู่ยี่สิบกว่าบาท  ประเด็นเกี่ยวกับหุ้นตัวนี้คือ  การเข้ามาแข่งขันของสายการบินราคาถูก  ทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดลดลง  และสิ่งที่ผมมองว่าเป็นจุดอ่อนอย่างมากก็คือ  "มันมีสหภาพแรงงาน"  การมีสหภาพภายในองค์กร  ทำให้ลูกจ้างแข็งแกร่งและมีพลังในการต่อรองกับนายจ้างมาก  เราคงจะเคยเห็นข่าวเกี่ยวกับการนัดหยุดงานหลายๆครั้งที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน  ไม่ว่าจะเป็นสายการบินหรือรถไฟ  ซึ่งหลายต่อหลายครั้ง  การนัดหยุดงานประท้วงมาจากการบินไทย  ไม่ว่าข้อต่อรองจะสำเร็จหรือไม่  นายจ้างก็จะมีแต่เจ็บตัว  ถ้าตกลงกันได้  นายจ้างก็ต้องทำตามข้อตกลง  ไม่ว่าจะเป็นการขอขึ้นเงินเดือน  การเพิ่มสวัสดิการ  ฯลฯ  แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้  การประท้วงก็จะยืดเยื้อต่อไป  ทำให้นายจ้างเสียผลประโยชน์
 
     เมื่ออ่านจบแล้ว  หวังว่าพวกคุณทั้งหลายคงจะพอเห็นภาพกันบ้าง  การถัวสามารถทำได้  ถ้าบริษัทนั้นเรื่องราวยังดีอยู่หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้นก็คือ  เรื่องราวนั้นดีขึ้นแต่ราคาหุ้นตกลงมา  การที่คุณซื้อหุ้นเพิ่มเข้ามาโดยที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องราวของบริษัทดีๆจะทำให้คุณเสียหายอย่างใหญ่หลวงได้  อย่างเช่นตัวอย่างข้างต้น  สิ่งที่คุณควรทำไม่ใช่ถัว  แต่ควรขายทิ้งเมื่อเห็นว่าปัญหานั้นจะทำให้บริษัทดูไม่ดี  ทิ้งท้ายกับบทความนี้ก็คือ  "คุณต้องเข้าใจในสิ่งที่คุณกำลังจะลงทุน"  ก่อนจากกันวันนี้  ผมมีตัวอย่างการถัวเล็กๆน้อยๆส่วนตัวมาฝากครับ
 
     ในวันที่  11/2/2013  ผมเข้าซื้อหุ้น  JAS  10000  หุ้นที่ราคา  6.20  บาท
 
     และพอถึงวันที่  12/2/2013  หุ้นตกลงมา  ผมจึงเข้าซื้ออีก  10000  หุ้นที่ราคา  6.05  บาท
 
     วันที่  15/2/2013  หุ้นตกลงมาอีก  ผมก็เข้าซื้ออีก  10000  หุ้นที่ราคา  5.80  บาท
 
     พอถึงวันที่  21/2/2013  หุ้นดีดกลับมาที่  6.30  ผมก็เลยเทขายหมดเลย
 
     กำไรที่ผมทำได้ในงวดนั้นเป็นเงิน  7818  บาท  แม้จะเป็นเงินไม่มาก  แต่มันก็ดีกว่าเสียเงินเป็นไหนๆใช่ไหมครับ  มีนักลงทุนขาใหญ่คนหนึ่งเคยบอกว่า  "ถ้าคุณไม่พนัน  คุณก็จะไม่ชนะ  แต่ถ้าคุณเสียเงินทั้งหมดไป  คุณจะไม่มีวันชนะเลย"


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 18 เมษายน 2013, 17:27:47
  ในการถัวแต่ละครั้งก็ต้องดูด้วยนะครับว่าหุ้นนั้นมันเป็นอย่างไร ดูภาวะตลาดด้วย แนวโน้วในอนาคต

อย่างตอนนี้ทองคำหลาย ๆ สำนักก็ให้ตัดขาดทุน ( Cut loss ) ไปก่อน รวมทั้งหุ้นบ้านปูด้วย

เพราะในบางครั้งเมื่อกระแสโลกเปลี่ยนไป แหล่งพลังงาน ฯลฯ ก็ย่อมเปลี่ยนไปตากกระแส และอาจวกมาอีกก็เป็นได้

ในบางครั้งเราอาจได้ยินคำว่า wait and see หรือที่คุณวายุว่ารอให้มันเสด็จน้ำก่อนนั่นแหละ ผมจะถัวก็ต่อเมื่อหุ้นนั้นมันอยู่ในกระแส


ปล.ภาพที่คุณวายุนำขึ้นใหญ่มาก จอผม 17 นิ้วดูลำบากมากครับ... ;) ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 08 พฤษภาคม 2013, 15:40:10
อนุรักษ์นิยม
  มือใหม่หลายๆท่านรวมถึงผมและนักลงทุนมือเก่าที่ชอบศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการลงทุนคงจะเคยพบกับคำนี้อยู่บ่อยๆ  และถ้าถามหลายๆคนว่ามันหมายความว่าอย่างไร  คำตอบที่ได้คงจะออกมาแตกต่างกันตามความเข้าใจหรือความแตกฉานของการศึกษาในแต่ละคน  แต่ถ้าเป็นความเข้าใจของตัวผมเองแล้ว  ผมจะตอบว่า  "การลงทุนแบบเน้นความปลอดภัย"  พูดสั้นๆกระชับได้ใจความ  แต่มันมีประเด็นที่สามารถแตกออกมาได้มากมาย  ไม่ว่าจะเป็นความปลอดภัยที่ตัวกิจการ  ปลอดภัยที่ภาวะตลาดหุ้น  หรือปลอดภัยที่ผลตอบแทน
 
     ปลอดภัยที่ตัวกิจการ  อันนี้เราต้องมีความเข้าใจในการทำธุรกิจ  เพราะธุรกิจแต่ละประเภทมีลักษณะการหารายได้ไม่เหมือนกัน  ถ้าเราสามารถแยกได้ว่ากิจการไหนปลอดภัยหรือหวือหวา  เราก็ถือได้ว่าเป็นนักลงทุนที่เก่งพอสมควร ซึ่งเมื่อเรารู้แล้วว่าบริษัทนี้ทำธุรกิจแบบไหน  ตรงนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วล่ะว่า  เราพอใจที่จะลงทุนในกิจการนั้นๆหรือไม่  ถ้าพูดถึงกิจการใหญ่ๆในประเทศที่ใครๆก็รู้จัก  มันก็ไม่ได้หมายความว่ากิจการทุกกิจการที่ใหญ่ๆจะปลอดภัย  ถ้าจะให้ผมแยกประเภทว่าอันไหนเสี่ยง  ผมสามารถแยกได้ดังนี้  น้ำมัน  ถ่านหิน  ปิโตรเคมี  ปูน  เหล็ก  รถยนต์  ท่องเที่ยว  ฯลฯ  ธุรกิจพวกนี้มักจะเติบโตในช่วงที่เศรษฐกิจดี  เนื่องจากว่าประชาชนมีกำลังจับจ่ายใช้สอย  และถ้ามองลึกลงไปในรายละเอียดก็จะพบว่า  ธุรกิจที่น่าเป็นห่วงในกลุ่มนี้ก็คือ  ธุรกิจที่ไม่สามารถกำหนดราคาขายได้เองอย่างเช่นแก๊ส  น้ำมัน  ถ่านหิน  เดินเรือ  หรือพวกปิโตรเคมี  กิจการที่ทำธุรกิจประเภทนี้  เมื่อถึงคราวที่เศรษฐกิจดี  ราคาขายพุ่ง  กำไรก็จะโตกระฉูด  ราคาหุ้นของกิจการเหล่านี้ก็วิ่งกันระเบิด  ถ้าเรามองออกว่ามันกำลังเป็นขาขึ้นของกิจการ  เราก็จะรวย  แต่เมื่อถึงคราวที่ราคาขายของผลิตภัณฑ์ตกลงมา  หรือเป็นขาลง  ราคาหุ้นก็ทรุดตาม  ถ้าเราเข้าผิดจังหวะ  ต่อให้ถือยาวแค่ไหนก็ไม่กำไร  หนำซ้ำ  ยิ่งถือนานเท่าไหร่ก็ยิ่งขาดทุน  เพราะราคาหุ้นมันจะตกลงไปเรื่อยๆ  เพราะฉะนั้น  ที่  "เขา"  บอกว่าถือยาวแล้วดี  จึงไม่เป็นความจริง  และถึงแม้ว่าราคาหุ้นจะกลับมาได้  แต่มันก็อาจจะทำได้แค่เท่าทุนของคุณเท่านั้น  สำหรับหุ้นประเภทนี้  คนที่เรียกตัวเองว่าอนุรักษ์นิยม  จึงไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
 
     แล้วหุ้นแบบไหนล่ะที่เหมาะกับคนประเภทอนุรักษ์นิยม?  คุณก็ต้องมองหาความสม่ำเสมอของรายได้กิจการน่ะสิเช่น  ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ  ไฟฟ้า  ประปา  ค้าปลีก  รถไฟฟ้า  และสินค้าหรือบริการจำเป็นต่างๆที่ผู้บริโภคจะไม่งดมัน  (แต่มันก็ไม่เหมือนน้ำมันหรอกนะ  เพราะถึงคนจำเป็นต้องเติมน้ำมันทุกวัน  แต่ราคาขายน้ำมันในแต่ละวันมันก็สามารถขึ้นลงได้)  และที่สำคัญสุดยอดสำหรับหุ้นประเภทนี้ก็คือ  ยิ่งกิจการไหนสามารถขึ้นราคาขายได้โดยที่ลูกค้าไม่หายหน้า  กิจการหรือบริษัทนั้นจะถือว่าสุดยอดมาก  อย่างเช่นอาหารพร้อมทานก็เป็นตัวหนึ่ง  เพราะถ้าราคาหมูหรือไก่ขึ้น  บริษัทสามารถขึ้นราคาขายได้  เพราะแม้จะเป็นร้านข้างทาง  เมื่อหมูหรือไก่แพง  เขาก็ต้องขึ้นเหมือนกัน  เพราะฉะนั้น  บริษัทที่ทำธุรกิจตรงนี้ก็จะไม่เสียเปรียบร้านข้างทาง  เนื่องจากว่ามันโดนกันถ้วนหน้า  ซึ่งมันก็จะมีผลทำให้กำไรของบริษัทไม่ตกลงมา  และธุรกิจที่ผมสังเกตดูอีกอย่างหนึ่ง  ซึ่งไม่ว่าราคาขายจะเพิ่มขึ้นขนาดไหน  สาวกก็ยังอุดหนุนกันอยู่ไม่ได้ขาดก็คือ  เหล้าและบุหรี่ครับ
 
     ปลอดภัยที่ภาวะตลาดหุ้น  คนที่เรียกตัวเองว่า  VI  ก็มักจะลงทุนลักษณะนี้  ในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังบูม  VI  ตัวจริงจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น  เพราะช่วงเวลานั้นมีแต่ของแพง  หรืออย่างน้อย  มันก็แค่ราคาเหมาะสมกับตัวมัน  สิ่งที่  VI  รวมถึงคนที่อนุรักษ์นิยมต้องการก็คือ  "ของถูก"  เพราะฉะนั้น  ถ้าคุณอยากจะปลอดภัยจากภาวะตลาดหุ้น  คุณควรจะขยับตัวตอนที่หุ้นมันตกลงมามากๆเท่านั้น
 
     ปลอดภัยที่ผลตอบแทน  คนที่อนุรักษ์นิยมอย่างสุดโต่งต้องการมากกว่าของถูก !!!  เหตุผลที่ดีที่ถูกกล่าวอ้างก็คือ  ถึงแม้ว่าหุ้นของบริษัทนั้นจะเป็นกิจการที่มีรายได้สม่ำเสมอและสามารถขึ้นราคาสินค้าได้  หรือราคาหุ้นมันถูกเมื่อเทียบกับคุณค่าของมัน  แต่ถ้าไม่มีเงินปันผลหรือหุ้นไม่ขึ้นมันก็เปล่าประโยชน์ที่จะซื้อมัน  และที่สำคัญ  เงินปันผลเป็นสิ่งเดียวที่สามารถสัมผัสได้จริงไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง  ตัวเลขทางบัญชี...ไม่ว่าจะเป็นยอดขายหรือกำไร  มันสามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขในสิ่งที่บริษัทอยากให้มันเป็นได้  หรือบริษัทอาจจะเล่นแร่แปรธาตุตัวเลขเพื่อให้มันดูดี  แต่ถ้าบริษัทไม่มีเงินในกระเป๋าจริงๆแล้ว  บริษัทนั้นก็ไม่สามารถจ่ายปันผลได้  แต่ถ้าบริษัทไหนสามารถจ่ายปันผลได้อย่างต่อเนื่อง  นี่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เชื่อได้ว่า  บริษัทนี้คือของจริง !!!


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 23:17:32
พี่มาก
     ช่วงนี้กระแสหนังเรื่องพี่มากแรงถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์เลยทีเดียว  และพอดีผมได้ไปอ่าน
บทความที่เขียนวิจารณ์เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ประมาณว่า  "เป็นหนังผีตลกไร้สาระ  แค่การตลาดดีโปรโมทเยี่ยม
ยังไงมันก็ขายได้  ทำหนังกันอย่างนี้  วงการหนังไทยถึงไม่พัฒนา"  ทีนี้ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  ถ้าจะให้เลือก
หว่าง  หนังดีแต่ขายไม่ได้  กับไร้สาระแต่กำไรถล่มทลาย  ผู้สร้างหรือนายทุนชอบแบบไหนมากกว่ากัน?  
ถ้ามองจากด้านทุนนิยมแล้ว  ร้อยเปอร์เซ็นต์ต้องชอบกำไรมากๆไว้ก่อน  แต่ถ้าเป็นนักวิจารณ์หนังหรือคนที่
เกี่ยวข้องกับวงการนี้แบบลึกๆ  ก็คงอยากเห็นหนังมันพัฒนา  แต่สิ่งที่ผมไม่เข้าใจก็คือ  คำว่าพัฒนาหมายถึง
อะไร  หมายถึงเราควรสร้างหนังจากบทภาพยนต์ที่เขียนออกมาใหม่ๆ  ไม่ควรเล่นง่ายๆด้วยการไปนำบท
ภาพยนต์เก่าเอามาดัดแปลงทำอย่างนั้นน่ะหรือ?  หรือว่าถ้าอยากจะทำหนังจากบทภาพยนต์เก่าๆ  
เราก็ไม่ควรจะไปดัดแปลงให้มันเพี้ยนไปกว่าของเดิม  ถ้านักวิจารณ์อยากให้มันเป็นอย่างนั้นจริง  
ลองดูสภาพของหนังเรื่องคู่กรรมหน่อยเป็นไร  เนื้อเรื่องซ้ำซาก  ไม่มีอะไรใหม่  
ไม่ต้องเข้าไปดูก็รู้เนื้อเรื่อง หมดแล้ว  อย่างนี้จะให้คนเสียเงินซื้อกันหรือ  และอย่างที่เรารู้กัน  
ตั๋วหนังบ้านเราแพงติดอันดับ  
ใครจะซื้อสินค้าเก่าในแพ็คเกจใหม่กันบ้างล่ะ  และจากการสังเกตของตัวผมเองพบว่า  
นักวิจารณ์ไม่ได้เขียนถึงเรื่องคู่กรรมซึ่งขายไม่ดีเลย  อันนี้ทำให้ผมรู้สึกเอาเองว่า  
นักวิจารณ์ลำเอียงหรืออิจฉาออกหน้าออกตาไปหน่อยไหม

     ในสภาวะอย่างเช่นทุกวันนี้  การลงทุนแล้วได้กำไรเป็นเรื่องใหญ่  เนื่องจากคำจำกัดความเกี่ยว
กับภาพยนต์ในทุกวันนี้เขาใช้คำว่า "อุตสาหกรรมหนัง"  และในเมื่อเขาใช้คำว่าอุตสาหกรรม  
มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงความคุ้มค่าในการลงทุนก่อน  ถ้ามันเป็นของดีแต่ขายไม่ได้  
มันก็ไม่มีใครอยากลงทุน หรือว่านักวิจารณ์ทั้งหลายอยากจะลองทำกันเองดู?  ผมอยากถามนักวิจารณ์
หนังดูว่า  ถ้าคุณเป็นนักลงทุน  คุณจะซื้อหุ้นของหนังเรื่องไหน

     เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงคำสอนในหนังสือพ่อรวยสอนลูกที่บอกว่า "สินค้าไม่จำเป็นต้องใหม่  
เพียงแต่ต้องดีกว่า"  คำสอนตรงนี้เข้าใจได้ไม่ยาก  ถ้าจะให้ผมอธิบายง่ายๆก็คือ  เราไม่จำเป็นต้องไปนั่ง
คิดค้นหรอกว่า  จะทำอาหารชนิดใหม่ที่ยังไม่เคยมีในโลกขึ้นมาขาย  เราเพียงแค่ทำให้อร่อยกว่าที่เป็นอยู่
มันก็ขายได้แล้ว  จริงๆแล้วถ้าเรามีความเป็นอัจฉริยะมากพอ  เราสามารถประดิษฐ์สิ่งที่ไม่เคยมีในโลกและ
นำมันออกมาขายได้  แต่สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ  มีคนไม่มากนักที่สามารถประสบความสำเร็จได้จากสินค้าไฮเทค
เหล่านั้น  เพราะบางครั้ง  เราสามารถสร้างสิ่งนั้นขึ้นมาได้  แต่สินค้าเหล่านั้นกลับไม่มีคนต้องการหรือขาย
ไม่ได้  สำหรับสินค้าบางอย่างที่ทำออกมาแล้วมีแต่คนอยากจะได้  มันจะทำให้ผู้คิดค้นรวย  
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเมื่อเร็วๆนี้ก็คือ iPhone  สิ่งนี้ทำให้แอปเปิ้ลเกิดได้  และก็อย่างที่เราเห็น  
ซัมซุงก็เข้ามา  แต่ผมไม่ได้บอกว่าใครจะโค่นใคร  เพียงแต่กำลังจะสื่อว่า  
ซัมซุงไม่ได้ทำของเป็นคนแรก  เพียงแค่ทำสิ่งที่มีอยู่แล้วให้(เห็นว่า)ดีกว่า...ถูกกว่าก็เท่านั้นเอง


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 26 พฤษภาคม 2013, 12:34:08
พรุ่งนี้มีงาน...เปิดตัวหนังสือเล่มนี้ด้วยโดยประธานชมรมด้วย  ถ้าว่างผมจะไป.


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 27 พฤษภาคม 2013, 21:31:28
ไปมาแล้วครับงานเปิดหนังสือตระกูลพ่อรวย พ่อจน เวอร์ชั่น(ใหม่) ในบรรดาเงิน 4 ด้าน

เลือกเอาครับ ว่าใครจะซ้ายจัด ขวาจัด หรือสุดโต่ง แต่ผมขอกลาง ๆ ก่อนหนาช่วงนี้..^^


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 27 พฤษภาคม 2013, 22:21:25
มะซื้อต่อ 50% 55+ (http://มะซื้อต่อ 50% 55+)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 28 พฤษภาคม 2013, 19:19:34
มะซื้อต่อ 50% 55+ (http://มะซื้อต่อ 50% 55+)

  ว่าจะเก็บไว้ครับคุณวัยทองฯ บังเอินเล่มนี้มันมีตำหนิพิเศษ  แต่เล่มอื่น ๆ ผมอ่านหลายรอบแล้วให้เขาไปหมดเลย

ต้องขออภัยจริง ๆ เมื่อวานย้ายที่นั่งหลายที่มาก กระทั่งบันได ตอนไปทั้งรถเมล์ฟรี,ลอยฟ้าและมุดดิน ตอนกลับมุดดินมาลงบางซื่อ

ต่อด้วย Taxi มาบ้านพัก ขรก.รัฐสภาอีก บวก 50% ยังน้อยไปสำหรับเล่มนี้ ถึงแม้จะได้ส่วนลดแล้ว 15% ในงานก็ตาม 55+


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: chamrus ที่ วันที่ 11 มิถุนายน 2013, 21:32:48
ทองตก ก็เห็นแล้ว วันนี้หุ้นตกอีก ช่างเป็นวาสนาของเราจริงๆๆ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 13 มิถุนายน 2013, 15:47:32
ผมเคยเตือนไปแล้วตอนวันที่  10  มีนาคม  กระทู้ #707  ลองย้อนกลับขึ้นไปอ่านดูนะครับ  ช่วงนี้ผมก็ไม่มีหุ้นแล้วล่ะครับ  กำลังรอช็อปของถูกอยู่


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 13 มิถุนายน 2013, 15:54:16
ประกัน
     ช่วงที่ผ่านมามีเด็กที่บ้านผมประสบอุบัติเหตุเอารถมอเตอร์ไซค์ไปชนจนสาหัส  ต้องเข้าโรงพยาบาลและพักรักษาตัวนานพอสมควร  แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็น  ประเด็นที่ผมจะเอามาลงนี้มันเป็นเรื่องที่จุดประกายความคิดมาจากเรื่องที่เด็กไปประสบเหตุครับ

     เมื่อพูดถึงเรื่องประกัน  หลายคนอาจจะยังไม่ได้สนใจกับบทบาทของมันมากนัก  เนื่องจากว่าถ้าชีวิตเป็นปกติสุขดี  เราจะรู้สึกว่ามันเป็นภาระ  บางคนเคยเปรียบเปรยไว้ว่า  การทำประกันคล้ายกับการพกร่มไปไหนต่อไหน  ถ้าวันไหนท้องฟ้าแจ่มใส  เราจะรู้สึกว่าไม่จำเป็น  แต่ถ้าเดินๆอยู่แล้วฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่  เมื่อนั้นเราจะรู้สึกดีกับร่มขึ้นมาทันที  ลองนึกดูสิครับว่า  ถ้าคุณไม่มีที่หลบฝนและคุณไม่ได้พกร่ม  ตัวคุณจะมีสภาพเป็นอย่างไร

     กฏข้อแรกของการทำประกันก็คือ "คุณไม่สามารถซื้อประกันได้ในเวลาที่คุณต้องการ"  การทำประกันนั้นให้ความรู้สึกสงบทางใจ  เพราะหลังจากที่คุณได้ทำประกันแล้ว  คุณจะรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น  ไม่ว่าเหตุผลนั้นจะเป็นเพื่อที่คนข้างหลังจะได้ไม่ต้องเดือดร้อน  หรือว่าเราจะมีเจ้ามือจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เราถ้าต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้ม  เมื่อก่อนผมก็นึกว่าเขาพูดเรื่องนอนหยอดน้ำข้าวต้มนี้เป็นเรื่องขำๆ  แต่พอผมเห็นอาหารที่พยาบาลเขาเอามาให้เด็กกิน  มันคือน้ำข้าวและน้ำผัก  เพราะว่าเด็กยังไม่มีแรงที่จะเคี้ยว  อาการที่ผมเป็นก็คือ "หัวเราะมิได้  ร่ำไห้มิออก"  มันขำไม่ออกจริงๆครับ

     การทำประกันนี้จะเป็นการจำกัดรายจ่ายบางอย่างที่เราไม่สามารถคาดการณ์ได้  เมื่อถึงเวลาที่เราต้องใช้ประกัน  เราอาจจะได้คืนมากกว่าหรือน้อยกว่าที่เราได้จ่ายออกไป  แต่นั่นมันไม่สำคัญหรอก เพราะถ้าเราพอใจที่จะทำประกัน  นั่นหมายถึงว่า  เราได้ควบคุมหรือจำกัดความเสี่ยงเอาไว้แล้วบางส่วน  เพราะไม่ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น  เราก็จ่ายในราคาที่เราได้ล็อคไว้แล้ว  และผมได้ค้นพบจากตัวเองว่า  "ประกัน"  เป็นสินค้าชนิดเดียวที่คนซื้อไม่ต้องการใช้มัน

     และก็เหมือนเดิม  ผมสามารถโยงทุกเรื่องที่ผมได้ออกความเห็นมาผูกกับเรื่องลงทุนได้  คุณคิดว่าการลงทุนในทุกวันนี้  มีการรับประกันว่าคุณจะได้เงินแน่ๆมีหรือไม่?  ตอบได้เลยว่า  "มี"  ยกตัวอย่างเช่น  เงินฝาก  สลากออมสิน  ประกันชีวิตบางประเภท  ตราสารหนี้และพันธบัตรที่มีความมั่นคง  อา...นี่คงเป็นการลงทุนในฝันของใครหลายคนที่ไม่ต้องการความเสี่ยงเลย  มันไม่ผิดหรอกที่คุณจะเลือกการลงทุนประเภทนี้  แต่คุณควรคำนวณผลตอบแทนด้วยนะว่าชนะเงินเฟ้อหรือไม่

     แล้วถ้าอยากได้อะไรที่มันแรงๆล่ะมีมั๊ย?  คำตอบก็คือ  "มี"  อีกนั่นแหละ  แต่คุณต้องรู้ด้วยนะว่า  การขับรถสปอร์ตมันต้องใช้ฝีมือขั้นเทพถึงจะควบคุมความแรงของมันได้  การลงทุนประเภทนี้ยกตัวอย่างเช่น  ซื้อหุ้นที่มีปันผล  ซื้ออสังหาเพื่อให้เช่า  ถ้าคุณพออ่านออก  คุณก็จะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า

     และสุดท้าย  ถ้าอยากรวยเลยล่ะ  อันนี้มันก็มีความเป็นไปได้  แต่โดยมากแล้วมันมักไม่ค่อยมีการรับประกันว่าคุณจะได้เงินจริงๆ  การลงทุนประเภทนี้  คุณจำเป็นจะต้องรับประกันโดยตัวคุณเอง  และโดยส่วนตัวแล้วผมมองว่ามันเหมือนม้าพยศ  ยกตัวอย่างเช่น  หุ้นที่กำลังขยายงานหรือกำลังเติบโต  เพราะหุ้นประเภทนี้จะปันผลน้อยหรือไม่ปันผลเลย  เนื่องจากว่าต้องเอากำไรที่ทำได้ไปขยายงานต่อ  ถ้าหุ้นตัวนั้นทำสำเร็จ  เราก็ได้ดีไปด้วย  หรือจะเป็นการซื้อขายอสังหาเช่น  ที่ดิน  บ้าน  คอนโด  ตึกแถว ฯลฯ  การลงทุนประเภทนี้ต้องอ่านว่าซื้อมาแล้วต้องขายได้  เพราะถ้าปล่อยไม่ออกก็ติดมือและเงินจม  เนื่องจากสินทรัพย์ประเภทนี้สภาพคล่องหรือการเปลี่ยนมือน้อยกว่าการลงทุนประเภทอื่น  การลงทุนประเภทอื่นก็จะมีทองคำ  โลหะต่างๆ  ภาพเขียน  แสตมป์  ของเก่า  ฯลฯ  ของพวกนี้ก็ต้องอ่านว่าสามารถขายได้และมูลค่ามันต้องเพิ่มขึ้นด้วย  เพราะถ้ามันพลาดขึ้นมา  มันไม่สามารถเข้าไปพักอาศัยได้เหมือนบ้าน  ไม่สามารถเอาไปให้เขาเช่าได้เหมือนที่ดินหรืออสังหา  ไม่มีเงินปันผลเหมือนหุ้น  ไม่มีดอกเบี้ยเหมือนเงินฝาก  และสุดท้าย  สิ่งที่ผมอยากเข้าไปยุ่งด้วยแต่ยังไม่กล้าก็คือตราสารอนุพันธ์  เพราะโดนส่วนตัวแล้วผมมองว่าของพวกนี้ความเสี่ยงสูงสุด  มันไม่ใช่แค่จะเสียเงินทั้งหมดไป  มันสามารถติดลบไปได้เรื่อยๆถ้าเราเก็งผิดทางและไม่ยอมแก้ไขสถานการณ์  สิ่งที่เราต้องระวังก็คือ  อย่าตกม้าตายก็พอ(พูดง่ายแต่ทำยาก)   แต่ถ้าเราคาดการณ์ได้ถูก  ไม่ต้องให้ใครมาฟันธงหรือคอนเฟิร์ม  เราก็จะรวยระยับจากเงินลงทุนเพียงน้อยนิด  เป็นที่อิจฉาของใครต่อใครรวมทั้งตัวผมเองด้วย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: LoveYou2 ที่ วันที่ 15 มิถุนายน 2013, 18:54:14
สิ่งที่ผมอยากเข้าไปยุ่งด้วยแต่ยังไม่กล้าก็คือตราสารอนุพันธ์  เพราะโดนส่วนตัวแล้วผมมองว่าของพวกนี้ความเสี่ยงสูงสุด  มันไม่ใช่แค่จะเสียเงินทั้งหมดไป  มันสามารถติดลบไปได้เรื่อยๆ

 จากข้อความของท่าน ว่ายุ

ในเชียงราย ถ้าอยากศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มีที่ไหนบ้างครับท่าน
ผมไม่ได้เข้าห้องนี้นานแล้ว
เคยติดตามเมื่อ2-3ปีก่อน เคยไปนั่งกิน ข้าวมันไก่ท่าน วายุ ด้วยนะครับ
ตอนนั้นยัง ทำงานเป็น E อยู่  ตอนนี้ขยับมาเป็น S+I
ส่วนตัว คิดว่าอยากลงทุนแนว VI แต่ด้วยเงินลงทุนอันน้อยนิด เพียง 1แสน
ก็เลยซื้อขายระยะสั้นแทน  เป็นแนวมั่ว แต่วันไหนตลาดลงแรงผมก็ไม่เข้า
วันไหนตลาด ติด+ มีโอกาสน้อยมากที่จะขาดทุน ถ้าไม่โลภ
ผมซื้อขายไม่ทิ้งข้ามวันครับ  เคยทิ้งไว้ข้าม2ครั้ง ตอนปิด +4 พันกว่า เปิดมาอีกวัน -3พัน
โดยที่ไม่ทันได้้เสนอขายเลย  เข็ดเบยครับ
หากวันไหนผมมีเงินมากพอผมก็จะเป็น VI เหมือนกันครับไม่อยากเฝ้าจอครับมันเหนื่อย ;D ;Dหรือวันไหนตลาดพัง วันนั้นคงได้เป็น VI   ;D ;D

เคยสอบถาม มาเก็ตติ้ง ว่าถ้าซื้อขาย ฟิวเจอร์ ต้องทำยังไง
เค้าบอกว่า ต้องมี สเตทเมนท์ 5 แสน สัญญา set สัญญาละ 47,500
สนใจมากเลยครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 16 มิถุนายน 2013, 09:42:55
สิ่งที่ผมอยากเข้าไปยุ่งด้วยแต่ยังไม่กล้าก็คือตราสารอนุพันธ์  เพราะโดนส่วนตัวแล้วผมมองว่าของพวกนี้ความเสี่ยงสูงสุด  มันไม่ใช่แค่จะเสียเงินทั้งหมดไป  มันสามารถติดลบไปได้เรื่อยๆ

 จากข้อความของท่าน ว่ายุ

ในเชียงราย ถ้าอยากศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มีที่ไหนบ้างครับท่าน
ผมไม่ได้เข้าห้องนี้นานแล้ว
เคยติดตามเมื่อ2-3ปีก่อน เคยไปนั่งกิน ข้าวมันไก่ท่าน วายุ ด้วยนะครับ
ตอนนั้นยัง ทำงานเป็น E อยู่  ตอนนี้ขยับมาเป็น S+I
ส่วนตัว คิดว่าอยากลงทุนแนว VI แต่ด้วยเงินลงทุนอันน้อยนิด เพียง 1แสน
ก็เลยซื้อขายระยะสั้นแทน  เป็นแนวมั่ว แต่วันไหนตลาดลงแรงผมก็ไม่เข้า
วันไหนตลาด ติด+ มีโอกาสน้อยมากที่จะขาดทุน ถ้าไม่โลภ
ผมซื้อขายไม่ทิ้งข้ามวันครับ  เคยทิ้งไว้ข้าม2ครั้ง ตอนปิด +4 พันกว่า เปิดมาอีกวัน -3พัน
โดยที่ไม่ทันได้้เสนอขายเลย  เข็ดเบยครับ
หากวันไหนผมมีเงินมากพอผมก็จะเป็น VI เหมือนกันครับไม่อยากเฝ้าจอครับมันเหนื่อย ;D ;Dหรือวันไหนตลาดพัง วันนั้นคงได้เป็น VI   ;D ;D

เคยสอบถาม มาเก็ตติ้ง ว่าถ้าซื้อขาย ฟิวเจอร์ ต้องทำยังไง
เค้าบอกว่า ต้องมี สเตทเมนท์ 5 แสน สัญญา set สัญญาละ 47,500
สนใจมากเลยครับ


  
  ในตลาด TFEX เดียวนี้มันมี Single Stock Futures ด้วย ไม่ได้มีแต่ SET50 Index ที่ว่าอย่างเดียวครับ

ในการซื้อ-ขายก็ไม่จำเป็นต้องวางเงินเยอะเท่า ลองเข้าไปศึกษาดูครับ การจะเป็น I นั้น มันต้องรู้จักตัวเอง

รู้จักตลาด รู้จักจังหวะ แต่จะคิดว่าเขียวแล้วค่อยซื้อ อย่างนี้ผมว่ามันยังไม่ใช่ รวมทั้งการเป็น VI ด้วย บางครั้ง

การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย DCA มันก็เหมาะสำหรับการเริ่มเป็น VI นะครับ ใครบอกครับว่ามีเงินเยอะถึงจะเป็น VI ได้...^^


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: LoveYou2 ที่ วันที่ 16 มิถุนายน 2013, 14:38:18
สิ่งที่ผมอยากเข้าไปยุ่งด้วยแต่ยังไม่กล้าก็คือตราสารอนุพันธ์  เพราะโดนส่วนตัวแล้วผมมองว่าของพวกนี้ความเสี่ยงสูงสุด  มันไม่ใช่แค่จะเสียเงินทั้งหมดไป  มันสามารถติดลบไปได้เรื่อยๆ

 จากข้อความของท่าน ว่ายุ

ในเชียงราย ถ้าอยากศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มีที่ไหนบ้างครับท่าน
ผมไม่ได้เข้าห้องนี้นานแล้ว
เคยติดตามเมื่อ2-3ปีก่อน เคยไปนั่งกิน ข้าวมันไก่ท่าน วายุ ด้วยนะครับ
ตอนนั้นยัง ทำงานเป็น E อยู่  ตอนนี้ขยับมาเป็น S+I
ส่วนตัว คิดว่าอยากลงทุนแนว VI แต่ด้วยเงินลงทุนอันน้อยนิด เพียง 1แสน
ก็เลยซื้อขายระยะสั้นแทน  เป็นแนวมั่ว แต่วันไหนตลาดลงแรงผมก็ไม่เข้า
วันไหนตลาด ติด+ มีโอกาสน้อยมากที่จะขาดทุน ถ้าไม่โลภ
ผมซื้อขายไม่ทิ้งข้ามวันครับ  เคยทิ้งไว้ข้าม2ครั้ง ตอนปิด +4 พันกว่า เปิดมาอีกวัน -3พัน
โดยที่ไม่ทันได้้เสนอขายเลย  เข็ดเบยครับ
หากวันไหนผมมีเงินมากพอผมก็จะเป็น VI เหมือนกันครับไม่อยากเฝ้าจอครับมันเหนื่อย ;D ;Dหรือวันไหนตลาดพัง วันนั้นคงได้เป็น VI   ;D ;D

เคยสอบถาม มาเก็ตติ้ง ว่าถ้าซื้อขาย ฟิวเจอร์ ต้องทำยังไง
เค้าบอกว่า ต้องมี สเตทเมนท์ 5 แสน สัญญา set สัญญาละ 47,500
สนใจมากเลยครับ


  
  ในตลาด TFEX เดียวนี้มันมี Single Stock Futures ด้วย ไม่ได้มีแต่ SET50 Index ที่ว่าอย่างเดียวครับ

ในการซื้อ-ขายก็ไม่จำเป็นต้องวางเงินเยอะเท่า ลองเข้าไปศึกษาดูครับ การจะเป็น I นั้น มันต้องรู้จักตัวเอง

รู้จักตลาด รู้จักจังหวะ แต่จะคิดว่าเขียวแล้วค่อยซื้อ อย่างนี้ผมว่ามันยังไม่ใช่ รวมทั้งการเป็น VI ด้วย บางครั้ง

การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย DCA มันก็เหมาะสำหรับการเริ่มเป็น VI นะครับ ใครบอกครับว่ามีเงินเยอะถึงจะเป็น VI ได้...^^

มันก็เหมือนกับ การลงทุน ที่ ต้องค้นหา สไตล์ของตัวเอง
ไม่ใช่หรือครับ  อาจจะไม่ใช่สำหรับบางคน แต่อาจจะใช่สำหรับอีกคนก็ได้นะครับ
ส่วนผมอย่างที่ท่านว่าแหละครับ รู้จักจังหวะ สำหรับผมสำคัญที่สุด


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 17 มิถุนายน 2013, 03:17:18
สิ่งที่ผมอยากเข้าไปยุ่งด้วยแต่ยังไม่กล้าก็คือตราสารอนุพันธ์  เพราะโดนส่วนตัวแล้วผมมองว่าของพวกนี้ความเสี่ยงสูงสุด  มันไม่ใช่แค่จะเสียเงินทั้งหมดไป  มันสามารถติดลบไปได้เรื่อยๆ

 จากข้อความของท่าน ว่ายุ

ในเชียงราย ถ้าอยากศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มีที่ไหนบ้างครับท่าน
ผมไม่ได้เข้าห้องนี้นานแล้ว
เคยติดตามเมื่อ2-3ปีก่อน เคยไปนั่งกิน ข้าวมันไก่ท่าน วายุ ด้วยนะครับ
ตอนนั้นยัง ทำงานเป็น E อยู่  ตอนนี้ขยับมาเป็น S+I
ส่วนตัว คิดว่าอยากลงทุนแนว VI แต่ด้วยเงินลงทุนอันน้อยนิด เพียง 1แสน
ก็เลยซื้อขายระยะสั้นแทน  เป็นแนวมั่ว แต่วันไหนตลาดลงแรงผมก็ไม่เข้า
วันไหนตลาด ติด+ มีโอกาสน้อยมากที่จะขาดทุน ถ้าไม่โลภ
ผมซื้อขายไม่ทิ้งข้ามวันครับ  เคยทิ้งไว้ข้าม2ครั้ง ตอนปิด +4 พันกว่า เปิดมาอีกวัน -3พัน
โดยที่ไม่ทันได้้เสนอขายเลย  เข็ดเบยครับ
หากวันไหนผมมีเงินมากพอผมก็จะเป็น VI เหมือนกันครับไม่อยากเฝ้าจอครับมันเหนื่อย ;D ;Dหรือวันไหนตลาดพัง วันนั้นคงได้เป็น VI   ;D ;D

เคยสอบถาม มาเก็ตติ้ง ว่าถ้าซื้อขาย ฟิวเจอร์ ต้องทำยังไง
เค้าบอกว่า ต้องมี สเตทเมนท์ 5 แสน สัญญา set สัญญาละ 47,500
สนใจมากเลยครับ

ถ้าอยากศึกษาเรื่อง  TFEX  ลองถามโบรกเกอร์ดูได้ครับ  และถ้าไม่อยากเฝ้าจอ  เดาว่าท่านคงไม่ชอบเก็งกำไร  ถ้าอย่างนั้นคงต้องซื้อหุ้นเน้นปันผลแล้วนะครับ  ส่วนข้อความที่ว่า  หากวันไหนผมมีเงินมากพอผมก็จะเป็น VI    ผมคิดว่าไม่จริงครับ  VI  ไม่ได้แยกประเภทตรงจำนวนเงิน  มันอยู่ที่วิธีการมากกว่า  ถ้ามีเงินเยอะแล้วอยากซื้อๆขายๆทำได้หรือไม่?  คำตอบคือ  "ได้"  ครับ  พวกนี้ก็เรียกว่าเก็งกำไร  ถึงมีเงินน้อยก็  "เกร็ง"  ได้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 17 มิถุนายน 2013, 10:34:18
ช่วงนี้ท่านวายุว่าง ใครสนใจอัญเชิญไปพูดคุย ได้เลยนะครับ 55+ (http://ช่วงนี้ท่านวายุว่าง ใครสนใจอัญเชิญไปพูดคุย ได้เลยนะครับ 55+)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: LoveYou2 ที่ วันที่ 17 มิถุนายน 2013, 20:22:14
สิ่งที่ผมอยากเข้าไปยุ่งด้วยแต่ยังไม่กล้าก็คือตราสารอนุพันธ์  เพราะโดนส่วนตัวแล้วผมมองว่าของพวกนี้ความเสี่ยงสูงสุด  มันไม่ใช่แค่จะเสียเงินทั้งหมดไป  มันสามารถติดลบไปได้เรื่อยๆ

 จากข้อความของท่าน ว่ายุ

ในเชียงราย ถ้าอยากศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มีที่ไหนบ้างครับท่าน
ผมไม่ได้เข้าห้องนี้นานแล้ว
เคยติดตามเมื่อ2-3ปีก่อน เคยไปนั่งกิน ข้าวมันไก่ท่าน วายุ ด้วยนะครับ
ตอนนั้นยัง ทำงานเป็น E อยู่  ตอนนี้ขยับมาเป็น S+I
ส่วนตัว คิดว่าอยากลงทุนแนว VI แต่ด้วยเงินลงทุนอันน้อยนิด เพียง 1แสน
ก็เลยซื้อขายระยะสั้นแทน  เป็นแนวมั่ว แต่วันไหนตลาดลงแรงผมก็ไม่เข้า
วันไหนตลาด ติด+ มีโอกาสน้อยมากที่จะขาดทุน ถ้าไม่โลภ
ผมซื้อขายไม่ทิ้งข้ามวันครับ  เคยทิ้งไว้ข้าม2ครั้ง ตอนปิด +4 พันกว่า เปิดมาอีกวัน -3พัน
โดยที่ไม่ทันได้้เสนอขายเลย  เข็ดเบยครับ
หากวันไหนผมมีเงินมากพอผมก็จะเป็น VI เหมือนกันครับไม่อยากเฝ้าจอครับมันเหนื่อย ;D ;Dหรือวันไหนตลาดพัง วันนั้นคงได้เป็น VI   ;D ;D

เคยสอบถาม มาเก็ตติ้ง ว่าถ้าซื้อขาย ฟิวเจอร์ ต้องทำยังไง
เค้าบอกว่า ต้องมี สเตทเมนท์ 5 แสน สัญญา set สัญญาละ 47,500
สนใจมากเลยครับ

ถ้าอยากศึกษาเรื่อง  TFEX  ลองถามโบรกเกอร์ดูได้ครับ  และถ้าไม่อยากเฝ้าจอ  เดาว่าท่านคงไม่ชอบเก็งกำไร  ถ้าอย่างนั้นคงต้องซื้อหุ้นเน้นปันผลแล้วนะครับ  ส่วนข้อความที่ว่า  หากวันไหนผมมีเงินมากพอผมก็จะเป็น VI    ผมคิดว่าไม่จริงครับ  VI  ไม่ได้แยกประเภทตรงจำนวนเงิน  มันอยู่ที่วิธีการมากกว่า  ถ้ามีเงินเยอะแล้วอยากซื้อๆขายๆทำได้หรือไม่?  คำตอบคือ  "ได้"  ครับ  พวกนี้ก็เรียกว่าเก็งกำไร  ถึงมีเงินน้อยก็  "เกร็ง"  ได้

