เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย

ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย => คนเชียงราย สังคมเชียงราย => ข้อความที่เริ่มโดย: boondham ที่ วันที่ 13 มกราคม 2010, 10:02:52



หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 13 มกราคม 2010, 10:02:52
ความเป็นมาในการรวบรวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและพัฒนา

เนื่องจากจังหวัดเชียงรายมีการพัฒนาเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีโครงการต่างๆเกิดขึ้นมากมาย อันเนื่องมาจากสภาพภูมิศาสตร์อันเป็นเป็นประตูการค้าที่สำคัญของประเทศในการเชื่อมโยงการค้า การขนส่ง การบริการ  และการท่องเที่ยว การดำเนินการต่างๆของโครงการภาครัฐมีมูลค่าจำนวนมากมายมหาศาล และมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต วัฒนธรรม การดำเนินชีวิต โดยเชื่อว่ามีคนไม่น้อยเช่นกันที่สนใจด้านการพัฒนา

การตั้งกระทู้นี้ เพื่อรวบรวบเป็นแหล่งความรู้ ต่างๆทั้งจากข่าว บทความ และการแสดงความคิดเห็นจากเพื่อนสมาชิก เพื่อประโยชน์จากผู้ที่สนใจค้นคว้าข้อมูล ได้เห็นภาพรวมของการพัฒนาจังหวัด ได้เห็นตัวทิศทางการพัฒนา ที่สำคัญ ท่านที่มาอ่านได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ตนเองได้รับจากการพัฒนา และจะปรับตัวเข้าอย่างไร หรือตั้งรับกับความเจริญ ที่เราห้ามไว้ไม่ได้ แต่จะเติบโตอย่างไร บนรากฐานวัฒนธรรมประเพณีที่เข็มแข็ง ความอุดมสมบูรณ์ในธรรมชาติ ของเมืองเชียงราย

ตอนนี้สิ่งที่ขาดจากกระทู้รวมรวมการพัฒนา คือนักข่าวที่เป็นพลเมือง คนในท้องที่ และมุมมองความคิดเห็นที่หลากหลาย ที่สำคัญต้องสร้างสรรค์ เพื่อพัฒนาจังหวัดเชียงราย

โดยถ้ามีข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงาน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงในจังหวัด ถ้าได้รับรู้ และรับทราบ อาจเป็นข้อมูล ทิศทาง วิสัยทัศน์การพัฒนาเชียงราย

มาช่วยกันติดตาม มองความเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของเชียงราย พร้อมๆกันนะครับ.

ร่วมทำเชียงรายให้น่าอยู่

คลิกดูตามกระทู้นี้ได้เลย

หัวข้อกระทู้ 1. กระทู้ติดตามรถไฟเชียงราย  
 (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=6381.0=)


หัวข้อกระทู้ 2. ติดตามถนน R3a และโครงการสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4  (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=4867.0)


หัวข้อกระทู้ 3.พร้อมหรือยังเจียงฮาย กับการเปิดเขตการค้าเสรี (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=6387.0)


หัวข้อกระทู้ 4. รวบรวมข่าวสารที่เกิดขึ้นในเชียงรายเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการพัฒนา   (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=6051.0)


หัวข้อกระทู้ 5.รวมกระทู้ติดตามความเคลื่อนไหวโครงการเซ็นทรัลพลาซ่าเชียงราย (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=4578.0)    


หัวข้อกระทู้ 6. ความก้าวหน้าของเชียงรายในหลายๆ ด้าน ลองอ่านดูนะครับ น่าสนใจมาก (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=4068.0)


หัวข้อกระทู้ 7.อนาคตผังเมืองเจียงฮายจะเป็นจะได๋หา (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=5457.0)


หัวข้อกระทู้ 8. รถไฟที่จะมาเชียงราย เขามีโครงการหรือยังค่ะ (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=3470.0)

หัวข้อกระทู้ 9.เที่ยวเชียงราย รบกวนถามคนเชียงรายหน่อยคะ (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=1826.0)


หัวข้อกระทู้ 10. อีก 3 ปี ข้างหน้า ตลาดแรงงานในเชียงราย จะมีทิศทางไปทางไหนครับ (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=689.0)


หัวข้อกระทู้ 11.สมควรมี "เทศบาลเมืองแม่สาย" ได้หรือยังครับ? (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=6292.0)


หัวข้อกระทู้12.  ความเคลื่อนไหวของ เซ็นทรัลเชียงราย (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=7102.0)

หัวข้อกระทู้ 13.ความก้าวหน้าของเชียงรายในหลายๆ ด้าน ลองอ่านดูนะครับ น่าสนใจมาก  (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=4068.0)


หัวข้อกระทู้14.  จะมีไหมนิคมอุตสาหกรรมเชียงราย  (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=9502.0)


หัวข้อกระทู้15.  ข้อคิดและบทเรียนรื้อโบสถ์คริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=82590.0)  


หัวข้อกระทู้1ุ6.  อีกสามปีก็เกิดAECแล้ว เชียงรายจะไปทางไหน  (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=193404.0)  


หัวข้อกระทู้ 1ึ7.ติดตามข่าว รายงานความคืบหน้าโครงการหอศิลป์เชียงราย และเกาะศิลป์ ตลอดลำน้ำกก 6 กม.  (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=202330.0)

หัวข้อกระทู้ 1ึ8.น่าจะฟื้นฟู คูเมือง ให้สะอาด  (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=198667.0)


หัวข้อกระทู้ 19.   รวมข่าวสาร การค้าชายแดน ด้านจังหวัด เชียงราย และ ประชาคมอาเซียน (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=205396.0)

หัวข้อกระทู้ 20. รวมข่าวด้านสาธารณสุข จังหวัดเชียงราย (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=214190.0)


หัวข้อกระทู้ 22. คนเจียงฮายเฮาพร้อมก่อคับ ประชาคมเศรษฐกิจอาเชี่ยน(AEC) 2558  
 (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=233103.0)

หัวข้อกระทู้ 23.ถามเรื่องเปลี่ยนพระนามป้อขุนเม็งรายเป๋น "พญามังราย" ครับ (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=274426.0)


หัวข้อกระทู้ 24. ถนนเลี่ยงเมืองเชียงรายแนวใหม่วงแหวนตะวันตก  
 (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=142125.0)



หัวข้อกระทู้ 25 .ประวัติศาสตร์เจียงฮาย ประวัติศาสตร์ล้านนา ห้อง"เรื่องล้านนา ภาษากำเมือง"
 (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?board=6.0)


หัวข้อกระทู้ 26. กว่าจะเป็นเชียงราย  
 (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=84782.0)


หัวข้อกระทู้ 27.+++ขออนุญาต รวมข่าวภัยยาเสพติดและการจับกุมยาเสพติดในจังหวัดเชียงราย+++
 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000067421)



สนใจหัวการพัฒนาที่เคยโพสผมพยายามรวบรวมไว้แล้วครับ. ช่วยกันแสดงความคิดเห็นครับ เชียงรายจะพัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้อง...แม้ความคิดเห็นเล็กก็เป็นการสะท้อนแง่มุมบ้างอย่างได้นะครับ

ขอบคุณครับ



หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 13 มกราคม 2010, 22:44:58




สายการบินนกมินิเปิดบินเชียงใหม่-สิบสองปันนา 1 เม.ย.53

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2010/01/13/images/news_img_95160_1.jpg)

สายการบินนกมินิ เดินหน้าเปิดเที่ยวบินเส้นทางเชียงใหม่-เชียงราย-สิบสองปันนา ในวันที่ 1 เมษายน 53 หลังเตรียมความพร้อมทุกด้านใกล้ลงตัวแล้ว

ช่วงชัยกิจการ รองผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด สายการบินนกมินิ เปิดเผยว่า ภายหลังจากทางสายการบินได้หารือกับทางสิบสองปันนา ประเทศจีนเพื่อเปิดเส้นทางบิน จากเชียงราย เชียงราย ถึงสิบสองปันนา ขณะนี้การดำเนินการ เพื่อเตรียมความพร้อม ได้เสร็จเรียบร้อยไปแล้วกว่า 80% ทั้งในเรื่องของเอกสาร และขั้นตอนการผ่านเข้า-ออกต่างๆของตัวเครื่องบิน

ล่าสุด ได้ดำเนินการยื่นจดทะเบียนเครื่องบินจากกรมการบินพลเรือน เพื่อให้เครื่องบินลำใหม่นี้ เปลี่ยนเป็นสัญชาติไทย และในตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจาเรื่องสัญญาต่างๆกับทางสิบสองปันนา ซึ่งคาดว่าปลายเดือนมกราคมนี้จะเสร็จสิ้น

ส่วนการดำเนินงานในเขตปกครองตนเองสิบสองปันนานั้น ได้ส่งทีมงานเข้าไปจัดการ และดูแลความเรียบร้อย เพื่อเช็คในส่วนของระบบรองรับต่างๆ คาดว่าพร้อมเปิดให้บริการในเดือนเมษายน 2553

“สำหรับเครื่องบิน SABB 340 ได้เดินทางมาถึงประเทศไทยแล้ว และจะบินไปจอดไว้ที่สนามบินเชียงใหม่ เพื่อบินเส้นทางแรก เชียงใหม่-อุดรธานีเป็นเที่ยวแรก ในวันที่ 17 มกราคม 2553 และเมื่อการเตรียมความพร้อมทุกอย่างในส่วนของการบินระหว่างเส้นทาง เชียงใหม่ -เชียงราย -สิบสองปันนา แล้วเสร็จ จะเปิดบินอย่างเป็นทางการใน วันที่ 1 เมษายน 2553 ”นายวันชัย กล่าว

ด้านนายยุทธนา จิตรอบอารีย์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานานาชาติเชียงราย กล่าวว่า สำหรับสายการบินนกมินิกำลังจะเปิดเส้นทางการบินระหว่าง เชียงใหม่ -เชียงราย -สิบสองปันนา โดยจะเป็นการเพิ่มจำนวนผู้โดยสารที่เข้ามาใช้บริการสนามบินนานาชาติเชียงรายแล้ว และเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว ตลอดจนกระตุ้นการค้าในบริเวณรอบๆ ให้ดีขึ้นด้วย

ดังนั้น สนามบินนานาชาติเชียงราย จึงพร้อมให้ความร่วมมือทั้งในการต้อนรับผู้โดยสาร และให้ความอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้กับทางผู้โดยสาร

สนามบินนานาชาติเชียงรายมีความพร้อมในด้านการให้บริการและการตรวจสอบด้านต่างๆ โดยเฉพาะความปลอดภัยภายในสนามบินที่มีความพร้อมมากกว่า 100% ดังนั้น จึงอยากให้ทางสายการบินนกมินิมีความมั่นใจและเชื่อมั่นในการให้บริการของสนามบินนานาชาติเชียงราย

โดยทางสนามบินนานาชาติเชียงรายมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะมีสายการบินที่บินตรงจากต่างประเทศเข้ามาในจังหวัดเชียงราย และขยายเส้นทางการบินระหว่างประเทศ ไปสู่ประเทศอื่นๆและทวีปอื่นๆต่อไป
http://www.bangkokbiznews.com/home/d...#3586;.53.html


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย คลิ๊กนี้เลย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 14 มกราคม 2010, 10:46:55
การเริ่มต้นกำหนดกลยุทธ์โลจิสติกส์ของบริษัท


โดย ดร.พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล
ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านโลจิสติกส์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี


หลายๆ บริษัทเข้าใจเพียงว่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้ค่าใช้จ่าย หรือต้นทุนบริษัทและสินค้าของตนเองสูงขึ้น ดังนั้นจึงทุ่มเทสรรพกำลังส่วนใหญ่หมดไปกับ การค้นหาแนวทางหรือวิธีการในการปรับปรุงต้นทุนให้ดีขึ้น กรอบการบริหารจัดการหรือการดำเนินการจึงมุ่งเน้นไปในระดับปฏิบัติการ และที่สำคัญเป้าหมายเกือบทั้งหมดเป็นเพียงเป้าหมายระยะสั้น ที่หลายครั้งเมื่อพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว ก็จะพบว่า หลายๆ แนวทางการลดต้นทุนที่ดำเนินการไปขาดทิศทางที่ชัดเจน ได้ไม่คุ้มเสีย หรือส่งผลลบในด้านอื่นๆ ให้กับบริษัท
“การด่วนได้ ด่วนทำ” ในเรื่อง โลจิสติกส์ จึงเป็นเรื่องที่หลายๆ บริษัทจะต้องระมัดระวังและพยายามทำความเข้าใจใหม่ว่า เรื่องราวการบริหารจัดการโลจิสติกส์ ไม่แตกต่างกับขบวนการทางธุรกิจอื่นๆ ที่จำเป็นจะต้องมีการกำหนดเป้าหมาย ทิศทางและกลยุทธ์ที่ชัดเจน และสอดคล้องกับภาพโดยรวมของเป้าหมาย ทิศทางและกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัท หรือพูดง่ายๆ ว่า การจะปรับปรุง พัฒนา หรือบริหารจัดการระบบโลจิสติกส์ให้ได้ประสิทธิภาพ และเป็นสิ่งที่บริษัทต้องการทั้งในระยะสั้นและระยะยาวสอดรับซึ่งกันและกัน บริษัทจำเป็นจะต้องมีการกำหนดกรอบหรือวิถีทางกลยุทธ์ สำหรับระบบโลจิสติกส์ของบริษัทก่อนนั้นเอง
สำหรับตอนนี้จะขอใช้เวลาทั้งหมด ในการอธิบายกลยุทธ์ทางธุรกิจทั้ง 5 แบบ ซึ่งปัจจุบันถือว่าเป็นสิ่งที่ผู้บริหารในเรื่องโลจิสติกส์จำเป็นจะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ เพื่อจะได้นำไปกำหนดเป้าหมาย ทิศทางและกลยุทธ์ทางโลจิสติกส์ได้อย่างเหมาะสม
โดยสรุปแล้ว การปรับตัวเพื่อให้องค์กรทางธุรกิจของตนสามารถแข่งขันได้ โดยทั่วๆไปแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในภาคการผลิตหรือภาคการบริการ อยู่ในต่างประเทศหรืออยู่ในประเทศไทย หรือองค์กรมีขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก ล้วนแล้วแต่มีรูปแบบหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจที่บริษัทต่างๆ ใช้ดำเนินการกันในช่วงกว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา สรุปได้ประมาณ 5 รูปแบบหรือ 5 แนวทาง โดยรายละเอียดของแต่ละรูปแบบที่นักบริหารจัดการโลจิสติกส์ หรือบริษัทที่มุ่งมั่นจะพัฒนาระบบโลจิสติกส์ จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจ ได้แก่
รูปแบบที่ 1 แข่งที่ราคาถูกกว่า (Cost Domination)
การที่บริษัทเลือกใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจนี้ หมายถึง บริษัทมุ่งเน้นความได้เปรียบในเชิงธุรกิจที่ราคาสินค้าของบริษัทเป็นสำคัญ โดยความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง หรือการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของลูกค้า คำนึงถึงราคาสินค้าเป็นหลัก ดังนั้นเป้าหมายและทิศทางในการดำเนินการทั้งหมดของบริษัทจะมุ่งเน้นไปที่การควบคุมต้นทุนโดยรวมทั้งหมดของบริษัทให้ต่ำลง ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายโดยตรงหรือโดยอ้อม ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนผลิตหรือต้นทุนวัตถุดิบ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนแรงงานหรือต้นทุนเครื่องจักร ทุกค่าใช้จ่ายที่ประกอบกันเป็นต้นทุนสินค้าล้วนแล้วแต่มีความสำคัญในกลยุทธ์นี้ ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจนี้ ผู้บริหารจัดการโลจิสติกส์ที่ดูแลรับผิดชอบ จำเป็นจะต้องกำหนดเป้าหมาย หรือทิศทางการพัฒนากลยุทธ์ทางโลจิสติกส์ของบริษัท ที่มุ่งเน้นไปในเรื่องการลดต้นทุนโลจิสติกส์เป็นสำคัญ โดยเป้าหมายของกลยุทธ์ส่วนมากก็จะเป็น การลดสัดส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ต่อยอดขาย หรือไม่ก็จะเป็นการลดสัดส่วนต้นทุนการกระจายสินค้าต่อยอดขายเป็นต้น
รูปแบบที่ 2 แข่งที่ความแตกต่างของสินค้าและบริการ (Differentiation)
การที่บริษัทเลือกใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจนี้ หมายถึง บริษัทมุ่งสร้างความแตกต่างของสินค้าและบริการเหนือคู่แข่ง ความได้เปรียบในเชิงราคาถือว่ามีผลไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับ คุณภาพของสินค้าและบริการของบริษัท กลุ่มเป้าหมายของลูกค้าถือว่าเป็นกลุ่มลูกค้าคุณภาพ การตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของลูกค้า ให้ความสำคัญกับองค์ประกอบต่างๆ ที่เหนือไปกว่าตัวสินค้า การบริการและภาพลักษณ์ต่างๆ ที่รายล้อมตัวสินค้า ถือว่าเป็นหัวใจของกลยุทธ์นี้ บริษัทแข่งที่คุณค่าของสินค้าที่มอบให้กับลูกค้ามากกว่ามูลค่าของสินค้า ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจนี้ ผู้บริหารจัดการโลจิสติกส์ที่ดูแลรับผิดชอบ จำเป็นจะต้องกำหนดเป้าหมาย หรือทิศทางการพัฒนากลยุทธ์ทางโลจิสติกส์ของบริษัท ที่มุ่งเน้นไปในเรื่องการพัฒนามาตรฐานการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับงานโลจิสติกส์เป็นสำคัญ โดยเป้าหมายของกลยุทธ์ส่วนมากก็จะเป็น การเพิ่มระดับความพึงพอใจของลูกค้า (Service Levels) เช่น ระยะเวลาการส่งมอบสินค้าที่ดีขึ้น ความสามารถในการตอบสนองความต้องการทั้งในเชิงปริมาณและระยะเวลาที่ดีขึ้น อัตราความผิดพลาดในการส่งมอบที่น้อยลง หรือจำนวนข้อตำหนิจากลูกค้าที่น้อยลง เป็นต้น
รูปแบบที่ 3 แข่งด้วยนวัตกรรมหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ (Innovation)
การที่บริษัทเลือกใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจนี้ หมายถึง บริษัทมุ่งเน้นที่นวัตกรรมของสินค้าและบริการเป็นสำคัญ บริษัทได้เปรียบคู่แข่งตรงที่ขีดความสามารถในการพัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์ โดยบริษัทมีขีดความสามารถที่จะนำเสนอสินค้าที่สดใหม่ในตลาดอยู่ตลอดเวลา ความสำคัญหรือข้อได้เปรียบของบริษัทจึงไม่ใช่เรื่องของราคา หรือความแตกต่างอื่นๆทั่วๆไปเท่านั้น แต่เป็นคุณค่าด้านความแปลกใหม่และการทันยุคล้ำสมัยเป็นสำคัญ กลุ่มเป้าหมายของลูกค้าหรือตลาดจึงเป็นกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงเป็นอย่างมาก โดยบางครั้งลูกค้าหรือตลาดให้ความสำคัญกับตัวสินค้าตั้งแต่ยังไม่ได้ออกวางจำหน่าย ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจนี้ ผู้บริหารจัดการโลจิสติกส์ที่ดูแลรับผิดชอบ จำเป็นจะต้องกำหนดเป้าหมาย หรือทิศทางการพัฒนากลยุทธ์ทางโลจิสติกส์ของบริษัท ที่มุ่งเน้นไปในเรื่อง ขีดความสามารถในการตอบสนองความต้องการของตลาด โดยเป้าหมายของกลยุทธ์ส่วนมากก็จะเป็น ระยะเวลาในการตอบสนองตลาดที่สั้นลง ระยะเวลาในการจัดหาชิ้นส่วนและวัตถุดิบที่สั้นลง ประกอบกับการควบคุมปริมาณสต็อกทั้งระบบที่ต่ำลง เป็นต้น
รูปแบบที่ 4 แข่งด้วยเครือข่ายสินค้าและบริการ (Alliance)
การที่บริษัทเลือกใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจนี้ หมายถึง บริษัทมุ่งเน้นการขยายเครือข่ายสินค้าและบริการ โดยทำร่วมกับหุ้นส่วนทางธุรกิจที่เป็นบริษัทอื่น โดยการร่วมตัวกันแข่งขันเพื่อขยายขอบเขตของสินค้าและบริการ ทั้งในเชิงปริมาณ รายการสินค้าและบริการ หรือพื้นที่ให้บริการ (Scopes and Areas of Services) โดยกลุ่มเป้าหมายของลูกค้าหรือตลาด อาจเป็นกลุ่มเดิมหรือขยายเพิ่มขึ้น แต่ส่วนมากแล้วจะเป็นกลุ่มลูกค้าหรือตลาดเดิมที่บริษัทดำเนินการอยู่ และที่สำคัญการเลือกใช้กลยุทธ์นี้ส่วนมากมุ่งเน้นในเรื่องของประสิทธิภาพและการใช้ทรัพยากรร่วมกันเป็นสำคัญ ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจนี้ ผู้บริหารจัดการโลจิสติกส์ที่ดูแลรับผิดชอบ จำเป็นจะต้องกำหนดเป้าหมาย หรือทิศทางการพัฒนากลยุทธ์ทางโลจิสติกส์ของบริษัท ที่มุ่งเน้นไปในเรื่อง การใช้ทรัพยากรร่วมกันสำหรับงานโลจิสติกส์ เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มช่องทางการจัดหาและจัดส่งสินค้าสู่ตลาด เป็นต้น
รูปแบบที่ 5 แข่งด้วยการขยายรายสินค้าและกิจการ (Expansion)
การที่บริษัทเลือกใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจนี้ หมายถึง บริษัทเลือกที่จะทำการขยายกิจการหรือรายสินค้าด้วยตัวเอง เพื่อสร้างความได้เปรียบในเชิงขนาดหรือขยายโอกาสทางธุรกิจ โดยอาศัยกำลังของบริษัทเอง มากกว่าจะร่วมกับหุ้นส่วนทางธุรกิจเหมือนในกลยุทธ์ที่ผ่านมา โดยส่งผลให้บริษัทได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ทั้งในเชิงประสิทธิภาพและศักยภาพในการเข้าถึงลูกค้าหรือตลาด และความสามารถในการขยายฐานลูกค้าที่มากขึ้น อย่างไรก็ตามพบว่ากลยุทธ์ดังกล่าวนี้จะเกิดการลงทุนและขยายฐานดำเนินการหรือปฏิบัติการต่างๆ เพื่อสนับสนุนมากขึ้น ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจนี้ ผู้บริหารจัดการโลจิสติกส์ที่ดูแลรับผิดชอบ จำเป็นจะต้องกำหนดเป้าหมาย หรือทิศทางการพัฒนากลยุทธ์ทางโลจิสติกส์ของบริษัท ที่มุ่งเน้นไปในเรื่อง การเสริมสร้าง หรือปรับเปลี่ยนทรัพยากรที่ใช้สนับสนุนงานโลจิสติกส์ เพื่อรองรับการขยายตัวของกิจการ ควบคู่ไปกับรูปแบบการดำเนินการที่เพิ่มประสิทธิภาพด้านต่างๆ ของโลจิสติกส์ เป็นต้น
เอาละครับสำหรับตอนนี้ก็ต้องขอยุติไว้เพียงเท่านี้ สำหรับท่านผู้อ่านที่ได้เข้าใจในเรื่อง กลยุทธ์ทางธุรกิจทั้งห้ารูปแบบแล้ว ก็คงจะพอเปรียบเทียบกับกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ของบริษัทตนเองได้ไม่มากก็น้อย และที่สำคัญคงจะสามารถเริ่มกำหนดกรองการพัฒนากลยุทธ์ทางโลจิสติกส์ที่เหมาะสมกับบริษัทของท่านได้บ้าง โดยส่วนตัวแล้ว ผมหวังว่าท่านผู้อ่านคงจะเริ่มเห็น เป้าหมาย ทิศทางและกลยุทธ์โลจิสติกส์ของบริษัทท่านว่าควรจะพัฒนาให้มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร จึงจะเหมาะสมและสอดคล้องทั้งในระยะสั้นและระยะยาวกับกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัท


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย คลิ๊กนี้เลย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 14 มกราคม 2010, 10:47:28
จีนโหม“คุน-มั่น กงลู่”ถนนสู่อาเซียน(จบ)ทุนLogisticมังกรยึดถนนR3aเชื่อมไทย


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 มกราคม 2553 15:12 น.


การเดินเรือในแม่น้ำโขงยังคงเฟื่องฟู ขณะที่การคมนาคมทางบกที่่ผ่านถนน R 3 a และ R 3b ก็ได้รับความนิยมมากขึ้น ที่การขนส่งสินค้า และการท่องเที่ยว


ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ – สารพัดกลุ่มทุนขนส่งจีนพาเหรดเข้าหาพาร์ตเนอร์ท้องถิ่น ลุยโปรเจกต์รองรับเส้นทาง “คุน-มั่น กงลู่” และข้อตกลงจีน – อาเซียน ล่าสุดกลุ่ม “ทัวร์GMSสิบสองปันนา” คว้าใบอนุญาตวิ่งรถจีน-ลาว-ไทย ผ่าน R3a เป็นรายแรก พร้อมเปิด สนง.ที่เชียงราย-ห้วยทราย(ลาว) ขณะที่ทุน Logistic ยักษ์หยุนหนัน ดีลผ่าน “ทุนไทย-เกาหลีใต้”รอส่งสินค้าจีนผ่าน “แหลมฉบัง” ด้านสายการบิน “SGA”เล็งเปิดบินเข้าเชียงรุ่งเมษาฯ 53 รองรับ บริษัททัวร์ไทยเตรียมส่งเรือ “สัญชาติไทย” ลำแรกลงน้ำโขงแล้ว

ขณะที่สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ จ.เชียงราย เข้ากับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้วสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว( สปป.ลาว )จุดเริ่มต้นถนน R3a ที่เป็นส่วนหนึ่งของคุน-มั่น กงลู่ มีกำหนดการ (เบื้องต้น) เปิดประมูลวันที่ 7 มกราคม2553 เพื่อก่อสร้างให้เสร็จในปี 2555 อันจะทำให้โครงข่ายคมนาคมสายนี้สมบูรณ์ 100%นั้น ในกลุ่มธุรกิจขนส่งทั้งคน-สินค้า ก็มีความเคลื่อนไหวเข้ายึดกุมโอกาสทางธุรกิจที่เปิดขึ้นตามเส้นทางคมนาคมเช่นกัน

Ji Jin ผู้จัดการใหญ่ บริษัทรถทัวร์ GMS สิบสองปันนา จำกัด กิจการร่วมทุนระหว่างทางการสิบสองปันนา – เอกชนจีน เปิดเผย ASTVผู้จัดการรายวัน เมื่อคราวร่วมคณะเลขาฯพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประจำสิบสองปันนา เยือนเชียงใหม่-เชียงราย ระหว่างวันที่ 1-3 ธันวาคม 2552 ว่า บริษัทของเขามีสำนักงานเครือข่ายกระจายอยู่ในตัวเมืองหลัก ๆ ของหยุนหนัน ทั้งคุนหมิง ลี่เจียง สิบสองปันนา ฯลฯ ให้บริการทั้งรถประจำทาง รถทัวร์เช่า ฯลฯ ล่าสุดได้ร่วมมือกับบริษัทหย่าไทร้เอเชี่ยนทัวร์ จำกัด และบริษัทเทียนเฉิน จำกัด(จีน) ตั้งศูนย์กระจายสินค้าและการท่องเที่ยวสิบสองปันนา-เชียงราย ขึ้น ณ ที่ทำการของบริษัทหย่าไทร้ฯ บริเวณ 5 แยกพ่อขุนฯ กลางเมืองเชียงราย

ทั้งนี้ เพื่อเป็นศูนย์ประสานงาน-ฐานข้อมูลสำหรับธุรกิจต่างๆ เกี่ยวกับการเดินทางไปมาระหว่างเชียงราย-จีนตอนใต้ โดยมีทางการจีนให้การรับรองเพียงรายเดียวของไทย รวมทั้งเป็นเครือข่ายให้บริการลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการรถทัวร์ของบริษัทเดินทางไปมาระหว่างจีน-ไทย ผ่านเส้นทาง R3a ที่บริษัทมีใบอนุญาตจากทางการลาวเพียงรายเดียวในการวิ่งรถข้ามทั้ง 3 ประเทศ

นอกจากนี้บริษัทยังเปิดสำนักงานในลักษณะเดียวกันนี้ ที่เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เพื่อให้บริการลูกค้า ที่มีต้นทางที่ห้วยทราย – คุนหมิง หรือเมืองท่องเที่ยวต่าง ๆ ของหยุนหนันด้วย

“เราเริ่มเปิดให้บริการวิ่งรถผ่าน 3 ประเทศเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2552 นี้เอง ถือเป็นบริษัทในหยุนหนันรายแรกที่วิ่งรถได้ทั้ง 3 ประเทศแล้ว ที่ผ่านมามีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากกว่า 2,000 คนแล้ว”

Ji Jin บอกว่า ในอนาคตบริษัทจะขยายเครือข่ายให้บริการครอบคลุมประเทศในกลุ่ม GMS ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น จีน ลาว พม่า ไทย กัมพูชา เวียดนาม เมื่อเส้นทางคมนาคม และกฎระเบียบต่าง ๆ เอื้ออำนวยให้มากขึ้น จะทำให้คนในภูมิภาคนี้ สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ทั้งหมด

ขณะที่นายพงษ์ทร ชยาตุลชาต กรรมการผู้จัดการ บริษัทหย่าไทร้เอเชี่ยนทัวร์ จำกัด ยืนยันว่า บริษัทรถทัวร์GMS สิบสองปันนา จำกัด วิสาหกิจจีน ได้รับอนุญาตจากทางการลาว นำรถบัสนำเที่ยวขนาด 32 ที่นั่งและ 57 ที่นั่ง เปิดให้บริการบนถนน R3a เชื่อมเชียงราย-สปป.ลาว ผ่านแขวงบ่อแก้ว-แขวงหลวงน้ำทา-เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลหยุนหนัน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2552 ในอนาคตจะเปิดให้บริการไปยังกรุงเทพฯ เพื่อให้สุดทางถนนคุนหมิง-กรุงเทพฯ หรือคุน-มั่น กงลู่ รวมทั้งจะขยายต่อไปยังประเทศมาเลเซีย-สิงคโปร์ด้วย

โดยคิดค่าบริการแบบเช่าเหมาสายเชียงราย-บ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา สปป.ลาว ชายแดนติดกับประเทศจีน รถบัสขนาด 40 ที่นั่งขึ้นไป ราคา 43,000 บาท และรถบัสตั้งแต่ 30-40 ที่นั่ง ราคา 41,500 บาท สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นเดินทางจาก อ.เชียงของ ชายแดนไทย-สปป.ลาว ติดกับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ไปยังเมืองบ่อเต็นหรือเส้นทางเชียงของ-บ่อเต็น คิดราคาจากรถบัส 40 ที่นั่งขึ้นไป ราคา 35,000 บาท และรถบัส 30-40 ที่นั่ง ราคา 32,000 บาท และเส้นทางห้วยทราย-บ่อเต็น สำหรับรถบัส 40 ที่นั่งขึ้นไปราคา 28,000 บาท และรถบัส 30-40 ที่นั่ง ราคา 26,000 บาท

“ตลาดท่องเที่ยวบน R3a ยังโตได้อีกมาก ยิ่งถ้ามีการผ่อนคลายกฎระเบียบ ให้คนจีนใช้เอกสารบอร์เดอร์พาสแทนพาสปอร์ตเข้าไทยได้ ก็จะทำให้มีคนจีนเดินทางเข้ามาเชียงราย หรือภาคเหนือของไทยไม่น้อยกว่า 2 หมื่นคนต่อวันแน่นอน”
ขณะที่บริษัทไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด ที่บริหารงานโดย บริษัทชัยพัฒนาขนส่งเชียงใหม่ จำกัด หรือกรีนบัส ผู้ให้บริการรถโดยสารขนส่งมวลชนรายใหญ่ของภาคเหนือ ได้ทำการเซ็นสัญญากับท่าตัวแทนจำหน่ายบัตรโดยสาร Green bus ณ บ้านห้วยทราย จุดจำหน่ายบัตรจุดแรกในประเทศลาว เมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อเชื่อมผู้โดยสารลาว-ประเทศไทย รองรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศไปยังแหล่งท่องเที่ยวเมืองหลวงพระบาง และยังเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทาง R3a และขยายเครือข่ายจำหน่ายตั๋วร่วมไปถึงคุนหมิง เมืองเอกของหยุนหนันต่อไป



ดร.สิชา สิงห์สมบูรณ์ ประธานบริษัทเอเอซี กรีนซิตี้ลาว จำกัด ผู้รับสัมปทานพื้นที่บริเวณจุดก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อมเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว (ฝั่งลาว)


ด้าน ดร.สิชา สิงห์สมบุญ ประธานบริษัทเอเอซี กรีน ซิตี้ ลาว จำกัด บริษัทร่วมทุนไทย-เกาหลีใต้ ที่เข้าสัมปทานพื้นที่ 1,200 ไร่ บริเวณบ้านดอนขี้นก จุดก่อสร้างสะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ฝั่งเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ซึ่งมีโครงการก่อสร้างโรงแรม รีสอร์ต สปา สนามกอล์ฟ ฯลฯ ด้วยงบลงทุน 1,320 ล้านบาท ล่าสุดลงทุนปรับพื้นที่-พัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานไปแล้ว กว่า 200 ล้านบาท กล่าวว่า หากเคลียร์ปัญหาเรื่องแนวก่อสร้างถนนเชื่อมสะพานข้ามแม่น้ำโขง 4 และจุดก่อสร้างอาคารด่านพรมแดน บนพื้นที่ผ่านพื้นที่สัมปทานของโครงการได้ ก็จะทำให้แผนงานต่าง ๆ ของบริษัทเดินหน้าต่อไปได้

ก่อนหน้านี้ ได้ตกลงเบื้องต้นกับกลุ่มขนส่งยักษ์ใหญ่ของหยุนหนันไว้ คือ กลุ่ม พีค็อก ว่า เมื่อขนส่งสินค้าจากจีนลงมาตามเส้นทาง R3a ก็จะเข้ามาพักเปลี่ยนหัวลากในพื้นที่ของบริษัท ก่อนที่จะลำเลียงเข้าไทยต่อไปที่ท่าเรือแหลมฉบัง ผ่านบริษัทที่เป็นพันธมิตรกันอย่างสยามสตีล เพื่อส่งสินค้าออกสู่ตลาดโลกต่อไป

SGAเล็งเปิดบินเชียงราย-เชียงรุ่ง

ด้านนายสงวน ซ้อนกลิ่นสกุล รองเลขาธิการฝ่ายพัฒนาระบบ Logistic หอการค้าจังหวัดเชียงราย ระบุเพิ่มเติมว่า ยอมรับว่าตอนนี้มีกลุ่มทุนจีนเข้ามาหาช่องทางลงทุนตามแนวถนนคุน-มั่น กงลู่ อย่างคึกคัก หลากหลายกลุ่ม โดยระยะแรกจะเป็นการแสวงหาพาร์ตเนอร์ในท้องถิ่น ก่อนที่จะเริ่มเดินเครื่องอย่างจริงจังต่อไป ทั้งกลุ่มธุรกิจขนส่ง – ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ฯลฯ

นายวันชัย ช่วงชัยกิจการ รองผู้อำนวยการฝ่ายการขายและตลาดของสายการบินเอสจีเอ กล่าวเมื่อคราวร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงระหว่างการท่องเที่ยวสิบสองปันนา – สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชียงรายเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2552 ว่า เอสจีเอ มีแผนจะทำการบินระหว่างเชียงใหม่-เชียงราย-สิบสองปันนา ด้วยเครื่องรุ่น 304 ขนาด 33 ที่นั่ง ซึ่งปัจจุบัน เอสจีเอ ได้สั่งซื้อและเตรียมเครื่องบินเอาไว้แล้วที่ออสเตรเลีย 2 ลำ โดยจะบินมาไทยในเดือนนี้ (มกราคม 2553) และตั้งเป้าว่าจะเปิดบินเชียงราย ให้ได้ในเดือนเมษายน หรือพฤษภาคม 2553 และพร้อมจะเชื่อมธุรกิจกับเอกชนจีนต่อไป โดยจะเดินเรื่องขออนุญาตและกฎระเบียบต่างๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อจะเปิดให้เร็วกว่ากำหนด

ปัจจุบันเอสจีเอ มีเครื่องบินเล็กจำนวน 3 ลำให้บริการโดยมีเชียงใหม่ เป็นศูนย์กลางการบินเชื่อมกับ อ.เมืองแม่ฮ่องสอน อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน จ.เชียงราย และ จ.น่าน จ.อุดรธานี
ขณะที่ Den Xiping รองประธานบริษัทหยุนหนัน แอร์พอร์ตกรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ถ้าสายการบิน เอสจีเอเปิดบินจริง ทางท่าอากาศยานนานาชาติสิบสองปันนา ก็จะให้ส่วนลดไม่ต้องเสียค่าลงจอดในปีแรกทันที 100% ปีที่สองลด 50% ปีที่สามลด 80% แต่ถ้าหาก 2-3 ปียังมีปัญหาด้านการลงทุนก็สามารถยกเว้นให้ได้อีกต่อไป

สอดคล้องกับ Jiang Pusheng เลขาพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประจำสิบสองปันนา ที่ย้ำผ่านเวทีประชุมร่วมทั้งที่เชียงใหม่ – เชียงราย ว่า การเปิดเส้นทางบินระหว่างภาคเหนือของไทย กับสิบสองปันนา รอบใหม่นี้ รับรองไม่ขาดทุนแน่นอน

เตรียมเรือไทยลำแรกลงแม่น้ำโขง

หลังข้อตกลงเปิดเดินเรือพาณิชย์ฯในแม่น้ำโขงตอนบน ระหว่าง ไทย พม่า ลาว จีน เริ่มมีผลตั้งแต่เมษายน 2544 เป็นต้นมา ปรากฏว่า เรือสินค้า-นำเที่ยวนับร้อย ๆ ลำที่วิ่งขึ้นล่องในแม่น้ำโขง ล้วนแต่เป็นเรือสัญชาติจีนทั้งสิ้น
แต่นับจากนี้จะมีเรือนำเที่ยวสัญชาติไทยวิ่งแล้ว

นางสาวผกายมาศ เวียร์รา ประธานกรรมการบริษัทแม่โขงเดลต้าทราเวล เอเจนซี จำกัด ผู้ให้บริการนำเที่ยวในสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ทั้งทางบก ผ่านเส้นทาง R3a / R3b และทางน้ำผ่านแม่น้ำโขงตอนบน จากเชียงแสน – เชียงรุ่ง มากว่า 2 ปี บอกว่า บริษัทกำลังปรับปรุงเรือท่องเที่ยวขนาด 80 ที่นั่ง (ชั้นธุรกิจ 40 ที่นั่ง VIP 40 ที่นั่ง สามารถปรับเป็นห้องประชุมสัมมนาลอยน้ำได้ กว้าง 5 เมตร ยาว 41 เมตร กินน้ำลึก 60 ซม.) ที่สั่งต่อกันที่หลวงพระบาง สปป.ลาว โดยใช้วิศวกรจาก 3 ชาติ (ไทย ลาว จีน) ร่วมกันคุมงาน ที่นำมาเทียบท่าริมน้ำโขงหน้าสำนักงานบริษัทที่เชียงแสนอยู่ ก่อนจะเริ่มทดลองวิ่งในแม่น้ำโขงอย่างจริงจังต่อไป

“ลำนี้ จะเป็นเรือสัญชาติไทยลำแรกที่วิ่งในแม่น้ำโขง ถ้าไม่นับพวกเรือหางยาว เรือแจวที่ทำมาหากินในแม่น้ำโขงกันมานาน”

นางสาวผกายมาศ บอกว่า เรือลำนี้ จะจดทะเบียนที่ประเทศไทย เป็นเรือสัญชาติไทย ใช้ชื่อไทย ส่วนกัปตันถ้าขึ้นไปทางเชียงแสน จากสามเหลี่ยมทองคำ – สิบสองปันนา ก็ใช้กัปตันจีน ลูกเรือจีน ถ้าล่องลงหลวงพระบาง ก็ใช้คนลาว นายน้ำลาว ลูกเรือผสมกันระหว่างจีน – ลาว แต่ฝ่ายต้อนรับทั้งหมด จะใช้คนไทย ที่มีทักษะดีกว่า

เธอบอกว่า หลังจากนี้จะต่อเพิ่มอีกลำ และจะทำที่ไทย สร้างเรือให้ตรงตามกฎหมายไทย ก่อนที่จะขออนุญาตวิ่งเข้าจีน ลาว เพื่อวิ่งเข้าหลวงพระบางด้วย

ทั้งนี้ที่ผ่านมาบริษัทแม่โขงเดลต้าเคยร่วมมือกับ บริษัทขนส่งเทียนต๋าสิบสองปันนา รัฐวิสาหกิจของสิบสองปันนา ทั้งเรือ “นกยูงทอง” เรือท่องเที่ยวที่มีห้องพักในตัว รองรับผู้โดยสารได้ 76 คน (ขยายได้ 130 คน) เรือสามเหลี่ยมทองคำ 8 จุผู้โดยสารได้ 68 คน กับเรือเทียนต๋า 1 และ 2 ที่สามารถจุผู้โดยสารได้ลำละ 48 คน ก็จะค่อย ๆ ปลดระวางไป เพราะบางลำ จะสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมาก บางลำเริ่มมีปัญหากับอายุการใช้งานที่มากขึ้น เพราะกระแสน้ำในแม่น้ำโขง แตกต่างจากน้ำทะเล และแหล่งน้ำอื่น ๆ มาก ก็ต้องหาช่องทางแก้ปัญหา

เธอมองว่า อนาคตของการท่องเที่ยวแถบสามเหลี่ยมทองคำ – การท่องเที่ยวผ่านแม่น้ำโขง ยังไปได้ คนชอบ แต่การเดินทางแม่น้ำโขงต้องใช้เวลานับสิบๆชั่วโมง ทำให้คนเบื่อได้ คนจะตื่นเต้นระยะแรก ที่ได้ลงเรือแม่น้ำโขง

แต่สิ่งที่จะต้องทำก็คือ การสร้างกิจกรรมรองรับบนเรือ เช่น เคาน์เตอร์บาร์ ห้องอาหาร ฯลฯ แต่ไม่ควรเป็นเรือนอน เพราะคนกลัวที่จะนอนระหว่างทางในแม่น้ำโขง เช่น หาจุดพักกลางทาง เช่น หมู่บ้านลาว หรือสบโหลย ฝั่งพม่า ที่ปัจจุบันกลายเป็นชุมทางสินค้า – คนมากขึ้น โดยเฉพาะเกาหลีเหนือที่ทะลักมาพักรอเดินทางเข้าไทยอยู่เป็นจำนวนมาก

ส่วนเรือโดยสารก็สามารถบริหารจัดการได้ตามปริมาณผู้โดยสาร เช่น ช่วงพีกเดิมเคยวิ่งเชียงแสน-เชียงรุ่ง (สิบสองปันนา) ไปกลับสัปดาห์ละ 6 เที่ยว (ขาขึ้นจันทร์ พุธ ศุกร์ ,ขาล่อง อังคาร พฤหัสบดี เสาร์) ก็ปรับเหลือสัปดาห์ละ 2 เที่ยว (ไปกลับรวม 4 เที่ยว) และเมื่อถึงไฮซีซันก็เพิ่มความถี่สูงขึ้นเท่านั้น

ส่วนทางบก ผ่าน R3a (ไทย ลาว จีน) ส่วนหนึ่งของคุน-มั่น กงลู่ หรือคุนหมิง – กรุงเทพฯโดยมากจะเน้นหนักเรื่องการเดินทางติดต่อค้าขายมากกว่า เพราะตลอดเส้นทางวนเวียนอยู่ในภูเขา ขณะที่ สปป.ลาว เองก็กำลังอยู่ระหว่างการจัดระเบียบเดินรถอยู่ เพื่อปกป้องธุรกิจสัญชาติลาวเอง

ขณะที่ R3b (ไทย พม่า จีน) ที่แม้จะก่อสร้างเสร็จมานานหลายปี ที่จีนปิดพรมแดนมาร่วม 3-4 ปี ล่าสุดจีนก็เปิดพรมแดนต้าล่อ หรือต้าลั่ว สิบสองปันนา มณฑลหยุนหนัน ที่เชื่อมต่อกับปลายทาง R3b ที่เมืองลา เขตเศรษฐกิจพิเศษที่ 4 แห่งสหภาพพม่า ของกลุ่ม “อูไซลิน”

แต่ในฝั่งพม่า ยังไม่เปิดพรมแดนให้ โดยส่วนหนึ่งมาจากปัญหาการสู้รบระหว่างรัฐบาลพม่า – ชนกลุ่มน้อย ที่พม่า เองก็ยังไม่สามารถคุมได้ตลอดเส้นทาง และการจัดสรรผลประโยชน์กับกลุ่ม “อูไซลิน” ที่ปกครองพื้นที่อยู่ ทั้งเรื่องค่าผ่านทาง ไกด์ วีซ่า(เข้าเขตปกครอง)

อย่างไรก็ตาม ผกายมาศ บอกว่า เส้นทาง R3b ก็ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไทยอยู่เนือง ๆ เพียงแต่ยังไม่สามารถเดินทางทะลุเข้าจีนผ่านทางนี้ได้เท่านั้น

เช่นเดียวกับคนจีน (ไทลื้อ) ที่เดินทางไปมาหาสู่กับญาติพี่น้องในแถบนี้มานาน ก็ยังคงใช้บอร์เดอร์พาสเข้าพม่า มาจนถึงท่าขี้เหล็ก (ตรงข้าม อ.แม่สาย จ.เชียงราย) อยู่ บางกลุ่มขับรถมากันเองด้วยซ้ำ เพียงยังไม่สามารถข้ามฝั่งมาถึงไทยได้

http://th.newspeg.com/จีนโหมคุน-มั่น...-55436125.html


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย คลิ๊กนี้เลย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 15 มกราคม 2010, 08:59:34
ท่าอากาศเชียงรายทุ่ม100ล.ปรับลานบิน-รับแอร์บัส

14 มค. 2553 20:46 น.


นายยุทธนา จิตรอบอารีย์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานานาชาติเชียงราย เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2552 จนถึงขณะนี้ มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางเข้ามาในจังหวัดเชียงรายโดยสายการบิน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมาทุกเที่ยวบินเต็มหมดทุกสายการบิน จนทำให้สายการบินไทย ต้องเปลี่ยนเครื่องบินจากเครื่องบินโบอิง 737 ที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพียง 150 ที่นั่ง เป็นเครื่องบินแอร์บัส 330 ที่รองรับผู้โดยสารได้กว่า 330 - 350 ที่นั่ง ซึ่งสามารถให้บริการเพิ่มจากเดิมกว่า 1 เท่าตัว อย่างไรก็ตาม จากนี้ไป คาดว่าการเดินทางของนักท่องเที่ยวก็จะมีเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ สังเกตได้จากจำนวนผู้โดยสารชาวยุโรปและเอเชีย ที่เดินทางเพิ่มขึ้นกว่า 20-30 % ในช่วงที่ผ่านมา จึงถือเป็นนิมิตหมายอันดีว่าในปี 2553 เป็นต้นไป จำนวนผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวที่เดินทางโดยเครื่องบินจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างแน่นอน



นายยุทธนา กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทางสนามบินได้เตรียมพร้อมในการรองรับอย่างเต็มที่ โดยการเพิ่มหลุมจอดเครื่องบินแอร์บัสจาก 4 หลุม เป็น 5 หลุม และลงทุนเพิ่มอีกกว่า 100 ล้านบาท ในการปรับปรุงพื้นผิวลานบินให้ปลอดภัยมากขึ้นในการใช้งาน ลดการเกิดปัญหาและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น อีกทั้งยังปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์บริเวณโดยรอบสนามบิน ให้มีความสวยงามและเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น โดยเน้นเรื่องของความสะดวกสบายและความปลอดภัยเป็นสำคัญ ทั้งนี้ สนามบินนานาชาติเชียงรายสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 3 ล้านคน ต่อปี แต่จำนวนผู้โดยสารที่มาใช้บริการมีเพียง 8 แสนคนต่อปี เท่านั้น


http://breakingnews.nationchannel.co...?newsid=426817
__________________


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย คลิ๊กนี้เลย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 มกราคม 2010, 14:28:13
เชียงราย – “ซาเล้ง” นำทีม รมต.คมนาคมภูมิใจไทย นำคณะลงเชียงราย ตระเวนดูการก่อสร้างท่าเรือเชียงแสน 2 – สะพานข้ามโขง 4 ก่อนขึ้นเวที อบจ.เชียงราย ที่ส่งเทียบเชิญ ภท. เปิดทิศทางอนาคตรถไฟ “เด่นชัย-เชียงราย”

รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า ระหว่างวันที่ 21-22 ม.ค.53 นี้นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มีกำหนดตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยในวันแรก (21 ม.ค.) จะเดินทางไปตรวจติดตามการก่อสร้างท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ที่หมู่บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน ชายแดนไทย-สปป.ลาว ซึ่งกรมขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวีกำลังก่อสร้างบนเนื้อที่ 402.3 ไร่ ด้วยงบประมาณ 1,560.580 บาท เพื่อสร้างท่าเรือใหม่ให้สามารถรองรับเรือรุ่นใหม่ที่มีความยาว 40 เมตร ได้พร้อมกัน 11 ลำ มีลานจอดรถขนาด 93,830 ตารางเมตร หน้าท่าเป็นทางลาดกว้าง 15 เมตร ยาว 30 เมตร ระดับ 2 ชั้น

ซึ่งจะเป็นท่าเรือ ที่สามารถใช้ได้ทั้งระดับน้ำขึ้นและลง มีท่าเรือที่ขนถ่ายด้วยเครน 4 ท่า รองรับรถยก 30 ตัน และมีท่าสำหรับขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์ มีสะพานขนาด 10 คูณ 50 เมตร ยื่นไปกลางแม่น้ำสำหรับเรือบรรทุกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม นอกจากนี้ในระยะที่ 2 กำหนดให้เพิ่มระบบเครนและสายพาน 1 ท่า ระบบตู้คอนเทนเนอร์อีก 8 ท่า เป็นที่ตั้งของ 8 หน่วยงาน เช่น ศุลกากร ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ด่านตรวจพืช-สัตว์ องค์การอาหารและยา (อย.) ฯลฯ ซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2553 นี้หรือใช้ระยะเวลาก่อสร้างนาน 2 ปี

จากนั้นจะลงตรวจพื้นที่ก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขง (เชียงของ-ห้วยทราย) ฝั่งไทยที่อำเภอเชียงของ เพื่อเชื่อมกับถนน R3A ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ซึ่งตามแปลนก่อนสร้าง จะเป็นสะพานแบบ Pre-Stressed Concrete Box Girder Bridge โดยมีเสาตอม่อในแม่น้ำโขง 4 เสา ตัวสะพานจะกว้าง 14.7 เมตร มีสองช่องจราจร ความยาวตัวสะพาน 480 เมตร แต่เมื่อรวมกับสะพานต่อเนื่องบนบกของฝั่งไทยก็จะมีความยาวรวม 630 เมตร

นอกจากนี้ ยังมีโครงการเสริมคือการสร้างถนน 4 ช่องจราจรในฝั่งไทยอีกประมาณ 5 กิโลเมตรโ ดยกันเขตทางเอาไว้ 60 เมตร และถนน 2 ช่องจราจรในฝั่ง สปป.ลาว ระยะทาง 60 กิโลเมตร เขตทาง 50 เมตร รวมทั้งสร้างอาคารด่านพรมแดนทั้งฝั่ง อ.เชียงของ และเมืองห้วยทราย เป็นรูปแบบศิลปะล้านนาผสมผสานกับศิลปะประจำถิ่น และกันพื้นที่ไว้เป็นจุดจอดรถ คลังสินค้า ส่วนขยาย ฯลฯ และสร้างจุดเปลี่ยนการจราจรในฝั่ง อ.เชียงของ เพื่อให้สอดคล้องกับการจราจรในฝั่ง สปป.ลาว และจีนด้วย

ล่าสุดโครงการนี้ได้ประกวดราคาจัดหาเอกชนเพื่อทำการก่อสร้างแล้ว ด้วยงบประมาณร่วมไทย-จีน ประมาณ 1,650 บาท กำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบสัญญา ก่อนที่จะเริ่มก่อสร้างได้ในเดือนมีนาคม 53 และให้แล้วเสร็จในปี 2555 หรือภายในระยะเวลา 30 เดือนต่อไป

วันเดียวกัน (21 ม.ค.)ในช่วงเย็นนายโสภณ และคณะจะเดินทางไปยังสำนักงานแห่งใหม่ของแขวงการทางเชียงรายที่ 1 ประชุมร่วมกับหน่วยงานในสังกัดใน จ.เชียงราย เพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการต่าง ๆ จากนั้นเดินทางไปตรวจราชการ ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารเชียงรายแห่งที่ 2 ต.สันทราย อ.เมืองเชียงราย

โดยในวันพรุ่งนี้ (22 ม.ค.) คณะ รมว.คมนาคมจะเดินทางไปยังห้องประชุม ศูนย์บูรณาการและการเรียนรู้ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เปิดการสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “แนวทางการพัฒนาจังหวัดเชียงราย” ซึ่งมีรายงานว่า จะมีการเปิดเผยถึงความคืบหน้าในการพัฒนาเส้นทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย ที่มีการผลักดันกันมานาน แต่ล่าสุดรัฐบาลกลับให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กลับไปศึกษาความคุ้มทุนกันใหม่อีก ทำให้โครงการไม่มีการก่อสร้างอีกเช่นเคย
ขณะที่หน่วยงานองค์กรต่างๆ ในพื้นที่ เช่น อบจ.เชียงราย มหาวิทยาลัยทุกแห่ง ภาคสื่อมวลชน ฯลฯ ต่างพยายามผลักดันในเรื่องนี้ไปยังกระทรวงคมนาคม ซึ่งอยู่ในขั้วพรรคภูมิใจไทยอย่างเต็มที่

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9530000008816


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย คลิ๊กนี้เลย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 มกราคม 2010, 14:33:53
ชงสารพัดโปรเจกต์รับลุ่มน้ำโขงโต ทั้งเปิดด่านเพิ่มรอบทิศ-รื้อลอจิสติกส์ เหนือ

เชียงราย – รัฐ-เอกชน เร่งชงสารพัดโครงการรองรับกรอบการพัฒนาลุ่มน้ำโขง ทั้งเปิดด่านเพิ่มรอบชายแดน ปลุกผีรถไฟเด่นชัย – เชียงราย ขณะที่ผู้ว่าฯเชียงใหม่ นำทีมเจรจา “อลงกรณ์” ดันรัฐบาล “มาร์ค” รื้อลอจิสติกส์ 10 จังหวัดภาคเหนือเพิ่มศักยภาพการขนส่ง

นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ เปิดเผยภายหลังจัดประชุม คสศ.หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ ครั้งที่ 1/2553 ณ โรงแรมพิมานอินน์ อ.เมือง จ.เชียงราย เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า คสศ.ได้ทำเรื่องถึงเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ เพื่อให้มีการผลักดันให้มีการจัดหาที่ดินบริเวณเชิงสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อมกับถนน R3a ในฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว )ที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย โดยกันที่ดินมาใช้ในการเป็นศูนย์บริการด้านลอจิสติกส์โดยเฉพาะภาคการขนส่งระหว่างไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ซึ่งสภาพัฒน์ได้เห็นชอบในหลักการไปแล้วและมอบหมายให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้เข้าไปศึกษาวิจัยให้แล้วเสร็จภายในเดือน กันยายน 2553

นายพัฒนา กล่าวว่า หลังการดำเนินการแล้วดังกล่าว คสศ.หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ ได้มีการประชุมกันในครั้งนี้และมีมติให้จัดทำหนังสือข้อเรียกร้องผ่านนายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งรับผิดชอบดูแลด้านลอจิสติกส์ของรัฐบาลและเดินทางมาร่วมสัมมนาเรื่อง GMS ในทศวรรษใหม่ เพื่อให้พิจารณาเสนอต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้พิจารณาดำเนินการอีกหลายเรื่อง

ได้แก่ ให้เปิดจุดผ่านแดนใหม่ในภาคเหนือโดยเฉพาะที่ด่านบ้านห้วยผึ้ง อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน ด่านกิ่วผาวอก จ.เชียงใหม่ ให้รัฐบาลได้มีการเจรจาระหว่างประเทศเพื่อให้เกิดการเปิดด่านต้าลั๊ว บนถนน R 3 b เชื่อมไทย-พม่า-จีนตอนใต้ ซึ่งด่านนี้เป็นจุดเชื่อมระหว่างจีนตอนใต้กับพม่า แต่ถูกปิดใช้งานมานานหลายปีแล้ว และหากเปิดใช้งานได้ก็จะมีระยะทางในการขนส่งสินค้าและท่องเที่ยวจาก จ.เชียงราย สู่จีนตอนใต้ ได้ใกล้เคียงกับถนน R3a ที่ผ่าน สปป.ลาว
นอกจากนี้ยังได้เสนอให้มีการพัฒนาระบบรถไฟรางคู่จาก อ.เด่นชัย จ.แพร่ สู่เชียงราย ให้สำเร็จในรัฐบาลชุดนี้หลังจากเรื่องยืดเยื้อมานานหลายสิบปีแล้ว

นายประสพสุข พ่วงสาครา ผู้อำนวยการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานภาคเหนือ ในฐานะที่ปรึกษา คสศ.หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ กล่าวว่า ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ประเทศจีนได้มีการเปิดใช้รถไฟความเร็วสูงจากเมืองหูเป่ยหรืออู่ฮั่น ลงมาถึงเมืองฉางซา เมืองหลวงของมณฑลหูหนัน และต่อมายังเมืองกว่างโจว มณฑลกวางตุ้งแล้ว รวมทั้งกำลังจะเชื่อมต่อมายังเมืองเซินเจิ้น เขตเศรษฐกิจพิเศษที่สำคัญในภาคใต้ด้วย

รถไฟความเร็วสูงดังกล่าวทำความเร็วได้ถึง 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งถือว่าเร็วที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาระบบการขนส่งทั่วประเทศของจีนให้เชื่อมถึงกันทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็ว คาดว่าภายใน 10-15 ปีข้างหน้ารถไฟความเร็วสูงดังกล่าวจะเชื่อมต่อไปยังมณฑลต่างๆ อีก และลงสู่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งมีการค้าขายกับประเทศไทยผ่าน จ.เชียงราย โดยตรง จากนั้นคงจะเชื่อมต่อลงไปยังกลุ่มอาเซียนอื่นๆ คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ต่อไป ดังนั้น การเตรียมการรองรับระบบการขนส่งอันเกิดจากการถาโถมลงมาของเศรษฐกิจจีน จึงเป็นสิ่งที่ดี

ด้านนายวิรุณ คำภิโล ประธานหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่าปัจจุบันเชียงรายมีการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านผ่าน 3 จุดผ่านแดนถาวรที่ อ.แม่สาย อ.เชียงแสน และ อ.เชียงของ โดยถนน R3a ซึ่งเชื่อมกับจุดผ่านแดนถาวร อ.เชียงของ มีความคึกคึกมากขึ้นตามลำดับ หลังถนนแล้วเสร็จ และกำลังมีโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมระหว่าง อ.เชีย'ของ กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ด้วย ดังนั้นในอนาคตคงต้องให้ความสำคัญต่อระบบลอจิสติกส์เพราะเป็นต้นทุนของการค้าถึง 17% แต่ที่ประเทศสิงคโปร์มีการจัดระบบลอจิสติกส์ดีมาก จึงทำให้ต้นทุนลดลงเหลือ 10% ซึ่งตนเห็นว่าการผลักดันเรื่องรถไฟเด่นชัย-เชียงราย เป็นหนึ่งในการพัฒนาระบบลอจิสติกส์ของ จ.เชียงราย

นายสุพจน์ กลิ่นปราณีต ประธานหอการค้า จ.แม่ฮ่องสอน กล่าวว่า เหตุที่ต้องผลักดันให้มีการเปิดจุดผ่อนปรนไทย-พม่า ที่บ้านห้วยผึ้งเนื่องจากจุดดังกล่าวตั้งอยู่ห่างจากเมืองเนปิดอร์เมืองหลวงใหม่ของประเทศพม่าเพียงประมาณ 200 กิโลเมตร และสามารถเชื่อมต่อไปยังเมืองใหญ่ต่างๆ ของพม่ารวมทั้งผ่านไปยังประเทศบังกลาเทศ อินเดียหรือขึ้นสู่จีนตอนใต้ได้

ในโอกาสนี้นายอมรพันธ์ นิมานันท์ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงใหม่ ได้นำคณะตัวแทนจากภาครัฐและเอกชนในภาคเหนือ นำเสนอเรื่องการพัฒนาระบบลอจิสติกส์ในภาคเหนือเพื่อให้รัฐบาลนำไปดำเนินการ โดยเสนอให้มีการศึกษาเพื่อพัฒนาระบบลอจิสติกส์ระหว่าง 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน กับจังหวัดที่เกี่ยวข้องคือพิษณุโลก ตาก และอุตรดิตถ์ หรือ 8 บวก 3 แต่นายอลงกรณ์ ขอให้ทุกจังหวัดได้กลับไปประชุมหารือกันอีกครั้ง เพื่อแจ้งรายละเอียดในการศึกษาร่วมกันให้ชัดเจนจากนั้นให้นำเสนอไปยังรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง

นายอมรพันธ์ กล่าวว่า ปัจจุบันการคมนาคมในกลุ่มประเทศ GMS โดยเฉพาะระเบียงเหนือ-ใต้ หรือไทย-จีนตอนใต้ ซึ่งมีการพัฒนาไปมากโดยมีการสร้างถนน สะพาน เส้นทางการบิน ทางเรือ ฯลฯ ถึงกันตลอด แต่ปรากฏว่าที่ผ่านมาแต่ละจังหวัดในภาคเหนือ ซึ่งกำลังจะได้รับผลกระทบจากการพัฒนาดังกล่าวโดยตรง กลับมีการพัฒนาในลักษณะต่างฝ่ายต่างดำเนินการทำให้ดูเหมือนว่าไม่ได้เชื่อมต่อถึงกัน โดยเฉพาะระบบลอจิสติกส์ไม่ได้หมายถึงแค่การขนส่งแต่หมายถึงทุกๆ อย่างในการนำสินค้าจากแหล่งผลิตไปสู่จุดจำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดังนั้นจึงได้เสนอให้รัฐบาลอนุมัติให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ศึกษาวิจัยใน 8 จังหวัดบวก 3 ดังกล่าว ว่าสภาพปัจจุบันเป็นอย่างไร และในอนาคตแต่ละจังหวัดควรจะทำสิ่งใด เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพและความเหมาะสมของตัวเอง รวมทั้งหาแนวทางเชื่อมโยงระบบลอจิสติกส์ร่วมกัน ทั้งนี้หากได้รับการอนุมัติงบประมาณก็คงจะใช้เวลาเพียง1 ปีเท่านั้น

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 20 มกราคม 2553 20:23 น.