ของผมจะกลายเป็นนั่งตัวเกร็ง ซะมากกว่ามั้งครับ ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 24 มิถุนายน 2013, 23:31:34
MONEY GAME
     กระทู้วันนี้สบายๆครับ  อ่านเล่นๆอย่าไปเครียด  ผมแค่จะมาพูดคุยแบบขำๆเกี่ยวกับเรื่องตลาดหุ้นในมุมมองของผมว่า  ผมมีความเห็นอย่างไรต่อตลาดเท่านั้นเอง

     ผมว่าทุกคนคงจะเคยเห็นตลาดที่เปิดขายเฉพาะเวลานะครับ  อย่างเช่นไนท์บาซ่าร์  ถนนคนเดิน  หรือตลาดเช้าเย็น  ทีนี้ถ้าเราเป็นคนขายของในนั้น  แบบว่าไปวางขายทีไรก็ขายดี๊ขายดีมีแต่คนมุง  สรุปก็คือขายดี  ขายไม่ได้หยุดจนตลาดวาย  พอตลาดวายเราก็เก็บของกลับบ้านพร้อมกับกำไรที่ทำได้  เพื่อรอเข้าตลาดในวันต่อไป  แต่ถ้าตลาดมันวายแล้ว  และวันนั้นของมันเหลือ  ต่อให้ลดราคาแค่ไหนมันก็ขายไม่ออกแล้วเพราะไม่มีใครมาเดิน  ถึงแม้ว่าเราจะยังดึงดันว่า  สินค้าของเราดี๊ดีที่สุดในสามโลก  มันก็ไม่ได้ทำให้เราขายหมดภายในวันนั้นได้  นอกเสียจากว่าจะมีบางคนที่เห็นโอกาสตรงนี้ว่า  ถ้าอยากได้ของดีราคาถูกต้องตอนตลาดวายเท่านั้น  เหมือนของออนเซลตามห้างนั่นแหละ

     แล้วของที่เรียกว่าดีมันเป็นแบบไหน?  มันไม่มีมาตรวัดที่แน่นอน  บางทีมันอาจดีสำหรับเราแต่ไม่ดีสำหรับคนอื่น  บางทีคนอื่นรุมซื้อ  เราก็เลยมองว่ามันน่าจะดี  จริงๆแล้วผมเป็นคนมีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับเรื่องซื้อของตอนตลาดวายบ่อยมาก  โดยเฉพาะห้างต่างๆที่ตอนใกล้จะปิดห้างแล้วแต่อาหารยังขายไม่หมดเนี่ย  ผมก็ชอบไปมุงกับเขาเหมือนกัน  ถ้าเจออาหารถูกใจผมก็จัดมา  แต่มีเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับการซื้อของตอนตลาดวายที่ผมยังจำฝังใจมาจนถึงตอนนี้ได้เลยก็คือ  เมื่อตอนที่ผมอยู่กรุงเทพ  แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงใกล้ลอยกระทง  สิ่งหนึ่งที่ผมมักจะทำเป็นประจำเมื่อเทศกาลลอยกระทงมาถึงก็คือ  ผมจะชอบเล่นพวกของเล่นที่มันดังตู้มต้ามตามประสาเด็กผู้ชาย  ถ้าเหลือเวลานาน...กว่าจะถึงลอยกระทง  ผมก็จะไปซื้อมาเล่นบ้าง  ถ้าใกล้เทศกาลมากๆผมก็จะเล่นเยอะหน่อย  แล้วทีนี้แหล่งที่ผมไปซื้อของเล่นพวกนี้เป็นประจำก็คือภูเขาทองวัดสระเกศ  เนื่องจากแถวนั้นเป็นสถานที่ขายส่งของเล่นพวกนี้  ของที่ผมชอบเล่นมากในตอนนั้นก็คือกระจับ  มันมีลักษณะเป็นกระดาษสีน้ำตาลพันทบไปมาเป็นรูปสามเหลี่ยมแล้วมีชนวนโผล่ออกมา  สาเหตุที่ผมชอบเล่นตัวนี้ก็คือเสียงมันดังมากที่สุด(ในสมัยนั้น)  ถ้าเหลือเวลาสัก 2-3 เดือนกว่าจะถึงลอยกระทง  เขาจะขายถุงละ 100 (ถุงหนึ่งมีร้อยลูก)  และยิ่งใกล้ลอยกระทงมากขึ้น  ราคาของกระจับก็จะแพงขึ้นเรื่อยๆ  ผมจำได้ว่าเมื่อถึงวันงาน  เขาขายกันถุงละ 150  และที่ราคานั้น  ผมก็ไม่ได้สนใจจะซื้อ  เนื่องจากผมรู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องแพง  ผมก็เลยซื้อตุนไว้ก่อนเป็นเดือนแล้ว  แต่สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจที่สุดก็คือ  เมื่องานใกล้จะเลิกและผมเตรียมตัวกลับบ้านกับพวกเพื่อนๆ  กระจับที่เขาขายกันตอนหัวค่ำที่ราคา 150  กลับลดลงมาเหลือถุงละ 70 บาท !!!  และที่ราคานั้น  ผมทำใจที่จะเฉยชาต่อมันไม่ได้  ซึ่งในตอนนั้น  มันเป็นเรื่องที่ผมรู้อยู่แล้วว่า  ถึงผมซื้อไปตอนนี้  ผมก็เล่นมันไม่ได้แล้ว  เพราะมันได้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่เขาอนุโลมให้เล่นได้  แต่สิ่งที่ผมคิดอยู่ในหัวก็คือ  ถ้าซื้อเก็บไว้...กำไรโคตรๆ  ถึงแม้ว่าผมซื้อไปแล้วปีหน้าไม่ได้เล่น  ผมสามารถเอามาขายต่อกินกำไรยังได้เลย  และด้วยจิตวิญญาณแห่งความเป็นพ่อค้าเข้าสิง  ผมซื้อหมดเงินที่ผมมี  เพราะผมรู้ว่าข้อเสนอนี้คุ้มสุดๆสำหรับผม  เพื่อนๆที่ไปด้วยกันต่างหาว่าผมบ้า  พวกมันบอกว่าปีหน้าค่อยมาซื้อก็ได้  ซื้อไปแล้วเกิดเก็บไม่ดีความชื้นเข้าจุดไม่ติด  เสียเงินเปล่าๆ  ก็โอเค...กับคำเตือนที่มีเหตุผลของเพื่อน  แต่ผมรู้ตัวดีว่าผมมีความสามารถเก็บมันได้  และเมื่อเทศกาลลอยกระทงได้เวียนกลับมาอีกครั้ง  พวกเพื่อนๆต่างเข้ามาหาผมแล้วถามซื้อกระจับต่อจากผม  "หนึ่งร้อยบาท"  ผมบอกพวกมัน  พวกมันพากันโวยวายบอกว่าอะไรวะ  เมิงซื้อมาแค่ 70 แต่มาขายกรู 100 เชียว  ไม่หน้าเลือดไปหน่อยเหรอเว้ยเฮ้ย  "ไม่เอาก็ไม่เป็นไร" ผมบอกพวกมันไปแบบไม่แคร์  จริงๆแล้วผมก็ไม่ใช่คนที่ฉวยโอกาสอะไรแบบนั้นกับเพื่อนๆหรอก  แต่พวกมันก็ต้องเข้าใจผมด้วยว่า  ผมแบกรับความเสี่ยงมา 1 ปีเต็มๆคนเดียวและออกทุนตัวเองไปก่อน  แล้วพวกเพื่อนๆมันจะไม่เห็นใจมาขอซื้อในราคาเท่าทุนได้เชียวหรือ  และในขณะที่ราคากระจับตอนนั้น  มันก็ขายพอๆกับผมเนี่ยแหละ  แถมยังต้องเสียเวลาและค่ารถเมล์ไปซื้ออีก  ถ้าเพื่อนๆไม่เอากับผม...ก็ตามใจ  "เงินทองกินกัน  ความสัมพันธ์เหมือนเดิม" อิอิ  แต่ผมก็ไม่ได้ขายให้เพื่อนหรอกนะ  ผมขายให้เด็กๆแถวบ้าน  เพราะกำไรเยอะกว่า  เนื่องจากแกะแบ่งขายเป็นตัว  ส่วนผมกับเพื่อนๆก็ได้เล่นกระจับฟรีที่ผมแบ่งให้  แถมปีนี้ผมยังมีเงินเที่ยวลอยกระทงอีกต่างหาก

     และก็เหมือนเดิมครับ  ผมเอามาผูกกับเรื่องหุ้นอีกแล้ว  ช่วงนี้หุ้นตกหนักมากครับ  ใครเพิ่งเข้ามาก็ได้เป็นพ่อเลี้ยงทันทีเลย(ซื้อดอย)  ซึ่งเรื่องหุ้นแพงนี้  ผมก็เคยเตือนกันมาระยะหนึ่งแล้ว  สำหรับตัวผมเอง  ช่วงนี้ผมก็ไม่ได้ถือหุ้นจริงๆจังๆสักเท่าไหร่  เน้นซื้อๆขายๆเสียมากกว่า  เพราะโดยส่วนตัวแล้วมองว่า  รอให้มันตกลงไปมากๆจนแรงขายหมดก่อนแล้วค่อยเข้าไปลงทุนอีกทีหนึ่ง  ส่วนสาเหตุที่ผมขายหุ้น  ไม่ใช่ว่าผมกลัวตลาดจนไม่ได้สนใจพื้นฐานกิจการนะครับ  ผมมองว่าพื้นฐานกิจการของบริษัทที่ผมเคยมีมันเปลี่ยนไป จากบริษัทที่ไม่มีหนี้  มีแต่เงินสด  กลับกลายเป็นบริษัทที่มีหนี้เยอะมาก  และกำไรที่บริษัททำได้ในช่วงนี้  มันก็ไม่ได้ขึ้นเปรี้ยงปร้างอย่างที่ผ่านมา  จริงๆแล้วเขาก็ยังทำได้ดีอยู่  เพียงแต่ว่ามันเกิดจากผลที่ความใหญ่ของตัวกิจการเอง  เมื่อตัวมันใหญ่มาก  การเติบโตเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์มันก็น้อยลง(เหมือนเด็กกับผู้ใหญ่นั่นล่ะครับ)  และเมื่อกำไรที่มันคิดเป็นเปอร์เซ็นต์น้อยลง  มันจึงทำให้ราคาหุ้นดูสูงเกินไปเมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไรในอนาคต

     อย่างไรเสีย  ช่วงนี้ก็ถนอมเงินกันไว้นะครับ(อย่าคันไม้คันมือเข้าไปซื้อหุ้น)  เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของผม  เมื่อตลาดเป็นขาลง  ถูกแล้วยังมีถูกกว่า  บางคนอาจจะบอกว่า  ถ้ามันลงก็ซื้อเพิ่ม  เป็นการถัวเฉลี่ยให้ต้นทุนถูกลงไง  แต่ถ้าสมมติว่า  หุ้นมันราคา  10  บาท  และเราถัวทุกครั้งที่ราคามันตกลงมา  1  บาทเป็นจำนวนหุ้นเท่ากันทุกครั้ง  เมื่อมันตกลงมาถึง  5  บาท  ต้นทุนที่เราถัวมาเรื่อยๆจะมีราคา  7.5  บาท  แต่ถ้าเรารอให้มันกลับเป็นขาขึ้นชัวร์ๆแลัวเราเข้าโป้งเดียว  ถึงแม้ว่าเราต้องดูให้มั่นใจก่อนว่ามันจะขึ้นจริงๆแล้ว  ราคา  6  บาทก็ยังถูกกว่าคนที่ถัวมาตลอดทางอยู่ดี  และยิ่งถ้าถัวมากๆจนเงินหมดก่อนที่มันจะตกลงมาที่ราคาต่ำสุด  คุณจะเสียโอกาสสำหรับการทำกำไรเยอะๆเป็นอย่างมาก  เพราะถ้าสมมติว่าเงินคุณถัวหุ้นไปจนหมดตอนที่หุ้นมันราคา  8  บาท  ถ้ามันตกลงมาอีกคุณจะเศร้า  เพราะต้นทุนคุณจะสูงถึง  9  บาทเชียวนะ  และถ้าตัวที่เราเล็งไว้มันไม่ถูก  เราก็ไปหาซื้อหุ้นตัวอื่นที่มันถูกกว่าแทน  ช่วงนี้สิ่งที่เราควรทำก็คือ  หาข้อมูลของหุ้นตัวที่เราสนใจไว้มากๆ  เพราะเมื่อตลาดกลับเป็นขาขึ้นอีกครั้ง  เราก็จะรวยไปด้วยกันครับ  และเมื่อถึงตอนนั้น  ถึงแม้ว่าตลาดมันจะไม่ได้ขึ้นอย่างใจเรา  เราก็ไม่ต้องไปสนใจมันมาก  เพราะถ้าหุ้นที่เราซื้อไว้นั้นมันจ่ายปันผลเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงเมื่อเทียบกับเงินค่าซื้อหุ้นของเรา  มันก็คุ้มแล้วที่จะลงทุน  เหมือนอย่างที่ผมยอมซื้อกระจับโดยวางแผนในอนาคตไว้นั่นแหละ  นักลงทุนที่ฉลาด  "จะกำไรตอนซื้อ  มิใช่ตอนขาย"  เพราะฉะนั้นช่วงนี้ก็รอให้ตลาดวายก่อนแล้วค่อยเข้าไปซื้อ  แล้วคุณจะได้ของดีราคาถูกที่คุณหมายตาไว้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 12 กรกฎาคม 2013, 02:26:04
ศิลป์
     เมื่อหลายวันก่อนผมได้ดูรายการหนึ่งซึ่งเขาได้ไปสัมภาษณ์คุณถวัลย์ ดัชนี  เกี่ยวกับเรื่องศิลปะ  ซึ่งเมื่อผมดูแล้วก็ได้ความรู้เกี่ยวกับงานศิลปะมากขึ้นทีเดียวครับ

     ยอมรับเลยว่าเมื่อก่อนนี้  ผมเป็นคนที่ไม่เข้าใจในเรื่องศิลปะเลยก็ว่าได้  เวลาที่มีงานแสดงศิลปะเช่นภาพวาดหรืองานปั้น  ผมเป็นคนหนึ่งที่เห็นงานแล้วก็งั้นๆ  ไม่เข้าใจว่าเขาดูอะไร...และเข้าใจกันได้อย่างไร  และให้ราคาศิลปะชิ้นต่างๆด้วยมาตรฐานใด  แต่พอคุณถวัลย์อธิบายว่า  การดูศิลปะนั้นไม่ต้องการความเข้าใจ  เพราะศิลปะนั้นไม่มีเหตุผล  คุณต้องใช้สมองเพียงซีกเดียวเพื่อชมงานศิลปะ  เนื่องจากศิลปะเป็นด้านของอารมณ์  เพราะฉะนั้นเมื่อเราดูงานศิลปะ  เราจะต้องใช้ความรู้สึกในการชมและซึมซับว่า  เรามีความรู้สึกอย่างไรต่อสิ่งที่เราเห็น

     และตามความเข้าใจของตัวผมเองแล้วผมมองว่า  การที่เราดูภาพวาดใดก็ตามแล้วเราไม่มีความรู้สึกต่อภาพนั้น  ภาพวาดชิ้นนั้นก็คงไม่มีความหมายต่อเรา  แต่ถ้าเรามีความรู้สึกต่อภาพวาดใด  ภาพวาดนั้นก็คงมีความหมายต่อเรา  และเมื่อมีคนต้องการซื้อภาพแห่งความรู้สึกนั้นพร้อมๆกัน  มันก็เลยต้องมาประมูลแข่งกัน  ซึ่งราคาของงานแต่ละชิ้น  มันก็จะออกมาตอนนี้แหละว่ามีคนกระเป๋าหนักมาทุ่มเงินให้กับงานนั้นมากน้อยแค่ไหน  แต่สำหรับคนรวยบางคน  เขาอาจจะไม่ได้มีจิตวิญญานในงานศิลปะที่เขาเหล่านั้นได้ประมูลไปเลย  สิ่งที่เป็นแรงผลักดันในการต้องการครอบครองศิลปะเหล่านั้นก็คือ  "การค้ากำไร"  เพราะถ้าเขาเห็นว่าสิ่งใดมีความต้องการสูง  สิ่งนั้นก็จะแพง  เมื่อเขาได้ศิลปะชิ้นนั้นมาครอบครองแล้ว  เขาเชื่อว่าอีกไม่นานมันก็จะมีราคาสูงขึ้นไปอีกตามความต้องการของผู้ที่อยากครอบครองมัน  เรื่องนี้ทำให้ผมสงสัยมากว่า  ถ้าการชมงานศิลปะ  ชมแค่เพื่อให้เกิดความรู้สึกเพียงเท่านั้น  แล้วทุกๆคนจะต้องการของแท้ไปทำไม  ถ้าของที่ก๊อปปี้ออกมา  มีลักษณะเหมือนกับของแท้ทุกประการ  หรือมันจะเกี่ยวกับความรู้สึกอีกที่ว่า  เขาได้ชมของปลอมแล้วมันไม่มีจิตวิญญาณของศิลปินสิงอยู่ในนั้น  สงสัยผมคงจะเป็นพวกอับปัญญาที่ยังเข้าไม่ถึงอารมณ์ศิลปินกระมัง  มีรุ่นพี่คนหนึ่งของผมได้กล่าวไว้ว่า  "ผู้หญิงสวยหรือไม่สวย  เวลาปิดไฟแล้วก็คล้ายๆกันหมด"  ถ้ามันเป็นอย่างที่รุ่นพี่พูดจริง  แล้วเราจะหาแฟนสวยๆไปทำไมกัน  หรือความหมายที่รุ่นพี่บอกนั้นหมายถึง  ถ้าดูรูปกายก็คล้ายกันไปหมด  แต่สิ่งที่แตกต่างคือความดีหรือตัวตนของเขา  ถ้าความหมายเป็นเช่นนั้นจริง  มันก็คงจะเข้าแนวคำสอนที่ว่า  "ความสวยไม่คงที่  ความดีสิคงทน"  แต่ผมมีคำถามนิดเดียวว่า  ใครอยากได้แฟนไม่สวยยกมือขึ้น...(เงียบ)

     เมื่อเราหันมามองการลงทุนในตลาดหุ้นกันบ้าง  คุณคิดว่าการลงทุนมันเป็นศาสตร์หรือศิลป์?  สำหรับมุมมองส่วนตัวของผมแล้วผมมองว่า  การลงทุนมันเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยองค์ประกอบของทั้งสองอย่าง  เราต้องการความมีเหตุผลเพื่อประเมินองค์ประกอบของธุรกิจเช่น  คู่แข่ง  การตลาด  ต้นทุน  การทำกำไร  ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัท  อนาคตของกิจการ  การประเมินราคาหุ้นของบริษัทที่เราสนใจจะลงทุน  ฯลฯ  และเราต้องการความมั่นคงหนักแน่นทางด้านอารมณ์เพื่อรับมือกับความผันผวน  ความโลภ  ความกลัว  ฯลฯ  และถ้าเราสามารถเอาความโลภและความกลัวของผู้อื่นมาทำให้เกิดประโยชน์กับตัวเองได้จะถือว่าเก่งที่ืสุด  ซึ่งผมก็หวังจะไปให้ถึงจุดนั้น

     แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  การลงทุนเพื่อให้ประสบความสำเร็จ  มันก็ไม่ได้มีแค่วิธีการเดียว  สิ่งที่ผมนำเสนอนี้  มันก็เป็นหนึ่งในหลายๆวิธีที่มีคนอื่นใช้และประสบความสำเร็จ  ขอให้โชคดีในการลงทุนและหาแนวทางของตัวเองให้พบนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กเลี้ยงผัก ที่ วันที่ 20 กรกฎาคม 2013, 15:57:23
สวัสดีครับ

ได้ฤกษ์เปิดตัวสักทีหลังจากที่ได้นั่งอ่าน พยายามทำความเข้าใจกับคำว่าหุ้น วิธีซื้อขาย แนวทางการซื้อขาย
ตลอดจนเกร็ดความรู้ต่างๆมากมายในกระทู้นี้ เป็นเวลา 3 วัน ติดต่อกัน ตั้งแต่หน้าที่ 1 จนถึงหน้าสุดท้าย
โดยไม่เคยข้ามแม้แต่ประโยคเดียว ( ไม่ได้โม้นะเนี่ย.. :o ) ขอบคุณมากครับสำหรับความรู้ดีดีจากทุกท่าน

อยากถามความเห็นหน่อยครับว่าช่วงนี้มีตัวใหนน่าลงทุนมั่งครับ เห็นบอร์ดนิ่งมาก อันที่จริงยังไม่ได้เปิดบัญชีครับ แถว ๆ ห้าแยกนี่ มีที่ใหนมั่งครับที่นิยมกัน อยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นมั่งน่ะครับ

 8)สุดท้ายอยากบอกว่ามีใครสนเป็นป๋าดันใหมครับ  อิอิ ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 20 กรกฎาคม 2013, 17:07:19
ตอบท่าน  NEI
     สำหรับหุ้นที่น่าลงทุน  มันแล้วแต่ว่าท่านสไตล์ไหนครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กเลี้ยงผัก ที่ วันที่ 20 กรกฎาคม 2013, 18:22:11
แบบว่าตอนนี้เวลาว่างเยอะมากครับ เพิ่งลาออกจากงานประจำ  จะเป็นไปได้ใหมว่าจะเอาดีทางนี้
ไปเลยครับ ทั้งหุ้นระยะสั้น กลาง ยาว ขอความคิดเห็นผู้รู้ทั้งหลายครับ  :o


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 21 กรกฎาคม 2013, 13:39:36
แบบว่าตอนนี้เวลาว่างเยอะมากครับ เพิ่งลาออกจากงานประจำ  จะเป็นไปได้ใหมว่าจะเอาดีทางนี้
ไปเลยครับ ทั้งหุ้นระยะสั้น กลาง ยาว ขอความคิดเห็นผู้รู้ทั้งหลายครับ  :o

จริงๆจะออกมาเอาดีทางหุ้นเลย มันก็ได้อยู่ครับ และก็มีหลายคนทำ

แต่ส่วนน้อยมากที่จะประสบความสำเร็จจริงๆ จังๆ

เพราะคนที่ออกมาลงทุนในหุ้นโดยไม่ทำอย่างอื่นเลย

ผมว่ามีไม่ถึง 10% ของคนที่ลงทุนในหุ้นครับ

ตามสูตรที่ว่า 20% ของตลาดเท่านั้นที่จะกำไร และอีก 80% ขาดทุน

แต่การท่เราทำงานไปด้วย ลงทุนไปด้วย ในช่วงที่มีกำลังหาเงินอยู่

ผมว่าเป็นแนวทางที่ดีและนิยมกันมากที่สุดนะครับ

ตลาดทุน ตลาดเงิน มันเกิดวิกฤตเกือบทุกๆปี และถ้าเราปรับตัวไม่ทัน

มันก็อาจจะลำบากในสภาพคล่องในการใช้จ่ายได้ครับ

การที่เราทำงานและก็เอาเงินมาเติมหุ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดๆหนึ่ง

ที่ผลตอบแทนทั้งปันผลและส่วนต่างราคาสูงขึ้น

และทำให้เราสามารถใช้จ่ายเงินเหล่านั้นไปกับชีวิตประจำวันได้

ก็ค่อยมาคิดกันอีกที่ก็ได้ว่าจะออกมาหรือทำต่อไปเรื่อยๆ แบบเดิม

ขอบคุณครับ (http://จริงๆจะออกมาเอาดีทางหุ้นเลย มันก็ได้อยู่ครับ และก็มีหลายคนทำ

แต่ส่วนน้อยมากที่จะประสบความสำเร็จจริงๆ จังๆ

เพราะคนที่ออกมาลงทุนในหุ้นโดยไม่ทำอย่างอื่นเลย

ผมว่ามีไม่ถึง 10% ของคนที่ลงทุนในหุ้นครับ

ตามสูตรที่ว่า 20% ของตลาดเท่านั้นที่จะกำไร และอีก 80% ขาดทุน

แต่การท่เราทำงานไปด้วย ลงทุนไปด้วย ในช่วงที่มีกำลังหาเงินอยู่

ผมว่าเป็นแนวทางที่ดีและนิยมกันมากที่สุดนะครับ

ตลาดทุน ตลาดเงิน มันเกิดวิกฤตเกือบทุกๆปี และถ้าเราปรับตัวไม่ทัน

มันก็อาจจะลำบากในสภาพคล่องในการใช้จ่ายได้ครับ

การที่เราทำงานและก็เอาเงินมาเติมหุ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดๆหนึ่ง

ที่ผลตอบแทนทั้งปันผลและส่วนต่างราคาสูงขึ้น

และทำให้เราสามารถใช้จ่ายเงินเหล่านั้นไปกับชีวิตประจำวันได้

ก็ค่อยมาคิดกันอีกที่ก็ได้ว่าจะออกมาหรือทำต่อไปเรื่อยๆ แบบเดิม

ขอบคุณครับ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กเลี้ยงผัก ที่ วันที่ 21 กรกฎาคม 2013, 18:14:10
ขอบคุณครับ สำหรับข้อคิดดีดี ;)
+ 10 (http://upic.me/i/im/like01.jpg) (http://upic.me/show/46046001)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 25 กรกฎาคม 2013, 09:16:15
แบบว่าตอนนี้เวลาว่างเยอะมากครับ เพิ่งลาออกจากงานประจำ  จะเป็นไปได้ใหมว่าจะเอาดีทางนี้
ไปเลยครับ ทั้งหุ้นระยะสั้น กลาง ยาว ขอความคิดเห็นผู้รู้ทั้งหลายครับ  :o

ไปเจอบทความจากเว็บพันทิพ เลยเอามาฝากครับ (http://ไปเจอบทความจากเว็บพันทิพ เลยเอามาฝากครับ)

หุ้นนี้ ลงทุนมาตั้งแต่จบปริญญาตรีใหม่ ๆ มีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่หวือหวา สิ้นปีมีปันผล
ให้เกือบทุกปี (ยกเว้นปีที่เศรษฐกิจแย่จริง ๆ เท่านั้นที่ไม่มี) ราคามีแต่ขึ้น เท่าที่จำได้ไม่มีลงเลย
จะมากจะน้อยก็แล้วแต่เศรษฐกิจหรือผลประกอบการของบริษัท อย่างไรก็ตาม หุ้นนี้ต้องลงทุน
ลงแรงเหนื่อยหน่อย เรียกว่าใช้เวลาประมาณ 8  ชั่วโมงต่อวัน แต่ก็รับรองได้ว่าไม่ผิดหวัง
ทุกเดือนมีกำไรให้เห็นแน่ ๆ Downside มีต่ำมาก แต่มันค่อย ๆ ขึ้นนะครับ

สนใจกันไหมครับ หุ้นนี้มีชื่อว่า "เงินเดือน" ครับ ยิ้ม

ใครคิดลาออกจากงานประจำมาเล่นหุ้นอย่างเดียว ก็เหมือนจะขายหุ้นห่านทองคำนี้ทิ้งนะครับ
หาซื้อกันไม่ได้ง่าย ๆ นะครับ คิดให้ดี ๆ ครับ ยิ้ม ตอนนี้หุ้นใน Port ผม มีแต่ตัวนี้แหละครับ
ที่เขียวขจี ยิ้ม

ป.ล. กระทู้นี้ไม่ได้มีเจตนาจะก้าวล่วงการตัดสินใจของทุกท่านนะครับ เป็นการเปรียบเปรยตาม
ความเห็นผมเท่านั้นครับ ถ้าท่านตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาลงทุน ผมก็เชื่อว่าท่านก็ได้
ประเมินทางเลือกแล้วและก็คงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับท่านครับ

เพิ่มเติมอีกนิด กันความเข้าใจผิดนะครับ กระทู้นี้ไม่ได้มีเจตนาบอกว่าการทำงานประจำดีกว่า
การเล่นหุ้นนะครับ คิดว่าคงแล้วแต่ความชอบและความถนัดของแต่ละบุคคลครับ แต่แค่อยากแค่
เปรียบเทียบงานประจำเป็นคล้าย ๆ กับหุ้นห่านทองคำที่มีความมั่นคงสูงเท่านั้นเอง
(แต่ก็มีข้อจำกัดด้านเวลาและอิสรภาพพอสมควร)

http://pantip.com/topic/30759894


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: tarhai ที่ วันที่ 02 สิงหาคม 2013, 15:20:10
เชียงราย
ใครลงทุนตามแนว VI บ้างครับ
อยากทราบแนวคิดครับ
ผมอ่านหนังสือด้านนี้มาบ้าง
แต่ยังปรับใช้การลงทุนในตลาดหุ้นไม่ได้เลย
ไม่รู้ว่าควรใช้อะไรมาพิจารณา
ทำไมหุ้นบางตัวขาดทุนมาตลอด กลับขึ้นเอาขึ้นเอา
บางตัวกำไรสม่ำเสมอ
มีเงินสดเหลือเยอะในกิจการ(เทียบกับหนี้สิน)
ไม่เห็นมันขยับเลย
ไม่รู้จะใช้หลักการเลือกหุ้นอย่างไรดีครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Nichcha ที่ วันที่ 03 สิงหาคม 2013, 13:22:51
ขอบคุณที่ให้ความรู้นะคะ ทฤษฎีกับปฏิบัติมันต่างกันจริงๆ. ตอนนี้ติดดอยไปแล้ว เฮ้อ....เมื่อไหร่จะชำนาญการอย่างท่านๆ บ้างน้อ....

 :'(


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 04 สิงหาคม 2013, 14:45:48
ตอบคุณ  tarhai
     ที่คุณสงสัยว่าหุ้นบางตัวผลการดำเนินงานขาดทุน  แต่ราคาหุ้นกลับขึ้นเอาขึ้นเอา  ตรงนี้โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่ามันมี  2  สาเหตุครับ

1.นักลงทุนหรือตลาดกำลังคาดหวังว่าอนาคตของมันจะดีขึ้น  ไม่ว่ามันจะดีขึ้นด้วยปัจจัยใดก็ตาม  ซึ่งผมจะยกตัวอย่างสักเล็กน้อยเพื่ออธิบายเรื่องตลกที่เกี่ยวกับราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นของบริษัทที่กำลังขาดทุนอยู่นะครับ

     สมมุติว่ามีสองบริษัทที่ทำธุรกิจอย่างเดียวกัน  ยกตัวอย่างธุรกิจน้ำมันก็แล้วกัน  มีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรอย่างเช่น  ปตท.  ที่สามารถค้าขายน้ำมัน  1  ลิตรในราคา  40  บาทแล้วมีกำไรลิตรละ  10  บาท  กับบริษัทเล็กๆแห่งหนึ่งที่ค้าน้ำมันแบบซื้อมาขายไปได้กำไรลิตรละ  2  บาท  ทีนี้ความบิดเบี้ยวของการได้กำไรมันเกิดขึ้นมาตอนที่ราคาน้ำมันมันดันเป็นขาขึ้น  สมมุติว่าเกิดสงครามหรือเหตุการณ์อะไรก็ช่างบนโลกนี้ที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเป็นลิตรละ  50  บาท  นั่นจะทำให้  ปตท.  ได้กำไรจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้นมาอีก  10  บาทต่อลิตร  และเมื่อนำไปรวมกับกำไรที่ทำได้ปกติอีกลิตรละ  10  บาท  ก็จะทำให้ผลการดำเนินงานของ  ปตท.  เพิ่มขึ้น  1  เท่าตัว  แต่นั่นยังไม่น่าตื่นเต้นเท่ากับอีกบริษัทหนึ่งที่จะได้กำไรจากสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมาอีก  10  บาทเหมือนกัน  เมื่อนำมาคำนวณกับผลการดำเนินงานปกติที่ทำได้แค่  2  บาท  นั่นจะทำให้บริษัทนี้มีผลกำไร  12  บาท  ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง  5  เท่าตัว  ดังนั้น  นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า  เมื่อถึงเวลาที่ราคาสินค้าของบริษัทที่กำลังขาดทุนเหล่านี้เป็นขาขึ้น  ราคาหุ้นของบริษัทพวกนี้ก็เลยพุ่งได้ดีกว่าหุ้นของบริษัทที่ดี  แต่ข้อควรระวังก็คือ  ถ้าราคาสินค้าพวกนี้เป็นขาลงเช่น  ราคาน้ำมันเหลือลิตรละ  35  บาท  บริษัทที่ด้อยกว่าพวกนี้ก็จะเจ็บหนักเพราะขาดทุน  ในขณะที่  ปตท.  ยังสามารถทำกำไรได้อยู่  และสิ่งที่ผมกล่าวถึงนี้ยังรวมไปถึงสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดอื่นอีก  ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก  สินค้าเกษตร  เนื้อสัตว์  ปิโตรเคมี  ฯลฯ

2.ปั่น  ถ้าหุ้นเน่าเหล่านั้นราคาพุ่งขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ  ไม่มีปัจจัยหรือข่าวดีมากระทบ  นั่นก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่า  หุ้นนั้นกำลังโดนปั่น  ถ้าคุณดูแค่ราคาแต่ไม่ได้มองพื้นฐานหรือเหตุผลทางธุรกิจของหุ้นตัวนั้นแล้วคุณตามเข้าไป  ผมก็ขอแสดงความยินดีด้วยครับที่คุณได้เป็นเม่าเต็มตัวแล้ว  ซึ่งความเป็นไปได้ของคนที่เล่นในลักษณะนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เน้นสายเทคนิคเคิลเพียวๆหรือเป็นคนที่โลภทะลุพิกัด  เพราะคนที่เป็นสายเทคนิคเคิลเพียวๆนั้น  จะไม่ดูพื้นฐานเลย  และคนส่วนใหญ่ในตลาดที่ชอบตามแห่เวลาหุ้นโดนปั่น  ก็จะออกแนวมวยวัด  เพราะพื้นฐานก็ไม่เป็น  เทคนิคก็ไม่แน่น  อย่างนี้มันก็เลยแน่นอก

     ส่วนเรื่องที่คุณสงสัยว่าหุ้นบางตัวกำไรสม่ำเสมอ  ไม่เห็นมันขยับเลย  คำตอบของผมมันก็อยู่ในคำถามของคุณนั่นแหละ  เพราะการที่หุ้นตัวหนึ่งทำกำไรได้สม่ำเสมอไม่ขึ้นไม่ลง  ราคาหุ้นมันก็จะอยู่กับที่เหมือนกับกำไรที่ทำได้  ถ้าคุณอยากได้หุ้นที่ราคาวิ่งขึ้น  คุณก็ต้องหาหุ้นที่จะทำกำไรเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต  ซึ่งการประเมินตรงนี้ต้องใช้ความรู้ที่ไม่ใช่ตัวเลขเข้ามาช่วยเช่นความรู้ในเชิงธุรกิจ  แนวโน้มของอุตสาหกรรมที่กำลังจะรุ่ง  และจินตนาการที่จะวาดภาพกิจการที่จะเป็นในอนาคต  ขนาดไอน์สไตน์ยังบอกเลยว่า  จินตนาการสำคัญกว่าความรู้

     สำหรับเรื่องสุดท้ายที่คุณสงสัยเกี่ยวกับเงินสดเยอะเมื่อเทียบกับหนี้สิน  ตรงนี้มันเป็นแค่ความอุ่นใจของผู้ถือหุ้นว่าบริษัทจะไม่เจ๊งแค่นั้นเอง  ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่สองคน  คนหนึ่งมีเงินฝากธนาคารเยอะ(ฝากไว้เพื่อกินดอก)  แต่ตัวเองไม่ได้ทำงานทำการหรือไม่ได้เอาเงินไปลงทุนทำอะไรให้มันงอกเงยขึ้น  คนๆนั้นก็ถือว่ามีชีวิตที่ดีระดับหนึ่ง  แต่สภาพความเป็นอยู่ก็จะไม่ขึ้นไม่ลง  ส่วนอีกคนหนึ่ง  ถึงแม้ว่าชีวิตในตอนนี้เขายังสู้คนแรกไม่ได้  ซ้ำยังมีหนี้สินอีกพอประมาณ  แต่เขาเป็นคนขยันทำงาน  และเมื่อได้เงินมาเขาก็นำมันไปใช้หนี้จนหมด  และเมื่อหมดหนี้เขาก็เอาเงินที่ทำได้ไปลงทุนให้มันออกดอกออกผลอีก  เมื่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่สองนี้กำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น  อีกไม่นานชีวิตของเขาก็จะดีกว่าคนแรกแน่นอน  นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า  ทำไมบริษัทที่มีความสามารถในการหารายได้เพิ่มในอนาคต  ราคาหุ้นจึงวิ่งมากกว่าบริษัทที่มีเงินมากแต่ไม่มีความสามารถหารายได้เพิ่มในอนาคตครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 20 สิงหาคม 2013, 00:13:11
     วันนี้เอาหนังเกี่ยวกับหุ้นมาฝากกันครับ  ถ้าใครมีเวลานั่งดูหนังสักหนึ่งชั่วโมงก็ดูเล่นๆอย่าไปคิดอะไรมากนะครับ  เพราะในหนังมีจุดบกพร่องอยู่หลายอย่าง  แต่ถ้าเราคิดว่ามันเป็นแค่หนัง  เราก็ดูเพื่อความบันเทิงก็พอ

     เนื้อเรื่องในหนังโดยย่อๆก่อนที่จะมาถึงตอนนี้ก็คือ  ฝ่ายฝรั่ง  ต้องการที่จะล้มระบบการเงินโลก  แล้วต้องการจะสร้างโลกการเงินใหม่ขึ้นมา  ฝ่ายคนจีน  ก็ต้องการล้มฝรั่ง  มันก็เลยต้องมาดวลหุ้นกัน  แล้วมันก็มีการทำให้เห็นถึงกลยุทธ์ของรายใหญ่ในการสู้กัน  และที่เราจะได้เห็นอีกอย่างในหนังเรื่องนี้ก็คือ  การซื้อขายหุ้นแบบสมัยเก่าโดยใช้กระดาน  และมีการสู้กันระหว่างเครื่องคิดเลขกับลูกคิด  และที่ผมชอบมากในหนังเรื่องนี้ก็คือ  เขามาถ่ายทำในประเทศไทยด้วย  ถ้าใครได้ดูหนังเรื่องนี้เต็มเรื่อง  ก็จะเห็นว่า  มีฉากที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยประมาณเกือบครึ่งเรื่องเลยทีเดียว  แต่คุณไม่ต้องดูหนังจนหมดก็ได้  ดูแค่การดวลหุ้นในตอนท้ายเรื่องที่ผมเอามาแนะนำก็พอแล้ว  หนังเรื่องนี้ให้เข้าไปในยูทูปแล้วพิมพ์ว่า  "เกมเจ้าพ่อตลาดหุ้น172"  ดูตั้งแต่ตอนที่  172  ลงมาเลยนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 30 สิงหาคม 2013, 21:00:32
กฏการเงินที่บิดเบี้ยว
     บทความนี้ผมจะมาออกความเห็นเกี่ยวกับความกะล่อนของสังคมการเงินในทุกวันนี้ว่ามันปลิ้นปล้อนหลอกลวงขนาดไหนกันนะครับ

น้ำมัน
     มีสมัยหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้(ก่อนซับไพร์ม)  เกิดการตื่นตัวขนานใหญ่เกี่ยวกับเรื่องน้ำมันจะหมดโลก  ทำให้เกิดความวิตกกังวลกันมากว่า  เมื่อวันนั้นมาถึง  โลกของเราจะเป็นเช่นไร  เมื่อเกิดความกังวล  จึงทำให้ราคาน้ำมันช่วงนั้นพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก  เกิดความเดือดร้อนกันไปทั่วโลก  จนหลายที่หลายประเทศต้องออกมาประท้วงกันวุ่นวาย  แต่จริงๆแล้ว  ได้มีการพูดถึงเรื่องน้ำมันจะหมดโลกนี้ในวารสารของต่างประเทศมานานแล้ว  ในวารสารนั้นบอกไว้ว่า  ปริมาณน้ำมันที่เราขุดพบและมีการใช้กันจะพีคสุดในปี(ซึ่งผมก็จำไม่ได้ว่าเป็นปีไหน)  และหลังจากนั้น  ปริมาณน้ำมันที่เราขุดพบใหม่ก็จะค่อยๆลดลง  ซึ่งเมื่อปริมาณน้ำมันที่เราขุดพบใหม่ลดลง  ในขณะที่ความต้องการยังมิได้ลดลงตาม  นั่นก็หมายความว่า  ต้องเกิดการแย่งชิงน้ำมันจนทำให้ราคาพุ่งขึ้นสูงกว่าในปัจจุบัน  แต่ที่น่าแปลกก็คือ  ในช่วงที่วารสารนั้นออกบทความพวกนี้  ราคาน้ำมันในตอนนั้นก็ยังมิได้เคลื่อนไหวไปตามบทความนั้นแต่อย่างใด  แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง  ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าขาใหญ่ได้เข้ามาอ่านพบและเห็นว่ามันเป็นสตอรี่(เรื่องราว)หรือเปล่า  จึงได้มีการตื่นตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้งจนทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น  และเมื่อราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น  ก็ได้มีขบวนการขุดคุ้ยหาเหตุไปใส่ผล  หรืออาจจะเป็นไปได้ว่า  ขาใหญ่ระดับโลกได้กระพือข่าวเกี่ยวกับเรื่องน้ำมันจะหมดโลกนี้ออกมาประกอบการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน  มันจึงทำให้หลายฝ่ายพุ่งเป้าการลงทุนไปที่น้ำมันทันที  แต่จริงๆแล้วตามความเห็นส่วนตัว  ผมคิดว่าเรื่องน้ำมันจะหมดโลกนี้  เป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญหรือแอ็กชั่นกับมันมากเกินไป  สิ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่สนใจน้ำมันในตอนนั้นก็น่าจะมาจาก  หวังว่า  เมื่อเราเข้าไปลงทุนแล้ว  ราคาน้ำมันมันจะเพิ่มขึ้นไปอีก  เรื่องน้ำมันจะหมดโลก  น่าจะเป็นเรื่องราวที่เอาไว้ล่อพวกละโมภเสียมากกว่า  และหลังจากที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นไปจนทำให้แขกรวยกันจนพุงปลิ้นได้ไม่นาน  การพังทลายของตลาดน้ำมันก็ตามมา  ซึ่งราคาสูงสุดของน้ำมันในตอนนั้นคือ  147  เหรียญ  ก่อนที่จะตกลงมาต่ำสุดที่  40  กว่าเหรียญ  ลองนึกดูสิว่า  ถ้าน้ำมันจะหมดโลกจริง  ทำไมราคาน้ำมันถึงได้รูดขนาดนั้น  ไม่มีใครต้องการน้ำมันอีกแล้วหรือ  ผู้ที่เข้าไปลงทุนในน้ำมันต่างก็เทกระจาดขาย  ทำเสมือนประหนึ่งว่า  โลกในขณะนั้นไม่ต้องการน้ำมันอีกต่อไปแล้ว  และในทุกวันนี้  วันที่เราผลาญน้ำมันให้หมดไปทุกนาที  ซึ่งถ้าจะให้พูดตรงๆก็คือ  น้ำมันที่เหลืออยู่บนโลกของเราในขณะนี้  มีน้อยกว่าในช่วงที่คนพากันบ้าเข้าไปเก็งกำไรราคาน้ำมันในช่วงนั้นเสียอีก  แต่ทำไมราคาน้ำมันจึงยังไม่กลับไปอยู่ที่จุดสูงสุดที่ได้เคยทำไว้  งานนี้ก็เลยเข้าใจเอาเองว่า  สังคมการเงินมันปลิ้นปล้อนเช่นนี้แล

ทอง
     นี่ก็ดราม่าอีกเรื่องหนึ่ง  ถ้าเรายึดถือเอาตามทฤษฎีแบบของฝรั่ง  ทฤษฎีของมันบอกว่า  เมื่ิอปริมาณเงินดอลล่าร์เพิ่มมากขึ้น  ราคาทองคำต้องขึ้น!!!  นี่เป็นทฤษฎีพื้นฐานที่ว่ากันถึงเรื่องของเงินเฟ้อ  แล้วมันเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เฟดประกาศพิมพ์เงิน(QE)เป็นรอบที่สาม  ราคาทองคำพุ่งขึ้นไปสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ไม่นาน  หลังจากนั้นราคาก็ร่วงไม่เป็นท่ามาจนถึงทุกวันนี้  ตอนนั้นราคาทองคำในประเทศไทยวิ่งขึ้นไปถึงเกือบสามหมื่นต่อน้ำหนักทอง  1  บาท  และมีการคาดการณ์กันต่อไปว่าจะทะลุสามหมื่น  แต่แล้วก็อย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้  ราคาทองยังไม่สามารถกลับไปยังจุดสูงสุดเดิมได้  และยิ่งในช่วงนี้  เป็นช่วงที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการลดหรือเลิก  QE  3  แต่ราคาทองคำกลับพุ่งสวนขึ้นมา  ถ้าทฤษฎีเกี่ยวกับเงินเฟ้อคือเรื่องที่ถูกต้อง  แล้วเราจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับราคาทองคำที่เป็นอยู่ในขณะนี้ว่าอย่างไร  ซึ่งก่อนหน้าที่จะมี  QE 3  นี้  มี  QE  มาแล้วสองรอบ  ช่วงนั้นทฤษฎีเกี่ยวกับเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่ถูกต้อง  แต่สำหรับวันนี้  มันไม่ใช่อีกต่อไป

หุ้น
     เป็นเรื่องตลกร้ายสำหรับผมอีกแล้ว  ที่ใครต่อใครต่างก็คิดว่าการลงทุนในหุ้นต้องรอให้มีความชัดเจนเสียก่อนแล้วจึงค่อยลงทุน  ผมสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า  "เมื่อเราต้องการจะลงทุน  ไม่มีอะไรที่ชัดเจนหรอก  เพราะเมื่อใดก็ตามที่มันมีความชัดเจน  เมื่อนั้น...มันก็สายไปเสียแล้วสำหรับการลงทุนที่ดี"

     ถ้าใครที่อายุมากหน่อยและรู้จักวิกฤตต้มยำกุ้งในปี  2540  ก็จะรู้ว่า  ช่วงนั้นราคาหุ้นและราคาอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างไร  ช่วงนั้นมีแต่คนหวาดผวากลัวไปสารพัด  คนมีเงินก็ไม่กล้าลงทุน  เพราะไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร  ทั้งๆที่หุ้นบริษัทดีๆราคาถูกมีเต็มตลาด  และเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับคนที่กล้าลงทุนในช่วงนั้น  เพราะเมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน  ราคาหุ้นก็ฟื้นขึ้น  ทำให้บรรดาคนที่ยอมขายขาดทุนในหุ้นต้องเสียเงิน  และทำให้คนที่กล้าลงทุนร่ำรวย  และเมื่อเร็วๆนี้  วิกฤตซับไพรม์ก็เป็นอีกหนึ่งรอบที่ทำให้คนที่ยอมขายขาดทุนเสียเงิน  และทำให้คนที่กล้าลงทุนร่ำรวย  ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ทันได้ลงทุนในรอบนี้พอดี  ถ้าเราสังเกตุดีๆก็จะเห็นว่า  ราคาของหุ้นนั้น  ไม่ได้แปรผันไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น  แต่ราคาของหุ้น  มักจะเกิดก่อนเหตุการณ์ต่างๆเสมอ  ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี  อย่างเช่นช่วงก่อนซับไพรม์  ภาคเศรษฐกิจจริงยังไม่มีปัญหา  แต่ราคาหุ้นตกลงไปรอก่อนแล้ว  และอีกครั้งหนึ่ง  ในขณะที่ชาวโลกกำลังเลิ่กลั่กกับข่าวร้ายรายวัน  หุ้นกลับพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง  และในช่วงที่ประเทศไทยกำลังมีปัญหาการเมืองกันอยู่  ถึงขนาดว่ามีการปิดสนามบินกัน  หุ้นกลับพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง...อเมซิ่งมาก

     เรื่องตลกที่เกี่ยวกับหุ้นอีกอย่างที่ผมได้พบเห็นก็คือ  เมื่อมีข่าวหรือการรายงานตัวเลขต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจออกมา  บางครั้งมันออกมาดีขึ้น  แต่หุ้นกลับตกลงมาหน้าตาเฉย  โดยนักวิเคราะห์ให้เหตุผลว่า  มันดีน้อยกว่าที่คาด  และในทางกลับกัน  เวลาที่รายงานตัวเลขออกมาแย่ลง  หุ้นกลับพุ่งขึ้น  โดยนักวิเคราะห์(เหมือนเดิม)ให้เหตุผลว่า  มันแย่น้อยกว่าที่คาด

     มีเรื่องเพี้ยนที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นตั้งแต่อยู่ในตลาดหุ้นมา  และผมก็ไม่แน่ใจว่าในอนาคตผมจะได้เห็นมันอีกหรือไม่  เรื่องมีอยู่ว่า  มีอยู่ช่วงหนึ่งในสมัยรัฐบาลไหนผมก็จำไม่ได้  ช่วงนั้นรัฐบาลต้องการสร้างอะไรสักอย่างนี่แหละ  แล้วทีนี้ในตลาดหุ้นบ้านเรามันก็มีผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่อยู่สามเจ้าคือ  ck  itd  และ  stec  แล้วทีนี้มันก็เป็นธรรมดาของการเก็งกำไรกันไปก่อนว่าเจ้าไหนจะยื่นซองชนะ  ซึ่งเรื่องธรรมดาของการเก็งแบบนี้ก็คือ  มันจะมีผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น  ซึ่งถ้าใครเก็งถูก  คนนั้นก็ได้ตังค์  ถ้าใครเก็งผิด  ก็ต้องหนีให้ทัน  และแล้ววันเปิดซองก็มาถึง  ปรากฏว่าคนที่ชนะประมูลได้แก่(ผมจำไม่ได้)  เมื่อประกาศผลเท่านั้นแหละ  หุ้นของทั้งสามบริษัทพร้อมใจกันร่วงลงหมดโดยไม่สนใจว่าใครแพ้ใครชนะ  สร้างความตื่นตระหนกให้เกิดขึ้นในตลาดเป็นอย่างมาก  คนที่เก็งผิดก็ว่าไปอย่าง  แต่คนที่เก็งถูกนี่สิ  ทำอะไรไม่ถูกเลย  เพราะคิดว่าในเมื่อเก็งถูกหุ้นก็ไม่น่าจะตก  มิหนำซ้ำหุ้นน่าจะขึ้นต่อ  แต่พอปิดตลาด  หุ้นทั้งสามตัวต่างก็พร้อมใจกันร่วงลงมา  และนักวิเคราะห์(อีกแล้ว)ออกมาให้เหตุผลว่า  เนื่องจากราคาหุ้นของบริษัทที่ชนะประมูล  ได้ขึ้นมาสูงแล้ว  ทำให้มีการขายทำกำไรออกมา  และอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ  มันหมดประเด็นที่จะเล่นแล้ว  เฮ้อ...เอากะพ่อสิ  นี่จึงเป็นปรากฏการณ์ที่ผมมองว่า  สังคมการเงินมันปลิ้นปล้อนเช่นนี้เอง

      และบทสรุปในส่วนสุดท้ายนี้  ถ้าคุณอ่านมาทั้งหมดแล้วก็คงจะรู้สึกว่า  การลงทุนทุกอย่างมันมีความเสี่ยงเหมือนกันหมด  ถ้าไม่อยากเสียเงินก็อย่าเข้าไปยุ่งกับมันจะดีกว่า  ถ้าจะให้ผมพูดตามตรง  ในฐานะรายย่อยอย่างเราๆท่านๆ  คงไม่เหมาะที่จะเข้าไปเล่นน้ำมัน  เพราะเงินน้อยไม่พอเล่น  และสิ่งที่เราเล่นกันอยู่ทุกวันนี้  มันเป็นแค่สัญญาหรือสิ่งที่อ้างอิงกับราคาน้ำมันเพียงเท่านั้น  มันยังมิใช่น้ำมันจริงๆ  ถ้าคุณซื้อขายน้ำมันจริงๆได้  เมื่อน้ำมันราคาตกและคุณไม่อยากขายขาดทุน  คุณสามารถเอาน้ำมันพวกนั้นมาใช้เติมรถที่บ้านได้

     ส่วนทองคำ  ผมอยากรู้จริงๆว่า  ประโยชน์จากทองคำมีอะไรบ้าง?  ใช้เป็นเครื่องประดับ...ก็พอได้  หรือเอาไว้ป้องกันเงินเฟ้อ  หึ หึ  ถ้าคุณได้อ่านเรื่องที่ผมเอามาลง  คุณยังจะกล้าฟันธงไหมว่าในอนาคตมันยังเป็นเครื่องมือป้องกันความด้อยค่าของเงินต้นคุณ  เผลอๆมันอาจจะด้อยค่าด้วยตัวเองก็เป็นได้ใครจะไปรู้

     สำหรับหุ้น  ผมยังมองว่ามันเป็นการลงทุนที่เข้าท่าที่สุด  ถ้าเราจะพูดถึงการเล่นกับส่วนต่างของราคาเพียงอย่างเดียว  เล่นอะไรมันก็เสี่ยงพอๆกัน  แต่ถ้าเรามองสองชั้น  ถ้าเราลงทุนในหุ้นแล้วติดลบขึ้นมา  เราสามารถถือกินปันผลเพื่อรอให้ราคากลับขึ้นมาได้  หรือถ้ามันเป็นหุ้นของธุรกิจที่ดีมาก  สามารถจ่ายปันผลให้เราได้เรื่อยๆ  เราก็สามารถถือหุ้นนั้นไว้ได้นานตราบเท่าที่เราต้องการ  และเมื่อเราต้องการเงินก้อน  เราก็ยังขายหุ้นนั้นออกไปได้อีก  ซึ่งบางครั้ง  ราคาหุ้นที่เราได้ขายออกไป  อาจจะมีราคาสูงกว่าราคาที่เราได้ซื้อไว้  ซึ่งผลตอบแทนแบบนี้หาไม่ได้ในน้ำมันและทองคำ  และคุณยังสามารถร่ำรวยจากการลงทุนในหุ้นที่ถูกตัวได้โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน  ถ้าคุณลงทุนในน้ำมันและหวังว่าคนที่ใช้รถทั้งโลกต้องมาแย่งกันซื้อน้ำมันเพื่อเอาไปเติมรถของตัวเอง  ตรงนี้คุณควรสังเกตุความเปลี่ยนแปลงได้แล้วนะครับ  เพราะรถในทุกวันนี้  มีความสามารถในการใช้เชื้อเพลิงหลากหลายมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นแก๊สหรือไฟฟ้า  บางทีในอนาคต  รถยนต์อาจจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ก็เป็นได้

     ส่วนสำคัญอีกประการหนึ่งเวลาที่เราเลือกจะลงทุนก็คือ  "ข้อมูล"  การลงทุนในหุ้นใช้ข้อมูลแคบกว่าและประเมินได้ง่ายกว่า  ถ้าคุณลงทุนในน้ำมัน  คุณต้องรู้เรื่องของทั้งโลกว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้างที่จะทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น  ผมคิดว่ามันคงไม่ง่ายที่จะประเมิน  และทองคำก็คงเช่นเดียวกัน  ที่ต้องใช้ข้อมูลของทั้งโลกมาประกอบการตัดสินใจลงทุน  หรือบางทีอาจจะแคบกว่านั้น  ถ้าจะทำตามทฤษฎีเป๊ะๆก็คงต้องดูดอลล่าร์เป็นหลัก  แต่ถ้าคุณหวังจะได้กำไร  1  เท่าตัวจากวันนี้  คุณคงต้องลุ้นให้สหรัฐพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นอีก  1  เท่าตัว  ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ยากมากในทางปฏิบัติ  เพราะแค่ทุกวันนี้  เฟดก็พยายามจะหยุดพิมพ์เงินจนทำให้โลกทุกวันนี้ปั่นป่วนไปหมดแล้ว  แต่ถ้ามองย้อนกลับขึ้นไปดูบทความเกี่ยวกับทองที่ผมเอามาลง  มันก็ไม่มีอะไรแน่นอนสำหรับการเล่นกับราคา  แล้วหุ้นล่ะ...  หุ้นมันเป็นเรื่องเฉพาะตัวของบริษัท  หุ้นมันเป็นได้ทุกสิ่งบนโลกใบนี้  เพราะหุ้นก็คือส่วนหนึ่งของกิจการ  และกิจการบนโลกนี้มันก็มีตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ  คุณก็แค่มองให้ออกว่าแนวโน้มธุรกิจไหนที่กำลังจะเป็นคลื่นลูกต่อไปแค่นั้นเอง


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: jamskung10 ที่ วันที่ 05 กันยายน 2013, 16:13:24
รบกวนสอบถามนิดหน่อยนะครับ

คือตอนนี้เป็นนักศึกษาปี 3 มีเงินเก็บประมาณ 10,000-20,000
มีความคิดเริ่มสนใจอยากจะเล่นหุ้น แต่ไม่มีความรู้สักน้อยเลย
อยากจะถามว่า เงินทุนประมาณนี้ สามารถเล่นได้หรือป่าวครับ
แล้วควรเริ่มยังไงครับ

ขอบคุณมากครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 05 กันยายน 2013, 23:17:47
     ผมสังเกตุเห็นว่าช่วงนี้มีน้องๆถามเกี่ยวกับการเล่นหุ้นเข้ามาประปราย  พี่จะไม่อ้อมค้อมหรือเกรงใจก็แล้วกันนะครับ  เพราะน้องเจาะจงเข้ามาถามที่กระทู้พี่โดยตรง  และพี่อยากให้น้องตอบคำถามของพี่ด้วย

1.มีเงินเก็บอยู่สองหมื่น  มีเท่านี้ก็เล่นได้ครับ  ลองเข้าไปหาโบรกเกอร์ดู  ส่วนคำถามของพี่คือ  เงินก้อนนี้น้องต้องใช้ในระยะเวลาใกล้ๆนี้ไหม  และถ้าน้องเสียเงินให้กับหุ้นไปทั้งหมด  น้องจะมีความรู้สึกอย่างไรบ้างเช่นเสียใจ  เสียดาย  หรือไม่เป็นไรเดี๋ยวเก็บเอาใหม่

2.ขอข้ามไปตอนสุดท้ายก่อน  น้องถามว่าควรเริ่มยังไง  พี่ขอถามกลับว่า  ถ้าน้องขี่จักรยานไม่เป็น  แต่น้องอยากขี่เป็น  น้องจะทำอย่างไรครับ

3.ไม่มีความรู้สักน้อยเลย  พี่แนะนำให้น้องลงภาคปฏิบัติเลยครับ  หาโบรกเกอร์ที่อยู่ใกล้ๆแล้วเปิดบัญชีเลยครับ  พอเปิดบัญชีแล้ว  เราค่อยมาคุยกันอีกครั้งหนึ่ง  และตามความเห็นของพี่แล้ว  พี่รู้สึกว่า  ช่วงเวลาใกล้ๆนี้  จะเป็นช่วงที่ดีของการลงทุนอีกครั้งหนึ่ง


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: mocomic ที่ วันที่ 21 กันยายน 2013, 13:45:52
ขอเรียนถาน ท่านว่า   จะเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์  ที่เชียงราย
โบรก ไหน น่าใช้บริการที่สุด ครับ
อีกสองอาทิตย์ จะไปติดต่อครับ
ขอบคุณมาก ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 22 กันยายน 2013, 00:39:50
ขอเรียนถาน ท่านว่า   จะเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์  ที่เชียงราย
โบรก ไหน น่าใช้บริการที่สุด ครับ
อีกสองอาทิตย์ จะไปติดต่อครับ
ขอบคุณมาก ครับ

ตั้งแต่เริ่มลงทุนมา  ผมไม่เคยเปลี่ยนโบรกเลยครับ  ก็เลยไม่รู้ว่าโบรกไหนดีกว่ากัน  แต่เท่าที่ได้ยินมา  คนที่มีเงินน้อยและไม่อยากเสียค่านายหน้าขั้นต่ำ(ครั้งละ 50 บาท)  ควรจะใช้ของเอเซียพลัสหรือไม่ก็ทิสโก้ครับ  ยังไงก็ลองสืบดูอีกทีก็แล้วกัน  ส่วนเรื่องความน่าใช้บริการ  ผมแนะนำว่า  โบรกไหนก็ได้ครับ  แต่ตอนไปสมัคร  ควรถามหามาร์เก็ตติ้งที่ไม่ค่อยมีลูกค้าที่อยู่ในความดูแลมากหรือคนที่เพิ่งมาเป็นมาร์ใหม่จะดีกว่า  เพราะผมรู้สึกว่า  คนที่เป็นมาร์มานานแล้วมักจะเก๋าเกม  มีลูกล่อลูกชนเพื่อทำให้เราซื้อขายบ่อย  ยิ่งถ้าเราเพิ่งหัดลงทุนนี่เสร็จเลยครับ(ขออภัยถ้ามาร์บางท่านเข้ามาอ่านเจอ)  เพราะถ้าเรายิ่งทำธุรกรรมบ่อย  เราก็จะโดนค่าคอมบ่อย  และมาร์เก่า  มักจะมีลูกค้ารายใหญ่อยู่ในความดูแลอยู่แล้ว  ซึ่งถ้าเราเป็นรายย่อยพอร์ตเล็กเข้าไป  ความสนใจของเขาที่มีต่อเรามักจะน้อย  แต่ถ้าเป็นมาร์ใหม่ซึ่งไม่ค่อยมีลูกค้า  เขาจะให้ความสนใจเรามากกว่าครับ  และการที่เราเปิดบัญชีกับมาร์ใหม่  ก็เป็นการช่วยค่ายอดการเทรดให้มาร์ใหม่ด้วย  และการที่เราติดต่อกับมาร์ใหม่  เราก็อย่าคาดหวังว่าเขาจะเก่งจนทำให้เรารวยได้นะครับ  เราแค่ต้องการความเอาใจใส่จากเขาเท่านั้น  เราต้องมีมาร์ไว้เพื่อสอบถามข้อมูล  แต่อย่าฟังความเห็นจากเขา  เราต้องนำข้อมูลที่ได้รับมาย่อยเอาเอง  แล้วคุณจะอยู่รอดในตลาดครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 25 กันยายน 2013, 11:07:11
คนรวยไม่เคยพอ
     เมื่อวันก่อนผมนั่งคุยกับคนรู้จักในหัวข้อที่ว่า  คนรวย...มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ  เขาบอกว่า  คนรวยน่ะงกและเห็นแก่ตัว  ถึงตัวเองจะมีเงินมาก  แต่ก็ยังไม่ค่อยใช้จ่ายอะไรอยู่ดี  ซ้ำบางครั้ง  ยังไปเบียดเบียนคนอื่นอีกต่างหาก  ผมก็บอกว่า  มันคงจะเป็นแค่บางคนเท่านั้นมั๊ง  เพราะอย่างบางคนที่เขาเคยจนมาก่อน  กว่าจะรวยขึ้นมาได้จนถึงทุกวันนี้  เขาคงต้องต่อสู้กับความอยากของตัวเองอยู่ไม่น้อย  เมื่อต้องฝืนความอยากอยู่อย่างนั้นบ่อยๆเข้า  มันก็เลยกลายเป็นนิสัยฝังอยู่ในตัวไปโดยปริยาย  ส่วนเรื่องที่จะไปกล่าวหาว่าเขางก  ลองมองบางคนที่มีตังค์แล้วเขาบริจาคดูสิ  คนรวยก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นทุกคนหรอก  เขาบอกว่า  ถ้าเขามีเงินเยอะๆ  เขาจะไม่ทำอะไรแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือการลงทุน  เขาจะใช้เงินไปกับการท่องเที่ยวและหาของอร่อยๆกิน  ในเมื่อเราไม่ต้องระวังเกี่ยวกับการใช้เงินแล้ว  เราจะต้องไปห่วงเรื่องหาเงินอีกทำไม  ผมก็บอกว่า  นั่นมันก็แล้วแต่สิทธิส่วนบุคคลว่าเขาต้องการจะใช้เงินหรือใช้ชีวิตแบบไหน  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการกระทำดังกล่าวจะต้องไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน  และสำหรับเรื่องมีเงินแล้วเขาจะหยุดกิจกรรมเกี่ยวกับการหาเงินเพิ่มนั้น  ผมไม่เห็นด้วยกับเขาในเรื่องนี้  โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน  เขาถามว่า  ทำไมเราจึงต้องหาเงินเพิ่มขึ้นอีกล่ะ  ในเมื่อถ้าชีวิตนี้เราไม่ต้องเดือดร้อนในเรื่องเงินแล้ว  นี่จึงเป็นประเด็นที่ผมอยากเอามาลงให้ทุกท่านได้อ่านกัน  ซึ่งทุกท่านที่อ่านก็คิดซะว่าอ่านเพื่อความบันเทิงก็แล้วกันนะครับ  ไม่ต้องมาคิดว่าที่ผมพูดนั้นมันถูกหรือผิด

     เมื่อก่อนนี้ตอนที่ผมยังจนมาก  (ทุกวันนี้ก็ยังจนอยู่  เพียงแต่ว่าจนน้อยกว่าเมื่อก่อน)  จุดมุ่งหมายหลักในการลงทุนของผมก็คืออยากรวยหรือว่าต้องการเงินมากๆ  สาเหตุที่ผมตั้งธงในเรื่องเงินเป็นอันดับแรก  น่าจะมาจากการที่ผมยังมีเงินไม่มากพอ  ดังนั้นผมจึงหิวกระหายในความรวย  ซึ่งจริงๆแล้วความรวยที่ว่านั้นมันเป็นอย่างไรผมก็ไม่รู้จัก  ผมรู้เพียงแต่ว่าอย่างไรมันก็คงจะดีกว่าสิ่งที่ผมกำลังเป็นอยู่แน่นอน  แล้วการที่เราจะเป็นคนรวยมันต้องทำอย่างไรล่ะ?  แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรารวยแล้ว?  ซึ่งทั้งสองข้อนี้ผมจะมาแยกย่อยอธิบายก็แล้วกันนะครับ

     การจะเป็นคนรวยมันต้องทำอย่างไรล่ะ?  ผมเฝ้าหาคำตอบอยู่นานมาก  แต่ก็ไม่มีสูตรสำเร็จสำหรับทุกคน  ถ้าความรวยมันมีเพียงคำตอบเดียว  คนรวยในโลกทุกวันนี้คงจะทำเหมือนกันหมด  แต่จากสิ่งที่เห็นมันไม่ใช่  เราได้เห็นคนรวยจากทุกสาขาอาชีพ  แต่สิ่งที่ผมสัมผัสได้จากคนที่มีเงินก็คือ  เขาจะใช้เงินอย่างสมเหตุสมผล  ลดรายจ่าย  และเพิ่มรายได้  ซึ่งถ้านี่คือสูตรสำเร็จ  ผมว่ามันก็คุ้มค่าที่จะทำตาม

     แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรารวยแล้ว?  นี่ก็เป็นอีกคำถามหนึ่งที่มันไม่มีคำตอบสำหรับทุกคน  เพราะลิมิตของแต่ละคนไม่เท่ากัน  แต่สิ่งที่น่าจะเป็นคำตอบที่ใกล้เคียงก็คือ  เมื่อเรามีเงินเหลือมากพอหลังจากที่ไม่รู้ว่าเราจะซื้ออะไรแล้ว

     สำหรับสิ่งที่เป็นประเด็นว่า  ทำไมคนรวยยังต้องหาเงินเพิ่มอยู่อีก  ในเมื่อเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรแล้ว  และโดยเฉพาะในส่วนที่ผมเห็นว่ายังน่าจะลงทุนต่อไป

     สิ่งที่ผมได้เล่าไปแล้วว่า  ตอนที่ผมยังไม่มีเงิน  สิ่งที่ทำให้ผมสนใจในการลงทุนเป็นอันดับแรกก็คืออยากได้เงิน  แต่เมื่อผมได้อ่านหนังสือพ่อรวยสอนลูก  สิ่งที่ผู้เขียนกล่าวก็คือ  เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เขามีรายได้จากค่าเช่าของอสังหาริมทรัพย์มากกว่ารายจ่ายประจำของเขา  เขาก็รู้ได้ทันทีว่า  เขามีอิสรภาพทางการเงินแล้ว  เขาไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อหาเงินอีกต่อไป  เมื่อเป็นดังนั้นเขาก็หยุดกิจกรรมการหาเงินเพิ่ม  และหันไปเล่นกอล์ฟเป็นเวลาสองปี  แต่หลังจากสองปีผ่านไป  เขากลับรู้สึกเบื่อกับสิ่งที่ทำอยู่มาก  เขารู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่อย่างนี้ไม่สนุกและไม่มีคุณค่า  เขาจึงกลับเข้ามาในโลกของการลงทุนอีกครั้งหนึ่ง  แต่การกลับมาคราวนี้  จุดมุ่งหมายหลักมันเปลี่ยนไป  จากที่ต้องการลงทุนเพื่อเงิน  กลับกลายเป็นว่า  เขาลงทุนเพราะว่ามันสนุกและอยากประสบความสำเร็จ  ส่วนเรื่องเงินที่ทำได้  กลายเป็นสิ่งตอบแทนเมื่อเขาทำสำเร็จเพียงแค่นั้น  ช่วงแรกๆที่ผมได้อ่าน  ผมคิดว่าเขาโม้มากกว่า  ผมคิดว่าไม่มีใครหรอกที่ลงทุนแล้วไม่หวังเงินเป็นอันดับแรก  และต่อมาผมก็เห็นอีกบุคคลหนึ่ง  ซึ่งทุกคนที่ลงทุนในหุ้นน่าจะรู้จักกันดี  นั่นก็คือ ดร.นิเวศน์  เขาออกมาพูดบอกว่า  เงินที่เขามีในขณะนี้  กินชาตินี้ก็ไม่หมด  คำถามก็คือ  แล้วเขาจะลงทุนต่อไปอีกทำไม  เขาสามารถขายหุ้นทิ้ง  แล้วใช้ชีวิตอยู่กับเงินที่มีไปตลอดชีวิตได้  ซึ่งทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้  คิดอย่างไรกันบ้างครับ  สำหรับมุมมองของผมเองแล้ว  ถ้าในเมื่อเรามีความสามารถในการทำเงินให้มันเพิ่มขึ้นได้โดยที่ไม่ต้องไปยุ่งหรือเสียเวลากับมันมากนัก  มันจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าหรือไม่ที่เรายังคงลงทุนต่อไป  ผมรู้สึกเอาเองว่า  ที่ ดร. เขายังลงทุนอยู่  น่าจะมาจากมันสนุกที่ได้ลงทุนแล้วมันประสบความสำเร็จเหมือนกัน  ส่วนเรื่องเงินที่ทำได้  ก็เป็นสิ่งตอบแทนที่ได้จากความเก่งกาจในการเลือกหุ้นของเขา

     ทุกวันนี้  ผมเริ่มเชื่อในสิ่งที่คนรวยหลายๆคนบอก  เพราะมันไม่มีประโยชน์ที่เขาจะโกหก  คนที่รวยจริงมักจะทำเพราะมันสนุกที่ได้ทำ  มิใช่ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อให้ได้เงินอย่างเอาเป็นเอาตาย  เมื่อคนรวยทำอย่างนี้แล้ว  ท่านคิดว่าคนรวยไม่เคยพอจริงหรือไม่


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 03 ตุลาคม 2013, 02:37:56
     เอามาให้อ่านเพลินๆนะครับ  อย่าไปคิดอะไรมาก  เพราะถึงคิดมากไปเราก็ทำอะไรเขาไม่ได้  เมื่อทุกคนอ่านจบแล้ว  อาจจะรู้สึกเหมือนผมก็ได้  ผมรู้สึกเหมือนกับว่า  ผมเป็นแค่มดปลวกเท่านั้นเมื่อเทียบกับตระกูลที่ได้กล่าวถึงนี้

http://www.manager.co.th/ibizchannel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000062073

มีหัวข้อข่าวทางเศรษฐกิจรายงานข่าวว่า กระทรวงสิ่งแวดล้อมและพลังงานของกรีซเผยว่า บริษัท พับลิก พาวเวอร์ คอร์ปอเรชัน (พีพีซี) กลุ่มพลังงานรายใหญ่ของกรีซ จะถูกแตกออกเป็นบริษัทย่อยภายในปี 2558 ตามแผนแปรรูปรัฐวิสาหกิจ หลังจากกรีซรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ
       
        ซึ่งในแถลงการณ์ของกระทรวงระบุว่า เป้าหมายของทางการคือ การจัดตั้งบริษัทใหม่ที่มีศักยภาพในการแข่งขัน โดยกระบวนการแปรรูปจะแล้วเสร็จในไตรมาสแรกของปี 2558 จากนั้นบริษัทใหม่จะเริ่มดำเนินงานได้ทันที บริษัทใหม่ซึ่งมีขนาดเล็กลงจะดูแลรับผิดชอบทรัพยากรด้านการผลิตส่วนหนึ่งของพีพีซี รวมถึงเหมืองลิกไนต์ ไฟฟ้าพลังน้ำ ก๊าซธรรมชาติ และโรงงานกำเนิดไฟฟ้าจากลิกไนต์ ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมนั้นจะมีการหารือกันในหมู่คณะกรรมาธิการยุโรปภายในสิ้นเดือนมิ.ย.นี้
       
        นอกจากนั้น รัฐบาลกรีซยังรับปากจะขายหุ้น 17% ในพีพีซีออกจากพอร์ต ภายในปลายปี 2558 จากปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 50% ส่วนกองทุนบำนาญถือหุ้นในพีพีซีอยู่ 3.8 สำหรับบริษัทแอดมี ซึ่งเป็นผู้ให้บริการพลังงานอิสระ ก็จะถูกแปรรูปเช่นกัน โดยคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในต้นปี 2559
       
        จะเห็นได้ว่า เมื่อประเทศเกิดพังทลายทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ทรัพยากรต่างๆในประเทศถูกขายทอดตลาดออกมาให้กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ วิกฤตทางการเงินที่เกิดขึ้น เกิดจากการวางแผนไว้อย่างเป็นระบบ โดยเริ่มต้นจากการเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมในยูโรโซน จากการให้คำปรึกษาจากวานิชธนกิจระดับโลกคือ โกลด์แมนแซกค์ ในการตกแต่งตัวเลขทางเศรษฐกิจเพื่อให้เข้ากฎเกณฑ์การเข้าร่วม เช่น โยกเงินบำนาญกว่า 600 ล้านยูโรและค่าใช้จ่ายทางทหารมาไว้นอกงบประมาณรายจ่าย ลดอัตราเงินเฟ้อด้วยการตรึงค่าไฟฟ้า น้ำประปา ลดภาษีน้ำมัน สุรา และบุหรี่
       
        วานิชธนากรให้คำแนะนำให้แปลงรายได้เป็นหลักทรัพย์ โดยการนำตัวเลขในอนาคตจากสลากกินแบ่งรัฐบาล ค่าผ่านทางด่วน ค่าธรรมเนียมในการขึ้นลงของอากาศยาน (landing fee) และแม้แต่เงินให้เปล่าที่ได้รับจากสหภาพยุโรป รายได้ในอนาคตอะไรก็ตามที่มองเห็น ถูกรัฐบาลกรีกเอามาขายแปลงเป็นเงินสดในปัจจุบัน (securitized)
       
        ปิดปากข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ด้วยการขึ้นเงินเดือนให้ 3 เท่า มีการคอรัปชั่น กันอย่างกว้างขว้างมีการบอกกล่าวกันว่า ตัวเลขในการคอรัปชั่นสูงถึง 1 ใน 3 ของมูลค่างาน
       
        เมื่อกรีซประสบความสำเร็จด้วยการเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป อัตราดอกเบี้ยที่เคยสูง 8-12% ได้ลดลงเหลือ 4-5% นักลงทุนทั้งหลายต่างรู้ดีว่าเงินกู้นี้มีเยอรมันเป็นคนค้ำประกัน ดังนั้นรัฐบาลกรีชจึงเพิ่มปริมาณของหนี้สาธารณะของประเทศสูงขึ้นมาถึง 4 เท่า ทำให้ประเทศมีกระแสเงินในระบบที่สะพัดอย่างสูง แต่เงินไปอยู่กับสินค้าฟุ่มเฟือยและการคอรัปชั่นในประเทศ ตลาดหุ้นจากระดับดัชนี 800-1200 จุด ปรับขึ้นไปสูงสุดกว่า 6000 จุด
       
        โกลด์แมนแชคในฐานะที่ปรึกษา ได้ออกตราสารทางการเงินที่เรียกว่า CDS ออกมาเพื่อประกันว่า พันธบัตรของรัฐบาลกรีซ อยู่ในระดับ Investment Grade เพื่อดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกให้มาลงทุนในพันธบัตร
       
        ความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผยขึ้นในเดือนตุลาคม ปี 2009 เมื่ออำนาจเปลี่ยนขั้ว พรรคอนุรักษนิยมตกจากอำนาจ พรรคสังคมนิยมขึ้นเป็นรัฐบาลใหม่ พบว่ามีเงินของรัฐบาลที่มีอยู่ในคลังน้อยกว่าที่คาดไว้ มากจนตัดสินใจว่าไม่มีทางออกอื่นนอกจากบอกความจริงให้กับสาธารณะชนได้รับรู้
       
        ทันทีที่พูดความจริง เจ้าหนี้ของกรีซก็ตื่นตระหนกทันที พอถึงไตรมาสสุดท้ายของปี 2011 รัฐบาลก็เสนออัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสูงถึงร้อยละ 25 แต่นักลงทุนจำนวนมากมองว่ากรีซเสี่ยงสูงเกินกว่าจะรับไหวแล้ว
       
        และประเทศก็เข้าสู่การทำลายอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มต้นจาก
       
        •การประโคมข่าวถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายในกรีซจากสำนักข่าวทั่วโลก

       •การปรับลดความน่าเชื่อถือของประเทศจากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ปรับลดทีละขั้น แต่เป็นการปรับลดอย่างรุนแรง จนสุดที่การแฮร์คัทหนี้

       •การเทขายอย่างรุนแรงในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร ดัชนีตลาดหุ้นจากระดับสูงสุดกว่า 6,000 จุด ลดลงเหลือเพียง 500 กว่าจุด เท่ากับราคาสินทรัพย์ในกรีซลดลงถึง 90% ผลตอบแทนในพันธบัตรสูงถึง 98%

        •การว่างงานและการล้มละลาย

       
        อะไรคือเหตุผลที่บอกว่า วิกฤตทางเศรษฐกิจถูกออกแบบไว้ล่วงหน้า เราจะย้อนเวลากลับไป
       
        กลุ่มตระกูล Rothschild อาจจะมีคนจำนวนน้อยมากที่รู้จัก ครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และเป็นครอบครัวที่คุมเศรษฐกิจโลกทั้งระบบ
       
        Nathan Mayer Rothschild คือ บุคคลที่พิชิตหรือครอบครองระบบการเงินทั้งหมดของสหราชอาณาจักร ดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน ได้กล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้าไม่สนใจว่าหุ่นเชิดเช่นไรที่วางไว้บนตำแหน่งราชาปกครองจักรวรรดิแห่งพระอาทิตย์ไม่ตกดินที่ใหญ่โตแห่งนี้ แต่ข้าพเจ้าคิดว่าใครสามารถควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนของจักรวรรดิอังกฤษนี้ เขาก็จะเป็นผู้ควบคุมจักรวรรดิอังกฤษตัวจริง ซึ่งขณะนี้ข้าพเจ้าก็ได้ควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนของจักรวรรดิอังกฤษอยู่แล้ว” (1815)
       
        มีการประเมินกันว่าปัจจุบันนี้ตระกูล Rothschild มีทรัพย์สินประมาณ 500 ล้านล้านดอลล่าร์ มีวิธีการอย่างไรถึงมีความมั่งคั่งได้มากมายขนาดนั้น
       
        การทำธุรกิจของตระกูลนั้นมีวิธีการอย่างเข้มงวด การทำธุรกิจต่างๆทำอย่างเป็นความลับไม่แพร่งพราย การทำงานมีการประสานกันอย่างแม่นยำ ได้รับข่าวสารในตลาดก่อนใคร การมีสติที่เย็นชาอยู่ตลอด การมองให้เห็นอย่างลึกซึ้งถึงทรัพย์สินเงินทองอยู่เหนือสิ่งทั้งปวง การคาดการณ์อย่างอัฉริยะ ทำให้ตระกูล Rothschild ประสบความสำเร็จตลอด 200 ปี ท่ามกลางการต่อสู้อย่างดุเดือดและโหดเหี้ยมทางการเงิน การเมืองและสงคราม และสามารถสร้างอาณาจักรทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
       
        “ถ้าข้าพเจ้ามีอำนาจควบคุมการออกเงินตราของประเทศได้ ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจว่าใครคือผู้ออกกฎหมาย” คำพูดของ Mayer Amschel Rothschild
       
        ธนาคาร Rothschild เป็นธนาคารระหว่างประเทศ (International Bank) แห่งแรกในโลก การแต่งงานภายในครอบครัวเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ Rothschild เพื่อให้แน่ใจว่าการควบคุมของความมั่งคั่งของพวกเขายังคงอยู่ในมือของครอบครัว จากรากฐานในแฟรงค์เฟิร์ต ลูกชายทั้ง 5 ได้ถูกส่งไปคุมคลุมยังที่สำคัญต่างๆ ในยุโรป อันได้แก่
       
        •Amschel Mayer von Rothschild บุตรชายคนโตของตระกูล บริหารที่ Frankfurt ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของ ธนาคาร Rothschild (M.A. Rothschild and Sons.)

        •Salomon Mayer von Rothschild บุตรคนที่ 2 ก่อตั้งและบริหารอยู่ที่ เวียนนา ประเทศออสเตรีย (S.M. Rothschild and Sons.)

        •Nathan Mayer von Rothschild บุตรคนที่ 3 ก่อตั้งและบริหารงานที่ ลอนดอน ประเทศ อังกฤษ (N M Rothschild & Sons.)