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย คลิ๊กนี้เลย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 มกราคม 2010, 12:14:14

ข้อมูลจาก

โครงการศึกษาศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งบริเวณเชียงแสน-เชียงของ



ของ  ดร. ธนิต  โสรัตน์  มาให้ดู ครับ


(http://www.pixnice.com/upload/files/vndkblujnd4zjzjzvazm.jpg)




(http://www.pixnice.com/upload/files/1omgwdmxgztz2yycjmmz.jpg)




(http://www.pixnice.com/upload/files/0qjk5mnnmznv2ie0mixz.jpg)




(http://www.pixnice.com/upload/files/omrimfdmldgodinmhd3n.jpg)




(http://www.pixnice.com/upload/files/ryohzmzyiwyzf0jcm2wy.jpg)


(http://www.pixnice.com/upload/files/mqyz3od2qt3oug3yz4tz.jpg)


ท่านใดที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติ่มตามอ่านตรงนี้ได้เลยครับ (http://www.tanitsorat.com/file/53-2008-%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B9%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%96%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87re.ppt#257)


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย คลิ๊กนี้เลย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 มกราคม 2010, 12:17:08
มรดกทางวัฒนธรรม เชียงราย เมืองแห่งแกลลอรี่


ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการบริหาร สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน)


จะดีมากแค่ไหน ถ้าเราสามารถสร้างเศรษฐกิจไทยในกระแสใหม่ได้สำเร็จ...

วิกฤติก็วิกฤติเถอะ ผมเชื่อว่า...เรารอด เพราะรากฐานทางวัฒนธรรมของสังคมไทยเราเด่นชัดมาก ถ้าผู้ประกอบการเราเข้าใจและสามารถนำมาเชื่อมโยงปรับเป็นจุดขาย โดยสะท้อนให้เห็นถึงการสั่งสมความมั่งคั่งทางภูมิปัญญาของคนไทยในอดีต ผมมั่นใจครับว่า เราไม่เคยน้อยหน้าใคร

แต่เรามีความจำเป็นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ฐานธุรกิจที่มาจาก "ความคิดสร้างสรรค์" นั้นคืออะไร อย่างการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่หรือการประยุกต์ด้วยนวัตกรรมก็เป็นอีกแนวทางหนึ่ง ที่จะช่วยให้เราเกิดกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบและสร้างสรรค์ สามารถผลิตสินค้าและบริการที่โดนใจตลาดโลกได้

ถ้าเราเข้าใจตรงนี้แล้ว และมีคนช่วยเชียร์เยอะๆ คนไทยก็จะหันมาให้ความสนใจเรื่อง Creative Economy กันมากขึ้น และให้คิดเสียว่าเรื่องเหล่านี้สามารถช่วยผู้ประกอบการทำมาค้าขายได้ดี ตรงจุดนี้ประเทศชาติก็ได้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนั้น การผลักดันความคิดสร้างสรรค์ ให้เป็น "วาระแห่งชาติ" จึงเป็นสิ่งจำเป็น

เดิมทีเดียว "วาระแห่งชาติ" ของประเทศไทย จะเน้นหนักไปที่ธุรกิจเพื่อการส่งออกเป็นสำคัญ ที่ผ่านมาเราก็ทำได้ดี ทั้งในแง่ปริมาณ คนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนิคมอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการการส่งเสริมการลงทุน (BOI)

แต่เวลานี้ ในโลกปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปมาก กระแสของโลกสมัยใหม่กำลังเลี้ยวเข้าสู่ตลาดธุรกิจที่มาจากพื้นฐานของความคิดสร้างสรรค์เป็นหลัก เราจึงต้องพยายามผลักดันให้วาระแห่งชาติเกิดขึ้นให้ได้ เพื่อสร้างความตื่นตัวและเป็นแนวทางให้ภาคเอกชนเดินหน้าอย่างถูกต้องและถูกใจตลาด กระทรวงพาณิชย์ แทนที่จะทำหน้าที่จัดโควตา ก็ปรับเป็นกระทรวงส่งเสริมการส่งออก ซึ่งเป็นกรมที่มีศักดิ์มีศรี และมีความสำคัญยิ่งกับวาระแห่งชาติที่กล่าวถึง

เรามาถามต่อว่า ธุรกิจสร้างสรรค์ที่จะทำเป็นวาระแห่งชาติหมายถึงอะไร ใช่หรือไม่ หรือถ้ายังไม่ทำ อยากทำไหม นี่ก็จะโยงมาถึงสิ่งที่เราพูดกันมาตั้งแต่แรก นั่นคือ Culture Industry ที่ผ่านมา ผมย้ำไปหลายครั้งแล้วว่า ถึงเวลาแล้ว ที่คนไทยจะต้อง "ต่อยอด" จากสังคมอุตสาหกรรม มาเป็นสังคมแห่งวัฒนธรรม

ซึ่งมรดกทางวัฒนธรรมไทยนั้น น่าสนใจและมีคุณค่ามาก ผมเชื่อว่า ผู้ประกอบการไทยสามารถนำมาต่อยอดให้เข้ากับตลาดท่องเที่ยวได้ ผลที่ตามมาเราก็จะได้ตลาดใหม่ที่เกี่ยวเนื่องทั้งเรื่องที่พัก ภัตตาคาร และขายของที่ระลึก โดยประยุกต์ดัดแปลงให้ดูดี มีรสนิยม ถ้าทำได้ เราก็โชว์ได้

กิจกรรม หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับมรดกทางวัฒนธรรมถือเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่รัฐบาลประกาศสนับสนุน เพื่อมุ่งสู่การทำธุรกิจบนความคิดสร้างสรรค์ ถามว่า เรามีความพร้อมมากไหม ผมว่า มีมากนะครับ และที่เห็นอยู่ก็มีหลายแห่งกำลังทำและทำได้ดีด้วย อาทิเช่น อยุธยา สุโขทัย เป็นแหล่งมรดกวัฒนธรรมไทยที่มีชื่อเสียงระดับโลก นักท่องเที่ยวต่างชาติชอบมากๆ ผมเองก็ภูมิใจกับของดีมีอยู่

แต่มีบางจุดเราอาจเสริมเข้าไป เพื่อให้เกิดคุณค่าในเรื่องการต่อยอด ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงจากสุโขทัยมาอยุธยานั้น เปลี่ยนไปทางไหน ผ่านเมืองอะไรมาบ้าง นี่คือจุดต่อเนื่อง เราก็ควรพัฒนาจุดต่อเนื่องนี้ให้เป็นไปในลักษณะเชื่อมโยงเรื่องสถานที่ได้

ส่วนธุรกิจในข่ายศิลปะการแสดง หรือการชม อาทิเช่น รูปภาพ งานแกะสลัก งานศิลป์ที่เป็นวิช่วลอาร์ท หรือเพอร์ฟอร์มมิ่งอาร์ท เรามีของดีแบบนี้เยอะมากเลยครับ หากเราจัดระบบจัดการที่ดี "ของดี" ที่มีอยู่มากมายทั่วประเทศไทย เราก็สามารถพัฒนาให้เป็น "เมืองแห่งแกลลอรี่" ได้ไม่ยาก เช่นเดียวกับบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ที่ผมเคยไปดู เขาสนับสนุนแกลลอรี่เป็นอาชีพชัดเจน แถมมีกิจกรรมที่ต่อเนื่องด้วย อย่างเวลามีงานแกลลอรี่ ก็มีเรื่องการท่องเที่ยวเข้ามาเชื่อมโยงโดยขายเมืองอูบุตไปด้วย นักท่องเที่ยวสามารถเดินทาง จากแกลลอรี่นั้นไปแกลลอรี่นี้ได้สะดวก ถือเป็นหมู่บ้านแกลลอรี่ที่ดีมาก

ถามว่าประเทศไทย ทำได้หรือไม่ ผมตอบได้เลย ทำได้ครับ จังหวัดเชียงราย ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของกรณีศึกษาของ Culture Industry ที่น่าจะไปได้ดี ปัจจุบันภาพเมืองเชียงรายที่เห็นได้พัฒนาและกลายเป็น "เมืองแห่งแกลลอรี่" ไปบ้างแล้ว โดยมีภาคเอกชนนำร่องไปก่อน เนื่องจากมีแม่เหล็กตัวใหญ่ คือ คุณถวัลย์ ดัชนี และอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินชื่อดังเป็นผู้บุกเบิก นำผลงานมาแสดงและสร้างงานให้คนท้องถิ่นเกิดรายได้ เท่าที่ทราบตอนนี้เริ่มมีอาจารย์ท่านอื่นๆ ก็เริ่มไปเปิดแกลลอรี่ที่เชียงรายมากขึ้นเรื่อยๆ นับเป็นข่าวดีท่ามกลางกระแสวิกฤติเศรษฐกิจ

ผมมาคิดต่อ ถ้าเราจัดเรื่องพวกนี้ให้เป็นกรุ๊ป ทำแผนที่ แกลลอรี่แมป ขึ้นมา เหมือนเมืองอูบุตในบาหลี อินโดนีเซีย เป็นเครื่องมือบอกข้อมูลข่าวสารแก่นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ ว่า ถนนนี้ มีเรื่องนี้ ถนนนั้นมีเรื่องนั้น คนที่ไปชมก็จะนึกภาพรวมออก และรู้จุดมุ่งหมายว่า ควรจะไปชมไปซื้ออะไรได้ที่ไหน ซึ่งเมืองเชียงใหม่ก็สามารถพัฒนาเป็นเมืองแกลลอรี่ได้เช่นกัน และควรทำแผนที่แผนผังให้เป็นเรื่องชัดเจน เพราะที่นี่ก็มีกลิ่นอายของวัฒนธรรมมาแต่โบราณกาล

ในความเห็นผม ศิลปินไทย และอินโดนีเซีย ไม่ต่างกันเลย เพราะทุกอย่างได้รับอิทธิพลมาจากประเทศตะวันตกเหมือนกัน ศิลปินไทยที่วาดภาพได้หลายมิติ ล้วนร่ำเรียนมาจากอาจารย์ศิลป์ พีระศรี สมัยก่อนไม่มีมิติ เป็นแบบแบนๆ ศิลปะเหล่านี้เราได้จากอิตาลี ส่วนอินโดนีเซียเขาได้จากเยอรมนี ซึ่งมาจากเรเนซองเหมือนกัน ที่ต่าง คือ "โลคัล ซีน" เท่านั้น

ล่าสุด เวลานี้ที่เวียดนามก็มีสตรีท แกลลอรี่แล้ว เป็นภาคเอกชนที่ทำกันเอง รัฐบาลเขาไม่ได้เข้าไปช่วย เพียงทำแผนผังให้เป็นระบบ ส่วนเอกชนเขาต่างคนต่างขาย หรืออย่างประเทศจีนก็มีศูนย์กลางแกลลอรี่ที่ดีมาก เปิดโอกาสให้ศิลปินมาร่วมงานขายของ รัฐจัดสถานที่ให้ โดยใช้พื้นที่ไม่มาก แต่เอามาพัฒนาสร้างประโยชน์ได้มาก

สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้นอกห้องเรียนที่คนไทยควรศึกษา ยิ่งถ้าเราช่วยกันยกระดับความสำคัญของเศรษฐกิจ โดยมุ่งพัฒนาธุรกิจบนความคิดสร้างสรรค์ และจัดระบบให้เป็น "วาระแห่งชาติ" แล้ว

ความสำเร็จก็อาจอยู่แค่เอื้อม!


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย คลิ๊กนี้เลย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 24 มกราคม 2010, 14:37:07
quote author=crh999 link=topic=4068.msg18833#msg18833 date=1259729061]
วันนี้อ่านข่าวเชียงราย จาก www.skyscrapercity.com คุณเหนือสยาม ได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจ คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องชาวเชียงรายครับ เลยส่งมาให้อ่านดู คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ทั้งด้านงานการพัฒนา, การลงทุน, การส่งเสริม ป้องกันปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น และการตั้งมือรับ พร้อมให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่คนรุ่นหลัง จะได้ตั้งตัว เตรียมใจ ให้เชียงรายให้น่าอยู่ จะได้ไม่เป็นการยัดเยียดสิ่งที่สังคมเมืองไม่ต้องการมาให้ แต่อยากให้เป็นการผสมผสานกลมกลืนกันอย่างลงตัว อันจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย ทั้งประโยชน์ส่วนตน และประโยชน์ส่วนรวมครับ
 
คิดว่าข้อมูลต่อไปนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ
 
พอ.วุฒิชัย
 
-------------------------------
 
เชียงราย กำลังสร้างห้างใหม่ในเครือเซ็นทรัล เป็น ตัวเสริมของการท่องเที่ยวเชียงราย ที่ห้างต่างๆ มาลงทุนนั้นเพื่อรองรับการลงทุนของเศรษฐกิจของ จ.เชียงราย ที่เติบโตทุกวัน แต่ถามว่าถ้าคนในเมืองมาเที่ยวเชียงรายต้องการอะไร คงไม่ใช่หวังแค่ห้างครับ เพราะคนกรุงเทพฯ ทำงานอยู่ในเมืองก็มีที่เที่ยวช็อบให้เดินหลายที่
 
มาเชียงรายเราต้องเน้นภาคการท่องเที่ยว โดยจุดยืนที่ภาครัฐ หน่วยงานต่างๆ ร่วมมือกัน เชียงราย วันนี้มีอะไร ลองสรุปใจความสาระที่พอเป็นไปได้ และโครงการต่างๆ พอทราบจากสื่อข่าวที่ลงไว้ซื้ออ่าน (เพราะที่บ้านหาซื้อ นสพ.ท้องถิ่นไว้หลายสำนักพิมพ์ท้องถิ่น) สรุปโครงการและสิ่งดีๆ ที่จะเกิดในเชียงรายดังนี้ (อ่านให้จบนะ)

- เตรียมจัดงานเชียงรายดอกไม้งาม 26 ธ.ค.52 - 4 ธ.ค.53 มีประกวดนาวสาวถิ่นไทยงาม ถ่ายทอด NBT

- เอสจีเอ เปลี่ยนเป็นนกมินิ เปิดบินเชียงราย - จิ่งหง ตามการขยายฝูงบินเพิ่มโดยนำเครื่อง SAAB 340B จำนวน 33 ที่นั่ง 2 ลำมาเปิดบินในเส้นทาง-สิบสองปันนา ประเทศจีน

- งานมหกรรมวัฒนธรรมสัมพันธ์ลุ่มน้ำโขง 16 - 23 ม.ค.53

- ยินดีต้อนรับท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงรายคนใหม่ นายพรหมโชติ ไตรเวช ย้ายมาจากภูเก็ต เมืองท่องเที่ยวระดับสากล คนทำงานเก่ง ดีกรีสองปริญญา มาจากเมืองท่องเที่ยวหลัก มาถึงเตรียมร่างแผนพัฒนาการท่องเที่ยวทันที (ภารกิจที่มุ่งหวังของท่านคือประการ 1. ศูนย์การท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับยูนานบนเส้นทาง R3A 2. ให้เชียงรายเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับสากล 3. ตั้งเป้าหมายให้เชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางให้นักท่องเที่ยวทั้งในและต่าง ประเทศมากเพิ่มขึ้นกว่าปัจจุบัน ทั้งหมดนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์ของ จ.เชียงรายในปี 53-56

- ท่านผู้ว่าสุเมธ แสงนิ่มนวล สั่งการถอยหลัง 750 ปี จ.เชียงรายตั้งแต่ 1 ม.ค.53 เป็นต้นไป พี่น้องชาวเชียงรายเตรียมรับงานใหญ่ของแผ่นดินล้านนากัน

- 6 เดือน - ผู้ว่าสุเมธฯ รายงานประชาชน รุก ท่องเที่ยว การค้า การลงทุน สานสัมพันธ์จีน ส่งเสริม วัฒนธรรม ศึกษา สาธารณูปโภค เกษตร โดยมีเนื้อหาสรุปพอจับใจความดังนี้

- จัดให้มีการประชุมจับคู่เจรจาทางการค้ากับประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ำ โขง 6 ประเทศ ที่ จ.เชียงราย ระหว่างวันที่ 8-15 ธ.ค.52 ทางมณฑลยูนนานโดยสายการบินอีสเทิร์นไชน่า จะเปิดเส้นทางบิน คุณหมิง-สิบสองปันนา-กรุงเทพฯ เร็วๆ นี้ โดยได้ขอเจรจากับจีนให้ผ่านมาลงเชียงรายด้วยซึ่งทางจีนก็รับไว้เจรจากับสาย การบินแล้ว

- มีโครงการถนนไร้ฝุ่น จากกรมทางหลวงชนบท 200-300 ล้านบาท สร้างถนนเข้าชุมชน ด้านประปาพร้อมติดตั้งแบบดื่มได้และมีน้ำใช้

- ด้านการขนส่ง จัดรถเมล์วิ่งรอบเมืองวจนถึงสนามบิน และมีโครงการสร้างสถานีขนส่งที่ อ.เชียงของ เพื่อรองรับการสร้างสะพานเชื่อมไทยลาวที่แขวงบ่อแก้ว

- สร้างศูนย์คอนเทนเนอร์ที่ อ.เชียงของ เพื่อเป็นจุดพักสินค้าที่จะผ่านมา ทำให้อนาคต อ.เชียงของ จะมีความเจริญมากขึ้น ในเวลานี้เริ่มมีกลุ่มนักลงทุนเข้ามาเตรียมพื้นที่ก่ารลงทุนแล้ว

- ที่ อ.เชียงแสน จะมีการสร้างท่าเรือเชียงแสน แห่งที่ 2 คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2554 ต่อ 2555 เช่นกัน

- แนวคิดพัฒนา จ.เชียงราย เป็นเมืองแห่งดอกไม้ City in the Garden โดยให้ทาง อปท.จัดปลูกดอกไม้ให้ทั่วเมือง ปรึกษาให้เทศบาลนครเชียงรายปลูกต้นไม้สวยๆ วางไว้หน้าบ้านเรือนทุกหลัง เพื่อเปิดศักราชเมืองแห่งดอกไม้ ผลดีของการท่องเที่ยวก็จะตามมา

- การจัดแสดงแสงสีเสียง เพื่อเตรียมงานครบรอบ 750 ปี โดยท่าน อ.เฉลิมชัยได้นำความคิดจากการแสดงแสงสีเสียงที่ไปเห็นมาจากเมืองกุ้ยหลินและ ลี่เจียง ประเทศจีน เป็นการแสดงครบรอบ 60 ปีของจีนที่ใหญ่อลังการ นำมาเทียบเคียงใช้กับเชียงรายเป็นการเล่าเรื่อง การสร้างเมืองเชียงราย ใช้นักแสดงที่เป็นชาวบ้านแต่งกายให้สวยงาม จัดแสดงให้ยิ่งใหญ่ จัดทุกวัน เมื่อมีนักท่องเที่ยวมาเชียงรายต้องเดินทางมาดูการแสดงนี้ทุกคณะ

- ท่าอากาศยานเชียงราย ครบรอบ 11 ปี วางแผนพัฒนา 3 ด้านสู่มาตรฐานสากล โดยในข่าวแจ้งการทำหลุมจอดเพิ่มเพื่อรองรับเที่ยวบินที่จะเพิ่มขึ้น

- ดร.เทอด รับมอบตำแหน่งอธิการ ม.แม่ฟ้าหลวง ยืนยันสืบสานต่อปณิธาน ดำเนินงานแนวทางเดิม ดร.วันชัย ประกาศช่วยงานเต็มที่ด้วยความสุข ความเติบโตของ มฟล. เป็นไปแบบก้าวกระโดด โตแบบเชิงรุก ทำในสิ่งที่ใหม่ แตกต่างจากที่อื่น และดีกว่า เป็นมหาวิทยาลัยในความต้องการของประชาชน

- ครบรอบ 1 ปีถนนคนเดิน กาดเจียงฮายรำลึก ได้ฤกษ์เปิดรถรางนำเที่ยว

- เทศบาลนครเชียงรายจะพัฒนาลำน้ำกกสายในจากหน้า รร.ดุสิตถึง รร.เดอะลีเจ้นท์ มีการพัฒนาตามโครงการคลองสวยน้ำใส ตอนนี้กำลังขออนุญาตจากกรมพาณิชย์นาวีอยู่

- วัฒนธรรม แจ้งกฐินหลวง มีโขนกรมศิลป์ครั้งแรกที่เชียงรายแจง 750 ปี เชียงราย เตรียมพร้อมนับถอยหลังปี 53

- เทงบ 2 พันล้าน ผุดถนน 8 เลน เชื่อมยุทธศาสตร์ค้าชายแดน โดยรัฐบาลอนุมัติจัดสร้างถนน 8 เลน จาก อ.แม่จัน - อ.เชียงแสนในปี 2553 วงเงิน 1,160 ล้านบาท และ อ.เชียงแสน- อ.เชียงของ อีก 840 ล้านบาท และจัดว่าจ้างก่อสร้างถนน 4 ช่องจราจรสาย อ.เมือง - อ.เชียงของ ระยะทาง 75 กม. เพื่อเชื่อมไปยังสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ คาดว่าแล้วเสร็จ 2557

- จัดล่องเรือแม่น้ำกกจากเชิงสะพานแม่ฟ้าหลวงไปถึงสนามกอล์ฟค่ายทหาร หลังศาลากลางหลังใหม่ ชมบรรย่ากาฦศล่องเรือยามค่ำดื่มด่ำแม่น้ำกก

- เทศบาล ต.บ้านดู่นำงบจากการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ปรับพื้นที่อาคารอาบน้ำแร่ อันซีน 1 ใน 4 บ่อน้ำพุร้อนใต้ภิภพ จัดสร้งพื้นที่โฮมสเตย์ระดับ VIP แหล่งพักใกล้ชิดธรรมชาติ อยู่ใกล้เมือง จุดเสน่ห์ใหม่ที่จะใช้ดึงดูดนักท่องเที่ยว

- ด้านการค้าชายแดน อ.แม่สายคึกคักหลั่งไหลเข้ามาเที่ยว มีแนวโน้มทรงตัวและดีขึ้น กลับสู่ช่วงปกติ

- ททท.วางแผนกิจกรรมหารท่องเที่ยวดังนี้ 1. งานจุลกฐิน วัดพระธาตุผาเงา อ.เชียงแสน 2. โครงการ 7 Amazing Chiangrai 3. งานครบรอบ 1 ปี โครงการถนนคนเดิน กาดเจียงฮ่ายรำลึก" 4. งานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม 5. ไหว้พระธาตุ 9 จอม ในอำเภอต่างๆ ในพื้นที่ จ.เชียงราย 6. งานดอกเสี้ยวบาน บนดอยภูชี้ฟ้า 7. เทศกาลชมดอกทิวลิปบานบนดอยผาหม่น อ.เทิง 8. โครงการม้าไทยนำเที่ยว อ.แม่จัน 9. งานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2553 10. โครงการรถรางรอบเมืองเชียงราย และ 11. โครงการนั่งสามล้อ ผ่อเวียง แอ่วเจียงฮาย

- จัดตั้งตึกโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จำนวน 9 ชั้น ตอนนี้ล้อมรั้วเพื่อเตรียมการก่อสร้างแล้ว

- โครงการโรงเรียนนานาชาติเชียงราย อยู่ที่บ้านสันตาลเหลือง

ทั้ง หมดนี้เป็นโครงการที่พอสรุปเป็นหัวข้อหลัก โดยที่มาจากการอ่านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเชียงรายทูเดย์ และเชียงรายนิวส์ ขอขอบคุณที่นำเสนอข่าวดีๆ พอเป็นข้อมูลของ จ.เชียงราย เพื่อการพัฒนาให้เป็นเมืองน่าอยู่ต่อไปครับ
 มีภาพประกอบนะครับ คนเชียงรายได้เที่ยวห้างที่เป็นตัวเลือกอีกหนึ่งห้างนอกจาก บิ๊กซีครับ เซนทรัลครับ เห็นว่าจะมาพร้อมโรงหนังด้วยนะครับ และก็ภาพถนนสายเอเชีย (ซุปเปอร์ไฮเวย์) ด้านทิศเหนือเข้าในเมืองครับ ถ่ายจากสะพานลอยตรงฝั่งบิ๊กซี
เชียงรายจงเจริญ..................

[/quote]


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย คลิ๊กนี้เลย
เริ่มหัวข้อโดย: salao ที่ วันที่ 25 มกราคม 2010, 20:54:52
เป็นกำลังใจให้สำหรับการเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆ มาฝากชาวเชียงรายครับ


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย คลิ๊กนี้เลย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 มกราคม 2010, 12:55:53
กรมทางหลวงกำหนดโครงการขนส่งพื้นฐานเชื่อมต่อประเทศลุ่มน้ำโขง




กรุงเทพฯ 25 ม.ค. - นายวีระ เรืองสุขศรีวงศ์ อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยหลังสัมมนาการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการระบบคมนาคมขนส่งจังหวัดเชียงราย ว่า ขณะนี้กรมทางหลวงมีโครงการรองรับยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการขนส่งในจังหวัดเชียงราย และพื้นที่ภาคเหนือตอนบน เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการคมนาคมขนส่งสินค้า และ ท่องเที่ยวมากขึ้น

ทั้งนี้ โครงการต่าง ๆ จะประกอบด้วย การก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงของตาม โครงการสะพานข้ามแม่น้ำโขงตามแนวเศรษฐกิจเหนือ - ใต้ (ห้วยทราย- เชียงของ) ของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยร่วมกันรับผิดชอบฝ่ายละเท่ากัน ในวงเงินค่าก่อสร้าง 1,624 ล้านบาท ซึ่งความคืบหน้าในขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจเอกสารและลงนามในสัญญาคาดว่าจะลงนามาได้ในเดือนมีนาคม 2553 ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ จะก่อให้เกิดประโยชน์กับอนุภูมิภาคแห่งนี้ ในด้านการค้าการลงทุน มีความสะดวกในการคมนาคมขนส่งและการติดต่อกัน รวมทั้งศักยภาพด้านการท่องเที่ยวระหว่างเชียงรายถึงคุนหมิงอีกด้วย

นอกจากนี้ ยังมีโครงการสนับสนุนเพื่อรองรับสะพานเชียงของและท่าเรือเชียงแสน 2 ซึ่งปัจจุบันกรมทางหลวงมีแผนที่จะปรับปรุงถนน ก่อสร้างและขยายทางหลวงหมายเลข 1152 จากจังหวัดเชียงราย - อำเภอพญาเม็งราย - บ้านต้าตลาด และทางหลวงหมายเลข 1120 จาก บ้านต้าตลาด – อำเภอเชียงของ ระยะทางรวม 110 กิโลเมตร ให้เป็นถนนขนาด 4 ช่องจราจร ส่วนการพัฒนาเส้นทางรองรับท่าเรือเชียงแสน 2 กรมทางหลวงยังมีแผนงานโครงการพัฒนาทางหลวงรองรับการก่อสร้างท่าเรือเชียงแสน 2 ได้แก่โครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 1061 จาก อำเภอแม่จัน – อำเภอเชียงแสน (รวมทางเลี่ยงเมืองเชียงแสน ระยะทางระยะ 37 กิโลเมตร) ให้เป็นถนนขนาด 4 ช่องจราจร ก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 1290 จากอำเภอแม่สาย – อำเภอเชียงแสน ระยะทาง 36 กิโลเมตร ให้เป็นถนน 4 ช่องจราจร โครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 1129 จากอำเภอเชียงแสน–อำเภอเชียงของ ระยะทาง 59 กิโลเมตร ให้เป็นถนน ขนาด 4 ช่อง จราจร และการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองเชียงราย ระยะทาง 28 กิโลเมตร โดยจะทำเป็นโครงการก่อสร้างขนาด 4 ช่องจราจร

โครงการทางหลวงหมายเลข 1290 อำเภอแม่สาย – อำเภอเชียงแสน ส่วนที่ 1 ระยะทาง 30.46 กิโลเมตร ค่างาน 598 ล้านบาท สัญญา 1 ตุลาคม 2552 – 21 สิงหาคม 2554 , ทางหลวงหมายเลข 1290 อำเภอแม่สาย – อำเภอเชียงแสน ส่วนที่ 2 ระยะทาง 8.00 กิโลเมตร ค่างาน 300 ล้านบาท ทางหลวงหมายเลข 1016 อำเภอแม่จัน – อำเภอเชียงแสน ระยะทาง 19.2 กิโลเมตร ค่างาน 630.98 ล้านบาท สัญญา 7 ต.ค.52 – 26 ก.ย.54 ทางหลวงหมายเลข 1016 อ.แม่จัน – อ.เชียงแสน (รวมทางเลี่ยงเมืองเชียงแสน) ระยะทาง 16.402 กิโลเมตร ค่างาน 540 ล้านบาท (อยู่ระหว่างคิดราคา) ทางหลวงหมายเลข 118 เชียงใหม่ – เชียงราย ตอน 4 ระยะทาง 27 กิโลเมตร ค่างาน 900 ล้านบาท ทางหลวงหมายเลข 118 เชียงใหม่ – เชียงราย ตอน 3 ระยะทาง 40 กิโลเมตร ค่างาน 1,300 ล้านบาท ทางหลวงหมายเลข 118 เชียงใหม่ – เชียงราย ตอน 1(ดอยสะเก็ด – แม่เจดีย์) ระยะทาง 33 กิโลเมตร ค่างาน 1,300 ล้านบาท ทางหลวงหมายเลข 118 เชียงใหม่ – เชียงราย ตอน 2 (ดอยสะเก็ด – แม่เจดีย์) ระยะทาง 10 กิโลเมตร ค่างาน 420 ล้านบาท สะพานที่อำเภอเชียงของ ค่างาน 1,624 ล้านบาท (ปี 2553 – 2555) คาดว่าก่อสร้าง พ.ค. 2553

ทางหลวงหมายเลข 1020 เชียงราย - เชียงของ ตอน 1 ระยะทาง 11.1 กิโลเมตร ค่างาน 320 ล้านบาท สัญญา 9 ก.ย. 2552 – 31 พ.ค. 2554 ผลงาน 0.69% ทางหลวงหมายเลข 1020 เชียงราย - เชียงของ ตอน 2 ระยะทาง 18.9 กิโลเมตร ค่างาน 663.80 ล้านบาท สัญญา 10 พ.ย. 2552 – 30 ต.ค. 2554 ทางหลวงหมายเลข 1129 เชียงแสน – เชียงของ ระยะทาง 59 กิโลเมตร ค่างาน 995 ล้านบาท ทางหลวงหมายเลข 1020 เทิง – บ้านต้าตลาด ระยะทาง 25 กิโลเมตร ค่างาน 850 ล้านบาท ทางหลวงหมายเลข 1152,1020 เชียงราย - เชียงของ ตอน 3 ระยะทาง 75 กิโลเมตร

นายวีระ กล่าวอีกว่า เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ จะก่อให้เกิดประโยชน์กับอนุภูมิภาคแห่งนี้ ในด้านการค้าการลงทุน มีความสะดวกในการคมนาคมขนส่งและการติดต่อกัน รวมทั้งศักยภาพทางด้านการท่องเที่ยวระหว่างเชียงรายถึงคุนหมิงอีกด้วย. -สำนักข่าวไทย


http://news.mcot.net/economic/inside...ZudHlwZT10ZXh0


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย คลิ๊กนี้เลย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 มกราคม 2010, 12:58:30
เป็นกำลังใจให้สำหรับการเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆ มาฝากชาวเชียงรายครับ

เป็นกำลังที่ดีมากครับ เผื่อมีหลายท่านสนใจข่าวเรื่องการพัฒนาเชียงราย

นำไปใช้ประโยชน์ และคิดร่วมกันครับ

ขอบคุณมากครับ


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย คลิ๊กนี้เลย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 28 มกราคม 2010, 03:12:16
(http://www.chiangrai.net/cpoc/2009/Articles/Uploaded/298255110240CRLogo.gif)

กรมทางหลวง จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นโครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงเชียงราย – สะพานข้ามแม่น้ำโขง


*********************


นายวิชัย เรืองสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักแผนงาน กรมทางหลวง แจ้งว่า สำนักแผนงาน กรมทางหลวง ได้ว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาฯ เพื่อดำเนินการศึกษาความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรม และผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้าง 4 ช่องจราจร โครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงเชียงราย – สะพานข้ามแม่น้ำโขงที่เชียงของ ซึ่งในขั้นตอนของการศึกษาฯ จะต้องดำเนินการประชาสัมพันธ์ เผยแพร่โครงการ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในโครงการฯ


กรมทางหลวงได้เล็งเห็นความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชน อันจะเอื้อประโยชน์สูงสุดในการศึกษาฯ และสอดคล้องตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 จึงได้กำหนดให้มีการประชุมสัมมนาครั้งที่ 2 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอภาพรวมของโครงการ ความก้าวหน้าของการศึกษา สรุปผลการคัดเลือกรูปแบบทางเลือกที่เหมาะสม พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อการศึกษา ในวันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2553 เวลา 08.30-12.00 น. ณ ห้องแม่กก แขวงการทางเชียงรายที่ 1 อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายสุเมธ แสงนิ่มนวล จะกล่าวเปิดการประชุม ในเวลา 09.05 น


http://www.chiangrai.prdnorth.in.th/ct/news/viewnews.php?ID=100127142202 (http://www.chiangrai.prdnorth.in.th/ct/news/viewnews.php?ID=100127142202)


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย คลิ๊กนี้เลย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 28 มกราคม 2010, 15:49:19
เดินหน้าสร้างสะพานข้ามโขง4 วางศิลาฤกษ์เม.ย.นี้-แล้วเสร็จ2555

แนวหน้า 26/01/2010


เชียงราย:นายวีระ เรืองสุขศรีวงศ์ อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ระหว่าง อ.เชียงของ จ.เชียงราย กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน(สปป.)ลาว ด้วยงบประมาณก่อสร้างกว่า 1,650 ล้านบาท ว่า ขณะนี้ได้มีการเปิดซองประกวดราคาเพื่อจัดหาเอกชนดำเนินการก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ กลุ่มซีอาร์ 5-เคที จอยท์เวนเจอร์ ซึ่งเป็นการร่วมทุนกันระหว่างบริษัทไชน่า เรลเวย์ โน.5 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด จากประเทศจีน บริษัทกรุงธนเอ็นยิเนียร์ จำกัด จากประเทศไทย และได้ทำสัญญาก่อสร้างสะพานดังกล่าวให้แล้วเสร็จระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือนหรือปลายปี 2555

โดยรูปแบบของสะพานจะมีความยาวของตัวสะพาน 480 กิโลเมตร โดยมีช่วงถนนเชื่อมสะพานฝั่งไทย 150 เมตร และ ฝั่ง สปป.ลาว อีก 6 กิโลเมตร ตัวสะพานออกแบบให้มีสองช่องจราจรไปและกลับกว้าง 14.7 เมตร และมีไหล่ทางกว้าง 1.25 เมตร โดยแบบทั้งหมดเป็นแบบที่สมบูรณ์จะไม่มีการแก้ไขใดๆ อีก

ด้านนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม กล่าวว่า รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมมุ่งที่จะให้เชียงรายเป็นประตูสู่ประเทศเพื่อนบ้านในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงโดยเฉพาะการเชื่อมไทย-จีนตอนใต้ โดยสะพานแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 จะเป็นโครงข่ายที่สามารถเชื่อมกับถนน R3A ไทย-สปป.ลาว-จีน หรือเหนือ-ใต้ของกลุ่มประเทศ GMS ทั้งด้านการค้าและการท่องเที่ยว และขั้นตอนต่อไปคือการส่งมอบพื้นที่ให้กับกรมทางหลวงเพื่อเปิดให้เอกชนทำการก่อสร้าง

ส่วนกรณีที่กลุ่มทุนไทย-เกาหลีใต้ ได้รับสัมปทานพัฒนาพื้นที่ 1,200 ไร่ในฝั่งเมืองห้วยทราย สปป.ลาว แต่ไปขวางแบบแปลนที่กรมทางหลวงออกแบบให้สร้างถนนไกล 6 กิโลเมตร และด่านพรมแดนในฝั่ง สปป.ลาว ทับซ้อนกับพื้นที่สัมปทานดังกล่าวถึง 70 ไร่ นั้นปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในฝั่ง สปป.ลาว ซึ่งเชื่อว่าทาง สปป.ลาว คงจะเข้าไปจัดการได้.


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย คลิ๊กนี้เลย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 28 มกราคม 2010, 15:50:49
กดปุ่มสะพานข้ามโขงเชียงของ อีก30เดือนเปิดใช้-แฉกลุ่มทุนกาสิโนป่วน

วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7000 ข่าวสดรายวัน


เชียงราย - นายวีระ เรืองสุขศรีวงศ์ อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า จากกรณีที่กรมทางหลวงได้รับมอบหมายจากรัฐบาล ให้ออกแบบก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมไทย-ลาว แห่งที่ 4 ที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว เพื่อเชื่อมกับถนนอาร์สามเอ ไทย-ลาว-จีนตอนใต้ นั้น ล่าสุดได้เปิดซองประมูลก่อสร้างจากเอกชนหลายราย ตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค. ที่ผ่านมา ผลปรากฏว่ากลุ่มเอกชนที่ได้รับการคัดเลือก ได้แก่ กลุ่มกลุ่มซีอาร์ 5-เคที จอยท์เวนเจอร์ จากประเทศจีน และบริษัท กรุงธนเอ็นยิเนียร์ จำกัด จากประเทศไทย

นายวีระกล่าวว่า สำหรับรูปแบบของสะพานคือ ตัวสะพานมีความยาว 480 เมตร ซึ่งยังไม่รวมถนนในฝั่งลาวและฝั่งไทย โดยจะมีทางต่อเนื่องกับตัวสะพานในฝั่งไทยอีกประมาณ 150 เมตร และก่อสร้างถนนในฝั่งลาวอีกประมาณ 6 ก.ม. การจราจรจะเป็นสองช่องสวนกันบนสะพาน ความกว้างของตัวสะพานประมาณ 14.7 เมตร มีไหล่ทางข้างละ 1.25 เมตร รวมทั้งมีการก่อสร้างอาคารด่านพรมแดนทั้งฝั่งไทยและลาวด้วยงบประมาณ 1,625 ล้านบาท โดยไทยกับจีนเสียค่าใช้จ่ายประเทศละ 50% กำหนดระยะเวลาก่อสร้างทั้งหมด 30 เดือน เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย.นี้เป็นต้นไป

นายวีระกล่าวถึงกรณีที่ได้มีกลุ่มทุนไทย-เกาหลีใต้เข้าไปได้สัมปทานที่ดิน จุดก่อสร้างฝั่งลาวและดำเนินโครงการนาคราชนคร 1,200 ไร่ โดยกำลังก่อสร้างสนามกอล์ฟ ไร่เกษตร โรงแรมห้าดาวขนาด 120 ห้อง กาสิโน รีสอร์ต ฯลฯ เรียกร้องให้กรมทางหลวงเปลี่ยนแบบแปลนไปสร้างถนนอ้อมด้านหลังโครงการแทนที่จะตัดผ่านที่ดินของโครงการว่า กรมทางหลวงจะไม่มีการแก้ไขแบบแปลนดังกล่าวอีกแล้ว เพราะได้มีการออกแบบกันมาตั้งแต่ต้นและเป็นไปตามข้อตกลงระหว่างไทย-สปป.ลาว-จีน ทุกอย่าง

หน้า 28


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย คลิ๊กนี้เลย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 มกราคม 2010, 14:51:19
ทีเอ็นที รุกตลาดโลจิกสติกส์เชียงใหม่ -ลำพูน เน้นเจาะตลาดในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ หวังดึงส่วนแบ่งจากผู้ประกอบการขนส่งญี่ปุ่น

นายธราธร ศรีสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ทีเอ็นที เอ็กซเพรส เวิลด์ไวด์ (ประเทศไทย)  จำกัด ผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุภัณฑ์ด่วน เปิดเผยถึงการจัดงาน "ทีเอ็นที เชียงใหม่ โรดโชว์" ว่า การเดินทางมาจัดโรดโชว์ที่จ.เชียงใหม่ครั้งนี้ เพื่อเจาะตลาดในพื้นที่จ .เชียงใหม่ - ลำพูน โดยเน้นกลุ่มลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จ.ลำพูน ซึ่งปัจจุบันการขนส่งสินค้าในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนืออยู่ในมือของผู้ประกอบ การขนส่งชาวญี่ปุ่นเป็นหลัก

บริษัท ทีเอ็นที เคยมาทำตลาดที่จ.เชียงใหม่ - ลำพูน แล้วครั้งหนึ่งเมื่อเดือน มิ.ย. 2552 ที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้เข้าไปทำตลาดอย่างจริงจังในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ  ส่วนเป้าหมายการทำตลาดจะเน้นการขนส่งโดยใช้เส้นทางอาร์ 3 เอ เชื่อมไทย - ลาว - จีน ผ่านอ.เชียงของ - ห้วยทราย - หลวงน้ำทา - บ่อเต็น - บ่อหาน -สิบสองปันนา เป็นการขนส่งโดยใช้รถบรรทุก เพราะจุดแข็งของบริษัท คือ เป็นผู้ประกอบการขนส่งข้ามประเทศ โดยรถบรรทุกที่มีศักยภาพมากที่สุด

นายธราธร กล่าวอีกว่า  เส้นทางอาร์ 3 เอ ถือเป็นทำเลทองในการดำเนินธุรกิจด้านโลจิสติกส์ แต่ปัจจุบันยังไม่มีผู้ประกอบการด้านนี้เข้าไปลงทุนอย่างจริงจัง บริษัท ทีเอ็นที เชื่อว่าหลังเข้ามาทำตลาดในปี 2553 นี้ จะมีรายได้เพียงขึ้นไม่ต่ำกว่า 20 - 30% จากปัจจุบัน

ดร.วิทยา สุหฤทดำรง ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการห่วงโซ่อุปทาน มหาวิทยาลัยศรีปทุม กล่าวว่า  เส้นทางอาร์ 3 เอ เป็นโครงข่ายคมนาคมทางบกที่ก่อสร้างขึ้นเพื่อรองรับการท่องเที่ยวเป็นหลัก จึงไม่สามารถใช้ประโยชน์ด้านโลจิสติกส์ได้เต็มที่ เพราะไม่มีการเตรียมความพร้อมรองรับ  การขนส่งผ่านเส้นทางอาร์ 3 เอ ยังมีอุปสรรคและล่าช้า ทำให้ต้นทุนโลจิสติกส์ค่อนข้างสูง

ทั้งนี้ หากต้องใช้ประโยชน์จากเส้นทางคมนาคมเพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจให้ดีขึ้น จำเป็นต้องพัฒนาถนนให้มีความพร้อมรองรับมากกว่านี้ ตัวอย่างเช่น จีนที่ใช้งบลงทุนด้านโลจิกสติกส์ค่อน ข้างสูง การก่อสร้างหรือตัดถนนของจีน จะเน้นตัดถนนเป็นทางตรงเพื่อใช้ประโยชน์และลดต้นทุนโลจิสติกส์เป็นหลัก โดยเฉพาะเส้นทางอาร์ 3 เอ  ที่จีนพัฒนาเพราะต้องการขนส่งสินค้ามาทางตอนใต้ของประเทศ สำหรับประเทศไทยมาตรฐานการตัดถนนยังไม่ดีเท่าที่ควรแม้มีการลงทุนขยายถนน เพิ่มขึ้น

ดร.วิทยา กล่าวอีกว่า   โครงสร้างถนนของประเทศไทยใช้ประโยชน์เพื่อรองรับการท่องเที่ยวเท่านั้น หากต้องการใช้ประโยชน์ด้านโลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุนและเวลาในการขนส่ง ต้องพัฒนามาตรฐานการก่อสร้างถนนให้รองรับการขนส่งสินค้า  รวมทั้งต้องพัฒนาตลาดและออกไปหาลูกค้า มิฉะนั้นประเทศไทยจะไม่สามารถเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่งในภูมิภาคได้

พม่า ลาว และเวียดนาม มีช่องทางออกสู่ทะเล จึงเป็นทางเลือกของจีน  ในอนาคตหากไทยไม่เร่งพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับโลจิกสติกส์จีน อาจเปลี่ยนเส้นทางไปใช้ทางออกสู่ทะเลช่องทางอื่นแทน เพราะไทยไม่มีท่าเรือน้ำลึกเพิ่มเติมนอกเหนือจากท่าเรือแหลมฉบังเพียงแห่ง เดียวซึ่งปัจจุบันแออัดมาก ส่วนระบบรถไฟรางคู่ในประเทศการรถไฟแห่งประเทศไทยก็ไม่มีแผนพัฒนา ขณะที่จีนได้มุ่งสร้างเส้นทางรถไฟไปยังเวียดนามแทนแล้ว" ดร.วิทยากล่า


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย คลิ๊กนี้เลย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 มกราคม 2010, 15:20:32
ทล.เปิดห้องแจงแนวถนนรับสะพานโขง 4-ชาวบ้านยืนข้อเสนอยึดแนวเส้นทางเก่า
(http://pics.manager.co.th/Images/553000001334301.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/553000001334302.JPEG)
   
เชียงราย– ทางหลวงเปิดห้องแจงความเหมาะสมแนวถนน 4 เลนเชื่อมสะพานข้ามโขง 4 ทะลุลาว ครั้งที่ 2 เผยชาวบ้านในพื้นที่เชียงของ ยืนข้อเสนอขยายแนวถนนเดิม หวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่อีกทาง[
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่าเมื่อเร็วๆนี้ ที่ห้องประชุมแม่กก สำนักงานแขวงการทางเชียงรายที่ 1 อ.เมือง จ.เชียงราย กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ได้จัดประชุมใหญ่ครั้งที่ 2 เพื่อศึกษาความเหมาะสมด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรมและผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการก่อสร้างถนน 4 ช่องจราจร เชื่อมโยงเชียงราย-สะพานข้ามแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ
       
       ทั้งนี้ ได้จัดให้บริษัทที่ปรึกษาประกอบไปด้วยบริษัทไอเอ็มเอ็มเอส จำกัด บริษัทพี.วี.เอส.-95 คอนซัลแต้นซ์ จำกัด ,บริษัทเซเว่น แอสโซซิเอต คอนซัลแตนท์ จำกัด และบริษัทเอ็นริช คอนซัลแตนท์ จำกัด สรุปผลการดำเนินการที่ผ่านมาให้ส่วนราชการและประชาชนได้รับทราบและเสนอแนะ โดยมีนายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม
       
       นายธีรพจน์ วราชิต ผู้จัดการโครงการฯ กล่าวว่า โครงการนี้เกิดขึ้นเพื่อเป็นโครงข่ายทางหลวงจากเชียงราย-สะพานข้ามแม่น้ำโขง ที่ อ.เชียงของ ซึ่งทางกรมทางหลวง กำหนดก่อสร้างให้แล้วเสร็จอย่างช้าปี 2554 นี้ เพื่อเชื่อมกับถนน R3A ใน สปป.ลาว-จีนตอนใต้ อันจะเป็นการพัฒนาตามกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Great Mekong Sub region หรือ GMS)
       
       ดังนั้นจึงพยายามศึกษาเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดและได้คัดเลือกการ พัฒนาถนนสี่ช่องจราจรไปตามแนวเส้นทางเดิมก่อน คือจากบ้านหัวดอย ต.ท่าสาย อ.เมือง หรือจุดเริ่มต้นของถนนสาย 1152 ไปยัง ต.ขุนตาล เพื่อต่อกับถนนสาย 1020 สายบ้านต้า-เชียงของ ไปเชื่อมกับการก่อสร้างถนนสี่ช่องจราจรซึ่งกรมทางหลวงได้ก่อสร้างอยู่แล้ว ตั้งแต่ตัว อ.เชียงของ ลงมาตามถนนสาย 1020 จนถึงหลักกิโลเมตรที่ 105
       
       ด้านนายโชคพิพัฒน์ เลิศพงศ์อารยะ วิศวกรโครงการ กล่าวว่า ผลการศึกษาที่ได้นำเสนอในการประชุมครั้งที่ 1 เมื่อเดือน ก.ค.2552 ที่ผ่านมา ใช้ถนนสายเดิมเป็นแนวทางดำเนินการ แต่ได้แบ่งช่วงการศึกษาเพื่อการก่อสร้างถนน 4 ช่องจราจรออกเป็น 6 ช่วง ช่วงที่ 1 บนถนนสาย 1152 ตั้งแต่บ้านหัวดอย- กม.2+790 โดยทับกับถนน 2 ช่องจราจรเดิม ,ช่วงที่ 2 ตั้งแต่ กม.2+790-กม.11+182 เนื่องจากเป็นทางแคบและผ่านชุมชนจึงแบ่งออกเป็นทางเลือกที่ 2/1 ใช้การขยายถนนสายเดิมระยะทาง 8.392 กิโลเมตร และทางเลือกที่ 2/2 เลี่ยงพื้นที่ชุมชนโดยแยกออกแนวทางเดิมและทำสะพานยาว 600 เมตร ให้ข้าม "หนองหลวง" ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ และวกกลับมาบรรจบกับถนนสายเดิมตรง กม.11+182 รวมระยะทาง 7.183 กิโลเมตร
       
       ช่วงที่ 3 ตั้งแต่ กม.11+182-กม.17+678 ใช้การขยายถนนสายเดิม ,ช่วงที่ 4 ตั้งแต่ กม.17+678-กม.25+612 แบ่งออกเป็นทางเลือกที่ 4/1 ทับซ้อนไปกับถนนสาย 1152 เดิม ระยะทาง 7.394 กิโลเมตร ทางเลือกที่ 4/2 เลี่ยงชุมชนโดยตัดออกจากแนวเดิมตรง กม.7+678 ตัดผ่านพื้นที่ทางการเกษตรและวกกลับสู่แนวเดิมตรง กม.21+595 ระยะทาง 7.29 กิโลเมตร
       
       ช่วงที่ 5 ตั้งแต่ กม.25+612-กม.29+293 ทับซ้อนกับถนนสายเดิม และช่วงที่ 6 ตั้งแต่ กม.29+293 ของถนนสาย 1152 ไปบรรจบกับ กม.91+163 ถนนสาย 1020 หรือสายเทิง-เชียงของ แต่ช่วงนี้แบ่งออกเป็น 4 ทางเลือกย่อย ได้แก่ทางเลือกที่ 6/1 ทับซ้อนไปกับถนนสายเดิมระยะทาง 30.309 กิโลเมตร ทางเลือกที่ 6/2 เลี่ยงเขตชุมชนโดยเฉพาะตรงชุมชนตลาดบ้านต้า ซึ่งแคบ คดเคี้ยวและมีชุมชนหนาแน่น โดยแยกออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ก่อนวกกลับมาตัดถนนสาย 1152 และไปบรรจบกับถนนสาย 1020 ที่ กม.82+415 ต่อไป รวมระยะทาง 29.872 กิโลเมตร
       
       ทางเลือกที่ 6/3 แยกออกจากถนนสายเดิมแต่ขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะทาง 27.866 กิโลเมตร และทางเลือกที่ 6/4 ทับซ้อนกับถนนสายเดิมไปจนถึงทางแยกบ้านแม่เปา-บ้านเหล่า และข้ามแม่น้ำอิงจนไปบรรจบกับถนนสาย 1020 ตรง กม.91+163 รวมระยะทาง 21.176 กิโลเมตร
       
       นอกจากนี้ยังมีช่วงที่ 7 ซึ่งไม่ได้อยู่ในถนนสายเดิมแต่เป็นการขยายเส้นทางสาย อ.เทิง-เชียงของ ตั้งแต่ กม.91+163-กม.105+000 บนถนนสาย 1020
       
       สรุปผลการศึกษาทั้งด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรมและสิ่งแวดล้อม พบว่า มีปัญหาที่ต้องคัดเลือกเส้นทางที่แบ่งออกเป็นหลายช่วงอยู่ 3 ช่วงคือช่วงที่ 2 ช่วงที่ 4 และช่วงที่ 6 ผลปรากฏว่าคะแนนของทางเลือกที่ 2/2 และทางเลือกที่ 4/2 รวมทั้งทางเลือกที่ 6/4 ได้รับคะแนนสูงสุด จึงเป็นทางเลือกที่จะใช้ในการพิจารณาเพื่อการก่อสร้างต่อไป
       
       ด้านนายอนุรักษ์ ศรีแสวง ผู้เชี่ยวชาญด้านประชาสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมของประชาชน กล่าวว่าที่ผ่านมาได้มีการประชุมใหญ่และจัดประชุมย่อยในพื้นที่รวมทั้งชาว บ้านได้ทำประชาคมไปแล้วหลายครั้งและหลากหลายพื้นที่
       
       ผลปรากฏว่าชาวบ้านหลายพื้นที่ ต้องการให้ทำถนนทับซ้อนไปกับถนนสายเดิม เพราะเชื่อว่าจะส่งเสริมเศรษฐกิจในท้องที่ของตัวเอง เช่น ต.เม็งราย อ.พญาเม็งราย ต.ผางาม อ.เวียงชัย ฯลฯ สวนทางกับผลการศึกษาอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงจะมีการลงไปให้ข้อมูลชาวบ้านอีกครั้ง และขั้นตอนต่อไปคือการจัดประชุมครั้งสุดท้ายคือครั้งที่ 3 เพื่อสรุปผลและเสนอให้กรมทางหลวงดำเนินการต่อไป


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 มกราคม 2553 14:20 น.


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย คลิ๊กนี้เลย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 มกราคม 2010, 15:25:02
ลงหมุด "สะพานมิตรภาพ 4" ปลาย ก.พ.นี้ 3 ปีได้ใช้

(http://pics.manager.co.th/Images/553000001388901.JPEG)ภาพแฟ้มวันที่ 23 มิ.ย.2552 รถบรรทุกตู้สินค้าของจีนจากฝั่งเมืองห้วยทรายของลาว กำลังขึ้นจากแพขนานยนต์ค่อนข้างทุลักทุเล ตามความลาดชันของพื้นที่ ในอาณาบริเวณท่าศุลกากร อ.เชียงของ จ.เชียงราย อีก 3 ปีข้างหน้าสะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 จะทำให้ความไม่สะดวกเช่นนี้หมดไป
       
ASTVผู้จัดการออนไลน์-- การก่อสร้างสะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ระหว่างไทยกับลาว กำลังจะเริ่มขึ้นปลายเดือน ก.พ. นี้ หลังเปิดซองประกวดราคาซึ่งคัดบริษัทไทยและจีนเอาไว้เพียง 2 ราย สำหรับโครงการมูลค่า 43 ล้านดอลลาร์ เพื่อทะลุ "กำแพงสุดท้าย" บนเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจส่งแนวเหนือ-ใต้ แห่งอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง ในปี 2556
       
       เจ้าหน้าที่ของลาวเปิดเผยในสัปดาห์นี้ว่า ทุนรอนสำหรับการก่อสร้างพร้อมหมด โดยรัฐบาลจีนกับรัฐบาลไทยสมทบกันคนละครึ่ง ทางการลาวจ่ายชดเชยให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบที่จะต้องโยกย้ายออกไปจาก อาณาบริเวณ และจัดหาที่ทำกินให้ใหม่ ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เงิน 40,000 ล้านกีบ (264 กีบ/บาท)
       
       ตามรายงานของสำนักข่าวสารปะเทดลาว บริษัทก่อสร้างไทยและจีนจำนวน 4 แห่งเข้ายื่นซองประกวดราคา แต่คณะกรรมการได้คัดเอาไว้เพียง 2คือ บริษัทกรุงธนก่อสร้างจากประเทศไทย กับบริษัทสร้างทางรถไฟเลข 5 ของรัฐบาลจีน อันเป็นขั้นตอนสุดท้าย
       
       การก่อสร้างสะพานมิตรภาพ 4 ล่าช้ามา 1 ปีจากปีที่แล้ว เนื่องจากวิกฤติการณ์เศรษฐกิจโลกกับอีกหลายปัจจัยซึ่งทำให้มูลค่าการก่อ สร้างพุ่งขึ้นสูง
       
       ทั้งสามฝ่ายลาว ไทยและจีน ต้องตกลงกันใหม่เกี่ยวกับการสมทบเงินทุนและรายละเอียดอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันพร้อมแล้ว ขปล.อ้างคำกล่าวของนายถาวอน วอละบุด รองผู้อำนวยการโครงการก่อสร้างสะพานฯ ของฝ่ายลาว
       
       สะพานกำลังจะสร้างขึ้นห่างจากตัวเมืองท่าทราย แขวงบ่อแก้วของลาว และ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ลงไปทางใต้ราว 4 กิโลเมตร เมื่อสร้างแล้วเสร็จก็จะเปิดทางโล่งให้กับทางหลวงสายยาวตั้งแต่นครคุนหมิง มณฑลหยุนหนุน ลงไปจนถึงกรุงเทพฯ และ สิงคโปร์
       
       ลาว ไทยและจีน ได้เปิดใช้ทางหลวงสาย "อา3อา" (A3a) ระยะทางกว่า 300 กม.อย่างเป็นการตั้งแต่ต้นปี 2551ให้การขนส่งทางบกเชื่อม 3 ประเทศเป็นไปได้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์
       
       การก่อสร้างถนนแบ่งออกเป็น 3 ช่วง โดยรัฐบาลจีนและไทยรับผิดชอบ 2 ช่วงปลาย รัฐบาลลาวก่อสร้างช่วงกลาง โดยได้รับการสนับสนุนเงินกู้ผ่อนปรนจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี)
       
       ปัจจุบันการขนส่งข้ามแม่น้ำโขงระหว่าง จ.เชียงราย กับแขวงบ่อแก้ว ใช้แพขนานยนต์เป็นหลัก ในการบรรทุกยานพาหนะและสินค้าต่างๆ ส่วนนักท่องเที่ยวใช้เรือรับจ้างระหว่างท่าศุลกากร อ.เชียงของกับท่าเรือห้วยทราย
       
       ห้วยทรายยังเป็นต้นทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ในการเดินทางจากภาคเหนือของไทยไปยังเมืองมรดกโลกหลวงพระบางโดยทางน้ำ ซึ่งจะใช้เวลา 2 วัน จอดพัก 1 คืนระหว่างทางที่เมืองปากแบ่ง แขวงอุดมไซ.


(http://pics.manager.co.th/Images/553000001388902.JPEG)

ภาพแฟ้มวันที่ 23 มิ.ย.2552 นักท่องเที่ยวดูบางตาในช่วงปีที่เศรษฐกิจโลกกำลังวิกฤติ นักท่องเที่ยวไทยกลุ่มนี้กำลังลงเรือข้ามฟาก เพื่อไปยังฝั่งเมืองห้วยทราย อีก 3 ปีจะมีสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 อำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกที่เดินทางจากไทยต่อไปยัง ภาคเหนือของลาว

(http://pics.manager.co.th/Images/553000001388903.JPEG)
ภาพแฟ้มวันที่ 21 เม.ย.2551 นักท่องเที่ยวจากแดนไกลกำลังขึ้นจากเรือข้ามฟากทางฝั่งเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 กำลังจะเปลี่ยนแปลงการคมนาคมขนส่งกับการท่องเที่ยวในแถบนี้
       


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: คนไกลบ้านเกิด ที่ วันที่ 31 มกราคม 2010, 19:48:21
วาวๆขอบคุณจ้าวขอมูลและขอฮื้อโครงกานนี้สำเร็จเร็วๆจ้าว :)


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 02 กุมภาพันธ์ 2010, 22:54:51
เชียงรายเล็งขยายถนน4เลน รองรับสะพานข้ามแม่น้ำโขง

แนวหน้า 2/02/2010


เชียงราย:นายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า สำหรับความคืบหน้าโครงการก่อสร้างถนน 4 ช่องจราจร โครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงเชียงราย – สะพานข้ามแม่น้ำโขง ที่ อ.เชียงของ เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทาง R3E ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาตามกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เชื่อมระหว่าง อ.เชียงของ กับบ้านห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ในฝั่ง สปป.ลาว

โดยคาดว่าจะมีการก่อสร้างในปี 2553 และจะแล้วเสร็จในปี 2555 ซึ่งจะทำให้ปริมาณจราจรบนโครงข่ายเพิ่มมากขึ้น ในอนาคตจึงได้พิจารณาปรับปรุงโครงข่ายทางหลวงเดิมจาก 2 ช่องจราจร ให้เป็น 4 ช่องทางจราจร ตั้งแต่บ้านหัวดอย ต.ท่าสาย อ.เมือง ไปถึง อ.เชียงของ ระยะทางกว่า 75 กิโลเมตร แต่ยังมีอุปสรรคในหลายด้าน จึงได้หารือร่วมกับทุกฝ่ายเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขเพื่อศึกษารูปแบบการปรับปรุงที่เหมาะสม รวมถึงวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม


http://www.naewna.com/news.asp?ID=197711


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 04 กุมภาพันธ์ 2010, 23:17:24
ชงครม.เพิ่มวงเงินปฏิรูปรถไฟ 1.6 แสนล้าน

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2553 01:00

คมนาคมเตรียมเสนอครม.เพิ่มกรอบวงเงินแผนปฏิรูปกิจการ ร.ฟ.ท. เป็น 1.6 แสนล้านบาท หลังสศช.ให้นำโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่เส้นทางฉะเชิงเทรา-คลอง19
ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยหลังการประชุมจัดทำแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ระยะเร่งด่วน วานนี้ (3 ก.พ.) ว่า ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอให้กระทรวงคมนาคมบรรจุโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่เส้นทางฉะเชิงเทรา-แก่งคอย-คลองสิบเก้า ระยะทาง 106 กม. มูลค่า 11,348 ล้านบาท ไว้ในแผนปฏิรูปกิจการ ร.ฟ.ท. วงเงิน 1.53 แสนล้านบาท ดังนั้น กระทรวงคมนาคมจึงต้องเสนอ ครม.ขออนุมัติขยายกรอบวงเงิน

โดย สศช.ต้องการให้โครงการก่อสร้างของ ร.ฟ.ท.รวมเป็นภาพใหญ่ จากเดิม ร.ฟ.ท.มีแผนก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่เส้นทางฉะเชิงเทรา-แก่งคอย-คลองสิบเก้าอยู่แล้ว ซึ่งหากนำโครงการดังกล่าวบรรจุไว้ในแผนปฏิรูปกิจการ ร.ฟ.ท. จะทำให้สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเสนอ ครม.พิจารณาอนุมัติได้ภายในเดือน ก.พ.นี้

ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมจะสรุปการดำเนินงานภายใต้แผนปฏิรูปกิจการ ร.ฟ.ท. โดยจัดลำดับความสำคัญรายโครงการ และแบ่งระยะเวลาดำเนินการ ซึ่งระยะแรก คือ โครงการซ่อมบำรุงหัวรถจักร จำนวน 56 คัน ซึ่งจะใช้เวลาดำเนินการ 15 เดือน และโครงการจัดซื้อหัวรถจักรใหม่ จำนวน 21 คัน มูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท โครงการปรับปรุงระบบอาณัติสัญญาณไฟสี ทั่วประเทศ จำนวน 223 สถานี และโครงการปรับปรุงจุดตัดทางรถไฟทั่วประเทศ กว่า 2,000 จุด

"กระทรวงคมนาคมได้สั่งให้ ร.ฟ.ท.จัดเตรียมรายละเอียดโครงการต่างๆ โดยเฉพาะการซ่อมบำรุงหัวรถจักร เพื่อดำเนินการได้ทันที หลังได้รับอนุมัติจาก ครม. และจัดทำตัวชี้วัดในแต่ละโครงการด้วย แต่ในส่วนของโครงการด้านความปลอดภัยจะมีตัวชี้วัด ที่ไม่เกี่ยวกับผลตอบแทนการลงทุนจากโครงการ ส่วนโครงการอื่นๆ จะดูจากผลตอบแทน และความคุ้มค่าการลงทุนเป็นหลัก" นายสุพจน์ กล่าว

ขณะที่การดำเนินงานระยะที่ 2 ตั้งแต่ปี 2554-2555 จะประกอบด้วย โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ทั่วประเทศ ระยะทาง 2,800 กม. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางราง และเพิ่มโครงข่ายการขนส่งระหว่างภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งโครงการจัดระบบโลจิสติกส์ โดยกำหนดจุดขนถ่ายสินค้าทั่วประเทศ เพื่อจัดตั้งสถานีขนส่งสินค้า โดยมีระบบราง ถนน และท่าเรือรองรับสินค้าเหล่านี้

ส่วนการดำเนินงานระยะที่ 3 ตั้งแต่ปี 2555-2556 ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง อาทิเช่น กรุงเทพฯ-ระยอง รวมทั้งโครงการก่อสร้างทางรถไฟเชื่อมประเทศเพื่อนบ้าน อาทิเช่น โครงการก่อสร้างทางรถไฟเส้นทางเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เส้นทางปอยเปต-ศรีโสภณ

http://www.bangkokbiznews.com/home/d...08;™.html


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 กุมภาพันธ์ 2010, 19:28:54
เตรียมยกกอง “ตำนานพระนเรศวร” ร่วมแสดงงานฮันนีมูลรอบสองบนดอยแม่สลอง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 กุมภาพันธ์ 2553 15:20 น.