        •Calmann Mayer von Rothschild บุตรคนที่ 4 ก่อตั้งและบริหารงานที่ เนเปิล ประเทศ อิตาลี

       •James Mayer von Rothschild บุตรคนที่ 5 ก่อตั้งและบริหารงานที่ ปารีส ประเทศ ฝรั่งเศส (Messieusde Rothschild Freres)

       
        ความพยายามร่วมกันของพวกเขาทำให้มีทรัพย์สินและมีชื่อเสียงขึ้นมาในความหลากหลายของธนาคาร รวมทั้งความพยายามที่กู้ยืม ซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล และการซื้อขายในทองคำแท่ง การจัดหาเงินทุนของพวกเขาทำให้มีโอกาสในการลงทุน และในช่วงศตวรรษที่ 19 พวกเขากลายเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่สำคัญในขนาดใหญ่การทำเหมืองแร่และการขนส่งทางรถไฟกิจการที่เป็นพื้นฐานของการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของยุโรป
       
        อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงในผู้นำของรัฐบาล การเกิดสงครามและเหตุการณ์อื่นๆ ที่จะมีผลกระทบกับความมั่งคั่งของคนในครอบครัว เพื่อประโยชน์ของพวกเขา อย่างไรก็ตามมี 3 เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลประโยชน์ของครอบครัว Rothschild บนความเสียหายของธนาคารทั่วยุโรป
       
        •การปฏิวัติ 1848

       
        •Great Depression of the 1930s

       
        •ลัทธินาซีจากช่วงปลายยุค 30 จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สอง

       
        การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของตระกูล Rothschild คือช่วงปี 1815 การทำสงครามระหว่างนโปเลียนของฝรั่งเศสและลอร์ดเวลลิงตันของอังกฤษ ที่มีตระกูล Rothschild ให้การสนับสนุนการเงินทั้งสองฝ่าย จนสงครามมาถึงจุดแตกหักที่ Water Loo สงครามครั้งนี้หากใครเป็นผู้ชนะก็จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทันที ตระกูล Rothschild ได้วางเครือข่ายข่าวสารไปทั่วทั้งยุโรป ถนนทุกสายในฝรั่งเศสจะมีหน่วยข่าวของตระกูล Rothschild
       
        สงครามครั้งนี้เป็นการเดิมพันครั้งที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ และเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ของนักลงทุน ผู้ชนะจะได้เงินก้อนใหญ่ ผู้แพ้ก็จะเสียหายแบบย่อยยับ และถ้าหากอังกฤษพ่ายแพ้ มูลค่าพันธบัตรของอังกฤษจะดึงลงเหว แต่ถ้าชนะจะสูงขึ้นทะลุฟ้าทันที
       
        ก่อนสงครามเริ่มเพียงหนึ่งวัน หน่วยข่าวกรองอันแม่นยำของตระกูล Rothschild ได้ออกจากสนามรบในฝรั่งเศสมุ่งตรงสู่ ลอนดอน
       
        Nathan Mayer Rothschild ได้รับจดหมายข่าวจากสมรภูมิ และในเวลาต่อมามีการเทขายพันธบัตรของอังกฤษออกมาเป็นแสนปอนด์ หลังจากนั้นมีการกระหน่ำเทขายออกมาในปริมาณมหาศาล มูลค่าของพันธบัตรอังกฤษเข้าสู่ภาวะพังทลายอย่างรวดเร็ว มีการปล่อยข่าวการพ่ายแพ้ของลอร์ดเวลลิงตันในตลาดหุ้นลอนดอน เพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมงมูลค่าพันธบัตรของอังกฤษเหลือมูลค่าเพียง 5%
       
        และในระยะเวลาไม่นาน Nathan Mayer Rothschild และพนักงานเข้าซื้อพันธบัตรของอังกฤษทุกใบที่มีการขายในตลาด ในคืนนั้นเองคนถือสารจากลอร์ดเวลลิงตันเดินทางมาแจ้งชัยชนะที่มีต่อกองทัพนโปเลียนที่พ่ายแพ้อย่างย่อยยับหลังการรบที่ใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมง
       
        ข่าวนี้มาถึงช้ากว่า Nathan Mayer Rothschild ถึงหนึ่งวัน ในวันรุ่งขึ้นเขามีกำไรมากกว่า 20 เท่า และเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของธนาคารกลางอังกฤษ (Bank Of England)
       
        Nathan Mayer Rothschild ได้ถือครองพันธบัตรของอังกฤษจนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุด พันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดยมีภาษีของประชาชนเป็นภาระในการชำระดอกเบี้ยและเงินต้น แทนที่จะถูกจ่ายให้กับรัฐบาล กลับถูกจ่ายให้กับธนาคาร Rothschild แทน และทำให้เขาเป็นต่อ เป็นผู้กำหนดนโยบายการเงินการหมุนเวียนทางการเงินของอังกฤษตัวจริง การเงินของจักรวรรดิพระอาทิตย์ไม่ตกดินอยู่ในกำมือของตระกูล Rothschild และมีอำนาจเหนือรัฐบาลทั้งปวง
       
        การแผ่ขยายอาณาจักรก้าวเข้าสู่โลกใหม่คือ "อเมริกา" จะมีใครในโลกนี้รู้บ้างว่า แท้ที่จริงแล้วธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกามีสถานะเป็นเอกชน และมีธนาคารตระกูล Rothschild ถือหุ้นอยู่ในนั้น จึงมีสถาณะในการควบคุมและออกแบบเศรษฐกิจทุนนิยมในอเมริกาตัวจริง เป็นเจ้าของอุสาหกรรมการรถไฟในยุโรปและอเมริกา เหมืองแร่ทองคำและเพชร (DeBeers) เหมืองแร่ (Rio tino) ธนาคารขนาดใหญ่ เช่น โกล์ดแมนแซค เจพีมอร์แกน ซิตี้แบงค์ บาร์แค บีเอนพี ยูบีเอส ฯลฯ อุตสาหกรรมอาวุธ อุตสาหกรรมน้ำมัน อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมสื่อสารมวลชน และอีกมากมาย
       
        ปรัชญาทางความคิดในการสร้างความร่ำรวยมหาศาลของตระกูล Rothschild ก็คือ “การเติบโตและการพังทลายทางเศรษฐกิจจะสร้างโอกาสอันยิ่งใหญ่เสมอ” เมื่อสามารถควบคุม BOE, FED และ ECB ได้อย่างเบ็ดเสร็จ เท่ากับว่าสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจของโลกใบนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
       
        การทำให้เศรษฐกิจเติบโตหรือล้มละลายทำได้อย่างง่ายดายโดยเปรียบเทียบให้เห็นง่ายๆคือ “คนในโลกนี้เหมือนกับปลาในบ่อน้ำ เงินเปรียบเสมือนน้ำ เมื่อใส่น้ำเข้าไปปลาก็จะสดชื่น เมื่อสูบน้ำออกจากบ่อปลาก็จะตาย และเลือกจับได้อย่างง่ายดาย”
       
        วิกฤติที่เห็นได้ชัดคือตอนปี 40 ก่อนหน้านั้นมีการปล่อยเงินเข้ามามากมายในระบบเศรษฐกิจของประเทศจนเกิดฟองสบู่ และดึงเงินออกอย่างเป็นระบบ เริ่มจากการปล่อยข่าวทำลาย ลดอันดับความหน้าเชื่อถือ (Rating) แล้วก็เรียกคืนหนี้ ก็คือการดึงเงินออกอย่างเป็นระบบ และปล่อยให้เศรษฐกิจพังทลาย และใช้องค์กรระหว่างประเทศเข้าควบคุมภายใต้แนวทางของข้อตกลงฉันทามติ "วอชิงตัน" ภายใต้ขบวนการสร้าง New World Order และเข้าซื้อทรัพยากรในราคาถูก ไม่ว่าจะเป็นรัฐวิสาหกิจ ฯลฯ ออกกฎหมายให้ประโยชน์ (กฎหมายขายชาติ 11 ฉบับที่ปัจจุบันยังคงอยู่) และเข้าครอบครองอย่างแยบยล
       
        เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ ตลอดเวลา เช่น ในอาร์เจนตินา เม็กซิโก อาเซียน สหรัฐอเมริกา ยุโรป อังกฤษ ไอร์แลนด์ สเปน โปรตุเกส กรีซ และล่าสุดที่ไซปรัส
       
        ถามว่าทำไมเกิดขึ้นแม้นแต่ในอเมริกา คำตอบคือ กลุ่มทุนนี้อยู่เหนือความเป็นชาติ ไร้พรมแดน และมองประชากรทั่วโลกว่าเป็นทาส มีหน้าที่สร้างความมั่งคั่งให้แก่กลุ่มทุนของตน และจ่ายค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นผ่านภาษี
       
        ปรัญชาสูงสุดของทุนนิยมก็คือ “เวลาที่รุ่งเรือง กลุ่มผู้บริหารและผู้ถือหุ้นจะได้รับประโยชน์ เมื่อมีความผิดพลาดจนล้มละลาย ประชาชนจะเป็นผู้จ่ายราคาของความเสียหายหรือหายนะนั้นๆ และทุนก็เข้าทำกำไรในความหายนะนั้นอีกที”
       
        (บทความนี้จากการสัมภาษณ์ คุณ ทวีสุข ธรรมศักดิ์)

http://www.onopen.com/2007/01/1703

อันที่จริง…ก่อนหน้าที่ "นาธาน” จะได้รับมอบหมายจากตระกูลรอทไชลด์ให้มาดำเนินธุรกิจธนาคารในอังกฤษในปี ค.ศ. ๑๗๘๙ บรรดาชาวยิวที่เคยถูกเนรเทศออกไปจากประเทศนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๒๙๐ ก็ได้รับอนุญาตให้กลับมาทำมาหากินในประเทศอังกฤษได้อีกครั้งตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๖๕๕ เป็นต้นมาแล้ว โดยเฉพาะชาวยิวที่อพยพมาจากเมืองเวนิส ซึ่งสามารถสร้างเครือข่ายทางการค้า จนมีอำนาจต่อรองกับประเทศต่างๆในยุโรปได้อย่างเป็นจริงเป็นจังในเวลาต่อมา ช่วงเวลานับร้อยๆ ปีที่ชาวยิวได้กลับมาใช้ชีวิตในประเทศอังกฤษกันอีกครั้ง ก็ย่อมทำให้เกิดการวางรากฐานทางการค้าที่มั่นคงแน่นหนาและหยั่งรากลึกเชื่อมโยงกันเป็นระบบมานานแล้ว…

นอกจากนั้น เครือข่ายชาวยิวในอังกฤษหรือทั่วทั้งยุโรปในช่วงระยะหลังๆ ก็ไม่ได้คิดแต่จะกระจุกตัวอยู่แต่เฉพาะในหมู่พวกเดียวกันเองเท่านั้น แต่ชาวยิวแต่ละรายล้วนแสดงถึงความพยายามที่จะปรับตัวให้เกิดความกลมกลืนกับชาวยุโรปด้วยกรรมวิธีต่างๆอยู่ไม่น้อย บางรายอาจจะใช้วิธีเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์แทนศาสนายูดาห์ ซึ่งก็คงเป็นเพียงแค่การนับถือกันแต่เฉพาะรูปแบบมากกว่าที่จะเชื่อมั่นศรัทธากันแบบจริงๆ จังๆ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะทำให้ตัวเองมีโอกาสไต่เต้าเข้าไปสู่ระบบอำนาจได้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น บางรายอาจจะยึดมั่นอยู่กับศาสนาเดิมอย่างไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็พร้อมที่จะแสดงตัวเป็นพลเมืองของประเทศนั้นๆ อย่างเต็มอกเต็มใจ หรือกระทั่งบางรายก็หันมาแต่งงานกับชนชาติอื่นจนกลายเป็นลูกผสม โดยไม่ได้เคร่งเครียดมากมายนักกับความเป็นสายเลือดบริสุทธิ์เหมือนในอดีต…

และแม้นว่าชาวยิวโดยทั่วไปอาจจะยังคงยึดมั่นอยู่กับการแต่งงานในหมู่พวกเดียวกันเองเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับบรรดาชาวยิวที่มีอำนาจทางการค้ามีหน้ามีตาขึ้นมาในสังคมชาวยุโรป ก็พร้อมที่จะสนับสนุนให้บุตรหลานในครอบครัวได้แต่งงานกับบรรดาชนชั้นสูงในยุโรปกันเป็นจำนวนไม่น้อย ตระกูลดังๆในยุโรปไม่ว่าตระกูลแอสเธอร์, คอลลินส์, ดูปองท์, ออพเพนไฮเมอร์, ฟรีแมน, ร็อคกี้เฟลเลอร์, เคนเนดี้…ฯลฯ ว่ากันว่า…ล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับชาวยิวผ่านการสมรสกันในแต่ละรุ่น อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษบางรายอย่างเช่น ”ลอร์ด โรเซเบอร์รี่” ก็สมรสกับภรรยาชาวยิวที่ชื่อ "ฮันนาห์ รอทไชลด์” หรือ "ลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบทเทน” พระอัยกาของเจ้าชายฟิลลิปและพระญาติของพระราชินีอลิซาเบธที่ ๒ ก็แต่งงานกับหลานสาวนายธนาคารชาวยิวที่ชื่อ "เออร์เนสท์ คาสเซล” หรืออดีตนายกรัฐมนตรี "เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิล” ก็ยอมรับว่ามารดาของตัวเองที่ชื่อว่านาง

"เจนนี (จาคอบสัน) เจอโรม” นั้นก็เป็นชาวยิวเช่นกัน…

สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีอคติในเรื่องเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์แล้ว สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก หรือนอกจากจะเป็นสิ่งปกติธรรมดาแล้วยังถือเป็นทัศนคติที่เปิดกว้าง เป็นการแสดงออกถึงการยอมรับต่อความเป็นสากลของมวลมนุษยชาติที่น่าเคารพยกย่องกันอีกต่างหาก แต่สำหรับชาวยิวที่ถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากการปลูกฝังให้ยึดมั่นกับสายเลือดบริสุทธิ์กันมานานนับเป็นพันๆ ปี ยึดมั่นต่อพระเจ้าที่เป็นพระเจ้าของชาวยิวล้วนๆ…สิ่งเหล่านี้จะมีส่วนหลอมละลายให้ความเป็นยิวลดน้อยถอยลงไปมากน้อยขนาดไหนก็ไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ…มันย่อมมีผลทำให้เครือข่ายของชาวยิวสามารถขยายตัวได้กว้างขวางและซับซ้อนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ… และโดยเครือข่ายอันกว้างขวางซับซ้อนเช่นนี้นี่แหละ ที่ได้กลายเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญสำหรับ "นาธาน รอทไชลด์” ในอันที่จะแผ่ขยายอำนาจของตระกูลและอำนาจของเผ่าพันธุ์ชาวยิวให้ครอบคลุมกันในระดับสุดขอบฟ้าไปเลยทีเดียว….

ว่ากันว่า…หลังจาก "นาธาน” ได้เริ่มลงหลักปักฐานอยู่ในประเทศอังกฤษ เขาก็ได้แสดงความสามารถและชั้นเชิงในทางธุรกิจการค้าให้เป็นที่ยอมรับสำหรับครอบครัวและเครือข่ายชาวยิวได้ในระยะเวลาไม่นานนัก นั่นก็คือเขาสามารถทำให้เงินจำนวนประมาณ ๔,๐๐๐ ปอนด์ ที่ตระกูลรอทไชลด์มอบหมายให้เขามาลงทุน เพิ่มขึ้นไปถึง ๗,๐๐๐ ปอนด์ ในช่วงเวลาแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น และหลังจากที่เขาได้แต่งงานกับลูกสาวคหบดีชาวอังกฤษที่ชื่อ "บาเรนท์ โคเฮน” ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบรรดาชนชั้นสูงในประเทศอังกฤษ ก็ลึกซึ้งแน่นหนาตามไปด้วย…จนในท้ายที่สุดเครือข่ายทางการเงินของตระกูลรอทไชลด์ และเครือข่ายชาวยิวที่แทรกซึมอยู่ในหมู่ชนชั้นสูงของประเทศอังกฤษก็ได้ทำให้ ”นาธาน” สามารถเอ่ยคำพูดอันเป็นที่จดจำกันในประวัติศาสตร์มาจนถึงทุกวันนี้นั่นก็คือ… “ผู้ที่ควบคุมจักรวรรดิแห่งนี้ ก็คือผู้ที่ควบคุมระบบการเงินของประเทศนี้…” หลังจากที่ "แบงค์ ออฟ อิงแลนด์” ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขา ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ควบคุมระบบการเงินของราชสำนักอังกฤษในเวลาต่อมา…

แม้นว่า "นาธาน” จะเป็นลูกชายคนที่สามของ "ไมเยอร์ รอทไชลด์” หรือไม่ได้มีฐานะเป็นหัวหน้าครอบครัวสืบต่อจากผู้เป็นพ่อตามแบบแผนประเพณีของชาวยิว ซึ่งมักจะยกสิทธิเหล่านี้ให้กับลูกชายคนโตหรือบุตรคนหัวปีเป็นหลัก…แต่โดยประวัติความเป็นมาของตระกูลรอทไชลด์ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้ที่ได้รับการกล่าวถึง หรือมีบทบาทค่อนข้างจะเด่นที่สุดเมื่อเทียบกับบรรดาพี่น้องคนอื่นๆ นอกจากนั้นอาจจะเป็นเพราะสถานะของประเทศอังกฤษเอง ที่ได้กลายมาเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกหลังสงครามวอเตอร์ลู เป็นตัวผลักดันให้บทบาทของ "นาธาน” กลายเป็นบทบาทที่โดดเด่นตามไปด้วยก็อาจเป็นได้ จนทำให้ท้ายที่สุดศูนย์กลางของธนาคารรอทไชลด์ที่เคยตั้งมั่นอยู่ในเมืองแฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมนีซึ่งเคยถูกควบคุมดูแลโดยไมเยอร์ รอทไชลด์จนมาถึงอัมสเชล รอทไชลด์ ลูกชายคนโต ก็ได้ปรับเปลี่ยนมาสู่การยึดเอาธนาคารในลอนดอนหรือ "แบงค์ ออฟ อิงแลนด์” ที่ควบคุมโดย "นาธาน” เป็น”ศูนย์กลาง”ในการเชื่อมโยงกับกิจการการค้าและกิจการธนาคารอีก ๔ สาขาของตระกูลในเวลาต่อมา...

ภายใต้บทบาทของธนาคารแห่งกรุงลอนดอนซึ่งถูกใช้เป็นศูนย์ในการเชื่อมประสาน โยงใยกับเครือข่ายธนาคารของตระกูลทั่วทั้งยุโรป รวมทั้งความใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจและชนชั้นสูงในแต่ละประเทศ ทำให้อำนาจทั้งในทางการค้าหรือแม้กระทั่งทางการเมืองของตระกูลรอทไชลด์แผ่ซ่านครอบคลุมไปทั่วทั้งยุโรป กิจการการลงทุนขนาดใหญ่ๆในยุโรปไม่ว่ากิจการเหมืองแร่ในเขตอาณานิคมต่างๆ ธุรกิจก่อสร้างทางรถไฟ อุตสาหกรรมในฝรั่งเศส การลงทุนขุดคลองสุเอซของอังกฤษ… หรือแม้กระทั่งการใช้จ่ายในการทำสงครามของประเทศยุโรปในแต่ละประเทศ ฯลฯ ต่างก็ต้องพึ่งพาเครือข่ายธนาคารของตระกูลรอทไชลด์ด้วยกันทั้งสิ้น ถึงขนาดที่จักรพรรดิออสเตรียตัดสินใจมอบตำแหน่ง "บารอน” ให้กับพี่น้องรอทไชลด์ทั้ง ๕ ราย ในปี ค.ศ. ๑๘๒๒ เพื่อแสดงความยอมรับต่ออิทธิพลทางการเงินของพี่น้องรอทไชลด์ที่มีต่อรัฐบาลต่างๆ ในยุโรปขณะนั้น แม้แต่องค์กรทางศาสนาอย่างสำนักวาติกันก็ได้แสดงออกถึงความยอมรับต่ออิทธิพลเหล่านี้ไม่ต่างไปจากกัน ซึ่งเห็นได้จากการจัดพิธีการต้อนรับ "คาร์ล รอทไชลด์” ผู้ดูแลกิจการธนาคารของตระกูลในอิตาลีในระดับไม่ต่างอะไรไปจากพิธีต้อนรับผู้นำระดับประเทศ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษสองสมัยอย่าง ”เบนจามิน ดิสเรลี” ชาวยิวผู้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์นิกายแองกลิกันจนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้รัฐบาลอังกฤษขุดคลองสุเอซโดยเงินกู้จากตระกูลรอทไชลด์ ถึงกับเคยกล่าวยกย่อง "นาธาน รอทไชลด์” ว่าเป็น”พระเจ้าและนายของตลาดเงินแห่งโลก…ซึ่งทำให้เขาเป็นพระเจ้าและเป็นนายของทุกสิ่ง…”???

และไม่เพียงแต่จะสามารถสร้างเครือข่ายอำนาจทางการค้า ครอบคลุมไปทั่วทั้งยุโรปอันแทบไม่ต่างไปจากการควบคุมโลกทั้งโลกที่ต่างก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของชาวยุโรปในขณะนั้นได้แล้ว ความพยายามของ "นาธาน”ในการที่จะจัดสร้างเครือข่ายธุรกิจการค้าและสาขาธนาคารของตระกูลขึ้นมาในประเทศเกิดใหม่ ที่เพิ่งดิ้นรนพ้นไปจากความเป็นอาณานิคมอย่างประเทศอเมริกาในช่วงระยะนั้น ยังถือได้ว่าเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลเอามากๆ และแสดงให้เห็นถึงลีลาการทำธุรกิจของตระกูลรอทไชลด์ที่เต็มไปด้วยความลึกลับซับซ้อนและแฝงไว้ด้วยความเหี้ยมเกรียมไม่น้อยทีเดียว…

ว่ากันว่าเดิมทีตระกูลรอทไชลด์นั้น ได้เริ่มวางเครือข่ายธุรกิจของตัวเองไว้ในอเมริกาก่อนหน้าที่ "นาธาน” จะถูกส่งมาตั้งธนาคารในอังกฤษซะอีก แต่ก็เป็นเครือข่ายที่ไม่ถึงกับมีความมั่นคงแน่นหนาอะไรมากมายนัก แม้นว่าเครือข่ายธุรกิจเหล่านี้ จะได้รับการสนับสนุนจากนักธุรกิจและนักการเมืองที่มีอำนาจในอเมริกาบางราย อย่างเช่น ”อเล็กซานเดอร์ แฮมมิลตัน” จนกระทั่งตระกูลรอทไชลด์สามารถก่อตั้งธนาคาร "แบงค์ ออฟ เดอะ ยูไนเต็ด เสตท” ขึ้นมาได้ในปี ค.ศ. ๑๗๙๑ แต่การดำเนินธุรกิจของตระกูลรอทไชลด์ก็ประสบกับอุปสรรคไม่น้อย อันเนื่องมาจากทัศนคติและแนวนโยบายของนักการเมืองรุ่นต่อๆมา ไม่ว่าจะเป็นนาย "แอนดรูว์ แจ๊กสัน” ซึ่งขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐในช่วงปี ค.ศ. ๑๘๒๙-๑๘๓๗ หรือ "อับราฮัม ลินคอล์น” ที่ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในช่วงปี ค.ศ. ๑๘๖๑-๑๘๖๕ …

ภาพแห่งการปะทะขัดแย้ง ระหว่างตระกูลรอทไชลด์ภายใต้การนำของ "นาธาน” ที่ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ที่ประเทศอังกฤษ กับรัฐบาลอเมริกาในยุคของ "แอนดรูว์ แจ๊กสัน” หรือ ”อับราฮัม ลินคอล์น” นั้น นอกจากจะสะท้อนให้เห็นถึงพลังอำนาจของเครือข่ายชาวยิวที่นับวันจะเติบโตยิ่งใหญ่ในระดับโลกอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ยังถือได้ว่าเป็นการปะทะที่ก่อให้เกิด "จุดเปลี่ยน” ครั้งสำคัญต่อประเทศที่เคยได้รับการขนานนามว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ หรือดินแดนของผู้ใฝ่หาอิสรภาพ ให้ต้องกลายมาเป็นดินแดนของผู้ใฝ่หาความมั่งและผลประโยชน์ หรือกลายมาเป็น ”ศูนย์กลางของระบบทุนนิยมโลก” ที่ถูกควบคุมบงการโดยกลุ่มพลังอำนาจของกลุ่มคนแค่ไม่กี่ตระกูลในเวลาต่อมา...???


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Khunbank11 ที่ วันที่ 07 ตุลาคม 2013, 00:47:53
Acap จะปันผลวันที่16นี้ หุ้นละ1บาท ตอนนี้ราคาหุ้น หุ้นละ 6บาทครับ รีบหาชื้อกันไว้เลยครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 07 ตุลาคม 2013, 03:38:12
Acap จะปันผลวันที่16นี้ หุ้นละ1บาท ตอนนี้ราคาหุ้น หุ้นละ 6บาทครับ รีบหาชื้อกันไว้เลยครับ

แล้วคุณซื้อไว้หรือยังครับ  ซื้อให้หมดตังค์เลยนะครับ

     ปัญหาของหุ้นตัวนี้ก็คือ  ปันผลไม่ได้จ่ายทุกปี  นี่ก็เว้นมา  2  ปีแล้วเพิ่งจะมาจ่าย  แล้วคุณเข้าไปดูงบการเงินหรือยังครับ  บริษัทขาดทุนมาปีครึ่งแล้ว  นี่ถ้าได้ปันผล  1  บาท  แต่พอปันเสร็จแล้วหุ้นตกลงมา  2  บาทนี่  นรกเลยนะครับ  แต่ถ้าคุณมั่นใจในหุ้นและซื้อไว้แล้ว  ก็ขอให้คุณโชคดีนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: tongchai ที่ วันที่ 07 ตุลาคม 2013, 16:06:23
ถามที่ครับพอจะมีเบอพี่สมชายธนชาติไหมครับเบอหายไปไหนไม่รู้มีเรื่องติดต่อ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 07 ตุลาคม 2013, 21:43:22
ถามที่ครับพอจะมีเบอพี่สมชายธนชาติไหมครับเบอหายไปไหนไม่รู้มีเรื่องติดต่อ

     ผมคิดว่าในเว็บนี้คงจะหาไม่ยากครับ  เพราะเขาเป็นมาร์และอยากได้ลูกค้า  แต่ถ้าไม่มีเบอร์เขาจริงๆ  ท่านก็ส่ง  PM  ไปหาเขาก็ได้นี่ครับ  ผมไม่ทราบว่าที่ท่านถามมาที่ผมนี้มีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า?


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Khunbank11 ที่ วันที่ 08 ตุลาคม 2013, 00:47:10
ปัญหาของหุ้นตัวนี้ก็คือ  ปันผลไม่ได้จ่ายทุกปี  นี่ก็เว้นมา  2  ปีแล้วเพิ่งจะมาจ่าย  แล้วคุณเข้าไปดูงบการเงินหรือยังครับ  บริษัทขาดทุนมาปีครึ่งแล้ว  นี่ถ้าได้ปันผล  1  บาท  แต่พอปันเสร็จแล้วหุ้นตกลงมา  2  บาทนี่  นรกเลยนะครับ  แต่ถ้าคุณมั่นใจในหุ้นและซื้อไว้แล้ว  ก็ขอให้คุณโชคดีนะครับ

เอ่อพอดีผมชื้อไว้ตอนราคา5บาทอะครับผม หลายหมื่นหุ้น เมื่อ2อาทิตย์ก่อน เช้าวันที่ประกาศปันผลนั่นแหละครับ พอดีผมเร็ว ตอนนี้ราคา6.4บาทแล้ว และคงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ จนถึงวันxd เชื่อว่าคนฉลาดจะเทขายวันxdครับ ผมก็หนึ่งในนั้น ผมคงไม่รอมันตกถึงราคาทุนครับ งบการเงินมันจะขาดทุนมา100ปีก็ไม่น่าเกี่ยวกะผมนะ เพราะผมชื้อตอนราคาต่ำ และขายตอนราคาสูงกว่าต้นทุน แถมยังได้ปันผล 20 เปอร์เช็นของราคาชื้อ คือหุ้นละ5 บาทนั่นเอง สังเกตุดูดีๆ บริษัทที่ขาดทุนติดต่อกัน3-4ปีก็ยังมีครับ เช่นTrue ผลกำไรติดลบมาตั้ง3ปี ก็ยังมีคนชื้อขายกันทุกวัน ผมลองคิดเล่นๆ ผมน่าจะทำกำไรได้ถึง52เปร์เซ็นต์เลยทีเดียว แค่11วัน รู้มั้ยครับ คนรวยกะคนจนมันต่างกันนิดเดียวอะคับ ตรงกึ๋นครับ ปล.ที่ผมแนะนำให้ชื้อ เพราะแค่หวังให้ราคาหุ้นมันพุ่งขึ้นเรื่อยๆครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 08 ตุลาคม 2013, 03:06:04
ปัญหาของหุ้นตัวนี้ก็คือ  ปันผลไม่ได้จ่ายทุกปี  นี่ก็เว้นมา  2  ปีแล้วเพิ่งจะมาจ่าย  แล้วคุณเข้าไปดูงบการเงินหรือยังครับ  บริษัทขาดทุนมาปีครึ่งแล้ว  นี่ถ้าได้ปันผล  1  บาท  แต่พอปันเสร็จแล้วหุ้นตกลงมา  2  บาทนี่  นรกเลยนะครับ  แต่ถ้าคุณมั่นใจในหุ้นและซื้อไว้แล้ว  ก็ขอให้คุณโชคดีนะครับ

เอ่อพอดีผมชื้อไว้ตอนราคา5บาทอะครับผม หลายหมื่นหุ้น เมื่อ2อาทิตย์ก่อน เช้าวันที่ประกาศปันผลนั่นแหละครับ พอดีผมเร็ว ตอนนี้ราคา6.4บาทแล้ว และคงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ จนถึงวันxd เชื่อว่าคนฉลาดจะเทขายวันxdครับ ผมก็หนึ่งในนั้น ผมคงไม่รอมันตกถึงราคาทุนครับ งบการเงินมันจะขาดทุนมา100ปีก็ไม่น่าเกี่ยวกะผมนะ เพราะผมชื้อตอนราคาต่ำ และขายตอนราคาสูงกว่าต้นทุน แถมยังได้ปันผล 20 เปอร์เช็นของราคาชื้อ คือหุ้นละ5 บาทนั่นเอง สังเกตุดูดีๆ บริษัทที่ขาดทุนติดต่อกัน3-4ปีก็ยังมีครับ เช่นTrue ผลกำไรติดลบมาตั้ง3ปี ก็ยังมีคนชื้อขายกันทุกวัน ผมลองคิดเล่นๆ ผมน่าจะทำกำไรได้ถึง52เปร์เซ็นต์เลยทีเดียว แค่11วัน รู้มั้ยครับ คนรวยกะคนจนมันต่างกันนิดเดียวอะคับ ตรงกึ๋นครับ ปล.ที่ผมแนะนำให้ชื้อ เพราะแค่หวังให้ราคาหุ้นมันพุ่งขึ้นเรื่อยๆครับ

     เอาล่ะ...ผมตีโจทย์ของคุณแตกแล้ว  ตรงที่ผมเน้นสีแดงนั้น  เจตนาของคุณก็คือ  เชียร์ให้คนที่ไม่รู้เรื่องหุ้นเข้าไปรับของต่อจากคุณหรือไปช่วยกันซื้อเพื่อทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้น  ตรงนี้คุณคิดว่าเป็นคำแนะนำที่ดีสำหรับคนอื่นหรือเปล่า  คุณรับผิดชอบกับการกระทำของตัวคุณเองบ้างไหม  ผมไม่อยากจะต่อว่าคุณเลยนะครับ  ให้คนที่เขาเข้ามาอ่านตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน  ส่วนสีเขียวนั้น  ตรงนี้อ่านแล้วเหมือนคุณเย้ยหยันคนอื่นว่าตัวคุณนั้นฉลาดกว่า...เก่งกว่า  ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้บอกว่าผมฉลาดนะครับ  ผมแค่แนะนำในเรื่องการลงทุนที่ผมรู้และไม่อยากให้คนอื่นพลาดเหมือนผมก็เท่านั้น  แล้วการที่คนรวยต้องกระทำเหมือนกับคุณ  คุณคิดว่าคุณควรภูมิใจในความเป็นคนรวยนั้นไหมครับ?


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: ซาลาเปา(เฉพาะกิจ) ที่ วันที่ 08 ตุลาคม 2013, 11:22:28
ACAP เป็นหุ้นสุดสวิงริงโก้ ขึ้นลงทีน่าใจหาย ถ้าหวังระยะยาวต้องมีหัวใจที่แข็งแรงมากๆเพราะต้องเหนื่อยกับมัน... ฟันธงงงง


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 08 ตุลาคม 2013, 11:36:42
เอาละครับ ต่างฝ่ายก็ต่างมีมุมมองในการลงทุนแตกต่างกัน

หุ้น มันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท หลักๆก็คือ ลงทุนหุ้น กับ เล่นหุ้น

ซึ่งทางเว็บที่เปิดห้องนี้ึ้ขึ้นมาก็มีความต้องการให้คนเชียงรายหันมาสนใจในด้านการลงทุน

ซึ่งห้องของท่านวายุนี้ก็คงจะเป็นการลงทุนแบบ ระยะกลางถึงยาว ดูพื้นฐานเป็นหลัก

และข้อมูลของท่าน Khunbank11 ก็ไม่ใช่ว่าจะผิดเพราะจากที่อ่านมาน่าจะเรียนว่าเล่นหุ้น..

ซึ่งวิธีการแบบนี้ก็สามารถสร้างกำไรให้กับพอร์ตได้เช่นเดียวกับนักลงทุนหุ้น

แตกต่างที่วิธีคิดและการเทรดเท่านั้นเอง

สิ่งที่อยากฝากไว้ก็คือ เราควรจะมาให้ข้อมูลที่ถูกต้องและนำไปใช้จริงได้มากกว่า

การเชียร์หรือเอาข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนมาลงให้เพื่อนสมาชิกหน้าใหม่เข้าใจผิดมมากกว่าครับ

ขอฝากไว้ด้วยครับ

ปล.ผมแนวไฮบริด ทั้งลงทุนและเล่นหุ้น

ขอบคุณครับ (http://เอาละครับ ต่างฝ่ายก็ต่างมีมุมมองในการลงทุนแตกต่างกัน

หุ้น มันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท หลักๆก็คือ ลงทุนหุ้น กับ เล่นหุ้น

ซึ่งทางเว็บที่เปิดห้องนี้ึ้ขึ้นมาก็มีความต้องการให้คนเชียงรายหันมาสนใจในด้านการลงทุน

ซึ่งห้องของท่านวายุนี้ก็คงจะเป็นการลงทุนแบบ ระยะกลางถึงยาว ดูพื้นฐานเป็นหลัก

และข้อมูลของท่าน Khunbank11 ก็ไม่ใช่ว่าจะผิดเพราะจากที่อ่านมาน่าจะเรียนว่าเล่นหุ้น..

ซึ่งวิธีการแบบนี้ก็สามารถสร้างกำไรให้กับพอร์ตได้เช่นเดียวกับนักลงทุนหุ้น

แตกต่างที่วิธีคิดและการเทรดเท่านั้นเอง

สิ่งที่อยากฝากไว้ก็คือ เราควรจะมาให้ข้อมูลที่ถูกต้องและนำไปใช้จริงได้มากกว่า

การเชียร์หรือเอาข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนมาลงให้เพื่อนสมาชิกหน้าใหม่เข้าใจผิดมมากกว่าครับ

ขอฝากไว้ด้วยครับ

ปล.ผมแนวไฮบริด ทั้งลงทุนและเล่นหุ้น

ขอบคุณครับ)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Khunbank11 ที่ วันที่ 09 ตุลาคม 2013, 01:27:15
โอ๊วว เป็นเรื่องใหญ่เลยนะครับหุ้นAcap ถ้าสื่อไปในทางที่ผิดยังไงก็ขออภัยมา ณ ที่นี้เลยนะครับ(ขออภัยจริงๆ) แต่บางครั้งมันก็อยู่ที่คนตีความด้วยนะครับ ที่ผมเชียร์ให้ชื้อเพราะเผื่อบางคนที่สนใจอาจจะทำกำไรได้บ้างนะครับ ซึ่งมันก็ไม่ผิดจากที่ผมคาดเอาไว้สักเท่าไหร่นะครับ ผมนั่งวิเคราะและโพสเข้ามาเวลาเที่ยงคืนก่าก่าของวันที่7  ถ้าใครชื้อเก็บไว้ ณ เช้าวันนั้น วันที่7 หุ้นตัวนี้ บวก.40 หรือ 6.67 เปอร์เซ็น พอวันที่8 บวกเพิ่มเข้ามา .65 หรือ 10.16 เปอร์เซ็น ส่วนวันที่9และวันที่10น่าจะบวกเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อยนะครับเพราะวันที่11เป็นวันxdครับ  ถ้าใครที่อ่านและพิจารณาหุ้นตัวนี้ และเห็นอย่างที่ผมเห็นและชื้อเก็บไว้ อาจทำกำไรได้บ้างนะครับ แถมปันผลอีกหุ้นละบาท อาจทำกำไรได้หลายสิบเปอร์เซ็นภายในเวลาอันสั้นๆเลยทีเดียว (ของผม 40เปอร์เซ็นแล้วครับ พรุ่งนี้จะนั่งภาวนาให้มันขึ้นต่อ) เอ่อถ้าบางท่านเห็นว่าข้อมูลที่ผมโพสไปมันเป็นเรืื่องไม่จริง หลอกลวง ทำให็คนอื่นเข้าใจผิด ชื้อไปก็ขาดทุน มันโฆษณาชวนเชื่อ ก็ขออภัยอย่างสูงมา ณ ที่นี้เลยนะครับ วันหลังจะได้ไม่โพสอะไรแบบนี้อีก
ส่วนบางท่านต้องการผลเกร็งของผมแนะนำหลังไมครับ ผมเกร็งได้ทุกวัน ขนาดอยู่ในห้องน้ำผมยังเกร็งเลย เอาสิ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 ตุลาคม 2013, 02:51:05
     OK  ถ้าขออภัยมาเราก็ต้องให้อภัยไป(ถูกไหม)  ถ้าคุณไม่ลง  ปล.มา  มันก็คงไม่มีอะไรมาก  แต่พอคุณลง  ปล.ปุ๊บ  มันก็ดูเหมือนกับว่า  คุณกำลัง  "เชียร์"  ให้คนอื่นตามไปซื้อเพื่อหนุนคุณไว้  ยังไงก็ยินดีในความสำเร็จที่คุณเลือกหุ้นได้ถูกตัวถูกเวลาด้วยนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 15 ตุลาคม 2013, 14:21:06
คุณรู้จักหุ้นดีแค่ไหน?
     เมื่อมีใครสักคนได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับหุ้นเข้าหู  ปฏิกิริยาที่มีต่อคำๆนี้มักจะแตกต่างกันออกไปตามทัศนคติ  มุมมอง  และประสบการณ์ที่ดีหรือร้ายของแต่ละบุคคล  แล้วเรื่องหุ้นที่คนแต่ละประเภทได้ยินนั้น  เขาจะเข้าใจไหมว่าหุ้นคืออะไร  แม้แต่บางคนที่กำลังเกี่ยวข้องกับหุ้นอยู่  อาจจะยังไม่รู้อะไรมากไปกว่าการซื้อถูกขายแพงก็เป็นได้  และเท่าที่ผมได้สัมผัสมา  ผมสามารถจำแนกประเภทคร่าวๆของผู้ที่มีความรู้สึกต่อหุ้นตามความตื้นลึกหนาบางของเขาที่ได้รู้จักกับหุ้นได้สามประเภทคือ

-คนที่ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับหุ้นเลย  เวลาที่ได้ยินใครพูดถึงหุ้น  หรือแม้แต่มีคนมาชวนเล่นหุ้น  ความรู้สึกแรกของคนประเภทนี้มักจะมีอคติ  ด้วยอาจจะเป็นเพราะเคยได้ยินคนอื่นเขาพูดว่า  เสี่ยง  การพนัน  ขี้โกง  เสียเงิน  หมดตัว  อย่าเข้าไปยุ่งด้วย  หลีกให้ไกลๆ  ฯลฯ

-คนที่กำลังเริ่มสนใจในหุ้นหรือคนที่กำลังหัดเล่นอยู่  คนประเภทนี้ผมก็ไม่รู้ว่าเขาอาจจะเห็นคนอื่นรวยหุ้นแล้วอยากได้บ้าง  หรือว่าได้ยินได้ฟังในมุมที่ดีของการลงทุนในหุ้น  เขาก็เลยเริ่มสนใจมันขึ้นมาบ้าง  คนประเภทนี้เริ่มมีใจที่เปิดกว้างให้กับหุ้นมากกว่าประเภทแรก  และพร้อมที่จะเรียนรู้วิชาต่างๆว่าต้องทำอย่างไรถึงจะได้เงิน  แต่นี่มันก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นในการทำความรู้จักกับหุ้นเท่านั้น

-คนที่กำลังเล่นอยู่หรือเล่นมานานแล้ว  คนประเภทนี้คงไม่ต้องบอกให้เขาเลิกเสียให้ยาก  เพราะเอาสเต็คมาแลกก็คงไม่ยอม  แต่ประเด็นคือว่า  คนประเภทนี้  เขาเล่นอย่างไร  ถือยาว...หรือซื้อๆขายๆ  และได้หรือเสีย

     ผมคาดว่าคงจะมีมือใหม่ไม่น้อย(คนประเภทแรก)ที่ยังสงสัยว่า  ทำไมหุ้นมันจึงเสี่ยง  มันได้เสียกันอย่างไร  แล้วมีวิธีไหนที่ไม่ต้องมีคนเสียเลยจะได้หรือไม่  ทุกคำถามผมมีคำตอบให้แล้วครับ  แต่คำอธิบายของผมต่อจากนี้ไป  บางคนอาจไม่เคยรู้  เพราะคงไม่เคยมีใครบอกคุณ  ซึ่งบทความนี้  ผมกลั่นมันออกมาจากประสบการณ์และมุมมองของผมเองล้วนๆ

     ก่อนอื่นเลย  เราคงต้องมาทำความเข้าใจกันให้ถึงรากเหง้าของหุ้นว่า  มันเป็นมาเป็นไปได้อย่างไร

     หุ้นก็คือหุ้นส่วน  สมมุติว่าผมทำกิจการฟาร์มไข่ไก่  ผมอาจจะเริ่มต้นทำกิจการที่หนึ่งล้านบาท  แล้วทีนี้ผมก็สร้างหุ้นขึ้นมาหนึ่งล้านหุ้น  โดยผมบอกว่า  หุ้นของบริษัทผมมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละหนึ่งบาท  บริษัทมีทั้งหมดหนึ่งล้านหุ้น  นั่นก็เท่ากับว่า  บริษัทผมมีมูลค่ากิจการตอนเริ่มต้นที่หนึ่งล้านบาท  ว่าแล้วผมก็ชวนคนรู้จักให้มาลงขันกัน  ใครลงเยอะก็ได้หุ้นเยอะ  เมื่อจัดสรรหุ้นกันลงตัวแล้ว  ผมก็นำเงินที่ได้ไปทำธุรกิจ  เมื่อธุรกิจมีกำไร  ผมก็นำกำไรที่ได้มาจัดสรรแบ่งเป็นเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น  ใครถือหุ้นเยอะก็ได้ส่วนแบ่งเยอะ  จริงๆแล้วถ้าวิถีของธุรกิจมันดำเนินไปตามนี้เรื่อยๆมันก็คงจะโอเค  แต่มันจะเริ่มยุ่งก็อีตอนที่ผมละโมภอยากรวยนี่แหละ  ผมก็มานั่งคิดวิธีว่า  เราจะทำยังไงให้บริษัทของเราอยู่ๆก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาในชั่วข้ามคืน  ว่าแล้วผมก็เอาบริษัทเข้าตลาดหุ้นเสียเลย

     เมื่อบริษัทผมกำลังจะเข้าตลาดหุ้น  ผมอาจจะเพิ่มหุ้นขึ้นมาอีกสักหนึ่งแสนหุ้นเพื่อกระจายให้รายย่อยเอาไว้ไปเล่นเพื่อกำหนดราคาของบริษัทผมกัน  แต่สำหรับผู้ถือหุ้นเก่าแก่อย่างผมและผู้ร่วมลงทุนอื่นๆในตอนเริ่มก่อตั้งบริษัทก็ยังมีหุ้นอยู่เท่าเดิม  เมื่อจะเข้าตลาด  สิ่งที่ผมต้องทำก็คือ  นำผลการดำเนินงานในช่วงก่อนที่จะเข้าตลาดมาโชว์ให้นักลงทุนดูว่ามันแจ่มแมวขนาดไหน  เมื่อผมให้ข้อมูลว่า  ในรอบปีที่ผ่านมา  บริษัทเราจ่ายเงินปันผลหุ้นละหนึ่งบาทต่อปี  เพราะฉะนั้น  ราคาหุ้นที่เราต้องการขายให้กับนักลงทุนทั่วไปคือสิบบาท  เพราะราคานี้เมื่อเทียบกับการได้ปันผลปีละหนึ่งบาท  เท่ากับว่านักลงทุนจะได้ผลตอบแทนสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปี  เพียงเท่านี้...นักลงทุนก็จะเฮโลมาซื้อหุ้นของผมกันยกใหญ่  สำหรับนักลงทุนที่เข้ามาใหม่นี้  ได้ผลตอบแทนสิบเเปอร์เซ็นต์ต่อปี  แต่สำหรับผมในฐานะเจ้าของหุ้น  มีเงินเพิ่มขึ้นมาสิบเท่าตัวจากราคาหุ้นที่ลงทุนในตอนเริ่มแรก!!!  และยังไม่พอ  ผมยังได้เงินโบนัสอีกปีละหนึ่งบาทต่อหุ้นจากเงินปันผล  แล้วถ้าเกิดนักลงทุนทั้งหลายมองว่า  สิบเปอร์เซ็นต์ต่อปีนั้นมันเป็นผลตอบแทนที่สูงมาก  ในขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากทุกวันนี้ต่ำเตี้ยติดดิน  อย่ากระนั้นเลย  ขอผลตอบแทนแค่ห้าเปอร์เซ็นต์ต่อปีก็พอ  ว่าแล้วนักลงทุนทั้งหลายก็ไล่ราคาหุ้นขึ้นไปจนถึงยี่สิบบาท  เมื่อเหตุการณ์เป็นแบบนี้  นักลงทุนผู้มาทีหลัง  เงินก็จะเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเท่า  ในขณะที่ผม  เงินเพิ่มขึ้นมาเป็นยี่สิบเท่า  ทีนี้คุณก็รู้แล้วใช่ไหมครับว่า  ทำไมเขาถึงนิยมเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้นกันนัก  และถ้าผมอยากขายบริษัท  ผมสามารถทำเงินจากบริษัทได้เท่ากับราคาหุ้นที่กำลังซื้อขายในตลาด  ในขณะที่ถ้าผมไม่ได้เอาบริษัทเข้าตลาด  ผมคงจะขายบริษัทได้ราคาแค่เท่าที่เขาประเมินจากทรัพย์สินเช่นที่ดิน  อาคาร  รถส่งของ  ฯลฯ