เชียงราย – เตรียมยกทีมนักแสดง “ตำนานพระนเรศวร” ร่วมงานฮันนีมูนรอบสอง 75 คู่บนดอยแม่สลอง ฉลองเทศกาลแห่งความรัก “ผู้ว่าฯ-ททท.-ท่องเที่ยวและกีฬา”เรียงหน้ายันงาน “น้ำผึ้งพระจันทร์มหัศจรรย์ดอยแม่สลอง” กลางเดือนนี้สุดตระการตาแน่

วันนี้ (5 ก.พ.) ที่ห้องประชุมศาลากลาง จ.เชียงราย นายสุเมธ แสงนิ่มนวล พร้อมด้วยนายพรหมโชติ ไตรเวช ผู้อำนวยการศูนย์การท่องเที่ยวและกีฬา จ.เชียงราย ,นายอิศรา สถาปนาเศรษฐ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงาน "น้ำผึ้งพระจันทร์มหัศจรรย์ดอยแม่สลอง" ซึ่งทาง จ.เชียงราย ร่วมกับ อ.แม่ฟ้าหลวง องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แม่สลองนอก และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดขึ้นบริเวณพิพิธภัณฑ์วีรชนอดีตทหารจีนคณะชาติ บนดอยแม่สลอง หมู่บ้านสันติคีรี ต.แม่สลองนอก ระหว่างวันที่ 12-15 ก.พ.นี้

นายสุเมธ กล่าวว่า เดือนนี้ โดยเฉพาะในวันที่ 14 ถือเป็นวันแห่งความรักและช่วงนี้ก็เป็นเทศกาลแห่งความรักทั่วโลก ซึ่งปีนี้จังหวัด จึงจัดงานนี้ขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อรองรับเทศกาล-ส่งเสริมการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมอันดีงามของดอยแม่สลองไปพร้อมๆ กัน โดยตลอดระยะเวลา 4 วัน 4 คืนของงานจะมีการจัดคู่บ่าวสาวซึ่งอาจจะเคยแต่งงานหรือฮันนีมูนกันมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่ประสงค์จะฮันนีมูนรอบสองเข้าร่วมจำนวน 75 คู่เพื่อให้สอดคล้องกับอายุของเมืองเชียงรายที่พ่อขุนเม็งรายมหาราชทรงสร้างมาได้นาน 750 ปี ส่วนนักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถชมพิธีฮันนีมูนและการแสดงต่างๆ บนดอยแม่สลองได้อย่างเต็มอิ่ม

ด้านนายพรหมโชติ กล่าวว่า งานในวันที่ 12 ก.พ.จะมีขบวนแห่ของชนเผ่าต่างๆ ทั้ง 7 ชนเผ่าบนดอยแม่สลอง ได้แก่ จีนยูนนาน อาข่า ลีซู ไทใหญ่ ลาหู่ เมี่ยน และลัวะ โดยมีพิธีเปิดในช่วงเย็นของวันเดียวกัน ณ บริเวณจัดงานดังกล่าว จากนั้นตั้งแต่วันที่ 13-14 ก.พ.จะมีการประกวดการประกอบอาหารจากใบชาและอาหารชนเผ่า และจะมีการแสดง แสง สี เสียง "ย้อนรอยดอยแม่สลอง"

โดยในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณจากทางจังหวัดในการให้คณะผู้สร้างและนักแสดงเรื่อง "ตำนานพระนเรศวร" เข้าไปดำเนินการจัดการแสดงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น พ.ท.วันชนะ สวัสดี ผู้แสดงเป็นพระนเรศวร ซึ่งจะไปรับบทการแสดงบนเวทีเป็นนายพลต้วน ซีเหวิน ผู้นำของทหารจีนคณะชาติผู้เป็นบรรพบุรุษของชาวจีนที่อาศัยอยู่บนดอยแม่สลองในปัจจุบัน ,พ.ท.วินไท สุวารี ผู้แสดงเป็นพระเอกาทศรส รับบทเป็นนายพลหลุ่ย ยีเถียน เป็นต้น

ขณะที่นายอิศรา กล่าวว่า ในวันที่ 13 ก.พ.คู่บ่าวสาวที่เข้าร่วมงานทั้ง 75 คู่จะเข้าพักที่โรงแรมใน อ.เมืองเชียงราย และเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ใน จ.เชียงราย จากนั้นเช้าวันที่ 14 ก.พ.จะเดินทางขึ้นสู่ดอยแม่สลองเพื่อชมสวนชา การผลิตชาพันธุ์ดี และชิมชา ก่อนจะขึ้นขบวนแห่วัฒนธรรมการแต่งงานชนเผ่า โดยเฉพาะเผ่าคนจีนจะมีการให้คู่บ่าวสาวขี่ม้าไปกับขบวนอย่างตระการตา จากนั้นมีการจัดพิธีการแต่งงานแบบชนเผ่าของชาวจีนและลาหู่ รับประทานอาหารเลี้ยงฉลองร่วมกันและชมการแสดงบนเวทีดังกล่าว ทั้งนี้คู่บ่าวสาวที่ประสงค์จะเข้าร่วมงานซื้อตั๋วร่วมงานเป็นลักษณะเพ็คเก็จคู่ละ 3,499 บาท ติดต่อได้ที่ ททท.สำนักงานเชียงราย 053-717433

ด้าน พ.ท.วินไทย กล่าวว่า การจัดการแสดงจะแบ่งการแสดงออกเป็น 6 องค์ โดยเริ่มลำดับตั้งแต่การเป็นผืนป่าบนแผ่นดินสยามของดอยแม่สลอง การก่อกำเนิด 7 ชาติพันธ์และเกิดสงคราม จากนั้นเกิดการสร้างชาติและสามัคคี เกิดอาณาจักรล้านนาบนแผ่นดินสยามและทุกชนเผ่าอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ก่อนที่พ่อหลวงจะแผ่พระเมตตาและประชาชนต่างร่วมกันอนุรักษ์สืบสานโครงการพระราชดำริพร้อมกัน กระทั่งช่วงท้ายเป็นการแสดง "ภูมิพล-พระผู้ทรงเป็นนิรันดร์ของปวงชนทุกชาติ" โดยการแสดงจะใช้เทคนิคพิเศษที่กำหนดสีสันของการแสดง สามารถเปลี่ยนโทนสีให้เป็ฯไปตามท้องเรื่องและเหตุการณ์อย่างสมจริง ใช้เทคนิคลำแสงพิเศษ ใช้สื่อผสมที่สร้างมิติของภาพแสงและการแสดง ฯลฯ รับรองไม่ผิดหวัง

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9530000016879
__________________


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: ap.41 ที่ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2010, 05:58:31
เอารูปพื้นที่การก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่4 มาฝากครับ ที่เชียงของ


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2010, 15:29:59
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4184 ประชาชาติธุรกิจ


แห่ยึดทำเลฮอตริมฝั่งโขงเชียงของ-เตือนอย่าผลีผลามโหมลงทุน


คลื่นการลงทุนโรงแรม ที่พัก เกสต์เฮาส์พาเหรดยึดทำเลทองริมแม่น้ำโขงด้านอำเภอเชียงของ ระบุส่วนใหญ่เป็นกลุ่มทุนนอกถิ่น หวั่นห้องพักโอเวอร์ซัพพลาย เตือนอย่าผลีผลามเร่งลงทุนเร็วเกินไป เหตุจัดเก็บข้อมูลของรัฐและเอกชนไม่ชัดเจน


นายพรหมโชติ ไตรเวช ผู้อำนวยการสำนักการท่องเที่ยวและกีฬา จ.เชียงราย เปิดเผยถึงสถานการณ์โรงแรมใน จ.เชียงราย ว่ามีการก่อสร้างโรงแรมขนาดกลางและขนาดเล็กจำนวนมาก รวมทั้งยังมีการซื้อขายกิจการกันอย่างคึกคักทั้งในกลุ่มนักลงทุนคนไทยและต่างชาติ ส่งผลให้การจัดเก็บข้อมูลจำนวนโรงแรมและนักท่องเที่ยวใน จ.เชียงราย ทำได้ไม่ชัดเจน ปัจจุบันจากข้อมูลที่สำรวจได้พบว่ามีโรงแรมในเชียงราย 170 แห่ง จำนวนห้องพักประมาณ 18,000 ห้อง

พื้นที่ที่มีการลงทุนขยายตัวมากคือ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงด้าน อ.เชียงของ ชายแดนไทย-สปป.ลาว ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของกลุ่มทุนนอกพื้นที่ ไม่ใช่กลุ่มทุนท้องถิ่น สภาพเช่นนี้คล้ายกับการเติบโตของธุรกิจโรงแรมที่ จ.ภูเก็ต ซึ่งมีโรงแรม 746 แห่ง นักท่องเที่ยวปีละกว่า 5.6 ล้านคน แต่ธุรกิจทั้งหมดเป็นของต่างชาติถึง 70% ส่วนอีก 30% เป็นของกลุ่มทุนไทย

การเติบโตในลักษณะดังกล่าว ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เพราะนอกจากคนในพื้นที่จะไม่ได้รับประโยชน์มากนักแล้ว ยังทำให้การจัดเก็บข้อมูลด้านต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนพัฒนา ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ ทั้ง ๆ ที่ในปัจจุบัน จ.เชียงราย มีงบประมาณเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยว 290 ล้านบาท แต่ไม่สามารถ นำไปจัดสรรเพื่อพัฒนาได้ทั้งหมด เพราะไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน จึงทำได้เพียงกระจายงบประมาณไปยังโครงการ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความชัดเจนเท่านั้น

นายพรหมโชติเปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมายังมีการลงทุนที่คึกคักในกลุ่มบ้านพักเกสต์เฮาส์ รีสอร์ตขนาดเล็ก โฮมสเตย์ และห้องชุด โดยเฉพาะในเขต อ.เมืองเชียงราย น่าจะเกิดขึ้นใหม่ไม่ต่ำกว่า 40 แห่งแล้ว ราคาที่พักคืนละ 500-600 บาท ซึ่งห้องพักเหล่านี้ไม่มีการแจ้งตัวเลข เพราะยังไม่มีการจดทะเบียนเป็นสถานประกอบการอย่างเป็นทางการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้

ด้านนายสมเกียรติ ชื่นธีระวงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จ.เชียงราย และนายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวว่า ปัญหาตัวเลขไม่ชัดเจนดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวแน่นอน ซึ่งต่อไปสมาคมจะสนับสนุนให้โรงแรมขนาดกลางและเล็ก เกสต์เฮาส์ รีสอร์ต โฮมสเตย์ มีการรวมตัวกัน เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการเข้าถึงความช่วยเหลือ หรือการจัดสรรงบประมาณจากภาครัฐ เพื่อนำไปพัฒนากิจการของตนเอง

"ถ้าไม่ดำเนินการใด ๆ เลย ในอีก 30 เดือนข้างหน้าเมื่อสะพานข้ามแม่น้ำโขง อ.เชียงของ-สปป.ลาว เชื่อมถนนอาร์สามเอระหว่าง ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ แล้วเสร็จก็จะไม่ทันการ เพราะนักท่องเที่ยวจะทะลักไปตามถนนอาร์สามเอ กลุ่มทุนที่ได้ประโยชน์คือผู้ที่มีความพร้อมมากกว่าทั้งกลุ่มทุนจีน ทุนยักษ์ใหญ่จากกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ ๆ ส่วนทุนเล็ก ๆ ที่ กระจัดกระจายอย่างพวกเราก็จะแข่งขันกันเองและค่อย ๆ ตายไปทีละราย" นาย สมเกียรติกล่าวและว่า

ถ้ารวมตัวกันได้นอกจากจะได้ยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ถูกต้องแล้วยังมีพลังในการร่วมกับประเทศต่าง ๆ เช่นมณฑลหยุนหนาน จีนตอนใต้ สปป.ลาว พม่า จัดทำสินค้าหรือแพ็กเกจนำเที่ยวรับประโยชน์ร่วมกันได้
นายเอกชัย หาญสุวรรณชัย เจ้าของ ภูชี้ฟ้ารีสอร์ท อ.เทิง กล่าวว่า สาเหตุที่มีห้องพักขนาดเล็กเกิดขึ้นมากเกิดจากหลายปัจจัย เช่น เศรษฐกิจฟื้นตัว ถนนอาร์สามเอ สะพานข้ามแม่น้ำโขง นักท่องเที่ยวจีนจะทะลักลงมามาก ฯลฯ แต่สภาพที่แท้จริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะสิ่งเหล่านี้ยังไม่เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ ปัญหาจึงเกิดจากข้อมูลที่ได้รับจากภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับโครงการพัฒนาดังกล่าวไม่ชัดเจน ทำให้ผู้ประกอบการที่รับข้อมูลรีบลงทุนไปก่อน

ดังนั้นขอให้มีการให้ข้อมูลที่ชัดเจนทันเหตุการณ์กับผู้ประกอบการ ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาการลงทุนเกินกว่าจำนวนนักท่องเที่ยว ทำให้ต้องแข่งขันตัดราคากันเองจนต้องยุบกิจการไปทีละรายในที่สุด

หน้า 23

http://www.prachachat.net/view_news....day=2010-02-15


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2010, 09:10:03
งสือพิมพ์บ้านเมือง -- อังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2553 09:27:43 น.

นายวิชาญ คุณากูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินการ โครงการก่อสร้างถนน จ.เชียงราย ว่าเพื่อสนับสนุนระบบขนส่งของภาคเหนือตอนบน พัฒนาโครงสร้างด้านคมนาคมขนส่งทั้งในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นการบูรณาการแผนร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมเพื่อให้การคมนาคมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ยังเป็นการสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการให้มีการเชื่อมโยงภาคการขนส่งให้ครบวงจรด้วยอย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ทช.ได้เตรียมความพร้อมเพื่อส่งเสริมโครงข่ายของพื้นที่ภาคเหนือตอนบน พัฒนาพื้นที่โครงข่ายถนนเพื่อให้ประชาชนสามารถขนส่งลำเลียงสินค้าจากชายแดนได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย รวมทั้งรองรับปริมาณการจราจรที่กำลังจะเพิ่มขึ้นจากการพัฒนาเขตสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ(ตอนเหนือของไทย พม่า ลาว และตอนใต้ของจีน) ใน อนาคต พัฒนาการท่องเที่ยว การค้า การคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งรองรับนักท่องเที่ยวที่จะใช้เส้นทางสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ซึ่งกรมฯ ได้เริ่มดำเนินโครงการก่อสร้างทางดังกล่าว นอกจากนี้ ทช.ได้พัฒนาโครงข่ายทางไปสู่ท่าเทียบเรือเชียงแสน จ.เชียงราย แห่งที่ 2 เพื่อส่งเสริมการคมนาคมขนส่งให้ขยายตัวอย่างมีระบบสะดวก ปลอดภัย เพิ่มศักยภาพในการขนส่ง ตลอดจนกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค

http://www.ryt9.com/s/bmnd/795503


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: vjmu ที่ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2010, 06:43:17
รถไฟเชียงราย(ขออนุญาตท่าน boondham นะครับ พอดีไปเจอมา)

http://www.thairath.co.th/content/eco/65714


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2010, 19:00:03
เอาลงเลยครับ บอร์ดเป็นของทุกคน ครับ.


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2010, 00:31:16
เตือนคนเชียงรายเตรียมพร้อม-รับผลกระทบ“บวก-ลบ”หลังพรมแดน 4 ชาติเปิด

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 กุมภาพันธ์ 2553 16:02 น.





เชียงราย – กูรูแนะนักธุรกิจชายแดนปรับตัวรับการค้ากับจีน เตรียมตัวรับผลกระทบทั้งบวก-ลบ หลังสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ “ไทย-พม่า-ลาว-จีน” เปิดมากขึ้น


รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่าเมื่อเร็วๆ นี้ หอการค้า จ.เชียงราย นำโดยนายวิรุณ คำภิโล ประธานหอการค้า จ.เชียงราย จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2553 ณ ห้องสักทองโรงแรมทีค การ์เด้น สปา รีสอร์ท ตั้งอยู่ ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย โดยเป็นการประชุมเป็นปีแรกหลังจากนายวิรุณ เข้ารับตำแหน่ง

หลังจากมีการประชุมภายในและแจกแจงด้านงบประมาณรวมทั้งการดำเนินการที่ผ่านของคณะกรรมการหอการค้าชุดปัจจุบันแล้ว ได้จัดให้มีการบรรยายพิเศษเรื่อง "เชียงรายจะได้อะไรจากสะพานข้ามแม่น้ำโขง(ถนนR3A)" มีนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา และอดีต รมว.ท่องเที่ยวและกีฬาเป็นผู้บรรยายพิเศษ

นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ภาคเศรษฐกิจและสังคมชุมชนในเชียงราย จะต้องมีการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงใหม่ โดยเฉพาะการจะทะลักเข้ามาของสินค้า การคมนาคม รวมไปถึงนักท่องเที่ยวจากปจีน ซึ่งจะมาตามทุกเส้นทางที่สะดวกสบายโดยเฉพาะถนน R3A ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้

ทั้งนี้คาดว่าเฉพาะผู้คนจากจีนตอนใต้ก็จะทะลักลงมาเป็นจำนวนมหาศาล ขณะเดียวกันคนจากทั่วทุกมุมโลกที่ต้องการสัมผัสกับสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจไทย-สปป.ลาว-พม่า-ไทย ก็จะเดินทางมาเช่นกัน
ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่คนในพื้นที่ต้องเรียนรู้ในการเข้ามาของสิ่งต่างๆ ซึ่งก็จะแฝงมาทั้งข้อดี-ข้อเสีย โดยเฉพาะข้อเสียนั้นเป็นประเด็นให้ขบคิดว่า เราจะดูแลอย่างไรไม่ให้เกิดขึ้น หรือทำให้ผลกระทบกลายเป็นข้อดีสอดคล้องกับแผนการพัฒนา จ.เชียงราย ส่วนด้านสินค้า จะทำอย่างไรให้มีระบบการตรวจสอบ จัดการและติดตามเพื่อไม่ให้กระทบกับทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องสิ่งแวดล้อม

"สิ่งสำคัญสำหรับเชียงรายคือเราจะใช้ประโยชน์จากเมืองชายแดน ซึ่งเป็นหน้าด่านของเชียงรายได้อย่างไร”

ทั้งนี้ หากประสบความสำเร็จ จะทำให้เชียงรายมีการเติบโตด้านเศรษฐกิจเป็นอันมากพร้อมๆ กับการรักษาพื้นฐานความอบอุ่นทางวัฒนธรรมและเป็นที่รู้จักของชาวโลกด้วย
นายวีระศักดิ์ กล่าวอีกว่า การส่งเสริมของภาครัฐแถบนี้ที่ผ่านมา ได้มีการตกลงในหลักการลดขั้นตอนการผ่านแดน แต่ที่ผ่านมายังไม่สามารถนำมาใช้ได้ เพราะยังติดเงื่อนไขบางประการ อีกทั้งที่ผ่านมาคนในพื้นที่ต่างมองว่า ในการตกลงทางการค้ากับจีน เราเสียเปรียบเป็นประจำ
เขามองว่า การเจรจากับประเทศจีนหากจะใช้ข้อของกฎหมายในการเจรจาด้วย คงเป็นเรื่องยากแต่หากใช้ความสัมพันธ์ในฐานะเมืองต่อเมือง น่าจะง่ายกว่า และหากมีการรวมตัวเป็นกลุ่มจังหวัดไปเจรจาต่อรองกับมณฑลต่างๆ ของจีนจะทำได้ผลดีขึ้น

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9530000028263


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: Bluebird ที่ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2010, 17:20:31
คุณboondham เจ้า...

อยากฮู้จักอ้ายหน่ะ มีตางใดจะได้อู้ถกเถียงเรื่องถนน สี่เลนแปดเลน etc....เข้าประตู๋เจียงแสนพ่อง?


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: nalismenox ที่ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2010, 21:32:27
รถไฟไปถึงไหนแล้วไม่รู้นะครับ รบกวนติดตามกันต่อด้วย..อิอิอิ


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 มีนาคม 2010, 20:54:19
ไฟเขียวให้สพพ.ปล่อยกู้ลาวปรับปรุงถนนเชียงราย-คุนหมิง

Posttoday 09 มีนาคม 2553 เวลา 18:39 น.


ครม.ไฟเขียวสพพ. กู้เอ็กซิมแบงก์-ออมสิน 405 ล้านบาท ให้ลาวกู้ปรับปรุงถนน R3 เชียงราย-คุนหมิง พร้อมแบกรับภาระดอกเบี้ยให้อีกว่า 25 ล้านบาท

นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (สพพ.) ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ลาว สำหรับโครงการปรับปรุงถนนหมายเลข 3 (R 3) วงเงิน 405 ล้านบาท โดยให้ สพพ. กู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและการนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอ็กซิมแบงก์ และธนาคารออมสิน ไปปล่อยกู้ต่อให้กับลาว คิดดอกเบี้ยที่ 1.5% ระยะเวลาชำระคืนเงินต้นนาน 30 ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้10 ปี) คิดเป็นดอกเบี้ยที่จะได้รับจากลาวในช่วง 10 ปีแรก เป็นเงินประมาณ 60.75 ล้านบาท

ทั้งนี้ สพพ.กู้ผ่านเอ็กซิมแบงก์ 200 ล้านบาท โดยใช้เงินสะสมของ สพพ. ที่ไม่มีภาระผูกพัน 200 ล้านบาทค้ำประกันเงินกู้ทั้งจำนวน ดอกเบี้ย 0.50 % และกรณีที่ สพพ. ไม่สามารถนำเงินฝากค้ำประกันได้ทั้งจำนวน เอ็กซิมแบงก์จะคิดดอกเบี้ยเฉพาะวงเงินที่ไม่มีการค้ำประกัน ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือน ของ 5 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ บวก 1.75% ส่วนเงินกู้จากธนาคารออมสิน 205 ล้านบาท ใช้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว ตามดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือน เฉลี่ย 5 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ บวก 1.65%

"ภาระดอกเบี้ยที่ สพพ. ต้องจ่ายให้เอ็กซิมแบงก์และออมสินในช่วง 10 ปีแรก คิดเป็นเงิน 86 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 8.6 ล้านบาท โดยภาระส่วนต่างของดอกเบี้ยที่เหลืออีกกว่า 25 ล้านบาท ทาง สพพ. จะนำดอกเบี้ยที่ได้จากการให้ความช่วยเหลือทางการเงินในโครงการอื่น และรายได้สะสมของ สพพ. มาบริหารจัดการเอง เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่องบประมาณ" นายวัชระกล่าว

ทั้งนี้ เชื่อว่าการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สปป.ลาวนี้เป็นการปรับปรุงสภาพถนนให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานและมีความปลอดภัย ซึ่งจะสามารถสนับสนุนการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศไทยกับจีนให้ดีขึ้น นอกจากนี้การให้ความช่วยเหลือดังกล่าว ยังเป็นการรักษาชื่อเสียงของประเทศไทยในฐานะประเทศผู้ให้กู้ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาวให้ดียิ่งขึ้น


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 มีนาคม 2010, 13:15:16
 ;D ;D ;D

ม๊อบเยอะครับ 555+++ยุ่งกับม๊อบอยู่ โครงการมีเยอะ

ขนาดน้องคำแพงแล้วไม่ต้องก็ได้มั่งครับ เป็นเถ้าแก่เนี๊ย สบาย 555++


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 มีนาคม 2010, 09:46:18
สามเหลี่ยมทองคำคึกคัก-รับงานแข่งโปโลบนหลังช้าง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 มีนาคม 2553 12:56 น.





เชียงราย – สนามแข่งโปโลบนหลังช้างที่สามเหลี่ยมทองคำคึกคัก นักท่องเที่ยวไทย-เทศ แห่ดูเกมการแข่งขันวันแรก ที่เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในเช้าวันนี้ (24 มี.ค.)

รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า การแข่งขันกีฬาโปโลบนหลังช้าง ชิงถ้วยพระราชทานครั้งที่ 9 ซึ่งมีพิธีเปิดกันเมื่อวาน (23 มี.ค.) และเริ่มแข่งขันกันตั้งแต่วันนี้ (24 มี.ค.) - 30 มี.ค.53 ที่โรงแรมอนันตรา รีสอร์ท แอนด์ สปา โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล ซึ่งตั้งอยู่สามเหลี่ยมทองคำ หมู่บ้านสบรวก หมู่ 1 ต.เวียง อ.เชียงแสน ร่วมกับมูลนิธิช้างสามเหลี่ยมทองคำ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และหน่วยงานที่ จัดขึ้น ณ สนามแข่งขันของโรงแรมอนันตรานั้น คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย-ต่างประเทศ ที่มาชมการแข่งขัน

นายสุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดการแข่งขันที่สนามอย่างเป็นทางการ ซึ่งการแข่งขันวันแรกมีทีมโปโลบนหลังช้างจากทั่วโลกเข้าร่วมการแข่งขันครบครันจำนวน 12 ทีม จาก 8 ประเทศทั่วโลก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ไทย สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา ฯลฯ

หลังพิธีเปิดทั้งหมดได้ร่วมกันยืนไว้อาลัยแก่ นายจิม เอสเวด ผู้ก่อตั้งการแข่งขันโปโลช้าง ซึ่งเสียชีวิตก่อนที่จะมีการแข่งขันโปโลช้างครั้งนี้เพียง 1 วัน จากนั้นได้เริ่มทำการแข่งขันคู่แรกระหว่างทีมอุดิปีเก้ จากประเทศฝรั่งเศส กับทีมอนันตรา ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมพิธีเปิดและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศอย่างมาก

สำหรับการแข่งขันในครั้งนี้คณะจัดการแข่งขันครั้งนี้ ได้มีการประชาสัมพันธ์ว่าจะนำเงินรายได้บริจาคให้สถาบันคชบาลแห่งชาติซึ่งตั้งอยู่ที่ จ.ลำปาง เพื่อดูแลวงการช้างต่อไป นอกจากนี้ ยังมีการบริจาคเครื่องตรวจเลือดช้างให้กับตัวแทนโรงพยาบาลช้างในประเทศไทย เพื่อนำไว้ใช้ในการตรวจสุขภาพช้างอีกด้วย



http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9530000040924


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 มีนาคม 2010, 09:47:24
เชียงราย – สป.จีน เล่นบทพี่ใหญ่ ดึง 6 หัวเมืองลุ่มน้ำโขงตอนบน ร่วมทำ MOU พัฒนาเศรษฐกิจการค้าร่วมกันที่จิ่งหง 24 มีนาฯนี้ วางกรอบเบื้องต้นกระตุ้นการเดินทางทั้งคน-สินค้าผ่านเส้นทาง R3 ก่อนขยายความร่วมมือผ่านพม่าตอนเหนือ - เดียนเบียนฟูต่อ
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000004236301.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/553000004236302.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/553000004236304.JPEG)

       [SIZE="4"]นายสมเกียรติ ชื่นธีระวงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จ.เชียงราย และนายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย[/SIZE] เปิดเผยว่า หลังจากทางการเมืองเชียงรุ้งหรือจิ่งหง เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา เคยเดินทางมาลงนามความร่วมมือเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวกับสมาคมท่องเที่ยวในพื้นที่ จ.เชียงราย และ จ.เชียงใหม่ ไปเมื่อเร็วๆ นี้แล้วนั้น
       
       ล่าสุดในวันที่ 24 มี.ค.นี้ เมืองเชียงรุ้งมีกำหนดลงนามใน MOU ในลักษณะเดียวกันอีกครั้ง แต่จะทำครั้งเดียว 6 เมืองลุ่มแม่น้ำโขงไปพร้อมๆ กัน โดยประกอบไปด้วยเมืองเชียงรุ้ง (จีน) เมืองเชียงรายและเชียงใหม่ (ไทย) เมืองห้วยทราย เมืองหลวงน้ำทาและเมืองหลวงพระบาง (สปป.ลาว) ณ เมืองเชียงรุ้ง
       
       นายสมเกียรติ กล่าวว่า ฝ่ายไทยที่จะเดินทางไปร่วมลงนามจะนำโดยนายสุรชัย ลิ้นทอง รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์จังหวัด และตนเอง
       
       สำหรับเนื้อหาของ MOU มีเนื้อหาคล้ายกับที่จีนเคยลงนามร่วมกับ จ.เชียงราย และ จ.เชียงใหม่ แต่จะมีความละเอียดกว่าและมุ่งแก้ไขปัญหาอุปสรรคพร้อมกันทั้งทางด้านภาคการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน
       
       เบื้องต้น MOU จะมุ่งให้เกิดผลสำเร็จบนเส้นทาง R3A เชื่อมไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ก่อน เพื่อลดอุปสรรคทั้งด้านการเข้าออกเมืองของนักท่องเที่ยวทุกชาติ การใช้รถบรรทุกขนส่งสินค้าที่ต้องผ่านแดนตามถนน "คุน-มั่น กงลู่" หรือคุนหมิง-กรุงเทพฯ หรือแม้กระทั่งเรื่องกำแพงภาษี ซึ่งยังเป็นปัญหาอยู่แม้จะเข้าสู่ยุคเอฟทีเอจีน-อาเซียน แล้วก็ตาม ฯลฯ
       
       นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่าตนเห็นว่ารายละเอียดของการลงนามใน MOU ทั้ง 6 เมืองดังกล่าวครอบคลุมประเด็นปัญหาและการพัฒนาทั้งภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนลุ่มแม่น้ำโขงทั้งหมดมากกว่า MOU ที่เคยทำกับเขตปกครองตนเองสิบสองปันนาไปเมื่อเร็วๆ นี้เสียอีก เพราะครอบคลุมพื้นที่ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ตลอดแนวเส้นทางคมนาคม ตั้งแต่จีนตอนใต้ถึงภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะบนถนน R3A ซึ่งมีบทบาทในการค้าและการท่องเที่ยวมากขึ้น แต่ที่ผ่านมาไม่มีช่องทางหรือเจ้าภาพ ในการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาอุปสรรคร่วมกันอย่างชัดเจน
       
       “การดึงทั้ง 6 เมืองที่เกี่ยวข้องเข้ามาลงนามร่วมกัน จึงจะทำให้เกิดการพัฒนาและดึงดูดการลงทุนไปสู่อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนนี้ได้เป็นมูลค่ามหาศาล”
       
       นายสมเกียรติ บอกว่า MOU ครั้งนี้เป็นการนำร่องเท่านั้น เชื่อว่าหลังจากนี้จีนคงจะมุ่งไปลงทางถนน R3B เชื่อมจีนตอนใต้-พม่า-ไทย โดยอาจจะเชิญเมืองต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาลงนามกันอีก เช่น เชียงรุ้ง (จีน) เมืองลา เชียงตุงและท่าขี้เหล็ก (พม่า) เชียงรายและเชียงใหม่ (ไทย) ซึ่งจะทำให้เกิดเส้นทางท่องเที่ยวเป็นวงกลมในภูมิภาคนี้พอดี จากนั้น คงจะขยายต่อไปยังเวียดนาม เช่น เดียนเบียนฟู ฮานอย ฯลฯ อันจะทำให้อนุภูมิภาคนี้กลายเป็นเสมือนทวีปยุโรปหรืออียูที่เชื่อมโยงกันทั่วทวีปต่อไป
       
       เขาบอกอีกว่า เชื่อว่าการพัฒนาและแก้ไขปัญหาอุปสรรคเกี่ยวกับการค้าและการท่องเที่ยวซึ่งพวกเราพบเห็นกันมาโดยตลอด จะคืบหน้า เพราะในครั้งนี้ประเทศจีนวางตัวเป็นเจ้าภาพหลักในการดึงตัวแทนจากเมืองต่าง ๆ ลุ่มน้ำโขงเข้ามาร่วม
       
  [SIZE="3"][COLOR="Blue"]โดยเฉพาะ จ.เชียงราย คงจะได้รับประโยชน์มหาศาล เพราะเป็นเมืองหน้าด่านของประเทศไทยซึ่งกำลังจะมีสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมกับเมืองห้วยทราย-R3A นอกจากนี้ที่ผ่านมาพบว่ามีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาเยือนมณฑลหยุนหนัน จีนตอนใต้ ปีละกว่า 25 ล้านคน และมาเยือนสิบสองปันนาปีละกว่า 5-6 ล้านคน ส่วนใหญ่ต้องการเดินทางลงสู่ประเทศไทยต่อไปด้วย ซึ่งถนน R3A หรือ R3B ในอนาคตซึ่งจะผ่าน จ.เชียงราย ก็ถือเป็นเป้าหมายหลักของการเดินทางด้วย
       
       ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จ.เชียงราย และนายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวในตอนท้ายว่า สำหรับกรณีการผลักดันเส้นทางการบินระหว่างท่าอากาศยานเชียงรายกับสนามบินนานาชาติสิบสองปันนา ซึ่งจะเริ่มบินตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.นี้เป็นต้นไปนั้น ก็ถือเป็นหนึ่งในเส้นทางที่จะได้รับประโยชน์จากการลงนามเอ็มโอยูในครั้งนี้ด้วย[/COLOR][/SIZE]
       
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000039889 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000039889)


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 มีนาคม 2010, 09:48:28
วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 19:09:04 น. มติชนออนไลน์


"เอสจีเอ"เลื่อนเปิดบิน"เชียงใหม่ -เชียงราย-สิบสองปันนา"เป็นพ.ค.


นายวันชัย ช่วงชัยกิจการ รองผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาดสายการบิน เอสจีเอ (SGA) เปิดเผยเมื่อวันที่ 23 มี.ค. ว่า หลังจากการเปิดตัวเที่ยวบินเส้นทางใหม่จากเชียงใหม่ -เชียงราย-สิบสองปันนา ปรากฎว่า ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวและประชาชนจำนวนมากในการแห่จองตั๋วและเที่ยวบิน โดยกำหนดการเบื้องต้นก่อนหน้านี้ที่มีการวางแผนไว้ว่าน่าจะสามารถเปิดเดินเส้นทางได้ในเดือนเมษายน 2553 นี้ แต่ขณะนี้จำเป็นต้องเลื่อนระยะเวลาออกไปอีกประมาณ 1 เดือน เนื่องจากทางสายการบินได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก จึงอาจส่งผลให้เครื่องบินไม่เพียงพอต่อการให้บริการนักท่องเที่ยวและประชาชนที่สนใจได้



ดังนั้นขณะนี้ทางบริษัทจึงได้เร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โดยได้ขอยืดเวลาการเดินทางออกไปจากกำหนดการเดิมประมาณเดือนเมษายน ไปเป็นกลางเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้แทน เพื่อเตรียมความพร้อมและแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้แล้วเสร็จ เพื่อจะได้รองรับผู้โดยสารอย่างเต็มที่และไม่ก่อให้เกิดปัญหาตามมาภายหลังได้


ทั้งนี้ เบื้องต้นจะได้เร่งแก้ไขปัญหาเครื่องบินที่อาจไม่เพียงพอต่อการลำเลียงผู้โดยสาร ซึ่งอาจจะล่าช้าในการเดินทาง โดยบริษัทจะได้เร่งดำเนินการจัดเที่ยวบินใหม่อีกครั้ง เพื่อให้เกิดความสมดุลกันระหว่างเที่ยวบินภายในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเบื้องต้นอาจจำเป็นต้องมีการเพิ่มจำนวนเครื่องบินให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารได้อย่างเต็มที่ แต่ทั้งนี้ คาดว่าอาจจะต้องดำเนินการจัดทำตารางการบินใหม่ในเบื้องต้นไปก่อน เพื่อให้ทันในการเปิดใช้เส้นทางในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้

http://www.matichon.co.th/news_detai...sid=1269346156 
     


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 มีนาคม 2010, 09:49:03
คิกออฟบูม50ปีททท./บินไทย

วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2010

คิกออฟกิจกรรมครบรอบ 50 ปี ททท.และเจ้าจำปี อัดฉีดงบร่วม 100 ล้านบาทเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ ททท.ผนึกไชน่า แอร์ไลนส์ บูมทัวริสต์มะกัน ชู 4 จุดขายแนวโน้มใหม่ท่องเที่ยวจัดสัมมนาใหญ่เชิญสื่อมวลชนจาก 250 ประเทศร่วมสัมมนาข้อมูลเชิงลึก ด้านบินไทย จัดกิจกรรมเพียบ ทั้งจัดไฟลต์บินรำลึกประวัติศาสตร์ คลอดโปรโมชันลดค่าตั๋ว 20-25% ทุกเส้นทาง ขณะที่เส้นทางบินในประเทศอยู่ที่ 2 พันบาท
นางจุฑาพร เริงรณอาษา รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกาและอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่าในขณะนี้ททท.กำลังอยู่ระหว่างการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี โดยททท.ได้ร่วมมือกับไชน่า แอร์ไลน์ส เฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 50 ปี และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการตอกย้ำภาพลักษณ์เชิงบวกของประเทศไทย ด้วยการสนับสนุนบัตรโดยสารระหว่างประเทศให้แก่คณะผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา จำนวน 40 ราย ซึ่ง ททท.ลอสแองเจลีส เชิญมาทัศนศึกษาและสำรวจสินค้าที่เป็นจุดขายใหม่ๆ ของไทย
ทั้งนี้กิจกรรมดังกล่าว เป็นการต่อยอดจากโครงการ Thailand Golden Agents ของสำนักงาน ททท.ลอสแองเจลีส โดยคัดเลือกสมาชิกที่มีการขายรายการนำเที่ยวและมีนักท่องเที่ยวที่เป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเฉพาะ อาทิ กลุ่มทั่วไป กลุ่มหลากหลายเชื้อชาติที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงกลุ่มลาตินอเมริกา นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกที่ผ่านการอบรมให้ความรู้ในการเสนอขายประเทศไทยมาก่อน ได้เดินทางมาสัมผัสเห็นประเทศไทยด้วยสายตาตัวเอง แยกเป็น 2 เส้นทางๆ ละ 20 ราย

ได้แก่ เส้นทางกรุงเทพฯ -ภูเก็ต-กระบี่-เกาะช้าง-พัทยา และเส้นทางเชียงใหม่ -เชียงราย -กรุงเทพฯ-เกาะช้าง-พัทยา เมื่อกลางเดือนมีนาคม 2553 เพื่อเปิดโอกาสในการพบปะเจรจาระหว่างกลุ่มผู้ประกอบการจากสหรัฐอเมริกาและผู้ประกอบการของไทย ทั้งในกรุงเทพฯและภูมิภาคตะวันออกได้ทำความรู้จักและส่งเสริมการตลาดในลักษณะ Table Top Sales

ขณะเดียวกันในช่วงวันที่ 13-25 มีนาคม 2553 สายการบินไชน่า แอร์ไลน์ส ยังสนับสนุนบัตรโดยสารให้แก่คณะสื่อมวลชนที่ ททท.คัดเลือกเชิญจากสหรัฐอเมริกา อีก 15 ราย เข้ามาทัศนศึกษาเส้นทางเชียงใหม่ -เชียงราย -กรุงเทพฯ -เกาะช้าง -พัทยา ก่อนที่จะมาสมทบกับสื่อมวลชนจากทั่วโลกในงานสำคัญของ ททท. "TAT's Golden Jubilee Media FAM Trip"ในวันที่ 23 มีนาคมนี้ และททท.ยังมีการจัดกิจกรรมตลอดทั้งปีเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีในปีนี้ ซึ่งททท.จะครบรอบในวันที่ 18 มีนาคมนี้ ใช้งบประมาณ 50 ล้านบาทสำหรับกิจกรรมครบรอบ 50 ปี

นางจุฑาพร ยังกล่าวต่อว่าในส่วนของโครงการมีเดีย เมกะ แฟมทริปของททท. นั้นว่า ททท.จะเชิญสื่อมวลชนจากต่างประเทศ 250 ราย เดินทางมาประเทศไทยเพื่อสำรวจสินค้าและบริการท่องเที่ยว โดยสำนักงานของททท.ในต่างประเทศ จะนำจุดขาย 50 กิจกรรมแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ซึ่งททท.ได้คัดเลือกขึ้นมา เพื่อนำไปให้สื่อต่างๆเลือกว่าต้องการเดินทางไปสำรวจแหล่งท่องเที่ยวใด

รวมทั้งนำไปใช้ในการเสนอขายนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อโปรโมตแหล่งใหม่ๆที่ไม่เคยเดินทางเที่ยวมาก่อน นอกจากนี้ในวันที่ 23 มีนาคม 2553 จะมีการจัดโปรดักต์ สัมมนา ระยะเวลาครึ่งวันให้กับสื่อมวลชนต่างประเทศที่เชิญมา เพื่อเป็นการให้ข้อมูลทางด้านสินค้าหลักที่พร้อมเสนอขายของประเทศไทยในเชิงลึก โดยจะนำเสนอจุดขายด้านการท่องเที่ยวไทยใน 4 เรื่องโดยเชิญวิทยากรที่เชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาร่วมเป็นวิทยากร

ได้แก่ 1.แนวโน้มการท่องเที่ยวแบบเฮลธ์แคร์หรือทัวร์เมคิคัลของไทย บรรยายโดยดร.ซาด็อก เล็มเพิร์ท บริษัทเมดิโค แมเนจเม้นท์ แอนด์ ทราเวิล เซอร์วิสเซส อินเตอร์เนชั่นแนลฯ 2.การท่องเที่ยวแบบวิถีชุมชน บรรยายโดยนายปีเตอร์ ริชาร์ดส์ จาก Thailand Community-Based Tourism Institute หรือ(CBT-I) 3. ลักชัวรี โปรดักต์ ในประเทศไทย บรรยายโดยนายโสนุ ชีพดาซานี จากซิกซ์เซนส์ รีสอร์ท แอนด์ สปา และ4.ประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวในไทย บรรยายโดยนายแดเนียน มีเนอร์ และนางคริสทิน โกรทเฮาส์ จากบริษัทบางกอก แวนการ์ดส์ฯ ซึ่งงานสัมมนานี้ได้เลื่อนสถานที่จัดงานจากสหประชาชาติ เป็นห้องคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ โรงแรมรามาการ์เด้นส์แทน
ขณะที่นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน)กล่าวว่าในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ บริษัทจะดำเนินการครบรอบ 50 ปี ดังนั้นการบินไทยจึงได้ใช้โอกาสพิเศษนี้จัดกิจกรรมต่างๆเพื่อให้ผู้โดยสาร ผู้ใช้บริการ และพนักงานได้มีส่วนร่วมเฉลิมฉลองในวาระดังกล่าว รวมถึงการจัดกิจกรรมด้านซีเอสอาร์ เพื่อเสริมสร้างสิ่งดีๆแก่สังคม (ตารางประกอบ) โดยจะมีกิจกรรมมากมาย ใช้งบประมาณราว 50 ล้านบาท
ไม่ว่าจะเป็นการจัดเที่ยวบินรำลึกประวัติศาสตร์ 50 ปี ในวันที่1-3 พฤษภาคมนี้ ซึ่งการบินไทยจะนำเครื่องบินโบอิ้ง 747 ลายสุพรรณหงส์แบบเดียวกับเครื่องบินลำแรกของการบินไทยเมื่อ 50 ปีที่แล้ว(เครื่องบินแบบDC-6)โดยจำลองเที่ยวบินแรกของการบินไทยในเส้นทางกรุงเทพฯ-ฮ่องกง และจัดพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแต่งเครื่องแบบย้อนยุค โดยมีการจำหน่ายบัตรโดยสารพร้อมแพ็กเกจทัวร์รอยัล ออร์คิด ฮอลิเดย์ในเที่ยวบินพิเศษนี้ 3 วัน 2 คืน ราคาเริ่มต้นด้วย 19,750 บาท ทั้งยังมีการจัดนิทรรศการ 50 ปีระหว่างวันที่ 7-14 พฤษภาคมนี้ ณ เซ็นทรัล เวิลด์ เป็นต้น

รวมทั้งยังได้จัดโปรโมชันกระตุ้นยอดขายและตอบแทนลูกค้า อาทิ เส้นทางบินจากออสเตรเลียมาไทย ขายตั๋วในราคา 500 ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากญี่ปุ่นบินมาไทย 35,000 เยน จากยุโรปมาไทย 350 ยูโร และราคาสำหรับลูกค้าคนไทยในเส้นทางจากไทยไปญี่ปุ่น 13,500 บาท ไทยไปออสเตรเลีย 15,500 บาท ไปยุโรป 25,500 บาท โดยราคาดังกล่าวบินเที่ยวไปและกลับ ขณะที่เส้นทางในประเทศ จะขายราคา 2,000 บาทต่อเที่ยวบิน ในทุกเส้นทางบิน เริ่มจอง 1 -15 พ.ค.นี้ และสามารถใช้เดินทางได้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค-30 มิ.ย.นี้ โดยโปรโมชันนี้จะถูกกว่าปกติราว 20-25%

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,515 21 - 24 มีนาคม พ.ศ. 2553


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 27 มีนาคม 2010, 23:07:41
วันพฤหัสบดี ที่ 25 มีนาคม 2553
ดูแข่งโปโลบนหลังช้างชิงถ้วยพระราชทาน... เชียงรายคึกคัก

มีทีมโปโลบนหลังช้างจากทั่วโลกเข้าร่วมการแข่งขันครบครันจำนวน 12 ทีม จาก 8 ประเทศทั่วโลก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ไทย สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา ฯลฯ


(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/326/2326/images/Polo/day2lead.jpg)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/326/2326/images/Polo/open_b-lead2.jpg)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/326/2326/images/Polo/Audemars.jpg)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/326/2326/images/Polo/MDAwMDAwMDEw_.jpg)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/326/2326/images/Polo/kp_fs.jpg)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/326/2326/images/Polo/MDAwMDAwMDEw_Mzg0.jpg)


ดูข้อมูล ครับ ประวัติความเป็นมา วิธีการเล่น

ข้อมูลจากคุณอาคม แวะเข้าไปชมได้ ครับ  http://www.norsorpor.com/go2.php?t=m&u=http%3A%2F%2Fwww.oknation.net%2Fblog%2Fakom%2F2009%2F12%2F21%2Fentry-1 (http://www.norsorpor.com/go2.php?t=m&u=http%3A%2F%2Fwww.oknation.net%2Fblog%2Fakom%2F2009%2F12%2F21%2Fentry-1)

และ http://goldentriangle.anantara.com/Elephant-Polo (http://goldentriangle.anantara.com/Elephant-Polo)


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 02 เมษายน 2010, 23:17:59
"เอสจีเอ"ยันเปิดบินเชียงราย-เชียงรุ่งแน่เร่งเดินเอกสารขอ"ปักกิ่ง"-เชื่อคนตรึม


เชียงราย - สายการบิน เอสจีเอยืนยันเดินหน้าแผนบินเชียงราย-เชียงรุ่ง เชื่อมั่นอนาคตสดใส หลังจีน อุ้มเต็มที่ด้วยเงื่อนไขฟรีสารพัดค่าธรรมเนียมในระยะแรก แต่อาจต้องเลื่อนกำหนดเปิดบินปฐมฤกษ์จาก 1 เมษาฯเป็นเดือนพฤษภาฯ หลังเอกสารติดขัดที่ "ปักกิ่ง" - นักบินขาด

นายวันชัย ช่วงชัยกิจการ รองผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาดสายการบินเอสจีเอ เปิดเผย ว่า จากกรณีที่สายการบินประชาสัมพันธ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะให้บริการทำการบินโดยสารจากท่าอากาศยานเชียงรายไปยังสนามบินนานาชาติสิบสองปันนา มณฑลหยุนหนัน จีนตอนใต้ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ล่าสุดต้องขอเลื่อนออกไปก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากเรื่องการจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องภายในประเทศจีน และเรื่องจำนวนนักบิน

ที่ผ่านมาเอสจีเอได้เดินเรื่องเอกสารเกี่ยวกับระเบียบการเข้าออกเมืองไทย-จีนตอนใต้ ที่เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลหยุนหนัน เรียบร้อยไปนานแล้ว แต่ยังติดขั้นตอนที่เมืองหลวงปักกิ่งของจีนอยู่ จึงทำให้แผนงานที่กำหนดไว้ต้องล่าช้าออกไป

นายวันชัย กล่าวว่า ส่วนเรื่องนักบิน ก่อนหน้านี้สายการบินได้ทำการบินระหว่างเชียงราย-เชียงใหม่-ปาย-แม่ฮ่องสอน เป็นหลัก ต่อมาได้มีการขยายการให้บริการไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะอุดรธานี จึงต้องใช้นักบินไปเติมเต็มเส้นทางการบินใหม่ๆ ภายในประเทศมากขึ้น ดังนั้น จึงอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในด้านนักบินไปพร้อมๆ กัน

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า เส้นทางการบินระหว่างเชียงราย-เชียงรุ่ง (จิ่งหง) ในเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา เอสจีเอจะเดินหน้าต่อไปแน่นอน และมีแนวโน้มว่าจะต้องเพิ่มไฟลต์บินจากวันละ 1 เที่ยวบินเป็น 2 เที่ยวบินด้วยซ้ำ แต่เบื้องต้นคงจะเริ่มต้นที่ 1 เที่ยวบินก่อน ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถทำการบินได้ราวเดือนพฤษภาคม 2553 นี้ ซึ่งจะประกาศชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง

นายวันชัย ยังได้ยืนยันอีกว่า ทั้งนี้จากการประสานกับทางการจีนพบว่าทางการจีนยังคงให้การรับรองว่าสายการบินเอสจีเอ สามารถใช้เครื่องบินรุ่น 304 ขนาด 33 ที่นั่งบินจากท่าอากาศยานเชียงรายไปยังสนามบินนานาชาติสิบสองปันนาได้ รวมทั้งยังได้รับการอนุเคราะห์จากทางการสิบสองปันนาในด้านอื่นๆ เป็นอย่างดีเลิศด้วยไม่ว่าจะเป็นค่าลงจอดหรือแลนด์ดิ้ง และอื่นๆ ทำให้ทางสายการบินอาจจะคิดราคาค่าโดยสารเบื้องต้นจากเชียงราย-เชียงรุ่ง เที่ยวละประมาณ 5,000 กว่าบาทเท่านั้น

ทั้งนี้ เพราะคำนวณต้นทุนแล้วพบว่า ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าแลนด์ดิ้งคงจะไม่มาก เนื่องจากได้รับการอนุเคราะห์จากทางการจีนตอนใต้อย่างเต็มที่ แต่คงจะเสียค่าใช้จ่ายสูงบ้างเมื่อต้นบินผ่านน่านฟ้าของ สปป.ลาว และยังค่าใช้จ่ายภายในประเทศไทยทั้งค่าพนักงาน ค่าเครื่องบินและซ่อมบำรุง รวมทั้งค่าภาษีการเดินทางออกนอกประเทศ เฉลี่ยคนละประมาณ 700 บาท และค่าธรรมเนียมอื่นๆ อีกประมาณ 2,000 บาท

"เราพยายามจะลดค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ ที่พอจะทำได้โดยเฉพาะค่าพนักงาน เพื่อให้ค่าโดยสารจากเชียงราย-จีนตอนใต้ มีราคาถูกลงและทำให้ผู้โดยสารสามารถเดินทางได้โดยสะดวก เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางคมนาคมระหว่างเชียงรายของไทยกับจีนตอนใต้ เพราะในอนาคตจะมีสะพานข้ามแม่น้ำโขงทำให้การเดินทางสะดวกมากขึ้นผ่านเส้นทาง R3a ใน สปป.ลาว และยังจะมีรถไฟเชื่อมมาจาก อ.เด่นชัย จ.แพร่ ด้วย"

เขามองว่า การมีเส้นทางมากๆ ไม่ได้แย่งกัน แต่เป็นการเกื้อหนุนกัน เนื่องจากหากเศรษฐกิจดีและมีกิจกรรมด้านต่างๆ มากขึ้น ผู้คนต้องการทางเลือกในการเดินทางตามเส้นทางต่างๆ มากขึ้นเช่นกัน

นายวันชัย บอกว่า การทำการบินระหว่างเชียงราย-จีนตอนใต้ ยังอาศัยตรรกะของการทำการบินภายในประเทศ เพราะก่อนหน้านี้สายการบินเอสจีเอได้เปิดให้บริการการบินระหว่างเชียงราย-เชียงใหม่ เชียงใหม่-น่าน เชียงใหม่-อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน โดยทำการบินวันละประมาณ 2 ไฟลต์ แต่ต่อมาได้ขยายไปยัง จ.อุดรธานี ผลปรากฏว่าการตอบสนองของผู้โดยสารเกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ จนเชื่อว่าโอกาสในเชื่อมโยงการบินระหว่างภาคเหนือกับภาคอีสานของไทยมีอนาคตที่สดใสแน่นอน ดังนั้นการขยายจากภาคเหนือของไทยไปยังจีนตอนใต้ก็ย่อมเหมือนกันหรือคึกคักกว่า

เช่นเดียวกับเส้นทางบินอื่นๆ ที่คึกคักขึ้น โดยในปี 2552 พบว่า ผลลัพธ์การบินระหว่าง เชียงราย-เชียงใหม่ มีผู้โดยสารเฉลี่ยประมาณ 40% ของที่นั่งแต่ละไฟลต์ แต่ในปัจจุบันทะลุขึ้นถึง 70-80% แล้ว ซึ่งแม้ว่าเส้นทางนี้อาจจะดูไม่คุ้มทุนมากนักก็ตาม แต่กรณีเส้นทางระหว่าง จ.เชียงใหม่-อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ปรากฏว่าทะลุถึง 100% เช่นเดียวกับการบินจากเชียงใหม่ไปยังอุดรธานีที่คึกคักไม่แพ้กัน

ดังนั้นในขณะนี้เราอาจมองว่าเชียงรายเป็นเพียงยุทธศาสตร์ที่เราต้องทำการบินภายในประเทศ แต่จากยุทธศาสตร์และโครงการพัฒนาต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จึงทำให้อนาคตการบินจากท่าอากาศยานเชียงรายไปยังจีนตอนใต้มีความสดใสอย่างมาก
รายงานข่าวแจ้งก่อนหน้านี้สายการบินเอสจีเอได้เตรียมเครื่องบินรุ่น 304 ขนาด 33 ที่นั่ง จากประเทศออสเตรเลีย เอาไว้จำนวน 2 ลำ เพื่อจะนำมาทำการบินจากท่าอากาศยานเชียงราย-เมืองเชียงรุ่ง ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน เป็นต้นไป หลังจากก่อนหน้านี้ใช้เครื่องบินขนาด 12 ที่นั่งทำการบินให้บริการระหว่าง จ.เชียงราย-เชียงใหม่-ปาย-แม่ฮ่องสอน-น่าน-อุดรธานี

ในช่วงที่ MR.Jiang Pusheng เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำสิบสองปันนา และประธานสมาคมมิตรภาพระหว่างประเทศสิบสองปันนา ไปเยือน จ.เชียงราย ได้รับปากว่า หากสายการบินเอสจีเอ ทำการบินจริงในปีแรกจะยกเว้นค่าใช้จ่ายทุกอย่างทั้งค่าจอด ค่าตรวจ ฯลฯ ส่วนปีที่ 2 จะเก็บในอัตรา 50% ปีที่ 3 เก็บ 80% ปีที่ 4 ขึ้นไปจึงจะเก็บ 100% ซึ่งเงื่อนไขนี้ยังสามารถเจรจากันได้อีก

โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 2 เมษายน 2553 12:47 น


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 เมษายน 2010, 14:53:10
วันที่ 8 เมษายน 2553 04:04สะพานข้ามน้ำโขงที่4 เชียงของ-ห้วยทราย จะวางศิลาฤกษ์20-22พ.ค.


โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

นายวิรัตน์ แสนอุดม ผู้อำนวยการแขวงการทางเชียงรายที่ 2 เปิดเผยว่า แม้ว่าหมายกำหนดการการวางศิลาฤกษ์สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ระหว่างอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว จะยังไม่ชัดเจน แต่จากกำหนดการต่างๆที่ระบุไว้ คาดว่าไม่น่าจะเกินวันที่ 22 พฤษภาคม 2553 นี้แน่นอน ส่วนสาเหตุที่ยังไม่สามารถระบุวันเวลาที่ชัดเจนได้ขณะนี้ เนื่องจากว่าอาจมีความคลาดเคลื่อนในหมายกำหนดการเล็กน้อย จึงยังไม่มีการกำหนดวันเวลาที่แน่ชัด เพราะทุกอย่างได้เตรียมการไว้แล้ว อีกทั้ง ขณะนี้เหลือเพียงการการจัดการพื้นที่การเวนคืนที่ดินของชาวบ้าน หากสามารถแก้ไขปัญหานี้แล้วเสร็จ ก็น่าจะสมบูรณ์ทุกอย่าง

สำหรับขณะนี้ได้ทำการปรับพื้นที่เตรียมงานทั้งหมดไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สำหรับจอดรถ หรือที่พักต่างๆ ซึ่งเป็นรูปเป็นร่างสมบูรณ์ตามแบบ จะเหลือก็เพียงแต่การวางศิลาฤกษ์ เพื่อก่อสร้างเท่านั้น และหากวางศิลาฤกษ์เสร็จก็น่าจะแล้วเสร็จตามกำหนดการอย่างแน่นอน

"กำหนดการวางศิลาฤกษ์ประมาณวันที่ 20-22 พฤษภาคมนี้ อาจจะเป็นวันใดวันหนึ่ง เพราะยังไม่สามารถระบุวันเวลาที่ชัดเจนได้ขณะนี้ เนื่องจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเป็นประธานในพิธี จะต้องเสด็จเยือนทางใต้ของ สปป.ลาวในช่วงเดียวกัน จึงยังไม่มีการกำหนดวันเวลาที่แน่นอนออกมาขณะนี้" นายวิรัตน์ กล่าว


http://www.bangkokbiznews.com/home/d....ค..html


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 เมษายน 2010, 15:18:27
วันที่ 20 เมษายน 2553 02:00พรศิริสร้างเชื่อมั่นเที่ยวไทยผ่านเวทีพาต้า
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์



"พรศิริ มโนหาญ" ประธานพาต้า เตรียมแจงในเวทีประชุมใหญ่พาต้า 23-27 เม.ย.นี้ ที่มาเลเซีย ทำความเข้าใจประเทศไทยผ่าน 42 ประเทศทั่วโลก

นางพรศิริ มโนหาญ ประธานคณะกรรมการสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (พาต้า) เปิดเผยว่า ในการประชุมประจำปีของสมาคมพาต้า ระหว่างวันที่ 23-27 เม.ย.นี้ ที่เมืองกูชิง ซาราวัก มาเลเซีย ซึ่งเป็นช่วงที่ตนจะส่งมอบวาระให้กับประธานคนใหม่ ตนจะใช้เวทีดังกล่าว เพื่อทำความเข้าใจกับระดับแกนนำด้านการท่องเที่ยวจาก 42 ประเทศทั่วโลกซึ่งเป็นสมาชิก ที่มาเข้าประชุมกว่า 500 คน ให้ทราบถึงสถานการณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย

ทั้งนี้ โดยจะแนะนำให้นักท่องเที่ยวยังสามารถเดินทางเข้ามาเที่ยวในไทยได้ แต่ให้เลี่ยงจากจุดที่ชุมนุมใน กทม. เพื่อให้เข้าไปท่องเที่ยวที่จุดหมายอื่นๆ แทน อาทิเช่น ภูเก็ต กระบี่ สมุย หรือที่ภาคเหนือเช่นเชียงใหม่ ปัจจุบันก็มีเที่ยวบินตรงเข้าไปเป็นต้น สำหรับการประชุมในครั้งนี้ นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะเดินทางไปเข้าร่วมประชุมด้วยเช่นกัน ซึ่งถือเป็นการเข้าร่วมประชุมในเวทีพาต้าครั้งแรกของนายสุรพล ซึ่งนอกจากจะได้ทำความรู้จักกับสมาชิกทั่วโลกแล้ว ยังจะเป็นโอกาสให้ ททท.ทำความเข้าใจกับวงการท่องเที่ยวจากทั่วโลกด้วย

นางพรศิริ กล่าวว่า หลังจากมีการส่งต่อตำแหน่งให้ประธานคนใหม่ ตนก็ยังจะช่วยทำงาน เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ไทยในบางโอกาส ในตำแหน่งที่ปรึกษาคณะกรรมการ ททท.ด้วย

ขณะเดียวกัน พาต้ายังจะมีโครงการร่วมมือกับคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียแปซิฟิก หรือเอสเคป ททท.มณฑลยูนนานของจีนและเคทีซี จัดคาราวานท่องเที่ยวสำหรับกลุ่มประเทศในเอเชีย โดยเริ่มจากสิงคโปร์มายังกรุงเทพฯ ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในราวกลางเดือน ต.ค. เมื่อสถานการณ์การเมืองผ่อนคลาย และเป็นช่วงนำเสนอความน่าเที่ยวของไทยกลับมาอีกครั้ง

ในเส้นทางจะเป็นคาราวานเอเชี่ยนไฮเวย์และอาร์ 3 เอของจีน เพื่อเชื่อมกลุ่มอาเซียนกับจีเอ็มเอส จะเริ่มการเดินทางจากสิงคโปร์เข้าสู่กรุงเทพฯ จากนั้นจะต่อไปยังเชียงราย ผ่านลาว เข้าจีนที่ลี่เจียง ต้าลี่ และไปสิ้นสุดที่แชงกรีลา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสวยงามมาก สามารถรักษาสภาพธรรมชาติไว้ได้เป็นอย่างดี และจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางท่องเที่ยวทางรถจากไทย โดยทางพาต้าจะเชิญพันธมิตรเข้าร่วมในโครงการด้วย อาทิเช่น ซีเอ็นเอ็น ฟอร์บส์ วีซ่า โดยเฉพาะการเชิญสื่อมวลชนที่เป็นพันธมิตรมาร่วมสำรวจในเส้นทางด้วยนั้น คาดว่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวทั่วโลกด้วย หลังจากปรากฏภาพข่าวออก

http://www.bangkokbiznews.com/home/d...7;า.html


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 เมษายน 2010, 15:18:50
จี้จีนเปิดด่านนำเข้าด่วน สินค้าเกษตรไทยถูกรีดเงินใต้โต๊ะอื้อ

ไทยหวังให้จีนเปิดด่านให้สินค้าเกษตรไทยเข้าประเทศ ยกเลิกค่าธรรมเนียผ่านด่านก็จะดีไม่น้อย...