     ทีนี้ก็มาถึงช่วงตอบคำถามแล้วนะครับ  สำหรับคำถามแรกก็คือ  "ทำไมหุ้นมันจึงเสี่ยง"  ที่มันเสี่ยงนี่ต้องแยกตอบเป็นสองข้อก็คือ

-อย่างแรก  ความเสี่ยงจากผลการดำเนินงานของบริษัท  ถ้าเราซื้อหุ้นของกิจการที่มันไกลตัวเราหรือเราไม่มีความรู้  เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นไปในทิศทางที่ไม่ดี  เราจะเสียเปรียบเพราะติดตามสถานการณ์ไม่ทัน

-อย่างที่สองก็คือ  ความเสี่ยงจากราคาหุ้น  ตรงนี้ต้องบอกไว้ก่อนว่า  บางทีราคาหุ้นที่มันขึ้นลงนี้  อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลการดำเนินงานเลยก็ได้  เพราะการที่หุ้นขึ้นหุ้นลงนั้น  มันเกิดมาจากแรงซื้อกับแรงขายปะทะกัน

     เมื่อมาสรุปเป็นภาพชัดๆก็จะเห็นว่า  ราคาหุ้นเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก  ถ้าเราต้องการจำกัดความเสี่ยงจริงๆแล้วล่ะก็  ให้เราซื้อหุ้นของบริษัทที่เราเข้าใจและใกล้ชิดมันจะดีที่สุดครับ  เพราะเมื่อใดก็ตามที่เกิดความเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ไม่ดี  เมื่อนั้น...เราก็จะเห็นก่อนคนอื่น  ทำให้เราสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้เร็วกว่า  ซึ่งหมายถึง  ขายหุ้นทิ้งได้ก่อนคนอื่น  และการที่เราขายก่อนคนอื่น  ก็จะทำให้เราขายได้ราคาดีกว่าตอนที่มีคนมาแย่งกันขายด้วยครับ

     และสำหรับคำถามที่สองก็คือ  "มันได้เสียกันอย่างไร"  ต้องขอตอบชัดๆตรงนี้เลยว่า  คนที่ได้หรือเสียนั้น  เป็นนักพนันทั้งนั้นครับ  ถ้าเป็นนักลงทุนจริงๆแล้ว  เขามักไม่ค่อยเสีย  แค่มักไม่ค่อยเสียนะครับ  แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เสียเลย  เพราะในกรณีที่บริษัทที่เขาลงทุนมันเจ๊ง  เขาก็ต้องเสียเงินเหมือนกัน  ผมจะอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ  สมมุติว่าถ้าผมและทุกคนถือหุ้นของบริษัทฟาร์มไข่ไก่ไว้โดยที่บริษัทไม่ได้เข้าตลาด  ทุกคนจะรู้ไหมครับว่าหุ้นแต่ละหุ้นมีราคาเท่าไหร่?  แน่นอน...ทุกคนไม่รู้  สิ่งที่ทุกคนรู้อยู่อย่างเดียวก็คือ  ทุกคนจะได้เงินปันผลเท่าไหร่  ถูกต้องไหมครับ  แต่พอบริษัทได้เข้าตลาดปุ๊บ  ราคาหุ้นมันมีให้เห็นทุกวันจากการซื้อขายของนักเล่นหุ้น  ซึ่งนักเล่นหุ้นพวกนี้ก็ซื้อๆขายๆกินเงินกันเอง  ไม่ได้เกี่ยวกับบริษัทเลยสักนิด  ดังนั้น  คนที่ได้หรือเสีย  เป็นคนที่เข้ามาซื้อๆขายๆนั่นเอง  และคนที่เข้ามาเล่นหุ้นพวกนี้  เกือบทั้งหมดไม่ได้ดูหรอกว่าตัวบริษัทดีอย่างไร  แต่ที่เข้ามาเล่นก็เพราะเห็นหุ้นมันขึ้นแล้วก็นึกว่ามันจะขึ้นไปอีก  ก็เลยตามน้ำมาเผื่อว่ามันขึ้นไปอีกจะได้มีเงินใช้  แต่หลังจากที่ซื้อแล้วหุ้นมันดันตกลงมา  แล้วตัวเองกลัวว่ามันจะตกลงไปอีกก็เลยยอมขายขาดทุน  มันก็เลยทำให้เสียไง  คนพวกนี้ก็เลยพยายามจะเอาชนะคนอื่นด้วยความมีหลักการ  มันก็เลยมีสายเทคนิคโผล่มาให้เราเห็นในทุกวันนี้  การเล่นหุ้นด้วยเทคนิค  เป็นการลงทุนโดยจับอารมณ์ของคนเล่น  ไม่ว่าจะจับความกลัวหรือความโลภ  แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับพื้นฐานของบริษัทเลยสักนิด  ผมก็เลยไม่เชื่อมันไง  เพราะถ้าเรามีอารมณ์ที่มั่นคง  และวิเคราะห์บริษัทอย่างมีเหตุมีผลมาเป็นอย่างดีแล้ว  ราคาหุ้นที่มันเหวี่ยงขึ้นลง  มันก็ทำอะไรเราไม่ได้  บางที...เวลาที่หุ้นมันตกลงมามากๆ  อาจเป็นโอกาสให้เราเพิ่มการลงทุนเสียด้วยซ้ำ

     คำถามสุดท้ายก็คือ  "แล้วมีวิธีไหนที่ไม่ต้องมีคนเสียเลยจะได้หรือไม่"  ขอตอบว่า  วิธีที่ทุกคนจะไม่เสียเงินเลยก็คือ  "ทุกคนที่มีหุ้นอยู่อย่าขายมันออกมา"  ผมอยากจะบอกว่า  ถ้าเราไม่รู้ราคาหุ้น  เราก็จะไม่รู้ว่าขณะนี้เราได้หรือเสีย  แต่ในเมื่อบริษัทได้เข้าตลาดแล้ว  มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราก็อยากจะรู้ว่าความมั่งคั่งของเราเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าไหร่  ถ้าคุณได้อ่านบทความด้านบนดีๆก็จะเห็นว่า  ตอนที่บริษัทยังไม่ได้เข้าตลาด  ทุกคนที่ถือหุ้นอยู่ก็ไม่ได้ทุรนทุรายกับเรื่องราคาหุ้นเลย  เพราะหุ้นมันไม่มีราคาบอกไว้  ที่จุดนั้น  ผมว่าทุกคนที่มีหุ้นก็มีความสุขดี  แต่พอเรารู้ราคาปั๊บ  ความโลภในตัวเรามันก็เริ่มทำงานทันทีว่า  ถ้าเราซื้อตรงนี้แล้วเอาไปขายตรงนี้จะได้เท่าไหร่  หรือเราขายก่อนตรงนี้แล้วค่อยไปซื้อคืนตอนที่มันตกลงมาตรงนี้จะได้เท่าไหร่  ถ้าทุกคนถือหุ้นไว้โดยไม่มีการขายออกมา  มันก็จะไม่มีคำว่าใครได้ใครเสีย  เพราะทุกคนจะได้หมด(จากเงินปันผล)  แต่สิ่งที่ผมบอกมันคงเป็นไปไม่ได้  ในเมื่อในโลกของเรามีคนอยู่หลายประเภท  และมนุษย์ทุกคนก็ยังไม่ได้เป็นอรหันต์  คนที่สามารถลงทุนแล้วได้เงินมากกว่าคนอื่น  นั่นก็เป็นเพราะว่า  เขาสามารถอดทนถือหุ้นของบริษัทที่ดีได้นานกว่าคนอื่นก็แค่นั้นเอง  และการซื้อขายหุ้นบ่อยๆ  ไม่เพียงแต่ทำให้เรามีโอกาสผิดบ่อยแล้ว  เงินส่วนที่เราทำได้  ยังโดนหักเพื่อไปเป็นค่าคอมให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายด้วยเงินและเวลาของเราเองโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรก็ได้เงินค่าคอมของเราโดยไร้ความเสี่ยง  เมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้ว  คุณอยากซื้อขายหุ้นบ่อยๆเพื่อเพิ่มความเสี่ยงและหาเงินเลี้ยงพวกเขาเหล่านั้นบ้างมั๊ยล่ะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 20 ตุลาคม 2013, 04:50:17
เอามาฝากครับ  สำหรับคนที่ไม่ได้ดู

http://www.watchlakorn.in/แฟนพันธุ์แท้ตอนที่88วันที่18ตุลาคม2556-video-39941 (http://www.watchlakorn.in/แฟนพันธุ์แท้ตอนที่88วันที่18ตุลาคม2556-video-39941)

ก๊อปปี้ไปวางนะครับ  ถ้าคลิกแล้วมันไม่ได้เข้าที่หน้านี้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 07 พฤศจิกายน 2013, 21:56:33
เทคนิคที่ไม่ใช่กราฟ
     เมื่อพูดกันถึงเรื่องเทคนิค  ส่วนใหญ่เรามักจะนึกถึงกราฟที่เป็นเส้นยึกๆยือๆขึ้นๆลงๆชวนให้ปวดหัว  แต่ใครจะรู้บ้างว่า  เทคนิคในการเล่นหุ้นมันไม่ได้มีแค่กราฟเพียงอย่างเดียว  ถ้ากราฟคือการเอาสถิติมาคำนวณเพื่อหาจุดซื้อขายที่ดีที่สุด  การคำนวณที่สามารถทำได้อีกแบบหนึ่งก็คือการดูจำนวนหุ้นที่ซื้อขายและการวางราคาหุ้นที่กำลังซื้อขาย

     จริงๆแล้วต้องบอกก่อนว่า  ผมไม่ใช่เซียนทางด้านนี้  แต่จากประสบการณ์ที่ได้พบเห็นผ่านตามา  ทำให้ผมพอจะรู้เทคนิคบางอย่างที่เกี่ยวกับรายใหญ่บ้างพอประมาณ

1.ดูดให้แห้ง  วิธีนี้รายใหญ่จะต้องไล่เก็บหุ้นเข้ามาให้มากที่สุดโดยที่ยังไม่ต้องไล่ราคาขึ้น  เมื่อมีหุ้นหมุนเวียนเหลืออยู่ในตลาดจำนวนไม่มาก  การจะทำราคามันก็ง่ายขึ้น  ยิ่งถ้าคนทำราคารู้กันกับเจ้าของหุ้นว่าอย่าขายออกมานะ  มันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะควบคุมราคา  การสังเกตก็คือ  ยิ่งหุ้นมีราคาสูงขึ้น  จำนวนหุ้นหมุนเวียนยิ่งน้อยลง  นั่นเป็นเพราะว่า  จำนวนหุ้นที่อยู่ในมือรายย่อยเหลือไม่มากแล้ว  แต่ถ้าราคาหุ้นมันขึ้นไปถึงช่วงหนึ่ง  แล้วมีตัวเลขการตั้งซื้อตั้งขายออกมาจำนวนมาก  นั่นเป็นสัญญาณว่า  รายใหญ่กำลังจะปล่อยของแล้ว  ลองคิดดูง่ายๆสิครับ  เมื่อหุ้นโดนดูดไปหมดแล้ว  มันจะมีใครที่ยังเหลือหุ้นให้ขายอยู่อีกล่ะ  แต่การตั้งซื้อตั้งขายของรายใหญ่จะไม่ออกมาทื่อๆ  ตัวเลขที่รายใหญ่จะใส่ก็จะเป็นแบบตั้งรอซื้อเยอะมากเป็นล้านหุ้น  และตั้งรอขายแค่จำนวนหลักแสน  เมื่อเม่า(รายย่อย)เห็นก็จะเข้าใจว่า  ถ้ารอนานไปอาจโดนรายใหญ่กวาดหุ้นไปซะก่อน  เพราะฉะนั้น  ต้องชิงซื้อตัดหน้ารายใหญ่  ว่าแล้วเม่าทั้งหลายก็แย่งกันซื้ออุตลุตโดยไม่เฉลียวใจเลยสักนิดว่าใครเป็นคนตั้งขายอยู่  และถ้าเม่าสังเกตดีๆก็จะเห็นว่า  ที่ตั้งขายอยู่แค่หลักแสนนั้น  แต่พอเม่าซื้อพร่องไป  ก็จะมีคนเติมขายหุ้นออกมาเรื่อยๆ  แต่ก็จะตั้งเป็นจำนวนหลักแสนอยู่เหมือนเดิม  เพราะถ้าหุ้นมีจำนวนตั้งขายเยอะมาก  เม่าก็จะเริ่มลังเลไม่กล้าซื้อ  แล้วเม่าที่ช่วยกันซื้ออยู่น่ะ  ไม่มีใครสงสัยบ้างเลยหรือว่าใครที่มีหุ้นอยู่ในมือเพื่อรอขาย  เมื่อรายใหญ่ขายหุ้นออกไปให้เม่าจนหมดแล้ว  ใครจะมาไล่ราคาให้เม่าเนี่ย  เผลอๆรายใหญ่ทิ้งหุ้นหนีส่งท้าย  ติดดอยกันถ้วนหน้า  บางท่านอาจสงสัยว่า  การตั้งจำนวนหุ้นรับซื้อ  ถ้ามีใครโยนขายหุ้นให้  รายใหญ่ก็ต้องรับไปมิใช่หรือ  จริงๆแล้วมันมีทั้งใช่และไม่ใช่  การที่รายใหญ่ตั้งรอรับซื้อเป็นจำนวนมากๆนั้น  รายใหญ่จะต้องรู้ว่าตัวเองใส่เลขไปเท่าไหร่  ถ้าสมมุติใส่ไปล้านหุ้น  แต่ตัวเลขในกระดานมีสองล้าน  นั่นก็แสดงว่าเป็นของคนอื่นหนึ่งล้าน  เมื่อเป็นดังนี้  รายใหญ่จะถอนออเดอร์ของตัวเองออก  และจะรีบใส่เลขกลับเข้าไปใหม่อย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตุ  เมื่อเม่ามองแต่ตัวเลขก็จะไม่เห็นอะไรผิดปกติ  แต่สิ่งที่มันเปลี่ยนไปก็คือคิวมันเปลี่ยน  เพราะตามปกติแล้ว  เมื่อใครตั้งออเดอร์ก่อนก็จะได้คิวก่อน  คนที่ตั้งราคาเดียวกันแต่ใส่ออเดอร์ทีหลังก็จะต้องต่อคิวไปเรื่อยๆ  ทีนี้ีถ้ารายใหญ่ถอนออเดอร์ออกแล้วใส่เข้าไปใหม่  คนที่ต้องไปรับของก่อนก็คือเม่านั่นเอง

2.ทุบก่อนแล้วค่อยเก็บ  วิธีนี้จะมีขั้นตอนการทำเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งขั้นตอน  นั่นก็คือต้องเอาหุ้นมาขายอย่างหนักให้ราคามันร่วงลงไปมากๆก่อนแล้วค่อยเก็บสะสม  วิธีการหลอกเพื่อเก็บหุ้นก็จะทำคล้ายๆกับแบบแรกเพียงแต่ทำตรงข้ามกันคือ  เอาหุ้นมาตั้งขายเป็นจำนวนเยอะมากๆเป็นล้านหุ้น  แล้วตั้งรอซื้อแค่จำนวนหลักแสนหรืออาจจะยังไม่ตั้งเลย  สำหรับลูกเล่นการใส่ออเดอร์ก็คล้ายๆกันคือ  ตั้งขายไว้เป็นจำนวนกี่หุ้น  ถ้านอกเหนือจากนั้นก็เป็นของคนอื่น  เมื่อเปลี่ยนคิวเอาหุ้นของตัวเองไปต่อท้ายแล้ว  เวลารายใหญ่ซื้อหุ้น  หุ้นที่ได้ไปนั้นก็เป็นของคนอื่น  ไม่ใช่ของตัวเอง  หรืออาจจะได้ของตัวเองไปบ้างแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา  เพราะมันเหมือนกับเอาจากกระเป๋าซ้ายไปใส่กระเป๋าขวา  และถ้าใครที่มีหุ้นอยู่แล้วตกใจกลัวว่าจะขาดทุนก็จะตั้งขายออกมา  แต่เม่าขายเท่าไหร่หุ้นก็ไม่ลงสักที  นั่นก็เป็นเพราะว่า  มีคนเติมการซื้อเข้ามาตลอด  เมื่อรายใหญ่เก็บหุ้นได้มากพอแล้ว  ก็จะปั่นหุ้นกลับขึ้นมาเพื่อขายให้เม่าต่อไป

3.หลอกคนอ่านกราฟ  สำหรับคนเล่นสั้นแล้ว  ไม่มีอะไรที่จะใช้ยึดเหนี่ยวและใช้อ้างอิงการเล่นนั้นอย่างมีเหตุมีผลมีหลักการได้ดีเท่ากับกราฟอีกแล้ว  เพราะฉะนั้นแล้ว  รายใหญ่รู้ถึงจุดนี้ดี  การเป็นรายใหญ่จริงๆนั้น  ไม่จำเป็นต้องใช้กราฟ  เพราะคนใช้กราฟนั้น  ส่วนมากจะเป็นรายเล็กรายน้อย  การใช้กราฟ  ก็ใช้เพื่อต้องการดูว่าคนอื่นหรือคนที่ใหญ่กว่าตนนั้นจะลากหุ้นไปถึงไหน  เมื่อมันขึ้นไปจนถึงจุดที่ต้องการแล้ว  คนอ่านกราฟก็จะขายออกมา  แต่ถ้าเป็นรายใหญ่เงินหนาจริงๆ  เขาสามารถลากหุ้นขึ้นลงเพื่อเขียนเป็นกราฟได้ตามใจชอบ  เมื่อสามารถเขียนกราฟเองได้  พอรายใหญ่ลากหุ้นขึ้นไปจนถึงแนวต้าน(จุดขาย)  คนที่อ่านกราฟก็จะเฮโลพากันขาย  ถ้าเป็นรายใหญ่เงินหนาจริงๆแล้ว  เขาก็สามารถรับซื้อหุ้นไว้ไม่ให้ตกลงมาได้  และเมื่อเม่าเทขายที่จุดนั้นจนหมดแล้ว  รายใหญ่ก็จะลากหุ้นขึ้นไปต่อ  ในทางทฤษฎีของเทคนิคแล้ว  ถ้าหุ้นสามารถผ่านแนวต้านขึ้นไปได้  แนวต้านนั้นก็จะกลับมาเป็นแนวรับที่สำคัญ  อธิบายง่ายๆก็คือ  เมื่อหุ้นขึ้นไปถึงจุดหนึ่ง  คนก็จะพากันขายเพื่อทำกำไร  แต่ถ้ามันยังขึ้นต่อไปได้  คนที่ได้ขายออกไปก่อนก็ต้องนึกว่า  ตรงจุดที่ได้ขายออกไปนั้นเป็นราคาที่ถูกอยู่สำหรับรายใหญ่ที่ต้องการซื้อ  แต่ถ้าจะให้ตามไปซื้อคืนในราคาที่สูงกว่าที่ตนขายออกไป  ตนก็จะไม่ยอมซื้อ  แต่ถ้าราคามันตกกลับลงมาถึงราคาที่ได้เคยขายออกไป  ตรงนี้อาจพิจารณาซื้อกลับคืนมาได้  เนื่องจากว่าที่ราคานั้น  มันก็ยังไม่ได้เสียหายอะไร  เพราะเท่ากับว่า  ซื้อกลับมาในราคาเดิมที่ได้ขายออกไป  เมื่อถึงตรงจุดนี้แล้ว  คนที่พากันขายออกไปก็จะยอมซื้อคืนกลับมา  โดยหวังว่า  เมื่อซื้อหุ้นคืนกลับมาแล้ว  ก็จะได้ลุ้นต่อ  เพราะก่อนหน้าที่ราคามันจะตกลงมานี้  มันเคยไปสูงกว่านี้มาแล้ว  ซึ่งกลยุทธ์ของเม่าพวกนี้เรียกว่า  "ซื้อแพง  เพื่อไปขายแพงกว่า"  เมื่อเม่าพากันเข้าใจ(เอาเอง)ว่า ราคาที่ได้ขายออกไปก่อนหน้านี้มันยังถูกอยู่  เม่าก็จะขอซื้อคืนเพื่อไปลุ้นต่อก็แล้วกัน  จากนั้นเม่าก็ช่วยกันซื้อคนละตุ้บคนละตั๊บ  เมื่อเม่าซื้อ  แล้วใครขายล่ะ?  คำตอบเดาได้ไม่ยาก...เขาคือคนที่คุณก็รู้ว่าใคร

4.ดูฟิวเจอร์  สมัยนี้มีของเล่นในการทำเงินอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือฟิวเจอร์  หรือจะพูดให้ความหมายชัดเจนก็น่าจะเป็นแทงหวย  ของเล่นชนิดนี้ไม่จำเป็นว่าจะต้องได้เงินจากการขึ้นเพียงอย่างเดียว  ขอแค่ทายถูกถึงทิศทางที่มันจะไป  อาจจะเป็นลงก็ได้  คำว่าฟิวเจอร์ก็หมายถึงอนาคต  เพราะฉะนั้นแล้ว  ตรงส่วนนี้ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่พอจะเป็นเข็มทิศบอกเราได้ว่ารายใหญ่กำลังคาดว่าหรือจะทำอะไรกับสิ่งที่ฟิวเจอร์กำลังไปอ้างอิง  ถ้าเป็นฟิวเจอร์ของตลาด  คนที่คิดจะแทงฟิวเจอร์ก่อนแล้วค่อยเอาเงินไปทำให้ตลาดมันเป็นไปอย่างใจ  มันจะทำยากหน่อย  เพราะว่าต้องใช้เงินเยอะมาก  การทำเงินจากฟิวเจอร์ที่ง่ายกว่านั้นคือการแทงหุ้นเป็นรายตัว  ซึ่งตรงนี้ใช้เงินน้อยกว่า  เพราะเจาะเล่นเป็นตัวๆไป  ถ้าเราเห็นว่าหุ้นบางตัวมีการแทงฟิวเจอร์ไว้มโหฬาร  ตรงนี้มันก็จะเป็นการ "ส่อ" ว่ามีรายใหญ่กำลังลงมือ  เพราะคงไม่มีรายใหญ่หรือคนรวยคนไหนหรอกที่อยู่ดีๆก็บ้าแทงฟิวเจอร์ไปเล่นๆ  เพราะฟิวเจอร์นี่ถ้าแทงผิดทางจนเงินที่เอาไปวางประกันมันลดลง  เขาจะโดนเรียกให้เอาเงินไปเติม  ซึ่งผมมองว่ามันเป็นเรื่องตลก  ถ้าใครไปแทงฟิวเจอร์เล่นๆโดยไม่ได้หวังผลอะไร

     ซึ่งทั้งหมดที่ผมได้กล่าวมานั้น  เราเพียงแค่ตามดูว่ารายใหญ่จะทำอะไรเพียงเท่านั้นเอง  มันยังไม่มีบทสรุปหรอกว่าท้ายที่สุดแล้วเราจะได้เงินจากการกระทำของรายใหญ่หรือไม่  แต่มันมีจุดหนึ่งที่ผมได้สังเกตพบก็คือ  ไม่ว่ารายใหญ่จะทำอะไรกับหุ้นตัวหนึ่ง  มันก็จะมีกรอบราคาของมันอยู่  มันจะไม่สุดโต่งไปเสียทีเดียว  ราคาที่หุ้นตัวหนึ่งจะเคลื่อนไหว  มันจะเป็นราคาที่คนจะลังเลว่ามันถูกหรือมันแพงไปแล้วหรือยัง  เพราะถ้าราคามันล้ำเส้นไปเมื่อไหร่  ไม่ว่าจะเป็นถูกหรือแพง  มันจะมีบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งที่รู้จริงเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นๆเข้าร่วมวงด้วย  ซึ่งรายใหญ่จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากแก้ไขได้ยากเช่น  ถ้าราคาหุ้นมันแพงไป  ก็จะไม่มีคนตามแล้ว  ซ้ำยังไม่พอ  คนที่มีหุ้นอยู่ก็จะช่วยกันกระหน่ำยัดใส่มือรายใหญ่อีกด้วย  เมื่อถึงตอนนั้นก็เท่ากับว่ารายใหญ่เพลี่ยงพล้ำ  แต่ถ้ารายใหญ่จะแก้เกมมันก็ทำได้  เขาจะทำการปิดสถานะฟิวเจอร์เพื่อเอากำไรจากขาขึ้น  หลังจากนั้นเขาก็จะเปิดฟิวเจอร์อีกครั้งแทงว่าลง  จากนั้นการเทกระจาดก็จะเกิดขึ้น  เพราะหุ้นอยู่ในมือรายใหญ่มาก  ยิ่งขายหนักหุ้นก็ยิ่งลง  หุ้นยิ่งตกคนก็ไม่กล้าซื้อ  แต่นั่นเป็นเรื่องดีสำหรับรายใหญ่  เพราะยิ่งหุ้นตกมาก  กำไรจากฟิวเจอร์ก็จะมากตามไปด้วย  สรุปแล้วรายใหญ่ได้เปรียบวันยังค่ำ  เหนื่อยแทนเม่าเนอะ

     แล้วอย่างนี้เม่าจะทำอย่างไรดี?  ผมคิดว่าเราควรให้ความสำคัญกับสิ่งที่ถูกต้อง  นั่นก็คือการดูที่พื้นฐานของกิจการจะดีกว่า  เพราะถ้าเราลองไปดูตอนช่วงที่ตลาดหุ้นพัง  มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่หุ้นทุกตัวในตลาดจะต้องตกลง  แต่ถ้าเราดูดีๆจะเห็นว่า  ถ้าความโกลาหลที่เกิดขึ้นมันไม่มีเหตุผล  ราคาหุ้นทุกตัวที่อยู่ในตลาดก็น่าจะตกลงมาเหลือ 1 สตางค์เท่ากันหมดสิ  แต่ถึงแม้หุ้นทั้งตลาดจะตกหนัก  ราคาหุ้นแต่ละตัวก็ยังไม่เท่ากัน  สิ่งที่ทำให้มันแตกต่างกันก็คือ  พื้นฐานของหุ้นแต่ละตัวมันไม่เท่ากัน  ซึ่งตรงนี้มันก็เลยทำให้รู้ว่า  ในความแตกตื่นทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเป็นไฟไหม้  แผ่นดินไหว  หรือหุ้นตก  คนที่มีสติ  มีเหตุผล  และเตรียมพร้อม  จะสามารถเอาตัวรอดได้ในภาวะที่ยากลำบากนั้นครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 05 ธันวาคม 2013, 23:07:08
หุ้นสามประเภท
     โดยส่วนตัวแล้ว  ผมยกให้หนังสือเหนือกว่าวอลสตรีทเป็นที่หนึ่งในใจผม  ด้วยสำนวนการเล่าเรื่องและคำอธิบายของปีเตอร์ ลินซ์  เขาใช้ถ้อยคำเรียบง่ายไม่ซับซ้อน  และแทรกมุขตลกเสียดสีอยู่เป็นระยะ  ทำให้การอ่านความรู้ในหนังสือเล่มนี้ไม่น่าเบื่อเหมือนอ่านหนังสือวิชาการทั่วไป  โดยส่วนตัวของลินซ์แบ่งหุ้นออกเป็น  6  ประเภท  ถ้าใครอยากทราบว่า  6  ประเภทที่ว่านั้นคืออะไรบ้าง  ก็ลงทุนไปหาซื้อหนังสือมาอ่านก็ดีนะครับ  แต่สำหรับตัวผมเองแล้ว  เกณฑ์การมองหุ้นจะถูกทำให้เข้มข้นขึ้น  เพราะผมแบ่งหุ้นไว้เพียงแค่  3  ประเภทเท่านั้นคือ  หุ้นมั่นคง (ไม่ค่อยขึ้นหรือลง)  หุ้นพารวย  และหุ้นพาจน  แต่อย่างไรเสีย  แนวทางการเลือกหุ้นหรือแกนหลักหรือความรู้ในการเลือกหุ้น  ผมก็ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในหนังสือของเขามาประเมินและกลั่นมันออกมาอีกทีหนึ่ง

     หนึ่งในคำถามที่หลายคนคงอยากถามผมก็คือ  ผมใช้วิธีไหนในการแบ่งมันออกเป็นประเภทต่างๆ  เกณฑ์การแบ่งของผม  บอกตามตรงว่ามันอธิบายยากครับ  เพราะในช่วงเวลาที่ไม่เหมือนกัน  หุ้นตัวเดียวกันนี้แหละอาจให้ผลตอบแทนที่ต่างกัน  บางทีมันก็ขึ้นอยู่กับวงจรตลาดหุ้น  บางทีมันก็ขึ้นอยู่กับวงจรเศรษฐกิจโลก  บางทีมันก็ขึ้นอยู่กับวงจรชีวิตของตัวบริษัทเอง  ถ้าจะให้ผมอธิบาย  ผมพอจะสรุปคร่าวๆได้ดังนี้

     หุ้นมั่นคง  โดยส่วนมากหุ้นพวกนี้จะเป็นหุ้นของบริษัทที่ใหญ่โตแข็งแกร่ง  มีประวัติที่ดีต่อเนื่องยาวนาน  ผ่านการพิสูจน์จากกาลเวลามาจนไร้ข้อกังขาแล้ว  ถ้าเราถือหุ้นของบริษัทเหล่านี้ไว้  อย่างไรเสียเราก็อุ่นใจได้ในระดับนึงว่า  เมื่อตื่นขึ้นมาในวันพรุ่งนี้  บริษัทคงจะไม่ล้มละลายหรือล้มหายตายจากไปเป็นแน่  ถ้าถามผมว่ามันเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยไหม  ผมตอบได้เลยว่าปลอดภัย  แต่ถ้าถามผมอีกว่า  มันเป็นการลงทุนที่ดีไหม  ผมตอบได้เลยว่าไม่ดี  เนื่องจากขนาดของบริษัทพวกนี้มันใหญ่มากแล้ว  แล้วคุณคิดว่ามันจะใหญ่กว่านี้ได้อีกซักเท่าไหร่  หรือถ้ามันยังสามารถใหญ่ขึ้นได้อีก  มันต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าที่จะสร้างกำไรจากราคาหุ้นได้อย่างเป็นกอบเป็นกำให้กับคุณ ?  เพราะในขณะที่ถ้าคุณลงทุนเป็นจำนวนเงินที่เท่ากันในหุ้นตัวเล็กๆอีกตัวหนึ่งซึ่งเติบโตได้เร็วกว่าแต่ก็มีความเสี่ยงในเรื่องความแข็งแกร่งของบริษัท  คุณกลับพบว่าในช่วงเวลาที่เท่ากัน  หุ้นอีกตัวหนึ่งให้ผลตอบแทนดีกว่า  เมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้แล้ว  คุณกลับรู้สึกเสียดายโอกาสที่จะทำเงินได้มากกว่าจากหุ้นตัวเล็กที่ว่านั่น  แต่คุณก็ต้องอย่าลืมว่า  ถ้าคุณอยากเสี่ยงแบบนั้นจริงๆแล้วล่ะก็  คุณสามารถยอมรับความเสี่ยงเพื่อแลกกับการได้ผลตอบแทนก้อนโตนั้นได้หรือไม่  ถ้าคุณรับความเสี่ยงนั้นได้ก็จัดไป  และมีหุ้นมั่นคงอีกประเภทหนึ่ง  ซึ่งขนาดของบริษัทอาจไม่ต้องใหญ่โตมากแต่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ  นี่ก็เป็นการลงทุนที่ค่อนข้างปลอดภัย  ถ้าถามผมว่าเป็นการลงทุนที่ดีหรือไม่  มันอาจจะดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก  แต่นี่คือการลงทุน  มันมิใช่การฝากเงิน !  เพราะฉะนั้น  มันควรจะได้กำไรที่งดงามมากกว่าที่จะมาบอกว่า  ผมจะต้องได้เงินปันผลไปอีก  10  ปีถึงจะคืนทุน  ถ้าคุณดูแต่ปันผลเพียงอย่างเดียว  คุณน่าจะดูหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นกับหุ้น  SE-ED  เมื่อผู้บริโภคนิยมการดาวน์โหลด  E-BOOK  มาอ่านมากกว่าการไปเดินเลือกซื้อหนังสือ  ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้  นั่นก็ทำให้  SE-ED  ขายของไม่ได้และงดจ่ายปันผล  และสุดท้าย  ราคาหุ้นก็ดูไม่จืด  แต่ถ้าคุณอยากสร้างผลตอบแทนที่งดงามจากหุ้นมั่นคงเหล่านี้  วิธีการที่น่าจะดีที่สุดก็คือ  “รอซื้อเมื่อตลาดหุ้นลดราคาให้มากๆ”

     หุ้นพารวย  อย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว  หุ้นประเภทนี้ไม่ใช่หุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่มั่นคงแน่นอน  แต่มันอาจมีข้อยกเว้นเป็นบางช่วงบางจังหวะที่วัฎจักรหรือวงจรขาขึ้นได้หมุนกลับมาหาอีกรอบพอดี  ถ้ามันเป็นหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่  มันน่าจะอยู่ในธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์  แต่คุณต้องรู้ไว้อย่างหนึ่งว่า  ธุรกิจที่มีวงจรพวกนี้  เวลาทองมันสั้นนัก  เมื่อหุ้นมันขึ้นไปจนถึงระดับหนึ่งซึ่งมีค่า  PE  ที่สูงมากจนสะท้อนความสามารถในการทำกำไรไปหลายปี  คุณจะต้องขายเพื่อทำกำไร  เพราะถ้าเมื่อมันถึงวงจรขาลงเมื่อไหร่ศพอาจไม่สวย  หรือถ้ามันไม่ได้เป็นบริษัทที่มีวงจร  บริษัทอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางด้านโครงสร้างของกำไรที่จะดีขึ้นเป็นอย่างมากและจะคงอยู่อย่างนั้นสืบเนื่องไป  ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว  ผมชอบอย่างหลังมากกว่า  เพราะผมไม่ค่อยจะติดตามข่าวสารว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกบ้าง  ผมก็เลยชอบที่จะถือหุ้นที่มันจะดีขึ้นและคงอยู่อย่างนั้น  และโดยเฉพาะต้องเป็นหุ้นขนาดเล็กหรือเป็นหุ้นขนาดกลางที่ยังโตต่อเนื่องไปได้อีก  แต่มันมีประเด็นอยู่หน่อยตรงที่ว่า  ผมพูดถึงแต่เรื่องของพื้นฐานกิจการ  แล้วถ้าเป็นหุ้นเน่าที่โดนปั่นขึ้นไปหลายเปอร์เซ็นต์  แล้วบังเอิญคุณได้ถือเอาไว้  เราอาจจะอนุมานได้ว่า  นี่ก็ถือว่าเป็นหุ้นพารวยได้ (ด้วยความฟลุค)  และผมก็ขออวยพรให้ว่า  คุณอย่าไปเจอหุ้นพาซวยเข้าก็แล้วกัน

     หุ้นพาจน  ในหมวดนี้สามารถเป็นหุ้นอะไรก็ได้  แม้แต่หุ้นของบริษัทดีๆแต่เราดันเข้าไปซื้อตอนที่มันพีค  แต่อย่างน้อยเราก็น่าจะอุ่นใจมากกว่าหุ้นของบริษัทเน่าๆแหละน่า (ปลอบใจตัวเอง)  วิธีการมองบริษัท  ผมเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องที่เกินความสามารถของทุกคน  เพียงแต่ว่าบางคนสายตาอาจจะโดนบดบังด้วยความสุดสวิงริงโก้ของราคาหุ้น  เห็นแล้วมันอดไม่ได้ก็เลยต้องลุ้นดูสักหน่อย  “รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง”  และตามสถิติโดยส่วนมาก  คนที่เสี่ยงก็ได้เสี่ยงสมใจไง  เสียค่าคอมแต่ไม่รวย  ซึ่งนั่นถือเป็นความคุ้มค่าอย่างมากสำหรับคนที่ชอบให้อะดรีนารีนพลุ่งพล่านแต่ไม่ใช่ผม  อ่ะ...ทีนี้เรามาพูดกันถึงเรื่องความรู้กันต่อ  สิ่งที่บอกว่าหุ้นนั้นเป็นหุ้นพาจนหรือกำลังจะเป็นก็คือ  ไม่มีกำไร  เป็นหนี้เป็นสินรุงรัง  ไม่จ่ายปันผลหรือจ่ายน้อยลง  สินค้าและบริการของบริษัทไม่เป็นที่รู้จักหรือไม่เป็นที่นิยม  แข่งขันไม่ได้ (ดูการบินไทยเป็นตัวอย่าง  ทุกวันนี้ใครขึ้นการบินไทยบ้าง  ตั๋วแพงกว่าชาวบ้าน)  กำลังจะเพิ่มทุนหรือเคยเพิ่มทุนไปแล้วแต่บริษัทไม่ได้ดีขึ้นเลย  บริษัทอยู่ในช่วงขาลงของธุรกิจ  แผนงานในอนาคตไม่ชัดเจน  ฯลฯ  ที่ผมกล่าวมานั้นเป็นด้านของพื้นฐานกิจการ  ส่วนอีกด้านหนึ่งจะเป็นด้านของความรู้ในด้านตัวเลขคือ   PE  สูงกว่าความสามารถในการเติบโตมากๆ  ราคาหุ้นเทียบกับเงินปันผลแล้วเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก (ถ้าเราคาดว่าบริษัทมันไม่สามารถโตได้อีก  แต่ถ้าบริษัทมันโตได้อีก  ค่า  PE  สูงและเงินปันผลน้อยไม่ใช่เรื่องที่ต้องให้ความสำคัญมาก)

     ถ้าจะให้สรุปสั้นๆแบบเน้นๆจากบทความของผมเลยก็คือ  เลือกหุ้นที่ดี  ดูจังหวะเข้าซื้อตอนราคามันตก  และอดทนถือหุ้นไว้นานๆถ้ามันยังโตได้อีก  พูดง่ายแต่ทำยาก  3  ข้อ  และมันก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นหุ้นที่มาจากธุรกิจที่กำลังเป็นที่จับตามอง  เพราะธุรกิจคลื่นลูกใหม่และกำไรดีมักมีคู่แข่งเยอะ (ดูสมาร์ทโฟนเป็นตัวอย่าง)  สุดท้ายคนที่ทำก่อนและได้กำไรงาม  ก็จะมีคนเข้ามาทำแข่งด้วยจนไม่มีใครทำกำไรได้ดีสักเจ้า  เพราะส่วนแบ่งการตลาดถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ  ถ้าเลือกได้  ผมขอมีหุ้นของบริษัทที่ผูกขาดแล้วยังโตได้อีกจะดีมาก  และถ้าจะให้กลั่นคำแนะนำทั้ง  3  ข้อของผมลงไปอีก  ผมสามารถกลั่นได้จนเหลืออยู่ข้อเดียวที่คุณจะต้องมีหากอยากประสบความสำเร็จ  สิ่งนั้นก็คือ  “ความรู้”  ครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 14 ธันวาคม 2013, 16:50:42
http://www.jomvphd.com/2013/10/assault-on-wall-street-hd-2013.html


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: KATAI-ZAA ที่ วันที่ 17 ธันวาคม 2013, 14:05:44
ขอบคูณสำหรับความรู้ ประสบการณ์และข่าวสารที่นำมาแชร์ค่ะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 17 ธันวาคม 2013, 15:54:15
ขอบคูณสำหรับความรู้ ประสบการณ์และข่าวสารที่นำมาแชร์ค่ะ

ด้วยความยินดีครับ

     จริงๆแล้วผมอยากแจกหุ้นให้น้องๆนะ  แต่ผมก็อยากรู้ว่า  ใครบ้างที่สนใจจริงๆ  และผมได้แจกใครไป  เอาเป็นว่า  ถ้าใครสนใจหุ้นที่ผมลงทุนอยู่พร้อมรายละเอียดต่างๆของตัวหุ้น  ก็คลิกเข้ามาเป็นเพื่อนผมก็แล้วกัน  แล้วเดี๋ยวผมจะจัดให้

https://www.facebook.com/vayuasanee

ที่จริงแล้วไม่มีอะไรมากหรอกครับ  พอดีอยากมีเพื่อนคุย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: T0yly6969 ที่ วันที่ 18 ธันวาคม 2013, 20:25:17
เป็นกระทู้ที่ดีจริงๆเพราะสนใจมานานและ แล้วก็ลืมไปแต่พอมาเจอกระทู้นี้ก็เริ่มจะมาศึกษาจิงๆจังๆซักทีแต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจดีซักเท่าไหร่ จึงต้องขอรบกวน คำชี้แนะจากท่านผู้รู้ในกระทู้นี้ด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ(ล่วงหน้า)  ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 มกราคม 2014, 00:03:53
ชายในอุดมคติ
     ผมเคยอ่านเจอวารสารเล่มหนึ่งเขาบอกไว้ว่า  เวลาที่ผู้ชายมองผู้หญิง  เขามักจะมองจากข้างนอกเข้าไปข้างใน  ส่วนฝ่ายหญิง  มักจะมองจากข้างในออกมาข้างนอก  คำอธิบายในส่วนนี้ก็คือ  สิ่งที่ทำให้ฝ่ายชายสนใจในตัวฝ่ายหญิงจนอยากจะเข้าไปสนิทสนมด้วยนั้น  เขามักจะมองที่หน้าตา  หุ่น  บุคลิก  ทรงผม  หรือกลิ่นกายก่อนเป็นอันดับแรก  และเมื่อได้ทำความรู้จักกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  เขาก็จะค่อยๆเรียนรู้ถึงนิสัยใจคอของฝ่ายหญิงเป็นลำดับถัดไป  ส่วนฝ่ายหญิงนั้น  จะทำตัวเหมือนเครื่อง  X-Ray  คือมองที่ภายในก่อนเช่น  นิสัยใจคอ  ความรับผิดชอบ  ความเป็นผู้นำ  ความเป็นคนมีเหตุผล  ความขยัน  ความประหยัดหรืออะไรทำนองนี้  เพราะฝ่ายหญิงมีความต้องการคนที่จะมาเป็นหัวหน้าครอบครัวหรือต้องการคนที่มีความเป็นผู้นำ  สามารถดูแลตัวเธอและคนในครอบครัวได้  แต่วารสารเล่มที่ผมได้กล่าวถึงนี้  มันก็นานมาแล้ว  ผมคิดว่าเมื่อยุคสมัยมันเปลี่ยนไป  รสนิยมในการเลือกคู่คงจะเปลี่ยนตาม  ในส่วนของตัวผมเองซึ่งเป็นผู้ชาย  ก็ยังคงชอบมองหญิงที่มีหน้าตาและร่างกายสวยงามอยู่  ผมว่า...ส่วนที่ทำให้ผู้ชายยังไม่ได้สนใจในนิสัยใจคอก่อนสิ่งอื่นใดน่าจะมาจาก  สัญชาตญาณหรือสันดานดิบที่ธรรมชาติมอบมาให้มนุษย์ผู้ชาย  ผมขยายความได้ว่า  ถ้าสัตว์โลกทั้งหลายไม่มีการผสมพันธุ์กัน  การขยายพันธุ์เพื่อให้เผ่าพันธุ์ยังดำรงคงอยู่ก็คงจะสูญพันธุ์หมดไปจากโลก  เพราะฉะนั้น  สิ่งมีชีวิตเพศผู้ทั้งหลายก็จะต้องจ้องที่จะผสมพันธุ์เพื่อให้เผ่าพันธุ์ยังดำรงคงอยู่สืบเนื่องไป  เพราะถ้าสังเกตดูให้ดีจะเห็นว่า  ผู้ชายจะมีลักษณะคล้ายกันทั้งโลกคือชอบดูผู้หญิงสวย  สิ่งที่ยืนยันในคำพูดของผมได้เป็นอย่างดีก็คือ  มีการประกวดสาวงามกันทั้งโลก  และแต่ละแห่งก็จะจัดกันไปตามแต่ลักษณะงาน  มิสนั่นมิสนี่ไปเรื่อย  และถ้าสิ่งนี้มันไม่ได้อยู่ในความต้องการของมนุษย์ผู้ชาย  การประกวดสาวงามแบบนี้ก็คงจะไม่มีทางดำเนินกิจกรรมมาได้อย่างต่อเนื่องยาวนานแบบนี้  สำหรับฝ่ายหญิง  ผมไม่แน่ใจว่ารสนิยมในการเลือกคู่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง (เพราะผมไม่ใช่ผู้หญิง)  แต่เท่าที่สังเกตเห็นในปัจจุบัน  ผมเห็นว่าฝ่ายหญิงมีการมองฝ่ายชายที่รูปลักษณ์ภายนอกมากขึ้น  ดังจะเห็นได้จากการมีศูนย์ศัลยกรรมความงามต่างๆผุดขึ้นมาเยอะมาก  ซึ่งบางที่ก็จะเฉพาะเจาะจงด้วยซ้ำว่าเปิดบริการเพื่อท่านชาย  และยังมีผลิตภัณฑ์ต่างๆในท้องตลาดที่ระบุมาเลยว่า  For Men  ซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นว่า  ฝ่ายหญิงมองฝ่ายชายที่ภายนอกมากขึ้น  และมีพฤติกรรมอีกอย่างหนึ่งของฝ่ายหญิงเอง  ที่มีการแสดงออกถึงการชอบฝ่ายชายที่ภายนอกมากขึ้นนั่นก็คือ  การที่สาวๆตามไปกรี๊ดศิลปินฝ่ายชายแบบบ้าคลั่ง  ยิ่งเป็นของนอกด้วยแล้ว  ความบ้าคลั่งยิ่งมีดีกรีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น  ซึ่งตรงนี้เป็นปรากฏการณ์ที่ค่อยๆเกิดขึ้นในส่วนอื่นของโลก  และมันก็ลุกลามเข้ามาในประเทศไทย  ผมไม่ได้บอกว่ามันผิดนะ  ผมแค่บอกว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเท่านั้นเอง  และฝ่ายหญิงที่มองฝ่ายชายอีกประเภทหนึ่งก็คือ  มองที่ฐานะก่อนสิ่งอื่นใด  หลายคนที่ผมรู้จักบอกว่า  “หมดสมัยกัดก้อนเกลือกินแล้ว”  ขอให้รวยก่อนเป็นพอ  สิ่งที่ทำให้ผมเห็นว่ามีความเปลี่ยนแปลงตรงนี้เกิดขึ้นก็คือ  คนรวยๆสามารถเลือกนางงามหรือดาราเอามาเป็นคู่ได้อย่างสบายๆ  และอย่างที่เราเห็นกัน   ดาราหญิงหลายๆคนมีคู่เป็นเจ้าสัว  เจ้าของกิจการ  นักการเมือง  หรือคนที่อยู่ในสังคมไฮโซ  และสิ่งที่ยืนยันในความมีอิทธิพลของเงินเหนืออย่างอื่นอีกก็คือ  ทุกวันนี้มีหญิงสาวที่เป็นเด็กเลี้ยงเด็กเก็บของอาเสี่ยอาป๋าเยอะมาก  ซึ่งโดยส่วนตัวของผมเองคิดว่า  ถ้าเลือกได้เธอคงไม่อยากทำ  เธอคงอยากมีแฟนหล่อๆหรือเป็นคนรุ่นเดียวกันมากกว่า  และสิ่งที่ร้ายยิ่งกว่าการเป็นเด็กเสี่ยก็คือ  เธอขายบริการทางเพศให้กับชายมากหน้าหลายตา  ซึ่งผมคิดว่าเธอเองก็คงไม่อยากทำเช่นกัน  แต่ตรงนี้ผมไม่รู้ว่า  สิ่งที่ทำให้เธอเข้าไปอยู่ในวงจรนี้  มันเกิดจากการมีเงิน “ไม่พอใช้” หรือเธอ “ใช้ไม่พอ” กันแน่

     และสำหรับหญิงสาวประเภทสุดท้ายที่ผมจะกล่าวถึงก็คือ  หญิงสาวที่ยังคงมองฝ่ายชายที่ภายในก่อนเป็นอันดับแรก  หรือถ้าเป็นนักลงทุนก็น่าจะจัดอยู่ในสาย  VI  และเท่าที่ผมได้เคยพูดคุยกับฝ่ายหญิงที่ต้องการเลือกฝ่ายชายลักษณะนี้ก็คือ  เธอต้องการคนที่

-มีความจริงใจ  ไม่หลอกลวงเธอ  ไม่โกหก  
-มั่นคง  ใช้ชีวิตอย่างมีสติ  ละเอียดรอบคอบ
-ขยัน  ทำงานดี  หาเงินเก่ง
-มีเหตุผล  ใช้เงินอย่างประหยัดและคุ้มค่า
-มีความเป็นผู้นำ  ฉลาด  ตัดสินใจในเรื่องต่างๆได้ดี

     ถ้าชายที่มีลักษณะดังว่านี้  แม้ในปัจจุบันอาจจะยังไม่เห็นหน้าเห็นหลังหรือไม่ได้มีความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมมากนัก  แต่ถ้าเธอมองออกว่าอนาคตต้องดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน  มากน้อยก็แล้วแต่ความสามารถของชายคนที่เธอเลือก  เธอก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าแล้ว  เพราะเธอไม่ต้องไปลงทุนทำศัลยกรรมให้เจ็บตัวและหมดเปลืองเงินทองเพื่อให้สวยเตะตา  เธอไม่ต้องลงทุนไปหาซื้อเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับร่างกายราคาแพงๆเพื่อให้ดูว่าตัวเองมีรสนิยม  เธอไม่ต้องเหนื่อยตระเวนไปตามคลับหรือสถานที่ต่างๆที่ไฮโซทั้งหลายชอบไป  เธอไม่ต้องไปเข้าบาร์เพื่อสอดส่ายสายตาหาเสี่ย  ถ้าเธอต้องการจับคนรวยแล้วต้องเหนื่อยขนาดนี้  ผมว่าลองมองหา  “ชายกลาง”  สักคนดีไหมครับ (ถ้าใครไม่รู้ว่าชายกลางคืออะไร  ให้เข้ายูทูปเพื่อเปิดดูเพลงที่ชื่อชายกลางของแสตมป์ครับ)

     สรุปในส่วนสุดท้ายก็คือ  เมื่อสังคมที่เรากำลังใช้ชีวิตอยู่นี้กำลังเปลี่ยนไปดูกันที่ภายนอกมากขึ้น  นิสัยต่างๆเหล่านี้อาจจะติดตัวของเรามาโดยที่เราไม่รู้ตัว  เมื่อเราเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น  สิ่งที่ทำให้เราสนใจหุ้นตัวใดตัวหนึ่งก่อนก็คือราคาหุ้น  ซึ่งผมว่านั่นเป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง  เพราะราคาหุ้นที่มันขึ้นลง  มันก็คล้ายกับการมองคนสวยหรือคนที่เขาบอกว่าสวย  บางทีเราอาจจะไม่รู้หรอกว่าหุ้นไหนสวยจริงหรือศัลยกรรมมา  แต่ถ้าเรามองที่ภายในก่อนว่าหุ้นนี้ดีจริง  ความสวยงามข้างนอกนั้นก็คือของแถมที่ดี  ซึ่งถ้าเป็นการเลือกสาวในแบบของผม  ผมอยากได้ทั้งนิสัยที่ดีและหน้าตาที่ดี  แต่ถ้าหน้าตาสวยแต่นิสัยไม่ดีหรือใช้เงินเปลือง  ผมก็ไม่เอา  แต่ถ้านิสัยดีแต่ถึงแม้จะไม่สวย  ผมก็อยู่ด้วยได้  เพราะไม่ได้ทำให้ผมเดือดร้อน  แต่ถ้าเราได้คนที่ทั้งไม่สวยและนิสัยไม่ดีนี่  เราก็จะซวยไม่น้อย (เหมือนซื้อหุ้นแล้วติดดอยแถมยังไม่มีปันผลนั่นแหละ)  ซึ่งอันนี้มันเป็นความสามารถเฉพาะตัวที่ไม่ควรลอกเลียนแบบ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Midas ที่ วันที่ 22 มกราคม 2014, 23:45:15
ติดตามครับ   ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 03 กุมภาพันธ์ 2014, 15:55:11
ทำไมเพิ่งซื้อ
     ผมได้อ่านกระทู้ตามเว็บบอร์ดต่างๆเกี่ยวกับเรื่องหุ้นแล้วพบว่า  มีบางคนที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องหุ้นน้อย  พยายามที่จะถามคนที่รู้มากกว่าว่า  ซื้อหุ้นตัวนั้นตัวนี้ดีไหมในตอนนี้  ทีนี้ก็จะมีผู้รู้(หรือเปล่า)บางคนเข้ามาตอบว่า  “ทำไมเพิ่งมาซื้อเอาตอนนี้”  ว่าแล้วเขาก็อ้างถึงราคาของหุ้นในช่วงที่เกิดวิกฤตซับไพร์ม  ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมมองว่า  ถ้าหุ้นตัวใดไม่มีการเติบโตของกำไรหรือมีการขยายงาน  ถ้าราคาหุ้นมันขึ้นมาโดยภาวะของตลาด  คำตอบนี้ถือว่าถูกต้อง  แต่ถ้ามันเป็นหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น  ตัวของผู้ตอบเองจะดูด้อยไปในทันที  เพราะเหมือนกับว่าเขาตอบแบบไม่รู้จริง  ตอบเหมือนจำขี้ปากคนอื่นมาพูด  หรือตัวเขาเองไม่ได้เป็นนักลงทุนที่ทำการบ้านมาอย่างดีพอ  สิ่งที่เขาได้บอกผู้อื่นไป  ก็บอกแต่เพียงว่า  ทำไมเพิ่งมาซื้อเอาตอนนี้  ถ้าจะให้ตีความหมายก็คือ  ตอนถูกๆทำไมไม่ซื้อ  มาซื้ออะไรตอนมันแพงแล้ว  แต่ตามความเห็นของผมแล้ว  การที่บางคนเริ่มมาสนใจหุ้นบางตัวในตอนที่ราคามันขึ้นมาพอสมควรแล้ว  อาจเป็นไปได้ว่า  เขาไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับหุ้นตัวนั้นมาก่อน  แต่มันเริ่มเข้ามาอยู่ในความสนใจของเขาก็ตอนที่มันเริ่มโตมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว  เพราะผมก็เคยเป็น  และถ้ามาถามผมว่า  วิธีที่ถูกต้องในการลงทุนคือแบบใด  ผมตอบได้แต่เพียงว่า  เราก็ชั่งน้ำหนักเอาเองสิว่า  ราคากับคุณภาพ  “ณ  ขณะนี้”  มันเหมาะสมกันหรือไม่  และเพื่อให้เห็นภาพ  ผมคงจะมีเรื่องเล่าเล็กๆน้อยๆให้อ่านเพื่อประกอบคำอธิบายก็แล้วกันนะครับ

     น้องหล้าเป็นลูกสาวของเพื่อนบ้านอ้ายเป็งที่ประกอบอาชีพทำนาและมีฐานะยากจน  น้องหล้าเป็นคนขยันและมีหน้าตาสวยถูกใจอ้ายเป็งมาก  อ้ายเป็งเคยหยั่งเชิงถามพ่อแม่ของน้องหล้าว่า  ถ้าจะมาขอน้องหล้าจะคิดค่าน้ำนมเท่าไหร่  พ่อแม่ก็ตอบว่าเงินห้าหมื่นทองห้าบาท  อ้ายเป็งกลับไปนอนคิดคำนวณแล้วตัดสินใจว่า  เงินห้าหมื่นทองห้าบาทมันมากไปสำหรับครอบครัวที่มีฐานะยากจน  และทั้งๆที่อ้ายเป็งก็มีเงินที่จะไปขอ  แต่เขาคิดว่าควรรออีกหน่อยดีกว่า  เผื่อว่าทางบ้านของน้องหล้าอาจจะอยากได้เงินมากจนยอมลดราคาให้  เมื่อเวลาผ่านไป  น้องหล้าก็ดูสวยขึ้น  และพร้อมกันนั้น  น้องหล้าก็เรียนสูงขึ้นเรื่อยๆจนจบ ป.ตรี  เมื่ออ้ายเป็งมาถามทางบ้านของน้องหล้าอีกครั้งว่าเท่าไหร่  คำตอบที่ได้ทำให้อ้ายเป็งสะอึก  เงินหนึ่งแสนทองสิบบาท  อ้ายเป็งคำรามอยู่ในใจว่า  อะไรฟะ  เมื่อก่อนถูกกว่านี้ยังไม่เอาเลย  ไหงตอนนี้มาขึ้นราคากันซะงั้น  ว่าแล้วอ้ายเป็งก็บอกกับพ่อแม่ของน้องหล้าไปว่า  ถ้าคิดที่เงินห้าหมื่นทองห้าบาท  ก็จะมาขอทันที  พูดแล้วอ้ายเป็งก็กลับไป  ต่อมาไม่นาน  น้องหล้าก็ไปสอบติดเป็นข้าราชการ  ได้ทำงานสบายมีรายได้ดีและมีสวัสดิการให้พ่อแม่  เมื่ออ้ายเป็งกลับมาถามทางบ้านของน้องหล้าอีกครั้งว่าเท่าไหร่  คำตอบที่ได้กลับพบว่า  เงินสองแสนทองยี่สิบบาท  เมื่ออ้ายเป็งได้ยินดังนั้นก็ร้องว่า  ถ้าไม่ได้ราคาเดิมก็ไม่เอาแล้ว  ว่าแล้วอ้ายเป็งก็กลับบ้านไป  เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน  ก็มีหนุ่มใหญ่ระดับหัวหน้างานมาชอบน้องหล้า  และเมื่อพ่อแม่ของน้องหล้าเรียกเงินสองแสนทองยี่สิบบาท  หนุ่มใหญ่ท่านนั้นก็ไม่ขัดข้อง  เพราะในขณะนี้น้องหล้าไม่ใช่เด็กกะโปโลแล้ว  แต่น้องหล้าเป็นข้าราชการมีหน้ามีตาในสังคม  การสู่ขอและจัดงานจึงต้องทำให้สมฐานะ  และน้องหล้าก็ได้แต่งงานกับหนุ่มใหญ่ท่านนั้น  เรื่องนี้นำความช้ำใจมาให้แก่อ้ายเป็งเป็นยิ่งนัก

     ประเด็นสำหรับเรื่องนี้คืออะไร ?  ประเด็นก็คือ  ถ้าเราเห็นว่าตัวของน้องดี(หุ้น)  เราไม่ต้องสนใจก็ได้ว่าทางบ้านเขาจะมีฐานะ(ตลาดหุ้น)เป็นอย่างไร  เพราะสิ่งที่เราสนใจเป็นตัวของน้อง  ไม่ใช่ฐานะทางบ้าน  และเมื่อมาดูที่ราคาที่ทางบ้านของน้องเขาเรียก  ทางบ้านเขาก็เรียกราคาให้มันเหมาะสมกับพัฒนาการของตัวน้อง  ถ้าเราเห็นว่าตัวน้องเขาจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอีก  การไปสู่ขอ(ซื้อหุ้น)ตอนที่เห็นว่าน้องยังมีอนาคตชัดเจนก็เป็นสิ่งที่ดี  เพราะเราซื้ออนาคตที่ดีในตอนที่มันยังมีราคาถูกอยู่(ถูกวันนี้  แต่จะแพงในวันหน้า)  แต่ถ้าราคาในขณะนั้นมันไม่สมเหตุสมผล  การรอคอยหรือการต่อราคาก็เป็นสิ่งที่ควรทำ  เราไม่ควรจะทำเป็นว่า  เมื่อก่อนราคาถูกกว่านี้ยังไม่ซื้อเลย  จะให้มาซื้ออะไรกันตอนนี้  ซึ่งถ้าหุ้นนั้นมันจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในอนาคต  เราไม่ต้องต่อราคามากก็ได้  เดี๋ยวจะกินแห้วเสียเปล่า

     สิ่งที่ทำให้คิดเกี่ยวกับการซื้อหุ้นก็คือ  การซื้อหุ้นมันเป็นการซื้ออนาคต  ราคาหุ้นของบริษัทเล็กที่กำลังเติบโตเมื่อมันค่อยๆมีราคาเพิ่มขึ้น  ถ้าคุณเป็นคนที่ยึดติดกับราคาในอดีต  คุณจะไม่มีทางซื้อมัน  เพราะคุณจะบอกกับตัวเองว่า  เมื่อก่อนถูกกว่านี้ยังไม่ซื้อเลย  ตอนนี้มันขึ้นมาแล้ว  ถ้าซื้อก็ช้าไป  ถ้าคุณซื้อมัน  มันจะดูเหมือนกับว่าคุณกำลังทำในสิ่งที่โง่เขลา  และถ้าคุณเป็นคนที่ยึดติดกับอดีตจริงๆ  เมื่อหุ้นตัวหนึ่งราคามันตกลงมาจากที่มันเคยเป็น  คุณจะบอกว่ามันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและรีบกระโดดเข้าใส่  แล้วปัจจัยที่ทำให้ราคาหุ้นตัวนั้นตกลงมาคืออะไร  มันกำลังถดถอยหรือเสื่อมโทรมลงหรือไม่  คุณได้คำตอบพวกนี้แล้วหรือยัง  ถ้าคุณดูแต่ราคาในอดีต  อีกไม่นานคุณก็จะกลายเป็นอดีตสำหรับตลาดหุ้น  และเป็นตำนานที่เล่าขานสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง  ซึ่งมันเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัวที่ไม่ควรลอกเลียนแบบ  เมื่อคุณได้กระทำในสิ่งที่คิดว่าฉลาดแต่โง่เขลาลงไป  ซึ่งถ้าคุณเป็นอ้ายเป็ง  และคุณอยากได้น้องหล้าที่ราคาห้าหมื่นจริง  ผมอยากถามคุณสักนิดว่า  ถ้าน้องหล้าเลิกกับผัวตอนอายุห้าสิบ  และมีลูกติดมาอีกสามคน  คุณคิดว่าเงินห้าหมื่นที่คุณตั้งใจที่จะจ่ายนั้น  มันคุ้มกันไหมสำหรับน้องหล้าขาลง ?


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: T0yly6969 ที่ วันที่ 05 กุมภาพันธ์ 2014, 13:38:38
จะรอ อ่านเนื้อหาดีๆมีความรู้ต่อไป :)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 03 มีนาคม 2014, 14:33:51
วันนี้ฝรั่ง ?
     มีตัวเลขอยู่ตัวหนึ่งที่นักลงทุนในหุ้นให้ความสนใจค่อนข้างมากนั่นก็คือ  ยอดการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ  ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ในประเทศต่างเชื่อว่า  นักลงทุนต่างชาติสามารถกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นได้  ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมามันเป็นอย่างนั้น  แล้วในอนาคตเราบอกได้ไหมว่านักลงทุนต่างชาติยังจะเป็นขาใหญ่ในตลาดหุ้นอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า  อันนี้ผมไม่รู้  เพราะมันเป็นเรื่องของอนาคต

     จากการสังเกตของตัวผมเองทุกวันนี้ผมมองว่า  ในตลาดหุ้นคนที่มีเงินเยอะกว่า  จะได้เปรียบในแง่ของการเล่น  เพราะถ้าจะว่ากันตามจริง  คนที่มีเงินเยอะสามารถตั้งตัวเป็นเจ้ามือปั่นหุ้นบางตัวได้  แต่ตัวเลขที่เราติดตามกันทุกวันนี้  เป็นตัวเลขของการซื้อขายรวมทั้งตลาด  ซึ่งถ้าใครจะปั่นตลาด  คงต้องใช้เงินมหาศาล  ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนผมมองว่า  ฝรั่งมีเงินมากจากการพิมพ์ขึ้นมาใช้เองเยอะจริง  แต่ในปัจจุบัน  ประเทศใหญ่ๆหลายประเทศต่างก็พิมพ์เงินเลียนแบบกันขึ้นมาด้วย  ซึ่งถ้าจะมองภาพในปัจจุบัน  ฝรั่งอาจจะไม่ได้มีเงินเยอะเพียงคนเดียวอีกต่อไปแล้ว  ผมเลยมองว่า  ทุกวันนี้มันมีการคานอำนาจของเงินเพื่อให้เกิดความสมดุลกันมากขึ้นระหว่างอเมริกา  ยุโรป  จีน  ญี่ปุ่น  และอีกหลายๆประเทศที่กำลังพิมพ์เงินเพิ่มซึ่งผมไม่รู้  และเราทุกคนที่ติดตามตัวเลขยอดการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติทุกวันนี้  เรารู้ไหมว่าใครกำลังทำอะไรอยู่

     แล้วตัวเลขการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติเชื่อได้จริงหรือไม่ ?  เชื่อได้สิ  เพราะมันคือตัวเลขการซื้อขายจริงๆ  แต่ปัญหาคือว่า  ต่างชาติที่เขาพูดถึง  มันไม่ได้หมายถึงฝรั่งเพียงกลุ่มเดียว  เพราะมันเหมารวมคนทั้งโลกที่ไม่ใช่คนไทย  และบางทีคนไทยอาจจะเปิดบัญชีนอกเข้ามาเล่นก็ได้  ซึ่งตรงนี้เราอาจจะเรียกว่าฝรั่งหัวดำ  แต่โดยรวมแล้วเรามักจะเรียกคนที่ไม่ใช่กองทุนไทยหรือเม่าไทยว่าฝรั่งกันหมด  ซึ่งสถานการณ์ทุกวันนี้ทั้งฝรั่งทั้งจีนก็ซื้อขายกินเงินกันเหมือนกับเม่าไทยนี่แหละ  ดูจากยอดซื้อขายรายวันก็ได้  มันมีทั้งซื้อและขายให้เห็นทุกวัน

     ถ้ายอดนักลงทุนต่างชาติเป็นขาย  แสดงว่าเขาเหลือหุ้นน้อยลง ?  ถ้าจะคิดแบบตื้นๆก็น่าจะเป็นแบบนั้นนะ  เพราะเขาเอาหุ้นมาขายเพื่อเปลี่ยนเป็นเงิน  แต่ผมเป็นคนคิดมาก  ผมก็เลยมองว่า  แล้วถ้าเขาอยากได้เงินโดยไม่ต้องการสูญเสียจำนวนหุ้นล่ะทำได้ไหม ?  ได้แน่นอน  ได้จากใคร ?  ก็ได้จากเม่าไทยขี้ตกใจนี่แหละ  แล้วเขาทำอย่างไร ?  ถ้าพูดถึงวิธีการต่างๆ  ผมอาจจะไม่รู้ทั้งหมด  แต่ถ้าเป็นผม  ผมสามารถขายหุ้นออกมาหนักๆเพื่อให้เม่าไทยแห่ขายตาม  หลังจากนั้นผมก็ไปเก็บคืนในราคาที่ต่ำลงในจำนวนเท่าเดิมกับที่ได้ขายออกไป  ซึ่งตรงนี้จะทำให้ผมได้ส่วนต่างของราคาหุ้น  เนื่องจากขายแพงแล้วไปซื้อถูก  และเมื่อสิ้นวัน  พอยอดนักลงทุนต่างชาติแสดงออกมาว่าเป็นซื้อเท่าไหร่ขายเท่าไหร่  สุทธิแล้วเป็นลบ  ซึ่งตรงนี้เขาแสดงเป็นจำนวนเงิน  แต่ไม่ได้แสดงเป็นจำนวนหุ้น  เมื่อเม่าไทยเห็นแบบนี้ก็แตกตื่นว่าฝรั่งขายอีกแล้ว  พอวันถัดมาฝรั่งขายหุ้นหนักอีก  เม่าไทยก็พร้อมที่จะเชื่อว่าเมื่อฝรั่งขายหุ้นจะลง  เมื่อเม่าเชื่อแบบนี้ก็จะพากันขายหนีตายอีก  ฝรั่งก็ขายในราคาสูงและก็เก็บในราคาถูกลงไปเรื่อยๆโดยที่จำนวนหุ้นในมือก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด  ซึ่งวิธีการนี้เม่าไทยจะรู้จักกันในนามว่า  SAP  (ชอร์ต อเกน พอร์ต)  ซึ่งการทำ  SAP  ของเม่านี้จะทำตอนที่เม่ามองว่าหุ้นมันมีแนวโน้มว่าจะลง(แต่ไม่รู้แน่ชัดหรอกว่าลงเพราะอะไร)  แต่ถ้าเป็นการทำ  SAP  ของนักลงทุนต่างชาติเขาคงไม่ได้มองว่ามันจะลงเพราะคนอื่น  แต่มันจะต้องลงเพราะตัวเขาเอง  แล้วถ้ามีใครบังอาจมาซื้อสวนขึ้น  เขาก็คงขายไม่เลี้ยงเหมือนกัน  เพราะหุ้นก็ยังมีอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก  ถ้าคนที่เข้ามาซื้อสวนเงินไม่หนาพอที่จะคุมเกมได้จริง  หรือกะแค่เข้ามาปั่นเอาเงินแล้วก็ออก  อาจจะโดนเจ้ามือทุบเอาจนคนซื้อสวนยอมคายออกมาแล้วเขาค่อยไปเก็บคืน

     เมื่อมาสรุปเป็นภาพรวมแล้วถามว่า  ยอดซื้อขายประจำวันของนักลงทุนต่างชาตินี้น่าเชื่อถือแค่ไหน  ถ้าเป็นเรื่องตัวเลข  มันคือของจริง  แต่ถ้าเป็นจำนวนหุ้นคงเหลือ  มันอาจเหลือเท่าเดิมหรือเพิ่มมากขึ้น  แล้วมันเพิ่มมากขึ้นได้อย่างไร ?  ถ้านักลงทุนต่างชาติขายหุ้นที่ราคาสิบบาท(แต่จริงๆแล้วคงขายที่ราคานี้ไม่ได้ในคราวเดียว)  แล้วเอาเงินจำนวนนั้นมาซื้อคืนไปที่ราคาเก้าบาท  เขาจะมีหุ้นเพิ่มขึ้นมาประมาณสิบเปอร์เซ็นต์เลยนะ  เมื่อนักลงทุนต่างชาติทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ  กว่าที่เม่าไทยจะรู้ตัวอีกที  หุ้นก็ไปอยู่ในมือของนักลงทุนต่างชาติเกือบหมดแล้ว  และถ้าผมมีหุ้นในพอร์ตมากขนาดนั้น  วันนึงผมเกิดอยากรวยขึ้นมา  ผมก็ดันราคาหุ้นตัวที่ผมถืออยู่ให้ขึ้นไปมากๆ  เมื่อเอาจำนวนหุ้นมาคูณด้วยราคาตลาด  ผมก็รวยขึ้นอีกบานเบอะ  และเป็นธรรมดาเมื่อหุ้นพุ่งขึ้น  ข่าวดีมันจะมาจากไหนก็ไม่รู้เต็มตลาด  และมันยังมาพร้อมกับบทวิเคราะห์ว่าให้ซื้อโดยมีเป้าหมายว่ายังไปได้อีกไกล  เมื่อเม่าไทยเห็นดังนั้นก็จะพากันโบยบินเข้าสู่กองไฟอีกครั้งตามอย่างที่วงจรชีวิตเม่าควรจะเป็น


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 13 พฤษภาคม 2014, 14:03:31
ปัจจัย 6
     วันนี้วันพระ (วันวิสาขบูชา) เป็นวันหยุดพิเศษ  ทำให้ผมพอจะมีเวลาอยู่กับตัวเองบ้าง  หลังจากที่ผมไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัวมาเป็นเวลานาน  ซึ่งการที่ผมมีเวลาว่างนี้  ก็เลยทำให้ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับวันพระ  และสิ่งที่ทำให้ผมนึกถึงจนมาเป็นประเด็นในการลงบทความนี้ก็มาจากเรื่องของปัจจัย 4  ที่เรารู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดีนี่เอง

     ผมคิดว่าทุกท่านคงรู้จักปัจจัย  4  มาตั้งแต่เด็กแล้ว  เพราะเรื่องนี้ได้มีหลักสูตรการเรียนการสอนกันมาตั้งแต่ตอนที่พวกเราเรียนอยู่  ปัจจัย  4  ที่ว่านี้ก็คือ  สิ่งที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตหรือการดำรงชีพของมนุษย์  ซึ่งประกอบด้วย  อาหาร  เครื่องนุ่งห่ม  ที่อยู่อาศัย  และยารักษาโรค  เรื่องนี้ทำให้ผมคิดย้อนกลับไปไกลจนถึงตั้งแต่สมัยที่ต้นตระกูลของพวกเรายังเป็นลิงกันอยู่  ตอนนั้นบรรพบุรุษของเราจะรู้ไหมนะว่าชีวิตของทุกคนต้องการปัจจัย  4  ผมคิดว่าไม่นะ  เพราะบรรพบุรุษของเราคงยังไม่ฉลาดพอที่จะมีความคิดแบบนั้น  และอีกอย่างก็คือ  ตอนนั้นคงจะไม่มีใครสร้างบ้านขายหรือมีคนผลิตยาออกมาขายด้วย  และจากยุคสมัยที่เป็นอยู่ในขณะนั้น  การหาอาหารใส่ปากน่าจะเป็นเรื่องที่จำเป็นที่สุดแล้ว  สำหรับเรื่องปัจจัย  4  มันเป็นบทบัญญัติที่เกิดขึ้นมาหลังยุคมนุษย์ลิง  ซึ่งปัจจัย  4  ที่ว่านี้ก็ได้ผ่านการยอมรับจากสังคมว่ามันเป็นเรื่องจริงที่ชีวิตของทุกคนต้องการทั้ง  4  สิ่งนี้  แต่เมื่อกาลเวลาล่วงเลยผ่านมาจนถึงทุกวันนี้  ผมคิดว่ามันควรจะต้องมีการปรับปรุงบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องความจำเป็นของชีวิตมนุษย์บ้าง  และเท่าที่ผมประเมินเองแล้ว  สิ่งที่ผมมองว่ามีความจำเป็นและสำคัญต่อชีวิตของคนในยุคปัจจุบันได้เพิ่มขึ้นมาอีกสองสิ่งนั่นก็คือ

     พาหนะ  ทุกวันนี้มีใครไม่รู้จักหรือไม่เคยใช้พาหนะเช่นจักรยาน  มอเตอร์ไซค์ รถยนต์  เรือ  รถไฟ  เครื่องบินบ้าง  ผมคิดว่าคงไม่มี  ถ้าถามว่าพาหนะพวกนี้จำเป็นไหมต่อการใช้ชีวิตของทุกคนในวันนี้  ผมกล้าตอบแทนทุกคนเลยว่าจำเป็น  เพราะแค่เราจะไปเซเว่นที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด  เรายังขี้เกียจเดิน !  ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่เราจะเห็นทุกบ้านมีพาหนะไว้ใช้อย่างน้อยหนึ่งชนิด (ยกเว้นบ้านที่ไม่มีเงินซื้อ)

     การสื่อสาร  ในที่นี้ผมจะเหมารวมทุกอย่างที่นับว่าเป็นการสื่อสารทั้งหมดคือ  โทรทัศน์  แฟกซ์  วิทยุ  จดหมาย  โทรศัพท์  อินเตอร์เนต  ฯลฯ  ถ้าถามว่าทำไมมันถึงจำเป็นด้วยล่ะ  ถ้าไม่มีก็ไม่ตายไม่ใช่เหรอ  งั้นผมจะถามกลับไปว่า  คุณไม่ต้องอยู่บ้านก็ได้นิ  ไปนอนข้างถนนก็ได้มั้ง  จริงอยู่ที่ไม่มีมันก็ไม่ตาย   แต่ผมถามหน่อยว่าทุกวันนี้จะมีสักกี่คนที่ไม่ต้องใช้สินค้าหรือบริการเหล่านี้  อย่างน้อยแม่บ้านยังต้องดูละครหรือโทรไปเมาท์มอยกับเพื่อนฝูง  จริงๆแล้วผมว่าการสื่อสารนี่สำคัญมากมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว อย่างเวลาทำสงครามกัน  ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนเพียงนิดเดียวก็อาจทำให้พ่ายแพ้ได้  และในทุกวันนี้  เวลามีอะไรที่เกี่ยวกับความเป็นความตาย  เราสามารถหลบหลีกได้ทัน  ทำให้ลดความสูญเสียลงไปได้มาก  หรือแม้กระทั่งเราจะทำเรื่องบางอย่างที่ไม่สำคัญสำหรับทุกคนอย่างเช่นเทรดหุ้น  (ว่าจะไม่พูดถึงหุ้นแล้วเชียวนะ)  เรายังต้องใช้อินเตอร์เนตเลย

     สำหรับวันนี้ก็คงจะเบาๆสไตล์วันหยุดนะครับ  เอาไว้ผมมีอารมณ์และเวลาว่างมากพอก็จะลงบทความให้อ่านกันเล่นๆอีก  เข้าใจตรงกันนะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: vi mut ที่ วันที่ 14 พฤษภาคม 2014, 15:10:00
สวัดดีค่ะเพื่อนทุกคน ดีใจมากเลยที่เจอกระทู้นี้อ่านตั้งแต่หน้า 1- 5แล้วค่ะ เดียวจะอ่านให้ครบทุกหน้า ชื่นชมคุณวายุมากนะค่ะคุณเก่งมากคุณทำได้  เราทำงานบริษัทค่ะเงินเดือนก็โอเค หนี้สินไม่มี มีเงินเย็นอยู่ก้อนหนึ่ง อยากเล่นหุ้นแต่ไม่กล้า ไม่รู้จะปรึกษาใครไม่มีพื้นฐานแต่ก็ดูข้อมูลในเน็ตบ้าง พอดีเวลาว่างเยอะผึ่งเลิกกับแฟนมาค่ะจิตใจฟุ้งซ่านก็เลยยากหาอะไรทำจะได้ไม่ต้องคิดมาก แต่เราได้อ่านตรงนี้คิดแล้วละค่ะว่ากลับไปเราจะไปซื้อหนังสือพ่อสอนลูกรวย และ หนังสือเกี่ยวกับการเล่นหหุ้น แล้วจะเริ่มเล่นเลยจะลองผิดลองถูกดูเพราะคิดมานานแล้วไม่เคยทำได้ชะที ไม่ต้องห่วงนะค่ะเงินเย็นก้อนนี้เราจะเล่นแค่ 1ในสาม ก็น่าจะมาณ 50000 ถ้าเงินส่วนหนี้หายไปก็คงไม่เดือดร้อน รบกวนแนะนำด้วยนะค่ะ จะรอฟังคำแนะนำนะค่ะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 16 พฤษภาคม 2014, 15:36:37
ตอบคุณมัท
     เรื่องขอคำแนะนำจากผมนั้น  ด้วยความยินดีครับ  แต่ไม่ทราบว่าจะปรึกษาผมเรื่องอะไรล่ะ  เรื่องลงทุนหรือเรื่องชีวิตคู่  เพราะคุณบอกมาว่าโสด  อ่านแล้วคลุมเครือน่ะครับ (อ่ะล้อเล่น)  อยากรู้อะไรก็ถามมาเลยครับ  แต่ถ้าเป็นเรื่องชีวิตคู่  ผมว่ามันไม่มีอะไรดีที่สุดสำหรับทุกคนหรอกครับ  บางคนดีมากซะจนเราอยู่ด้วยไม่ได้ก็มี (อยู่ด้วยแล้วละอาย  เพราะเธอดีเกินไป)  แค่หาคนที่คลิ๊กกับเราก็พอ  คุณยังไม่แก่  อายุแค่  33  เอง  ยังไม่ต้องรีบหรอก  อิอิ  วันนี้รู้สึกจะออกทะเลไปเยอะเลย  งั้นขอจบด้วยกลอนก็แล้วกันครับ  จะได้คลายเครียดสำหรับทุกคน

     ไม่เคยคิด     ร้องไห้     เมื่อพ่ายแพ้
ไม่เคยแคร์         ชีวิต        ที่ผิดหวัง
ไม่เคยขอ          คืนดี        คนที่ชัง
ไม่เคยหวัง       หมายปอง   คนหลายใจ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: vi mut ที่ วันที่ 17 พฤษภาคม 2014, 14:42:46
ตอบคุณมัท
     เรื่องขอคำแนะนำจากผมนั้น  ด้วยความยินดีครับ  แต่ไม่ทราบว่าจะปรึกษาผมเรื่องอะไรล่ะ  เรื่องลงทุนหรือเรื่องชีวิตคู่  เพราะคุณบอกมาว่าโสด  อ่านแล้วคลุมเครือน่ะครับ (อ่ะล้อเล่น)  อยากรู้อะไรก็ถามมาเลยครับ  แต่ถ้าเป็นเรื่องชีวิตคู่  ผมว่ามันไม่มีอะไรดีที่สุดสำหรับทุกคนหรอกครับ  บางคนดีมากซะจนเราอยู่ด้วยไม่ได้ก็มี (อยู่ด้วยแล้วละอาย  เพราะเธอดีเกินไป)  แค่หาคนที่คลิ๊กกับเราก็พอ  คุณยังไม่แก่  อายุแค่  33  เอง  ยังไม่ต้องรีบหรอก  อิอิ  วันนี้รู้สึกจะออกทะเลไปเยอะเลย  งั้นขอจบด้วยกลอนก็แล้วกันครับ  จะได้คลายเครียดสำหรับทุกคน

     ไม่เคยคิด     ร้องไห้     เมื่อพ่ายแพ้
ไม่เคยแคร์         ชีวิต        ที่ผิดหวัง
ไม่เคยขอ          คืนดี        คนที่ชัง
ไม่เคยหวัง       หมายปอง   คนหลายใจ

สวัสดีค่ะคุณวายุ ชอบกลอนคุณวายุมากเลยค่ะ คุณวายุมีความรู้ทุกด้านเลยนะค่ะ คุณวายุรู้จักชื่อมัทด้วย แถมยังรู้ประวัติเราอีกดีใจจังค่ะ นี้แหละนะนักลงทุนมีข้อมูลก่อนเสมอ คุณวายุค่ะมัทแอบชื่นชมคุณวายุมากๆๆๆอ่านบทความที่เขียนทุกตอนจนตาบวมยังไม่จบค่ะน่าจะต้องอ่านอีกหลายอาทิตย์เลย แถมไปซื้อหนังสือเล่นหุ้นมาอ่านแล้วไม่เข้าใจค่ะปวดหัวมากหรือว่าเราจะไม่เหมาะกับการลงทุนแต่ยังไม่ท้อค่ะต้องอ่านต่อไป ถ้าคุณวายุไม่รังเกลียดขอเป็นเพื่อนได้ไหมค่ะ (หรือว่าคุณวายุเป็นพี่ก็ไม่รู้นะ) คงจะดีใจมาากถ้าเรามีเพื่อนที่เก่งขนาดนี้ เรื่องที่ยากถามคุณวายุคือเรื่องการลงทุนค่ะแต่ยังไม่ถามตอนนี้ขออ่านศึกษาเรียนรู้สักพักค่ะ ส่วนเรื่องความรักก็ไม่เคยสมหวังเพราะพอความรักเข้าตาไม่เคยคิดว่าจะได้กำไลหรือขาดทุนขอแค่ได้รักก็พอ เลยขาดทุนมาตลอดค่ะแต่ก็ไม่ได้เสียใจตรงนั้นนะค่ะเพราะนี้คือบทเรียน
ทิ้งท้ายใว้ค่ะ คุณวายุเก่งจริงๆๆๆนะค่ะไม่ได้ยกยอแต่พูดจากใจจริงไม่ได้คิดว่าคุณวายุเล่นหุ้นแล้วมีเงินนะค่ะ แต่คิดว่าจากคนธรรมดาคนหนึ่งไม่มีไรเลยแต่ทำไมทำได้ขนาดนี้ สักวันเราจะทำได้แบบนี้ไหมเน้อ.... ;D ;D ;D

(http://upic.me/i/sd/1images.jpeg) (http://upic.me/show/35288158)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 19 พฤษภาคม 2014, 03:32:52
     อ่ะนะ...อย่าเพิ่งชมผมมากเลยครับ  รอไว้ให้ผมรวยก่อน  แล้วค่อยมาชมก็แล้วกัน  สำหรับเรื่องหนังสือเกี่ยวกับการลงทุน  ผมแนะนำ "เหนือกว่าวอลสตรีท" ครับ  ผู้เขียนเป็นผู้บริหารกองทุนรวมอยู่ในอเมริกา  เขาจะให้มุมมองต่างๆในแบบฉบับของผู้บริหารกองทุนว่า  หุ้นมีกี่ประเภท  และราคาที่เหมาะสมของหุ้นแต่ละประเภทควรเป็นเท่าไหร่  หนังสือเล่มหนาพอประมาณ  และคุณคงต้องอ่านหลายรอบหน่อย  เพื่อที่จะให้มีความเข้าใจในหนังสือและเรื่องราวเกี่ยวกับการลงทุนจริงๆว่า  กติกาในตลาดหุ้นเขาเล่นกันอย่างไร  และผมกล้าการันตีเลยว่า  ถ้าคุณ "เข้าใจ" หนังสือเล่มนี้ "จริงๆ" เพียงแค่เล่มเดียว  คุณสามารถเข้าใจภาพรวมของตลาดหุ้นได้ทั้งหมด  และที่สำคัญ  หนังสือเล่มนี้อ่านสนุก  เพราะผู้เขียนได้สอดแทรกมุกตลกอยู่เป็นระยะ  มันเลยทำให้อ่านแล้วไม่เครียดไม่น่าเบื่อ