นายยุคล ลิ้มแหลมทอง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการขนส่งสินค้าไทยไปจีนตามเส้นทางอาร์ 3 ที่เริ่มต้นจากชายแดนไทยที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ผ่านเมืองห้วยทราย บ่อแก้ว หลวงน้ำทา บ่อเต็น ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เข้าสู่เมืองโม่หาน จิ่งหง เชียงรุ้ง ไปสู่จุดหมายเมืองคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือด่านนำเข้าสินค้า ซึ่งสินค้าไทยที่จะส่งออกไปมณฑลยูนนานต้องผ่านด่านโม่หาน แต่ปัจจุบันด่านแห่งนี้ยังไม่อนุญาตให้นำเข้าสินค้าเกษตรของไทย

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา การส่งออกสินค้าเกษตรของไทย โดยเฉพาะผลไม้ต้องสวมสิทธิ์เป็นสินค้าลาว และนำมาเปลี่ยนถ่ายลงรถขนาดเล็กของจีนที่ด่านบ่อเต็น ของลาว ทำให้เสียทั้งเวลา และสินค้าเสียหายจากการขนส่ง นอกจากนี้ยังเสียค่าธรรมเนียมผ่านด่าน ทั้งที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการ มีค่าใช้จ่ายถึงคันละ 15,000-20,000 บาท ปัจจุบันสินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในเมืองเชียงรุ้ง และเมืองคุนหมิง มีหลายชนิด เช่น มะขามหวาน มังคุด ทุเรียน ส้มโอ มะพร้าว กล้วยไข่ มะม่วง เป็นต้น

"รัฐบาลต้องเร่งเจรจาสร้างความร่วมมือกับลาว เพื่อลดค่าธรรมเนียมขนส่งสินค้าผ่านด่าน และยกเลิกค่าใช้จ่ายเบี้ยบ้ายรายทางที่ไม่จำเป็น ที่สำคัญ ผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต้องหารือร่วมกันเพื่อหาข้อสรุปให้ผู้ประกอบการไทยขนส่งสินค้าไปยูนนานได้โดยตรง"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ผ่านมาไทยตรวจสอบพบแมลงศัตรูพืช และสารเคมีตกค้างในผักและผลไม้ของจีนหลายชนิด เช่น บร็อกโคลี่ กะหล่ำดอก คะน้า ถั่วลันเตา ผักกาดขาว เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดสามารถหยิบขึ้นมาเป็นข้อต่อรองในการที่ไทยจะไม่ถูกเอาเปรียบจากการเปิดเส้นทางนี้ได้

http://www.thairath.co.th/content/eco/77841


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 เมษายน 2010, 15:19:13
ผิดคาดแห่เที่ยวสงกรานต์

วันอังคาร ที่ 20 เมษายน 2553 เวลา 7:52 น

คนไทยหนีไปต่างจังหวัด

นายประกิตติ์ พิริยะเกียรติ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์การท่องเที่ยวช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาว่า ดีกว่าที่คาดไว้ โดยภาพรวมคนท่องเที่ยวเทศกาลสงกรานต์ทั่วประเทศเติบโต 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน

โดยทางภาคใต้เพิ่มมากที่สุดถึง 30% ขณะที่ภาคเหนือใกล้เคียงปีที่ผ่านมา โดยในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงรายตัวเลขลดลง แต่ไปเพิ่มขึ้นทางจังหวัดพิษณุโลก น่าน และแพร่ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ใกล้เคียงปีที่ผ่านมา ขณะที่ภาคกลางเพิ่มขึ้นที่พัทยา หัวหิน และชะอำ

ส่วนกรุงเทพฯ เพิ่มมากกว่าที่คาดเช่นกันเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่น้อยกว่าปีปกติ 10-12% สาเหตุที่การท่องเที่ยวช่วง สงกราน์เติบโต คาดว่าเป็นผลจากมีวันหยุดยาวต่อเนื่องเกือบ 10 วัน ทำให้คนไทย ออก ไปเที่ยวต่างจังหวัด ในส่วนของนักท่องเที่ยว ต่างชาติ เดินทางผ่านสุวรรณภูมิเข้าไทย 1-17 เม.ย. ลดลง 9.21%
นายวันเสด็จ ถาวรสุข รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. กล่าวว่า หลังจบเทศกาลสงกรานต์ เตรียมจัดกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศต่อเนื่อง เน้นโปรโมตกิจกรรมที่น่าสนใจที่แต่ละจังหวัด มีอยู่แล้วให้ยิ่งใหญ่ โดยจะเริ่มกิจกรรมตั้งแต่เดือน พ.ค. เพราะเป็นช่วงก่อนเปิดเทอม คนยังเดินทางท่องเที่ยวอยู่ จากนั้นจะจัดกิจกรรมใหญ่เดือน มิ.ย. คือ เทศกาลเที่ยวเมืองไทย วันที่ 4-13 มิ.ย.นี้ ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งเป็นการจัดยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยจัดมา.

http://www.dailynews.co.th/newstartp...ontentID=60905
__________________


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 เมษายน 2010, 23:41:08
คมชัดลึก : เชียงราย - อำเภอเชียงแสนเดินหน้าสื่อดิจิทัล เพื่อเสริมการท่องเที่ยว รอให้ ซิป้า อนุมัติติดตั้งอุปกรณ์ คาดว่าปลายเดือนเมษายนนี้เสร็จ

 นายพลภพ มานะมนตรีกุล นายกเทศมนตรีตำบลเวียงเชียงแสน อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับ ซิป้า มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และอำเภอเชียงแสน เพื่อร่วมกันสนับสนุน และสร้างบุคลากรด้านซอฟต์แวร์ และพัฒนาระบบการท่องเที่ยวของเมืองล้านนาให้เป็นไปในรูปแบบสื่อดิจิทัล เหมือนเช่นเมืองท่องเที่ยวของจังหวัดอื่นๆ ในประเทศ

 "ขณะนี้การดำเนินงานได้ลุล่วงมาจนถึงขั้นที่ 3 แล้วคือการเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เหลือขณะนี้คงต้องรอ ซิป้า อนุมัติให้ติดตั้งอุปกรณ์หรือฮาร์ดแวร์เพื่อเชื่อมไปยังพื้นที่ต่างๆ ของเทศบาลรวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ อาทิ สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งจะเป็นการคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์และประวัติความเป็นมาให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางเยี่ยมชมได้เรียนรู้และรับทราบถึงประวัติอย่างแท้จริงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

  นายพลภพ กล่าวว่า การดำเนินงานของโครงการอยู่ในขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อใช้เป็นฐานการเรียนรู้และข้อมูลในการนำเสนอผ่านสื่อดิจิทัล หากขั้นตอนนี้แล้วเสร็จ คงต้องเริ่มขั้นตอนในเฟสต่อไป คือการติดตั้งอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ต่างๆ ในสถานที่ที่กำหนดไว้ทั้งหมด โดยมีเทศบาลตำบลเวียงเชียงแสนเป็นศูนย์กลาง และหากไม่มีอะไรผิดพลาดคาดว่าภายในปลายเดือนเมษายนนี้ ทุกอย่างน่าจะแล้วเสร็จและอุปกรณ์ทุกอย่างน่าจะพร้อมติดตั้งได้ แต่ทั้งนี้ คงต้องรอคำสั่งอนุมัติจากทีมซิป้าอีกครั้ง

 http://www.komchadluek.net/detail/20100420/56129/เชียงแสนดึงซิป้าติดตั้งฮาร์ดแวร์สื่อสาร.html


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 30 เมษายน 2010, 23:10:24
สมาคมท่องเที่ยว ชร.ผลัดใบ-ได้นายกฯใหม่เดินหน้าดันรูธทัวร์GMS

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 เมษายน 2553 11:58 น.





เชียงราย – สมาคมท่องเที่ยวเมืองพ่อขุนฯผลัดใบ ได้ตัวนายกฯใหม่ พร้อมเดินหน้าผลักดัน 25 โครงการพัฒนาการท่องเที่ยวเชียงราย – เชื่อมโยงรูธทัวร์ GMS

รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า สมาคมท่องเที่ยวเชียงรายได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปีขึ้นที่ห้องหิรัญนคร โรงแรมริมกกรีสอร์ท อ.เมืองเชียงราย เมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อแถลงนโยบายจากผู้บริหารสมาคมฯ รวมทั้งเลือกตั้งนายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงรายคนใหม่ หลังจากที่นายสมเกียรติ ชื่นธีระวงศ์ นายกสมาคมดำรงตำแหน่งมาครบ 2 วาระๆ ละ 2 ปีแล้ว

นายสมเกียรติ กล่าวว่าตลอดระยะเวลาที่ทำหน้าที่พยายามพัฒนาวงการธุรกิจท่องเที่ยวของ จ.เชียงราย มาโดยตลอดทำให้หลายโครงการพัฒนาในอนาคตอยู่ในแผนของจังหวัดในปีงบประมาณ 2554-2555 โดยหลายโครงการรองรับกรณีสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ เชื่อมถนน R3aไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้

นายสมเกียรติ ยืนยันว่า อนาคตการท่องเที่ยวลุ่มแม่น้ำโขงเชื่อมโยงกับ จ.เชียงราย กำลังจะเป็นจริงและสามารถจับต้องได้ หากเราไม่พัฒนาธุรกิจท่องเที่ยวภายในจังหวัดจะเสียโอกาส เพราะนักท่องเที่ยวจีนจะทะลักลงมา และลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนไทย จีนตอนใต้ สปป.ลาว พม่า รวมไปถึงเวียดนาม กำลังเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก สังเกตได้จากการเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวกันมากในปัจจุบัน และหากพวกเราไม่ทำอะไรเลยก็จะมีกลุ่มทัวร์ใหญ่ๆ ในประเทศจีนและกรุงเทพฯ หรือทั่วโลกเข้าไปหาผลประโยชน์ ส่วนกลุ่มท้องถิ่นอย่างพวกเราซึ่งมีภูมิศาสตร์เป็นถึงเมืองหน้าด่านสู่ลุ่มน้ำโขงก็จะเป็นได้แค่ธุรกิจรับช่วงต่อ อย่างมากก็เป็นแค่ธุรกิจรถเช่า

นายสมเกียรติ กล่าวว่า เมื่อปี 2546 มีนักธุรกิจท่องเที่ยวที่จดทะเบียนประกอบการอย่างถูกต้องตามกฎหมายใน จ.เชียงราย เพียงประมาณ 50 กว่าราย ต่อมาปี 2548 เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 70 กว่าราย กระทั่งปัจจุบันมีเพิ่มมากขึ้นถึงกว่า 150 ราย เป็นเอกชนที่มีศักยภาพในการทำธุรกิจทั้งนำนักท่องเที่ยวเข้ามาและนำนักท่องเที่ยวออกไปทั่วโลกจำนวน 4 ราย และมีศักยภาพนำเที่ยวทั่วประเทศไทยจำนวน 11 ราย และเฉพาะพื้นที่ จ.เชียงราย และใกล้เคียงจำนวน 91 ราย

ผลของการทำงานร่วมกันตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผานมา ได้ทำให้ล่าสุดเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลหยุนหนัน จีนตอนใต้ ได้เป็นเจ้าภาพในการลงนามความร่วมมือหรือ MOU ระหว่าง 6 เมืองลุ่มน้ำโขงคือสิบสองปันนา แขวงบ่อแก้ว แขวงหลวงน้ำทา แขวงหลวงพระบาง จ.เชียงใหม่ และ จ.เชียงราย ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ครั้งแรกที่ทุกเมืองที่เกี่ยวข้องกับลุ่มแม่น้ำโขงได้มี MOU เกี่ยวกับการท่องเที่ยวร่วมกันอย่างเป็นทางการ อันจะทำให้ในอนาคตจะมีการทำสินค้าร่วมกัน เช่น รูธทัวร์ การพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยว ฯลฯ ร่วมกันต่อไป

นายสมเกียรติ บอกอีกว่า ในอนาคตสำนักงานการท่องเที่ยวกีฬาและนันทนาการ จ.เชียงราย ซึ่งมีนายพรหมโชติ ไตรเวช เป็นผู้อำนวยการก็มีงบประมาณเพื่อสานต่อ MOU จำนวน 6 เมืองให้กับสมาคมท่องเที่ยวเชียงรายด้วย

สำหรับ ผลการเลือกตั้งนายกสมาคมคนใหม่ผลปรากฎว่านายอภิชา ตระสินธุ์ อุปนายกฝ่ายพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงรายคนใหม่ด้วย

นายอภิชา ระบุว่า สมาคมมีโครงการพัฒนาท่องเที่ยวจำนวน 25 โครงการ เช่น โครงการพัฒนาเมืองโบราณเวียงกาหลง อ.เวียงป่าเป้า โครงการพัฒนาเมืองโบราณเชียงแสน อ.เชียงแสน โครงการพัฒนาดอยแม่สลอง ดอยวาวี ดอยช้าง ผาตั้ง ภูชี้ฟ้า โครงการเครือข่ายการท่องเที่ยวในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขงหรือ GMS ฯลฯ

นายอภิชา กล่าวว่าที่ผ่านมาสมาคมได้ส่งโครงการต่างๆ เพื่อให้จังหวัดได้พิจารณาเพื่อนำเข้าสู่การพัฒนาตามยุทธศาสตร์ของจังหวัดจำนวน 10 โครงการผลปรากฏว่าได้รับการพิจารณาดำเนินการในปีงบประมาณ 2544 เป็นต้นไปแล้วจำนวน 5 โครงการ ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเพื่อการพัฒนาเชียงรายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โครงการพัฒนาสินค้าชุมชนเพื่อสงผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จ.เชียงราย

โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวพระธาตุ 9 จอม โครงการสร้างและพัฒนาเครือข่ายผู้ประกอบการท่องเที่ยว จ.เชียงราย และโครงการสงเสริมการท่องเที่ยวล้านนาตะวันออกกับกลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ดังนั้น ในอนาคตเรายังมีงานที่ต้องทำกันอีกมาก ซึ่งตนพร้อมจะดำเนินการเพื่อสานต่อโครงการต่างๆ ดังกล่าวต่อไป

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9530000058805


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 02 พฤษภาคม 2010, 10:49:16
วันที่ 30 เมษายน 2553 13:51การบินไทยโปรโมชั่นตั๋วในประเทศในโอกาสครบรอบ50ปี
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
การบินไทยจัดโปรโมชั่นจำหน่ายบัตรโดยสารราคาพิเศษ ทั้งชั้นธุรกิจและชั้นประหยัด เส้นทางไป-กลับ ภายในประเทศ 11 เส้นทาง ในโอกาสครบรอบ 50 ปี

นายพฤทธิ์ บุปผาคำ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เนื่องในวันที่ 1 พฤษภาคม 2553 เป็นวันครบรอบการก่อตั้ง บริษัท การบินไทยฯ ครบ 50 ปี และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสดังกล่าว รวมทั้งเป็นการขอบคุณผู้โดยสารที่ให้ความไว้วางใจ ใช้บริการมาอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงได้จัดโปรโมชั่นจำหน่ายบัตรโดยสารราคาพิเศษในเส้นทางไป-กลับ ภายในประเทศ ทั้งชั้นธุรกิจ และชั้นประหยัด


ผู้โดยสารสามารถออกบัตรโดยสารราคาพิเศษนี้ได้ตั้งแต่ วันที่ 1 - 31 พฤษภาคม 2553 และสามารถใช้บัตรโดยสารราคาพิเศษเดินทางได้ระหว่าง วันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 30 มิถุนายน 2553 โดยราคาโปรโมชั่นและอายุของบัตรโดยสาร ดังนี้



เส้นทางไป-กลับ ราคาบัตรโดยสารชั้นธุรกิจ ราคาบัตรโดยสารชั้นประหยัด

(อายุบัตรโดยสาร 1 เดือน ) (อายุบัตรโดยสาร 14 วัน )

กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ 10,580 บาท 5,190 บาท

กรุงเทพฯ – เชียงราย 11,990 บาท 6,170 บาท

กรุงเทพฯ – ขอนแก่น 8,770 บาท 4,800 บาท

กรุงเทพฯ – อุดรธานี 9,080 บาท 4,910 บาท

กรุงเทพฯ – อุบลราชธานี 9,4 60 บาท 5,180 บาท

กรุงเทพฯ – กระบี่ 11,810 บาท 6,030 บาท

กรุงเทพฯ – ภูเก็ต 12,220 บาท 6,330 บาท

กรุงเทพฯ – สุราษฎร์ธานี 10,360 บาท 5,020 บาท

กรุงเทพฯ – สมุย 13,320 บาท 8,620 บาท

กรุงเทพฯ – หาดใหญ่ 13,150 บาท 6,980 บาท

เชียงใหม่ – ภูเก็ต (เที่ยวเดียว) 9,685 บาท 5,660 บาท



ทั้งนี้ ราคาดังกล่าว รวมค่าธรรมเนียมน้ำมัน และภาษีสนามบินแล้ว และผู้ที่ซื้อบัตรโดยสาร ราคาพิเศษนี้จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของบัตร ที่กำหนดไว้
__________________


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 พฤษภาคม 2010, 15:56:42
เชียงรายจัดท่องเที่ยววันเดียวเที่ยวฟรี

5 พค. 2553 10:56 น.


นางอัจฉริกา มณีสิน ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย เปิดเผยว่า ททท.สำนักงานเชียงราย จัดโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบการเรียนรู้และมีส่วนร่วมกับ กิจกรรมท่องเที่ยวในโครงการ “ททท.พาเที่ยวสวน...ชวนกินลิ้นจี่...ที่เชียงราย” ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศสำหรับกลุ่มนักท่อง เที่ยวทั่วไป โดยเพิ่มกระบวนการเรียนรู้ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยว และเน้นการท่องเที่ยวรูปแบบการเที่ยวชมสวนเกษตรในพื้นที่จังหวัดเชียงราย อาทิ สวนผลไม้ สวนผัก สวนองุ่น ฟาร์มสัตว์ เป็นต้น สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวไปและกลับในวันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม 2553 ตั้งแต่เวลา 07.30 น.

เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2553 โดยรับสมัครผู้ร่วมเดินทางเพียง 30 คนเท่านั้น ขอสงวนสิทธิ์สมัครก่อนได้สิทธิ์ก่อน เพียงท่านนำสำเนาบัตรประชาชนและกรอกใบสมัครได้ที่ ททท.สำนักงานเชียงราย โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางครั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และสมัครร่วมเดินทางท่องเที่ยวได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย โทรศัพท์ 053-744674-5 ได้ทุกวันในเวลาราชการ



http://breakingnews.nationchannel.co...?newsid=446466


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 พฤษภาคม 2010, 15:57:47
ททท.จัดกิจกรรมท่องเที่ยววันเดียวเที่ยวฟรี

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ททท.เชียงราย จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบการเรียนรู้และมีส่วนร่วมกับ โครงการ"ททท.พาเที่ยวสวน ชวนกินลิ้นจี่ ที่เชียงราย"

นางอัจฉริกา มณีสิน ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย เปิดเผยว่า ททท.สำนักงานเชียงราย จัดโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบการเรียนรู้และมีส่วนร่วมกับ กิจกรรมท่องเที่ยวในโครงการ “ททท.พาเที่ยวสวน...ชวนกินลิ้นจี่...ที่เชียงราย”

ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศสำหรับกลุ่มนักท่อง เที่ยวทั่วไป โดยเพิ่มกระบวนการเรียนรู้ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยว และเน้นการท่องเที่ยวรูปแบบการเที่ยวชมสวนเกษตรในพื้นที่จังหวัดเชียงราย อาทิ สวนผลไม้ สวนผัก สวนองุ่น ฟาร์มสัตว์ เป็นต้น สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวไปและกลับในวันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม 2553 ตั้งแต่เวลา 07.30 น.

โดยออกเดินทางจากททท.สำนักงานเชียงราย (ตรงข้ามศาลากลางหลังเก่า) เดินทางไปชมสวนลิ้นจี่ ได้ชิมน้ำลิ้นจี่สดจากไร่ ลิ้นจี่อบแห้ง การประกอบอาหาร ขนมจากลิ้นจี่ ชิมลิ้นจี่สดจากต้น ชมกระบวนการทำลิ้นจี่อบแห้ง - เดินทางไปชมสวนองุ่นของไร่แม่จันแวลเล่ย์ อำเภอแม่ฟ้าหลวง ชมกระบวนการผลิตไวน์ - ชิมไวน์ จากนั้นช่วงบ่ายเดินทางไปศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ อำเภอแม่สาย ชมสวนผักปลอดสารพิษ - และขั้นตอนการเพาะปลูก และเดินทางไปฟาร์มนกกระจอกเทศ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ชมกระบวนการฟักไข่ธรรมชาติ -ร่วมกิจกรรมขี่นกกระจอกเทศ - ขี่ม้ารอบฟาร์ม และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนกระจอกเทศ โดยจะสิ้นสุดการเดินทางท่องเที่ยวเวลาประมาณ 19.00 น.

สำหรับกิจกรรมนี้เปิดรับสมัครนักท่องเที่ยวผู้สนใจทั่วไปที่พร้อมเดินทางท่อง เที่ยวในเส้นทางดังกล่าว ซึ่งจะเดินทางด้วยรถตู้ปรับอากาศ กำหนดเปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2553 โดยรับสมัครผู้ร่วมเดินทางเพียง 30 คนเท่านั้น ขอสงวนสิทธิ์สมัครก่อนได้สิทธิ์ก่อน เพียงท่านนำสำเนาบัตรประชาชนและกรอกใบสมัครได้ที่ ททท.สำนักงานเชียงราย โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางครั้งนี้

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และสมัครร่วมเดินทางท่องเที่ยวได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย โทรศัพท์ 053-744674-5 ได้ทุกวันในเวลาราชการ


http://www.bangkokbiznews.com/home/d...9;ี.html


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 พฤษภาคม 2010, 15:59:16
(http://www.fly12go.com/th/home/banner/ChiangRai201004.jpg)


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: WEBMASTER ที่ วันที่ 07 พฤษภาคม 2010, 09:37:51
อัพเดทภาพถนนสาย จ3 ที่กำลังตัดสร้างใหม่ ซึ่งต้นปี 54 น่าจะเปิดใช้บริการไ้ด้

ถนนเส้นนี้กำัลังสร้างใหม่ อยู่เลยจากโรงเรียนเมืองเชียงรายไปทาง อ.เวียงชัย เลยหมู่บ้านริมจันทร์ธานี้ไปอีกนิดนึงครับ


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 พฤษภาคม 2010, 21:33:09
ขอบคุณ ครับ.. ;D ;D


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 พฤษภาคม 2010, 14:49:52
ทุ่ม10ล้านช่วยผลผลิตลิ้นจี่เชียงรายล้นตลาด 1.5 หมื่นตัน
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 พฤษภาคม 2553 14:37 น.
 
(http://pics.manager.co.th/Images/553000006732101.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/553000006732102.JPEG)

  เชียงราย – คชก.ต้องทุ่มงบนับ 10 ล้านบาทสำหรับช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกลิ้นจี่เชียงรายในปีนี้ หลังมีผลผลิตรวมกันมากกว่า 1.5 หมื่นตัน โดยวางแนวทางชดเชยทั้งค่าขนส่ง – พัฒนาคุณภาพผลผลิต รวมไปถึงจัดตลาดนัดลิ้นจี่ส่งเสริมการขายต่อเนื่อง
       
       วันนี้ (8 พ.ค.) รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า สำนักงานเกษตร จ.เชียงราย ได้รายงานสถานการณ์การปลูกพืชลิ้นจี่ในพื้นที่ว่าเกษตรกรมีการปลูกลิ้นจี่รวมกันจำนวน 32,269 ไร่ จากจำนวนเกษตรกรที่ปลูกรวมกันทั้งหมด 5,230 ราย คาดว่าจะให้ผลผลิตรวมกันประมาณ 15,839 ตัน โดยอำเภอที่มีการปลูกมากที่สุดคือ อ.เมืองเชียงราย จำนวน 14,338 ไร่ ผลผลิตรวมกันประมาณ 6,751 ตัน และมีเกษตรกรปลูกลิ้นจี่รวมกันมากถึง 1,909 ราย
       
       ด้านนายสมชาย วงศ์ศรีวิวัฒน์ เกษตร จ.เชียงราย เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ได้มีมติเห็นชอบในการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกลิ้นจี่ใน จ.เชียงราย เอาไว้แล้ว โดยได้แจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องทราบถึงแนวทางในการดำเนินงานว่าจะดำเนินการตามโครงการบริหารการจัดการลิ้นจี่ด้วยมาตรการต่างๆ ประจำ ปี 2553 คือ มาตรการเร่งรัดกระจายผลผลิตภายในประเทศ เป้าหมายดำเนินการ 5,000 ตัน ใช้งบประมาณจำนวน 10 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินชดเชยค่าขนส่งเหมาจ่ายและค่าบริหารจัดการขนส่งลิ้นจี่ และเพื่อกระจายผลผลิตลิ้นจี่สดสู่ตลาดปลายทางนอกแหล่งผลิต ให้แก่เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน สถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการทั่วไป ที่เข้าร่วมโครงการ ในอัตรากิโลกรัมละ 2 บาท
       ซึ่งเกษตรกร วิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการทั่วไปสามารถยื่นใบสมัครได้ที่ สำนักงานเกษตรอำเภอทุกอำเภอในแหล่งผลิตและสถาบันเกษตรกรยื่นใบสมัครได้ที่ สำนักงานสหกรณ์ จ.เชียงราย ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2553 จนถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2553 นี้
       
       นอกจากนี้ยังมีมาตรการพัฒนาคุณภาพผลผลิต โดยจัดซื้อตะกร้าพลาสติก ขนาดบรรจุ 3 กิโลกรัม จำนวน 2,500 ตะกร้า และกล่องกระดาษขนาดบรรจุ 5 กิโลกรัม จำนวน 500 กล่อง เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน สถาบันเกษตรกร บรรจุลิ้นจี่ไปจำหน่ายในการจัดงานรณรงค์บริโภคลิ้นจี่ ใน 4 จังหวัดปลายทาง คือ จังหวัดชลบุรี ร้อยเอ็ด สงขลา ขอนแก่น และมาตรการส่งเสริมการตลาดภายในประเทศ จัดงานรณรงค์การบริโภคและจำหน่ายลิ้นจี่ใน จ.เชียงราย โดยจัดตลาดนัดลิ้นจี่ ณ บริเวณสวนตุงและโคมในเขตเทศบาลนครเชียงราย หน้าที่ว่าการอำเภอเมืองเชียงราย ถนนบรรพปราการหน้าโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม หน้าห้างสรรพสินค้าเชียงรายมอลล์ และหน้าสำนักงาน รสพ.เก่า ซึ่งเกษตรกรผู้ประสงค์จะนำลิ้นจี่มาจำหน่ายในงานตลาดนัดลิ้นจี่ ระหว่างวันที่ 10-31 พฤษภาคม 2553 เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน สถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบการค้าลิ้นจี่และผู้เกี่ยวข้อง สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงรายโทรศัพท์ 053-152 685
       
       ด้านนางรัตนา จงสุทธนามรี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย กล่าวว่า อบจ.เชียงราย ได้ร่วมกับเทศบาลตำบลบ้านดู่ องค์การบริหารส่วนตำบลนางแล องค์การบริหารส่วนตำบลท่าสุด สมาคมชาวสวนลิ้นจี่ และชมรมชาวสวนสับปะรด จ.เชียงราย มีกำหนดจัดงาน “วันสับปะรดนางแล ลิ้นจี่ และของดีเมืองเชียงราย ประจำปี 2553” ขึ้นระหว่างวันที่ 21-23 พฤษภาคม 2553 ณ บริเวณสนามข้างแขวงการทางเชิงสะพานแม่น้ำกก อ.เมืองเชียงราย เพื่อส่งเสริมให้เกิดการประชาสัมพันธ์ผลผลิต และส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมทั้งผลักดันให้เป็นศูนย์ตลาดสับปะรดนางแลและลิ้นจี่ของประเทศไทย โดยภายในงานมีกิจกรรมมากมาย เช่น การประกวดผลผลิตสับปะรด ลิ้นจี่ การประกวดผลิตภัณฑ์แปรรูป การประกวดประกอบอาหารจากสับปะรดและลิ้นจี่ การประกวดธิดาชาวสวน การประกวดแม่สวยลูกงาม การประกวดเต้น การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร การจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าโอทอปฯลฯ รวมทั้งมีการแสดงบนเวทีให้ผู้ไปร่วมได้รับชมด้วย.


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 พฤษภาคม 2010, 21:47:22
เชียงราย – สายการบิน “นกมินิ” ดีเดย์เปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ “เชียงราย-เชียงรุ่ง” 1 มิถุนาฯนี้ ประเดิมด้วยเครื่องขนาด 33 ที่นั่งก่อนขยายต่อในอนาคต ขณะที่สนามบินเชียงราย ได้รับพระบรมราชานุญาตเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง”แล้ว เผยหลายสายการบินแห่เพิ่มเที่ยวบินเข้า-ออกรองรับลูกค้าที่มากขึ้น แม้เกิดวิกฤตการเมือง

(http://pics.manager.co.th/Images/553000006852902.JPEG)
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า ท่าอากาศยานเชียงราย ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง" อย่างเป็นทางการแล้ว หลังได้รับพระบรมราชานุญาต เพื่อรำลึกถึงสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือสมเด็จย่า ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทยโดยเฉพาะชาวเชียงราย ซึ่งได้เข้าไปพัฒนาพื้นที่ตามโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนทำให้พื้นที่ปลูกพืชเสพติดกลายเป็นพื้นที่ภูเขาสูงที่มีการพัฒนามากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย
       
       นายยุทธนา จิตรอบอารีย์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เปิดเผยว่า ขณะนี้ท่าอากาศยานเชียงราย ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ใช้ชื่อท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม ที่ผ่านมาแล้ว และนับตั้งแต่นั้นมาก็พบกับสิริมงคล เพราะแม้จะเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นในบ้านเมืองที่กรุงเทพฯ แต่ผู้คนและนักท่องเที่ยวก็ยังคงนิยมใช้บริการการเดินทางทางเครื่องบินผ่านทางท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงอย่างคึกคักเช่นเดิม
       
       จากสถิติในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้(มกราคม-มีนาคม)เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนพบว่า มีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นถึง 20% แม้ว่าในช่วงระหว่างวันที่ 13-18 เมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นจะมียอดผู้โดยสารลดฮวบลงกว่า 10-20% ก็ตาม แต่หลังจากนั้นก็กลับมาคึกคักเหมือนเดิม
       
       นายยุทธนา กล่าวอีกว่า สำหรับไตรมาสที่ 2 จนถึงขณะนี้พบว่ายอดผู้โดยสารยังคงเพิ่มขึ้นประมาณ 10% และยังพบว่ายังมีสายการบินต่างๆ เพิ่มจำนวนเที่ยวหรือเปิดเที่ยวบินใหม่ๆ ขึ้นอีกด้วย โดยสายการบินโอเรียนท์ไทย หรือวันทูโก เพิ่มเที่ยวบินในเส้นทางบินกรุงเทพฯ (ดอนเมือง)-เชียงราย จากวันละ 1 เที่ยวบิน เป็นวันละ 2 เที่ยวบิน โดยจะเริ่มให้บริการเที่ยวบินใหม่ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม นี้เป็นต้น โดยเที่ยวจากกรุงเทพฯ (ดอนเมือง)-เชียงราย ทุกวัน ออก 11.00-12.20 น.และ 15.20-16.40 น.และเชียงราย -กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) ทุกวัน ออก 12.50 -14.10 น. และ 17.10 -18.30 น.
       
       นายยุทธนา กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2553 เป็นต้นไป สายการบินนกมินิ หรือเดิมคือเอสจีเอ มีกำหนดจะเปิดเส้นทางการบินสายเชียงราย-สิบสองปันนา มณฑลหยุนหนัน จีนตอนใต้ เป็นปฐมฤกษ์ด้วย จึงทำให้เส้นทางการบินผ่านทางท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงมีความคึกคักอย่างเต็มที่ โดยมีเที่ยวบินขาเดียวบินวันละ 9-10 เที่ยวบิน แบ่งเป็นการบินไทยวันละ 3 เที่ยว ไทยแอร์เอเชีย วันละ 3 เที่ยว วันทูโกวันละ 2 เที่ยว และนกมินิวันละ 2 เที่ยว
       
       ด้านนายวันชัย ช่วงชัยกิจการ รองผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาดสายการบินนกมินิ กล่าวว่าได้มีการตกลงความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนในเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลหยุนหนัน แล้ว เพื่อรองรับเที่ยวบินปฐมฤกษ์ด้วยเครื่องบินขนาด 304 จำนวน 33 ที่นั่ง คาดว่าเที่ยวแรกคนจะเต็มทั้งขาไป ขากลับ โดยขาไปคือคนไทย และขากลับคือคนจีน ที่มีหนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ต ซึ่งสามารถใช้เป็นVISA ON ARRIVAL เมื่อถึงท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงได้โดยทันที
       
       ในอนาคตคาดว่าเครื่องบินนี้จะไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า เพราะจากการสอบถามผู้ประกอบการจีนตอนใต้พบว่า มีความต้องการบินมายังเชียงราย เป็นจำนวนมาก ดังนั้น อาจมีการปรับแผนเพื่อพัฒนาการบินในอนาคตอีกได้
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่าสำหรับท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงมีเนื้อที่ประมาณ 3,000 ไร่ ใหญ่กว่าสนามบิน จ.เชียงใหม่ ที่มีประมาณ 1,600 ไร่และภูเก็ตที่มีประมาณ 1,300 ไร่ แต่ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวไม่เต็มศักยภาพที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ปีละ 3 ล้านคน โดยแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวไม่เกิน 1 ล้านคน ขณะที่สนามบินมีหลุดจอดเครื่องบินจำนวน 5 หลุม สามารถรองรับเครื่องบินโบอิ้งขนาดใหญ่ได้ถึง 5 ลำในคราวเดียวกัน

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000064561 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000064561)

**************

เรื่อยๆครับ..บ้านเมืองเราค่อยๆพัฒนา ครับ..ลูกหลานจะได้เห็นรอยต่อวัฒนธรรม


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 พฤษภาคม 2010, 23:00:25
เผยสร้างท่าเรือเชียงแสน 2 อืด

(http://www.marinerthai.com/pic-news3/2010-03-08_004.jpg)

นายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ รองปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยในการตรวจเยี่ยมความคืบหน้าการก่อสร้างท่าเรือเชียงแสน 2 ว่า ผลงานการก่อสร้างขณะนี้คืบหน้าเพียง 30% ล่าช้ากว่าแผน 2% เนื่องจากมีพื้นที่ที่ต้องขุดดินและขุดร่องน้ำขึ้นมา ซึ่งประกอบด้วยไปด้วยหินจำนวนมาก ส่งผลให้งานเพิ่มขึ้น อีกทั้งกรมเจ้าท่ามีแผนที่จะก่อสร้างเขื่อนรอบเกาะช้างตาย ตามที่สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เห็นชอบด้วย ซึ่งกรมเจ้าท่าของบประมาณ ปี"54 ไปแล้ว 45 ล้านบาท และคาดว่าการดำเนินการจะแล้วเสร็จตามแผนในช่วงปลายปี"54 ตามสัญญาการก่อสร้าง 32 เดือนแน่นอน


นายพงษ์วรรณ จารุเดชา รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านโครงสร้างพื้นฐานทางน้ำ กล่าวว่า บริษัท พอร์ท แอนด์ มารีน คอร์ปอเรชั่น (พี.เอ.เอ็ม.) รับผิดชอบก่อสร้างโครงการดังกล่าว โดยเสนอราคาต่ำสุด คิดค่าก่อสร้างกว่า 1,546 ล้านบาท หลังการก่อสร้างแล้วเสร็จการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) จะเข้ามาบริหารจัดการ ซึ่งขณะนี้ได้หารือเรื่องการขุดลอกลำน้ำบริเวณท่าเรือว่าใครจะเข้ามารับผิดชอบ เพราะจะต้องขุดลอกดินในร่องน้ำ ปีละ 2.8 แสนคิว ซึ่งกทท. เห็นชอบให้กรมเจ้าท่าดำเนินการขุดลอก โดยกทท.จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด

(http://www.marinerthai.com/pic-news3/khaosod.jpg)


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 พฤษภาคม 2010, 10:16:19
IMG]http://www.thaibizchina.com/upload/downloads/articles/chengdu/2008-09-img4.jpg[/IMG]

(http://1.bp.blogspot.com/_yseFC-DlqqE/SyzTo-vfn8I/AAAAAAAAAK4/GKsuIgnJOJA/s320/1244261861.jpg)

(http://www.chiangraifocus.com/images/filepicture/1244051366.jpg)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/326/2326/images/b12.jpg)


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกน้ำของ ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2010, 08:36:41
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ ครับ  :D


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 พฤษภาคม 2010, 09:39:23
ท่องเที่ยวเชียงรายงัดสารพัดวิธีฝ่าวิกฤต หลังยอดพักหดต่ำกว่า 40%
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 พฤษภาคม 2553 17:20 น.
 
 
 
วิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลกระทบไปทั่ว โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่ต่างชาติเดินทางเข้าไทยลดลงอย่างมาก 
 
 
       เชียงราย – ท่องเที่ยวเมืองพ่อขุนฯดิ้น งัดสารพัดวิธีหลังยอดจองต่ำกว่า40% จากวิกฤตการเมือง – โลว์ซีซัน ททท.เตรียมจัดโรดโชว์ 5 ภาคซ้ำอีกรอบ พร้อมตั้งบูธประชาสัมพันธ์ที่กรุงเทพฯช่วยอีกทาง ขณะเดียวกันเตรียมดึง อปท.หนุน ด้านผู้ประกอบการประกาศลด แลก แจก แถม เต็มที่
       
       นายพรหมโชติ ไตรเวช ผู้อำนวยการสำนักการท่องเที่ยวและกีฬา จ.เชียงราย เปิดเผยว่า จากจำนวนห้องพักในพื้นที่เชียงราย ที่มีอยู่ประมาณ 14,000 ห้องนั้น ในระยะที่ผ่านมา ซึ่งเกิดปัญหาการเมืองในประเทศไทย รวมทั้งโลว์ซีซัน ทำให้ยอดเข้าพักในภาพรวมต่ำกว่า 40% ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวคนไทยเป็นหลักมากกว่าชาวต่างชาติ และ 4-5 วันแรกที่มีการใช้มาตรการเคอร์ฟิวทำให้แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปในพื้นที่เลย
       
       อย่างไรก็ตาม ในระยะนี้เริ่มมีการจัดประชุมสัมมนาของหน่วยงานรัฐบ่อยครั้งขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการพอประคองตัวอยู่ได้ ขณะเดียวกันกลุ่มบริษัททัวร์ต่าง ๆ ในพื้นที่ก็จะถือโอกาสเข้าไปประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวโดยมีการลด แลก แจก แถม แล้วแต่ความเหมาะสม เพื่อดึงดูดให้ผู้เข้าสัมมนาได้พักเพิ่ม ซึ่งสามารถเพิ่มอัตราการเข้าพักจากเดิม 1 วันเป็น 2-3 วันต่อไป
       
       สำหรับแผนการพัฒนาและฟื้นฟูการท่องเที่ยวในระยะยาวได้เน้นการร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยให้งบประมาณแก่ อปท.ต่างๆ จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว ดึงดูดผู้คนให้ลงไปสู่แหล่งท่องเที่ยวท้องถิ่นใหม่ๆ ซึ่งก็จะทำให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ทั้ง อปท.ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป

 
   
 
 
       ด้านนางจิรารัตน์ มีงาม ผู้ช่วยผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย กล่าวว่า หลังวิกฤตการเมือง ททท.สำนักงานเชียงราย มีแผนจะฟื้นฟูการท่องเที่ยวในจังหวัดด้วยการเตรียมเดินสายโรดโชว์ทั่วประเทศ เพื่อประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว เพราะหลังเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันเมื่อปี 2552 และเราจัดโรดโชว์ 5 ภาคแล้ว ถือว่าได้ผลอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีแผนจะตั้งจุดประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของจังหวัดในสถานที่สำคัญที่กรุงเทพฯ โดยเดิมวางแผนจะไปตั้งบูธที่เซ็นทรัลเวิร์ล แต่ปรากฏว่าได้ถูกเผาไปหมดจึงได้ย้ายไปยังฟิวเจอร์พาร์คแทน คาดว่าจะทำได้ในเร็วๆ นี้
       
       นายสุพจน์ สิงหอัมพล อุปนายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวว่า การท่องเที่ยวในปัจจุบันอยู่ในภาวะซบเซา เพราะไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวและยังมีปัญหาทางการเมืองอีก ดังนั้นผู้ประกอบการต้องปรับตัวกันยกใหญ่โดยส่วนใหญ่จะตั้งราคาหน้าร้านสูงไว้ก่อนและแจ้งลดราคาลงครึ่งหนึ่งเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่ก็ทำให้อยู่ในภาวะขาดทุนเพราะเรามีต้นทุนมากเป็นประจำทุกวัน
       
       ขณะที่นายสุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย กล่าวว่าสถานการณ์ในพื้นที่เชียงรายไม่มีความรุนแรงเหมือนบางจังหวัดที่มีการเผาสถานที่สำคัญ เพราะสามารถสื่อสารกับคนเสื้อแดงรู้เรื่อง แต่ผลจากการใช้มาตรการเคอร์ฟิวได้ทำให้ร้านค้าและนักท่องเที่ยวซบเซา ปัจจุบันสายการบินไทยก็ลดเที่ยวบินจากเดิมให้บริการช่วงเช้า กลางวันและเย็น ก็เหลือเพียงเที่ยวบินเช้า - เย็นเท่านั้น อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
       
       นายสมเกียรติ ชื่นธีระวงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จ.เชียงราย เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้ทำโครงการพัฒนาระบบภูมิสารสนเทศเพื่อเชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายธุรกิจการท่องเที่ยวแก่ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น บริษัทท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ฯลฯ ณ ห้องประชุม เดอะ มันตรินี่ บูติค รีสอร์ท เชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย และเปิดให้ลงทะเบียนเพื่อร่วมโครงการพัฒนาสถานที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวกับ Google earth และ Google map เพื่อนำสถานที่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องการท่องเที่ยวใน จ.เชียงราย ไปเผยแพร่ทั่วโลก ซึ่งทำให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ประกอบการอย่างมากโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ด้วย
       
       นายยงยศ พรตปกรณ์ ประธานคณะอนุกรรมการพัฒนาผู้ประกอบการไอที หอการค้าไทย กล่าวว่าปัจจุบันมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลกกว่า 1,700 ล้านคน กว่า 71% ใช้ Google ในการค้นหาข้อมูลต่างๆ ส่วนคนไทยก็ผู้ที่นิยมใช้ ในการค้นหาข้อมูลมากที่สุดถึง 95-97% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต
       
       ดังนั้นการที่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเชียงรายได้ลงทะเบียน จะทำให้ผู้ประกอบการได้รับประโยชน์จากการเป็นที่รับทราบของผู้บริโภคได้มากขึ้น โดยเฉพาะปัจจุบันระบบ Google มีหลากหลายทั้งการแจ้งแผนที่และรายละเอียดของแหล่งท่องเที่ยวรวมทั้งสถานที่ที่เกี่ยวข้อง ไปจนถึงการจัดงานหรือกิจกรรมในช่วงนั้นๆ ให้ผู้เข้าค้นหาข้อมูลได้อย่างละเอียดผ่านภาพเสมือนจริงด้วย
 
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000071849


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 30 พฤษภาคม 2010, 16:56:15
ที่ดิน อ.เชียงของ บูมนายทุนกว้านซื้อเก็งกำไร 


เผยที่ดิน อ.เชียงของ จ.เชียงราย บูม หลังกำลังมีการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 นายทุนแห่กว้านซื้อที่ดินลงทุนสร้างโรงแรม-รีสอร์ทติดแม่น้ำโขงหลายแห่ง..

เมื่อวันที่ 29 พ.ค. นายสงวน ซ้อนกลิ่นสกุล รองเลขาธิการหอการค้า จ.เชียงราย และนักธุรกิจนำเข้าและส่งออก อ.เชียงของ เปิดเผยว่า จากการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขง แห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างเพื่อเชื่อมกับถนน R3A ทำให้พบว่ามีการลงทุนในเรื่องที่ดินเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

โดยมีนายทุนไปกว๊านซื้อที่ดินทำเลทองในราคาสูง โดยเฉพาะบริเวณเชิงสะพานและตัวเมืองเชียงของ ส่วนบริเวณทุ่งสามหมอนซึ่งตั้งอยู่บนถนนสายเชียงของ-เชียงราย เขต ต.สถาน ต.ศรีดอนชัย ใกล้กับบริเวณสะพานและมีเนื้อที่กว่า 10,000 ไร่ มีการสร้างโกดังและไซโลข้าวโพด 2-3 ราย รวมทั้งโรงแรมขนาดใหญ่และรีสอร์ทหลายแห่งติดแม่น้ำโขงยังอยู่ระหว่างการ ก่อสร้างด้วย


นายสงวน กล่าวว่า เนื่องจากก่อนหน้านั้นประมาณ 2-3 ปี นายเตาชินหัว อดีตประธานหอการค้าเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ได้นำคณะนักธุรกิจจีนมาสำรวจการลงทุนที่ อ.เชียงของ โดยรัฐบาลในสมัยนั้นได้เคยกำหนดให้ที่ ต.ศรีดอนมูล อ.เชียงแสน เป็นเขตจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งกลุ่มทุนจีนจำนวนมากสนใจและพร้อมจะเข้ามาลงทุนอย่างเต็มที่ แต่มีการเมืองเข้ามาแทรกแซงมีอันต้องยุติไป และมีการพุ่งเป้าที่ทุ่งสามหมอน อ.เชียงของ แทนกระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่มีความชัดเจน รวมทั้งเส้นทางรถไฟสาย อ.เด่นชัย จ.แพร่ ไปยัง จ.เชียงราย โดยเฉพาะเชื่อมไปยังสะพานข้ามแม่น้ำโขง เพราะเส้นทางนี้ใกล้กับจีนตอนใต้มากที่สุด หากรัฐบาลเร่งระดมงบประมาณก่อสร้างโดยเร็วจะทำให้ จ.เชียงรายเป็นประตูการค้าสู่อนุภาคลุ่มแม่น้ำโขงในอนาคตอันใกล้นี้.

http://www.thairath.co.th/content/region/86118


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 30 พฤษภาคม 2010, 16:56:40
ท่องเที่ยวเชียงรายแผ่ว หลายหน่วยงานเร่งฟื้นฟู
ท่องเที่ยวจ.เชียงรายโดนพิษการเมืองและช่วงโลว์ซีซั่นเล่นงานจนทรุด หลายหน่วยงานเร่งมือฟื้นฟู หวังนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวมากขึ้น...

30 พ.ค. นายพรหมโชติ ไตรเวช ผู้อำนวยการสำนักการท่องเที่ยวและกีฬา จ.เชียงราย เปิดเผยว่า ในระยะที่ผ่านมาเกิดปัญหาการเมืองในประเทศไทย รวมทั้งช่วงโลว์ซีซัน ทำให้ยอดเข้าพักในภาพรวมต่ำกว่า 40% จากจำนวนห้องพักในพื้นที่เชียงราย ที่มีอยู่ประมาณ 14,000 ห้อง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นคนไทย ในช่วงประกาศเคอร์ฟิวทำให้แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ในระยะนี้เริ่มมีการจัดประชุมสัมมนาของหน่วยงานต่างๆ ทำให้ผู้ประกอบการประคองตัวอยู่ได้

นายพรหมโชติกล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันกลุ่มบริษัททัวร์ต่างๆ ในพื้นที่ได้ประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาเชียงราย สำหรับแผนการพัฒนาและฟื้นฟูการท่องเที่ยวในระยะยาวนั้น ได้เน้นการร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยจัดงบประมาณให้กับอปท.ต่างๆ จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว ดึงดูดผู้คนให้ลงไปสู่แหล่งท่องเที่ยวท้องถิ่นใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ ทั้งอปท. ผู้ประกอบการ และประชาชนทั่วไป

ด้านนางจิรารัตน์ มีงาม ผู้ช่วยผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย กล่าวว่า หลังวิกฤติการเมือง ททท.เชียงรายมีแผนจะฟื้นฟูการท่องเที่ยวของเชียงราย ด้วยการเตรียมเดินสายโรดโชว์ไปทั่วประเทศ เพื่อประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว หลังเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันเมื่อปี 2552 ได้จัดโรดโชว์ 5 ภาคแล้ว ถือว่าได้ผลอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีแผนจะตั้งจุดประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของจังหวัดในสถานที่สำคัญที่กรุงเทพฯอีกด้วย

ขณะที่นายสมเกียรติ ชื่นธีระวงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จ.เชียงราย เปิดเผยว่า สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้จัดทำโครงการพัฒนาระบบภูมิสารสนเทศ เพื่อเชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายธุรกิจการท่องเที่ยวแก่ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น บริษัทท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ได้มีการลงทะเบียนเพื่อร่วมโครงการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยว จ.เชียงราย กับ Google earth และ Google map เพื่อนำสถานที่ต่างๆ ไปเผยแพร่ทั่วโลกซึ่งทำให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ประกอบการอย่างมากโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ด้วย

นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลกกว่า 1,700 ล้านคน กว่า 71% ใช้ Google ในการค้นหาข้อมูลต่างๆ ส่วนคนไทยมีผู้นิยมใช้การค้นหาข้อมูลมากที่สุดถึง 95-97% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต เพราะปัจจุบันระบบ Google มีหลากหลายทั้งการแจ้งแผนที่และรายละเอียดของแหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งสถานที่ที่เกี่ยวข้อง ไปจนถึงการจัดงานหรือกิจกรรมในช่วงนั้นๆ ให้ผู้เข้าค้นหาข้อมูลได้อย่างละเอียดผ่านภาพเสมือนจริงด้วย อย่างไรก็ตาม หากการเมืองนิ่งสงบแล้ว นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสามารถเดินทางมาเที่ยวได้ตามปกติ จะทำให้การท่องเที่ยวไทยคึกคักเช่นเคย

http://www.thairath.co.th/content/region/86245


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 30 พฤษภาคม 2010, 23:02:19
เชียงรายติด 1 ใน 1,000 เมืองคุณภาพชีวิตดี
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 พฤษภาคม 2553 17:16 น.
 
 
       นายสมพงษ์ กุลวงศ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางสำนักงานเทศบาลนครเชียงราย ได้รับแจ้งจากกระทรวงสาธารณสุขว่า เทศบาลนครเชียงราย ได้ผ่านการสรรหาให้เป็น 1 ใน 1,000 เมือง เพื่อรับโล่รางวัลจากนายกรัฐมนตรี ในการจัดการเมืองเพื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดี และสุขภาพที่ดีตามโครงการการสรรหา 1,000 เมือง 1,000 ชีวิต พิทักษ์คุณภาพชีวิตคนเมือง เนื่องในวันอนามัยโลกปี 2553 ซึ่งถือว่า รางวัลเป็นที่น่าภูมิใจของเทศบาลนครเชียงราย และชาวจังหวัดเชียงรายมาก
        นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวเพิ่มเติมว่า ระยะเวลาที่ผ่านมา ทางเทศบาลนครเชียงรายได้จัดโครงการถนนคนเดิน วิถีล้านนา เพื่อสุขภาพและภาวะที่ยั่งยืนโดยมีกิจกรรมต่างๆ อาทิ การแสดงผลงานการประกวดภาพถ่ายเมืองน่าอยู่ การจัดนิทรรศการเพื่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม การให้ความรู้และสุขภาพและอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับคุณภาพชีวิตของประชาชนในเขตพื้นที่อำเภอเมือง และคนเมืองทั่วไป ซึ่งคาดว่าจะเป็นผลจากการจัดกิจกรรมดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง จนได้รับรางวัลดังกล่าว
 
 http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9530000074391


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 01 มิถุนายน 2010, 22:08:50
ทำเลทองที่ดินติดสะพานน้ำโขง4 ทุ่งนาเชียงราย-เชียงของ-ทะลุไร่นับล้าน

วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7123 ข่าวสดรายวัน


เชียงราย - นายวิรุณ คำภิโล ประธานหอการค้า จ.เชียงราย เปิดเผยว่า จากกรณีที่กระทรวงคมนาคม ของไทยและสปป.ลาว ลงนามความร่วมมือในการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ที่จ.เชียงราย ไปเมื่อเร็วๆ นี้ และจะทำให้การก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2555 นั้นทำให้มีกลุ่มทุนโดยเฉพาะจากประเทศจีนนำคณะเข้ามาศึกษาดูงานพื้นที่อ.เชียงของ และส่วนอื่นๆ ของจ.เชียงราย โดยเฉพาะบนถนนสายเชียงของ-เชียงราย เพื่อเตรียมจะเข้ามาลงทุนกันอย่างคึกคัก รวมทั้งได้มีกลุ่มทุนที่ได้ลงทุนไปก่อนหน้านี้แล้วหลายราย แต่ส่วนใหญ่ยังไม่เป็นประเภทอุตสาหกรรมแต่จะเป็นการนำเข้าและส่งออกสินค้า โรงแรม สถานเอ็น เตอร์เทนเมนต์ ฯลฯ ทั้งฝั่งไทยและ สปป.ลาว เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ในอนาคตเชื่อว่าจะมีธุรกิจอื่นๆ เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์เพื่อรองรับการนำเข้าและส่งออกสินค้าบนถนนอาร์สามเอเชื่อมไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ การนำเข้าวัตถุดิบใหม่ๆ จากประเทศจีนมาแปรรูป ฯลฯ

ด้านนายสงวน ซ้อนกลิ่นสกุล รองเลขาธิการหอการค้า จ.เชียงราย และนักธุรกิจนำเข้าและส่งออกที่ อ.เชียงของ กล่าวว่า ช่วงต้นของการก่อสร้างสะพานไม่ได้มีความคึกคักในการลงทุนมากนัก เพราะนักธุรกิจกำลังดูลู่ทางในการลงทุนและติดตามสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย กระนั้นก็พบว่าที่ดินส่วนใหญ่โดยเฉพาะทำเลทองได้ตกอยู่ในมือกลุ่มทุนไปหมดแล้ว โดยเฉพาะบนทุ่งนากว้างติดถนนเชียงราย-เชียงของ เนื้อที่มากกว่า 20,000 ไร่ พบว่ามีการซื้อขายกันคึกคัก โดยอดีตมีราคาซื้อขายกันไร่ละหลักหมื่นบาท แต่ปัจจุบันอย่างต่ำไร่ละ 700,000-800,000 บาท หากติดถนนราคาไร่ละกว่า 1 ล้านบาท เชื่อว่าเมื่อสะพานใกล้เสร็จและสถานการณ์เหมาะสมจะมีการลงทุนในพื้นที่อย่างคึกคัก

"อย่างไรก็ตาม เรายังไม่มีความชัดเจนเรื่องสถานที่ที่จะเอื้อให้เกิดการลงทุนด้านนิคมอุตสาหกรรม หลังจากที่เคยประชาสัมพันธ์ให้มีการเข้าไปลงทุนบริเวณติดถนนเชียงราย-เชียงของ พื้นที่ต.ศรีดอนชัย และต.สถาน อ.เชียงของ เนื้อที่ประมาณ 16,000 ไร่ ทำให้กลุ่มทุนจีนซึ่งเข้ามาประสานในพื้นที่สอบ ถามอยู่เนืองๆโดยพร้อมจะเข้ามาลงทุน ติดอยู่เพียงกำหนดพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกจากไทยเท่านั้น"

หน้า 28


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 03 มิถุนายน 2010, 14:37:30
รัฐเร่งปัดฝุ่นปั้นแหล่งเที่ยวทั้งเก่า-ใหม่ดึงคนจีนเข้าเหนือชดเชยฝรั่งหายหลังแดงเผาเมือง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 มิถุนายน 2553


เชียงราย – ธุรกิจท่องเที่ยวได้ฤกษ์กระตุ้นรัฐฟื้นให้พ้นวิกฤต เสนอรัฐเร่งพัฒนาแหล่งเที่ยวทั้งเก่า-ใหม่ ดึงคนจีนเข้าเชียงราย – เหนือตอนบน ชดเชยฝรั่งที่หดหาย หลังเสื้อแดงเผาบ้าน-เผาเมือง

เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมสมาพันธ์ธุรกิจท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้จัดการประชุมใหญ่ขึ้นที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อระดมสมองหาวิธีการให้ธุรกิจการท่องเที่ยวทั่วประเทศได้พ้นจากวิกฤต อันเกิดจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงและก่อการร้ายในช่วงเดือน เมษายน -พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยมีสมาชิกของสมาคมสมาพันธ์ฯ ประกอบไปด้วยนักธุรกิจท่องเที่ยวจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศเข้าร่วม

นายสมเกียรติ ชื่นธีระวงศ์ รองนายกสมาคมสมาพันธ์ธุรกิจท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จ.เชียงราย เปิดเผยว่า สมาคมสมาพันธ์ฯ ได้หารือกันแล้วได้ข้อสรุปว่า จะนำเสนอปัญหาของธุรกิจท่องเที่ยวทั้งในภาพรวมและส่วนภูมิภาคทั้งหมด และแนวทางในการฟื้นฟูไปยังรัฐบาลเพื่อให้ช่วยเยียวยาภาคการท่องเที่ยว และให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รวมทั้งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับภาคธุรกิจทำการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวทั้งใหม่และเก่าทั่วประเทศ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวซึ่งจะถือเป็นการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ในการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ได้มีการร่วมกันพัฒนามานานแล้ว

ด้านการตลาดก็จะขอให้ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน จัดหาตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยเริ่มต้นด้วยการฟื้นความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของประเทศกลับคืนมาให้ได้ต่อไป

ในส่วนของ จ.เชียงราย ซึ่งตนรับผิดชอบโดยตรง ยังคงมุ่งไปที่การพัฒนาไปสู่กลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงหรือ GMS เพราะเชียงรายมีภูมิศาสตร์เป็นประตูไปสู่อนุภูมิภาคนี้ ทั้งทางบก ทางเรือในแม่น้ำโขงและทางเครื่องบิน ทั้งนี้ในปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลก ยังคงมีท่าทีที่ไม่อยากให้นักท่องเที่ยวเดินทางมายังประเทศไทย แต่เราจะใช้โอกาสนี้ในการส่งเสริมให้คนจีนเข้ามายังประเทศไทยผ่านทาง จ.เชียงรายต่อไป
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันในฐานะที่ตนทำงานในสมาคมสมาพันธ์ฯ ด้วย ก็จะผลักดันให้มีการเชื่อมโยงธุรกิจการท่องเที่ยวในส่วนภูมิภาค เพื่อให้ภาคเอกชนแต่ละรายเห็นความสำคัญของการช่วยเหลือกัน ด้วยการประสานธุรกิจ เช่น ส่งทัวร์ให้แก่กัน ฯลฯ เพื่อจัดทำเป็นเครือข่ายหรือเน็ตเวิร์กภาคธุรกิจท่องเที่ยวในการพึ่งพากันเอง

ทุกภาคจะได้ประโยชน์เพื่อหลังจากได้ให้บริการนักท่องเที่ยวที่ไปเยือนหมด แล้วก็สามารถเสนอไปยังภูมิภาคอื่นๆ ได้ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องผลักดันให้ประสบความสำเร็จ

ด้านนายสุพจน์ สิงหอัมพล อุปนายกฝ่ายโรงแรมและห้องพัก สมาคมท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวว่าวิกฤตการเมืองช่วงเดือน เมษายน-พฤษภาคม นี้ นับเป็นการซ้ำเติมวิกฤต เพราะปกติก็เป็นช่วงที่ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวหรือต้นฤดูฝนอยู่แล้ว และเมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้อีก จึงทำให้โรงแรมใหญ่ๆ ที่เน้นนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักประสบปัญหาหนัก เพราะกรุ๊ปทัวร์ต่างประเทศพากันยกเลิกการจองห้องพักกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งการยกเลิกการจองแล้วจะกลับมาจองใหม่นั้นเป็นเรื่องที่ยากและใช้เวลานานมาก

ดังนั้น ช่วงนี้จึงต้องปรับตัวกันไปก่อนด้วยการลดรายจ่ายทุกวิธีการ แต่ยังไม่ถึงขั้นเลิกจ้างหรือลดเงินเดือนลูกจ้าง โดยอย่างมากก็อำนวยความสะดวกให้ลูกจ้างได้ลาพักร้อนได้มากขึ้น

นายสุพจน์ กล่าวอีกว่าส่วนโครงการต่างๆ ในโรงแรมก็ต้องหยุดลงหมดเพื่อลดต้นทุน ดังนั้น จึงต้องหวังเอาไว้การผลักดันต่างๆ ดังกล่าวของรัฐบาลตามที่สมาคมสมาพันธ์ฯ ได้ดำเนินการ และคาดหวังว่าหนึ่งในสิ่งที่รัฐบาลจะลงมาช่วยเยียวยาคือการเร่งรัดกระจายงบประมาณด้านการจัดประชุมสัมมนาให้ลงไปสู่ภูมิภาคต่างๆ อย่างทั่วถึง โดยเน้นให้ไปใช้บริการตามโรงแรมห้องพักที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วย เพื่อส่งเสริมผู้ที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลเป็นอย่างดีมาโดยตลอด

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9530000075736


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 มิถุนายน 2010, 01:01:20
(http://imagehost.thaibuzz.com/ic/15clip_2.jpg)


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 มิถุนายน 2010, 10:04:22
(http://www.dpt.go.th/chiangrai/contents/Sat121527-N-roZ85mR.jpg)

สวนสมเด็จเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สถานที่ก่อสร้างในมหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย จำนวน 30 ไร่ (อยู่ในขั้นตอนการออกแบบรายละเอียด)


หัวข้อ: Re: คลิ๊กนี้???รวมกระทู้ด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 มิถุนายน 2010, 22:30:55
เชียงราย – น้ำโขงเริ่มคืนชีพอีกครั้ง หลังระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นเมื่อย่างเข้าหน้าฝน ล่าสุดเรือจีนเปิดวิ่งตรงจากเชียงรุ่ง-เชียงแสน กันอย่างคึกตักอีกครั้ง หลังจากที่ต้องหยุดยาวช่วงกุมภาฯ-เมษาฯ 53 ที่น้ำโขงแห้งขอด

(http://pics.manager.co.th/Images/553000008167901.JPEG)(http://pics.manager.co.th/Images/553000008167902.JPEG)
       
       หลังจากระดับน้ำในแม่น้ำโขงแห้งลงต่อเนื่องมานาน จนทำให้ผู้คน 2 ฝั่งลุ่มน้ำโขงทั้งในเขตพม่า ลาว ไทย กัมพูชา เวียดนาม ประสบกับความเดือดร้อนมาอย่างยาวนาน เรือสินค้า-ท่องเที่ยว ต้องหยุดวิ่งตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 53 ที่ผ่านมา ขณะนี้ระดับน้ำโขง ได้กลับมาเพิ่มสูงขึ้นตามฤดูกาลอีกครั้ง จนทำให้เรือสินค้าในแม่น้ำโขงกลับมาแล่นเรือระหว่างท่าเรือเชียงรุ้งหรือจิ่งหง เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลหยุนหนัน ผ่านเมืองท่าต่างๆ มายังท่าเรือ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย อย่างคึกคักเช่นเดิม
       
       โดยเรือส่วนใหญ่ติดธงสัญชาติจีนและระบุว่ามาจากท่าเรือเชียงรุ้งโดยตรง ซึ่งแตกต่างจากช่วงที่แม่น้ำโขงแห้งต่ำกว่า 1.40 เมตรจนไม่สามารถแล่นเรือได้หรือแม้แต่ช่วงที่ระดับน้ำกระเตื้องขึ้นบ้างช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.ก็มีเพียงเรือสินค้าจากท่าเรือสบหรวย ประเทศพม่า และใน สปป.ลาว เท่านั้น
       
       นายอภิสิทธิ์ คำภิโล ขนส่งทางน้ำที่ 1 สาขาเชียงราย กล่าวว่า การเดินเรือในแม่น้ำโขงขณะนี้ถือว่าเข้าสู่ภาวะปกติ โดยระดับน้ำลึกเกือบ 2 เมตร ทำให้มีเรือสินค้าขนาดประมาณ 200 ตัน แล่นเข้าออกท่าเรือเชียงแสนวันละ 6-10 ลำ ส่งผลทำให้การค้าชายแดนที่ท่าเรือเชียงแสนกลับมามีความคึกคักขึ้นอีกครั้ง
       
       นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการที่ท่าเรือเชียงรุ้งไม่อนุญาตให้เรือสินค้าแล่นเข้าออกท่าเรือช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.ที่ผ่านมานั้น ตนคาดการณ์ว่าน่าจะเกิดจากแม่น้ำโขงแห้งซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุกับเรือและไม่เหมาะสมที่จะขนสินค้าเพราะเรือจะเกยตื้นได้ง่าย ดังนั้นจึงถือโอกาสทำการซ่อมแซมปรับปรุงหรือตรวจสภาพเรือในช่วงนั้นเสียเลย เพื่อจะได้เตรียมความพร้อมเข้าสู่ช่วงฤดูน้ำหลากนี้ต่อไป ขณะเดียวกันคาดว่าเกิดจากการจัดระเบียบเรื่องใบอนุญาตการเดินเรือด้วย
       
       ทั้งนี้ ระดับน้ำในลักษณะนี้คงจะดำเนินต่อไปและทำให้เรือสินค้าแล่นได้ตลอดทั้งปีไปจนถึงฤดูแล้งปีหน้าต่อไป
       
       สำหรับการค้าชายแดนด้าน จ.เชียงราย ตลอดปี 2552 ที่ผ่านมามีมูลค่าการค้ารวม 14,400.21 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้ามูลค่า 2,603.15 ล้านบาท และส่งออกมูลค่า 11,797.06 ล้านบาท โดยเป็นการค้ากับจีนซึ่งส่วนใหญ่ผ่านทางเรือในแม่น้ำโขงดังกล่าวสูงถึง 5,141.18 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้ามูลค่า 1,879.59 และส่งออกมูลค่า 3,261.59 ล้านบาท
       
       ส่วนการค้ากับพม่ามีมูลค่ารวม 6,335.11 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้า 215.81 ล้านบาท และส่งออก 1,232.40 ล้านบาท และ สปป.ลาว มีมูลค่าการค้ารวม 2,923.92 ล้านบาท แยกเป็นนำเข้า 507.75 และส่งออกมูลค่า 2,416.17 ล้านบาท
       
       สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ที่ขนส่งนำเข้าทางเรือที่ท่าเรือเชียงแสนยังคงเป็นสินค้ากสิกรรม เช่น พืชผัก ผลไม้ ฯลฯ ส่วนสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นสินค้ากสิกรรม สินค้าประมงและปศุสัตว์ เครื่องใช้ไฟฟ้าอุปกรณ์ส่วนประกอบ ฯลฯ
       
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000076992 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000076992)


หัวข้อ: Re: หาง่ายๆ รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: sinlod ที่ วันที่ 08 มิถุนายน 2010, 09:37:17
อิอิอิ


หัวข้อ: Re: หาง่ายๆ รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 มิถุนายน 2010, 10:55:45
เชียงราย – สายการบิน “นกมินิ” เปิดบินปฐมฤกษ์เชื่อมเชียงราย-เชียงรุ่งแล้ว พร้อมนำทีมนักธุรกิจทัวร์-ผู้ประกอบการชิมลางเที่ยวแรก เชื่อมั่นทำท่องเที่ยวลุ่มน้ำโขงคึกคักขึ้น
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000008439704.JPEG)(http://pics.manager.co.th/Images/553000008439705.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/553000008439703.JPEG)(http://pics.manager.co.th/Images/553000008439702.JPEG)


(http://pics.manager.co.th/Images/553000008439701.JPEG)

       วันนี้ (9 มิ.ย.) สายการบินนกมินิ ได้เปิดทำการบินเที่ยวบินปฐมฤกษ์ระหว่างท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย กับสนามบินนานาชาติสิบสองปันนา มณฑลหยุนหนัน ประเทศจีน โดยใช้เครื่องบินรุ่น SAAB 340 จำนวน 33 ที่นั่ง เดินทางออกจากท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงในเวลา 12.00 น.และเดินทางไปถึงท่าอากาศยานสิบสองปันนาที่เมืองจิ่งหงหรือเชียงรุ้งเมืองเอกของเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา ซึ่งอยู่ห่างจาก จ.เชียงราย ไปทางทิศเหนือประมาณ 245 กิโลเมตรในเวลาประมาณ 13.00 น.
       
       โดยการเปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ครั้งนี้นายสุรชัย ลิ้นทอง รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้เดินทางมาเป็นประธาน มีนายยุทธนา จิตอบอารีย์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง นำคณะผู้โดยสารเข้าร่วม ซึ่งมีการจัดให้ชมเครื่องบินรุ่น SAAB 340 และการฟ้อนรำต้อนรับโดยคณะนักเรียนจากโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
       
       ขณะที่ผู้โดยสารเที่ยวแรกดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ เช่น น.ส.ผกายมาศ เวียร์รา กรรมการผู้อำนวยการบริษัทแม่โขงเดลต้า ทราเวล เอเจนซี่ จำกัด ผู้ให้บริการนำเที่ยวในพื้นที่สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (ไทย พม่า ลาว จีน) และธุรกิจการค้าชายแดนไทย-พม่า-สปป.ลาว เป็นต้น
       
       ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า การมีสายการบินเชื่อมระหว่างเชียงราย กับจีนตอนใต้ ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในการเปิดทำการบินระหว่างประเทศนับตั้งแต่ได้รับพระราชทานเชื่อท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเป็นต้นมา และเป็นเที่ยวแรกของสายการบินนกมินิ ที่พยายามจะบินเชื่อมในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ท่าอากาศยานมีความคึกคักมากขึ้น เพราะภาคเอกชนคงทราบเรื่องการตลาดดีว่ามีกลุ่มเป้าหมายต้องการใช้บริการทางเครื่องบินระหว่างเชียงรายกับจีนตอนใต้มากน้อยเท่าใด ขณะเดียวกันก็จะทำให้ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงมีความเป็นสากลอย่างสมบูรณ์ด้วย
       
       ด้านนายสันต์ สังวรราชทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด สายการบินนกมินิ กล่าวว่า สายการบินนกมินิจะเปิดให้บินระหว่างเชียงราย-สิบสองปันนา เป็นประจำทุกวันๆ ละ 1 เที่ยวบินโดยออกจากเชียงรายประมาณ 12.00 น.และเมื่อไปถึงสิบสองปันนาแล้วก็จะพักอยู่จนถึงเวลา 14.45 น.ก็จะเดินทางกลับสู่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย โดยคิดค่าโดยสารเบื้องต้นคนละประมาณ 5,000 บาท ซึ่งจากการประเมินตลาดพบว่าเส้นทางการบินนี้สามารถตอบสนองความต้องการของนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวที่ประสงค์จะเดินทางไปมาในเขตลุ่มแม่น้ำโขงโดยมีเชียงราย เป็นประตูได้เป็นอย่างดี
       
       นายสันต์ กล่าวอีกว่า ในช่วงแรกนี้ผู้โดยสารที่จะใช้บริการคงจะเป็นนักธุรกิจเสียเป็นส่วนใหญ่เพราะพวกเขาต้องการไปติดต่อประสานงานด้านธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจนำเที่ยว ที่จะทำให้เอกชนนำเที่ยวหันมาใช้บริการทางเครื่องบินของนกมินิตามมาในอนาคตอีกด้วย
       
       "ช่วงนี้เราคงจะรอดูสถานการณ์โลว์ซีซั่นกันไปก่อน แต่หลังจากนี้ไปจนถึงฤดูหนาวก็คงจะเข้าสู่ไฮด์ซีซัน ซึ่งจะมีความคึกคักมากขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นก็คงจะมีการประเมินและพัฒนาแผนการตลาดกันต่อไป หลังจากที่ในปัจจุบันเรามีเครื่องบินจำนวน 4 ลำทำการบินเชื่อมภายในประเทศระหว่าง จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ อ.ปาย และ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน จ.น่าน และอีก 2 ลำคือเครื่องขนาด SAAB 340 ที่เป็นเครื่องบินพิสัยไกลในการเดินทางระหว่างประเทศดังกล่าว" นายสันต์ กล่าว
       
       ด้าน น.ส.ผกายมาศ เวียร์รา กรรมการผู้อำนวยการบริษัทแม่โขงเดลต้า ทราเวล เอเจนซี่ จำกัด กล่าวว่า เชื่อว่าการเปิดเที่ยวบินสายเชียงราย-สิบสองปันนา จะมีความคึกคักและเกิดประโยชน์ต่อภาคการท่องเที่ยวลุ่มแม่น้ำโขงอย่างมาก จากเดิมที่มีเส้นทางคมนาคมทางน้ำและทางบก เมื่อมีสายการบินให้บริการ ก็ทำให้การเชื่อมโยงสมบูรณ์ขึ้น

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000079549 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000079549)


หัวข้อ: Re: หาง่ายๆ รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 มิถุนายน 2010, 11:19:41
(http://www.uppicweb.com/x/i/iv/lclip.jpg)


หัวข้อ: Re: หาง่ายๆ รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 มิถุนายน 2010, 11:28:47
กรุงเทพฯ ทอท.เผยภาพรวมผู้โดยสารหด 7% หลังสถานการณ์ทางการเมือง ระบุบอร์ดมีมาตรการอุ้มผู้ระกอบการสายการบินเต็มที่
 
 

นายเสรีรัตน์  ประสุตานนท์   กรรมการผู้อำนวยการใหญ่  บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. เปิดเผยถึงภาพรวมของจำนวนผู้โดยสารในการบริหารงานของทอท.ทั้ง 6สนามบิน ภายหลังที่เหตุการณ์ทางการเมือง พบว่าจำนวนผู้โดยสารลดลงในเดือนพ.ค.ประมาณ 7 % แต่ในส่วนของสนามบินภูเก็ตและสนามบินดอนเมืองมีตัวเลขที่บวกอยู่ที่ 17-18%  อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาคณะกรรมการ(บอร์ด) ทอท.ได้มีมติที่จะช่วยเหลือสายการบินและผู้ประกอบการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง 
โดยมาตรการช่วยเหลือประกอบด้วย1. ปรับลดค่าธรรมเนียมปรับลดค่าธรรมเนียมในการขึ้น - ลงอากาศยาน ( Landing Fee ) 15% จากเดิมที่ให้ส่วนลด 10%  และค่าธรรมเนียมที่เก็บอากาศยาน (Parking Fee) 50%  จากเดิมที่ให้ส่วนลด 20% สำหรับทุกเที่ยวบิน เป็นระยะเวลา 9 เดือน (เม.ย. – ธ.ค.2553)  2. ปรับลดค่าเช่าพื้นที่และ/หรือค่าธรรมเนียมการใช้บริการในอาคารในอัตรา  10 % ให้แก่ผู้เช่าทุกราย เป็นระยะเวลา 9 เดือน  (เม.ย. – ธ.ค.2553)  3.ปรับลดค่าตอบแทนเฉพาะสัญญาที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการของ ทอท. หรือสัญญาที่มี การลงนามภายในวันที่ 31 มี.ค.2553
4. ขยายระยะเวลาการชำระเงินค่าธรรมเนียมในการขึ้น - ลงของอากาศยาน ค่าธรรมเนียมที่เก็บอากาศยาน ค่าเช่าพื้นที่ และค่าตอบแทนจากวันครบกำหนดชำระเงินเดิมของเดือนก.ค.- ธ.ค.2553 ออกไปอีก 4 เดือน 5. ขยายอายุสัญญาให้กับผู้ประกอบการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ตามสัญญาอนุญาตทุกรายโดยสัญญา 5 ปีจะได้ขยายออกไปอีก 6 เดือนสัญญาอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ได้ขยายออกไปอีก 2 ปี  6.ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตให้เข้าดำเนินงานตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 และกรณีอื่น ๆ ที่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญา ให้ ทอท.พิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนที่กฎหมายหรือสัญญากำหนดด้วย โดยผู้ประกอบการจะต้องยกเว้นค่าบริการให้กับสายการบินหรือผู้ใช้บริการในอัตราที่ไม่น้อยกว่าที่ได้รับความช่วยเหลือจากทอท.     
นอกจากนี้ บอร์ดได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการพิจารณามาตรการช่วยเหลือสายการบินและผู้ประกอบการท่าอากาศยานภูมิภาคของทอท.ในหลักการเดียวกันเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองโดยสนามบินสุวรรณภูมิ ผู้โดยสารรวม 9.5% (ในประเทศลด 21% ระหว่างประเทศลดลง 5%) ดอนเมืองผู้โดยสารรวมเพิ่มขึ้น 64% สนามบินเชียงใหม่ ผู้โดยสารรวมรวมลดลง 5.7% (ในประเทศลดลง 7.5% ระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น 18% ) สนามบินเชียงราย ผู้โดยสารลดลง 9.6% สนามบินหาดใหญ่ ผู้โดยสารลดลง 7.5% สนามบินภูเก็ต ผู้โดยสารรวมเพิ่มขึ้น 18% (ในประเทศลดลง5 % ระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น 65%) เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ โดยคาดว่าจะทำให้รายได้ของ ทอท.ในปี 2553 ลดลง 2,258 ล้านบาท.03 LogisticNews
 
 
 


หัวข้อ: Re: หาง่ายๆ รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: sinlod ที่ วันที่ 14 มิถุนายน 2010, 08:56:06
ฝากด้วยคร๊๊าบ


หัวข้อ: Re: หาง่ายๆ รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 16 มิถุนายน 2010, 20:49:28
ตลาดรถยนต์เชียงรายโต"เก๋งเล็ก"ยอดพุ่ง1,260%



ตลาดรถยนต์เชียงราย 4 เดือนสดใส รถเก๋งเล็กมาแรงยอดขายพุ่งกระฉูด 1,260% ค่ายโปรตอนปั๊มยอดได้เกือบ 70 คัน ลุ้นปัจจัยเสี่ยงสถานการณ์การเมืองปลายปี


นายพลวัต ตันศิริ ประธานชมรมผู้ค้ารถยนต์จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายยังมีอนาคตที่สดใส แม้ว่าจะมีวิกฤตเศรษฐกิจและการเมืองมาแล้วหลายครั้ง เพราะตลาดในภูมิภาคก็ยังผูกติดกับรายได้จากการจำหน่ายผลิตผลทางการเกษตรของ ประชาชนในชนบทเป็นสำคัญ โดยพบว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายน 2553 มียอดจดทะเบียนรถเก๋งเพิ่มขึ้นทุกยี่ห้อรวมกว่า 1,824 คัน แยกเป็นรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า 824 คัน รถยนต์อีซูซุจากค่ายอีซูซุเชียงราย 130 คัน รถยนต์อีซูซุจากอีซูซุสงวนไทยเชียงราย 157 คัน มาสด้า 112 คัน นิสสัน 63 คัน ฟอร์ด 44 คัน เชฟโรเรต 66 คัน ฮอนด้า 358 คัน

สำหรับภาพรวม ของตลาดรถเก๋งพบว่า ยอดขายได้เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 66.73% เช่น อีซูซุเชียงรายเพิ่มขึ้น 109.68% อีซูซุสงวนไทย 130.88% โตโยต้า 65.79% มาสด้า 261.29% นิสสัน 61.54% ฟอร์ด 214.29%

ที่น่าสนใจคือ รถยนต์เก๋งเล็กยี่ห้อใหม่ ๆ เช่น โปรตอน จำหน่ายได้กว่า 68 คัน ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2552 มียอดเพิ่มขึ้นกว่า 1,260% เพราะเชียงรายเกิดสังคมเมืองขยายตัวมากขึ้น และผู้ซื้อหันมานิยมรถเก๋งเล็กที่มีสมรรถนะดี ราคาถูกและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เริ่มมีการรุกตลาดกันมากขึ้น ส่งผลให้กำลังการผลิตไม่เพียงพอ ผู้ซื้อรถบางยี่ห้อต้องจองคิวเพื่อรอรับรถนานมาก

ขณะที่ตลาดรถยนต์ กระบะก็มีความคึกคักไม่แพ้กัน โดยมียอดจดทะเบียนกว่า 1,733 คัน เพิ่มขึ้นถึง 31.69% โดยเป็นรถยนต์จากค่ายอีซูซุเชียงราย 330 คัน อีซูซุสงวนไทยเชียงราย 418 คัน โตโยต้า 774 คัน มาสด้า 61 คัน นิสสัน 75 คัน ฟอร์ด 34 คัน เชฟโรเลต 26 คัน และอื่น ๆ 14 คัน ส่วนในภาพรวมรถทุกชนิดทั้งรถยนต์เก๋ง รถยนต์สี่ประตู รถยนต์กระบะ พบว่ามียอดจำหน่ายรวมกันทั้งหมด 3,584 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 47.43%

นายพลวัตกล่าว ต่อว่า แม้ตลาดรถยนต์ทุกประเภทในเชียงรายจะมีการขยายตัว ตั้งแต่ช่วงต้นปี แต่ยอมรับว่าช่วงที่เกิดเหตุการณ์ชุมนุมที่กรุงเทพฯอย่างรุนแรงได้ทำให้ตลาด ชะลอตัวลงบ้างเล็กน้อย เพราะทุกคนรอดูท่าที่แต่ก็กินเวลาเพียงไม่กี่วัน จากนั้นทุกอย่างก็กลับมาคึกคักเหมือนเดิม

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการคงต้อง ติดตามสถานการณ์ต่อไปอีกราว 1-2 เดือน เพื่อวางแผนการตลาดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ซึ่งทุกค่ายคงจะเตรียมวางแผนกันไว้อยู่แล้ว เพื่อรับมือได้ทุกสถานการณ์ ทั้งตลาดคึกคัก ตลาดปกติ หรือการคาดการณ์ว่าจะเกิดวิกฤตการเมืองถึงจุดขีดสุด ซึ่งหากสถานการณ์ปกติจะทำให้ตลาดรถยนต์จังหวัดเชียงรายขยายตัวเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ 15-20%



หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 มิถุนายน 2010, 13:21:20
บทความประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย         


ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย

นายวิรุณ  คำภิโล

จังหวัดเชียงรายมีวิสัยทัศน์ว่า  เป็นเมืองทองของวัฒนธรรมล้านนา     นำการค้าสู่สากล ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข  เชียงรายในอนาคตจะเติบโตไปใน 3 มิตินี้  คือ   ความเป็นเมืองทองของวัฒนธรรมมีประวัติศาสตร์อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่    การท่องเที่ยวของเชียงรายจึงได้ทั้งอากาศที่เย็นสบายในสิ่งแวดล้อมที่สวยสดงดงาม      และการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ เชียงรายเป็นเมืองศิลปินแหล่งท่องเที่ยวของเชียงรายจึงเจือสมไปด้วยงานศิลปะของศิลปิน    ทั้งอดีตและปัจจุบัน

ในมิติของการนำการค้าสู่สากลนั้น คิดว่าในปี พ.ศ. 2555 ความร่วมทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) คงมีรูปธรรมของการพัฒนาชัดเจน  ถนนคุนหมิง-กรุงเทพฯ สะพานเชียงของ – ห้วยทรายเสร็จแล้ว ซึ่งเชียงรายจะต้องเตรียมตัวรับกับการเจริญเติบโตอย่างฉับพลันนี้ และขนาดเศรษฐกิจจะโตเพิ่มขึ้นอีกหลายสิบเท่าจากปัจจุบันทั้งด้านพัฒนา และการค้าจากส่วนกลางและต่างประเทศ เช่น  จีน ญี่ปุ่น จะเข้ามาอย่างมหาศาล นี่เป็นเรื่องที่ดีของการค้าเชียงราย แต่หากรับมือไม่ดีแล้วคนเชียงรายจะเสียโอกาสคนส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบในด้านลบของการพัฒนาไป

 

แผนการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าของหอการค้า ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวนั้น คงหนีไม่พ้นที่จะต้องเตรียมคนโดยส่วนใหญ่ของเชียงราย   เพื่อปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้นเราจะต้องรักษา     และพัฒนาการค้าชายแดนทั้ง   3    ด่านให้เป็นแหล่งกระจายสินค้าของประเทศ  ในระยะกลาง    อาจต้องพัฒนาการค้าชายแดนบางส่วนเป็นการค้าสากลในส่วนที่พ่อค้าเราแข่งขันได้ และต้องคำนึงอย่างยิ่งกับความพร้อมของคู่ค้าเราในประเทศเพื่อนบ้านด้วย ควรจะเติบโตไปพร้อม ๆ  กัน  เพื่อรักษาตลาดจากการบุกโจมตีของทุนผูกขาดขนาดใหญ่
 

ในระยะยาวที่ผมอยากเห็นคือ          คนเชียงรายทั้งภาคเกษตรและชุมชนเมืองสามารถต่อยอดจากพื้นฐานการผลิตและอารยธรรมของบรรพบุรุษมาสร้างความมั่งคั่งร่ำรวย  จากความเจริญที่กำลังจะเกิดเราสามารถผลิตสินค้าในเชิงสร้างสรรค์ออกตลาดได้โดยต่อยอดจากภูมิปัญญาและงาน OTOP  ระดับ 3-5 ดาว

จังหวัดเชียงรายกับประเทศในกลุ่มสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจทั้งลาว พม่า และจีน ยูนนานนั้น ความสัมพันธ์กันมายาวนานมีความใกล้ชิดกันทั้งเชื้อชาติและวัฒนธรรม อนาคต          เราจะต้องเร่งสร้างความร่วมมือด้านพลังงาน การเกษตร สิ่งแวดล้อม และการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์  เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ประชาชนทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนาองค์ความรู้   จะต้องรีบทำอย่างเร่งด่วนการเชื่อมโยงอินเดีย  บังคลาเทศ ศรีลังกา ภายใต้กรอบความร่วมมือ  BIMSTEC ก็ต้องทำเป็นคู่ขนานไปด้วย เพราะอินเดีย   บังคลาเทศ  ถือเป็นตลาดใหม่ที่น่าสนใจของพืชเกษตรเชียงราย เช่นกัน
 
http://www.chiangraichamber.com/index.php?option=com_content&view=article&id=57


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: ap.41 ที่ วันที่ 22 มิถุนายน 2010, 06:30:15
เอารูปความคืบหน้าการก่อสร้างท่าเรือแห่งที่ 2 มาฝากครับ ถ่ายจากบนดอยครับซูมได้แค่นี้ครับ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 มิถุนายน 2010, 23:58:43
 ;D

ขอบคุณมาก ครับท่าน


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 มิถุนายน 2010, 22:15:59
เชียงรายผลักดันผ้าพื้นเมืองกระตุ้นเศรษฐกิจ
23 มิย. 2553 14:56 น.


นายมงคล สิทธิหล่อ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงรายได้จัดโครงการเทศกาลศิลปวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์ระดับจังหวัด “ วิจิตราภรณ์แห่งเชียงราย ” เพื่อหาแนวทงในการดำเนินงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ด้านผลิตภัณฑ์ผ้าพื้นเมืองเชียงรายของบุคลากร และเครือข่ายทางวัฒนธรรม เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดให้เกิดเป็นแนวทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มรายได้แก่เครือข่ายผู้ผลิตสินค้าทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะผ้าพื้นเมืองและเพิ่มรายได้การท่องเที่ยวของประชาชนและเผยแพร่ศิลปะการแสดงทั้งนาฏศิลป์ ดนตรี และการละเล่นพื้นเมืองอันเป็นทุนมี่มีคุณค่าของวัฒนธรรมไทยสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

เบื้องต้นก็จะได้มีการจัดเวทีตามสถานที่ต่างๆ โดยจะมีศิลปินชื่อดัง อาทิ ดร.ถวัลย์ ดัชนี , อ.เฉลิมชัย ฆิตพิพัฒน์ มาร่วมเสวนาเรื่องวิจิตรราภรณ์แห่งเชียงราย พร้อมทั้งจะได้มีการจัดการแสดงตามวัฒนธรรม ประเพณี ในแต่ละพื้นที่ต่างๆ โดยจะได้มีการแสดงนิทรรศการผลิตภัณฑ์จากผ้าพื้นเมืองเชียงราย การแสดงแฟชั่นโชว์ หรือแฟชั่นชาวไทยภูเขา รวมถึงการแสดงของชาวล้านนาและชาวไทยภูเขาด้วยผ้าพื้นเมืองแบบต่างๆ

ผ้าพื้นเมืองเป็นผ้าที่มีความสวยงานในรูปแบบต่างๆ ซึ่งประชาชนในปัจจุบันอาจไม่สามารถหาดูได้ ดังนั้นจึงร่วมกันให้ประชาชนสวมเสื้อผ้าล้านนา ด้วยผ้าพื้นเมือง เพื่อความสวยงามและกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ต่อไป


http://breakingnews.nationchannel.co...?newsid=454750
__________________
- skyscrapercity (Scc) เว็บแห่งการแบ่งปันข้อมูลข่าวสารด้านการพัฒนา


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 มิถุนายน 2010, 22:16:41
เข้มโชวห่วยเชียงราย-พะเยารับศึกโมเดิร์นเทรด ชี้ค้าปลีกเมืองพ่อขุนยังโตได้อีก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 มิถุนายน 2553 15:38 น.


เชียงราย – พาณิชย์ฯเปิดห้องติวเข้มโชวห่วยเชียงราย-พะเยา เร่งปรับตัวรับมือศึกโมเดิร์นเทรด เตือนแม้ค้าปลีกเมืองพ่อขุนฯยังโตได้อีกมาก หลังโครงข่ายคมนาคมเพื่อนบ้านเสร็จ-รายได้ต่อหัวคนเชียงรายพุ่ง แต่ต้องพัฒนา ก่อนถูกทุนใหญ่ฮุบ

วันนี้ (23 มิ.ย.) กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดการสัมมนาเรื่อง "รวมพลังโชวห่วยสู้วิกฤติ" ขึ้น ณ ห้องประชุมจำปาลาว โรงแรมโพธิ์ดล รีสอร์ทแอนด์สปา อ.เมืองเชียงราย โดยมีนายสุรชัย ลิ้นทอง รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เป็นประธานเปิด มีนักธุรกิจค้าปลีกค้าส่งในพื้นที่ จ.เชียงราย-พะเยา เข้าร่วมกว่า 130 ราย และมีผู้ทรงคุณวุฒิร่วมเป็นวิทยากร

นายสุรชัยกล่าวว่า เศรษฐกิจเชียงรายส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับภาคการค้าปลีกค้าส่งเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญดังจะเห็นได้จากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายจังหวัด หรือจีดีพีของจังหวัด จะมีกลุ่มค้าปลีกค้าส่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้ตัวเลขขึ้นหรือลง แต่ปัจจุบันห้างสรรพสินค้าทันสมัยหรือประเภทโมเดิร์นเทรดเข้าไปมารุกตลาดในพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถือว่าเขาได้เปรียบเพราะมีความพร้อมเหนือกว่ามาก นักธุรกิจค้าปลีกค้าส่งท้องถิ่น จะเป็นต้องพัฒนาและปรับตัวสู้ในโลกการค้าในอนาคตได้ต่อไป

นายวิรุณ คำภิโล ประธานหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่า หลายปีที่ผ่านมาแม้ว่าไทยจะประสบปัญหาทั้งวิกฤติอย่างหนัก ทั้งเรื่องเศรษฐกิจโลก-การเมืองภายใน แต่สภาพเศรษฐกิจของเราก็ยังเดินหน้าต่อไปได้และยังมีอัตราขยายตัวมากขึ้นอีกด้วย สิ่งที่จะได้รับผลกระทบไปบ้างคือภาคการท่องเที่ยวแต่ด้านอื่นๆ ไม่เสียหายมากอย่างที่เคยคาดการณ์กันเอาไว้ สำหรับ จ.เชียงราย พบว่า มีจีดีพี ขยายตัวที่ 6.878 และมีรายได้ประชากรต่อหัวเพิ่มขึ้นเป็นรายละ 50,000 กว่าบาทต่อปีแล้ว

นายวิรุณกล่าวอีกว่า เมื่อมองจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจของจังหวัดพบว่าเศรษฐกิจเชียงรายเป็นภาคการเกษตรอยู่ 32.15% ขยายตัวเพิ่ม 9.87% ภาคการค้าปลีกค้าส่ง 16.79% ขยายตัวเพิ่มขึ้น 2% ที่เหลือเป็นภาคการท่องเที่ยว การค้าชายแดนซึ่งไม่ได้ลดลงจากกระแสแม่น้ำโขงที่แห้งแต่กลับเพิ่มมากขึ้นเพราะไปทำการค้าทางถนนผ่าน อ.เชียงของ มากขึ้นด้วย

เมื่อวิเคราะห์ดูแล้วจะเห็นว่า แค่ภาคการเกษตรและการค้าปลีกค้าส่งก็มีอัตราเกือบ 50% ของโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งจังหวัดไปแล้ว ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการทำธุรกิจค้าปลีกค้าส่งในพื้นที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องและผู้ประกอบการเดินมาถูกทิศทางแล้ว และยังมีอนาคตที่จะขยายตัวไปได้อีกมาก

การเติบโตของภาคค้าปลีกไม่ได้มีเฉพาะโชวห่วยท้องถิ่น แต่ยังมีกลุ่มทุนใหญ่ที่มีเครือข่ายจากต่างประเทศรุกเข้ามาทั้งเทสโก้โลตัส แม็คโคร บิ๊กซี ฯลฯ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าห่วงอย่างมากเพราะพวกเขามีความพร้อมด้านต่างๆ มากกว่า อย่างไรก็ตามถ้าโชวห่วย สามารถร่วมมือกับซัพพลายเออร์ ได้ก็จะทำให้มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น

“โชวห่วยต้องปรับตัวไม่เช่นนั้นจะลำบากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เพราะเชียงรายจะเปลี่ยนแปลงไปอีกมาก”

นายวิรุณบอกว่า การเปลี่ยนแปลงต้องอยู่บนพื้นฐานของการพัฒนาเทคโนโลยีให้ทันสมัยจะทำการค้าแบบเก่าๆ อีกไม่ได้ ต้องบริหารจัดการที่ดี ต้องสร้างเอกลักษณ์เฉพาะโดยอยู่บนพื้นฐานที่มีอยู่เพื่อหาจุดขาย ต้องยั่งยืนโดยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ต้องมีความพอเพียงโดยเฉพาะมีการประเมินการลงทุนและมีภูมิคุ้มกันที่ดี และสุดท้ายมีเครือข่ายที่ช่วยเหลือได้ดี

เมื่อผู้ประกอบการสามารถพยุงธุรกิจให้ก้าวไปสู่โลกยุคใหม่ได้ และมีการพัฒนาด้านต่างๆ เข้ามาประกอบ เช่น สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อมเชียงของ-ห้วยทราย สปป.ลาว เชื่อมกับถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ก็จะทำให้รายได้ต่อหัวของประชากรเชียงรายและพะเยาเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 60,000-70,000 บาทได้เช่นกัน หรืออีกหลายปีอาจจะถึงหลักแสนบาท
แต่ก็ถือเป็นโจทย์สำคัญว่า เราจะทำอย่างไรให้รายได้นี้กระจายไปถึงประชาชนในทุกระดับ ไม่ใช่กระจุกตัวอยู่เฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ เท่านั้น



http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9530000086498


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 มิถุนายน 2010, 09:47:35
ติวเข้มทุนท้องถิ่นเชียงราย-เตรียมรับมือการค้าใต้ FTA
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 มิถุนายน 2553 15:25 น.
 
 
 
(http://pics.manager.co.th/Images/553000009244601.JPEG)
 
  เชียงราย – กรมการค้าต่างประเทศ เปิดห้องติวเข้มธุรกิจท้องถิ่นชายแดนเชียงราย เร่งเตรียมพร้อมรับมือตลาดเอฟทีเอ
       
       วันนี้ (24 มิ.ย.) กรมการค้าต่างประเทศ จัดการสัมมนา “เอฟทีเอ : โอกาสของสินค้าไทยในอาเซียน อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์” ณ ห้องประชุมดอยตุง โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์รีสอร์ท จ.เชียงราย โดยมี น.ส.จันทร์เพ็ญ วีรวรรณ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสินค้าข้อตกลง กรมการค้าต่างประเทศ เป็นประธานในพิธีเปิดและมีนักธุรกิจที่สนใจเข้าร่วมรับฟังนับ 100 คน
       
       น.ส.จันทร์เพ็ญ กล่าวว่า เชียงราย เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีภูมิศาสตร์สำคัญทางเศรษฐกิจของภาคเหนือ โดยเฉพาะมีศักยภาพในการเชื่อมโยงไปถึงประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ทั้งพม่า ส.ป.ป.ลาว ไปจนถึงจีนตอนใต้ ทั้งทางบก ทางเรือในแม่น้ำโขงและทางอากาศ ที่ผ่านมา ก็มีการค้าชายแดนมูลค่าสูง จึงเป็นส่วนหนึ่งในการที่จะได้มีส่วนร่วมตามข้อตกลงเขตการค้เสรีอาเซียนหรืออาฟต้า ที่กำหนดให้การเริ่มลดภาษีเหลือ 0% ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2553 ที่ผ่านมา เพื่อให้ก้าวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 10 ประเทศอย่างเต็มตัวในปี 2558 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า
       
       ประชาคมอาเซียนเป็นฐานการผลิตและตลาดเดียวกันที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก ดังนั้นในอนาคตจึงจะมีความสามารถในการแข่งขันและบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลกได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนประเทศไทยถือว่าจะได้เปรียบที่สุด เพราะเรามีสินค้าและทรัพยากรที่พร้อมในการค้าหลายๆ ด้าน เช่น อาหาร รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ การท่องเที่ยว ฯลฯ
       
       นอกจากนี้ ยังมีข้อตกลงทางการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย หรือ AIFTA โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมาเช่นกัน ครอบคลุมสินค้ากว่า 4,700 รายการ
       
       น.ส.จันทร์เพ็ญ กล่าวต่อว่า อินเดียถือเป็นตลาดใหญ่ที่มีประชากรพันกว่าล้านคน ขณะที่ไทยกับอินเดียมีมูลค่าการค้าระหว่างกันในปี 2552 กว่า 4,900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เฉพาะไตรมาสแรกของปี 2553 พบวา มีมูลค่าการค้าระหว่างกันไปแล้วกว่า 937 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สินค้าสำคัญที่ได้รับประโยชน์จากการค้าระหว่างกัน คือ เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ของใช้ตกแต่งบ้าน อัญมณี เครื่องประดับ ด้าย เส้นใยสังเคราะห์ ฯลฯ
       
       เฉพาะ เชียงราย พบว่า มีภูมิประเทศที่มีความเป็นไปได้ว่า จะเชื่อมโยงกับประเทศอินเดียได้ แต่ขณะนี้ยังไม่มีเส้นทางคมนาคมที่จะเชื่อมถึงกันได้โดยสะดวก เหมือนกับที่เชื่อมไปยังพม่า ส.ป.ป.ลาว และหยุนหนัน จีนตอนใต้ แต่ก็เริ่มพบสินค้าอินเดียตามตลาดชายแดนบ้างแล้ว เช่น โค ฯลฯ
       
       ดังนั้น ในอนาคตเมื่อมีเส้นทางคมนาคมสะดวกขึ้นผลจากข้อตกลงอาเซียน-อินเดีย จะทำให้มูลค่าการค้าชายแดนด้าน จ.เชียงราย คึกคักขึ้นอีกแน่นอน
       
       ด้านการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ก็ถือว่ามีความสำคัญ เพราะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมาแล้ว ซึ่งทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากการค้าสินค้าประเภทสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า กระเป๋าหนัง ชิ้นส่วนรถยนต์ เคมีภัณฑ์ และอุปกรณ์ไฟฟ้า ฯลฯ ทั้งทำให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกในการนำเข้าวัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำจาก 12 ประเทศคืออาเซียนบวก ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ด้วยอัตราภาษีเป็น 0% ได้อีกด้วย
       
       การค้าเสรีก็มีสินค้าบางกลุ่มได้รับผลกระทบ ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จึงได้ตั้งโครงการช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของผู้จะได้รับผลกระทบเรียกว่ากองทุนเอฟทีเอ โดยกรมการค้าต่างประเทศรับผิดชอบดูแลระหว่างปี 2550-2553 มีโครงการที่ได้รับอนุมัติช่วยเหลือแล้วจำนวน 24 โครงการวงเงิน 182 ล้านบาท เช่น ปลาป่น เครื่องหนัง ส้ม โคเนื้อ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯและขณะนี้ยังมีงบประมาณที่พร้อมให้การช่วยเหลืออยู่อีก 31 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ยื่นขอความช่วยเหลือเป็นสินค้าข้าว หนังดิบ ปลาน้ำจืด กระเทียม ฯลฯ
       
       สำหรับการค้าชายแดนด้าน จ.เชียงราย กับพม่า ส.ป.ป.ลาว และจีนตอนใต้ ผ่านจุดผ่านแดนถาวร 3 จุด คือ แม่สาย เชียงแสน และเชียงของ ตลอดปี 2552 มีมูลค่ารวม 14,400.21 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้า 2,603.15 ล้านบาท ส่งออก 11,797.06 ล้านบาท ส่วนปี 2553 ตั้งแต่เดือน ม.ค.-เม.ย.มีมูลค่าการค้ารวม 5,023.65 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้า 701.47 ล้านบาท และส่งออก 4,322.18 ล้านบาท และกรณีการค้าเสรีไทย-จีน หรือเอฟทีเอไทย-จีน มีมูลค่าการค้ารวม 8,102,184 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้ามูลค่า 5,588,978.00 และส่งออก 2 ,513,206.00 ล้านบาท
 
 
 
 http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000087116 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000087116)

////////////////////////////////////////////////////////////////


หลังๆนี้เชียงรายมีการประชุมเรื่องเศรษฐกิจเยอะมากทั้งจากภาครัฐ เอกชน หอการค้า หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง..

นับเป็นโอกาสอันดีที่จะเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ทันต่อทุนจากส่วนต่างๆ และคนท้องถิ่นจะได้ประโยชน์มากที่สุด


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 กรกฎาคม 2010, 11:50:20
อ.แม่สายเปิดศูนย์ออกหนังสือผ่านแดนถาวร
   
 5 กค. 2553 09:48 น.


นายสุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานพิธีเปิดที่ทำการ สำนักงานออกหนังสือผ่านแดน อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดยมีนายวิศิษฐ์ สิทธิสมบัติ นายอำเภอแม่สาย นายสุภักดิ์ เศวตวิษสุวัต ปลัดอาวุโส พร้อมข้าราชการหน่วยงานในพื้นที่ ร่วมให้การต้อนรับ

ภายหลังเสร็จพิธีเปิด นายสุเมธ ได้เข้าเยี่ยมชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ออกหนังสือผ่านแดนพร้อมกับทดลองขอทำหนังสือผ่านแดนด้วยตัวเองซึ่งใช้เวลาประมาณ 25 วินาทีก็เสร็จ และกล่าวว่าการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการบริการประชาชนในการออกหนังสือผ่านแดนผ่านระบบอิเลคทรอนิคส์ (Electronic Border Pass ) เช่นถือบัตรประชาชนมายื่น หรือบอกหมายเลขบัตรประจำตัว 13 หลัก ปรากฏว่าใช้เวลาไม่เกิน 1 นาที ก็ออกหนังสือผ่านแดนได้ ซึ่งจะสร้างความประทับใจห้กับนักท่องเที่ยว เป็นการลดปัญหาความล่าช้า แออัด โดยเฉพาะช่วงวันหยุดเทศกาล จากความสะดวกรวดเร็ว

อ.แม่สาย ปกติจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามท่องเที่ยวและขอทำหนังสือผ่านแดนประมาณ 2,800 คนต่อวัน วันหยุดยาวไม่เกิน 5,000 คนต่อวัน แต่หากเป็นเทศกาลต่างๆ นักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นประมาณเกือบ 20,000 คนต่อวัน จากเดิมที่อดีตอำเภอแม่สายเปิดจุดบริการออกหนังสือผ่านแดนไว้ 3 จุดรวมถึงบริเวณใกล้สะพานพรมแดน แห่งที่ 1

ปรากฏว่าเกิดปัญหาอุปสรรคหลายอย่าง ทางกรมการปกครอง ให้พิจารณาดำเนินการปรับเรื่องสถานที่บริการจึงกำหนดหอประชุมพรหมหาราช เป็นจุดศูนย์รวมที่เดียว ปัจจุบันได้จัดบุคลากรผู้ปฏิบัติงานให้บริการ ภายในอาคารฯเป็น 2 จุดฯละ 10 ช่อง สามารถบริการและอำนวยความสะดวกให้ผู้มาใช้บริการได้อย่างทันใจ 
 
 
 


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 กรกฎาคม 2010, 19:35:42
เชียงรายตั้งศูนย์วัฒนธรรมล้านนาและชาติพันธุ์ 
 5 กค. 2553 12:27 น.


นางรัตนา จงสุทธนามณี นายกอบจ.เชียงราย กล่าวว่า อบจ.เชียงราย ได้ดำเนินการตามโครงการข่วงวัฒนธรรม ภูมิปัญญาล้านนา สล่าเชียงราย ซึ่งจัดภายในงานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามเป็นประจำทุกปี โดย อบจ.เชียงราย ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมสนับสนุนอนุรักษ์ ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา จารีตประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น ด้วยการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมล้านนาและชาติพันธุ์ เพื่อให้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ ค้นคว้าด้านศิลปวัฒนธรรมประเพณีต่าง ๆ ในรูปแบบการนำเสนอและจัดแสดงโดยจำลอง สาธิตเครื่องมือ เครื่องใช้ตามวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปวัฒนธรรมของล้านนา และชนเผ่าชาติพันธุ์ จำนวน 12 ชนเผ่าชาติพันธุ์ 
 
 
 


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 12 กรกฎาคม 2010, 00:50:32
วันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 18:45:15 น.  มติชนออนไลน์


กรมศิลป์สั่งเฝ้าระวังโบราณสถานภาคเหนือ เกรงผลกระทบแผ่นดินไหวในพม่า



นายสหวัฒน์ แน่นหนา รองอธิบดีกรมศิลปากร ให้สัมภาษณ์กรณีเกิดแผ่นดินไหวขนาด 4.5 ริคเตอร์ในประเทศพม่า เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยความสั่นสะเทือนรู้สึกได้ในเขตพื้นที่ อ.เมือง อ.แม่สาย อ.เชียงแสน และ อ.แม่จัน จ.เชียงราย ว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าว ตนได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สำนักงานศิลปากรที่ 8 เชียงใหม่ ลงพื้นที่ตรวจสอบโบราณสถานสำคัญที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวใน จ.เชียงราย และจังหวัดใกล้เคียง อาทิ จ.แม่ฮ่องสอน และ จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีโบราณสถานสำคัญๆ อาทิ พระธาตุจอมกิติ จ.เชียงราย พระธาตุดอยดุง จ.เชียงราย และพระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ เนื่องจากเมื่อปี 2550 ได้เกิดแผ่นดินไหวในเขตพื้นที่ จ.เชียงราย วัดความรุนแรงได้ 5.7-6.1 ริคเตอร์ โดยศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหวครั้งนั้นอยู่ที่ชายแดนไทย-พม่า-ลาว ส่งผลให้ยอดฉัตรของพระธาตุจอมกิตติ ซึ่งเป็นพระธาตุเก่าแก่อายุมากว่า 100 ปี อยู่ในสมัยโยนก ได้หักหล่นลงมา

"อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบการเกิดแผ่นดินไหวขนาด 4.5 ริคเตอร์ในประเทศพม่าดังกล่าว ในเบื้องต้นได้รับรายงานว่า ยังไม่พบโบราณสถานสำคัญได้รับผลกระทบความเสียหายแต่อย่างใด" นายสหวัฒน์กล่าว และว่า ที่ผ่านมากรมศิลปากรได้ร่วมกับกรมทรัพยากรธรณีสำรวจตรวจสอบความมั่นคงของโบราณสถานที่ตั้งอยู่ในรัศมีรอยเลื่อนและที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวทั่วประเทศ โดยแบ่งเป็นโบราณสถานที่อยู่ห่างรอยเลื่อนเปลือกโลก รัศมี 5 กิโลเมตร จำนวน 44 แห่ง รัศมี 10 กิโลเมตร จำนวน 75 แห่ง และในรัศมี 20 กิโลเมตร จำนวน 178 แห่ง โดยโบราณสถานที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวมีรวมประมาณ 297 แห่ง อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนและยังไม่ขึ้นทะเบียนมีจำนวนมาก ดังนั้น แนวทางการแก้ปัญหาคงต้องใช้อาสาสมัครท้องถิ่นในการดูแลรักษามรดกทางศิลปวัฒนธรรม (อส.มศ.) ช่วยเฝ้าระวัง และตรวจสอบโบราณสถาน หากพบเห็นโบราณสถานใดมีรอยร้าวจะได้เร่งบูรณะทันที โดยเฉพาะโบราณสถานในภาคเหนือ ซึ่งได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง ทั้งนี้ สำหรับโบราณสถานสำคัญที่เสี่ยงต่อภัยแผ่นดินในภาคเหนือนั้น ขณะนี้ทางกรมศิลปากรกำลังเร่งบูรณะซ่อมแซมอยู่ อาทิ พระธาตุดอยสุเทพ ส่วนพระธาตุจอมกิติได้บูรณะเสร็จเรียบร้อยแล้ว

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1278852388
 


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: คนเมือง ณ กว่างกรุง ที่ วันที่ 13 กรกฎาคม 2010, 08:15:09

ขอบคุณครับ  ;D


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 14 กรกฎาคม 2010, 02:35:02
คมนาคมเปิดแผนเชื่อมขนส่งไทย-จีน ทุ่ม 2.5 พันล.ผุดศูนย์กลางโลจิสติกส์   
Tuesday, 13 July 2010 20:15 
          คมนาคม เตรียมเสนอ ครม. ทุ่มงบประมาณ 2,500 ล้านบาท ก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงแสน-เชียงของ หวังเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์เปิดประตูการค้าเชื่อมโยง 6 มณฑลจีน และประเทศเพื่อนบ้าน คาดก่อสร้างได้ภายในปี 2555 ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 3 ปี
          นายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ รองปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่สนใจและเกี่ยวข้องในเรื่องการศึกษาสำรวจออกแบบรายละเอียดและบริหารจัดการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้า (Inter modal  Facilities) บริเวณเชียงแสน และเชียงของ จังหวัดเชียงราย ว่ากระทรวงคมนาคม เตรียมแผนใช้งบประมาณ 2,500 ล้านบาท ก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้า 2 แห่ง ที่อำเภอเชียงแสน และเชียงของ จังหวัดเชียงราย เนื่องจากต้องการใช้จังหวัดดังกล่าวเป็นประตูการค้าและเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ จากประเทศจีนตอนใต้-ตะวันตก ไม่ต่ำกว่า 6 มณฑล รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน
          ทั้งนี้ คาดว่าจะก่อสร้างได้ภายในปี 2555 ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 3 ปี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นกับทุกภาคส่วน คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนสิงหาคมกันยายน 2553 นี้ และขั้นตอนต่อไปจะขออนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป
          "เรามีความตระหนักดี ดังจะเห็นได้จากการพัฒนาท่าเรือเชียงแสน 1 ซึ่งตอนนี้แออัด และตอนนี้กำลังก่อสร้างท่าเรือเชียงแสน 2 จังหวัดเชียงราย ใช้งบประมาณก่อสร้าง 1,500 ล้านบาท ซึ่ง
          คาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปี 2554"
          ขณะเดียวกันโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ตามแนวเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ ที่ห้วยทราย-เชียงของ เชื่อมเชียงราย-คุนหมิง ผ่าน สปป.ลาว หรือเส้นทาง  R 3 นับว่าเป็นอีกหนึ่งในแผนงานตามกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่าง 6 ประเทศ คือ กัมพูชา ลาว พม่า ไทย เวียดนาม และมณฑลยู นนาน (ประเทศจีน) ที่อยู่ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยประเทศไทยเป็นประตูสู่ภูมิภาคในโครงการหกเหลี่ยมเศรษฐกิจ (GMS) ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งจุดที่มีเป้าหมายพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์นานาชาติ
          ดังนั้น กระทรวงคมนาคม จึงมองว่าสินค้าที่ขนส่งมาจากจีนไปยัง
          อันดามัน จะขนส่งกันอย่างไร จึงได้มีการผลักดันโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ให้แล้วเสร็จ ซึ่งขณะนี้ได้งบประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อศึกษา สำรวจ และออกแบบใหม่ ภายในเดือนตุลาคม 2553 นี้
          "จริงๆ แล้วอยากจะให้ดำเนินการก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าแล้วเสร็จพร้อมกับโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงรายเชียงของ
          เพราะว่าจะได้เห็นการขนส่งสินค้าจากเชียงแสนและจากเส้นทาง R3 ขึ้นรถไฟไปลงท่าเรือน้ำลึกปากบารา หรืออาจจะเป็นท่าเรือน้ำลึกทวาย เชื่อว่าในอนาคตจะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ได้
          อย่างไรก็ตาม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการขนส่งด้วยการก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้า จึงเป็นทางเลือกหลักที่กระทรวงคมนาคม เห็นว่าจะทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า หรือ Modal Shift ทำให้มีต้นทุนการขนส่งที่ต่ำลง
          โดยกิจกรรมหลักภายในศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้า ประกอบด้วย การให้บริการเปลี่ยนถ่ายยานพาหนะ หรือ  Transshipment การรวบรวมและกระจายสินค้า รวมทั้งกิจกรรมโลจิสติกส์เชิงโซ่อุปทานภายใต้การบริหารจัดการที่ดี เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าก่อนขนส่งต่อไปยังจุดหมายปลายทางทั้งภายในและต่างประเทศได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
          ด้าน ดร.จุฬา สุขมานพ รอง ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการศึกษาเบื้องต้นระยะแรกต้องเร่งก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบขนส่งสินค้าที่อำเภอเชียงของก่อน เนื่องจากมองว่าสามารถรองรับการขนส่งทางถนนจากประเทศเพื่อนบ้านได้ในปริมาณมากกว่าที่อำเภอเชียงแสน
          สำหรับโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบขนส่งสินค้าที่อำเภอเชียงของ จะมีพื้นที่ 280 ไร่ แบ่งงานก่อสร้างเป็น 2 ระยะ คือ ค่าก่อสร้างระยะที่ 1 วงเงิน 1,451 ล้านบาท และค่าก่อสร้างระยะที่ 2 วงเงิน 850 ล้านบาท รวมค่าก่อสร้าง 2,301 ล้านบาท คาดว่าจะก่อสร้างได้ภายในปี 2555 รองรับการขนส่งทางถนนและรถไฟ

          บรรยายใต้ภาพ
          ถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ--จบ--

          --ทรานสปอร์ต เจอร์นัล  ประจำวันที่ 12 - 18 ก.ค. 2553


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 กรกฎาคม 2010, 08:22:13

บินไทยจัดตั๋วราคาพิเศษเส้นทางในประเทศฉลองวันแม่

บินไทย จัดโปรโมชั่นบัตรโดยสารเครื่องบิน ชั้นประหยัด เส้นทางภายในประเทศ ราคาพิเศษในโครงการ “สิงหาพาแม่เที่ยว 53” เชิญชวนทุกท่านร่วมพาคุณแม่เดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ตลอดเดือนสิงหาคม และกันยายน 2553

เมื่อวันที่ 19 ก.ค. นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทั้งทรงเป็นแม่ของแผ่นดิน ดังนั้น เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และสำนึกในพระคุณของผู้เป็นแม่ บริษัทฯ จึงจัดโครงการ "สิงหาพาแม่เที่ยว 53" โดยจัดโปรโมชั่นบัตรโดยสารเครื่องบิน ชั้นประหยัด เส้นทางภายในประเทศราคาพิเศษ ตลอดเดือนสิงหาคม และกันยายน 2553 ดังนี้ โดยเส้นทางระหว่างกรุงเทพฯ และ ขอนแก่นราคา 3,750 บาท ,เชียงใหม่ 4,000 บาท ,อุดรธานี 4,000 บาท ,สุราษฎร์ธานี 4,000 บาท ,อุบลราชธานี4,250 บาท ,เชียงราย4,500 บาท, กระบี่4,500 บาท,ภูเก็ต 4,500 บาท,หาดใหญ่4,500 บาท

ราคาดังกล่าวจะรวมค่าธรรมเนียมต่างๆ แล้ว ยกเว้น ภาษีสนามบินโดยผู้โดยสารสามารถออกบัตรโดยสารได้ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม – 31 สิงหาคม 2553 และเดินทางได้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม - 30 กันยายน 2553 ซึ่งราคาข้างต้นนี้ สำหรับการออก บัตรโดยสารไป-กลับผู้ใหญ่ 1 ท่าน โดยต้องเดินทางพร้อมกันตั้งแต่ 2 ท่านขึ้นได้วยรหัสสำรองที่นั่งเดียวกัน รวมทั้งต้องเดินทางในวันและเที่ยวบินเดียวกัน นอกจากนี้บัตรโดยสารจะมีอายุ 7 วัน นับตั้งแต่วันเริ่มต้นเดินทางที่ระบุบนบัตรฯ และผู้โดยสารไม่สามารถเปลี่ยนแปลงบัตรโดยสารหลังจากออกบัตรโดยสาร ไม่ว่ากรณีใดๆ โดยผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Thai Contact Center 02-3561111 หรือ www.thaiairways.com และ www.thaiairways.co.th

http://www.thairath.co.th/content/eco/97434




หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 กรกฎาคม 2010, 17:06:29
4 จว.เหนือเปิดห้องบนเรือไทยในน้ำโขงถกแผนของบ 200 ล้านบาทบูมท่องเที่ยว
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กรกฎาคม 2553 12:38 น.
 
 (http://pics.manager.co.th/Images/553000010722502.JPEG)
 
 

 
 
  เชียงราย - กลุ่มยุทธศาสตร์ 4 จังหวัดภาคเหนือ ควงแขนขึ้นเรือสัญชาติไทยในแม่น้ำโขงลำแรก ที่เปิดให้บริการแล้ว พร้อมตั้งวงทบทวนแผนปฏิบัติการพัฒนาท่องเที่ยว 4 จว. เล็งของบหนุน 200 ล้านกระจายลงทุกพื้นที่ตามแนวทางพัฒนา
       
       นายสุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้เดินทางไปเป็นประธานการประชุมกลุ่มยุทธศาสตร์ 4 จังหวัดภาคเหนือได้แก่ จ.เชียงราย พะเยา แพร่และจังหวัดน่าน เมื่อเร็วๆ นี้ ภายใต้ชื่อ “การทบทวนแผนปฏิบัติการกลุ่ม 4 จังหวัดภาคเหนือ" ซึ่งจัดขึ้นบนเรือท่องเที่ยว 120 ที่นั่ง ของบริษัทแม่โขง เดลต้า ทราเวล เอเจนซี่ จำกัด ซึ่งเป็นเรือสัญชาติไทยที่เปิดให้บริการนำเที่ยวในแม่น้ำโขง ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการระหว่างท่ารือเชียงแสนไปยังท่าเรือจิ่งหง หรือเชียงรุ่ง เขตปกครองตนเองสิบสองปันนาของจีน และท่าเรือหลวงพระบางของ สปป.ลาว
       
       ในการประชุมครั้งนี้มีนายวิรุณ คำภิโล ประธานหอการค้า จ.เชียงราย -นายสมเกียรติ ชื่นธีระวงศ์ ประธานสภาอุตสากรรมท่องเที่ยว จ.เชียงราย และ น.ส.ผกายมาศ เวียร์รา กรรมการผู้อำนวยการบริษัท แม่โขงเดลต้า ทราเวล เอเจนซี่ จำกัด และหัวหน้าส่วนราชการและตัวแทนจาก 4 จังหวัดเข้าร่วมประชุมกว่า 80 คน
       
       นายสุเมธกล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการทบทวนการทำงานร่วมกันของ 4 จังหวัดภาคเหนือที่ทำกันมาในปี 2553 และ ปี 2554 โดยมีการแบ่งงานให้ทั้งสี่จังหวัดดูแล เช่น เชียงรายดูแลเรื่องการค้าสากล พะเยาดูแลการเกษตรและการอุตสาหกรรม แพร่ดูแลการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงอนุรักษ์ น่านดูแลการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
       
       นายสุเมธกล่าวว่า สำหรับโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ จะมีการขอรับงบประมาณจากรัฐบาลต่อไป ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ราว 200 ล้านบาท แต่ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะจัดสรรให้มากน้อยเพียงใด และหลังจากได้รับงบประมาณแล้วก็จะมีการนำมาจัดสรรให้เหมาะสมในแต่ละจังหวัด โดยหากเป็นโครงการสำคัญ เช่น โรงเรียนชาวนา ฯลฯ ที่ประชุมก็มีความเห็นตรงกันว่าควรจะนำไปมอบให้จังหวัดนั้นๆ เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของคนทั้ง 4 จังหวัดต่อไป
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับการประชุมครั้งนี้ จ.เชียงราย ซึ่งเป็นเจ้าภาพได้นำผู้ร่วมเข้าประชุมร่องเรือในแม่น้ำโขง เพื่อชมเส้นทางการค้าการลงทุนตามแนวชายแดนทั้งสองประเทศทั้งไทยและลาว รวมถึงจุดสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ก่อนที่ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย จะนำคณะไปปล่อยปลา ณ จุดอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำ ที่แก่งผาได ต.ม่วงยาย อ.เวียงแก่น ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายที่แม่น้ำโขงไหลผ่านประเทศไทยเข้าไปยัง สปป.ลาว ด้วย
 
 http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000100988 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000100988)

//////////////////

การร่วมมือสามัคคี 4 จังหวัด และ 10 จังหวัดภาคเหนือทำให้การพัฒนาทางเหนือไปได้เร็ว ครับ..การรวมกลุ่มตามเขตเศรษฐกิจของภาค


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: คนเมือง ณ กว่างกรุง ที่ วันที่ 24 กรกฎาคม 2010, 20:35:29
4 จว.เหนือเปิดห้องบนเรือไทยในน้ำโขงถกแผนของบ 200 ล้านบาทบูมท่องเที่ยว
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กรกฎาคม 2553 12:38 น.
 
 (http://pics.manager.co.th/Images/553000010722502.JPEG)
 
 

 
 
  เชียงราย - กลุ่มยุทธศาสตร์ 4 จังหวัดภาคเหนือ ควงแขนขึ้นเรือสัญชาติไทยในแม่น้ำโขงลำแรก ที่เปิดให้บริการแล้ว พร้อมตั้งวงทบทวนแผนปฏิบัติการพัฒนาท่องเที่ยว 4 จว. เล็งของบหนุน 200 ล้านกระจายลงทุกพื้นที่ตามแนวทางพัฒนา
       
       นายสุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้เดินทางไปเป็นประธานการประชุมกลุ่มยุทธศาสตร์ 4 จังหวัดภาคเหนือได้แก่ จ.เชียงราย พะเยา แพร่และจังหวัดน่าน เมื่อเร็วๆ นี้ ภายใต้ชื่อ “การทบทวนแผนปฏิบัติการกลุ่ม 4 จังหวัดภาคเหนือ" ซึ่งจัดขึ้นบนเรือท่องเที่ยว 120 ที่นั่ง ของบริษัทแม่โขง เดลต้า ทราเวล เอเจนซี่ จำกัด ซึ่งเป็นเรือสัญชาติไทยที่เปิดให้บริการนำเที่ยวในแม่น้ำโขง ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการระหว่างท่ารือเชียงแสนไปยังท่าเรือจิ่งหง หรือเชียงรุ่ง เขตปกครองตนเองสิบสองปันนาของจีน และท่าเรือหลวงพระบางของ สปป.ลาว
       
       ในการประชุมครั้งนี้มีนายวิรุณ คำภิโล ประธานหอการค้า จ.เชียงราย -นายสมเกียรติ ชื่นธีระวงศ์ ประธานสภาอุตสากรรมท่องเที่ยว จ.เชียงราย และ น.ส.ผกายมาศ เวียร์รา กรรมการผู้อำนวยการบริษัท แม่โขงเดลต้า ทราเวล เอเจนซี่ จำกัด และหัวหน้าส่วนราชการและตัวแทนจาก 4 จังหวัดเข้าร่วมประชุมกว่า 80 คน
       
       นายสุเมธกล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการทบทวนการทำงานร่วมกันของ 4 จังหวัดภาคเหนือที่ทำกันมาในปี 2553 และ ปี 2554 โดยมีการแบ่งงานให้ทั้งสี่จังหวัดดูแล เช่น เชียงรายดูแลเรื่องการค้าสากล พะเยาดูแลการเกษตรและการอุตสาหกรรม แพร่ดูแลการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงอนุรักษ์ น่านดูแลการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
       
       นายสุเมธกล่าวว่า สำหรับโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ จะมีการขอรับงบประมาณจากรัฐบาลต่อไป ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ราว 200 ล้านบาท แต่ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะจัดสรรให้มากน้อยเพียงใด และหลังจากได้รับงบประมาณแล้วก็จะมีการนำมาจัดสรรให้เหมาะสมในแต่ละจังหวัด โดยหากเป็นโครงการสำคัญ เช่น โรงเรียนชาวนา ฯลฯ ที่ประชุมก็มีความเห็นตรงกันว่าควรจะนำไปมอบให้จังหวัดนั้นๆ เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของคนทั้ง 4 จังหวัดต่อไป
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับการประชุมครั้งนี้ จ.เชียงราย ซึ่งเป็นเจ้าภาพได้นำผู้ร่วมเข้าประชุมร่องเรือในแม่น้ำโขง เพื่อชมเส้นทางการค้าการลงทุนตามแนวชายแดนทั้งสองประเทศทั้งไทยและลาว รวมถึงจุดสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ก่อนที่ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย จะนำคณะไปปล่อยปลา ณ จุดอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำ ที่แก่งผาได ต.ม่วงยาย อ.เวียงแก่น ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายที่แม่น้ำโขงไหลผ่านประเทศไทยเข้าไปยัง สปป.ลาว ด้วย
 
 http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000100988 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000100988)

//////////////////

การร่วมมือสามัคคี 4 จังหวัด และ 10 จังหวัดภาคเหนือทำให้การพัฒนาทางเหนือไปได้เร็ว ครับ..การรวมกลุ่มตามเขตเศรษฐกิจของภาค
  ข่าวดีเลยผมว่า..


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 กรกฎาคม 2010, 11:09:03
3 ชาติร่วมแห่ขบวนเทียนพรรษา อ.เชียงแสน
   
 24 กค. 2553 15:25 น.


เทศบาลตำบลเวียงเชียงแสน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยประชาชนและนักเรียน นักศึกษาในพื้นที่ ได้ร่วมกันสืบทอดประเพณีการแห่เทียนเข้าพรรษาไปตามถนนสายต่างๆ ข้างแม่น้ำโขง ก่อนนำไปถวายวัดต่างๆ ในพื้นที่ โดยมีประชาชนในประเทศลาวและประเทศพม่า ได้แต่งกายพื้นบ้านของแต่ละแห่งเข้ามาร่วมกันอนุรักษ์ประเพณีการแห่เทียนพรรษากันอย่างคึกคัก นายพลภพ มานะมนตรีกุล นายกเทศมนตรี กล่าวว่า ประเพณีแห่เทียนพรรษาสืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตแต่ปัจจุบัน พบว่าประเพณีดังกล่าวเริ่มเลือนหายไปตามสังคมที่เปลี่ยนแปลง ไป เทศบาลตำบลเวียงเชียงแสนจึงได้ร่วมกันอนุรักษ์ประเพณีดังกล่าวไว้ โดยได้จัดแห่เทียนพรรษา เพื่อนำไปถวายวัดในพื้นที่ โดยเฉพาะวัดที่ยังคงขาดแคลนต้นเทียนพรรษา ซึ่งการแห่เทียนพรรษาถวายวัดครั้งนี้ เป็นการร่วมสร้างบุญกุศลถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ให้มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง และเนื่องในทรงมีพระชนมายุครบ 83 พรรษา วันที่ 5 ธันวาคม 2553 
 
 http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=459588
 


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 30 กรกฎาคม 2010, 10:34:47
แม่ฟ้าหลวงระดมแนวคิดพัฒนาชาเชียงราย
   
 28 กค. 2553 14:03 น.


ดร.ธีรพงษ์ เทพกรณ์ หัวหน้าโครงการจัดตั้งสถาบันชา มฟล.กล่าวว่า จัดกิจกรรมดังกล่าวจะได้มีการแลกเปลี่ยนแนวความคิดของผู้ที่เกี่ยวข้องในด้านต่างๆ ของชาตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกชา ผู้แปรรูปชา ผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับชา นักวิจัย นักวิชาการ โดยจะได้มีการปาฐกถาพิเศษ ‘ นโยบายชาของเชียงราย ’ โดยนายสุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย การบรรยาย “ บทบาทของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาชา ในวันที่ 6 สิงหาคม 2553 ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โดยมี รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดีผู้ก่อตั้ง มฟล.และประธานกรรมการอำนวย รวมถึงแนวความคิด “ โอกาสทางการตลาด ” โดย นายจักริน วังวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ชาระมิงค์ จำกัด เป็นต้น

จากนั้นผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมจะได้มีการนำเสนอโครงร่างแผนพัฒนายุทธศาสตร์การพัฒนาชาเชียงราย และการอภิปรายร่วมกันระหว่าง ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กรมวิชาการเกษตร จังหวัดเชียงราย และผู้แทนผู้ประกอบการชาเชียงราย เพื่อหาข้อสรุปในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาเชียงราย

อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการชาเชียงรายจะได้ร่วมลงชื่อในการแจ้งความประสงค์จะเข้าร่วมกลุ่มกันอย่างเป็นทางการซึ่งก็จะทำให้เกิดการจัดตั้งเป็นสมาคม หรือคลัสเตอร์ และจะมีผลในทางนิตินัย อันจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้แก่อุตสาหกรรมชาของ จ.เชียงราย ในการทำงานขับเคลื่อนยุทศาสตร์ชาได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของทิศทางงานวิจัย หรือ การทำตลาดร่วมกันในอนาคตต่อไป 
 
 
 
http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=460108


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: thaicha ที่ วันที่ 10 สิงหาคม 2010, 23:09:41
ตอนนี้ศูนย์ประชุมที่ใหญ่ที่สุดในเชียงราย(ศูนย์ประชุม นานาชาติ มรช.) ใกล้เสร็จแล้ว ผมว่ามันไม่ค่อยเหมือนที่จิตนาการไว้เลย (ต้องสวยกว่านี้) ว่างๆเดี๊ยวหารูปมาลงครับ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 สิงหาคม 2010, 10:43:57
ตอนนี้ศูนย์ประชุมที่ใหญ่ที่สุดในเชียงราย(ศูนย์ประชุม นานาชาติ มรช.) ใกล้เสร็จแล้ว ผมว่ามันไม่ค่อยเหมือนที่จิตนาการไว้เลย (ต้องสวยกว่านี้) ว่างๆเดี๊ยวหารูปมาลงครับ

รอชม ครับ.


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 สิงหาคม 2010, 15:07:40
เกษตรที่สูงขยายพื้นที่ปลูกทิวลิปรองรับนักท่องเที่ยว


11 สค. 2553 11:52 น.


นายอุดมศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมการเกษตรที่สูง จ.เชียงราย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2536 ที่ผ่านมาทางศูนย์ฯ ได้ทำการทดลองปลูกดอกไม้เมืองหนาวประเภทดอกทิวลิปและลิลลี่ บนดอยผาหม่น อ.เทิง พบว่าไม้ดอกประเภทดังกล่าวสามารถขึ้นได้สวยงามได้คุณภาพ บนอุณภูมิที่เหมาะสมค่อนข้างเย็น บนดอยผาหม่น ซี่งทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่ได้ทราบการขยายพันธุ์ดังกล่าวได้ทำกาเดินทางมาชมความสวยงาม จาก สถิติของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไทย (ททท.) พบว่ามีผู้คนไปเยี่ยมชมปีละไม่ต่ำกว่า 200,000 คน จนสามารถทำให้เกิดอาชีพและสร้างรายได้ ให้กับประชาชนในพื้นที่

จากความสวยงามของดอกไม้เมืองหนาว ทำให้บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด ได้ร่วมมอบเงินบริจาคจำนวน 2,500,000 บาท เพื่อทำการขยายหัวพันธุ์ดอกทิวลิปและลิลลี่ ทางศูนย์ฯก็จะนำไปดำเนินการตามวัตถุประสงค์ โดยคาดว่าจะได้นำไปพัฒนาการเพาะดอกทิวลิปและลิลลี่ทั้งด้านวิชาการ ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้านการสร้างรายได้สู่ท้องถิ่น และด้านความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนต่อไป

“ในปีนี้ ประชาชนและนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสความสวยงามของดอกไม้เมืองหนาวหลากหลายชนิด รวมถึงดอกลิลลี่ ดอกทิวลิป หลายแสนดอก ในงานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น ในช่วงปลายปีนี้ ” นายอุดมศักดิ์ กล่าว


http://breakingnews.nationchannel.co...?newsid=462553


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 สิงหาคม 2010, 15:09:30
เชียงราย - ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวเมืองเชียงรายยังเห็นต่าง เลิก/ไม่เลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ รับแม้กระทบนักท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่เทียบไม่ติดกับเคอร์ฟิวส์
       
       หลังรัฐบาลยังคงไว้ซึ่ง พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในพื้นที่ จ.เชียงราย ต่อนั้น ได้ทำให้หลายฝ่ายต่างแสดงทัศนะแตกต่างกันไป โดยบางส่วนไม่เห็นด้วยเพราะมีผลกระทบต่อธุรกิจและภาพลักษณ์ของจังหวัด ขณะที่บางส่วนเห็นด้วยเพราะไม่ได้ทำให้เกิดความแตกต่างไปจากสถานการณ์ปกติโดยประชาชนทุกคนยังคงสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ตามปกติ และผู้ที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่ก็คือผู้ที่ต้องการเคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาลและฟื้นฟูอำนาจใหม่
       
       นายสมเกียรติ ชื่นธีระวงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า หากถามว่า พ.ร.ก.ดังกล่าวมีผลกระทบหรือไม่ก็ต้องยอมรับว่ามีอยู่บ้าง แต่ไม่ถือว่าหนักหนามากนัก ถ้านำไปเปรียบเทียบกับการประกาศมาตรการห้ามออกจากเคหะสถานในเวลากลางคืนหรือเคอร์ฟิวส์ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ก็ยอมรับว่าได้ส่งผลต่อมุมมองของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ เพราะต่างชาติมักจะมองว่าพื้นที่ใดมีการประกาศใช้กฎหมายพิเศษใดๆ แล้วจะไม่มีความปลอดภัย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วในพื้นที่ไม่ได้มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เลย
       
       นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า สำหรับความเห็นของภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.ก.นี้พบว่าแตกต่างกันออกไป โดยในการประชุม "9 ปี สมาพันธ์สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย" ที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีขึ้นตั้งแต่วันที่ 9 ส.ค.เป็นต้นมา ก็ได้มีการถกประเด็นแบบนอกรอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ และพบว่าในรายของผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ ยังคงนิ่งเงียบ ไม่แสดงทัศนะที่ขัดแย้งหรือสนับสนุน โดยอาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาสามารถประคองตัวอยู่ได้ แต่ในรายของนักธุรกิจรายย่อยต่างมีความต้องากรให้ยกเลิก
       
       ขณะที่นายอภิชา ตระสินธุ์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวว่า ยอมรับว่าภาคธุรกิจท่องเที่ยวที่ต้องพึ่งนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้รับผลกระทบอยู่บ้าง โดยมีการยกเลิกโปรแกรมทัวร์ที่จะมาเยือนเชียงรายหลายรายส่งผลทำให้คนที่ทำธุรกิจทั้งพานักท่องเที่ยวเข้ามาและออกไปมีสภาพที่ซบเซา ขณะเดียวกันมีเรื่องการเมืองภายในประเทศมากระทบซ้ำเติมอีก อย่างไรก็ตามคาดว่าฤดูหนาวที่จะมาถึงนี้ทุกอย่างจะฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000111251


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: thaicha ที่ วันที่ 15 สิงหาคม 2010, 19:00:19
หอประชุมนานาชาติ มหาวิทยาัลัยราชภัฏเชียงราย
(http://img97.imageshack.us/img97/4084/sdc15378medium.jpg)
(http://img837.imageshack.us/img837/2715/sdc15381small.jpg)
(http://img266.imageshack.us/img266/1175/sdc15382small.jpg)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 16 สิงหาคม 2010, 22:12:12
นอร์ตันรุกเอเชียทำตลาดไทยเพิ่ม ส่งแอพฯสกัดไวรัสบนสมาร์ทโฟน
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




"นอร์ตัน" รุกหนักตลาดเอเชีย หลังจากเห็นแนวโน้มพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตเปลี่ยน หันมาใช้บนสมาร์ทโฟนเพิ่ม ขณะที่โซเชียล เน็ตเวิร์ค บูมสุดขีด

"นอร์ตัน" รุกหนักตลาดเอเชีย หลังจากเห็นแนวโน้มพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตเปลี่ยน หันมาใช้บนสมาร์ทโฟนเพิ่ม ขณะที่ โซเชียล เน็ตเวิร์ค บูมสุดขีด ระบุเป็นแหล่งแพร่หนอนร้ายไซเบอร์ใหญ่ที่สุด ทุ่มงบวิจัยพัฒนาสูงกว่า 15% ของรายได้รวมกว่า 6.2 พันล้านดอลลาร์ เล็งส่งซอฟต์แวร์กันไวรัส 2011 คลุมถึงสมาร์ทโฟน เผยตลาดไทยศักยภาพสูง เตรียมทำตลาดเชิงรุก ขยายตลาดเพิ่มสู่ต่างจังหวัด

นายเดวิด ฮอลล์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทไซแมนเทค ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า แนวโน้มการใช้อินเทอร์เน็ตของคนทั่วโลกเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ที่มีแนวโน้มการใช้งาน โซเชียล เน็ตเวิร์ค สูงมาก ขณะที่จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนก็เติบโตเพิ่มขึ้น ทำให้การโจมตีข้อมูล หรือการแพร่กระจายของหนอนไวรัสเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีความซับซ้อนในการโจมตีมากขึ้น

ทั้งนี้ บริษัททุ่มงบวิจัยพัฒนาไม่ต่ำกว่า 15% ของรายได้รวมทั่วโลกกว่า 6.2 พันล้านดอลลาร์ ในการพัฒนาซอฟตแวร์ป้องกันไวรัส ล่าสุดบริษัทได้เร่งพัฒนา "นอร์ตัน แอนตี้ไวรัส และ นอร์ตัน อินเทอร์เน็ต เซคเคียวริตี้ 2011" โดยปัจจุบัน ยังอยู่ในการทดสอบ หรือในเวอร์ชั่น เบต้า ซึ่งจะออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการทั่วโลกราวเดือนกันยายนที่ถึงนี้

เวอร์ชั่น 2011 เป็นการรวมฟังก์ชันการแก้ปัญหา และป้องกันไวรัส มัลแวร์ ฟิชชิ่ง และการโจมตีในรูปแบบอื่นๆ บนอินเทอร์เน็ตที่เปลี่ยนสถานที่โจมตีจากบนเว็บไซต์ปกติสู่บนโซเชียล เน็ตเวิร์ค ด้วยการโจมตีในรูปแบบที่ซับซ้อน บางครั้งคนใช้งานก็ยากที่จะรู้ว่า โดนไวรัส หรือฟิชชิ่งเจาะระบบไปแล้ว

เขา ระบุว่า สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตก็ถือเป็นแหล่งใหม่ ที่บรรดามัลแวร์ หรือฟิชชิ่งตามเข้าไปทำอันตรายต่อเครื่องได้ง่าย บริษัทจึงได้พัฒนาแอพพลิเคชั่นนอร์ตัน โมบายภายใต้คอนเซปต์ "นอร์ตัน เอเวอรี่แวร์" (Norton Everywhere) เพื่อป้องกันครอบคลุมไปถึง สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยปัจจุบันมีอุปกรณ์ทั่วโลกที่ต่อเน็ตได้ไม่นับรวมพีซี โน้ตบุ๊คมากกว่า 1 หมื่นล้านเครื่อง คาดว่าใน 4 ปี หรือ ปี 2557 จะเพิ่มเป็น 2 หมื่นล้านเครื่อง

โดย นอร์ตัน โมบาย สามารถใช้งานได้ครอบคลุมเกือบทุกระบบปฏิบัติการ เช่น ไอโฟน แอนดรอยด์ วินโดว์ส โมบาย ส่วนแบล็คเบอร์รี ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโดยขณะนี้เปิดให้ทดสอบในเวอร์ชั่นเบต้าบนแอนดรอยด์

ขณะที่ นายเอฟเฟนดี้ อิบราฮิม ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบรักษาความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ต และหัวหน้ากลุ่มธุรกิจนอร์ตัน ภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า สำหรับตลาดในประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่บริษัทให้ความสำคัญมาก เพราะมีการใช้อินเทอร์เน็ตสูง เช่นเดียวกับการเติบโตของการใช้สมาร์ทโฟน และการใช้งานโซเชียล เน็ตเวิร์ค

"บริษัทจะเน้นทำตลาดในต่างจังหวัดเมืองใหญ่ๆ เพิ่ม เช่น ขอนแก่น เชียงใหม่ เชียงราย ทั้งยังทำงานร่วมกับคู่ค้า และพันธมิตรจัดจำหน่ายในไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไทยและอีกหลายประเทศในเอเชียถือเป็นตลาดเกิดใหม่ ต้องให้ความรู้ และตระหนักถึงการใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสที่ไม่ผิดกฎหมาย มีตัวเลขระบุว่า มูลค่าตลาดซอฟต์แวร์ความปลอดภัยที่หลอกให้คนคลิกเข้าไปอัพเกรดสูงถึง 150 ล้านดอลลาร์" นายเอฟเฟนดี้ กล่าว

http://www.bangkokbiznews.com/home/d...8;™.html


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 สิงหาคม 2010, 10:31:37
วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 15:46:55 น.  มติชนออนไลน์


กลุ่มไทใหญ่ออกแถลงการณ์ต้านพม่าสร้างทางรถไฟเชื่อมรัฐฉาน


เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม หญิงหาญฟ้า เครือข่ายปฏิบัติงานผู้หญิงไทใหญ่ กล่าวว่า กลุ่มสิทธิมนุษยชนและเครือข่ายชาวไทใหญ่เริ่มรณรงค์ต่อต้านการก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายใหม่เชื่อมภาคตะวันออกของรัฐฉาน เพราะหวั่นเกรงว่า จะยิ่งก่อให้เกิดสงครามระหว่างรัฐบาลทหารพม่ากับชนกลุ่มน้อยให้เร็วขึ้น โดยเส้นทางรถไฟสายเมืองนาย - เชียงตุง มีความยาว 361 กิโลเมตร ถือเป็นเส้นทางรถไฟสายแรกที่ตัดผ่านแม่น้ำสาละวินทางภาคตะวันออกของรัฐฉาน


"เราขอประณามการเร่งรีบก่อสร้างทางรถไฟของรัฐบาลพม่า เพราะนี่เป็นแผนการสนับสนุนสงครามของรัฐบาลทหารพม่าในรัฐฉานที่ชัดเจน เพราะมีรายงานว่าการก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ รัฐบาลพม่ายึดที่ทำกินจำนวนหลายพันไร่ของชาวบ้าน โดยแจ้งให้ชาวนาในพื้นที่ทราบว่านี่เป็นโครงการของทหาร ข่มขู่จะจับกุมและคุมขังถ้าไม่ให้ความร่วมมือ"

 

หญิงหาญฟ้า กล่าวว่า เส้นทางรถไฟตัดผ่านอาณาเขตทั้งตอนเหนือและใต้ของกองทัพสหรัฐว้า ซึ่งเป็นกลุ่มหยุดยิงใหญ่ที่สุด และปฏิเสธที่จะเข้าร่วมในกองกำลังรักษาชายแดนอันอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหารพม่า ทางรถไฟสายใหม่นี้จะช่วยให้รัฐบาลพม่าลำเลียงอาวุธหนักเข้าสู่พื้นที่ภูเขาอันห่างไกลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อต่อสู้กับกองทัพสหรัฐว้า หรือกองกำลังชนกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่สำคัญทางรถไฟสายนี้ไม่ได้ก่อสร้างเพื่อประชาชน แต่เอาไว้ใช้ขนรถถังกับปืนใหญ่ของกองทัพ

 

ทางด้านนายปีนคำ นักวิจัยมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทยใหญ่ กล่าวเพิ่มเติมว่า เส้นทางรถไฟสายนี้ตัดผ่านเหมืองถ่านหินที่เมืองกกตรงข้ามกับ จ.เชียงราย ของไทย ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวรัฐบาลทหารพม่าและนักลงทุนจากไทยวางแผนขุดแร่ลิกไนต์หลายล้านตัน และมีแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าส่งขายให้ไทย


"รัฐบาลทหารพม่าบอกกับนานาชาติว่า การเลือกตั้งในปี 2553 จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพม่า แต่ในความเป็นจริงพวกเขายังคงมุ่งหน้าทำสงครามต่อไป ประเทศเพื่อนบ้านของพม่าควรคิดให้รอบคอบก่อนลงทุนในพื้นที่ซึ่งเป็นสมรภูมิของการสู้รบนี้" นายปืนคำ กล่าว



หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: WEBMASTER ที่ วันที่ 18 สิงหาคม 2010, 10:49:38
ศาลากลางจังหวัดเชียงรายย้ายสำนักงานใหม่ไปยังเชิงสะพานแม่ฟ้าหลวง เรียบร้อยแล้วครับ

กว้างขวาง ใหญ่โต เดินจนเหงื่อแตก ;D


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: nalismenox ที่ วันที่ 18 สิงหาคม 2010, 19:15:54
ว้าววววววววววว สุดยอด
หอประชุมก็โอเคนะครับ แต่ถ้าเสร็จคงสวยกว่านี้
ส่วนตอนศาลากลางมันโล่งๆ ไปอีกหน่อยคงดีเองอ่ะ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 สิงหาคม 2010, 06:14:53
ม.แม่ฟ้าหลวงจัดสัมมนาการจัดการ โลจิสติกส์ และซัพพลายเชน ในภาคเกษตรกรรม หวังยกระดับระบบการบริหารและจัดการสินค้าเกษตรไทย


รศ.นายสัตวแพทย์ ดร.เทอด เทศประทีป อธิการบดี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย เปิดเผยว่า ภาคเกษตกรรมไทยจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาด้านโลจิสติกส์ และซัพพลายเชน ซึ่งขณะนี้ต่างประเทศมีการพัฒนาไปมากแล้วกว่าประเทศไทยมาก อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจชัดเจนในส่วนดังกล่าว สำนักวิทยาการจัดการจึงได้จัดสัมมนา เรื่องโลจิสติกส์และซัพพลายเชน เพื่อพัฒนาระบบเกษตรกรรมของไทยให้พัฒนาไปสู่การค้าระดับภูมิภาค และระดับโลก โดยสินค้าเกษตรถือว่าเป็นสินค้าหลักของประเทศไทยที่รัฐบาลต้องทำการส่งเสริมอยู่แล้ว

ด้านนายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ (คสศ.) กล่าวว่า อยากให้ทุกฝ่าย เร่งหาแนวทางในการส่งเสริมการกระจายผลิตการเกษตรไปยังผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพและมากขึ้นด้วย เช่น ส้มโอ จาก อ.เวียงแก่น , ปลานิลจาก อ.พาน หากจัดการดีก็จะขายได้มีราคาและมีรายได้เข้าจังหวัดมากขึ้น ซึ่งเกี่ยวโดยตรงกับ ระบบโลจิสติกส์ และซับพลายเชน

การจัดการสัมมนาครั้งนี้ มีประโยชน์มาก โดยเฉพาะทุกฝ่ายได้มีการร่วมมือในการผลักดันให้โครงการก่อสร้างรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย สำเร็จ จะเป็นโอกาสที่ดีในหลายด้านเนื่องจากจะสามารถเชื่อมเส้นทางเชื่อมประเทศในกลุ่ม จีเอ็มเอส (GMS) ไปถึงจีน ซึ่งน่าจะเกิดให้ไวที่สุด แต่ยังไม่เห็นว่าจะมีการให้งบประมาณก่อสร้าง อาจมีแค่งบสำรวจ ซึ่ง ระบบการใช้รถไฟ มีความสำคัญและคุ้มค่ากว่าการใช้รถยนต์แน่นอน

ส่วนสาเหตุที่รัฐบาลอาจจะยังไม่ตัดสินใจในการก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ น่าจะเกิดจากการเข้าใจและให้ความสนใจของผู้บริหารระดับระดับประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ชาวบ้านต้องการรถไฟสายนี้มาก และเพื่อนบ้าน มีโครงการรถไฟจากจีนไปถึง สปป.ลาว และไปยังประเทศอื่น แต่คิดว่า หากมาถึงไทยน่าจะมีศักยภาพมากที่สุด

ด้านนางสาวพิมพ์พิศา ฤกษ์อรุณรุ่ง นักศึกษาระดับปริญญาโท สาขาการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน คณะบริหารธุรกิจ ม.แม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า การจัดสัมมนาในครั้งนี้สามารถสร้างโอกาส แก่ผู้ที่มาร่วมงานสัมมนา ให้เกิดแนวคิด ความเข้าใจ ต่อการที่จะพัฒนานำการบริหารจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนมาใช้ในภาคการเกษตรของท้องถิ่น เพื่อให้เกิดประโยชน์ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนการผลิต การขนส่ง และการจัดการสินค้า โดยเห็นว่าการร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต ผู้ขาย ผู้ซื้อ แม้กระทั่งคู่แข่งทางการตลาด เป็นความท้าทายที่เราควรจะต้องสร้างแข็งแกร่งในความร่วมมือ เพื่อร่วมกันวางแผน พัฒนา แก้ไขปัญหาต่างๆ รวมถึงเพื่อรับมือกับการแข่งขันจากนายทุนต่างชาติที่พร้อมจะเข้ามาลงทุนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ต่อไป


http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20100818/348509/ม.แม่ฟ้าหลวงระดมสมองผลักดันโลจิสติกส์ไทย.html


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: somchai_yhai ที่ วันที่ 22 สิงหาคม 2010, 17:47:20
มากมายจริง ขอบคุณมากครับ  ;D


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: thaicha ที่ วันที่ 22 สิงหาคม 2010, 20:57:14
การบรรยายทางวิชาการ "เตรียมเชียงราย: เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสถาณการณ์ปัจจุบันและอนาคต" โดย ดร. สุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ณ. ห้องมณีไตรรงค์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

http://media.cru.in.th/~k2/sme/catalog.php?idp=81


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 สิงหาคม 2010, 20:31:55
ท่าเรื่อเชียงแสน 2 จุดขนถ่ายสินค้าไทยไปเมืองจีน

ถ่ายขนเขาไกลมาก ครับ..เครดิตตามภาพขอบคุณที่นำมาภาพสวยมาให้ชมครับ..

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs301.snc4/40407_120232028029381_100001277536975_130684_4658683_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs298.snc4/41263_120228511363066_100001277536975_130649_2706750_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs158.ash2/41263_120228514696399_100001277536975_130650_7110091_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs318.snc4/41263_120228521363065_100001277536975_130652_427477_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs158.ash2/41263_120228524696398_100001277536975_130653_1344054_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs155.ash2/41069_120229851362932_100001277536975_130660_4164289_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs301.snc4/40407_120232031362714_100001277536975_130685_5663556_n.jpg)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 24 สิงหาคม 2010, 10:37:59
สุโขทัยอ่วม น้ำยมทะลักท่วม ด้านน้ำพุร้อนเชียงราย เจอน้ำป่าซัดพัง

สุโขทัย/เชียงราย - ภาคเหนือหลายท้องที่เจอน้ำท่วมอ่วม ล่าสุดน้ำยมทะลักเข้าเมืองสุโขทัย ชาวบ้านขนของหนีจ้าละหวั่น ขณะที่เขตเวียงป่าเป้า เมืองพ่อขุนฯ เจอน้ำป่า
       
       วันนี้ (23 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากสุโขทัยว่า น้ำจากแม่น้ำยมที่มีความเร็ว 600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ได้ไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรในพื้นที่หมู่ 6 บ้านบางคลอง ต.ปากแคว อ.เมือง จ.สุโขทัย กว่า 100 หลังคาเรือนต้องจมน้ำ ขณะที่ชาวบ้านต่างก็เร่งขนย้ายทรัพย์สิน และนำผู้สูงอายุไปอยู่ในที่ปลอดภัยอย่างทุลักทุเล
       
       ด้าน นายบุญเสริม เชยวัดเกาะ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ปากแคว และพนักงานฯ ก็ได้เร่งนำกระสอบทราย ไปวางทำแนวป้องกันบริเวณน้ำไหลทะลักแล้ว พร้อมเตรียมรับสถานการณ์ต่อเนื่อง
       
       ขณะที่ ระดับน้ำยม บริเวณหน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย มีความสูงที่ 6.62 เมตร เลยจุดวิกฤตที่ 6.50 เมตร ส่งผลให้ ต.ปากพระ อ.เมืองสุโขทัย ที่มีน้ำท่วมขังอยู่แล้ว ถูกน้ำท่วมสูงขึ้นอีก บางจุดมีความลึกเกือบ 2 เมตร ประกอบกับได้เกิดมีตลิ่งพัง จึงทำให้พื้นที่ทั้ง ต.ปากพระ ถูกน้ำท่วมทั้งหมด โดยเฉพาะพื้นที่นาข้าวหลายพันไร่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก
       
       อย่างไรก็ตาม นายจักริน เปลี่ยนวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย ได้เรียกหน่วยงานเกี่ยวข้องประชุมด่วน หาทางเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่น้ำท่วมขังแล้ว เพื่อให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
       
       ส่วนพื้นที่เชียงรายได้เกิดเหตุน้ำป่าจากเทือกเขาดอยนางแก้วเขตติดต่อ จ.เชียงราย และเชียงใหม่ ไหลทะลักลงสู่แม่น้ำลาวจนทำให้เกิดการเอ่อล้นและเข้าท่วมพื้นที่ ต.แม่เจดีย์ใหม่ อ.เวียงป่าเป้า ในหลายพื้นที่โดยเฉพาะน้ำได้เข้าร่วมร้านค้าบริเวณโป่งน้ำพุร้อน ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวบนเส้นทางสายเชียงราย-เชียงใหม่ ส่งผลทำให้บรรดาผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆ โดยเฉพาะของที่ระลึกต้องขนข้าวของหนีน้ำ และได้รับความเดือดร้อนจากน้ำและโคลนที่ไหลทะลักเข้าไปในร้าน
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า น้ำท่วมยังส่งผลให้พื้นที่ทางการเกษตรทั้งนาข้าว บ่อปลา ไร่ข้าวโพด ที่ถูกกระแสน้ำพัดเสียหายเป็นวงกว้างกินพื้นที่ใน 9 หมู่บ้าน นอกจากนี้ยังทำให้คอสะพานคอนกรีตที่ใช้สัญจรไปมาระหว่างบ้านบวกขอนหมู่ที่ 9 และบ้านโฮ้ง หมู่ที่ 1 และ 2 ขาดยาวกว่า 10 เมตร และโรงเรียนบ้านโฮ้ง อีก 1 แห่ง ได้รับความเสียหายจากดินโคลนทับ เบื้องต้นพบว่ามีประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำป่าไหลหลากในครั้งนี้ประมาณ 500 หลังคาเรือน และยังไม่ได้รับรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
       
       ทั้งนี้ ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างทำการสำรวจความเสียหายเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่อไป ในขณะที่ศูนย์สำรวจอุทกวิทยาที่ 5 เชียงราย ได้แจ้งเตือนให้ราษฎรที่มีบ้านเรือนริมตลิ่งแม่น้ำลาวใน อ.แม่สรวย ซึ่งอยู่ในพื้นที่ใต้น้ำถัดไปได้เตรียมพร้อมเฝ้าระวังจากน้ำล้นตลิ่งเหมือนพื้นที่ อ.เวียงป่าเป้า ดังกล่าวแล้ว

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000117215


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 สิงหาคม 2010, 10:04:52
ลุ้นเส้นทางรถไฟเด่นชัย-คุนหมิง


เชียงราย - น.ส.อรุณี ชำนาญยา คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ในวันที่ 27-28 ส.ค.นี้ คณะกรรมาธิการจะลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามเรื่องความก้าวหน้าของโครงการรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย จะเชื่อมต่อไปถึงมณฑลคุนหมิง ประเทศจีน จะลงไปรับฟังความคิดเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จ.เชียงราย พร้อมทั้งศึกษาข้อมูลพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับระบบการขนส่งที่จะเชื่อมกับระบบการขนส่งจากประเทศจีนถึงประเทศไทย

น.ส.อรุณีกล่าวต่อว่า โดยภาพรวมโครงการจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาลด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เป็นเส้นทางการขนส่งที่เชื่อมประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ขณะเดียวกันประเทศจีนก็มีความพร้อมและยินดีตอบรับที่จะเปิดรับเส้นทางรถไฟจากประเทศไทยทำให้ยังได้ความมั่นคงทางเศรษฐกิจตามมาด้วย โครงการนี้มีการนำเสนอมานานประมาณ 30 ปีแล้ว ไม่สามารถผลักดันเป็นรูปธรรมได้ เพราะเสถียรภาพของรัฐบาลแต่ละสมัยไม่เพียงพอ งบประมาณที่ได้ประมาณการไว้เบื้องต้นเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมาจำนวน 13,000 ล้านบาท หากปรับตัวเลขใหม่คาดว่าอยู่ประมาณ 15,000 ล้านบาท ขณะนี้กำลังศึกษาความเหมาะสม

หน้า 29


http://www.khaosod.co.th/view_news.p...dPQzB5TlE9PQ==


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: Badz ที่ วันที่ 25 สิงหาคม 2010, 18:44:10
ดีจัง จะได้หากระทู้ได้ง่ายๆหน่อย


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยไม้ไทย ที่ วันที่ 25 สิงหาคม 2010, 20:39:48
ขอบคุณเจ้าที่มาบอกข้อมูลปัจจุบันตลอด
ถึงความเคลื่อนไหวของเจียงฮายเจ้า


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 28 สิงหาคม 2010, 22:27:34
ชายแดนแม่สายคึกคักพม่ากว้านซื้อรถมือสอง
   
 28 สค. 2553 08:16 น.


ผู้ประกอบการค้ารถยนต์รายหนึ่งในพื้นที่ชายแดนไทยพม่า ด้าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย เปิดเผยว่า ขณะนี้มีกระแสข่าววว่าทางการพม่าจะเปิดให้รถยนต์เก่า หรือรถมือสอง ทำการจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายของพม่า ทำให้บรรยากาศตามแนวชายแดนแม่สายคึกคัก เนื่องจากประชาชนชาวพม่า พ่อค้ารถยนต์พม่า ต่างพากันข้ามฝั่งชายแดนเข้ามากว้านซื้อรถยนต์มือสองในเขตฝั่งไทย

สำหรับการกว้านซื้อรถยนต์ครั้งนี้ ผู้ซื้อต้องการรถยนต์ที่มีความจุไม่เกิน 1,400 ซีซี โดยไม่จำกัดสีของรถเหตุ สาเหตุเพราะด้วยทางการพม่าไม่อนุญาตให้จดทะเบียนรถยนต์ที่มีความจุเกิน 1,400 ซีซี ทำให้บรรดาเต็นท์รถยนต์มือสองต่างหารถยนต์ตามขนาดที่ลูกค้าต้องการ โดยเฉพาะรถยนต์ ยี่ห้อมาสด้า รุ่นแฟมิลี่ และรถยี่ห้อ ไดฮัสซุ รุ่นมิร่า เริ่มต้นสงวนราคาอยู่ที่ 80,000-140,000 บาท หรือแล้วแต่สภาพรถ และทางการพม่ากำหนดค่าการเสียภาษีรถยนต์เริ่มอยู่ที่ 8,000-100,000 บาท

พนักงานขายรถยนต์มือสองแห่งหนึ่งใน อ.แม่สาย จ.เชียงราย กล่าวว่า ตั้งแต่ทราบเรื่องที่ทางการพม่าเปิดการจดทะเบียนรถยนต์มือสอง ทำให้ชาวพม่าเข้ามาสอบถามซื้อรถยนต์ทั้งสองยี่ห้อนี้เป็นจำนวนมากทุกวัน โดยทางเต็นท์ต่างเร่งเสาะหารถยนต์ใน อ.ข้างเคียงและต่างจังหวัด เพื่อนำมาจำหน่ายให้ชาวพม่า อีกทั้งพนักงานยังกล่าวอีกว่าในอนาคต ราคาของรถยนต์มือสองตามแนวชายแดนจะเพิ่มสูงขึ้น เพราะเ กิดการแย่งซื้อและเก็งกำไร

 
 
 http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=465484


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 สิงหาคม 2010, 11:49:19
เชียงราย - กรรมาธิการคมนาคม ยกทีมจับผิดโครงการพัฒนาสาธารณูปโภคชายแดนเมืองพ่อขุนฯ ทั้งสะพานข้ามโขง 4- ท่าเรือเชียงแสน 2 ขณะที่ ส.ส.เพื่อไทย รุมซักละเอียดยิบ ถามโปรเจกต์ท่าเรือใหม่ ผ่านสภาฯหรือไม่ หลังต้องทำข้อตกลงระหว่างประเทศกับลาว ยัน 8 ส.ส.เชียงราย พร้อมจุดประเด็นเสี่ยงกระทบเขตแดน


(http://pics.manager.co.th/Images/553000012743903.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/553000012743902.JPEG)


       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า คณะกรรมาธิการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร นำโดยนายสุรพล เกียรติไชยากร ประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้เดินทางศึกษาดูแลงาน "การพัฒนาโครงข่ายการคมนาคมของภาคเหนือตอนบน" และรับฟังบรรยายสรุป ที่ห้องประชุมสำนักงานแขวงการทาง จ.เชียงราย สุดสัปดาห์นี้ พร้อมกับเดินทางลงพื้นที่ไปดูโครงการต่างๆ ตามชายแดนไทย-สปป.ลาว เช่น ท่าเรือในแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ที่ อ.เชียงแสน สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ-ห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ฯลฯ
       
       โดยเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แจ้งถึงความคืบหน้าในโครงการต่างๆ ว่า การก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เป็นรูปแบบสะพานแรงอัดคอนกรีตแบบกล่อง เริ่มต้นก่อสร้างมาแล้วตั้งแต่เดือน มิ.ย.ที่ผ่ามา และใช้เวลาก่อสร้าง 33 เดือน คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2555
       
       ตามกำหนดการจะมีการเปิดให้บริการสะพานร่วมกันระหว่างไทย-สปป.ลาว-จีน ภายในวันที่ 1 ม.ค.2556 เป็นสะพานขนาด 2 ช่องจราจร พร้อมทางเดินเท้าทั้ง 2 ข้างกว้างรวม 14.70 เมตร ส่วนความยาวของสะพานประมาณ 480 เมตร และยังมีสะพานต่อเชื่อมในฝั่งไทยอีก 150 เมตร รวมความยาวทั้งสิ้น 630 เมตร มีเสาตอม่ออยู่กลางแม่น้ำโขง 4 ตอม่อ รวมทั้งมีอาคารด่านพรมแดนทั้ง 2 ฝั่งประเทศและถนนรวมทั้งจุดเปลี่ยนการจราจรในฝั่งไทยด้วย
       
       ด้านนายพงษ์วรรณ จารุเดชารองอธิบดี (ด้านโครงสร้างพื้อนฐานทางน้ำ) กล่าวว่า สำหรับโครงการก่อสร้างท่าเรือในแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 งบประมาณ 1,546,400,000 บาท ตั้งอยู่หมู่บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน สร้างบนเนื้อที่ประมาณ 387 ไร่ ห่างจากท่าเรือแห่งแรกประมาณ 6 กิโลเมตร เพื่อให้รองรับเรือขนสินค้าขนาด 370 ตันกรอสส์ ได้พร้อมกัน 10 ลำ และรองรับสินค้าได้ปีละ 6,000,000 ตัน ลักษณะโครงการเป็นการสร้างเว้าเข้ามาในฝั่งไทยขนานไปกับแม่น้ำกก ซึ่งจะทำให้เกิดแอ่งจอดเรือที่ขุดขึ้นใหม่มีความกว้างประมาณ 71 ไร่ สามารถจอดเรือได้ทั้ง 2 ฝั่งด้านใน ส่วนระดับน้ำมีความลึก 1.5 เมตรจากระดับน้ำลึกต่ำสุด และมีลานจอดวางสินค้าประมาณ 48 ไร่ ฯลฯ
       
       “ตอนนี้สร้างคืบหน้าแล้ว 42%แต่ก็ช้ากว่าประมาณการณ์ 5%เพราะขาดอุปกรณ์เครื่องเจาะหินซึ่งหายากแต่ไม่น่าจะมีปัญหา และอุปสรรคด้านกายภาพทำให้ช่วงแรกๆ ต้องปรับแบบเพื่อให้เหมาะสม อย่างไรก็ตามการก่อสร้างยังอีกยาวนานเพราะมีกำหนดแล้วเสร็จในวันที่ 28 ธ.ค.2554 และหากเอกชนไม่สามารถก่อสร้างได้ทันกำหนดก็มีสัญญาวงเงินประกันเอาไว้ 1.5 ล้านบาท” นายพงษ์วรรณ กล่าว
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่าภายหลังจากนายพงษ์วรรณ ได้รายงานความคืบหน้าได้มีสมาชิกคณะกรรมาธิการหลายคน ได้แสดงความคิดเห็นและสอบถามข้อสงสัยหลายเรื่อง เช่น นายสุรสิทธิ์ เจียมวิจักษณ์ และนายรังสรรค์ วันไชยธนวงส์ ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เชียงราย พรรคเพื่อไทย ถึงกับกล่าวว่า โครงการนี้ทาง ส.ส.เชียงราย ทั้ง 8 คนไม่ได้เห็นชอบด้วย เพราะสงสัยเรื่องวิกฤตแม่น้ำโขงที่เหือดแห้ง ความคุ้มทุน การบริหารจัดการระหว่างท่าเรือใหม่และเก่า ฯลฯ
       
       นายพงษ์วรรณ ชี้แจงว่า โครงการนี้ได้ผ่านการศึกษามาหลายขั้นตอนและเปิดเวทีมาแล้วหลายครั้งว่าคุ้มค่า ส่วนแม่น้ำโขงก็ไม่ได้แห้งลง เพราะจากการคำนวณจากระดับน้ำตั้งแต่อดีตพบว่าสาเหตุที่เรือสินค้ามีปัญหาเพราะมีการเพิ่มขนาด ระวางบรรทุกเรือสินค้าให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น ขณะที่ท่าเรือแห่งแรกจะใช้เพื่อการท่องเที่ยวเท่านั้น
       
       ด้านนายสุรชัย กนกปิณฑะ เลขานุการคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่าตนยังสงสัยในโครงการนี้ในเรื่องของเขตแดนประเทศไทย-สปป.ลาว เพราะสนธิสัญญาแบ่งแดนระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส ในอดีตระบุว่าให้ร่องน้ำลึกเป็นเส้นแบ่งเขตแดนในแม่น้ำโขง แต่กรณีนี้มีเกาะช้างตายอยู่กลางแม่น้ำโขงและเราก็ทำท่าเรือเว้าเข้าในฝั่งไทย จึงสงสัยว่าเมื่อทำเช่นนี้ร่องน้ำลึกจะอยู่ที่ไหนอย่างไร และจะส่งผลกระทบต่อการมีร่องน้ำลึกใหม่หรือไม่
       
       พร้อมกับระบุอีกว่า โครงการนี้มีการตกลงหารือและลงนามร่วมกับ สปป.ลาว แล้วได้มีการนำเข้าสู่การประชุมสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 190 ในรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ และไปทำกันโดยใช้รัฐธรรมนูญใด ด้วยองค์กรใดกับองค์กรใด
       
       ทำให้รองอธิบดีกรมเจ้าท่าชี้แจงว่า การก่อสร้างตามโครงการนี้ได้ร่วมกับทาง สปป.ลาว ในการศึกษาร่วมกันมาตั้งแต่ต้น รวมทั้งได้นำเอาข้อมูลที่ได้ไปชี้แจงต่อรัฐบาล สปป.ลาว ที่นครเวียงจันทร์มาแล้ว ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ลงนามร่วมกันว่าโครงการนี้จะไม่ส่งผลกระทบ แต่หากส่งผลกระทบก็จะร่วมกันแก้ไขต่อไป ด้านร่องน้ำลึกนั้นก็ได้ส่งเรื่องให้ทางกระทรวงการต่างประเทศได้พิจารณาแล้ว ได้รับคำตอบชัดเจนว่าเกาะช้างตายเป็นของประเทศไทย
       
       หลังจากนั้น คณะกรรมาธิการฯ ยังได้สอบถามข้อมูลความคืบหน้าในโครงการโครงข่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น รถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษารอบใหม่เพราะที่ผ่านๆ มาได้ผลการศึกษาว่าไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน โครงการก่อสร้างถนนสายต่างๆ ที่คืบหน้าอย่างต่อเนื่อง เช่น ถนนแม่สาย-เชียงแสน-เชียงของ ถนนสาย อ.เมืองเชียงราย-ท่าเรือเชียงแสน 2 ถนนสาย อ.จุน จ.พะเยา-อ.เทิง จ.เชียงราย ถนน อ.เทิง-เชียงของ เป็นต้น

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000120117


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: thaicha ที่ วันที่ 02 กันยายน 2010, 11:26:03
มรช.วิจัยผลกระทบจากการพัฒนาลุ่มน้ำโขง ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาในอนาคต ซึ่งผลงานการวิจัยได้รับการชื่นชมจากเวทีระดับชาติ
  ผศ.ดร.สุชาติ  ลี้ตระกูล   รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย  (มรช.) เปิดเผยว่า  ชุดโครงการวิจัยของทีมคณะวิจัย  สถาบันวิจัยและพัฒนา  มรช. ได้ร่วมออกบูธนิทรรศการด้านการวิจัย    และได้รับรางวัล  ซิลเวอร์อวอร์ด (Silver Award )  และได้รับคำชมจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ  (วช.) ในงาน  “การนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ 2553 “ (Thailand Research Expo 2010 )  ปีนี้ 5  เมื่อวันที่  25 – 31  สิงหาคม  ที่ศูนย์ประชุมบางกอก  คอนเวนชั่น  เซ็นเตอร์เช็นทรัลเวิลด์  ราชประสงค์ กทม.  จึงขอขอบพระคุณทุกคณะที่ได้ให้ความร่วมมือในการนำเสนอผลงานครั้งนี้  1  ชุด  17  เรื่องดังต่อไปนี้

ชุดโครงการวิจัยเชียงของศึกษา : ด้านการศึกษา
           ชื่อโครงการ  1. ความ ต้องการการเตรียมความพร้อมเพื่อการใช้ภาษาต่างประเทศในการติดต่อสื่อสารใน บริบทของการค้าชายแดนไทย ลาว จีน  ผู้วิจัยโดย อ.สุภาพร   เตวิยะ  อ.เกศรินทร์   ศรีธนะ
                            2. แนว ทางการจัดการศึกษาเพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากโครงการ สร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ของอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ผู้วิจัยโดย อ.สุดาพร ปัญญาพฤกษ์

ชุดโครงการวิจัยเชียงของศึกษา : ด้านสังคมและวัฒนธรรม

           ชื่อโครงการ  1. การศึกษาวิถีชีวิตและรูปแบบการปรับตัวของชุมชนริมฝั่งโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ผู้วิจัยโดย อ.ดุจฤดี  คงสุวรรณ
                            2. กระบวนการปรับตัวของชุมชนท้องถิ่นภายใต้แผนการจัดตั้ง “นิคมอุตสาหกรรมเชียงของ” ผู้วิจัยโดย  น.ส.สกาวเดือน บุญงามและคณะ
                            3. การศึกษาทางชาติพันธุ์วรรณา ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในอนุภูมิภาคกลุ่มแม่น้ำโขง ผู้วิจัยโดย  นายสุภินันทชัย  แซ่ลีและคณะ
                            4. พัฒนาการ และความสัมพันธ์ทางการค้าชายแดนไทย-สปป.ลาว ภายใต้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ผู้ วิจัยโดย  นายประชา แซ่จ๋าวและคณะ

ชุดโครงการวิจัยเชียงของศึกษา : ด้านสิ่งแวดล้อม

           ชื่อโครงการ  1. การศึกษารูปแบบในการจัดการสิ่งแวดล้อมสำหรับนิคมอุตสาหกรรมเชียงของ จ.เชียงราย ดร.พงษ์นรินทร์  ชื่นวงค์

ชุดโครงการวิจัยเชียงของศึกษา : ด้านเศรษฐกิจ
          

           ชื่อโครงการ 1. การศึกษาเปรียบเทียบผลกระทบในภาคอุตสาหกรรมจากการสร้างสะพานข้ามน้ำโขงไทย-ลาว ผู้วิจัยโดย  ดร.ไพโรจน์ ด้วงนครและคณะ
                           2.  แนวทางการพัฒนาในการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ : กรณีศึกษาอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ผู้วิจัยโดย  อ.วิชิต นางแล
                           3.  ความคิดเห็นและการเตรียมความพร้อมของชุมชนเชียงของต่อการพัฒนาเศรษฐกิจภาค อุตสาหกรรม อำเภอเชียงของ จังหวัด เชียงราย ผู้วิจัยโดย  อ.วัชระ วัธนารวีและคณะ
                           4.  การศึกษาระบบบริหารจัดการธุรกิจเพื่อพัฒนากลุ่มสตรีทอผ้าศรีดอนชัยไปสู่ ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ : กรณีศึกษา อ. เชียงของ จังหวัดเชียงราย ผู้วิจัยโดย  อ.วันชนะ จิตรอารีย์
                           5.  การศึกษาระบบเพื่อหารูปแบบพิธีการนำเข้าและส่งออกสินค้าทางการเกษตร ณ ท่าเรือเชียงของ จังหวัดเชียงราย ผู้วิจัยโดย  อ.ทศพร มูลรัตน์
                           6.  การศึกษาโอกาสและศักยภาพของสินค้าส่งออกระหว่างไทยและจีน (ยูนาน) ผู้วิจัยโดย  อ.ปวีณา  ลี้ตระกูล
                           7.  การศึกษาระบบการกระจายสินค้าของประเทศจีน กรณีศึกษา : เมืองเฉินก้ง นครคุณหมิง มลฑลยูนาน ผู้วิจัยโดย  นายยุทธศิลป์ ชูมณีและคณะ
                           8. รูปแบบการพัฒนาพื้นที่ริมโขง อำเภอเชียงของ ให้เป็นตลอดสินค้าอินโดจีน ผู้วิจัยโดย  นายกิตติศักดิ์ นิวรัตน์และคณะ
                           9. ความ เป็นไปได้ของการเปิดศูนย์การค้าปลอดภาษี Duty free พื้นที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ผู้วิจัยโดย  ผู้วิจัยโดย  นางธิดารัตน์ สุขประภาภรณ์  และคณะ

อยู่ระหว่างดำเนินการ
            ชื่อโครงการ 1. การวิเคราะห์โอกาสและศักยภาพของการพัฒนาสินค้าทางการเกษตร เพื่อการส่งออกเขตอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ผู้วิจัยโดย  อ.สุภมล  ดวงตา


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 กันยายน 2010, 18:48:38
เชียงรายระดมสมองจัดสัมนาพัฒนาท่องเที่ยวสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ



เมืองพ่อขุนเปิดเวที "Upper GMS Tourism Network Forum 2010" สัมมนาและนิทรรศการวิชาการนานาชาติภายใต้หัวข้อเรื่อง "เครือข่ายความรู้ และพัฒนาด้านการท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง" กูรูท่องเที่ยวไทย ลาว จีน ร่วมขึ้นเวที หวังจับมือประเทศเพื่อนบ้านในเขตสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจลงนามสร้าง เครือข่ายทำตลาด พร้อมปลุกฟื้นโครงการ Golden Quadrangle Tourism Zone เพื่อลดปัญหาอุปสรรคการข้ามพรมแดน รวมถึงการพัฒนาเส้นทางที่เป็นจุดขายร่วม และการพัฒนาบุคลากรร่วมกัน

จังหวัดเชียงราย ร่วมกับคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ-หอการค้า จ.เชียงราย ได้จัดงานสัมมนาและนิทรรศการวิชาการนานาชาติในหัวข้อ "เครือข่ายความรู้และพัฒนาด้านการท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่ น้ำโขง"หรือ Upper GMS Tourism Network Forum 2010 ณ ห้องประชุมโรงแรมริมกกรีสอร์ท อ.เมืองเชียงราย นายสุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่าจังหวัดเชียงรายกำหนดการจัดสัมมนา และนิทรรศการวิชาการนานาชาติภายใต้หัวข้อเรื่อง "เครือข่ายความรู้ และพัฒนาด้านการท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง"หรือ "Upper GMS Tourism Network Forum 2010"เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายองค์กรด้านการท่องเที่ยว ทั้งภาครัฐและเอกชนในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้าโขงตอนบน 4 ประเทศให้เป็นรูปธรรม โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนา 120 คน ซึ่งประกอบไปด้วยผู้แทนจากภาครัฐและเอกชนใน 4 ประเทศลุ่มน้ำโขงตอนบน

"จังหวัดเชียงรายหวังว่าในเบื้องต้นทุกประเทศจะเห็นร่วมกันและลงนาม ในการสร้างเครือข่ายและขีดความสามารถทางการท่องเที่ยวในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำ โขงตอนบนขึ้นมา และเห็นชอบในแผนปฏิบัติการการท่องเที่ยวที่จะได้ผลสรุปในครั้งนี้ เพราะว่าการประชุมครั้งนี้มีผู้แทนระดับสูงจากภาคการท่องเที่ยวของสสป.ลาว คือ Mr. Somphong Mongkhonvilay รัฐมนตรีท่องเที่ยวของสปป.ลาว, Mrs. Daw Kyi Kyi Aye ผู้แทนกระทรวงการท่องเที่ยวและโรงแรมของพม่า และ Mr. Lu Jiangquan ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวของสิบสองปันนาเดินทางมาด้วยตัวเอง อันจะทำให้เกิดการเร่งรัดโครงการ Golden Quadrangle Tourism Zone หรือโครงการพัฒนาเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวในเขตสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจเป็น รูปธรรมเร็วขึ้นด้วย"

นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ กล่าวว่า โครงการสัมมนานานาชาติหัวข้อเรื่อง"เครือข่ายความรู้ และพัฒนาด้านการท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง" หรือ "Upper GMS Tourism Network Forum 2010" นับเป็นเรื่องสอดคล้องกับนโยบายของคสศ. ที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในเขตสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ซึ่งได้ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับกิจกรรมในการสัมมนาที่จะจัดขึ้น ประกอบด้วย จัดการประชุมสัมมนา เปิดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ สร้างความเข้าใจร่วมกันในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนบน, จัดทำแผนปฏิบัติงานเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติจริงในระดับชาติ, จัดนิทรรศการด้านการท่องเที่ยวบริเวณหน้าห้องสัมมนา และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ

ขณะที่ นายวิชัย ศรีขวัญ ประธานคณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เชียงราย มีการพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงไปถึงประเทศต่างๆ ในกลุ่ม GMS ดังนั้น การจัดสัมมนาเพื่อหาแนวทางความร่วมมือ เครือข่าย รวบรวมปัญหาอุปสรรค ฯลฯ จึงจะเป็นผลดีต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งของจังหวัด และกลุ่ม GMS ไปจนถึงจีนตอนใต้ได้เป็นอย่างดี

ด้าน ท่านสมพงศ์ มงคลวิไล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ส.ป.ป.ลาว กล่าวว่า การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้ร่วมกันโดยทุกประเทศยังสามารถทำได้ อีกมากมาย เพราะแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันอยู่ เช่น โครงสร้างพื้นฐานภายใน การคมนาคม ฯลฯ ทั้งนี้ ปัจจุบัน ส.ป.ป.ลาว ได้รับการสนับสนุนจากทั้งธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ เอดีบี ไทย จีน ในการเข้าไปพัฒนาเส้นทางคมนาคมอย่างมาก ทำให้ ส.ป.ป.ลาว สามารถพัฒนาต่อไปเพื่อให้ก้าวสู่การเป็นประเทศเชื่อมโยง หรือ Land-link ได้ในอนาคต โดยมีถนนเชื่อมตะวันออก-ตะวันตก และสามารถไปถึงเมืองคุนหมิง มณฑลหยุนหนัน จีนตอนใต้ ขณะที่ชายแดนด้านเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ส.ป.ป.ลาว ซึ่งเชื่อมกับ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ของไทย ก็เป็นอีกช่องทางเชื่อมสำคัญ โดยมีตัวเลขการค้าและการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระนั้นในภาพรวมแล้วยังจะต้องมีการพัฒนาร่วมกัน เพื่อให้เกิดมาตรฐานและไปสู่ความสำเร็จต่อไป

ด้าน นายวิรุณ คำภิโล ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย กล่าวว่าปัจจุบันจังหวัดเชียงรายในฐานะศูนย์กลางในการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน จึงให้ความสำคัญกับยุทธศาสตร์การพัฒนาการท่องเที่ยวในเขต 4 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน เพราะสามารถสร้างเครือข่ายและเส้นทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจดึงดูดนักท่อง เที่ยวได้อย่างมหาศาล เพราะมีความพร้อมในตัวเองหลายด้าน ทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่มีทั้งการเดินเรือในแม่น้ำโขง, สนามบินนานาชาติ,เส้นทางคมนาคมทางบกที่พร้อม สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 โครงการถนนสี่ช่องจราจรจาก อ.เชียงแสน ไปเชียงของ จากแม่จัน-เชียงแสน และจากแม่สายเชียงแสน เพื่อรองรับท่าเรือในแม่น้ำโขงที่บ้านสบกก อ.เชียงแสน เป็นต้น ดังนั้นการดำเนินโครงการและสร้างกระบวนการด้านการพัฒนาบุคลากร การสร้างเครือข่ายองค์ความรู้ด้านการท่องเที่ยวเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่ จะต้องทำควบคู่ไปพร้อม ๆ กัน

แหล่งข่าว: chiangmainews.co.th 1/9/2553



หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 10 กันยายน 2010, 09:03:56
(http://pics.manager.co.th/Images/553000013408101.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/553000013408102.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/553000013408103.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/553000013408105.JPEG)


เชียงราย - สนข.เผยแผนพัฒนาศักยภาพชายแดนเชียงราย เตรียมวางระบบ “ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าชายแดน” รองรับท่าเรือเชียงแสน 2-สะพานข้ามโขง 4 ขณะที่รัฐบาลไฟเขียวเปิดเส้นทางเดินรถโดยสารเชียงใหม่-เชียงราย ทะลุหลวงพระบาง และจีนตอนใต้ มุ่งอำนวยความสะดวกการค้าลุ่มน้ำโขง
       
       ในการสัมมนานานาชาติเรื่อง “โครงการกิจกรรมเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ(Thailand Competitiveness Conference 2010) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมการจัดการแห่งประเทศไทย และสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย ได้ร่วมกันจัดขึ้น ณ โรงแรมพลาซ่าแอทธินี กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งภายในการสัมมนาได้มีการหยิบเรื่องโครงการพัฒนาต่างๆ ตามชายแดนแม่น้ำโขงไทย-สปป.ลาว ด้าน จ.เชียงราย เข้าไปอภิปรายโดยเฉพาะการเชื่อมโยงระหว่างไทย-จีน ทั้งทางถนน ทางเรือแม่น้ำโขงซึ่งมีการก่อสร้างด้วยงบประมาณมหาศาลอยู่ในปัจจุบัน และทางระบบรางรถไฟซึ่งกำลังมีแผนดำเนินการในอนาคต
       
       นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธาน คสศ.หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ เปิดเผยว่า ในเวทีสัมมนาทาง สนข.ได้นำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโลจิสติกส์ของประเทศไทยระหว่างปี 2550-2554 ขึ้นมาทำการอภิปราย มุ่งเน้นแปลงยุทธศาสตร์ดังกล่าวไปสู่ภาคปฏิบัติ
       
       ในส่วนของ จ.เชียงราย ได้มีการแจ้งว่ามีโครงการใหญ่ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาการแข่งขันของประเทศหลายโครงการ เช่น โครงการท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ตรงหมู่บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน พื้นที่ 380 ไร่ 2 งาน 62 ตารางวา ซึ่งกรมเจ้าท่าได้ดำเนินการก่อสร้างด้วยวงเงิน 1,546,400,000 บาท กำหนดแล้วเสร็จ 28 ธ.ค. 2554 ปัจจุบันโครงการนี้มีถนนสนับสนุนที่ก่อสร้างใหม่หลายสาย เช่น ถนนสี่ช่องจราจรสาย อ.แม่สาย-อ.เชียงแสน ระยะทาง 38.46 กิโลเมตร ถนนสี่ช่องจราจรสาย อ.แม่จัน-อ.เชียงแสน ระยะทาง 19.2 กิโลเมตร
       
       ขณะที่ สนข.ได้รับมอบหมายให้สำรวจออกแบบรายละเอียดและการบริหารจัดการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าชายแดน โดยมีกำหนดแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย.นี้ ซึ่งภายในศูนย์ฯ จะมีการอำนวยความสะดวกด้านกิจการชายแดนจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การอำนวยความสะดวกด้านสถานที่สำหรับรถโดยสาร รถบรรทุก รถไฟ รถทั่วไป ฯลฯ
       
       สำหรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อมไทย-สปป.ลาว ด้าน อ.เชียงของ กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ซึ่งรัฐบาลไทย-จีน ได้ตกลงร่วมกันโดยไทยและจีนได้จัดการด้านการเงินสำหรับงานก่อสร้างฝ่ายละ 50% ในวงเงินค่าก่อสร้างรวม 1,624 ล้านบาท ต่อมากรมทางหลวงได้เปิดซองประกวดราคาเพื่อจัดหาเอกชนเข้าดำเนินการก่อสร้างเรียบร้อยแล้วโดยได้ “กลุ่มซีอาร์ 5-เคที จอยท์เวนเจอร์” ซึ่งเป็นการร่วมทุนกันระหว่าง “บริษัท ไซน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 5 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป” จำกัด จากประเทศจีน “บริษัท กรุงธนเอ็นยิเนียร์ จำกัด” จากประเทศไทย วงเงิน 1,431,138,545.00 บาทหรือประมาณ 43,158,581.11 เหรียญสหรัฐ
       
       เซ็นสัญญาก่อสร้างในวันที่ 14 พ.ค.2553 ด้วยระยะเวลาดำเนินการก่อสร้าง 30 เดือน คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปลายปี พ.ศ.2555 นั้น สนข.ก็มีกำหนดจัดตั้งศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าชายแดนให้แล้วเสร็จในเวลาเดียวกันด้วย
       
       ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าหรือ Border Control Facility ทาง สนข.ได้มีการประเมินมูลค่าการก่อสร้างโครงการว่า จะมีมูลค่าในระยะที่ 1 จำนวน 1,451 ล้านบาท ระยะที่ 2 จำนวน 850 ล้านบาท รวมทั้งหมด 2,301 ล้านบาท โดยจะมีโครงการสนับสนุนหลายโครงการ เช่น 1.โครงการก่อสร้างทาง 4 ช่องจราจร ทล.1020,1152 สายเชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 75 กิโลเมตร 2.โครงการก่อสร้างถนนสายแยก ทล.1020-บ.กิ่วแก้ว อ.เทิง-อ.จุน ระยะทาง 43.709 กิโลเมตร 3.โครงการก่อสร้างถนนสาย ชร.4057 แยก ทล.1020-บ.ดอนมหาวัน อ.เชียงของ ระยะทาง 8.683 กิโลเมตร และ 4.โครงการก่อสร้างถนน ชร.4014 แยก ทล.1020 บ.แก่นใต้ อ.เชียงของ ระยะทาง 8.90 กิโลเมตร
       
       นอกจากนี้ สนข.ยังได้แจ้งความคืบหน้าอื่นๆ อีกว่า ปัจจุบันรัฐบาลได้มีมติคณะรัฐมนตรีให้ส่งเสริมโครงการเสริมอื่นๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพชายแดนด้านนี้หลายโครงการ โดยเฉพาะการผลักดันร่าง พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน เพื่อการเปิดเดินรถโดยสารระหว่างประเทศ จำนวน 2 สาย ได้แก่ 1.เส้นทาง จ.เชียงใหม่-จ.เชียงราย-แขวงบ่อแก้ว-แขวงหลวงน้ำทา-แขวงอุดมไชย-แขวงหลวงพระบาง 2.เส้นทาง จ.เชียงราย (ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำโขง แห่งที่ 4)-เมืองห้วยทราย (แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว)-เมืองบ่อเต็น (แขวงหลวงน้ำทา) ชายแดน สปป.ลาว-จีนตอนใต้
       
       การโดยสารด้วยรถประจำทางดังกล่าวคงจะมีการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการไทยที่มีความพร้อม ซึ่งเริ่มแรกก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย เช่น หากเข้าไปยังแขวงที่อยู่ติดกับประเทศไทยก็ใช้เพียงแค่หนังสือผ่านแดนชั่วคราวหรือบอเดอร์พาส แต่หากข้ามแขวง ก็ต้องใช้หนังสือเดินทางระหว่างประเทศหรือพาสปอร์ต เป็นต้น ซึ่งเชื่อว่าหากมีการเปิดใช้รถโดยสารจะทำให้ภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงมีความคึกคักด้านการเดินทางมากขึ้นโดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว
       
       นายพัฒนา กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันในแผนของ สนข.ยังกำหนดให้มีการศึกษาและออกแบบเพื่อเตรียมการก่อสร้างทางรถไฟสาย อ.เด่นชัย จ.แพร่-อ.เชียงของ ระยะทาง 346 กิโลเมตร ด้วย
       
       อย่างไรก็ตาม การจะก้าวไปสู่การพัฒนาดังกล่าวให้เต็มรูปแบบนั้น ยังต้องมีกฎระเบียนอื่น ๆ ขึ้นมารองรับ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวก ซึ่งมีเนื้อหาคือ 1.เพื่อการขนส่งข้ามพรมแดน รองรับพันธกรณีในการปรับปรุงพิธีการ ณ ด่านพรมแดนให้สอดคล้องกับหลักการตามความตกลงระหว่างประเทศ
       
       2.อำนวยความสะดวกในการขนส่งผ่านด่านพรมแดน (Cross Border transport) การดำเนินพิธีการ ณ ด่านพรมแดนเกี่ยวข้องกับอำนาจของหลายหน่วยงาน ภายใต้กฎหมายหลายฉบับ
       
       3.การมีกฎหมายกลางขึ้นใหม่ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะสามารถอ้างอิงในการออกกฎหมายลำดับรองเพื่อให้มาตรการอำนวยความสะดวกเกิดผลในปฏิบัติจะเกิดผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินการมากกว่าการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเป็นรายฉบับสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการอนุวัติความตกลงระหว่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลไทยจะทำขึ้นในอนาคตได้ด้วย
       
       สำหรับสถานะของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวนั้นปัจจุบันยังรอเสนอสภาผู้แทนราษฎรอยู่ เมื่อแล้วเสร็จจะให้อำนาจกระทรวงคมนาคมประกาศพื้นที่ควบคุมร่วมกัน (Common Control Area :CCA) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้มีการดำเนินพิธีการอย่างเบ็ดเสร็จในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อให้สามารถให้บริการ ณ จุดเดียว (One Stop Service) รองรับ Single Stop Inspection ต่อไป


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000126414


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 14 กันยายน 2010, 11:26:11
เชียงราย - ผบก.เมืองพ่อขุนฯ ดึงเจ้าอาวาสวัดดัง ร่วมอบรมพัฒนาจิตใจตำรวจในสังกัด ภายใต้โครงการ 1 ในล้านความดีเทิดไท้องค์ราชัน
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า พล.ต.ต.ทรงธรรม อัลภาชน์ ผบก.ภ.เชียงราย ร่วมกับพระอาจารย์เอกชัย สิริญาโณ เจ้าอาวาสวัดใหม่ร่วมเย็น ต.ห้วยซ้อ อ.เชียงราย เปิดโครงการ 1 ในล้านความดี ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย เทิดไท้องค์ราชัน ที่ห้องประชุมดุรงควิบูลย์ ตำรวจภูธรเชียงราย เมื่อเร็ว ๆ นี้
       
       โดยมีคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานสถานีตำรวจภูธรในสังกัดตำรวจภูธร จ.เชียงราย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สถานศึกษาในสังกัดอาชีวศึกษา องค์การบริหารส่วนตำบล สำนักงานพุทธศาสนาและสำนักงานวัฒนธรรม จ.เชียงรายกว่า 100 คนเข้าร่วมโครงการ
       
       เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณรวมทั้งเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสวันพ่อแห่งชาติวันที่ 5 ธ.ค.นี้
       
       พล.ต.ต.ทรงธรรม กล่าวว่า ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ร่วมกับพระอาจารย์เอกชัย สิริญาโณ ดำเนินได้ดำกิจกรรมพัฒนาจิตข้ารากชารตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ในระหว่างเดือน มิ.ย.-ธ.ค.นี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายภายใต้กระบวนการ 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนตำรวจประพฤติดี โดยจัดอบรมคุณธรรม จริยธรรมและพัฒนาจิตใจให้กับข้าราชการตำรวจทุกสถานี ทุกระดับชั้น โดยการบรรยายธรรม การนั่งสมาธิวิปัสสนา ในโครงการสติรู้ตัว ปัญญารู้คิด พัฒนาจิต ณ วัดใหม่ร่มเย็น อบรมไปแล้ว 4 รุ่น จำนวน 260 นาย
       
       ขั้นตอนสังคมดีโดยการประชาสัมพันธ์และเชิญชวนข้าราชการตำรวจและประชาชนชาวเชียงราย บันทึกถวายสัตย์ปฏิญาณในการกระทำความดีเพื่อในหลวง อันเป็นการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงทุ่มเทพระวรกายปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆเพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวไทย
       
       ขั้นตอนเชิดชูความดี โดยการคัดเลือกข้อความบันทึกการถวายสัตย์ปฏิญาณในการทำความดีเพื่อในหลวงของข้าราชการตำรวจและประชาชน ที่เห็นว่าเป็นตัวอย่างในการสร้างสรรค์สังคม
       ขั้นตอนส่งความดี โดยการรวบรวมบันทึกการถวายสัตย์ปฏิญาณในการกระทำความดีเพื่อในหลวงของข้าราชการตำรวจและประชาชนให้ได้จำนวน 100,000 ฉบับ เพื่อทูลเกล้าถวายฯ ต่อไป
       
       พล.ต.ต.ทรงธรรม กล่าวอีกว่า ประชาชนและตำรวจสามารถไปขอรับพระราชดำรัสโครงการดังกล่าวได้ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย สถานีตำรวจทุกแห่ง วัดใหม่ศรีร่มเย็น สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สถานศึกษาในสังกัดอาชีวศึกษา เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลทุกแห่ง หรือเข้าไปดูรายละเอียดได้ในเว็บไซด์www.chiamgrai.police.go.th.



หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: nutpentor ที่ วันที่ 15 กันยายน 2010, 14:42:31
 :o :o


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 16 กันยายน 2010, 15:16:59
เชียงราย - พ่อเมืองเชียงราย ตั้งวงถกตัวแทนภาคเอกชน-สื่อ ประเมินสถานการณ์หางแดงเคลื่อนรอบใหม่ หวั่นกระทบ “ไฮซีซัน” ปีนี้ วอนเสื้อแดงอย่าก่อเหตุรุนแรงถึงขั้นปิดถนน-สร้างความวุ่นวาย ย้ำหนาวนี้เป็นช่วงเวลาทองที่จะทำให้ท่องเที่ยวเชียงรายฟื้นได้บ้าง
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่าวันนี้ (16 ก.ย.) นายสุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้จัดประชุมร่วมกับภาคเอกชนประกอบไปด้วยหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมท่องเที่ยว ชมรมภัตตาคารและร้านอาหาร สมาคมโรงแรม ฯลฯ รวมทั้งสื่อมวลชนทุกแขนงในจังหวัด เพื่อหารือพร้อมแถลงข่าวเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมทางการเมืองของกลุ่มพลังมวลชนต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีกำหนดจะเคลื่อนไหวตั้งแต่วันที่ 17 ก.ย.53 เป็นต้นไป และจะมีการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ในพื้นที่เป็นครั้งแรกในวันที่ 20 ก.ย.นี้ นับตั้งแต่มีการยุติการชุมชุมจากเหตุการณ์ที่เวทีราชประสงค์ กรุงเทพฯ เมื่อเดือนพฤษภาคม 53 เป็นต้นมา
       
       นายสุเมธ กล่าวว่า การออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มพลังมวลชนต่างๆ อีกครั้งนั้น ได้ทำให้จังหวัดเป็นห่วงว่าจะกระทบการภาคการท่องเที่ยวเนื่องจากเชียงราย มีฤดูหนาวเป็นฤดูท่องเที่ยวหรือไฮด์ซีซั่นเป็นระยะเวลาราว 4-5 เดือน ซึ่งสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างมาก หากมีเหตุกระทบกระเทือนก็จะส่งผลให้นักท่องเที่ยวไม่เข้า ดังนั้นจึงขอประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มพลังมวลชนต่างๆ ว่ากรณีจะออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองนั้นสามารถทำได้อย่างมีเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ขออย่าทำผิดกฎหมาย เช่น ปิดถนน หรือสร้างความวุ่นวาย
       
       นายสุเมธ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาทางจังหวัดก็ได้เริ่มประสานไปยังกลุ่มพลังมวลชนต่างๆ รวมทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เชียงราย พรรคเพื่อไทย บางคนไปแล้วซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าจะไม่ทำผิดกฎหมายโดยเฉพาะบรรดา ส.ส.ก็ยืนยันว่า ไม่เคยสนับสนุนแนวทางที่รุนแรงหรือสร้างความวุ่นวายอยู่แล้ว [COLOR="Red"]ดังนั้นทางจังหวัดจึงเริ่มเดินหน้าโครงการท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อรองรับฤดูหนาวโดยเฉพาะโครงการดอกไม้ทั่วเมือง หรือฟลาวเวอร์ซิตี้[/COLOR]
       
       โดยขอความร่วมมือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทุกระดับในทุกพื้นที่ ภาคเอกชน ให้ส่งเสริมการปลูกดอกไม้ทั่วเมือง รวมทั้งที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย ก็ให้มีการประดับตกแต่งด้วยดอกไม้เพื่อสร้างความพอใจให้กับผู้ไปเยือนตลอดการเดินทาง จากนั้นในฤดูหนาวก็คงจะมีเทศกาลส่งเสริมการท่องเที่ยวต่างๆ เหมือนทุกปี เช่น เทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม ประเพณีลอยกระทง ฯลฯ
       
       ด้านตัวแทนภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ได้นำเสนอสภาพปัญหา ซึ่งทุกฝ่ายให้ความเห็นตรงกันว่าเหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวอย่างมาก ดังนั้นจึงหวั่นเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ในช่วงฤดูหนาวนี้อย่างมาก เพราะรอบ 1 ปีจะมีฤดูท่องเที่ยวที่ทุกคนคาดหวังเอาไว้สูงสุดคือ ช่วงนี้เท่านั้น รวมทั้งส่วนใหญ่สนับสนุนแนวคิดการปรองดองและอยากให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั่วไปได้รับทราบว่าสถานการณ์ในเชียงราย สงบสุข แม้จะมีการเคลื่อนไหวในบางช่วงก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ด้วย
       
       สำหรับ จ.เชียงราย มีกลุ่มคนเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวหลายกลุ่ม และที่ผ่านมาเคยถูกดำเนินคดีในข้อหาปิดถนน ปิดกั้นการจราจร ละเมิด พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หมิ่นเบื้องสูง เผายางรถยนต์กลางถนน รวมไปถึงมีเหตุการณ์เผาพระบรมฉายาลักษณ์มาแล้วหลายครั้ง โดยมีผู้ถูกดำเนินคดีไปเป็นจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่เป็นแกนนำคนเสื้อแดงที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ และทั้งหมดมีกำหนดจะจัดกิจกรรมนำดอกกุหลาบไปวางที่หน้าเรือนจำกลางเชียงรายในวันที่ 17 ก.ย.ตั้งเวลา 09.00 น.เป็นต้นไป
       
       วันที่ 20 ก.ย.ช่วงเย็นจะเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ที่ลานหน้าโรงแรมแสนภูเพลส ติดถนนบรรพปราการ อ.เมืองเชียงราย โดยจะมีแกนนำจากพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงหลายคนไปร่วมเวทีด้วย


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 17 กันยายน 2010, 11:32:17
“พาณิชย์” ดันนโยบายประตูตะวันตกเปิด5 เส้นทางการค้าใหม่รุกตลาดพม่าจรดจีน คาดท่องเที่ยว การค้า ลงทุนบูม

วันนี้ (16ก.ย.) นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ไทยมีแผนเปิดเส้นทางการค้าใหม่อย่างน้อย 5 เส้นทาง เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-พม่า ตามนโยบายประตูสู่ตะวันตก เพราะในปัจจุบันไทยและพม่ามีพรมแดนติดต่อกันยาวถึง 2,400 กม. และมีจังหวัดชายแดน 10 จังหวัดของไทยที่ติดต่อกับพม่า ประกอบด้วย เชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ตาก กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และระนอง แต่เพิ่งมีด่านชายแดนถาวรเพียง 3 แห่งเท่านั้น ได้แก่ ด่านแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก จ.เชียงราย ด่านแม่สอด-เมียวดี จ.ตาก และด่านระนอง-เกาะสอง จ.ระนอง

ทั้งนี้ 5 เส้นทางใหม่ที่ผลักดันให้เกิดขึ้น ได้แก่ แม่ฮ่องสอน-เนปิดอ เพื่อเข้าสู่เมืองหลวงของพม่าด้วยระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร จากด่านห้วยต้นนุ่น อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน และเข้าสู่ตลาดตอนเหนือของพม่าและจีนตอนใต้ต่อไป แม่สอด-เมาะลำไย-ย่างกุ้ง เพื่อเข้าสู่ตลาดเมืองใหญ่ลำดับที่ 3 และลำดับที่ 1 ของพม่า และเชื่อมต่อเส้นทางเอเซียนไฮเวย์สู่อินเดีย กาญจนบุรี-ทวาย เพื่อเชื่อมโยงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวายกับจังหวัดกาญจนบุรีและ ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มบทบาทของไทยในการเป็นศูนย์กลางการขนส่งระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิค สิงขร-มะริด เพื่อเข้าสู่แหล่งวัตถุดิบด้านแร่ธาตุ สินค้าประมง และไม้ยางพารา ซึ่งอยู่ ทางตอนใต้ของพม่า รวมทั้งเชื่อมโยงการท่องเที่ยวชายทะเลระหว่างภาคใต้ของไทยกับเมืองมะริด และแม่ฮ่องสอน-ทันเว เพื่อเปิดประตูการค้าสำหรับภาคเหนือของไทยกับตลาดพม่าตอนกลาง พร้อมกับนำจังหวัดแม่ฮ่องสอนออกสู่มหาสมุทรอินเดียที่เมืองทันเว

“การผลักดันช่องทางการค้าใหม่ๆ ระหว่างกัน โดยเฉพาะการเพิ่มเส้นทางการค้าตามแนวชายแดน นอกจากช่วยลดผลกระทบปัญหาการปิดด่านชายแดนแล้ว ยังจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าของ 2 ประเทศด้วย”

นายอลงกรณ์กล่าวว่า การดำเนินนโยบายประตูตะวันตก จะเป็นการสร้างโอกาสให้กับจังหวัดชายแดนไทย-พม่า 10 จังหวัดจากภาคเหนือจรดภาคใต้ เพราะจะกลายมาเป็นประตูหน้าด่านการค้าไทยสู่ตลาดพม่า อินเดีย บังกลาเทศ และจีน และจะเพิ่มศักยภาพในฐานะจังหวัดท่องเที่ยวที่น่าลงทุนและเป็นทำเลทองของการค้าชายแดนอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันมีแผนผลักดันเส้นทางโลจิสติกส์รถไฟสายกาญจนบุรี-ทวาย เข้าสู่กรุงย่างกุ้ง เมืองเศรษฐกิจอันดับ 1 ของพม่า และเข้าสู่นครคุนหมิงของจีน ซึ่งจีนมีแผนที่จะเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟระหว่างคุนหมิง-ย่างกุ้ง แล้วเสร็จในปี 56 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้มีแผนพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจกับพม่าอีก 2 แห่ง ได้แก่ เขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด และการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2 อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อเชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษเมียวดีของพม่า ซึ่งได้สร้างเสร็จแล้ว และตั้งอยู่ตรงข้ามแม่สอด ทั้งนี้ ผังเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จะประกอบด้วย ศูนย์โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม คลังสินค้า และพื้นที่พาณิชยกรรม 5,600 ไร่ และ 2) การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย โดยไทยจะเชื่อมโยงจังหวัดกาญจนบุรีกับท่าเรือน้ำลึกทวายของพม่า ระยะทาง 150 กิโลเมตร ขณะนี้ในฝ่ายพม่าอยู่ระหว่างการก่อสร้างเส้นทางเชื่อมต่อกับไทย ทั้งนี้ โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวายจะประกอบด้วย เขตนิคมอุตสาหกรรมและกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ

ปัจจุบันพม่าเป็นประเทศคู่ค้าลำดับที่ 6 ในอาเซียน ขณะที่ไทยเป็นคู่ค้าลำดับที่ 1 ของพม่า ในปี 52 มูลค่าการค้ารวมระหว่างไทยกับพม่ามีมูลค่า ประมาณ 1.48 แสนล้านบาท เป็นการส่งออก 5.26 หมื่นล้านบาท และนำเข้า 9.59 หมื่นล้านบาท โดยไทยขาดดุลการค้าพม่า 4.33 หมื่นล้านบาท เนื่องจากประเทศไทยนำเข้าก๊าซธรรมชาติจำนวนมากจากพม่า


ที่มา : http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=310&contentId=92298


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 กันยายน 2010, 14:31:58
เชียงราย - สวนยางพาราเมืองพ่อขุนฯ ส่อทะลุล้านไร่ ขึ้นแท่นอันดับ 4 ประเทศ ทุนใหญ่ไทย-จีนจ่อตั้งโรงงานแปรรูป



รายงานข่าวจากสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) จ.เชียงราย แจ้งว่า จนถึงขณะนี้เชียงราย มียอดรวมการปลูกยางพาราทั่วทั้ง 18 อำเภอ มากถึง 347,857 ไร่ โดยพื้นที่ที่ปลูกมากที่สุดคือ อ.เชียงของ จำนวน 58,560 ไร่ รองลงมาคือ อ.เทิง จำนวน 43,258 ไร่ อ.ดอยหลวง จำนวน 40,150 ไร่ อ.เวียงเชียงรุ้ง 31,576 ไร่ อ.พญาเม็งราย 25,790 ไร่ อ.เวียงแก่น 25,427 ไร่ อ.เมือง 20,890 ไร่ อ.เวียงชัย 16,062 ไร่ อ.แม่จัน 14,970 ไร่ อ.แม่สรรวย 8,870 ไร่ อ.เวียงป่าเป้า 8,620 ไร่ อ.พาน 8,400 ไร่ อ.แม่ฟ้าหลวง 6,420 ไร่ อ.แม่ลาว 4,610 ไร่ อ.ขุนตาล 4,140 ไร่ อ.ป่าแดด 2,530 ไร่ และ อ.แม่สาย 494 ไร่ เป็นมีต้นยางที่อายุเกิน 6 ปีและมีการกรีดน้ำยางไปแล้วประมาณ 10%

ส่วนโครงการขยายพื้นที่ปลูกอีก 8 แสนไร่นั้น ปรากฏว่าได้ทำให้แนวโน้มสวนยางพาราในพื้นที่เชียงราย เพิ่มมากขึ้นอีก เนื่องจากมีผู้เสนอขอเข้าร่วมโครงการไปยัง สกย.เชียงราย จำนวนกว่า 86,000 ราย รวมเนื้อที่ปลูกกว่า 1 ล้านไร่ ขณะที่แนวโน้มการจัดสรรพื้นที่ปลูก ที่จะเน้นหนักภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อคำนวณจากอัตราเฉลี่ยทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนืออาจจะได้โควตาเฉลี่ยจังหวัดละเพียงประมาณ 10,000 ไร่

นายวิทยา ชุมวณิชย์ ผู้อำนวยการ สกย.เชียงราย กล่าวว่า ต้องถือว่าพื้นที่ภาคเหนือโดยเฉพาะเชียงรายนั้นพึ่งจะเริ่มต้นทำการปลูกยางพาราโดยนับตั้งแต่มีโครงการยางล้านไร่สมัยรัฐบาลในอดีตเป็นต้นมาก็พบว่าปลูกกันไม่เกิน 7 ปี และแม้จะมีเอกชนปลูกนอกโครงการบ้างก็ยังมีอยู่เพียงไม่กี่ราย ดังนั้นการที่มีจำนวนสวนยางพาราเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแบบก้าวกระโดด จึงมีปัญหาเรื่องความชำนาญของเกษตรกร เพราะเจ้าหน้าที่ สกย.มีอยู่จำนวนจำกัดจึงต้องแสวงหาความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อไม่ให้สายเกินไป เพราะบางปัญหาถือเป็นเรื่องใหญ่และน่าเสียดายอย่างมาก

ตัวอย่างเช่น การกรีดน้ำยางต้องทำในต้นที่มีลำต้นกว้างไม่น้อยกว่า 50 ซ.ม.และการกรีดหน้ายางต้องทำให้ถูกต้องไม่เสียหน้ายางจะได้ผลักกันกรีดด้านละ 3 ปีสลับกันไปมาจนกว่าจะหมดอายุต้นยางในอีก 20 ปีข้างหน้า ฯลฯ แต่ปัญหาที่พบในปัจจุบันคือเมื่อเกษตรกรเห็นราคาน้ำยางและยางแผ่นขึ้นสูงก็รีบกรีดทำให้ไม่ได้น้ำยาง หรือกรีดยางไม่ถูกต้องทำให้หน้ายางตายไม่สามารถกรีดซ้ำได้อีกจนเสี่ยงต่อการต้องตัดขายลำต้นก่อนเวลาอันควรในที่สุด เป็นต้น ดังนั้น สกย.จึงได้ประสานไปหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อให้จัดทำโครงการฝึกอบรมการเกษตรกรเป็นระยะเวลา 7 วันโดยทาง สกย.พร้อมจะจัดส่งเจ้าหน้าที่และเครื่องมืออุปกรณ์ไปสนับสนุน เพราะจำนวนประชากรมีมากและกระจายไปทั่วพื้นที่คงต้องอาศัยหน่วยงานต่างๆ ด้วย
นายวิทยา บอกว่า คาดว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เชียงราย จะมีการปลูกยางพารามากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศต่อจาก สงขลา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง ฯลฯ ส่วนความกังวลเรื่องตลาดนั้นไม่น่าเป็นห่วงเพราะจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าในปัจจุบันยางพาราของไทยส่วนใหญ่เน้นการส่งออก จีนสูงถึง 39% อินเดีย 17% ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์และการเจริญช่วงต้นของเศรษฐกิจคาดว่าตัวเลขของอินเดียคงจะไปถึงอย่างน้อย 39% เหมือนจีนและอัตราเติบโตยังต่อเนื่องจนไทยเราผลิตไม่ทันทำให้เหลือใช้ในประเทศแค่ 4%

ขณะเดียวกันเชียงราย ยังมีขีดความสามารถจะส่งออกไปยังจีนตอนใต้ผ่านถนน R3A อ.เชียงของ-ห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว และแขวงหลวงน้ำทา สปป.ลาว-มณฑลหยุนหนัน จีนตอนใต้ ด้วยระยะทางเพียงแค่ 250 กิโลเมตร โดยปัจจุบัน สกย.กำลังผลักดันให้มีการตั้งสำนักงานเพิ่มเติมที่ด่านเชียงของ เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการส่งออกยางพาราไปยังจีนตอนใต้แล้วด้วย

"ปัจจุบัน สกย.ได้เตรียมตัวในหลายๆ ด้านเพื่อรองรับความเติบโตดังกล่าว โดยในพื้นที่เชียงรายมีการรวบรวมกลุ่มเกษตรกรได้แล้วจำนวน 42 กลุ่มเป็นสหกรณ์สวนยางพาราจำนวน 2 แห่ง และกลุ่มพัฒนาสวนยางพาราจำนวน 40 แห่ง เพื่อเป็นเครือข่ายประสานข้อมูลกันและจัดตั้งเป็นตลาดประมูลยางพาราเพื่อให้เอกชนที่รับซื้อได้เข้าไปซื้อผลผลิตจากเกษตรกรทั้งหมดในราคายุติธรรม และทุกฝ่ายสามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยราคาที่ได้เป็นไปตามการอิงกับราคากลางตามหมายเลขสายด่วน 1174 บวกกับค่าต้นทุนของพ่อค้าที่เขาต้องเดินทางไปรับซื้อไกลและขนไปรมควันยังจังหวัดอื่นเพราะในปัจจุบันเชียงรายยังไม่มีโรงงานรมควันและแปรรูป แต่เชื่อว่าอีกไม่กี่ปีต้องมีแน่นอนเพราะมีทั้งแหล่งน้ำยางขนาดใหญ่และจุดส่งออกที่สำคัญ" นายวิทยา กล่าว

รายงานข่าวแจ้งอีกว่าเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีเอกชนแปรรูปยางพารารายใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของประเทศจีน เดินทางไปปรึกษาที่สำนักงาน สกย.เชียงราย เพื่อสอบถามข้อมูลการจะเข้าไปลงทุนตั้งโรงงานแปรรูปยางโดยระบุว่า กำลังตัดสินใจว่าจะไปตั้งโรงงาน ณ จุดใดระหว่างในประเทศเวียดนามหรือที่เชียงราย และหลังจากได้ข้อมูลอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องดังกล่าว รวมทั้งได้รับทราบว่าไม่ได้เป็นเอกชนรายเดียวที่สนใจเข้าไปตั้งโรงงานโดยก่อนหน้านี้มีเอกชนไทยรายใหญ่หลายรายเข้าไปประกอบกิจการทั้งกว้านซื้อที่ดิน ปลูกยางพารา และเตรียมตั้งโรงงาน เช่น บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) บริษัทไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) องค์การสวนยาง บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กลุ่มเบียร์สิงห์ กลุ่มน้ำยางไทย ฯลฯ ทำให้เอกชนจีนนำข้อมูลทั้งหมดกลับไปพิจารณาเพื่อการลงทุนในอนาคตต่อไป

อนึ่งเมื่อปี 2550 ที่ผ่านมายางแผ่นรมควันถูกส่งออกผ่านท่าเรือแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงแสน ไปยังจีนตอนใต้ 21,327 ตัน มูลค่า 1,361.05 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าส่งออกมากเป็นอันดับ 1 มากกว่าลำไยอบแห้ง น้ำมันปาล์ม เส้นด้ายยางยืด ฯลฯ อย่างไรก็ตามในช่วงหลังการส่งออกน้อยลงเนื่องจากหันไปส่งออกทางเรือทะเลได้สะดวกจึงทำให้เมื่อปี 2552 ที่ผ่านมา มีการส่งออก 4,594 ตัน มูลค่า 244.14 ล้านบาท และหากสะพานข้ามแม่น้ำโขงแล้วเสร็จประกอบกับมีการเปิดใช้ถนน R3A รวมทั้งข้อตกลงขนส่งทางบกอย่างเป็นทางการจะทำให้ผู้ประกอบการหันไปส่งออกทางถนน R3A สู่จีนตอนใต้มากขึ้น ซึ่งปีกลายที่ผ่านมาเริ่มมีการทดลองส่งออกผ่านด่านศุลกากรเชียงของและนำลงเรือแพขนานยนต์ข้ามไปยังฝั่ง สปป.ลาว แล้วจำนวน 748 ตัน มูลค่า 35.266 ล้านบาท

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9530000131252


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 กันยายน 2010, 11:15:29
ททท.เชียงรุ่ง ยกทีมโปรโมททัวร์ เล็งเปิดศูนย์ฯเพิ่มที่เชียงใหม่-กรุงเทพฯหนุน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 กันยายน 2553 19:29 น.


เชียงราย - การท่องเที่ยวสิบสองปันนา ยกทีมโปรโมทดึงคนไทยเข้าจีนตอนใต้ ฟื้นท่องเที่ยวเชียงราย-เชียงรุ่ง หลังการเมืองสงบหวัง ชี้หลัง R3a เสร็จมีคนเดินทางผ่านเพิ่มกว่า 50% เตรียมเปิดศูนย์กระจายสินค้าฯเชียงใหม่-กรุงเทพฯหนุนอีกทาง

รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า สำนักงานการท่องเที่ยวสิบสองปันนา มณฑลหยุนหนัน ของจีน นำโดยนายเผิง โบ รองผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวสิบสองปันนา พร้อมคณะตัวแทนรัฐ-เอกชนด้านการท่องเที่ยว เดินทางมาโปรโมทแหล่งท่องเที่ยว พร้อมเปิดเวทีแลกเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวร่วมกับจังหวัดเชียงราย ที่มีนายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย นำภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับและร่วมประชุม ที่ห้องประชุมโรงแรมริมกกรีสอร์ท อ.เมืองเชียงราย สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

การท่องเที่ยวสิบสองปันนา ได้นำคณะนักแสดงเต้นรำไปจัดแสดงบนเวที สลับกับการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในสิบสองปันนา รวมทั้งจับสลากให้เข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ฟรี

นายเผิง โบ กล่าวว่า ฤดูใบไม้ร่วงถือเป็นฤดูเก็บเกี่ยวของชาวสิบสองปันนา จึงถือโอกาสออกมาประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวว่าในช่วง 20 ปีมานี้ สิบสองปันนาได้พยายามพัฒนาการท่องเที่ยวจนประสบความสำเร็จและกลายเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญของเมืองแล้ว ทำให้ในปัจจุบันมีโรงแรมอยู่จำนวน 42 แห่ง แหล่งท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อน 2 แห่ง สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ 17 แห่ง เอกชนนำเที่ยว 22 ราย รถทัวร์จำนวน 480 คัน มัคคุเทศก์ 1,100 คน และมีผู้ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวด้านต่างๆ เช่น การเที่ยวป่า ประเพณีวัฒนธรรม เรือแม่น้ำโขง ฯลฯ รวมกันกว่า 30,000 คน

นายเผิง โบ กล่าวอีกว่า ในปี 2552 ที่ผ่านมาได้มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือนสิบสองปันนารวมจำนวนกว่า 7.32 ล้านคน เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน 17.2% โดยเป็นชาวต่างชาติประมาณ 150,000 คน และปัจจุบันพบว่าการท่องเที่ยวบนถนนอาร์สามเอจาก อ.เชียงของ ประเทศไทย ผ่านเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ระยะทาง 248 กิโลเมตร ซึ่งทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้บรรจุเอาไว้ในเส้นทางท่องเที่ยวก็กำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติที่ไปเยือนอย่างมาก โดยในปี 2552 พบว่ามีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางผ่านถนนอาร์สามเอไปยังสิบสองปันนารวมกันประมาณ 85,697 คน เพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึง 55.2%

สำหรับในปี 2553 นี้ นับตั้งแต่เดือน ม.ค.-ส.ค.นี้ ก็พบว่ามีคนไทยเดินทางผ่านอาร์สามเอไปเยือนสิบสองปันนาแล้วกว่า 60,095 คน เชื่อว่าเมื่อถึงสิ้นปีจะมีจำนวนมากขึ้นไม่น้อยกว่าปีก่อนๆ เพราะทุกอย่างสะดวกมากขึ้น โดยได้มีการจัดตั้งสำนักงานเป็นศูนย์การท่องเที่ยวตามเมืองที่สำคัญระหว่างกันทั้งที่สิบสองปันนา เมืองห้วยทราย สปป.ลาว และที่เชียงราย และ 20 ก.ย.นี้จะมีการไปเปิดสำนักงานที่เชียงใหม่ เพิ่มขึ้นอีกและสิ้นปีมีกำหนดไปเปิดที่กรุงเทพฯ ต่อไป

ด้านนายพงษ์ธร ชยาตุลชาต ประธานบริษัทหย่าไทร์เอเชี่ยนทัวร์ จำกัด ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์กระจายสินค้าและท่องเที่ยวสิบสองปันนาประจำ จ.เชียงราย เลขที่ 194 หมู่ 2 ต.รอบเวียง อ.เมืองเชียงราย กล่าวว่า ศูนย์ฯ ก่อตั้งมาตั้งแต่เดือน ส.ค.2552 โดยการสนับสนุนของสำนักงานการท่องเที่ยวสิบสองปันนา บริษัทเทียนเฉินกรุ๊ปของจีนและบริษัทหย่าไทร์เอเชี่ยนทัวร์ จำกัด ปัจจุบันให้บริการด้านข้อมูลการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้คือไทย จีน ลาว พม่า เวียดนาม กัมพูชา และมีการจัดตั้งทัวร์ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งกำลังพัฒนาเป็นศูนย์แลกเปลี่ยนการเรียนรู้ระหว่างนักศึกษาไทย-จีน ตั้งแต่เดือน ต.ค.นี้เป็นต้นไปด้วย

นายพงษ์ธร บอกว่า ตั้งแต่มีถนนอาร์สามได้ ทำให้นักท่องเที่ยวจากประเทศไทยใช้เดินทางไปยังประเทศต่างๆ บนรายทางกว่า 85,000 คน และได้ใช้บริการผ่านศูนย์ฯ ของเราประมาณ 1,500 คน ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางลงมาเยือนประเทศไทยมีจำนวนน้อยกว่าโดยใช้บริการผ่านศูนย์จำนวน 258 คน และเมื่อตรวจสอบจากเอกชนทัวร์ต่างๆ พบว่ามีรวมกันประมาณ 5,000 คนเท่านั้น ดังนั้นในระยะยาวจึงอยากให้ความร่วมมือด้านต่างๆ จะทำให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาเยือนเชียงรายมากขึ้น

นับเป็นนิมิตรหมายที่ดีที่ได้รับแจ้ง จากสำนักงานการท่องเที่ยวสิบสองปันนาว่าในเดือน ต.ค.2553-เม.ย.2554 นี้ ทางมณฑลหยุนหนัน มีแผนจะนำนักท่องเที่ยวชาวจีนมาเยือนเชียงรายประมาณ 10,000 คน โดยได้มีการจัดกิจกรรมฟื้นฟูประเพณีและวัฒนธรรมด้านการท่องเที่ยวใน 5 เมืองใหญ่ของมณฑล และเมืองไหนชนะ ก็จะได้โควตาพาคนมาเที่ยวประมาณ 2,500 คน เฉพาะสิบสองปันนาก็จะมาเยือนประมาณ 2,500-2,800 คน

รายงานข่าวจากแจ้งอีกว่าการเดินทางมาส่งเสริมการท่องเที่ยวของจีนตอนใต้ดังกล่าวนับเป็นครั้งแรกที่ จ.เชียงราย ได้ให้การต้อนรับ นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองในประเทศไทยช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.ที่ผ่านมา จนรัฐบาลจีนเตือนคนจีนไม่ให้เดินทางมาเยือนประเทศไทยในช่วงดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้บรรยากาศการเดินทางลงมาเยือนของชาวจีนก็ยังไม่คึกคักมากนัก โดยผู้ประกอบการระบุว่าส่วนใหญ่จะมาด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำจากคุนหมิง เมืองเอกของมณฑลหยุนหนัน หรือเชียงรุ้งเมืองเอกของเขตปกครองตนเองสิบสองปันนาไปลงที่ จ.เชียงใหม่ มากกว่า เพราะเป็นช่วงต้นของการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทยของจีนตอนใต้อีกครั้งนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความสงบในไทย รวมทั้งตามปกติคนจีนจะขอหนังสือผ่านแดนระหว่างประเทศหรือพาสปอร์ตได้ยากด้วย

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9530000131544


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 กันยายน 2010, 12:12:29
 วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4246  ประชาชาติธุรกิจ


7ยักษ์ยึดหัวหาดเชียงรายปลูกยาง "ไทยเบฟ-ไทยฮั้ว-ไทยรับเบอร์-เบียร์สิงห์"ปักธง




 
เอกชนยักษ์ใหญ่ไทย-จีน พาเหรดยึด พื้นที่เชียงรายปลูกยางพารา และตั้งโรงงานแปรรูปยางแผ่นส่งออก ผู้อำนวยการ สกย.เชียงรายเผยดีมานด์จากตลาดจีน อินเดีย โตไม่หยุด ทำให้ไทยผลิตและ ส่งออกยางไม่ทันความต้องการ ขณะที่เกษตรกรแห่เข้าร่วมโครงการปลูกยางเฉียดล้านไร่ ด้านราคากล้ายางพุ่งสูงต้นละ 35 บาท ขาดตลาดอย่างหนัก


นายวิทยา ชุมวณิชย์ ผู้อำนวยการ สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) จ.เชียงราย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ความต้องการยางพาราของต่างประเทศเพิ่มขึ้นไม่หยุด จนประเทศไทยผลิตและส่งออกไม่ทัน ปัจจุบันผลผลิตที่ได้ใช้ในประเทศแค่ 4% และส่งไปจีนมากที่สุด 39% อินเดีย 17% โดยเฉพาะตลาดอินเดีย ในอนาคตคาดว่าอย่างน้อยก็ต้องโตเท่ากับจีน ด้วยเหตุนี้ในปัจจุบันจึงมีเอกชนที่เกี่ยวข้องกับกิจการยางพารารายใหญ่ของประเทศไทย 6-7 ราย ทยอยไปลงทุนปลูกยาง และเตรียมสร้างโรงงานแปรรูปยางแผ่นและยางแผ่นรมควันใน จ.เชียงราย เช่น บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์ คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), องค์การสวนยาง, บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), กลุ่มเบียร์สิงห์, กลุ่มน้ำยางไทย เป็นต้น

ล่าสุด ยังมีเอกชนด้านยางพารารายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศจีนเข้าไปหาข้อมูลจาก สกย.เชียงราย โดยสนใจที่จะลงทุนโรงงานแปรรูปยางพาราครบวงจรที่ จ.เชียงราย เพื่อนำผลผลิตส่งกลับไปยังประเทศจีน ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ซึ่งกำลังก่อสร้างที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย เชื่อมกับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว แล้วเสร็จในปี 2555 โดยมีระยะทางไกลจากจีนตอนใต้ 245 กิโลเมตรเท่านั้น

นายวิทยาเปิดเผยว่า ในปัจจุบัน จ.เชียงราย มีเกษตรกรปลูกยางพาราประมาณ 15,000 ราย พื้นที่ปลูกกว่า 347,857 ไร่ สามารถกรีดน้ำยางมาจำหน่ายและแปรรูปเป็นยางแผ่นได้แล้วบางส่วน และภายในปี 2553 คาดว่าจะมีพื้นที่กรีดได้ 10% ของพื้นที่ทั้งหมด จากนั้นในปีถัด ๆ ไปก็จะทยอยกรีดได้ตามอายุของต้นยางต่อไป

ขณะเดียวกันความต้องการปลูกยางพาราก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากรัฐบาลมีโครงการขยายพื้นที่ปลูกออกไปอีก 8 แสนไร่ทั่วประเทศ โดยเน้นไปที่ภาคเหนือและภาคอีสานด้วยงบประมาณ 8,000 ล้านบาท ซึ่งมีเกษตรกรรายใหม่ใน จ.เชียงราย ขอเข้าร่วมโครงการ 86,000 ราย และจากการสำรวจพื้นที่ว่างที่สามารถนำมาปลูกยางมีกว่า 1 ล้านไร่ ซึ่งถือว่ามากเกินกว่าโควตาที่จะได้รับจากโครงการขยายพื้นที่ปลูก จึงขอเพิ่มโควตาปลูกสำหรับ จ.เชียงราย ไปแล้ว"สาเหตุที่มีความต้องการปลูกสูง เพราะราคายางสูงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่โครงการสนับสนุนทั้งเงินทุน ความรู้ การตลาด ฯลฯ ตลอดเวลา 5 ปีครึ่ง ซึ่งมากกว่าโครงการเดิมที่ให้เวลา 2 ปีครึ่ง เชียงรายเหมาะสมกับพืชยางพารามากเพราะดินอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะตามภูเขาที่มีหน้าดินลึก และสามารถกรีดน้ำยางได้นานปีละกว่า 150 วัน ซึ่งมากกว่าภาคใต้ที่มีฝนตกมาก ทำให้กรีดได้ปีละ 130-140 วัน ส่วนน้ำยางก็มีคุณภาพ คาดว่าในอีก 6-7 ปีข้างหน้า เชียงรายจะมีพื้นที่ปลูกยางมากเป็นอันดับ 3-4 ของประเทศ รองจากสงขลา, นครศรีธรรมราช, สุราษฎร์ธานี หรือตรัง"

นายวิทยากล่าวอีกว่า ปัจจุบันกล้ายางมีราคาสูงต้นละกว่า 35 บาท เพราะความต้องการสูงมาก และมีปัญหาขาดตลาดอย่างหนัก สกย.เชียงรายได้จัดทำโครงการสาธิตแปลงกิ่งตายางในโรงเรียน 20 แห่ง เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถเพาะและติดตายางได้เองในอนาคต รวมทั้งรวมกลุ่มเกษตรกรได้แล้ว 42 กลุ่ม แบ่งเป็นสหกรณ์ 2 แห่ง และกลุ่มพัฒนาชาวสวน สกย.อีก 40 แห่ง เพื่อเป็นเครือข่ายผลิตยางแผ่นให้มีคุณภาพดี และ สกย.ได้ช่วยประสานให้เอกชนรับซื้อตามคุณภาพยาง ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่พ่อค้าจะเข้าไปรับซื้อและกำหนดราคายางแผ่นตั้งแต่คุณภาพชั้น 1-3 ในราคาเดียวกันทั้งหมด

หน้า 24
 
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02phu04200953&sectionid=0211&day=2010-09-20


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 กันยายน 2010, 11:24:42
รถไฟเด่นชัย-เชียงราย แนวพระราชดำริ ร.5
วันอังคาร ที่ 21 กันยายน 2553 เวลา 0:00 น





เป็นเรื่องที่พูดกันมานานหลายรัฐบาลแล้วสำหรับการก่อสร้างเส้นทาง “รถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย” ซึ่งดูเหมือนจะเข้าทำนองปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งให้ชาวเชียงรายและประชาชนคนเมืองเหนือในซีกตะวันออกของหัวขวานทองชะเง้อชะแง้แลหามาแล้วนานนับหลายสิบปี หากพลิกปูมความเป็นปลื้มปีติของคนเชียงรายกับเส้นทางรถไฟ พาหนะราคาถูกสำหรับคนจนแล้ว จะพบว่า แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.5 ทรงมีพระบรมราชโองการให้มีการเซอร์เวย์เส้นทางรถไฟ เชียงใหม่-เชียง ราย-เชียงแสน มาตั้งแต่ปี 2430 แล้ว โดยมีเหตุผลที่ ร่วมสมัยที่สุดคือ “...เพราะทางรถไฟอาจจะชักย่นหนทางหัวเมืองซึ่งตั้งอยู่ไกล ไปมาถึงกันยาก ให้กลับเป็นหัวเมืองใกล้ ไปมาถึงกันได้สะดวกเร็วพลัน......” เป็นประกาศแต่พระที่นั่ง จักรีมหาปราสาท ณ วันที่ 6 เดือน 5 ขึ้น 4 ค่ำ ปีชวด ยังเป็นนพศก จุลศักราช 1249 เป็นวันที่ 7066 ฤาปีที่ 20 รัชกาลปัจจุบันนี้...

กระทั่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 นับถึงปัจจุบันเป็นเวลา 100 ปี พอดี ซึ่งก็น่าจะเป็นมหามงคลยิ่ง หากรัฐบาลนี้จะได้สาน ต่อซึ่งพระราชดำริของ ร.5 กรณีเส้นทางรถไฟเพื่อประ ชาชนชาวเชียงราย โดยการเดินหน้าสานฝันเส้นทางรถไฟ “เด่นชัย-เชียงราย” ให้เป็นจริง และสำเร็จสมบูรณ์ “ย่นระยะทาง” “ประหยัดค่า ขนส่ง” สำหรับประชาชนใช้บริการเดิน ทางไป-มา พี่น้องเกษตร กรขนส่งผลผลิตทางการเกษตรและสินค้า อุปโภคบริโภคทั่วไปในสนนราคาขนส่งที่โดนใจไม่เดือดร้อน

เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทยพร้อมคณะวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ เดินทางลงสู่พื้นที่เชียงราย ในการจัดทำ “ห้องสมุดรถไฟ” ขึ้นภายในอาณาบริเวณด้านหน้าลาน อนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สถานที่ตั้งอาคารศาลา กลางหลังแรก ซึ่งเป็นหนึ่ง ในโครงการหอประวัติ เมืองเชียงราย โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ตุลาคม 2553 ซึ่งนางรัตนา จงสุทธนามณี นายก อบจ.เชียง ราย กล่าวว่า รถไฟห้องสมุดจะเป็นแหล่งความรู้ให้แก่ประชาชนทั่วไปทุกเพศ ทุกวัยได้สืบค้นข้อมูลประวัติเมืองเชียงราย วิถีชีวิต เผ่าพันธุ์ ความเชื่อประเพณีและวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ ของบรรพบุรุษชาวเชียงรายจนถึงยุคสมัยปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม คนเชียงรายที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจครัวเรือนและโดยมวลรวมจากผลผลิตทางด้านเกษตรกรรม การปลูกข้าว ทำไร่ทำนา ทำยางพารา ในขณะที่พาหนะขนส่งเพื่อการค้าขายหรือการเดินทางด้วยพาหนะอื่นไปยังเส้นทางต่าง ๆ ในปัจจุบันจะมีอัตราค่าบริการค่อนข้างสูง ซึ่งนั่นก็หมายถึงภาวะค่าใช้จ่ายที่ต้องลงทุนมากขึ้น “รถไฟคนจน” จึงเป็นความหวังหนึ่งของชาวเชียงราย

อย่างไรก็ตามหากพิจารณาในมุม มองของผู้ประกอบการ นายประยงค์ เลาหะวีร์ วัย 71 ปี เจ้าของรถยนต์บรรทุก 10 ล้อ ป.รุ่งโรจน์ขนส่ง รับ จ้างบรรทุกสินค้าขึ้น-ล่อง ระหว่าง กทม.-เชียงราย-กทม. มายาวนานและมีประสบ การณ์มากว่า 40 ปี การมีเส้นทางรถไฟจาก อ.เด่นชัย จ. แพร่ ผ่าน จ.พะเยา มา จ.เชียงราย นั้น ตนมีความเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี ประชาชนจะ ได้มีทางเลือกในการขนส่งสินค้า เรื่องราคาค่าโดยสารจะไปกระทบ ต่อรถเมล์-รถทัวร์ปรับอากาศที่วิ่งขึ้น-ล่อง กทม.-เชียงรายนั้น เชื่อมั่นว่าจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากว่า ราคาค่าตั๋วโดยสารรถไฟชั้น 3 จะถูกกว่ารถยนต์ แต่การเดินทางจะใช้เวลามากกว่า ส่วนราคาที่ ชั้น 1 และ ชั้น 2 เมื่อรวมค่าธรรมเนียม ต่าง ๆ แล้ว เช่น ค่าธรรมเนียมรถด่วน รถเร็ว รถปรับอากาศ ตู้นอน หากรวมสิ่งเหล่านี้แล้ว ค่าธรรมเนียมบวกค่าโดยสาร จะมีราคาแพงกว่าทางรถยนต์แน่

ส่วนในเรื่องที่ว่าหากมีเส้นทางรถไฟมาถึง จ.เชียงราย จะกระทบกระเทือนต่อ รถยนต์บรรทุก 10 ล้อ นั้น ตนยืนยันและเชื่อมั่นว่า ไม่เกิดขึ้นแน่ เนื่องจากว่าการขนส่งสินค้าทางรถไฟนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ไม่นิยม เพราะจะต้องเสียเวลาในการจองตู้บรรทุกสินค้า และไม่มีกำหนดเวลาว่าจะได้เมื่อไหร่ จึงไม่เป็นที่นิยม เว้นแต่ว่าหากเป็นสินค้าที่มีน้ำหนักมาก-ใหญ่โต ไม่เร่งด่วน รอเวลาได้ อีกทั้งส่งไปทางรถยนต์ ไม่สะดวก จึงจะต้องขนส่งไปทางรถ ไฟ ส่วนการบรร ทุกสินค้าจากเมืองสิบสองปันนา (เชียงรุ้ง) ประเทศจีนมาไทย นั้น ปัจจุบันมาได้ทางรถยนต์ ผ่าน สปป.ลาว และมาส่งสินค้าที่ อ.เชียงของ อีกทางหนึ่ง ก็ล่องเรือมาตามลำน้ำโขง ผ่านพม่า ลาว มาขึ้นที่ท่าเรือเชียงแสน ยังไม่มีเส้นทางรถไฟจากจีนมาเชื่อมที่ไทย หากเส้นทางรถไฟดังกล่าวเกิดขึ้น จะทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าด้วย

ด้าน นางสุพัตรา นามวัฒน์ วัย 50 กว่าปี ชาวเชียงราย กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดมา สมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปี 2500 คุณพ่อและชาวเชียงราย พูดถึงและอยากได้เส้นทางรถไฟต่อจาก อ.เด่นชัย เพราะเชื่อว่าการเดินทางจะมีความปลอดภัย และค่าโดย สารจะถูก แต่การเรียกร้องก็ไม่เห็นจะสำเร็จบรรลุผล ตนเชื่อว่าชาวเชียงรายทุกคนยังอยากได้นั่งรถไฟสายนี้ และจะรอคอยต่อไป

“รถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย” รถไฟแก้จนเป็นรูปแบบการขนส่งราคาถูกที่มีประโยชน์และสร้างความประหยัดทางด้านการเดินทางให้แก่ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศที่จะเดินทางมาเยือนเชียงราย โดยเฉพาะชาวบ้านระดับล่าง ที่มีเศรษฐกิจครัวเรือนไม่มากมายนักจะได้ยิ้มแย้มแจ่มใสอบอุ่น จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายวิสัยทัศน์พัฒนาของรัฐบาลชุดปัจจุบันเป็นอย่างมากว่า จะเล็งเห็นประโยชน์ที่ประชาชนคนยากจนพึงจะได้รับบริการจากรัฐมากน้อยเพียงใด?.

กริช มากกุญชร

http://www.dailynews.co.th/newstartp...ontentID=92980


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: miyoko ที่ วันที่ 21 กันยายน 2010, 13:04:14
เชียงรายเราจะเจริญแล้ว ไฮโซที่สุด เป็นที่หนึ่ง อิอิ จากสาวเจียงฮายแต้ๆ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 กันยายน 2010, 22:37:39
สืบสานประเพณีเปิดตำนานตานโคมแห่งล้านนา
   
 21 กย. 2553 16:55 น.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ 21 ก.ย.ประชาชนและนักเรียนโรงเรียนดอนศิลาผางามวิทยาคม ต.ดอนศิลาผางาม อ.เวียงชัย จ.เชียงราย ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมจัดงาน “เปิดตำนานตานโคมแห่งล้านนา ส่องสว่างทั่วฟ้าภูผางาม ครั้งที่ 2” เพื่อกระตุ้นให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่ได้ตระหนักระลึกย้อนหลังถึง “เมืองสุวรรณโคมคำ” และรู้ถึงประวัติโคมต่างๆ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ ศิลปะล้านนาให้คงอยู่กับสังคมปัจจุบัน และอนาคต

นายประเวศ เวชชะ ผู้อำนวยการโรงเรียนดอนศิลาผางามวิทยาคม กล่าวว่า งานตำนานตานโคมแห่งล้านนา ส่องสว่างทั่วฟ้าภูผางาม เป็นงานประเพณีที่สืบทอดกันมาเป็นที่ 2 เพื่อให้เป็นการกระตุ้นให้นักเรียน เยาวชน และประชาชนในพื้นที่ได้ตระหนักและระลึกย้อนหลังถึงเมืองสุวรรณโคมคำ ชื่อเมืองเชียงรายในอดีต พร้อมทั้งเป็นการอนุรักษ์ประเพณีชาวล้านนาที่ใช้โคมในจัดกิจกรรมต่างๆ ให้เกิดความสว่างไสว ให้คงอยู่กับสังคมที่มีการะเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งได้ร่วมกันจุดเทียนมงคลและโคมล้านนา เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ให้มีสุขภาพที่แข็งแรงเป็นแสงไฟนำทางให้กับชาวไทยตลอดไป

ด้าน นางรัตนา จงสุทธนามณี นายกอบจ.เชียงราย เปิดเผยว่า อบจ.ได้ทำการสนับสนุนให้เกิดความสามัคคีในชุมชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกิจกรรมดังกล่าว ก็ยังเป็นการสร้างการฟื้นฟูและสืบสานประเพณีวัฒนธรรมในท้องถิ่นควบคู่กันไปด้วย และยังทำให้เยาวชนได้ร่วมกันสืบสานวัฒนธรรมล้านนาให้คงอยู่ อบจ. พร้อมที่จะให้การสนับสนุนให้เกิดความสามัคคี เพื่อก้าวไปสู่แสงสว่าง ต่อไป 
 
 
 


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 กันยายน 2010, 10:59:26
สนข.หนุนศูนย์กระจายสินค้าชายแดนเชียงรายเตรียมรับสะพานโขง 4

(http://www.uppicth.com/uploads/d687d19.jpg)



นักธุรกิจในภาคเหนือหนุน สนข.เร่งแจ้งเกิดศูนย์กระจายสินค้าชายแดนครบวงจร เชิงสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 มูลค่าการลงทุนกว่า 2,300 ล้านบาท พร้อมเตรียมเปิดเดินรถโดยสารระหว่างประเทศ 2 สาย "เชียงใหม่-หลวงพระบาง" และเชียงราย-เมืองบ่อเต็น ชายแดนลาว-จีน ขณะที่สินค้าจีนทะลักลงมาอย่างหนัก

นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ กล่าวว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้นำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโลจิสติกส์ของประเทศไทยระหว่างปี 2550-2554 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ จ.เชียงรายนั้น สนข.ได้รับมอบหมายให้สำรวจออกแบบรายละเอียด และการบริหารจัดการศูนย์กระจายสินค้าชายแดนครบวงจร (Border Control Facility) บริเวณเชิงสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อมไทย-สปป.ลาว ที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย เชื่อมกับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว

การสำรวจออกแบบโครงการดังกล่าว มีกำหนดแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย.นี้ ซึ่งภายในศูนย์จะมีการอำนวยความสะดวกด้านกิจการชายแดนจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บริการ ณ จุดเดียว (One Stop Service) รวมทั้งการอำนวยความสะดวกด้านสถานที่รองรับรถโดยสาร รถบรรทุก รถไฟ รถทั่วไปด้วย

นอกจากนี้ จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการขนถ่ายสินค้าในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน (ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้) รวมทั้งเตรียมการเปิดเดินรถโดยสารระหว่างประเทศ 2 สาย คือเส้นทางจากเชียงใหม่-เชียงราย-แขวงบ่อแก้ว-แขวงหลวงน้ำทา-แขวงอุดมไชย-แขวงหลวงพระบาง สปป.ลาว และเส้นทางจากเชียงราย-แขวงบ่อแก้ว-ชายแดน สปป.ลาว-จีน ที่เมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนไทยได้ให้บริการรถโดยสารสู่ระดับนานาชาติลุ่มแม่น้ำโขงมากขึ้น และผลักดันระบบราง โดยการก่อสร้างเส้นทางรถไฟสาย อ.เด่นชัย จ.แพร่ ไปยังศูนย์กระจายสินค้าดังกล่าว ซึ่งนักธุรกิจในภาคเหนือเห็นว่าโครงการดังกล่าวมีความสำคัญอย่างมาก

ทั้งนี้ เมื่อการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 แล้วเสร็จประมาณปลายปี 2555 ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกในการนำเข้าและส่งออกสินค้าชายแดนผ่านศูนย์กระจายสินค้าดังกล่าวมากขึ้น

นายพัฒนากล่าวว่า ระบบดังกล่าวจะถูกใช้งานให้สอดคล้องกับถนน 4 ช่องจราจรเชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 75 กิโลเมตร โดยจะของบประมาณในปี 2555 ถนนสาย อ.จุน จ.พะเยา-อ.เทิง จ.เชียงราย ระยะทาง 43.709 กิโลเมตร คาดว่าจะของบประมาณได้ราวปี 2555-2559 รวมทั้งได้เพิ่มระบบขนส่งทางรถไฟสาย อ.เด่นชัย จ.แพร่ ไปยัง อ.เชียงของ ประมาณ 346 กิโลเมตร โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยกำลังศึกษารายละเอียดให้แล้วเสร็จในปี 2554 เพื่อเสนอของบประมาณไปยังรัฐบาลในปีถัดไป

ส่วนงบประมาณลงทุนศูนย์กระจายสินค้าดังกล่าว สนข.ประเมินมูลค่าการลงทุนประมาณ 2,301 ล้านบาท แบ่งเป็นระยะที่ 1 มูลค่า 1,451 ล้านบาท ระยะที่ 2 มูลค่า 850 ล้านบาท

นายพัฒนากล่าวอีกว่า ในปัจจุบันสินค้าจีนทะลักลงมาอย่างหนัก และคาดว่าเมื่อสะพานข้ามแม่น้ำโขงแล้วเสร็จจะทำให้สินค้าจีนทะลักลงมามากกว่านี้ ดังนั้น การมีระบบรางหรือรถไฟเชื่อมไปสู่สะพานโดยเร็ว จะช่วยลดระดับการทะลักด้วยรถบรรทุกสินค้าจีนสู่ประเทศไทยโดยตรง เพราะไทย-จีนมีข้อตกลงกันว่าเมื่อสะพานแล้วเสร็จจะอนุญาตให้รถบรรทุกของแต่ละประเทศขนส่งสินค้าเข้าสู่ประเทศคู่สัญญาได้ในปีแรก 100 คัน ปีถัดไป 200 คัน และ 500 คัน ตามลำดับ

ดังนั้น หากมีระบบรางเชื่อมจากเด่นชัย-เชียงของ ก็จะทำให้ภาคเอกชนหันมาลดต้นทุนหันมาใช้บริการระบบรางแทน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อประเทศไทยหลายด้าน ทั้งด้านการจัดเก็บรายได้ การลดปริมาณการจราจร เป็นต้น

Source : วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4247 ประชาชาติธุรกิจ หน้า 24


เครดิต คุณ JJKT


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 กันยายน 2010, 21:51:24
เชียงราย - ผู้ว่าฯ เชียงรายเผยกลุ่มนายทุนถ่านหินฯ เครืออิตัลไทย จ้องหาช่องทางขนถ่านหินลิกไนต์ใหม่ คาดผ่านด่านแม่สายท่าขี้เหล็กแทน หลังเจอแรงต้านจากชาวบ้านในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ห้ามขนผ่านดอยแม่สลอง ขณะที่ส่วนท้องถิ่นแคลงใจ หากผ่านด่านแม่สายจริง ก็ยังหวั่นกระทบต่อถนนเข้าเมืองพหลโยธิน-แม่สาย ที่ต้องขนส่งถ่านหินวันละหลายพันตัน

(http://pics.manager.co.th/Images/553000014306102.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/553000014306101.JPEG)
       
       วันนี้(25 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย ว่า กรณีกลุ่มอิตัลไทยโดยบริษัทสระบุรีถ่านหิน จำกัด ได้ขออนุญาตเปิดจุดนำเข้าถ่านหินลิกไนต์ จากเหมืองเมืองก๊ก ประเทศพม่า ผ่านเข้ามาทางชายแดนไทย-พม่า ด้านหมู่บ้านม้งเก้าหลัง หมู่ 9 ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง ล่าสุดผ่านความเห็นชอบจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องแล้ว และอยู่ขั้นตอนให้บริษัทไปศึกษาผลกระทบและทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ แต่ถูกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชนหรือเอ็นจีโอและภาคประชาชนในหลายตำบลที่จะได้รับผลกระทบคือ ต.เทอดไทย ต.แม่ฟ้าหลวง ต.แม่สลองนอก ต.แม่สลองใน อ.แม่ฟ้าหลวง และ ต.ป่าซาง ต.แม่คำ อ.แม่จัน ออกมาต่อต้านนั้น
       
       ล่าสุดทางบริษัทสระบุรีอาจจะหันนำเข้าผ่านจุดผ่านแดนปกติ คือ จุดผ่านแดนถาวร อ.แม่สาย จ.เชียงราย กับ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า ซึ่งปัจจุบันมีการก่อสร้างสะพานข้ามลำน้ำสายแห่งที่ 2 และด่านศุลกากรรองรับการนำเข้าและส่งออกสินค้าครบวงจรอยู่ที่หมู่บ้านสันผักฮี้ หมู่ 13 ต.แม่สาย อ.แม่สาย
       
       โดยนายสุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย กล่าวว่า มีกระแสว่าหลังจากชาวบ้านได้ออกมาแสดงพลังตามเวทีต่างๆ ไปแล้วหลายครั้ง เพื่อต่อต้านการนำเข้าถ่านหินลิกไนต์ของเอกชนดังกล่าว ได้ทำให้ทางบริษัทสระบุรีความพยายามที่จะเปลี่ยนจุดนำเข้าใหม่เพื่อลดกระแสต่อต้าน คาดว่าจะนำเข้าผ่านจุดผ่านแดนถาวรแม่สาย ซึ่งปัจจุบันมีการใช้ เพื่อนำเข้าและส่งออกสินค้าชายแดนไทย-พม่า อย่างเป็นทางการ และหากสามารถผลักดันได้สำเร็จก็คงจะสามารถนำเข้าได้เหมือนสินค้าชนิดอื่นๆ ตามปกติ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของการดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น พิธีการทางศุลกากร น้ำหนักบรรทุกของสินค้าไม่มากเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เพื่อไม่ให้ถนนเสียหาย เป็นต้น
       
       นายสุเมธ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามก็ยังมีกระแสจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมาตั้งแต่ต้นอีกทางหนึ่งว่าแม้จะนำเข้าจุดผ่านแดนถาวรแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก ตามปกติ แต่พวกเขาก็ยังไม่เห็นด้วยโดยเฉพาะเอ็นจีโอ เพราะยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลกระทบต่อการจราจรบนถนนพหลโยธิน ซึ่งต้องผ่าน จ.เชียงราย ไปตลอดแนว และเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตามเรื่องนี้คงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดกันอีกยาวนาน ซึ่งในส่วนของจังหวัดก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เปิดรับฟังข้อมูลจากทุกฝ่าย รวมทั้งได้นำข้อมูลที่ได้ไปนำเสนอต่อเวทีต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยได้มอบหมายให้นายสุรชัย ลิ้นทอง รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ไปชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรคณะต่างๆ ที่ศึกษาข้อมูลว่าปัจจุบันมีรายละเอียดโครงการอย่างไร ขั้นตอนไปถึงไหนและการตอบสนองขององค์กร หน่วยงานและประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างไรแล้ว
       
       ด้านแหล่งข่าวหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ จ.เชียงราย ระบุว่า ปัจจุบันเอกชนที่ขออนุญาตนำเข้าถ่านหินลิกไนต์ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลทหารประเทศพม่าให้สามารถนำเข้าถ่านหินจากเหมืองเมืองก๊ก มาทางชายแดนไทย-พม่า ด้านหมู่บ้านม้งเก้าหลังเท่านั้น ดังนั้นจึงมีการก่อสร้างถนนจากเหมืองมาจ่อที่ชายแดนบริเวณนั้นแล้ว เพราะใกล้ที่สุด โดยมีระยะทางเพียงประมาณ 68 กิโลเมตร หากขนถ่านหินจากเมืองก๊กขนานชายแดนในเขตประเทศพม่าไปยังท่าขี้เหล็ก เพื่อนำเข้าทางจุดผ่านแดนถาวร อ.แม่สาย ก็จะเกิดผลกระทบตามรายทางจากเมืองก๊กไปยังท่าขี้เหล็ก อีกทั้งยังต้องขออนุญาตไปยังรัฐบาลทหารพม่าอีกรอบด้วย
       
       ขณะที่กลุ่มต่อต้านโดยนายวุฒิพงศ์ สุวรรค์โชติ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แม่สลองนอก กล่าวว่า หากมีการขออนุญาตนำเข้าทางจุดผ่านแดน อ.แม่สาย ได้จริงพวกเราก็ยังสงสัยอยู่ว่าด้วยสภาพการจราจรบนถนนพหลโยธินสายแม่สาย-เชียงราย และต้องขนส่งต่อไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรมของบริษัทที่ จ.สระบุรี จะส่งผลกระทบในการสร้างความแออัดให้กับการจราจรหรือไม่ เพราะจะต้องมีการขนถ่านหินลิกไนต์ด้วยรถบรรทุกพ่วงขนาด 6-10 ล้อวันละ 200 คันๆ ละ 15-26 ตัน หรือวันละกว่า 5,200 ตัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวดอยแม่สลองและอีกทั้ง 5 อำเภอออกมาต่อต้านไม่เห็นด้วย และเมื่อขนส่งทางพื้นราบจาก อ.แม่สาย -สระบุรี ก็ขึ้นอยู่กับภาคประชาชนที่จะได้รับผลกระทบด้วยว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ต่อไป
       
       ทั้งนี้บริษัทสระบุรีถ่านหิน จำกัด ได้สัมปทานทำเหมืองถ่านหินที่เมืองก๊ก ประเทศพม่า เมื่อ 2551 เป็นระยะเวลายาว 30 ปี และสำรวจแล้วพบว่ามีถ่านหินลิกไนต์สำรองอยู่กว่า 110 ล้านตัน

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000134889


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 กันยายน 2010, 13:44:39
ครม.เห็นชอบโยกย้าย 48 ผู้ว่าราชการจังหวัด

คณะรัฐมนตรีมีมติให้ข้าราชการพ้นจากตำแหน่งและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ประเภท บริหาร ระดับสูงกระทรวงมหาดไทย ดังนี้

1.นายสมชัย หทยะตันติ ผวจ.พิจิตร เป็น ผวจ.เชียงราย
2.นายเชิดศักดิ์ ชูศรี ผวจ.พะเยา เป็น ผวจ.สมุทรปราการ
3.นายปรีชา บุตรศรี ผวจ.ปทุมธานี เป็น ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย
4.นายธวัชชัย ฟักอังกูร ผวจ.ร้อยเอ็ด เป็น ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย
5.นายสมบัติ ตรีวัฒน์สุวรรณ ผวจ.สกลนคร เป็น ผวจ.ขอนแก่น
6.นายอำนาจ ผการัตน์ ผวจ.อุดรธานี เป็น ผวจ.สกลนคร
7.นายคมสัน เอกชัย ผวจ.หนองคาย เป็น ผวจ.อุดรธานี
8.นายธีรเทพ ศรียะพันธ์ ผวจ.ปัตตานี เป็น ผวจ.จันทบุรี
9.ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผวจ.นครปฐม เป็น ผวจ.เชียงใหม่
10.นายชิดพงษ์ ฤทธิ์ประศาสน์ ผวจ.สิงห์บุรี เป็น ผวจ.นครปฐม
11.นายระพี ผ่องบุพกิจ ผวจ.สุรินทร์ เป็น ผวจ.นครราชสีมา
12.นายเริงศักดิ์ มหาวินิจฉัยมนตรี ผวจ.กาญจนบุรี เป็น ผวจ.นครพนม
13.นายเสนีย์ จิตตเกษม ผวจ.ชลบุรี เป็น ผวจ.น่าน
14.นายชวน ศิรินันท์พร ผวจ.อุบลราชธานี เป็น ผวจ.แพร่
15.นายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย ผวจ.เพชรบูรณ์ เป็น ผวจ.ระยอง
16.นายวิลาศ รุจิวัฒนพงศ์ ผวจ.ศรีสะเกษ เป็น ผวจ.เพชรบูรณ์
17.นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผวจ.หนองบัวลำภู เป็น ผวจ.ศรีสะเกษ
18.นายวินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เป็น ผวจ.หนองบัวลำภู 19.นายวันชัย สุทธิวรชัย ผวจ.ชัยภูมิ เป็น ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย
20.นายวินัย ครุวรรณพัฒน์ ผวจ.พัทลุง เป็น ผวจ.สตูล
21.นายแก่นเพชร ช่วงรังษี ผวจ.ตราด เป็น ผวจ.อำนาจเจริญ
22.นายศุภกิจ บุญญฤทธิพงษ์ ผวจ.ลำปาง เป็น ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย 23.นายอธิคม สุพรรณพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เป็น ผวจ.ลำปาง 24.นายพินิจ เจริญพานิช รองอธิบดีกรมการปกครอง เป็น ผวจ.ชุมพร
25.นายชาญวิทย์ วสยางกูร ที่ปรึกษาด้านบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็น ผวจ.มุกดาหาร
26.นายวิชิต ชาติไพสิฐ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็น ผวจ.ชลบุรี
27.นายบุญส่ง เตชะมณีสถิตย์ ผวจ.มุกดาหาร พ้นจากตำแหน่ง
28.นายสุวิทย์ วัชโรทยางกูร รอง ผวจ.พิจิตร เป็น ผวจ.พิจิตร
29.นายกิตติ ทรัพยวิสุทธิ์ รอง ผวจ.ราชบุรี เป็น ผวจ.ฉะเชิงเทรา
30.นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ รอง ผวจ.พะเยา เป็น ผวจ.พะเยา
31.นายวันชัย โอสุคนธ์ทิพย์ รอง ผวจ.สุพรรณบุรี เป็น ผวจ.อุทัยธานี
32.นายธานี สามารถกิจ รอง ผวจ.ชลบุรี เป็น ผวจ.ปทุมธานี
33.นายสมศักดิ์ ขำทวีพรหม รอง ผวจ.กาฬสินธุ์ เป็น ผวจ.ร้อยเอ็ด
34.นายนิพนธ์ นราพิทักษ์กุล รอง ผวจ.นราธิวาส เป็น ผวจ.ปัตตานี
35.นายพิเชษฐ ไพบูลย์ศิริ รอง ผวจ.นครนายก เป็น ผวจ.สิงห์บุรี
36.นายเสริม ไชยณรงค์ รอง ผวจ.บุรีรัมย์ เป็น ผวจ.สุรินทร์
37.นายชัยโรจน์ มีแดง รอง ผวจ.นครสวรรค์ เป็น ผวจ.นครสวรรค์
38.นายณฐพลษ์ วิเชียรเพริศ รอง ผวจ.ร้อยเอ็ด เป็น ผวจ.กาญจนบุรี
39.นายสุทธิ์พงษ์ จุลเจริญ รอง ผวจ.นครนายก เป็น ผวจ.นครนายก
40.นายวิรัตน์ ลิ้มสุวัฒน์ รอง ผวจ.อุดรธานี เป็น ผวจ.หนองคาย
41.นายธำรงค์ เจริญกุล รอง ผวจ.สงขลา เป็น ผวจ.พังงา
42.นายสุรพล สายพันธ์ รอง ผวจ.อุบลราชธานี เป็น ผวจ.อุบลราชธานี
43.นายตรี อัครเดชา รอง ผวจ.ภูเก็ต เป็น ผวจ.ภูเก็ต
44.นายพิสิษฐ์ บุญช่วง รอง ผวจ.อุทัยธานี เป็น ผวจ.พัทลุง
45.นายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล รอง ผวจ.ภูเก็ต เป็น ผวจ.สุราษฎร์ธานี
46.นางสาวเบญจวรรณ อ่านเปรื่อง รอง ผวจ.กำแพงเพชร เป็น ผวจ.ตราด
47.นายจุลภัทร แสงจันทร์ รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เป็น ผวจ.สมุทรสาคร 48.นายจรินทร์ จักกะพาก รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็น ผวจ.ชัยภูมิ

ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป

ที่มา http://guideubon.com/news/view.php?t...1682&d_id=1682


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 กันยายน 2010, 15:59:29
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (28ก.ย.) ได้อนุมัติโครงการลงทุนโทรศัพท์มือถือระบบ 3G ของบริษัททีโอที ซึ่งได้กำชับให้ต้องทำอย่างเร็วที่สุดตามความต้องการของนายกรัฐมนตรี โดยต้องการให้เป็นส่วนเสริมในขณะที่การประมูล 3G ของกทช.ยังไม่เกิด

"เบื้องต้นโครงการดังกล่าว เริ่มจากการขยายโครงข่ายในกทม.ปริมณฑลและ12-15 จังหวัดก่อน โดยจะครอบคลุม 50% ของผู้ใช้บริการมือถือ ก่อนขยายให้ครอบคลุม 70% ของประชากรภายใน 6-9 เดือน"


(http://www.pantip.com/cafe/mbk/topic/T9745886/T9745886-6.jpg)

เครดิตคุณ salanlom จากพันทิพย์ และ scc ครับ..