     สำหรับเรื่องขอเป็นเพื่อน  ยินดีครับ  แต่คุณมัทไม่ได้อยู่เชียงราย  ถ้าได้นั่งคุยแบบถาม-ตอบกัน  คงจะเข้าใจได้มากขึ้น  หรือจะเป็นเพื่อนออนไลน์  ผมคงไม่ค่อยมีเวลาถาม-ตอบแบบรวดเร็วทันใจสักเท่าไหร่  เนื่องจากว่าทุกวันนี้  ผมเป็นคนกลางคืนอยู่  เวลากินเวลานอนมันก็เลยไม่เหมือนคนอื่นเขา

     สถานที่ๆผมทำงานอยู่  มันเป็นผับตื๊ดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย  ถ้าถามผมว่ารายได้ดีไหม  ผมตอบได้เลยว่าสู้งานอย่างอื่นไม่ได้  แต่ผมทำเพราะผมชอบอยู่ในสถานบันเทิงแบบนี้  มันไม่เครียดดี  ซึ่งถ้าเป็นเรื่องเงิน  ผมค่อนข้างมั่นใจว่าผมสามารถทำเงินในตลาดหุ้นได้  มันก็เลยทำให้ผมไม่ได้มองเรื่องรายได้จากการทำงานเป็นหลัก  ผมไม่ได้อิจฉาที่บางคนมีรายได้มากกว่าผมแต่ต้องแลกมาด้วยความเครียด  สิ่งที่ผมมองจากการทำงานก็คือ  ผมทำงานแล้วมีความสุข  การมีความสุขจากการทำงานวัดได้จากอะไร  คุณเคยรู้สึกขี้เกียจไปทำงานไหมครับ  คุณจะนึกเสมอว่า  เมื่อไหร่จะถึงวันหยุด  นั่นเป็นเพราะว่าคุณไม่มีความสุข  คุณก็เลยไม่อยากไปทำงาน  แต่สำหรับผมแล้ว  ผมอยากมาทำงานทุกวัน  แต่เขาบังคับให้หยุด  เพราะเขาไม่อยากจ่ายโอทีให้ผม !  ทุกวันนี้ผมมองผู้คนแล้วมีความคิดว่า  ทำไมคนส่วนมาก  ต้องทนทำในสิ่งที่ไม่มีความสุขเพียงเพื่อเงินเท่านั้นเองหรือ  คนส่วนใหญ่ใช้เวลาชีวิตให้หมดไปกับสิ่งที่ไม่อยากทำ  และเหลือเวลาชีวิตของตัวเองเพียงน้อยนิดเท่านั้นเพื่อไปทำในสิ่งที่อยากทำในตอนบั้นปลายของชีวิต  ถ้าพรุ่งนี้ทุกคนต้องตาย  ผมคงเป็นคนหนึ่งที่ตายแบบไม่คาใจ  แต่หลายคนคงจะเสียดายชีวิตมากว่า  เราจะอดทนทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำไปจนตายเพื่ออะไรกัน

     ชีวิตคนเรามันสั้นนัก  จะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้  บางคนใช้ชีวิตหมดไปกับการนั่งเฝ้าดูตลาดหุ้นจนไม่ได้ไปไหน  ถ้าชีวิตการลงทุนต้องเป็นแบบนี้  ผมยอมไม่ลงทุนยังจะดีเสียกว่า  เพราะผมชอบใช้ชีวิตแบบสุขนิยม  ขนาดผู้เขียนหนังสือเหนือกว่าวอลสตรีทยังบอกเลยว่า  ตลาดหุ้นน่าจะปิดเร็วกว่านี้  เขาจะได้มีเวลาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์หรือไปชมงานศิลปะ  เพราะสองอย่างนี้ยังมีประโยชน์มากกว่าการมานั่งมองราคาหุ้น  จะเคร่งเครียดกับชีวิตไปทำไมกัน  คุณว่าจริงไหมครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: vi mut ที่ วันที่ 19 พฤษภาคม 2014, 09:16:54
คุณวายุพูดถูกทุกเรื่องเลยค่ะ  ;) ;) ;) ;) โอเคค่ะจะซื้อหนังสือเล่มนั้นมาอ่าน คุณวายุดีจังนะค่ะที่ได้ทำงานที่ตัวเองชอบคงจะมีความสุขมาก ส่วนมัทไม่ชอบงานที่ทำแต่ก็ยากมาทำงานทุกวันค่ะเพราะถ้าคนเราไม่ทำงานชีวิตคงไม่มีค่าอะไร ยังไม่รู้เกิดมาทุกวันเพื่ออะไรทำงานอยู่ไปวันๆๆ ได้เงินมาก็ซื้อของที่ยากได้นุษย์เงินเดือนค่ะ  เป้าหมายในชีวิตใหญ่ๆๆก็ไม่มี มีแต่เป้าหมายเล็กๆๆ ชีวิตเลยไม่เจ็บตัวมาก ดีใจนะค่ะที่เจอเพื่อนในนี้ไม่เหงา มีเพื่อนให้คุยทุกเรื่อง ยังไงจะติดตามผลงานคุณวายุทุกเรื่องนะค่ะ ขอบคุณมากค่ะที่รับเป็นเพื่อนเป็นเพื่อนแค่ในนี้ก็ดีใจมากแล้วค่ะ 

--กลอนนี้คิดเองเปล่าค่ะชอบมากเลย--
ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: arnutza253 ที่ วันที่ 01 มิถุนายน 2014, 17:57:24
ผมมีความคิดอยากจะเล่นหุ้นแต่ผมไม่รู้จะไปทางไหนอะไรยังไง ช่วยแนะนำทีครับ ควรไปทางไหน เริ่มต้นครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 03 มิถุนายน 2014, 03:01:03
     งั้นก็เริ่มต้นตรงเปิดบัญชีให้ได้ก่อนก็แล้วกันนะครับ  เพราะทุกวันนี้  การเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น  ไม่ได้ง่ายเหมือนช่วงก่อนแล้ว  ลองเข้าไปสอบถามรายละเอียดต่างๆจากโบรกเกอร์ได้ครับ  ถ้าเปิดได้แล้ว  ค่อยมาคุยกันอีกทีหนึ่ง


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 03 มิถุนายน 2014, 03:09:59
คุณวายุพูดถูกทุกเรื่องเลยค่ะ  ;) ;) ;) ;) โอเคค่ะจะซื้อหนังสือเล่มนั้นมาอ่าน คุณวายุดีจังนะค่ะที่ได้ทำงานที่ตัวเองชอบคงจะมีความสุขมาก ส่วนมัทไม่ชอบงานที่ทำแต่ก็ยากมาทำงานทุกวันค่ะเพราะถ้าคนเราไม่ทำงานชีวิตคงไม่มีค่าอะไร ยังไม่รู้เกิดมาทุกวันเพื่ออะไรทำงานอยู่ไปวันๆๆ ได้เงินมาก็ซื้อของที่ยากได้นุษย์เงินเดือนค่ะ  เป้าหมายในชีวิตใหญ่ๆๆก็ไม่มี มีแต่เป้าหมายเล็กๆๆ ชีวิตเลยไม่เจ็บตัวมาก ดีใจนะค่ะที่เจอเพื่อนในนี้ไม่เหงา มีเพื่อนให้คุยทุกเรื่อง ยังไงจะติดตามผลงานคุณวายุทุกเรื่องนะค่ะ ขอบคุณมากค่ะที่รับเป็นเพื่อนเป็นเพื่อนแค่ในนี้ก็ดีใจมากแล้วค่ะ 

--กลอนนี้คิดเองเปล่าค่ะชอบมากเลย--
ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม



     แต่งเองครับ  ขอโทษที่ไม่ได้เข้ามาตอบ  เพราะผมว่าจะรอมาตอบพร้อมกับตอนที่เอาบทความมาลง  พอดีเข้ามาตอบน้องมือใหม่  ผมก็เลยตอบพร้อมกันเสียเลย  ถ้าอยากรู้อะไรก็ถามได้นะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: arnutza253 ที่ วันที่ 03 มิถุนายน 2014, 16:30:06
ขอบคุณครับ ท่านวายุ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 05 กรกฎาคม 2014, 17:09:32
เดย์เทรด
     โดยปกติแล้วผมไม่ค่อยได้ลงบทความเกี่ยวกับการเล่นหุ้นซื้อขายในวัน  เพราะคนที่เล่นซื้อขายในวันโดยมากมักจะพนันมากกว่าลงทุน  ซึ่งโดยส่วนตัวผมแล้ว  ผมส่งเสริมให้คนลงทุนมากกว่า  แต่วันนี้ผมขอมาแนะนำอีกหนึ่งวิธีที่ผมคิดว่ามีความเสี่ยงน้อยหรือแทบไม่มีเลยสำหรับคนที่อยากเล่นซื้อขายในวันนะครับ

     หุ้นแต่ละตัวเมื่อตอนเปิดตลาด  จะมีข้อมูลเกี่ยวกับราคาหุ้นให้ดูอยู่เช่น  ราคาปิดเมื่อวาน  ราคาย้อนหลัง  ค่า PE  ซึ่งตัวเลขพวกนี้  ถ้าจะใช้วิธีของผม  เราไม่ต้องไปดูมันเลย  เพราะเรากำลังจะพนันอยู่  ตัวเลขที่เราควรให้ความสนใจก็คือ  ราคาซิลลิ่งและราคาฟลอร์  คำอธิบายสำหรับตัวเลขสองตัวนี้ก็คือ  ราคาที่ทางตลาดกำกับมาว่า  ให้ขึ้นได้สูงสุดเท่าไหร่  และให้ลงได้ต่ำสุดเท่าไหร่ในวันนี้  และผมถามพวกคุณว่า  ถ้าเปิดตลาดมาปุ๊บ  มีหุ้นตัวหนึ่งลิ่ง  อีกตัวหนึ่งฟลอร์  คุณจะสนใจตัวไหนมากกว่ากัน ?  โดยส่วนมากแล้ว  คนที่เล่นเดย์เทรดส่วนใหญ่  มักจะมองหุ้นที่ลิ่งมากกว่า  เพราะเขามองว่า  หุ้นตัวนี้กำลังโดนปั่น  โอกาสที่หุ้นจะวิ่งไปได้อีกยังมี  แต่ถ้าเป็นผม  ผมมองหุ้นที่ฟลอร์มากกว่า  ถ้าคุณจะถามหาเหตุผลว่าทำไมน่ะหรือ  อธิบายง่ายจะตาย

     เราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า  เราตั้งธงไว้ว่าเราจะเล่นเดย์เทรด  ซึ่งเราต้องการให้มันจบในวันแบบไร้ความเสี่ยง  ถ้าเป็นหุ้นที่มันลิ่ง  ราคาในวันนี้มันไม่สามารถขึ้นได้อีกแล้ว  เนื่องจากว่ามันชนเพดาน  ถ้าเราจะลุ้น  เราต้องถือข้ามวัน  แล้วคุณคิดว่าคุณจะนอนหลับอย่างเป็นสุขได้หรือไม่  และเผลอๆ  รู้เรื่องในวันเลย  เพราะราคามันเป็นไปได้แค่ทรงกับทรุด  แล้วคุณคิดว่า  คนที่เขามีกำไร  เขาจะไม่แห่กันขายจนราคามันตกบ้างหรือ  เผลอๆเป็นคนปั่นนั่นแหละที่ขายออกมา  แต่ถ้าเป็นหุ้นที่ฟลอร์  ราคามันติดพื้นแล้ว  มันไม่สามารถลงไปได้ต่ำกว่านี้อีกแล้วในวันนี้  สิ่งที่มันจะเป็นไปได้ก็คือทรงกับขึ้น  ถ้าเราโชคดีซื้อที่ฟลอร์  เราอาจจะลุ้นให้ราคามันกระเด้งขึ้นมาบ้าง  แต่ถ้าตอนสิ้นวันราคามันไม่ไปไหน  คุณก็ขายที่ราคาฟลอร์ยังได้เลย  ไม่ขาดทุน  แค่โดนค่าคอมนิดหน่อยเท่านั้นเอง  อย่างไรเสีย  การลงทุนมีความเสี่ยงนะครับ  อย่าเชื่อผมมาก  เพราะผมมโน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: supachaisook ที่ วันที่ 03 สิงหาคม 2014, 16:35:22
เพิ่งเข้ามาครั้งแรก ขอศึกษาด้วยคนครับ ข้อมูลเป็นประโยชน์มาก ผมคนหนึ่งเคยมีเงินทุนหลักแสน แต่ประมาทไปหน่อย ไม่ได้เอาไปลงทุนอะไรมากเลย สุดท้ายหมด ต้องมาเริ่มกันใหม่ ถือว่าความล้มเหลวคือบทเรียน อันมีค่าที่ยิ่งใหญ่ ต่อไปจะลงทุนอะไร ต้องคิดให้ดีก่อน  ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูลดีๆ ที่เป็นประโยชน์....


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: jarsarill ที่ วันที่ 21 สิงหาคม 2014, 11:15:23
น่าสนใจค่ะ อยากจะลองลงทุน กับหุ้นดู แต่ไม่มีความรู้เรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว พยายามที่จะศึกษาเกี่ยวกับหุ้นอยู่ แต่ยังจับต้นชนปลายไปถูก ยังไม่เจอแสงสว่าง ถ้าจะให้ถามก็ยังไม่รู้จะเริ่มต้นถามยังไง เพราะไม่รู้อะไรสักอย่าง พยายามอ่านกระทู้ของคุณวายุ แต่มันเยอะมาก 38หน้า...ตาลายเลยค่ะ ^__^ ขอคำแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังไม่รู้จะเริ่มยังไงได้หรือเปล่าค่ะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 02 กันยายน 2014, 23:51:39
     งั้นก็เริ่มต้นตรงเปิดบัญชีให้ได้ก่อนก็แล้วกันนะครับ  เพราะทุกวันนี้  การเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น  ไม่ได้ง่ายเหมือนช่วงก่อนแล้ว  ลองเข้าไปสอบถามรายละเอียดต่างๆจากโบรกเกอร์ได้ครับ  ถ้าเปิดได้แล้ว  ค่อยมาคุยกันอีกทีหนึ่ง

ขอโทษที่ไม่ได้เข้ามาตอบนะครับคุณ  jarsarill  หวังว่าคำตอบของผมคงไม่ทำให้คุณเคืองนะ  ช่วงนี้จะว่าไม่มีเวลาก็ไม่ใช่  แต่ผมมัวแต่ไปทำอย่างอื่นมากกว่าที่จะได้เข้ามาดูเว็บบอร์ด  พอดียังไม่มีเรื่องอะไรจะมาลงด้วยครับ  ถ้าเปิดบัญชีได้แล้วค่อยมาคุยกันอีกทีนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 26 กันยายน 2014, 04:15:32
     คือ...ผมขอตอบแบบไม่อ้อมค้อมเลยก็แล้วกันนะครับคุณครู  ถ้าอ่านแค่บรรทัดแรก  มันน่าสนใจอย่างยิ่ง  ผมก็อยากได้ทุกสิ่งทุกอย่าง  ที่มันสามารถสร้างมูลค่าทางการเงินให้กับผมได้  แต่ทีนี้พอผมลองศึกษาที่ตัวคุณแล้วผมพบว่า  สิ่งที่คุณกำลังจะแนะนำผมมันคืออะไร  ผมก็เลยถึงบางอ้อ

     จริงๆแล้วการทำธุรกิจเครือข่ายมันไม่ผิดหรอกครับ  แต่ผมคิดว่ามันไม่ใช่สไตล์ผม  ผมไม่ชอบพูดโฆษณาสินค้า  และผมขออนุญาตประเมินตัวของคุณครูว่า  คุณคงยังไม่รู้จักหุ้นดีพอ  การทำธุรกิจเครือข่ายให้สำเร็จจะต้องพูด  และมีเวลา  หรือต้องรู้จักคนเยอะ  หรือต้องขยันเดินทาง  ซึ่งมันไม่ใช่ผม  ผมชอบอยู่เงียบๆ  ไม่ชอบเดินทาง  และถ้ามีเวลา  ผมมักจะพักผ่อน  พูดง่ายๆเลยว่าผมเป็นคนขี้เกียจ  ผมยินดีที่จะอยู่เฉยๆแล้วรวยขึ้นมา  เข้าใจตรงกันนะ

     ทีนี้ผมมีคำถามนะครับว่า  หลังจากที่เราทำสำเร็จแล้ว  ทีนี้ถ้าบริษัทมันไม่สามารถโตได้อีก  คุณครูจะทำอย่างไรครับ  แล้วคุณลองนึกถึงคนสุดท้ายสิ  เขาจะทำอย่างไร  ในเมื่อไม่มีใครมาต่อเขาแล้ว  ถ้าคำตอบคือเลิกทำ  แล้วถ้ามันย้อนขึ้นมาเรื่อยๆล่ะ

     ส่วนตัวผมเองซึ่งผมได้ลงทุนในหุ้น  ผมมีคำตอบแล้ว  ถ้าบริษัทมันยังโตได้อีก  ผมก็ถือหุ้นเพื่อรอให้หุ้นมันสร้างมูลค่าไปเรื่อยๆ  และระหว่างทางที่มันกำลังขึ้นไป  ผมก็ได้รับเงินปันผลโดยที่ผมไม่ต้องไปชวนใคร  และถ้าบริษัทมันหยุดโตล่ะ?  ผมก็จะขายหุ้นนั้นทิ้งซะ  แล้วก็เอาเงินที่ได้มา  ไปหาลงทุนกับบริษัทอื่นที่กำลังเติบโตต่อไป  ซึ่งถ้าเงินที่ผมได้มามันมากพอ  ผมอาจจะซื้อหุ้นสักสิบบริษัทก็ได้  ซึ่งสิ่งนี้แตกต่างกับการทำงานหรือทำธุรกิจเครือข่าย  ที่คุณไม่สามารถทำงานกับสิบบริษัทพร้อมกันได้  และถ้าคุณอยากได้ผลตอบแทนจากการทำธุรกิจเครือข่าย  คุณต้องควักเงินซื้อของเขาใช่ไหม  ซึ่งตรงนี้ผิดกับหุ้น  เพราะถ้าเรามีเงินแค่ก้อนเดียว  หรือถึงเรามีเงินเหลือประจำเดือนแต่เราไม่อยากซื้อหุ้นเพิ่มเพื่อเพิ่มผลตอบแทน  เราสามารถทำได้  เราก็แค่ถือหุ้นไปเรื่อยๆเท่านั้นเอง  และถ้าเราเดือดร้อนต้องการเงินด่วนล่ะ?  ตรงนี้สำคัญมาก  เพราะชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอน  ถ้าคุณทำธุรกิจเครือข่าย  คุณขายตำแหน่งในองค์กรได้ไหม?  อันนี้ผมไม่รู้นะ  แต่ถ้าเป็นหุ้น  เราสามารถขายมันเพื่อเอาเงินมาใช้ก่อนได้  แล้วพอเราผ่านพ้นช่วงที่ยากลำบากไปแล้ว  เราสามารถกลับไปซื้อหุ้นคืนมาได้  แต่ถ้าคุณขายตำแหน่งไป  ผมก็ไม่รู้ว่าคุณจะซื้อมันกลับได้หรือเปล่านะ  ถ้าสงสัยอะไรเรื่องหุ้นก็ถามเข้ามาอีกได้นะครับ  OK  นะ  จุ๊บ จุ๊บ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: love horse ที่ วันที่ 26 กันยายน 2014, 08:49:19
สวัสดีครับคุณวายุ  ผมเข้ามาเล่นเว็บนี้ประมาณ 2 ปีส่วนมากเข้าแต่ห้องเกษตรและสัต์เลี้ยงและเพิ่งเข้ามาอ่านห้องนี้ไม่กี่วันมานี้เอง ผมเห็นด้วยกับบทความที่เอามาลงและแนวคิดแบบคุณวายุครับ ผมก็วนเวียนอยู่ในตลาดมาประมาณ 8 ปีแล้ว 4-5 ปีแรกเล่นแต่หุ้นปั่นเป็นส่วนใหญ่ได้บ้างเสียบ้าง พอได้ค่ากับข้าวกับค่าขนมไปวันๆ มา 2-3 ปีหลังเปลี่ยนมาเล่นแนว
VI ก็พอได้เป็นกอบเป็นกำขึ้นมาบ้าง ได้ทั้งส่วนต่างราคาและปันผล ผมคิดเราว่าสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ในตลาดหากมีความอดทนพอ ทุกวันนี้ก็พยายามแนะนำญาติๆ และเพื่อนที่สนิทกันให้เข้ามาลงทุนในตลาดแต่ก็ไม่ง่ายนักเพราะพวกเขาเคยปรามาทว่าเราเข้าไปเป็นแมงเม่าเท่านั้น ผมพูดไม่ค่อยเป็นพิมพ์ไม่ค่อยเก่งครับ ในเชียงรายมีคนเล่นหุ้นเยอะครับแต่ส่วนมากไม่ได้แสดงตัว ผมก็คนเชียงรายโดยกำเหนิด โตที่นั่นแต่ตอนนี้มาอยู่ต่างจังหวัด หากได้กลับบ้านคงหาโอกาสพบเจอพูดคุยสักครั้งนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: i-happy ที่ วันที่ 05 ตุลาคม 2014, 22:39:51
ยาวมาก อ่านจนตาลายกันไปเลย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: vi mut ที่ วันที่ 09 มกราคม 2015, 10:10:42
สวัสดีค่ะคุณวายุ ไม่ได้คุยกันหลายเดือนแล้วแต่ยังติดตามอ่านข้อความของคุณวายุตลอดนะค่ะ มาวันนี้ก็มีเรื่องมาปรึกษาเหมือนเดิมค่ะ ผ่านมาหลายเดือนมากแล้วที่ศึกษาเรื่องหุ้นเรื่องพื้นฐานพอเข้าใจแล้วค่ะแต่ยังไม่เข้าใจการเลือกหุ้นว่าควรจะเลือกยังไงไม่ให้เงินหายยังเลือกไม่เป็นเลยค่ะเลยยังไม่เล่นเพราะคุณวายุบอกว่าถ้าเราไม่เข้าใจสิ่งที่เราทำก็ไม่ควรเสี่ยง ตอนนี้มัทสนใจกองทุนรวมนะค่ะแต่ไม่รู้จะเลือกตัวไหนดี เอาที่ฝากเข้าทุกเดือนมีเงินปันผลและดูแล้วเงินน่าจะไม่หายรบกวนคุณวายุและท่านไดที่มีความรู้ช่วยตอบหน่อยนะค่ะ
****
ส่วนเรื่องหุ้นส่วนชีวิตก็ยังเลือกไม่ได้เหมือนเดิมค่ะอยู่ดีๆๆก็เป็นสาวฮอทตอนแก่ชะงั้น มีมาให้เลือกตั้งสามหุ้น
หุ้นแรกผู้รับเหมาก่อสร้างมีเงินให้ใช้ทุกเดือนซื้อของให้อยากได้ไรก็ได้ ข้อเสียไม่ค่อยสนใจ ไม่มีเวลา (คงสงสัยทำไมเขาให้เงินใช้เพราะเขาไม่หล่อจะคบกับผู้หญิงคนไหนต้องให้เงินใช้เขาเลยติดนิสัยให้มัทด้วยเมื่อเขาให้ก็เลยรับใว้ค่ะ อนาคตดูยากเสียจริงไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง)
หุ้นที่สองพนักงานบริษัทธรรมดาเงินเดือนหมื่นก่วาบาท แต่มีเวลาเอาใจใส่ อยากให้ทำอะไรให้ทำได้ตลอดเขารู้ว่ามัทคบกับคนแรกอยู่ก็ยืนยันจะรอเวลาไปไหนมาไหนเขาออกให้บ้างหารสองบ้าง เหล้าไม่กิน ยาไม่สูบ
หุ้นที่สามหนุ่มวิศวะปตท.เงินเดือนหกหมื่นไปไหนออกให้ตลอดแต่ไม่ได้ให้เงินใช้ลึกลับเดียวมาเดียวหายบอกเลิกคบกันหลายครั้งแล้วค่ะแต่เขาก็กลับมา
ปกติไม่ใช่คนเจ้าชู้นะค่ะแต่โดนผู้ชายหลอกมาเยอะเลยขอเลือกบ้างต้องรบกวนคุณวายุช่วยมัทวิเคราะห์หน่อยนะค่ะทั้งหุ้นการลงทุนและหุ้นส่วนชีวิต ขอบคุณล่วงหน้านะค่ะ ;D ;)




หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: แมวใจดี ที่ วันที่ 09 มกราคม 2015, 12:58:52
ถ้าอยากศึกษาจริงๆๆลองเล่นคลิก2วินก็ได้นะคะตอนนี้ปิดโปรแกรมจะเปิดวันที่15มค58
ลงทะเบียนง่ายๆๆค่ะเล่นเหมือนจริงซื้อขายเหมือนจริงเลยมีเงินให้5ล้านบาท(เงินสมมุติ)
  ส่วนตัวเล่นอยู่ค่ะโดยแบ่งพอร์ตออก100. ซื้อหุ้นพื้นฐานดีมีปันผลแนวปี58เน้นหุ้นกลุ่มสื่อสาร
เพราะมีการประมูล4gและผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ลดลงควรเลี่ยงหุ้นกลุ่มพลังงานค่ะโดยแบ่งเป็น50%
จากพอร์ตถือยาวค่ะประมาณ3ปีขึ้นไป. ส่วนอีก30%ในพอร์ตถือหุ้นระยะกลาง(เน้น)ส่วนอีก20%เป็นเก็งกำไร
ค่ะ ศึกษาหุ้นจากปัจจัยพื้นฐาน บริษัทนี้ทำอะรัยมีลูกค้าแถวไหน ดูค่าP.E. ด้วยจะไม่ได้หุ้นที่แพงเกินไปค่ะ
แนวโน้มรายได้เป็นอย่างไรถ้าปัจจัยพื้นฐานยังไม่เสียควรถือต่อไปค่ะ.
ถ้าจะเล่นแนวเทคนิคต้องดูกราฟแท่งเทียนลงซื้อ ขึ้นขาย ตามกราฟค่ะลองศึกษานะคะให้กำลังทุกคนค่ะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 21 มกราคม 2015, 04:47:07
สวัสดีค่ะคุณวายุ ไม่ได้คุยกันหลายเดือนแล้วแต่ยังติดตามอ่านข้อความของคุณวายุตลอดนะค่ะ มาวันนี้ก็มีเรื่องมาปรึกษาเหมือนเดิมค่ะ ผ่านมาหลายเดือนมากแล้วที่ศึกษาเรื่องหุ้นเรื่องพื้นฐานพอเข้าใจแล้วค่ะแต่ยังไม่เข้าใจการเลือกหุ้นว่าควรจะเลือกยังไงไม่ให้เงินหายยังเลือกไม่เป็นเลยค่ะเลยยังไม่เล่นเพราะคุณวายุบอกว่าถ้าเราไม่เข้าใจสิ่งที่เราทำก็ไม่ควรเสี่ยง ตอนนี้มัทสนใจกองทุนรวมนะค่ะแต่ไม่รู้จะเลือกตัวไหนดี เอาที่ฝากเข้าทุกเดือนมีเงินปันผลและดูแล้วเงินน่าจะไม่หายรบกวนคุณวายุและท่านไดที่มีความรู้ช่วยตอบหน่อยนะค่ะ
****
ส่วนเรื่องหุ้นส่วนชีวิตก็ยังเลือกไม่ได้เหมือนเดิมค่ะอยู่ดีๆๆก็เป็นสาวฮอทตอนแก่ชะงั้น มีมาให้เลือกตั้งสามหุ้น
หุ้นแรกผู้รับเหมาก่อสร้างมีเงินให้ใช้ทุกเดือนซื้อของให้อยากได้ไรก็ได้ ข้อเสียไม่ค่อยสนใจ ไม่มีเวลา (คงสงสัยทำไมเขาให้เงินใช้เพราะเขาไม่หล่อจะคบกับผู้หญิงคนไหนต้องให้เงินใช้เขาเลยติดนิสัยให้มัทด้วยเมื่อเขาให้ก็เลยรับใว้ค่ะ อนาคตดูยากเสียจริงไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง)
หุ้นที่สองพนักงานบริษัทธรรมดาเงินเดือนหมื่นก่วาบาท แต่มีเวลาเอาใจใส่ อยากให้ทำอะไรให้ทำได้ตลอดเขารู้ว่ามัทคบกับคนแรกอยู่ก็ยืนยันจะรอเวลาไปไหนมาไหนเขาออกให้บ้างหารสองบ้าง เหล้าไม่กิน ยาไม่สูบ
หุ้นที่สามหนุ่มวิศวะปตท.เงินเดือนหกหมื่นไปไหนออกให้ตลอดแต่ไม่ได้ให้เงินใช้ลึกลับเดียวมาเดียวหายบอกเลิกคบกันหลายครั้งแล้วค่ะแต่เขาก็กลับมา
ปกติไม่ใช่คนเจ้าชู้นะค่ะแต่โดนผู้ชายหลอกมาเยอะเลยขอเลือกบ้างต้องรบกวนคุณวายุช่วยมัทวิเคราะห์หน่อยนะค่ะทั้งหุ้นการลงทุนและหุ้นส่วนชีวิต ขอบคุณล่วงหน้านะค่ะ ;D ;)





     สวัสดีครับคุณมัท  วันนี้ไม่มีอะไรมาก  มาตอบคำถามตามสไตล์ผมกันเลยดีกว่า

วิธีเลือกหุ้นไม่ให้เงินหาย
     สำหรับผมแล้ว  หุ้นตัวนั้นอนาคตต้องโตไปได้อีกครับ  ถ้าจะให้ดีต้องโตแบบมั่นคงด้วยครับ  ซึ่งตรงนี้  ผมไม่ได้ตั้งใจชี้นำหุ้นนะครับ  อยากให้เราเข้าใจตรงกัน  ยกตัวอย่างคร่าวๆนะครับ  มันอาจไม่เป๊ะ  ถ้าผิดพลาดก็ขออภัย
     1.เซ็นทรัล  เมื่อขยายสาขาเพิ่ม  อัตราการเช่าที่ขายของในห้างก็เพิ่มขึ้น  อาจจะมีบางครั้งที่ผู้เช่าอาจจะอยู่ไม่ได้จนต้องย้ายออกไป  แต่ก็จะยังมีรายใหม่เข้ามาเช่าแทนอยู่  และเป็นปกติของธุรกิจเช่า  เมื่อเรามีหรือสร้างอะไรก็ตามเสร็จแล้ว  ทรัพย์สินชิ้นนั้นมันก็จะเป็นอยู่อย่างนั้นเพื่อสร้างกระแสเงินสดให้กับเจ้าของต่อไป
     2.เซเว่นฯ  ไม่ว่าเซเว่นฯจะไปเปิดตรงไหนก็ตาม  ผู้บริโภคมักไม่ลังเลที่จะเข้าไปใช้บริการ  แต่ผมไม่ได้มีหุ้นนี้แล้วนะครับ  เพราะมันแบกหนี้เยอะเกินไป
     3.รถไฟฟ้า  ยังไม่หยุดขยายเส้นทางนะครับสำหรับธุรกิจนี้  และเมื่อรถไฟฟ้าขยายไปทางไหน  ก็น่าจะได้ผู้คนที่อยู่แถวละแวกที่รถไฟฟ้าวิ่งผ่าน  และคนที่ใช้บริการรถไฟฟ้าแบบนี้  ก็มักจะเป็นไปในลักษณะลูกค้าประจำ
     4.สนามบิน  ธุรกิจนี้เรียกได้ว่าผูกขาดกันเลยทีเดียว  เพราะเครื่องบินจะไปลงที่ทุ่งนาคงไม่ได้  และมีเพียงแค่หนึ่งเดียวในประเทศเท่านั้นสำหรับหุ้นสนามบินที่ว่านี้  สำหรับการเติบโตมาจากหลายด้าน  ที่กำลังเป็นข่าวเลยก็คือสายการบินต้นทุนต่ำ  ช่วงนี้ฟาดกันเองยังไม่เท่าไหร่  แต่ลูกหลงดันไปโดนรถทัวร์ด้วยเสียนี่  เมื่อค่าบินถูก  เพราะฉะนั้น  ใครๆก็บินได้  เมื่อคนเดินทางด้วยเครื่องมากขึ้น  ค่าเหยียบสนามบินก็ต้องเก็บได้มากขึ้นตามจำนวนผู้โดยสาร  ไหนจะเก็บได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติอีก  และนี่ยังจะขยายไปอีกหลายเฟส  คราวนี้คงได้นั่งนับเงินกันจนเพลีย  ถ้าผู้โดยสารไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้แล้ว  พี่ก็สามารถขึ้นค่าเหยียบสนามบินได้อีก...ทีนี้รู้ยัง
     5.ดาวเทียม  พอพูดถึงเครื่องบินแล้ว  ก็อดที่จะพูดถึงธุรกิจผูกขาดอีกตัวหนึ่งไม่ได้  ถ้าว่ากันถึงเรื่องความมั่นคงของรายได้  ตัวนี้จัดว่าโอเลย  เพราะดาวเทียมสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง
     เรื่องแรกเลยก็คือการออกอากาศโทรทัศน์  เราจะคิดไหมว่าเจ้าของสถานีไหนจะตั้งขึ้นมาแล้วก็เลิกไปในเวลาไม่นาน  มันเป็นไปได้ถ้ามันเจ๊ง  แต่จากที่ผมเห็นมามันก็คงต้องถูลู่ถูกังกันไปพักใหญ่ก่อนกว่าจะยอมแพ้  และนั่นก็หมายถึง  รายได้จากการว่าจ้างให้ออกอากาศ  ซึ่งตรงนี้ดาวเทียมก็จะได้แน่ๆสม่ำเสมอ  และเมื่อลองมองช่องทีวีในบ้านเราดูสิ  โอ้แม่เจ้า  ร้อยช่องยังน้อยไป  และการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีก็มีส่วนในการเพิ่มรายได้  จากช่องชัดธรรมดา(SD)  ก็มาถึงช่องโคตรชัด(HD)  และที่หลายคนยังไม่รู้  มันยังจะมีช่องชัดฟุดฟุดเพิ่มขึ้นมาอีกนะ(UHD)  สิ่งที่ผมกำลังจะบอกก็คือ  การกินแบนด์วิธของดาวเทียมมากขึ้นเพื่อทำให้มันชัดขึ้นนี่แหละ  ธรรมดาก็กินน้อยหน่อย  เสียค่าบริการน้อยตาม  แต่เวลาที่มันต้องชัดฟุดฟุดนี่ล่ะคุณเอ๋ย  มันต้องเสียค่าบริการเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่  ในขณะที่ยังออกอากาศเพียงแค่ช่องรายการเดียวเหมือนเดิม  แล้วถ้าคูณร้อยช่องล่ะ  โอ้พระเจ้า
     เรื่องที่สองก็คือ  มันสามารถเล่นเนตได้ด้วย  ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย  แต่บริษัทได้ออกมายอมรับว่า  การให้บริการเนตผ่านดาวเทียมมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าเนตสาย  ซึ่งถ้าเป็นในไทยก็คงไม่มีใครเอา  อย่ากระนั้นเลย  เขาก็เลยไปหาลูกค้าในประเทศที่มีลักษณะเป็นเกาะ  ซึ่งการลากสายทำได้ยากและมีราคาแพงเช่นฟิลิปปินส์นะจ๊ะ  งานนี้ก็เลยรอดตัวไป
     เรื่องที่สามก็คือ  เมื่อดาวเทียมมันเล่นเนตได้  งั้นเราก็ต้องมาปฏิวัติโลกการสื่อสารให้มันบรรเจิดกันเลย  ทุกวันนี้สังเกตไหมว่าแทบทุกคนเล่นเนตเป็น  แล้วเวลาที่เราเดินทางด้วยพาหนะเช่นเรือ  รถไฟ  หรือเครื่องบิน  เราคงต้องหยุดการเชื่อมต่อกับโลกไว้ชั่วคราว  แต่มันไม่ใช่ตอนนี้และในอนาคต  เพราะดาวเทียมสามารถทำให้คุณเล่นเนตบนพาหนะชนิดต่างๆได้แล้ว  โดยพาหนะเหล่านั้นต้องติดตั้งเครื่องรับสัญญาณเอาไว้คอยติดต่อเชื่อมโยงกับดาวเทียม  ซึ่งเมื่อมาประเมินภาพธุรกิจโดยรวมของดาวเทียม  โอกาสในการเติบโตยังมีสูงอยู่  และเป็นการเติบโตแบบมั่นคงด้วย  ไหนใครไม่มีสมาร์ทโฟนยกมือขึ้น

     นี่เป็นคำแนะนำในการมองธุรกิจเพื่อที่เราจะได้ไม่เจ็บตัวในการเลือกหุ้นนะครับ  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  มันยังมีปัจจัยอื่นที่ต้องมาดูกันอีกเช่น  งบการเงิน  คู่แข่งทางธุรกิจ  หรือเทรนด์ของธุรกิจที่มันเปลี่ยนไปเป็นขาลง

สำหรับเรื่องกองทุนรวมแบบมีปันผลด้วย
     เอิ่ม...คือ...ถ้าเลือกหุ้นไม่เป็น  มันคงเป็นทางออกที่ดีครับ  แต่สิ่งที่คุณควรจะประหยัดได้ถ้าคุณเลือกหุ้นได้เหมือนกองทุนทุกอย่างนั่นก็คือ  ค่าบริหารกองทุน(พอร์ต)ครับ  ถ้าคุณเลือกหุ้นได้เหมือนกับที่กองทุนเลือก  คุณก็ไม่ต้องเสียค่าเลือกหุ้นเข้าพอร์ต  ลองสืบดูสิครับว่ากองทุนเขานิยมเก็บตัวไหนมาบ้าง(ถ้าคุณจะเลียนแบบกองทุนนะ)  แต่ถ้าคุณอยากเลือกหุ้นเอง   และสไตล์ของคุณเป็นคนเน้นความปลอดภัยและต้องการปันผลด้วย  ให้คุณเลือกธุรกิจที่มีคนใช้บริการเป็นประจำอยู่แล้วและเลิกไม่ได้เช่น  ไฟฟ้า  ประปา  หรือโทรศัพท์น่ะครับ  แต่มันจะต้องไม่ใช่สินค้าที่เป็นแบบควบคุมราคาขายไม่ได้ถึงแม้ว่าจะเป็นของที่ต้องใช้ประจำวันอย่างเช่นน้ำมัน  หมูไก่  อะไรประมาณเนี้ยครับ  แต่ถ้าคุณอยากเสี่ยงแบบจัดหนักจัดเต็ม  ผมแนะนำได้นะ  แต่กลัวว่าคุณจะไม่อยาก  เพราะอัตราการได้และเสียมันพอๆกัน  แต่ถ้ามันได้  มันก็จะได้เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์เลย  แต่ถ้าไม่ได้  ก็คงเงิบไม่น้อย  แต่ก็คงไม่ถึงกับหมดทุนหรอก  ถ้าอยากได้ค่อยถามมาอีกทีนะครับแต่ขอบอกว่าไม่ใช่ออฟชั่นหรือฟิวเจอร์อะไรทั้งนั้นแหละ  มันเป็นกองทุนของธนาคารต่างๆนี่แหละ  ซึ่งบางคนอาจจะไม่ได้สนใจก็ได้

สำหรับเรื่องสุดท้าย...
     ขออภัยด้วย  ผมคงจะช่วยคุณเลือกไม่ได้นะครับ  มีแต่ข้อคิดมาแนะนำครับ  ในวาทะของชาวญี่ปุ่น  มีบทหนึ่งซึ่งกล่าวเกี่ยวกับเรื่องคล้ายๆกันนี้ว่า  ตอนที่เรากำลังตกปลา  เราควรจะใส่เหยื่อที่ปลาชอบเยอะๆ  ไม่ต้องเสียดาย  แต่เมื่อเราตกได้ปลานั้นขึ้นมาแล้ว  เราก็ไม่จำเป็นต้องให้เหยื่อแก่มันอีก  ถ้าเป็นภาษาวัยรุ่นแบบบ้านเรา  คงจะประมาณได้ว่า  หมดโปรแล้ว


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: golfza ที่ วันที่ 16 เมษายน 2015, 21:32:58
ผมอยากเล่นหุ้นครับ แต่มีความรู้ไม่มาก ครับ

แนะนำแนวทางและวิธีการลงทุนหน่อยได้ไหมครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 19 เมษายน 2015, 03:18:32
ผมอยากเล่นหุ้นครับ แต่มีความรู้ไม่มาก ครับ

แนะนำแนวทางและวิธีการลงทุนหน่อยได้ไหมครับ

     แนะนำให้เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นก่อนเลยครับ  ความรู้ค่อยมาหาทีหลังได้  ถ้าเปิดได้แล้วค่อยคุยกันอีกทีครับ  เพราะช่วงนี้รู้สึกข้อจำกัดเยอะ  เริ่มเปิดยากแล้ว


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 19 เมษายน 2015, 03:19:25
Stock for life
     ก็ห่างหายกันไปนานนะครับสำหรับบทความจากผม  ที่จริงแล้วก็ไม่ได้หายไปไหน  ผมก็ยังหมั่นเข้ามาดูกระทู้อยู่  เพียงแต่ว่าช่วงนี้มันไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นเต้นมากมายนัก  หุ้นมันก็ขึ้นๆลงๆในแบบของมัน  และอีกอย่าง  ผมลงเรื่องราวไปเยอะมาก  มันก็เลยแทบไม่เหลืออะไรให้ถ่ายทอดอีก  บทความนี้ก็เบาๆครับ  หนักมากไม่ไหว  ช่วงนี้ร้อนมาก  ร้อนที่สุดในรอบหลายสิบปีเลย  ถ้าหนักมากเดี๋ยวจะเครียดกันซะเปล่าๆ

     ผมมานั่งนึกย้อนกลับไป  เหตุผลที่ทำให้ผมสนใจลงทุนในช่วงแรกก็คือ  อยากได้ผลตอบแทนจากเงินที่เราออมไว้ให้ดีกว่าการฝากเงิน  แต่เมื่อผลตอบแทนที่ผมทำได้มันมาไกลเกินกว่าที่คาดหวัง  ความตั้งใจในการลงทุนของผมก็เปลี่ยนใหม่อีกครั้ง  รอบนี้ผมตั้งใจว่าการลงทุนต่อจากนี้ไปจะต้อง “เปลี่ยนชีวิต” ของผมให้ได้  เพราะถ้าหวังเพียงแค่เงินงอกออกมาเล็กๆน้อยๆ  ชีวิตมันก็ไม่เปลี่ยนสิครับ

     สืบเนื่องจากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้  ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นมาตลอด  คนที่เข้าตลาดรวยกันแทบทุกคน  และจากข่าวที่กระพือขึ้นมาเกี่ยวกับเซียนคนนั้น  นักลงทุนคนนี้ “รวย” ขึ้นมาจากหุ้น  ร้อยล้านบ้างพันล้านบ้าง  ทำเอาบรรดาคนอยากรวยเร็วตีตั๋วเข้าตลาดกันชุลมุน  ผมไม่ได้ตำหนิคนเหล่านี้นะครับ  เพราะผมก็เป็นคนหนึ่งที่อยากรวย  และจากการที่ผมทำผลตอบแทนได้ดีเกินไป  ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของผมดีขึ้นมาก  จากที่ผมมีเงินเก็บแค่หลักหมื่น  กลายเป็นหลายแสนขึ้นมา (ถ้าผมไม่ได้เอาเงินส่วนหนึ่งมาซื้อบ้าน  ตอนนี้ผมก็มีเป็นล้านแล้ว)  เพราะช่วงที่ผ่านมา  ผมสร้างผลตอบแทนได้ถึงยี่สิบเท่า  อะไรก็ตามในอดีตที่ผมปฏิเสธมันจากคำว่า “แพง”  ตอนนี้ผมเริ่มได้สัมผัสมันเช่น  รองเท้าแตะคล๊อกคู่ละสองพัน  ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมใช้คู่ละร้อยกว่า  กินฮอทพอทมื้อละสามร้อย  ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็หมูกระทะร้อยกว่า  ซื้อมือถือเครื่องละหมื่นห้า  ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมจะใช้ไม่เกินหกพัน  ฯลฯ  เมื่อผมได้สัมผัสกับประสบการณ์อยากกินได้กิน  อยากใช้ได้ใช้  มันเลยทำให้ผมรู้ว่า  การเป็นคนรวยนี่มันดีจริงๆด้วย  นี่ถ้าต้นทุนชีวิตของผมดีกว่านี้ (มีเงินลงทุนเริ่มต้นเยอะ)  ผมคงสบายไปทั้งชาติแล้ว  แต่ในเมื่อชีวิตเรามันได้แค่นี้  มันก็ต้องลงทุนกันต่อไป  สำหรับวันนี้ผมก็มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาฝากกันเช่นเคยครับ

     ไม่ขายไม่ขาดทุน  ใช่...แม่นแท้เหลา  เพราะมันเป็นแค่เพียงการขาดทุนทางตัวเลขเท่านั้น  คุณจะยังไม่ขาดทุนจริงถ้าคุณยังไม่ได้ขาย  แต่ประเด็นคือว่า  มันจะกลับมามั๊ย  และมันจะกลับมาเมื่อไหร่  สิ่งที่จะตอบคำถามเหล่านี้ได้ก็คือ  บริษัทจะทำกำไรได้ดีขึ้นมั๊ย  เพราะผมมีความเชื่อว่า  เจ้ามือที่แท้จริงของหุ้นก็คือกำไรและเงินปันผลของบริษัท  ส่วนเจ้ามือที่คอยปั่นหุ้นนั้น  ถ้าหุ้นมันเน่าแต่ขึ้นได้  ไม่นานมันก็ลง  เพราะไม่มีใครอยากได้มันจริงไง  ที่มันขึ้นได้ในช่วงแรกก็เป็นเพราะว่า  ทุกคน “อยากกำไร”  และเจ้ามือพาเหาะ  แต่พอถึงเวลาเจ้ามือทิ้งหุ้นขึ้นมา  คนนั้นก็ทิ้งคนนี้ก็ทิ้ง  ตัวเองก็คงจะทิ้งเหมือนกัน  และอย่าลืมข้อสำคัญสำหรับบทนี้ก็คือ  ไม่ขายก็ไม่กำไรเหมือนกันนะจ๊ะ

     หุ้นดีแต่ทำไม...  ข้อนี้ทำให้ผมอึดอัดมากเลย  เพราะผมก็เคยเป็น  หุ้นที่ผมมองว่าทุกอย่างดีหมด  อนาคตชัดเจน  ไร้คู่แข่ง  มีเงินปันผล  แต่หุ้นกลับนิ่งสนิท  ถ้าถามทุกคนว่าชอบหุ้นแบบไหน  ระหว่างหุ้นดีไม่มีเจ๊งแต่ไม่วิ่ง  กับหุ้นธรรมดาแต่ราคาพุ่งกระฉูด  ผมเชื่อว่าหลายคนชอบอย่างหลัง  เพราะเงินลงทุนมันโตเร็วดีไง  เมื่อผมลองมาวิเคราะห์จริงจังว่าหุ้นดีแต่ทำไมไม่วิ่ง  คำตอบที่ได้ก็คือค่าพีอีมันสูงไปนิด  เนื่องจากทุกคนคาดหวังว่ากำไรมันจะโตขึ้น  ค่าพีอีของหุ้นมันก็เลยสูง  และเมื่อบริษัทโตได้จริง  แต่การโตนั้นนักลงทุนมองว่ามันจะค่อยๆโตเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยลงเมื่อถึงปีถัดไป  ค่าพีอีของหุ้นมันก็จะลดลงมาจนอยู่ในระดับเหมาะสมกับตัวมันเช่น  หุ้นที่เคยโตสี่สิบเปอร์เซ็นต์  ตลาดอาจจะให้พีอีสี่สิบ  พอถัดมาการเติบโตเหลือสามสิบเปอร์เซ็นต์  ค่าพีอีมันก็อยู่ที่สามสิบ  เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วราคามันก็เลยไม่ไปไหนซักที  เรื่องนี้ทำเอาผมถึงกับเงิบเลย  และสำหรับบริษัทธรรมดาบ้านๆ  ค่าพีอีมันมักจะไม่สูงอยู่แล้ว  และถ้าได้เงินปันผล  มันก็จะได้เป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงเมื่อเทียบกับเงินลงทุน  และเวลาที่หุ้นพวกนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น  ค่าพีอีจะเป็นตัวส่งอย่างแรงทำให้หุ้นพุ่งขึ้นเช่น  หุ้นตัวหนึ่งทำกำไรได้  1  บาทต่อหุ้น  พีอี  10  เท่า ราคาหุ้นจะต้องเป็นประมาณ  10  บาท (เอาหนึ่งบาทคูณด้วยสิบ)  แต่พอบริษัทดีขึ้นมาโดยโตได้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์  กำไรต่อหุ้นของบริษัทนี้จะเป็น  1.20  บาทต่อหุ้น  และถ้าตลาดปรับค่าพีอีให้มันใหม่เป็น  20  เท่าตามการเติบโต  ราคาหุ้นที่ควรจะเป็นก็คือ  1.20  คูณด้วย  20  ราคาหุ้นที่ได้คือ  24  บาท  เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว  คนที่ไม่ได้มีหุ้นนี้อย่างผมถึงกับร้องไห้หนักมาก  แต่ผมก็ไม่ได้บอกนะว่า  หุ้นที่มีพีอีต่ำควรค่าแก่การลงทุนทุกตัว  แต่อย่างไรเสีย  มันก็ยังดีกว่าหุ้นที่มีพีอีสูง  เพราะเมื่อใดก็ตามที่การเติบโตของหุ้นพีอีสูงไม่เป็นไปดังที่ตลาดหวัง  เมื่อนั้นการประเมินค่าพีอีใหม่ก็จะเริ่มขึ้น  ซึ่งจากประสบการณ์ของผมที่ผ่านมา  หุ้นดีเหมือนม้าแกร่ง  แต่มันจะวิ่งได้ช้าถ้าต้องลากเกวียน (ค่าพีอี) ที่หนักอึ้ง  และถ้าม้าตัวนั้นเริ่มจะหมดแรงตอนลากเกวียนขึ้นเขา  เกวียนนั้นก็จะกลับกลายมาเป็นผู้ลากม้าให้ถอยหลังลงมา  หุ้นที่ดีในสายตาของผมก็คือ  “โตดี  พีอีน้อย”  ยิ่งถ้ามีจำนวนหุ้นหมุนเวียนน้อยนี่  ได้ใจป๋าไปเต็มๆ  เพราะมันจะขึ้นง่ายมาก  ถ้าเราเจอหุ้นประเภทนี้  ก็ควรจะถือไว้นานๆ  เพราะเมื่อถึงจังหวะหนึ่ง  มันก็จะพุ่งขึ้นจากการประเมินใหม่ของตลาด  และผสมโรงกับฝูงชนที่แตกตื่นหื่นกระหายความรวยแห่กันเข้ามาช่วยซื้อ  และเมื่อมาถึงเวลานั้น  ไม่ขายก็ไม่กำไรนะจ๊ะ...ขอบอก  บางทีหุ้นนั้นมันอาจจะเปลี่ยนชีวิตคุณได้เลย  แต่อย่าให้มันเปลี่ยนดังเช่นเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ก็แล้วกัน

     เพื่อนเก่าสองคนไม่ได้พบกันมานานมาก  บังเอิญมาเจอกันที่ลานจอดรถของห้างแห่งหนึ่ง
1 : เฮ้ยเพื่อน !  เดี๋ยวนี้ไปทำมาหากินอะไรวะ
2 : เล่นหุ้นอยู่น่ะ
1 : เป็นไงบ้าง  ดีป่ะ
2 : (อึดอัดนิดหน่อยแล้วบอกว่า) แกเห็นดูคาติที่จอดอยู่ตรงนั้นมั๊ย  รถชั้นเองล่ะ
1 : โห...เล่นหุ้นมันดีขนาดนี้เลยเหรอวะ
2 : (ตอบเสียงอ่อยๆ)  แต่เมื่อก่อนมันป็นเบนซ์นะ...


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: golfza ที่ วันที่ 25 เมษายน 2015, 14:41:28
ผมอยากเล่นหุ้นครับ แต่มีความรู้ไม่มาก ครับ

แนะนำแนวทางและวิธีการลงทุนหน่อยได้ไหมครับ

     แนะนำให้เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นก่อนเลยครับ  ความรู้ค่อยมาหาทีหลังได้  ถ้าเปิดได้แล้วค่อยคุยกันอีกทีครับ  เพราะช่วงนี้รู้สึกข้อจำกัดเยอะ  เริ่มเปิดยากแล้ว

สามารถเปิดได้ที่ไหนครับ ถ้าเป็นธนาคาร ควรจะเปิด ธนาคารอะไร ดีครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 26 เมษายน 2015, 03:46:39
บริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์ ที่มีสาขาอยู่ในจังหวัดเชียงราย

มีดังนี้

1. บริษัทหลักทรัพย์ คันทรีกรุ๊ป ตรงข้ามทวียนต์
    591/5-7 ถ.พหลโยธิน ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย 57000   
    โทร: 0-5360-0828-32
    www.cgsec.co.th (http://www.cgsec.co.th)     /  www.cgsec.co.th/etrade (http://www.cgsec.co.th/etrade)

2. บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส บนธนาคารกรุงเทพ ห้าแยก
    เลขที่ 866/18 ชั้น 3 อาคารธนาคารกรุงเทพ สาขาห้าแยกพ่อขุนเม็งราย
    ถ.ทางหลวงหมายเลข 1 ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย 57000
    โทรศัพท์: 0-5360-0788, 0-5374-2851  โทรสาร: 0-5371-9575
    ผู้จัดการสาขา: คุณวิภาดา วิศาลวรรธนะ
    e-mail: wiphada@asiaplus.co.th  
    www.asiaplus.co.th (http://www.asiaplus.co.th)

3. บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ หลัง รร.ดำรงค์
    ผู้จัดการสาขา : คุณกำไลทิพย์ ศิริธรรมขันติ์
    490/1 ถนนอุตรกิจ ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย 57000
    โทรศัพท์ : (053) 740701-7
    โทรสาร : (053) 600973, (053) 740704
    http://www.kgieworld.co.th (http://www.kgieworld.co.th)

4. บริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ บนธนาคารนครหลวงไทย ติดสหทวีกิจ ห้าแยก
    836/21 ถ.พหลโยธิน ต.เวียง อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย 57000
    โทรศัพท์. 0-5374-8560  โทรสาร. 0-5374-8561
    http://www.thanachartsec.co.th (http://www.thanachartsec.co.th)

5. บริษัทหลักทรัพย์ซีมิโก บนธนาคารกรุงไทย ติดกับ รร.สันติ
    116/19 หมู่ 19 ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 110
    ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จ.เชียงราย 57000
    โทรศัพท์: (053) 748-157  โทรสาร: (053) 748-539
    http://www.ktzmico.com (http://www.ktzmico.com)

6. บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) สาขาเชียงราย
     ที่ตั้ง ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาเชียงราย
     231-232 ถนนธนาลัย ตำบลเวียง
     อำเภอเมือง จัหวัดเชียงราย 57000
     โทรศัพท์ : (053) 716-489   โทรสาร : (053) 716-490
     http://www.ays.co.th/th.

7.   บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย (สาขาเชียงราย)
      สถานที่ตั้ง ธนาคารกสิกรไทยสาขาเชียงราย ( หอนาฬิกา)
      บริเวณห้องโถงทำการธนาคาร ชั้น 1 เปิดให้ในวันจันทร์-ศุกร์
      ติดต่อได้ตั้งแต่เวลา 8.30 น. - 16.30 น. ครับ


โบรกเกอร์อื่นๆ
http://www.settrade.com/brokerpage/IPO/StaticPage/OpenAccount/compare_member.html



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: พิมพ์พลอย ที่ วันที่ 05 มิถุนายน 2015, 21:58:14
ขอบคุณมากค่ะคุณวายุ อ่านวันละหน้าเลยดีเดียวยาวมากๆ แต่ได้ความรู้มากๆค่ะ
เมื่อก่อนทำงานกทมค่ะ เดี่ยวนี้กลับมาดูแลแม่กับพ่อค่ะ
เล่นหุ้นอยู่แต่ยังไม่เก่ง พอได้ค่ายารักษาแม่ค่ะ



หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: jorj ที่ วันที่ 08 มิถุนายน 2015, 20:23:17
ชอบกระทู้นี้นะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: สวนเห็ดกรรณิการ์ ที่ วันที่ 22 มิถุนายน 2015, 18:08:03
กำลังศึกษาแต่รู้สึกยิ่งศึกษายิ่งเหมือนไม่รู้อะไรเยอะแยะไปหมดเลยคะ.


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 24 มิถุนายน 2015, 02:31:39
กำลังศึกษาแต่รู้สึกยิ่งศึกษายิ่งเหมือนไม่รู้อะไรเยอะแยะไปหมดเลยคะ.

     ผมเข้าใจว่า คุณอยากจะเริ่มต้น แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี คำแนะนำง่ายๆจากผมนะครับ เราอย่าเพิ่งมองราคาหุ้น ให้เรามองที่ธุรกิจก่อนว่า เราสนใจธุรกิจอะไร แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยมาดูว่า บริษัทไหนที่ทำธุรกิจนั้นเก่ง เราก็คัดออกมา หลังจากนั้น เราก็มาตรวจดูที่งบการเงินว่าใครทำกำไรดีกว่ากัน เอาแค่นี้ก่อนนะครับ ถ้าคุณหาหุ้นตัวนั้นเจอแล้ว เดี๋ยวเราค่อยมาลงลึกในรายละเอียดให้มากกว่านี้


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 21 สิงหาคม 2015, 04:17:08
     วิกฤตและโอกาสกำลังจะมานะครับ อันนี้มันก็แล้วแต่ตัวเราว่า  เลือกที่จะอยู่ฝั่งไหน สารภาพเลยครับว่าผมออกจากตลาดหุ้นมาได้ประมาณครึ่งเดือนแล้ว สาเหตุเพราะว่าผมหาหุ้นพื้นฐานดีพีอีต่ำและเงินปันผลสูงเมื่อเทียบกับเงินลงทุนของผมไม่ได้  อย่างหุ้น AOT ผมชอบมาก อยากเป็นเจ้าของ แต่หุ้นราคาสามร้อย พีอีสามสิบ และปันผลไม่ถึงสองเปอร์เซ็นต์  มันทำให้ผมทำใจซื้อได้ยากครับ ผมก็เลยเลือกที่จะอยู่เฉยๆ  ซึ่งตอนแรกผมก็มองหาการลงทุนแบบอื่นอยู่  แต่ก็ยังหาไม่ได้  แต่เวลาผ่านมาไม่นาน  ตลาดหุ้นก็มาพังลงอย่างที่เห็น  และในขณะที่ผมกำลังพิมพ์อยู่นี้  ดาวโจนส์หลุดหมื่นเจ็ดพันจุดลงมา  และสิ่งที่ทำให้ผมได้เห็นอีกอย่างก็คือ ช่วงวันที่ 18 ส.ค.  ที่ผ่านมา  กองทุนขายหมื่นกว่าล้าน  และก่อนหน้านั้น  ฝรั่งช๊อต  tfex  หมื่นกว่าสัญญาในวันเดียว  ซึ่งสิ่งที่ผมเห็นมันทำให้ผมมั่นใจว่าอีกไม่นานวิกฤตและโอกาสในตลาดหุ้นจะหวลมาอีกครั้ง  และผมเลือกที่จะทำให้มันเป็นโอกาสสำหรับผมครับ ผมกำลังถือเงินสดรอ  100%  เลยนะครับ เพราะในอดีตของผมที่ผ่านมา  เมื่อตลาดเป็นขาลง  หุ้นมันจะลงกันหมด  ไม่ว่าหุ้นดีหรือไม่ดี  สำหรับใครที่ยังติดหุ้นอยู่  ผมไม่แนะนำให้ถัวนะครับ  ถ้าเป็นไปได้ก็ยอมขายขาดทุนออกมาเลย  ยอมเจ็บตอนนี้  ดีกว่าจะเจ็บมากกว่านี้  ตราบใดที่เรายังติดตามตลาดหุ้นอยู่  สักวันเมื่อมันกลับมาเป็นขาขึ้น  แล้วถึงตอนนั้น  ผมจะมาบอกอีกทีนะครับ  แล้วเราจะรวยไปด้วยกัน

หมายเหตุ  เรื่องการทำนายตลาดหุ้นว่าจะลงเป็นความเห็นส่วนตัว  ท่านไม่ต้องเชื่อผมก็ได้

หมายเหตุ  เรื่องคำแนะนำให้ขายหุ้นขาดทุน  ก็เป็นความเห็นส่วนตัวอีกเหมือนกัน  ผมมิกล้าฟันธง  ถ้าท่านขายและหุ้นเด้งกลับกรุณาอย่าโทษเค้านะตัวเอง  เพราะถ้าท่านรวยจากคำแนะนำของผม  ท่านก็คงไม่มาแจกเงินให้ผมหรอก  จริงมั้ย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: โอ๊ตคุง ที่ วันที่ 24 สิงหาคม 2015, 15:08:38
ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่มาแบ่งปันนะครับผมชอบมาก ส่วนตัวเป็นคนชอบอ่านหนังสือแนวพัฒนาตัวเองอยู่แล้วครับหนังสือหุ้นก็มีบ้าง3-4เล่ม เรื่องหุ้นจะเล่นแน่นอนครับ แต่ขอดูกระแสเงินของตัวเองอีกหน่อยเพราะผมเพิ่งเปิดร้านตัวผม(ซาลอน)กำลังเข้าเดือนที่2อยู่ข้างๆซีพีเฟสมาร์คเด่นห้า(แอบโฆษณา) ก่อนอื่นต้องเปิดบัญชี แล้วก็เลิกหุ้น(ไว้จะถามนะครับ)ส่วนตัวเป็นคนกล้าได้กล้าเสียครับ ตอนนี้สถานการณ์หุ้นบ้านเราไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ผมว่ามันดีสำหรับมือใหม่และทุนน้อยแบบผม ยังไงก็จะเข้ามาติดตามอ่านข้อมูลและเรื่องราวดีๆครับขอบคุณมากครับ แล้วเราจะใช้เงินทำงานให้คุ้มค่าไปด้วยกัน


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: สวนเห็ดกรรณิการ์ ที่ วันที่ 27 กันยายน 2015, 20:24:55
กำลังศึกษาแต่รู้สึกยิ่งศึกษายิ่งเหมือนไม่รู้อะไรเยอะแยะไปหมดเลยคะ.

     ผมเข้าใจว่า คุณอยากจะเริ่มต้น แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี คำแนะนำง่ายๆจากผมนะครับ เราอย่าเพิ่งมองราคาหุ้น ให้เรามองที่ธุรกิจก่อนว่า เราสนใจธุรกิจอะไร แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยมาดูว่า บริษัทไหนที่ทำธุรกิจนั้นเก่ง เราก็คัดออกมา หลังจากนั้น เราก็มาตรวจดูที่งบการเงินว่าใครทำกำไรดีกว่ากัน เอาแค่นี้ก่อนนะครับ ถ้าคุณหาหุ้นตัวนั้นเจอแล้ว เดี๋ยวเราค่อยมาลงลึกในรายละเอียดให้มากกว่านี้

ขอบคุณคำแนะนำคะ.เลือกมาล่ะเริ่มดูงบการเงินแบบงูๆปลาๆชักสงสัยว่าตัวเองจะต้องเป็นเม่าก่อนจะเล่นเป็นเสียแล้วมั้งคะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 03 ตุลาคม 2015, 07:44:32
กำลังศึกษาแต่รู้สึกยิ่งศึกษายิ่งเหมือนไม่รู้อะไรเยอะแยะไปหมดเลยคะ.

     ผมเข้าใจว่า คุณอยากจะเริ่มต้น แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี คำแนะนำง่ายๆจากผมนะครับ เราอย่าเพิ่งมองราคาหุ้น ให้เรามองที่ธุรกิจก่อนว่า เราสนใจธุรกิจอะไร แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยมาดูว่า บริษัทไหนที่ทำธุรกิจนั้นเก่ง เราก็คัดออกมา หลังจากนั้น เราก็มาตรวจดูที่งบการเงินว่าใครทำกำไรดีกว่ากัน เอาแค่นี้ก่อนนะครับ ถ้าคุณหาหุ้นตัวนั้นเจอแล้ว เดี๋ยวเราค่อยมาลงลึกในรายละเอียดให้มากกว่านี้

ขอบคุณคำแนะนำคะ.เลือกมาล่ะเริ่มดูงบการเงินแบบงูๆปลาๆชักสงสัยว่าตัวเองจะต้องเป็นเม่าก่อนจะเล่นเป็นเสียแล้วมั้งคะ

http://m.pantip.com/topic/33784056?

ผมว่าอันนี้เข้าใจง่ายดีนะ ลองศึกษาดูนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: สวนเห็ดกรรณิการ์ ที่ วันที่ 05 ตุลาคม 2015, 21:50:06
ขอบคุณคะ.เข้าใจง่ายขึ้นจริงๆ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 08 ตุลาคม 2015, 21:09:22
     ช่วงนี้รู้สึกฝรั่งจะเริ่มซื้อหุ้นละ  แล้วก็ลองทีเฟกเยอะมาก  ประกอบกับใกล้ฤดูปันผลด้วย  ใครอยากลุ้นก็เข้าตลาดนะครับ  เพราะผมก็เริ่มซื้อหุ้นแล้วเหมือนกัน

หมายเหตุ  ไม่ต้องเชื่อผมก็ได้  เพราะจะได้จะเสียก็เงินของท่านครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: สวนเห็ดกรรณิการ์ ที่ วันที่ 09 ตุลาคม 2015, 20:17:45
ส่วนใหญ่ฝรั่งเข้าซื้อหุ้นแบบไหนคะ.ถ้าตัวไหนฝรั่งเข้าซื้อราคาก็จะสูงแต่ถ้าตัวไหนขายทิ้งราคาก็จะต่ำเข้าใจถูกต้องไหมคะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 ตุลาคม 2015, 20:51:32
ส่วนใหญ่ฝรั่งเข้าซื้อหุ้นแบบไหนคะ.ถ้าตัวไหนฝรั่งเข้าซื้อราคาก็จะสูงแต่ถ้าตัวไหนขายทิ้งราคาก็จะต่ำเข้าใจถูกต้องไหมคะ

     หุ้นที่ฝรั่งเข้าจะเป็นหุ้นที่มีมูลค่าทางตลาดสูง(เนื่องจากเงินลงทุนมีเยอะ)  และมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง(สามารถเปลี่ยนกลับเป็นเงินได้ง่าย)  เช่น SCC PTT PTTEP KBANK SCB AOT INTUCH ADVANC ประมาณนี้น่ะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: สวนเห็ดกรรณิการ์ ที่ วันที่ 11 ตุลาคม 2015, 21:48:13
โห.ตัวใหญ่ๆทั้งนั้นเลยคะ คงต้องเรียนรู้อีกเยอะบ้านเราไม่มีใครเปิดอบรมเลยนะคะ
มีแต่ใน กทม.ทั้งนั้นเลยคะ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 12 ตุลาคม 2015, 04:25:35
 :Pอันนี้ตอนแรกผมจะตั้งไลน์กลุ่มขึ้นมาพูดคุยเกี่ยวกับหุ้น แต่วันนี้มีข่าวว่าตั้งไลน์กลุ่มบอกหุ้นแล้วโดนปรับ งั้นผมคงต้องเลิกแล้วนะครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: สวนเห็ดกรรณิการ์ ที่ วันที่ 15 ตุลาคม 2015, 20:57:00
:Pอันนี้ตอนแรกผมจะตั้งไลน์กลุ่มขึ้นมาพูดคุยเกี่ยวกับหุ้น แต่วันนี้มีข่าวว่าตั้งไลน์กลุ่มบอกหุ้นแล้วโดนปรับ งั้นผมคงต้องเลิกแล้วนะครับ

น่าเสียดายจัง.เปิดเมื่อไหร่ขอเข้าร่วมด้วยคนนะคะ ช่วงนี้ดัชนีสูง
น่าลงทุนไหมเพราะหุ้นแต่ละตัวราคาขึ้นแทบทั้งนั้นคะถ้าเราซื้อตอนนี้
จะเป็นช่วงเข้าที่ถูกจังหวะอย่างที่เขาว่ากันไหม.


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 16 มิถุนายน 2016, 18:41:35
ส่วนใหญ่ฝรั่งเข้าซื้อหุ้นแบบไหนคะ.ถ้าตัวไหนฝรั่งเข้าซื้อราคาก็จะสูงแต่ถ้าตัวไหนขายทิ้งราคาก็จะต่ำเข้าใจถูกต้องไหมคะ

 หุ้นฝรั่งและกองทุนคือหุ้นในกลุ่ม SET50 / SET100 / SETHD ครับ แต่ก็มีหุ้นเล็กๆ ในตลาดโดยรวมทั้ง SET และ MAI

แล้วแต่ว่าพวกเขามีนโยบายการลงทุนแบบไหน รวมทั้งเงินทุนระยะสั้น - ยาว ถ้าพิเคราะห์เรื่องผลตอบแทนแล้วเขาก็ซื้อ  ;) ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 08 กรกฎาคม 2016, 19:58:51
     GL ครับ ใครเชื่อผมก็ซื้อ ใครไม่มั่นใจก็อย่าไปยุ่งครับ ตอนนี้ผมเล่นในมือถือ คงพิมพ์อะไรได้ไม่สะดวก แค่มาบอกชื่อหุ้นและให้ไปศึกษาตัวหุ้นต่อเอา ผมมองราคาตัวนี้ว่า จะไปถึง 40 บาทภายในสองปี ใครเป็นเงินร้อนและใจไม่เย็นพอที่จะเห็นหุ้นสวิงก็อย่าเข้านะครับ ถ้ามีเวลามากพอ ผมจะมาลงบอกว่า ทำไมผมจึงมองว่าหุ้นตัวนี้ดี แต่ถ้าเสีย ก็อย่าโทษกันนะ เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 09 กรกฎาคม 2016, 05:26:49
ปล.ผมมีหุ้นนะครับ
     จั่วหัวก็ต้องบอกกล่าวกันไว้ก่อนเลยว่าผมมีหุ้น  บางคนอาจจะคิดว่าผมมาเชียร์หุ้นตัวเอง  อันนี้ก็แล้วแต่ความคิดท่านเถอะครับ  เพราะถ้าหุ้นมันไม่ดี  ผมคงไม่เอาเงินตัวเองเข้าไปเสี่ยงหรอก  และถ้าใครได้อ่านบทความของผมมาเยอะ  คงจะพอรู้ว่าผมเล่นหุ้นประเภทพื้นฐานดี  ซื้อแล้วถือยาว  และหุ้นที่ผมพูดถึง  ก็ไม่ได้มีมาให้กันบ่อยๆเป็นรายวัน  เอาล่ะ...เรามาบรรเลงกันเลยดีกว่า

พื้นฐาน
     บริษัทนี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับการปล่อยเงินกู้  หลักๆแล้วมาจากปล่อยให้มอ’ไซค์ใหม่  จริงๆแล้วโดยส่วนตัวผมชอบธุรกิจแบบนี้นะ  เพราะไม่ต้องเหนื่อยอะไรมาก  แค่หาลูกค้าได้  เราก็นอนกินดอกไปได้ตั้งหลายปี  ซึ่งหุ้น  GL  ที่ผมแนะนำนี้  มีรายได้หลักๆมาจาก  2  ประเทศคือไทยกับกัมพูชา  แต่ดูแนวโน้มว่าในอนาคต  รายได้จากกัมพูชาจะมากกว่า  เพราะประเทศกำลังพัฒนา  รายได้ของประชากรกำลังเพิ่มขึ้น  ความต้องการมอ’ไซค์ใหม่มีมากกว่าไทย  ที่ตอนนี้กำลังอิ่มตัวเพราะมีมอ’ไซค์ใช้กันเยอะแล้ว  แต่สิ่งที่ทำให้ผมสะดุดกับหุ้นตัวนี้คือ  บริษัทบอกว่า  ได้สิทธิ์ในการปล่อยกู้มอ’ไซค์ยี่ห้อ  HONDA  แต่เพียงผู้เดียวในกัมพูชา (แต่ผมจำไม่ได้ว่ากี่ปี)  การผูกขาดว่ายอดเยี่ยมแล้ว  แต่กลยุทธ์ในการเติบโตนั้นยอดเยี่ยมกว่า

     ผมสังเกตว่า  บริษัทปล่อยเงินกู้ที่ไหนก็ช่าง  มักจะมีรูปแบบการทำธุรกิจคล้ายๆกันก็คือ  เช่าตึกหรือสร้างออฟฟิศขึ้นมาแล้วเอาพนักงานเข้าไปนั่งเช่นเมืองไทยลิสซิ่ง  ศรีสวัสดิ์  นิ่มซี่เส็ง  ฯลฯ  แต่สำหรับ  GL  ต่างออกไป  บริษัทเล่นส่งคนของตัวเองเข้าไปนั่งในร้านขายรถของ  HONDA  แต่ละแห่งในกัมพูชาเลย  ซึ่งนั่น...เป็นการประหยัดต้นทุนที่ยอดเยี่ยมมาก  เพราะไม่ต้องไปเช่าตึกและจ่ายค่าน้ำค่าไฟ  เคยมีผู้ถือหุ้นถามผู้บริหารในตอนไปประชุมผู้ถือหุ้นว่า  เราจะสามารถตั้ง “สาขา” เพิ่มได้อีกกี่ที่  ผู้บริหารตอบว่า  เราไม่เรียกว่าสาขา  เพราะเราไม่มีสาขา  แต่เราเรียกว่า “จุดบริการ”  ซึ่งเราสามารถเพิ่มได้อีกประมาณ 10 เท่า ซึ่งนี่...ทำให้ผมเห็นอนาคตว่าบริษัทจะโตได้อย่างไร  และเท่านั้นยังไม่พอ  GL  ยังใช้ประโยชน์จากอินเตอร์เนตในการปล่อยกู้ด้วย  ซึ่งบริษัทให้คำจำกัดความในการทำธุรกิจรูปแบบนี้ว่า  Digital Finance  และนี่มันก็ทำให้ผมเห็นว่า  บริษัทให้ความสำคัญกับการเติบโตโดยคำนึงถึงต้นทุนเป็นหลักอีกด้วย  จากประสบการณ์จริงในการเคยค้าขายของผม  ถ้าสินค้าเหมือนกันเช่นข้าวมันไก่  คนที่เช่าตึกขายกับคนที่ขายข้างทาง  ถ้าขายราคาเท่ากัน  คนที่ขายข้างทางจะกำไรเยอะกว่า  และถ้าคนที่ขายข้างทางต้องการจะบี้คนที่เช่าตึกจริงๆ  เขาสามารถลดราคาขายลงมาได้และยังมีกำไร  ในขณะที่คนเช่าตึกจะขายที่ราคานั้นไม่ได้เพราะจะขาดทุนจากต้นทุนที่สูงกว่าจากการเช่าตึก

     และการเติบโตของบริษัทไม่ได้หยุดอยู่ที่สองประเทศ  ตอนนี้บริษัทได้รุกเข้าไปในลาวและใช้รูปแบบการดำเนินงานในแบบเดียวกัน  และในอนาคตอันใกล้นี้  ก็ร่วมมือกับพันธมิตรในการเข้าไปในอินโดนีเซีย  และก็มีแผนจะขยายธุรกิจไปเวียดนาม  พม่า  มาเลเซีย  และในขณะนี้บริษัทก็ไม่ได้ปล่อยกู้เฉพาะมอ’ไซค์เท่านั้น  บริษัทยังมีการปล่อยกู้อย่างอื่นอีกเช่น  เครื่องจักรการเกษตร  แผงโซล่าเซลล์  เครื่องใช้ไฟฟ้า  ซึ่งผู้บริหารของ  GL  ได้มีการศึกษาในการเข้าไปในประเทศต่างๆเป็นอย่างดีว่า  ถ้าไปเวียดนามก็ต้องระวังเรื่องค่าเงิน  ถ้าไปพม่า  หากลูกค้าเบี้ยวหนี้  บริษัทไม่สามารถยึดรถมาได้  ต้องผ่านกระบวนการศาลเพียงอย่างเดียว  และศาลมักจะเข้าข้างลูกค้า  ถ้าไปอินโด  ก็จะไม่ปล่อยกู้มอ’ไซค์  เพราะมีการแข่งขันรุนแรง  ทำให้มีกำไรน้อย  ฯลฯ  และการเติบโตของบริษัทอีกรูปแบบหนึ่งมาจาก  การซื้อกิจการ  ยกตัวอย่างในประเทศไทยก็ซื้อบริษัทธนบรรณ  ผมจำได้ลางๆว่า  สมัยก่อน  ผมมักจะเห็นพนักงานเก็บค่างวดมอ’ไซค์มีปักด้านหลังเสื้อ  ถ้าไม่ฐิติกรก็ธนบรรณนี่แหละที่ผมเห็นบ่อยสุด  และตอนนี้  ธนบรรณก็โดน  GL  ซื้อเรียบร้อยแล้ว  และ  GL  ก็ยังมองหาบริษัทที่ดีในประเทศอื่นๆอยู่

ราคาหุ้น  40  บาทมาจากไหน?
     เรื่องนี้ยอมรับตรงๆเลยว่าผมวัดใจกับบริษัท  เพราะเมื่อไม่นานมานี้  บริษัทได้แจกวอร์โดยมีข้อกำหนดว่า  1  วอร์  สามารถเปลี่ยนเป็นหุ้นสามัญได้  1  หุ้นโดยมีราคาใช้สิทธิ์เพื่อเปลี่ยนวอร์เป็นหุ้นสามัญในราคา  40  บาท  โดยมีระยะเวลาการทำรายการดังกล่าวภายใน  2  ปี  ดังนั้น...คนที่ถือวอร์จะไม่มีทางเพิ่มเงินให้บริษัท  40  บาทแน่ถ้าหุ้นสามัญมีราคาไม่ถึง  40  บาท  และเมื่อดูทรงแล้ว  บริษัทมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด  และจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อการเติบโตที่รวดเร็วนี้  ถ้าบริษัทต้องการเงินจากผู้ถือวอร์ให้มาแปลงเป็นหุ้นสามัญ  บริษัทต้องมีการทำอะไรสักอย่างกับราคาหุ้น (ผมว่าพวกคุณก็คงเดาออกใช่ไหมว่าบริษัทจะทำอย่างไร)  ซึ่งสิ่งที่ผมกล่าวถึงที่  40  บาทภายใน 2  ปี  มันก็มีความเป็นไปได้  และถ้าบริษัทต้องการเงินเร็วกว่านั้น  ราคาหุ้นอาจจะวิ่งขึ้นมาที่  40  บาทก่อนเวลา  2  ปี

     เมื่อวันที่  8 / 7 /2016  บริษัทเจอข่าวร้ายเกี่ยวกับการที่ สคบ.เข้ามายุ่งเกี่ยวกับค่าปรับดอกเบี้ยของผู้ให้กู้มอ’ไซค์  เรื่องนี้ถือว่าเป็นข่าวลบ  ซึ่งมันก็เป็นผลทำให้หุ้นที่อยู่ในธุรกิจนี้ร่วงยกแผง  แต่...ถ้าคุณรู้ไส้ในของ  GL  คุณก็จะไม่ตกใจ  เพราะในตอนประชุมผู้ถือหุ้น  มีคนถามผู้บริหารว่า  ในอีก  5  ปีข้างหน้า  พอร์ทสินเชื่อของบริษัทจะเป็นอย่างไร  ผู้บริหารตอบว่า  ในอีก  5  ปีข้างหน้า  รายได้จากประเทศไทยจะมีประมาณ 5%  ส่วนอีก  95%  จะมาจากต่างประเทศ !!!  เพราะฉะนั้น  การที่ สคบ. เข้ามาเผือก  ไม่ว่ามันจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ  พอร์ทสินเชื่อของบริษัทจะมีรายได้หลักจากต่างประเทศ  เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้วจะรออะไร  ซื้อสิครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 13 กรกฎาคม 2016, 00:46:07
     ต้องขออภัย FC ของผมเป็นอย่างสูงด้วยนะครับ  ที่ผมประเมินหุ้น  GL  ผิดพลาดไปมากทีเดียว  จากตอนแรกที่ให้ราคาว่าจะถึง  40  บาทใน  2  ปี  แต่นี่แค่  2  วันเท่านั้น !!!  ก็ขอแสดงความยินดีกับคนที่โดดขึ้นรถมาด้วยนะครับ...เอ้ายาวปายยย  ใครได้เยอะแล้วอยากเลี้ยงข้าวผมสักมื้อก็ติดต่อมาได้นะครับ  ผมยินดีกินเต็มที่เลย


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: janja ที่ วันที่ 12 กันยายน 2016, 08:31:40
สอบถามครับ กองทุนรวมต่างๆที่มีอยู่ตอนนี้มีค่าตอบแทนอะไร ยังงัยบ้าง แอบสนใจครับ อยากทราบรายละเอียดของกองทุนรวมด้วยอะครับ ขอคำปรึกษาหน่อยครับ ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 12 กันยายน 2016, 22:17:13
สอบถามครับ กองทุนรวมต่างๆที่มีอยู่ตอนนี้มีค่าตอบแทนอะไร ยังงัยบ้าง แอบสนใจครับ อยากทราบรายละเอียดของกองทุนรวมด้วยอะครับ ขอคำปรึกษาหน่อยครับ ขอบคุณครับ


คือ...ผมแนะนำให้ตั้งกระทู้ขึ้นมาใหม่เลยดีกว่านะครับ ธนาคารต่างๆจะได้เข้ามาแนะนำได้อย่างเต็มที่ เพราะเนื้อหาส่วนมากในบทความของผม จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนส่วนบุคคล ซึ่งผมไม่ได้สนใจกับการลงทุนผ่านกองทุนรวมมานานแล้ว


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: janja ที่ วันที่ 13 กันยายน 2016, 20:00:44
 
สอบถามครับ กองทุนรวมต่างๆที่มีอยู่ตอนนี้มีค่าตอบแทนอะไร ยังงัยบ้าง แอบสนใจครับ อยากทราบรายละเอียดของกองทุนรวมด้วยอะครับ ขอคำปรึกษาหน่อยครับ ขอบคุณครับ


คือ...ผมแนะนำให้ตั้งกระทู้ขึ้นมาใหม่เลยดีกว่านะครับ ธนาคารต่างๆจะได้เข้ามาแนะนำได้อย่างเต็มที่ เพราะเนื้อหาส่วนมากในบทความของผม จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนส่วนบุคคล ซึ่งผมไม่ได้สนใจกับการลงทุนผ่านกองทุนรวมมานานแล้ว
;D ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: สวนเห็ดกรรณิการ์ ที่ วันที่ 06 มีนาคม 2017, 15:09:05
กระทู้นี้ตอบกันข้ามปีเลย.. :)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: วายุ ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2017, 05:39:00
     ช่วงนี้ตลาดหุ้นดูทรงไม่ค่อยดีเลยครับ และโดยเฉพาะหุ้น GL ที่ผมเชียร์ไว้ก็มีประเด็นด้านลบ ผมก็เลยขายหุ้นทิังล้างพอร์ตไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถ้าจะให้ผมพูดตามตรง ก็คงบอกได้แค่เพียงว่า ณ ราคานี้ GL แพงมาก เพราะผมดูจากค่า PE แล้ว ตัวเลขสูงมากทีเดียว ตอนนี้ผมก็ได้แต่ดูเชิงไปก่อนว่า ราคามันจะลงมาให้ผมซื้อหรือเปล่า เพราะผมมีราคาในใจอยู่แล้ว แต่ผมคงไม่บอกราคาไว้ว่าผมมองไว้ที่เท่าไหร่ เพราะเดี๋ยวผมจะกลายเป็นคนใบ้หุ้นไปซะ ตอนนี้แค่รีบมาเตือนก่อนครับ

ปล.ไม่ต้องเชื่อผมก็ได้นะครับ เพราะในตลาดหุ้นไม่มีใครรู้จริง ถ้ามีใครรู้จริง คนนั้นก็จะรวยไปแล้ว


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: น้าวัยทองฯ ที่ วันที่ 14 มีนาคม 2017, 17:59:14
ยังไม่รวยเลยครับ ดอยอย่างเดียวครับท่านวายุ T_T (http://ยังไม่รวยเลยครับ ดอยอย่างเดียวครับท่านวายุ T_T)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: jorj ที่ วันที่ 11 เมษายน 2017, 14:36:13
 :) :)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: mali998 ที่ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2017, 13:54:41
การลงทุนมีหลายรูปแบบ แต่ขึ้นอยุ่ที่ว่าคุณจะลงทุนแบบไหน? ให้คุ้มค่า และที่สำคัญที่สุดคือ การลงทุนโดยการใช้สินทรัพย์ให้น้อยที่สุดแต่ได้ผลกำไรสูงที่สุด ซึ่งหลายคนหันมาลงทุนกับเล่นPoker (http://siampoker.com)  ก้าวเป็นนักโป๊กเกอร์มืออาชีพ (http://siampoker.com) ซึ่งมีคนไทยหลายท่านประสบความสำเร็จทางด้านโป๊กเกอร์ (http://siampoker.com) มาไม่น้อย
ซึ่งคุณเองก็ทำได้เช่นกันซึ่งในขณะนี้ไทยเรามีหลายช่องทางให้คุณได้ลองลงทุนกับการเล่นโป๊กเกอร์ (http://siampoker.com)เช่นเว็บออนไลน์โป๊กเกอร์ (http://siampoker.com)เป็นต้น
หากคุณมีเวลาสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : รักสาระ


หัวข้อ: ลบกระทู้ได้เลยค่ะ ขอบคุณค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Fabreguz ที่ วันที่ 16 ธันวาคม 2017, 16:54:47
 :)


หัวข้อ: Re: ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
เริ่มหัวข้อโดย: pokman ที่ วันที่ 20 กรกฎาคม 2019, 19:10:47
ขออนุญาตเข้ามาเก็บข้อมูลครับ ตอนนี้กำลังไล่อ่านตั้งแต่กระทู้แรกเลย