 ;D ;D


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 01 ตุลาคม 2010, 10:49:14
เชียงราย - เมืองพ่อขุนฯ เตรียมพิธีใหญ่เปิดท่าอากาศยาน “แม่ฟ้าหลวง” 2 ตุลาฯนี้ หลังได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

(http://pics.manager.co.th/Images/553000014583302.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/553000014583303.JPEG)
       
       วันนี้ (30 ก.ย.) ที่ห้องประชุมท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย นายยุทธนา จิตรอบอารีย์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้แถลงข่าวการจัดกิจกรรมเปิดท่าอากาศยานภายใต้ชื่อที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า “ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย” ซึ่งพิธีเปิดอย่างเป็นทางการจะมีขึ้นในวันที่ 2 ต.ค.นี้ โดยนายโสภณ ซารัมย์ รมว.กระทรวงคมนาคม มีกำหนดจะเดินทางไปเป็นประธาน
       
       นายยุทธนา กล่าวว่า ชาวเชียงรายทุกหมู่เหล่า รวมทั้งบริษัท ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย จำกัด (มหาชน) รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ที่ได้รับพระราชทานชื่อเป็นพระนามของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มาเป็นชื่อของท่าอากาศยาน ซึ่งคงจะถือเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ท่าอากาศยานในประเทศไทยได้รับโอกาสเช่นนี้
       
       ดังนั้น เพื่อเทิดพระเกียรติและร่วมน้อมรำลึกถึงสมเด็จย่า เนื่องในโอกาส 110 พรรษา จึงจะมีพิธีเปิดป้ายและใช้ชื่อท่าอากาศยานอย่างเป็นทางการให้ยิ่งใหญ่ โดยพิธีเปิดจะเป็นรูปแบบศิลปวัฒนธรรมล้านนา แม้แต่การเปิดป้ายก็จะไม่ใช้การตัดริบบิ้นเหมือนงานทั่วไป แต่จะใช้ความร้อนจากแสงอาทิตย์และทำให้เกิดแสงสว่างส่องในการเปิดป้าย พร้อมตีกลองสะบัดชัยอย่างยิ่งใหญ่ ภายในงานยังมีขบวนแห่ การฟ้อนรำอันงดงาม       
       นายยุทธนา กล่าวอีกว่า หลังการเปลี่ยนชื่อท่าอากาศยานไปแล้วยืนยันว่าเรายังคงเป็นท่าอากาศยานนานาชาติตามปกติ โดยในชื่อภาษาไทยจะใช้ชื่อนี้ แต่ในภาษาอังกฤษจะใช้ MaeFahLuang International Airport ส่วนในด้านการบริหารจัดการและการประชาสัมพันธ์ก็จะมีการเปลี่ยนมาใช้ชื่อดังกล่าวทั้งระบบ       
       โดยบริษัทได้แจ้งไปยังทุกส่วนราชการในประเทศไทยหมดแล้ว รวมทั้งแจ้งไปยังกรมการบินพลเรือน เพื่อให้แจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสายการบินทั่วโลกให้ได้รับทราบ ส่วนการให้บริการทำการบินของเครื่องบินในช่วงนี้ก็จะมีการแจ้งให้ผู้โดยสารได้รับทราบก่อนเครื่องลงจอดทุกครั้งด้วย
       
       ด้าน นายพรหมโชติ ไตรเวช ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา จ.เชียงราย กล่าวว่า มีกิจกรรมหลายอย่างที่จะประชาสัมพันธ์ชื่อใหม่ของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เช่น ได้ร่วมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวและนักธุรกิจในการเดินทางไปเที่ยวเชียงรายในวันที่ 30 ก.ย.และเดินทางกลับวันที่ 2 ก.ย.เพื่อประชาสัมพันธ์ชื่อใหม่ให้สอดคล้องกับช่วงเวลาพิธีเปิดพอดี
       
      รวมทั้งในโอกาสที่ จ.เชียงราย ได้รับโอกาสจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ให้ไปเปิดมหกรรมที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางแค กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 9 ต.ค.-7 พ.ย.นี้ บนเนื้อที่ 3,000 ตารางเมตร ก็จะมีการจัดแสดงมหกรรมเกี่ยวกับเชียงรายเหนือสุดแดนสยามอย่างยิ่งใหญ่และมีเรื่องราวของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ด้วย
       
       “ระหว่างวันที่ 28-30 พ.ย.นี้ จะมีกลุ่มชาวญี่ปุ่นภายใต้สมาคมผู้พักระยะยาวญี่ปุ่น จากประเทศญี่ปุ่นเดินทางด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำขนาดโบอิง 767 เดินทางไปจัดงานความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น ครบรอบ 101 ปีโดยเลือก จ.เชียงราย ในการจัดเพียงแห่งเดียว ก็จะถือโอกาสประชาสัมพันธ์เรื่องนี้เพื่อให้รับทราบทั่วไป” นายพรหมโชติ กล่าว
       
       สำหรับท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีทางขึ้นลงหรือรันเวย์ความยาวขนาด 3,000 เมตร กว้าง 45 เมตร และมีศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารในแต่ละปีได้มากถึง 3 ล้านคน แต่ที่ผ่านมาเนื่องจากมีปัญหาทางการเมืองและอื่นๆ ทำให้ปี 2552 มีผู้โดยสารผ่านไปใช้บริการจำนวนประมาณ 750,000 คน
       
       ในปี 2553 นี้ คาดการณ์ว่า จะมีจำนวนใกล้เคียงกัน สำหรับสายการบินที่เปิดให้บริการมีการบินไทย ไทยแอร์เอเชีย วันทูโก และนกแอร์ ฯลฯ และก่อนที่ นายสุเมธ แสงนิ่มนวล อดีตผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย จะย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ได้มีนโยบายให้การเฉลิมฉลองเมืองเชียงรายครบ 750 ปีในปี 2555 ให้ท่าอากาศยานมีการตกแต่งด้วยดอกไม้เพื่อให้เป็นประตูเข้าสู่เมืองที่น่าประทับใจต่อผู้ไปเยือนด้วย

////////////////////

ท่านสุเมธ ชาวเชียงรายคิดถึงท่าน :):)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 01 ตุลาคม 2010, 16:20:43
เชียงราย - รมว.คมนาคม นำทีมผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ ร.ฟ.ท.มอบห้องสมุดรถไฟ อบจ.เชียงราย พร้อมหยอดยาหอมรถไฟเด่นชัย-เชียงราย เป็นจริงได้แน่ แต่ต้องขึ้นกับบรรยากาศความสามัคคีในแต่ละพื้นที่ด้วย
       
       วันนี้ (1 ต.ค.) นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดห้องสมุดรถไฟ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ซึ่งมีการนำหัวรถจักรรถไฟพร้อมราง -ตู้รถไฟ จำนวน 5 โบกี้ ไปจัดแสดงเอาไว้ ณ บริเวณด้านหน้าพระราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 และศาลากลาง จ.เชียงราย หลังเก่าติดกับสำนักงาน อบจ.เชียงราย โดยมีนายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.), นายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย, นางรัตนา จงสุทธนามณี นายก อบจ.เชียงราย นำคณะข้าราชการ ผู้บริหารและสมาชิกองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และกลุ่มพลังมวลชนต่างๆ เข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก
       
       นายโสภณ กล่าวว่า ห้องสมุดรถไฟ ถือเป็นความภาคภูมิใจของชาว ร.ฟ.ท.และกระทรวงคมนาคม และแสดงให้เห็นว่าตนได้รักษาความพูดเมื่อครั้งที่เดินทางไปปักธงผลักดันโครงการรถไฟเชื่อมเด่นชัย จ.แพร่ -เชียงราย ที่ห้องประชุม อบจ.เชียงราย เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า มีพัฒนาการไปในทางที่ดี เพราะครั้งนั้นเรามีเพียงโครงการและช่วยกันปักธงแต่ครั้งนี้มีการนำหัวรถจักร โบกี้และเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาจัดแสดงภายในพิธีเปิดด้วย ซึ่งก็ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีว่าพัฒนาการในอนาคตก็คือรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย นั่นเอง
       
       นายโสภณ กล่าวอีกว่า โครงการห้องสมุดรถไฟครั้งนี้ถือเป็นแห่งแรกของภาคเหนือที่จะให้ประโยชน์กับคนเชียงรายและผู้ที่สนใจอย่างมาก เพราะเป็นการให้ความรู้การศึกษาและในอนาคตหากว่าทุกฝ่ายร่วมแรงร่วมใจกันอย่างแท้จริง ก็จะเกิดเส้นทางรถไฟที่เป็นความหวังของชาวเชียงรายมานานอย่างแน่นอน ตนยืนยันว่าหากยังอยู่ในตำแหน่งก็จะผลักดันอย่างเต็มที่
       
       แต่การพัฒนาด้านต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของประชาชนในพื้นที่และบรรยากาศความร่วมมือสามัคคีที่ดีด้วย หากเดินทางไปแล้วไม่ต้อนรับ ก็คงจะยากที่ไปให้เห็นพื้นที่และบางครั้งตนก็เลือกที่จะไปในพื้นที่ที่ผู้คนมีความสามัคคีปรองดองกันมากกว่า
       
       “อย่างล่าสุดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎ (ส.ส.) พะเยา เชิญให้ไปพื้นที่ แต่ตนก็เลือกที่จะมา จ.เชียงราย แทน”
       
       ด้านนางรัตนา กล่าวว่า โครงการนี้ถือเป็นการจุดประกายความหวังของคนเชียงรายที่ต้องการให้มีเส้นทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย และเชื่อว่าผู้ที่จะสามารถผลักดันให้เป็นรูปธรรมก็คือนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม เพราะก่อนหน้านี้ก็ได้ร่วมกับชาวเชียงรายปักธงเส้นทางรถไฟมาแล้ว
       
       สำหรับการห้องสมุดดังกล่าวจะเชื่อมกับโครงการอื่นๆ ในบริเวณเดียวกันโดย อบจ.มีโครงการจะสร้างหอประวัติศาสตร์เมืองเชียงรายเพื่อเล่าเรื่องราวในอดีต และโครงการหอวัฒนธรรมเพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้และสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของเชียงรายต่อไป
       
       ทั้งนี้ ในพิธีเปิดห้องสมุดรถไฟดังกล่าวทาง อบจ.เชียงราย ได้มีการเชิญทุกภาคส่วนที่มีส่วนผลักดันโครงการรถไฟเด่นชัย-เชียงราย ไปร่วมด้วย เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย วิทยาลัยเชียงราย หอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย ฯลฯ หลังจากที่โครงการนี้ยืดเยื้อมายาวนานร่วม 50 ปี
       
       กระทั่งเมื่อปี 2544 ทาง ร.ฟ.ท.เคยศึกษาและออกแบบก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายนี้แล้วเสร็จแต่ก็ยังไม่มีการดำเนินการ กระทั่งปี 2553-2554 รัฐบาลได้ให้มีการศึกษาอีกครั้งด้วยงบประมาณ 200 ล้านบาทให้ศึกษารถไฟรางคู่ขนาดกว้าง 1.453 เมตร เชื่อมเด่นชัย-เชียงราย ระยะทาง 246 กิโลเมตร และจากเชียงราย-สันยาว 40 กิโลเมตรเลี้ยวซ้ายไปทาง อ.เชียงแสน และจากสันยาว-เชียงของ จุดก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงไทย-ส.ป.ป.ลาว-ถนนอาร์สามเอ-จีนตอนใต้ อีก 40 กิโลเมตรด้วย


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000137949


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 02 ตุลาคม 2010, 18:04:38
(http://www.rpanich.com/p2/pics/2-1.jpg)

การขยายตัวของเมืองเชียงราย
หากดูลักษณะภูมิประเทศของตัวเมืองและจังหวัดเชียงราย จะพบว่าด้านทิศตะวันตกเป็นภูเขาและป่าสงวนเป็นส่วนใหญ่และไม่มีอำเภอ ด้านนี้เลย หรือมีน้อยมากเมื่อเทียบกับด้านตะวันออก ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นไร่นา และมีอำเภอต่างๆ อยู่รอบเป็นจำนวนมาก เช่น เชียงแสน เชียงของ เวียงชัย เวียงเชียงรุ้ง ดอยหลวง ขุนตาล พญาเม็งราย เทิง เวียงแก่น เชียงคำ อีกทั้งการจัดทำผังเมือง ปี 2550 ก็ได้จัดการสร้างวงแหวนออกมาทางด้านทิศตะวันออก เป็นวงแรก และหากสังเกตการขยายตัวตามตัวเมืองจริง หรือดูแผนที่จาก Google จะพบว่าตัวเมืองได้ขยายออกมาทางวงแหวน ตอนที่ 1 และ 2 โดยมีศูนย์ราชการได้นำออกมาก่อน แล้วตามด้วยหมู่บ้านต่างๆ ที่ทยอยเกิดขึ้น ปัจจุบันมีชุมชนต่างๆ มากมาย เช่น ศูนย์ราชการ หมู่บ้านอุษาสิริ โรงเรียนเทศบาล 6 ชุมชนแควหวาย ย่านสนามกีฬา หมู่บ้านกุลพันธ์ หมู่บ้านกรีนวิลล์ หมู่บ้านป่ายางมน และเลยออกไปอีกเป็นจำนวนมาก ไปต่อกับอำเภอเวียงชัย ส่วนตอนที่ 3 และ 4 นั้นพื้นที่ยังเป็นทุ่งนาเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมาทางนี้ เพื่อที่การขยายตัวเมืองมารับกับสถานีรถไฟในอนาคต รับกับท่าเรือเชียงแสนแห่งใหม่ที่ใหญ่โต รับกับสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่เชียงของ มารับกับเส้นทางการค้า R3A และ R3B ที่รัฐบาลได้เร่งก่อสร้างถนนบริเวณ เชียงแสน เชียงของเป็นจำนวนมาก (ดูรูปแผนที่) 

(http://www.rpanich.com/p2/pics/00083_0.jpg[img])http://www.rpanich.com/p2/pics/2010_pix_myanmar_9_7-1.jpg[/img]

ดังนั้น อาคารพาณิชย์ที่ตั้งอยู่ถนนวงแหวน ตอนที่ 1 และเป็นวงแหวนวงแรกของเชียงราย ซึ่งในอนาคตคาดว่ามีอีกหลายวง จึงเป็นทำเลที่รองรับการขยายตัวของเมือง เป็นที่ที่มีอนาคต ให้นึกภาพเชียงใหม่ซึ่ีงปัจจุบัน มีวงแหวน 3 วงแล้ว เชียงรายไ่้ม่สามารถเทียบกับเชียงใหม่ได้เรื่องอัตราการเจริญเติบโตในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเชียงใหม่เจริญเติบโตรวดเร็วมาก จนเริ่มแออัดและไม่น่าอยู่แล้ว คนจากกรุงเทพหรือจังหวัดอื่นเริ่มมองมาที่เชียงราย โดยดูสัญญาณจาก เซ็นทรัลเชียงราย ซึ่งกำหนดเปิดบริการกลางปี 2554 ซึ่งคงจะเล็งเห็นศักยภาพของเชียงรายในอนาคต เฉพาะเซ็นทรัลที่เดียว ก่อให้เกิดผู้คนที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก และบรรดาห้องพักก็ต้องมีรองรับเพิ่มอีก 2,000 ห้อง เป็นอย่างน้อย ดังนั้นในช่วงเวลาต่อไปนี้ จะเป็นเวลาของเชียงรายแล้ว 
 
ที่มา : http://www.rpanich.com/p2/page/explanchiangrai.htm



หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 02 ตุลาคม 2010, 20:16:21
จ.เชียงราย 2 ต.ค.-นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน ในพิธีเปิดป้ายชื่อท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย และนิทรรศการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ณ ท่าอากาศยาน แม่ฟ้าหลวง เชียงราย

นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดป้ายท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย จากชื่อเดิม ท่าอากาศยานเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง โดยชื่อท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งสร้างความรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ได้พระราชทาน ชื่อเป็น พระนามของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มาเป็นชื่อของท่าอากาศยาน โดยมีเหล่าข้าราชาการ ประชาชนร่วมพิธีเปิดป้ายจำนวนมาก

ทั้งนี้นายโสภณ กล่าวว่า การเปิดป้ายท่าอากาศยานครั้งนี้อาจถือว่าเป็นครั้งแรก และครั้งเดียว ที่ท่าอากาศยานในประเทศไทย ได้รับโอกาสเช่นนี้ และเพื่อเทิดพระเกียรติและร่วมน้อมรำลึกถึงสมเด็จย่า เนื่องในวโรกาส 110 พรรษา จึงมีพิธีเปิดป้าย และใช้ชื่อท่าอากาศยาน อย่างเป็นทางการ ให้ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติพระองค์ท่าน
นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน). หรือ ทอท. เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ชื่อ “ท่าอากาศยาน แม่ฟ้าหลวง เชียงราย” และชื่อภาษาอังกฤษว่า " Mae Fah Luang - Chiang Rai International Airport " แทนชื่อท่าอากาศยานเชียงราย (ทชร.) ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2553 เป็นต้นมา เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีนคริน ทราบรมราชชนนี และเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความจงรักภักดี ที่มีต่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

ทอท. จึงได้จัดพิธีเปิดป้ายชื่อท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย อย่างยิ่งใหญ่ให้สมพระเกียรติของพระองค์ท่าน และสะท้อนถึงวัฒนธรรมล้านนาที่เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นและ ล้ำค่าของชาวจังหวัดเชียงราย

นอกจากนี้ยังได้จัดนิทรรศการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราช ชนนี แสดง พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับจังหวัดเชียงราย ณ บริเวณภายในอาคารผู้โดยสาร ทชร. ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการได้ ตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2553

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ตั้งอยู่ที่ ตำบลบ้านดู่/ริมกก อำเภอเมืองจังหวัดเชียงราย ใช้ IATA Code เป็น CEI และเป็นท่าอากาศยานระหว่างประเทศที่สำคัญแห่งหนึ่งของภาคเหนือ เนื่องจากอยู่ในจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของประเทศ รวมทั้งมีพื้นที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอยู่ในเขตสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ส่งผลให้ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว และนักธุรกิจ ทั้งนี้ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มีความสามารถรองรับเที่ยวบินได้ 12 เที่ยวบินต่อชั่วโมง และรองรับผู้โดยสารได้ปีละ 1.75 ล้านคน และรองรับการขนส่งสินค้าทางอากาศได้ 3,400 ตันต่อปี

โดยท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จะมีส่วนสำคัญในการ. และพัฒนาศักยภาพทางการท่องเที่ยว โดยจังหวัดเชียงราย. เป็นจุดเชื่อมระหว่างประเทศเพื่อนบ้านในเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมทองคำที่แน่น แฟ้นยิ่งขึ้น อันนำมาซึ่งความเจริญทางด้านเศรษฐกิจของประเทศต่อไป .

LogisticNews
Update news: 02-10-2553 10:10:14- innnews


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 ตุลาคม 2010, 12:40:04
 วันที่ 04 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4250  ประชาชาติธุรกิจ


นักท่องเที่ยวจีนทะลัก'R3A'สู่ไทย ทัวร์จีนแห่ดัมพ์ราคาหน้าร้านรับตลาดโตก้าวกระโดด

 
นักท่องเที่ยวจีน-ไทยทะลักเส้นทาง อาร์สามเอ แนวโน้มพุ่งสูงถึงแสนคน ล่าสุดมณฑลหยุนหนานให้รางวัลคนจีนมาเที่ยวเมืองไทยเกือบหมื่นคน พร้อมจัดแพ็กเกจ เที่ยวเชียงราย-เชียงใหม่-กรุงเทพฯ-พัทยา ด้านทัวร์จีน "หย่าไทร์เอเชี่ยนทัวร์" ดัมพ์ราคาหน้าร้านรับตลาดทัวร์จีนใต้บูม


นายพงษ์ธร ชยาตุลชาต ประธานบริษัท หย่าไทร์เอเชี่ยนทัวร์ จำกัด และผู้อำนวยการศูนย์กระจายสินค้าและท่องเที่ยวสิบสองปันนา ประจำ จ.เชียงราย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ภายหลังเกิดเหตุการณ์ทางการเมืองทำให้นักท่องเที่ยวจีนหยุดเดินทางมาท่องเที่ยวผ่านถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ และนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปจีนตอนใต้ลดลงกว่า 30% ปัจจุบันสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว โดยคนจีนเดินทางผ่านถนนอาร์สามเอมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าตั้งแต่เดือน ต.ค. 2553-เม.ย. 2554 จะเข้ามามากขึ้นเป็นประวัติการณ์ เพราะมณฑลหยุนหนานซึ่งอยู่ใกล้ จ.เชียงรายที่สุดมีโครงการส่งเสริมให้คนจีนลงมาเที่ยวประเทศไทย

"มณฑลหยุนหนานมีโครงการให้แต่ละหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และเมืองต่าง ๆ แข่งขันทางด้านศิลปวัฒนธรรมและกีฬา พื้นบ้าน และให้รางวัลคนจีนเดินทางมาเยือน จ.เชียงราย เมืองละประมาณ 2,500 คน โดยมีข้อกำหนดให้เดินทางลงมาพักที่ จ.เชียงราย 1 คืน เชียงใหม่ 2 คืน จากนั้นไปกรุงเทพฯ-พัทยา รวมระยะเวลา 5 คืน 6 วัน ซึ่งในมณฑลหยุนหนานมี 5 เมืองใหญ่ จึงคาดว่าจะมีคนจีนเดินทางลงมาอีกไม่ต่ำกว่า 11,000-12,000 คน"

ทั้งนี้สถิติตั้งแต่เดือน ม.ค.-ส.ค. 2553 มีนักท่องเที่ยวคนไทยเดินทางด้วยรถยนต์ไปตามถนนอาร์สามเอโดยผ่านการบริการของศูนย์ 60,095 คน และข้อมูลจากด่านตรวจคนเข้าเมืองมีจำนวน 85,000 คน ส่วนคนจีนที่เดินทางลงมายัง จ.เชียงรายประมาณ 5,000 คน โดยผ่านการให้บริการของศูนย์ประมาณ 1,500 คน และแนวโน้มที่คนจีนจะทะลุถึงแสนคน

โครงการดังกล่าวช่วยลดอุปสรรคเรื่องการทำวีซ่าของคนจีนตอนใต้ ซึ่งที่ผ่านมาทำยากและต้องไปทำ ณ จุดเดียวที่เมือง คุนหมิง เมืองเอกของมณฑลหยุนหนานเท่านั้น ส่วนประเทศไทยเปิดกว้างให้คนจีนเข้ามาโดยใช้ระบบวีซ่าเมื่อมาถึงที่ด่านพรมแดน และ 1 ปีที่ผ่านมาจนถึงเดือน มี.ค. 2554 กระทรวงการต่างประเทศของไทยเปิดบริการให้คนจีนทำวีซ่าฟรี ซึ่งเดิมต้องเสียค่าใช้จ่ายรายละ 1,200 บาท

ส่วนกรณีของคนไทยที่เดินทางไปจีนนั้นก็ไม่มีอุปสรรคด้านการขอวีซ่า แม้ว่าในปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการขอวีซ่าจากสถานทูตหรือสถานกงสุลใหญ่ของจีนที่ จ.เชียงใหม่จะสูง โดยคิดในอัตราขอวันเดียวได้เลย 2,200 บาท ขอ 2 วันได้ คิดค่าธรรมเนียม 1,800 บาท และ 4 วัน 1,000 บาท

นายพงษ์ธรกล่าวต่อว่า ความคึกคัก ดังกล่าว บริษัทได้ลดราคาค่าเดินทาง ท่องเที่ยวบนถนนอาร์สามเอ เส้นทาง อ.เชียงของ จ.เชียงราย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ระยะเวลา 2 วัน 3 คืน หากมีผู้เดินทางตั้งแต่ 30 คนขึ้นไปคิดราคาคนละ 6,800 บาท และ 20 คน คิดราคา 7,000 บาท หากไม่เกิน 10 คน ราคา 7,500 บาท ส่วนระยะเวลา 3 วัน 4 คืน คิดราคา 7,800 บาท 8,000 บาท และ 8,500 บาท ตามลำดับ

หากเดินทางไปถึงสิบสองปันนา-คุนหมิง ระยะเวลา 5 คืน 6 วัน คิดราคา 13,000 บาท 13,500 บาท 14,000 บาท ตามลำดับ และหากเดินทางไปถึงคุนหมิง-ต้าลี่-ลี่เจียง ระยะเวลา 6 คืน 7 วัน คิดราคา 15,000 บาท 15,500 บาท 17,500 บาท ตามลำดับ ที่ผ่านมาทัวร์แบบ 3 วัน 4 คืนได้รับความนิยมที่สุด

นอกจากนี้ยังมีบริการทัวร์ราคาถูกเส้นทางในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนบนอีกหลายเส้นทาง เช่น แม่สาย-เชียงตุง-เมืองลา (พม่า) เส้นทางผ่านถนนอาร์สามเอไปเมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว

ทั้งนี้ราคาดังกล่าวเป็นราคาหน้าร้านเท่านั้น หากเป็นเอเย่นต์ก็สามารถเจรจากันได้อีก ปัจจุบันมีเอกชนหลายรายที่จัด โปรโมชั่นในลักษณะเดียวกัน ซึ่งราคาของบริษัทถือเป็นระดับกลาง และเพื่อรองรับ นักท่องเที่ยวจีนที่จะทะลักลงมา ได้เตรียมรถตู้นำเที่ยวระหว่างเส้นทางเชียงราย-เชียงใหม่ไว้แล้ว ค่าโดยสารไป-กลับคนละ 400 บาท ซึ่งนักท่องเที่ยวแวะเที่ยวที่โป่งน้ำร้อนและวัดเจดีย์หลวง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ได้ด้วย

นายพงษ์ธรกล่าวอีกว่า ขณะนี้บริษัทกำลังลงทุนเปิดจุดพักรถบัสตามรายทางอาร์สามเอ เพื่อรองรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมระหว่างห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว กับ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2555 โดยจุดพักรถจะมีหลายจุด เช่น ที่ห้วยทราย หลวงน้ำทา นอกจากนี้ยังได้ประสานกับสถานีขนส่งผู้โดยสาร จ.เชียงราย แห่งที่ 2 เพื่อรองรับรถบัส ซึ่งเชื่อมการโดยสารบนถนนสายคุนหมิง-กรุงเทพฯ หรือคุน-มั่นกงลู่

หน้า 24
 
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02phu04041053&sectionid=0211&day=2010-10-04


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 ตุลาคม 2010, 16:42:18
เชียงราย - ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรธรณี เข้าพื้นที่ดอยแม่สลอง ตรวจสภาพพื้นที่ทั้งหมด ระบุ ไม่เกี่ยวข้องกับรอยแผ่นดินไหว หรือที่เรียกว่ารอยเลื่อนแม่จัน เผย สาเหตุส่วนใหญ่น่าจะเกิดจากฝนที่ตกหนัก และระบบทางน้ำไหลที่กัดเซาะใต้ดินจนเป็นร่องลึก ทั้งต้องรอให้รื้อถอนอาคารก่อนเพื่อตรวจสอบสภาพพื้นที่ต่อไป
      
       รายงานข่าวจากเชียงราย แจ้งว่า จากกรณีเกิดเหตุดินทรุด และรอยแยกเป็นทางยาวบนดอยแม่สลอง หมู่บ้านสันติคีรี หมู่ 1 ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จนส่งผลทำให้บ้านเรือนประชาชนและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ต้องถูกรื้อถอนเพื่อความปลอดภัยนั้น
      
       ล่าสุดทาง ดร.อดิชาติ สุรินทร์คำ โฆษกกรมทรัพยากรธรณีและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ปรึกษาการบริหารจัดการทรัพยากรธรณี ได้นำคณะเจ้าหน้าที่ขึ้นไปตรวจสอบสภาพดินทรุดและรอยแยกดังกล่าวอีกครั้งรวมทั้งสำรวจรอยแยกเดิมและพื้นที่เสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ผลการตรวจสอบไม่พบว่ามีการทรุดตัวเพิ่มเติมทั้งจากจุดเดิมและจุดใหม่ โดยส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ไม่มีฝนตกลงมาในช่วงนี้ด้วย.
      
       ดร.อดิชาติ กล่าวว่า จากการตรวจสอบภาพรวมของสภาพดินของดอยแม่สลอง พบว่า ไม่เกี่ยวข้องกับรอยแผ่นดินไหวบริเวณดังกล่าวคือรอยเลื่อนแม่จัน อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถตรวจสอบจุดแตกให้ละเอียดได้ เนื่องจากต้องรอให้มีการรื้อถอนอาคารทั้งหมดออกจากจุดเกิดเหตุก่อน เบื้องต้นก็พบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากระบบทางน้ำไหลเซาะใต้ดิน ซึ่งอยู่ลึกลงไปประมาณ 2-10 เมตร โดยสังเกตได้จากการมีน้ำซึมออกจากร่องต่างๆ จากนั้นหน้าดินที่อยู่เหนือน้ำถูกแรงดันน้ำทำให้เคลื่อนตัวและทรุดตัวลงไป
      
       “สิ่งบ่งชี้นี้เกิดมานานแล้วไม่ใช่เพิ่งเกิดเมื่อเดือนกันยายน แต่ประชาชนในพื้นที่อาจจะยังไม่เข้าใจวิธีการสังเกต อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถบอกได้ว่าพื้นที่ดินทรุด ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้อีกหรือไม่ เพราะยังตรวจไม่เสร็จแต่เห็นขอบเขตของการทรุดตัวแล้วเชื่อว่ายังใช้ประโยชน์ได้ในบางเรื่อง แต่ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะใช้อยู่อาศัยได้อีกหรือไม่ และบางส่วนอาจจะต้องปล่อยเอาไว้ตามธรรมชาติ” ดร.อดิชาติ กล่าว

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000141095


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 13 ตุลาคม 2010, 13:43:16
ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - เชียงใหม่-เชียงราย ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกลุ่มจังหวัดอันดามัน ประสานความร่วมมือทุกด้านส่งเสริมการท่องเที่ยว หวังช่วยเพิ่มรายได้จากการใช้จ่ายและวันพำนักของนักท่องเที่ยวเพิ่ม 20% ต่อปี

วันนี้ (12 ต.ค.) ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายประสิทธิ์ โอสถานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ และนายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมเป็นสักขีพยานและร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงเพื่อความร่วมมือด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวระหว่างกลุ่มจังหวัดอันดามัน ประกอบด้วย จังหวัดกระบี่ จังหวัดตรัง จังหวัดภูเก็ต จังหวัดพังงา และจังหวัดระนอง กับจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นความคิดริเริ่มของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกระบี่

โดยการลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาร่วมกันบนพื้นฐานความเท่าเทียม และผลประโยชน์ร่วมกันภายในขอบเขตหน้าที่ของตน และเท่าที่กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับที่มีผลใช้บังคับจะอนุญาต และร่วมมือซึ่งกันและกันในด้านต่างๆ ที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและพันธกรณีระหว่างจังหวัดในกลุ่มจังหวัด

รวมทั้งเพื่อสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจังหวัดติดต่อกันโดยตรง เพื่อร่วมมือกันตามข้อตกลงนี้ และสนับสนุนให้มีการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย และกลุ่มจังหวัดอันดามัน ของนักท่องเที่ยวในลักษณะการพำนักระยะยาวมากขึ้น

ส่วนรูปแบบความร่วมมือจังหวัดทั้งเจ็ดที่ร่วมกันลงนามในบันทึกข้อตกลงนี้ จะสนับสนุนซึ่งกันและกันในการพัฒนาองค์ความรู้ ประสบการณ์ทางวิชาการ วิทยากร และการพัฒนาแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือด้านการบริหารจัดการธุรกิจ เช่น การพัฒนาบุคลากร การจัดหาแรงงาน การฝึกงานหรือการกระทำอื่นๆ เพื่อให้การจัดการด้านการพัฒนาธุรกิจบริการสุขภาพมีศักยภาพในการแข่งขันอย่างยั่งยืน

รวมทั้งร่วมมือกันในด้านการส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ การตลาด มีการแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมระหว่างกันเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว มีการส่งเสริมความร่วมมือด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เชิงสุขภาพ เชิงอนุรักษ์ วิถีชีวิตท้องถิ่น และผลิตภัณฑ์ชุมชน ตลอดจนมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การค้า การลงทุนเพื่อส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพบว่า ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นอันดับที่ 12 ของโลก มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวเป็นอันดับ 18 ของโลก โดยในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมามีรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 279,487 ล้านบาท มีนักท่องเที่ยวกว่า 7.5 ล้านคน การพำนักโดยเฉลี่ย 9.55วัน/คนโดยจากการลงนามในบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ คาดหวังว่า จะช่วยเพิ่มรายได้เข้าสู่ประเทศและเพิ่มวันพักของนักท่องเที่ยวได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ต่อปี


http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9530000143656


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 14 ตุลาคม 2010, 16:09:45
วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7258 ข่าวสดรายวัน


ปั่นทัวร์ออฟล้านนาพร้อม



นายพินิจ หาญพาณิชย์ ประธานกลุ่มภาคเหนือ 2 และรองผู้ว่าฯเชียงราย, พลตรีเดชา เหมกระศรี เลขาฯสมาคมกีฬาจักรยานฯ, นายสุริยันต์ กาญจนศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ร่วมกันแถลงข่าวการเตรียมความพร้อมการแข่งขันกีฬาจักรยาน "ทัวร์ ออฟ ล้านนาตะวันออก" การแข่งขัน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เพื่อสุขภาพ และเสือหมอบ ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 40,000 บาท ระหว่าง 18-25 ต.ค. 2553 โดยประเภทจักรยานเพื่อสุขภาพ จะเปิดโอกาสให้ประชาชนที่สนใจสมัครเข้าร่วมการแข่งขันตั้งแต่วันนี้ ถึง 18 ต.ค.นี้ จำนวน 300 คน ส่วนในประเภทจักรยานเสือหมอบ แบ่งการแข่งขัน เป็น 4 รุ่น คือ 1.รุ่นเยาวชน อายุไม่เกิน 18 ปี ชาย, 2.รุ่นประชาชนทั่วไป ชาย, 3.รุ่นประชาชน อายุ 30-39 ปี ชาย, 4.รุ่นประชาชน อายุ 40 ปีขึ้นไป ชาย โดยประเภทนี้ จะแข่งขันแบบเซอร์กิตเรซ และแบบโรดเรซ ผสมกัน

หน้า 13


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 15 ตุลาคม 2010, 08:18:06
ร.ฟ.ท.ลุ้นเส้นทาง'เด่นชัย-เชียงราย'

ร.ฟ.ท.เริ่มต้นใหม่สาย "เด่นชัย-เชียงราย"เร่งคัดเลือก 38 บริษัทที่ปรึกษาโครงการก่อสร้าง ให้เหลือไม่เกิน 6 ราย เผยใช้งบ 175 ล้านบาท ชี้ทางแก้ลุ่มน้ำพื้นที่ 1A เตรียมเสนอเจาะอุโมงค์ยาว 8 กิโลเมตรลอดภูเขาช่วงเด่นชัย-พะเยา เผยอาจใช้งบกว่า 25,000 ล้านบาท
นายสุประภาส เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าได้เร่งคัดเลือก 38 บริษัทที่ปรึกษาให้เหลือไม่เกิน 6 รายเพื่อว่าจ้างทำการศึกษาออกแบบรายละเอียดโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟเด่นชัย(จังหวัดแพร่) -เชียงรายตามที่ได้รับอนุมัติงบประมาณแล้วจำนวน 175 ล้านบาท คาดว่าจะสรุปในเร็ว ๆนี้ ส่วนการศึกษาฯนั้นจะใช้เวลาประมาณ 1 ปีโดยรวมการศึกษาเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อมเอาไว้ด้วย โดยจะสามารถเปิดประมูลและก่อสร้างได้ในปี 2555 ซึ่งอาจให้กระทรวงการคลังเป็นผู้จัดหาแหล่งเงินกู้สนับสนุนหรือวิธีการอื่นๆเนื่องจากโครงการนี้ใช้งบประมาณสูงกว่า 25,000 ล้านบาท
"ตามที่บริษัทที่ปรึกษาได้สำรวจออกแบบรายละเอียดไว้แล้วนั้นมีแนวทางการลงทุน 2 ลักษณะ คือ 1. ให้เอกชนดำเนินการก่อสร้างให้ก่อน (Turnkey) และรัฐบาลไทยจ่ายค่าก่อสร้างคืนด้วยวิธีเคาน์เตอร์เทรดด้วยผลิตผลการเกษตรภายในประเทศ หรือ 2. ให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนโดยให้ได้รับสัมปทานโครงการภายในกำหนดเวลา (Concession)และรัฐบาลให้การสนับสนุนในเงื่อนไขบางประการ รวมทั้งการเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ "นายสุประภาส กล่าวและว่า
นอกจากนี้ยังเร่งให้รัฐบาลจัดสรรวงเงินงบประมาณเพื่อการเวนคืนที่ดินได้ทันทีหลังจากพระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ อีกทั้งขออนุมัติให้ผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 เอ เพื่อก่อสร้างทางรถไฟบางส่วน ซึ่งการรถไฟฯได้เตรียมออกแบบเจาะเป็นอุโมงค์ยาวประมาณ 8กิโลเมตรผ่านภูเขาในพื้นที่ซึ่งจะเป็นอุโมงค์ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยใช้หลีกเลี่ยงพื้นที่ลุ่มน้ำดังกล่าวแล้ว
"โครงการนี้ยืดเยื้อมานาน เมื่อปี 2528 ประเทศอังกฤษได้ให้การศึกษาฟรีมาครั้งหนึ่งแล้ว ปี 2539 ได้ทุ่มงบ 122 ล้านบาทเพื่อศึกษาความเหมาะสมและออกแบบเบื้องต้นพร้อมทำการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และครั้งที่ 3 เมื่อปี 2544 ที่ร.ฟ.ท.เคยว่าจ้างทบทวนผลการศึกษาและออกแบบก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายนี้ภายใต้งบประมาณ 15 ล้านบาท แต่ครม.ไม่อนุมัติเพราะอยู่ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ต่อมาในปี 2553 รัฐบาลให้มีการศึกษาอีกครั้งเป็นระบบรถไฟทางคู่ขนาดกว้าง 1.435 เมตร ระยะทาง 246 กิโลเมตร
ล่าสุด ร.ฟ.ท.อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะขยายเส้นทางออกไปถึงอำเภอเชียงแสนหรืออำเภอเชียงของที่จะเพิ่มระยะทางออกไปอีกประมาณ 80 กิโลเมตรเพื่อจะเชื่อมต่อไปยังชายแดน
โดยจะแบ่งเป็น 3 ตอนคือ ตอนแรกช่วงเด่นชัย-เชียงราย ตอนที่ 2 เชียงราย-เชียงแสน และตอนที่ 3 เชียงแสน-เชียงของ"
สำหรับโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย มีจำนวน 22 สถานีตามผลการศึกษาเดิมจะมีปริมาณผู้โดยสารในปี 2545 จำนวน 1,600,000 เที่ยว/คน/ปี ปี 2553 จำนวน 1,665,000 เที่ยว/คน/ปี และปี 2567 จำนวน1,786,000 เที่ยว/คน/ปี ให้ผลความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ 13.8% วัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงข่ายและระบบการขนส่งทางรถไฟ
และถือ เป็นเส้นทางสายยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านและเส้นทางรถไฟจากสาธารณรัฐประชาชนจีนตอนใต้ ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางของการค้า ขนส่งในภูมิภาค

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,574 14-16 ตุลาคม พ.ศ. 2553


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: MCL.Morchula shop ที่ วันที่ 15 ตุลาคม 2010, 21:40:58
งั้นขอลุ้นตอนที่ 2 ละกันค่ะ บ้านอยู่ไปทางเชียงแสนค่ะ
ขอบคุณสำหรับความรู้ดี ๆ ตลอดค่ะ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 ตุลาคม 2010, 21:18:22
สนข.เร่งใช้งบประมาณ'54
 
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 19 ตุลาคม 2553 22:26 น.
 

 
       ASTVผู้จัดการรายวัน-สนข.เร่งใช้งบปี 54 ลงนามจ้างที่ปรึกษา 9 โครงการใหม่ วงเงิน 221.67 ล้านบาท ทำแผนแม่บทจราจรในภูมิภาค บูรณาการโครงข่ายถนนและสะพานข้ามแม่น้ำในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และออกแบบรถไฟทางคู่ สายอีสานและใต้
       
        นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า สนข.ได้รับจัดสรรงบประมาณปี 2554 ในส่วนของการจัดจ้างที่ปรึกษา 9 โครงการใหม่ วงเงินรวม 221.67 ล้านบาท โดยจะสามารถเริ่มทยอยลงนามในสัญญาได้ตั้งแต่เดือนพ.ย. 2553 นี้ ซึ่งเป็นไปตามแผนการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณของกระทรวงคมนาคมในปี 2554 โดยในเดือนพ.ย. 2553 จะสามารลงนาม 4 โครงการ เดือนธ.ค. 2553 ลงนาม 3 โครงการ และเดือนม.ค. 2554 ลงนามอีก 2 โครงการ
        โดยทั้ง 9 โครงการประกอบด้วย 1.โครงการจ้างศึกษาสำรวจข้อมูลด้านการขนส่งและจราจรเพื่อจัดทำแผนแม่บทในภูมิภาค (ชัยนาท,พิจิตร,นครปฐม,สมุทรสาคร,ปทุมธานี,สุพรรณบุรี,อ่างทอง) โดยว่าจ้างมหาวิทยาลัยนเรศวร ศึกษาจ.ชัยนามและพิจิตร, มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี ศึกษา จ. นครปฐม,สมุทรสาคร , มหาวิทยาลัยขอนแก่น ศึกษา จ.ปทุมธานีและสุพรรณบุรี, มหาวิทยาลัยสุรนารี ศึกษา จ.อ่างทอง วงเงินรวม 18.72 ล้านบาท ระยะเวลา 8 เดือน (พ.ย.53-ก.ค.54)
        2.จ้างศึกษาการพัฒนาปรับปรุง บำรุงรักษาศูนย์เทคโนโลยีและการสื่อสาร เพื่อการบูรณาการข้อมูลด้านการจราจรและขนส่งอัจฉริยะ วงเงิน 29.71 ล้านบาท ระยะเวลา 14 เดือน (พ.ย.53- ธ.ค.54 ) 3.จ้างศึกษาสำรวจการจัดทำฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาระบบโครงข่าย ด้านการขนส่งและจราจรในเขตพื้นที่กลุ่มยุทธศาสตร์ชายแดนจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน ) วงเงิน 12.60 ล้านบาท ระยะเวลา 15 เดือน (พ.ย.53-ก.พ.55) 4. ค่าจ้างศึกษาพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าในเส้นทางขนส่งโลจิสติกส์แนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ และตะวันออก-ตะวันตกกับประเทศเพื่อนบ้าน วงเงิน 20.82 ล้านบาท ระยะเวลา 15 เดือน (พ.ย.53-ก.พ.55)
        5.จ้างศึกษาจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาและบูรณาการโครงข่ายถนนและสะพานข้ามแม่น้ำและการจราจรในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล วงเงิน 12.16 ล้านบาท ระยะเวลา 12 เดือน (ม.ค. –ธ.ค. 54) 6. จ้างศึกษาจัดทำแผนแม่บทในการพัฒนาระบบการขนส่งที่ยั่งยืนและลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ วงเงิน 20.88 ล้านบาท ระยะเวลา 15 เดือน (ม.ค. 54- เม.ย. 55) 7. จ้างศึกษาและพัฒนาระบบงานบริหารสำนักงานอัตโนมัติของสนข. วงเงิน 6.6 ล้านบาท ระยะเวลา 10 เดือน (ม.ค.-พ.ย. 54) 8. จ้างศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรถไฟทางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะเร่งด่วน ช่วงชุมทางจิระ-ขอนแก่น) วงเงิน 40.23 ล้านบาท ระยะเวลา 14 เดือน (มี.ค.54-เม.ย.55) 9.จ้างศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรถไฟทางคู่ (ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร) วงเงิน 59.94 ล้านบาทระยะเวลา 14 เดือน (มี.ค.54-เม.ย.55)
        ก่อนหน้านี้ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคมได้เร่งรัดให้ทุกหน่วยงานเตรียมความพร้อมในการใช้จ่ายงบประมาณปี 2554 โดยให้ทุกหน่วยงานจัดส่งทีโออาร์งานที่จะมีการเปิดประมูล จัดซื้อจัดจ้าง ให้กระทรวงภายในสิ้นเดือนพ.ย.2553 หากหน่วยงานใดไม่จัดส่งจะถือว่าเป็นความบกพร่องของหัวหน้าหน่วยงานนั้นๆ ทั้งนี้ เพื่อเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ 2554
       หลังจากที่การใช้จ่ายงบปี 2553 ของกระทรวงอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ส่วนงบประมาณปี 2555 ให้แต่ละหน่วยงานจัดทำทีโออาร์การประมูลจัดซื้อจัดจ้างแนบมาในการเสนอของบปี 2554 ด้วย โดยให้เวลาหลังจากนี้ 3 เดือน โดยหน่วยงานใดมีความพร้อมก็จะได้รับงบประมาณมากกว่าหน่วยงานที่ไม่พร้อม
        อย่างไรก็ตาม วานนี้ (19 ต.ค.) ได้มีการประชุมคณะกรรมการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณของกระทรวงคมนาคม ประจำปี 2553 ซึ่งได้รับการจัดสรร จำนวน 76,933.52 ล้านบาท ผลการเบิกจ่ายสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2553 จำนวน 66,170.22 ล้านบาท หรือ 86.01% ต่ำกว่าเป้าหมายรัฐบาล 7.99 % โดยในส่วนของงบลงทุน ได้รับจำนวน 48,655.79 ล้านบาท เบิกจ่ายได้ 39,354.12 ล้านบาท หรือ 80.88% สูงกว่าเป้าหมาย 5.88%
 
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000147553


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 ตุลาคม 2010, 21:34:47
ททท. เดินหน้าจัดกิจกรรมส่งท้ายปี 2553 กระตุ้นคนไทยเที่ยวในประเทศ

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เดินหน้าจัดกิจกรรมส่งท้ายปี 2553 กระตุ้นคนไทยเที่ยวในประเทศ
นางสาวเพ็ญสุดา ไพรอร่าม รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 4 ของปี 2553 ททท. เตรียมจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเริ่มต้นในงานเทศกาลออกพรรษาซึ่งจะจัดขึ้นใน 6 พื้นที่ลุ่มน้ำโขง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย หนองคาย เลย นครพนม มุกดาหาร และอำนาจเจริญ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่ ขณะที่เดือนพฤศจิกายน เตรียมงบประมาณกว่า 35 ล้านบาท จัดงานเทศกาลลอยกระทง ซึ่งจะดำเนินการทั่วประเทศใน 10 พื้นที่
นอกจากนี้ในเดือนธันวาคม ททท.เตรียมจัด 3 กิจกรรมเชิญชวนคนไทยเที่ยวในประเทศ ได้แก่ งานเทศกาลบอลลูนอินเตอร์เนชั่นแนลเฟสติวัล ณ เขื่อนขุนด่านปราการชล จังหวัดนครนายก ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-7 ธันวาคม 2553 โดยวันที่ 5 ธันวาคม 2553 จะจัดกิจกรรมพิเศษ แสง สี เสียง การแสดงม่านน้ำและการจุดพลุไฟ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปี 2554 โดยใช้งบประมาณในการจัดกิจกรรมทั้งสิ้นจำนวน 8 ล้านบาท / กิจกรรมจากเจ็ดเสมียนถึงสามร้อยยอด ซึ่งจะเป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นเรื่องของศิลปะเชิงสร้างสรรค์ของภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยเริ่มต้นที่ ต.เจ็ดเสมียน อ.โพธาราม จ.ราชบุรี จนถึง อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ใช้งบประมาณทั้งสิ้นจำนวน 7 ล้านบาท และกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในงานเคาต์ดาวน์ ณ ลานเซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์ โดยกิจกรรมในครั้งนี้ ททท.ร่วมกับบัตรวีซ่า ใช้งบประมาณจัดกิจกรรมทั้งสิ้น 7 ล้านบาท
รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การจัดกิจกรรมทั้งหมดเชื่อว่าจะสามารถส่งเสริมและกระตุ้นให้คนไทยเกิดการเดินทางในประเทศได้เพิ่มขึ้น

http://thainews.prd.go.th/view.php?m_newsid=255310180263&tb=N255310&return=ok&news_headline="%b7%b7%b7.%20%e0%b4%d4%b9%cb%b9%e9%d2%a8%d1%b4%a1%d4%a8%a1%c3%c3%c1%ca%e8%a7%b7%e9%d2%c2%bb%d5%202553%20%a1%c3%d0%b5%d8%e9%b9%


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 ตุลาคม 2010, 21:49:32
.เชียงราย ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานรองรับฤดูกาลท่องเที่ยวในปีนี้

จังหวัดเชียงราย ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานรองรับฤดูกาลท่องเที่ยวในปีนี้ ขณะที่ ททท. เตรียมเปิดตัวเว็บไซต์ www.facebook.com ชมรมคนเที่ยวเหนือ เปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว พร้อมถ่ายทอดประสบการณ์จริง
นายพินิจ หาญพานิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า หลายเดือนที่ผ่านมานักท่องเที่ยวให้ความสนใจเดินทางเที่ยวจังหวัดเชียงรายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะช่วงวันหยุด และ ช่วงเทศกาลซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนคนไทยเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20 จึงคาดการณ์ว่าปี 2553 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าพื้นที่ประมาณ 2 ล้านคน ทั้งนี้ปัจจัยบวกที่ส่งเสริมให้คนไทยเกิดการเดินทางเพิ่มขึ้นเนื่องจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ การพัฒนาเส้นทางคมนาคมให้ได้มาตรฐานเอเชีย การปรับปรุงท่าเรือในแม่น้ำโขง การปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค และการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ด้านรายได้จากการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงรายปีนี้คาดว่าจะมีประมาณ 3,000 ล้านบาท
ด้าน นางปนัดดา จันทร์ปัญญา ผู้อำนวยการกองตลาดภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท. เตรียมเส้นทางการท่องเที่ยวเพื่อกระจายนักท่องเที่ยวให้สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ในทุกฤดูกาลทั้ง 4 ภาค ซึ่งเบื้องต้นอยู่ในระหว่างการจัดเก็บข้อมูลเพื่อคัดแยกเทศกาลของแต่ละจังหวัด พร้อมนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ผ่าน www.facebook.com ชมรมคนเที่ยวเหนือ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว พร้อมถ่ายทอดประสบการณ์จริง เชื่อว่าจะสามารถเชื่อมโยงและเข้าถึงนักท่องเที่ยวได้มากยิ่งขึ้น

  ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : สุภาภรณ์ สุขันทอง   Rewriter : วาสนา ตาระเกตุ(2)
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th


 วันที่ข่าว : 20 ตุลาคม 2553 


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 ตุลาคม 2010, 15:34:03
โสภณ"คุมเข้มนโยบายใช้งบประมาณแสนล้าน ปี 54 ยันต้องโปร่งใสตรงไปตรงมา และตรวจสอบได้ ไม่หวั่นถูกพรรคร่วมรัฐบาลย้อนรอยสอบแต่ละโครงการ  ทางหลวงชูโครงการถนน 4 ช่องจราจรระยะที่ 2 จำนวน 9 เส้นทางงบกว่า 3,152 ล้านบาท ด้านทางหลวงชนบทไม่น้อยหน้าชูโครงการถนนไร้ฝุ่นเฟส 2 โครงการทางหลวงชนบทเพื่อการท่องเที่ยวเป็นจุดขาย ซ่อมถนนทั่วประเทศอีกหมื่นล้าน


 นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าได้มอบนโยบายให้แต่ละหน่วยงานใช้งบประมาณปี 2554 ไปแล้วว่าต้องใช้อย่างโปร่งใสตรวจสอบได้และขอให้ตรงไปตรงมา โดยเฉพาะงบของกรมทางหลวง(ทล.) กรมทางหลวงชนบท(ทช.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.)ที่ได้มากกว่าหน่วยอื่น ๆ จึงระมัดระวังในการดำเนินงาน และไม่หวั่นที่จะมีการตรวจสอบทั้งจากพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านเพราะปัจจุบันการดำเนินงานจะเปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบจากภาคประชาชนในแต่ละพื้นที่มากขึ้นทั้งการนำเสนอความเห็นและการสำรวจผลกระทบสิ่งแวดล้อม
 "แม้งบจะน้อยกว่าปีที่ผ่านมา โดยมีวงเงินแสนกว่าล้านบาท ซึ่งใช้จ่ายในโครงการที่จำเป็นเร่งด่วนก่อน เช่น การขยายถนน 4 เลนของกรมทางหลวงใน 9 เส้นทางที่ปัจจุบันสภาพการจราจรหนาแน่นมากขึ้นและเป็นเส้นทางหลัก ตลอดจนถนนโครงข่ายอื่น ๆ ที่จะต้องได้รับการพัฒนา ส่วนทางหลวงชนบทก็ยังให้ความสำคัญกับถนนไร้ฝุ่นเฟส 2 ก็ต้องผลักดันต่อไป เช่นเดียวกับการรถไฟฯที่จะเน้นไปที่ความปลอดภัยด้านการก่อสร้างสะพาน รั้ว ทางข้ามเพราะงบประมาณผูกพันข้ามปีจึงต้องทยอยดำเนินงาน แม้ช่วงนี้มีวิกฤติน้ำท่วมก็อาจจะมีการโยกงบประมาณไปใช้ในบางโครงการได้ซึ่งจะพิจารณาเมื่อได้รับรายงานครบทั้งหมดภายหลังจากเหตุการณ์กลับสู่ปกติแล้วอีกครั้ง"
 ด้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าในปี 2554 นี้กระทรวงคมนาคมจะได้รับงบประมาณจำนวน 109,070 ล้านบาทโดยแยกเป็นหน่วยงานราชการ 80,354 ล้านบาท และรัฐวิสาหกิจ 28,716 ล้านบาท และ 3 หน่วยงานจะได้รับงบประมาณมากกว่าหน่วยอื่น ๆ คือ กรมทางหลวงจำนวน  46,999 ล้านบาท ส่วนกรมทางหลวงชนบท  25,078 ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย 11,410 ล้านบาท
 "แต่ละหน่วยได้สรุปโครงการตามกรอบงบประมาณที่ได้รับมาแล้ว ซึ่งเห็นว่าเป็นโครงการเร่งด่วนและจำเป็น ทั้งกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทหรือแม้กระทั่งการรถไฟฯ ส่วนกรมอื่น ๆ เช่น กรมการขนส่งทางบกก็เพิ่มความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกด้านการทำเอกสารสำหรับการจดทะเบียนรถเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับกรมเจ้าท่าที่จะเน้นไปที่การสร้างเขื่อนป้องกันน้ำเซาะในหลาย ๆ พื้นที่ การสร้างท่าเรือและเรื่องความปลอดภัย ทางด้านกรมการบินพลเรือนจะเน้นไปที่การพัฒนาท่าอากาศยานทั่วประเทศจึงต้องเร่งฟื้นฟูให้กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมโดยเร็วที่สุดโดยจะจัดให้มีการตรวจสอบการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องโดยตลอด"
 นายวิชาญ คุณากูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่าหลาย ๆ โครงการเป็นการใช้เงินงบประมาณประจำปี แต่ยังมีหลายโครงการที่จะขอใช้เงินกู้มาดำเนินการ เช่น โครงการก่อสร้างอุโมงค์เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดเชียงใหม่-อำเภอหางดง วงเงิน 900 ล้านบาท โครงการก่อสร้างถนนด้านตะวันออก-ตะวันตก ช่วงชัยพฤกษ์-กาญจนาภิเษก งบ 2,300 ล้านบาท โครงการถนนเพื่อการท่องเที่ยวตะวันตก-ตะวันออก 6,000 กิโลเมตร โดยจะดำเนินการเป็นช่วง ๆ นอกจากนั้นยังมีโครงการซ่อมบำรุงทางทั่วประเทศกว่า 49,000 กิโลเมตรที่จะใช้งบประมาณ 10,000 ล้านบาทที่มีความจำเป็นด้วยเช่นกัน
 ส่วนนายวีระ เรืองสุขศรีวงศ์ อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวว่าปี 2554 จะเร่งผลักดันโครงการถนนมอเตอร์เวย์เส้นบางใหญ่-บ้านโป่ง-ราชบุรี ให้เชื่อมต่อไปยังนครปฐม-หัวหินอีกครั้ง โดยจะมีการศึกษาเพิ่มเติมในจุดเส้นทางใหม่เพื่อนำเสนอการพิจารณา ส่วนถนนเชื่อมโครงการในพื้นที่อำเภอหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ที่กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดนั้นมีแผนก่อสร้างสายหัวหิน-บรรจบทางเลี่ยงเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 12.4 กิโลเมตรอยู่แล้ว โดยเป็นงบผูกพันปี 2552-2555
 สำหรับรายละเอียดงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานได้รับในปี 2554 ประกอบด้วย  กรมทางหลวง 46,999 ล้านบาท โดยโครงการที่โดดเด่นได้แก่ การเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) จำนวน 9 เส้นทาง งบประมาณ 3,430 ล้านบาท  กรมทางหลวงชนบท ได้งบประมาณ  25,078 ล้านบาท ที่โดดเด่นนอกเหนือจากโครงการถนนไร้ฝุ่นเฟส 2 งบ 2,829 ล้านบาท  615 กิโลเมตรแล้วยังมีโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา(นนทบุรี1) วงเงิน 1,138 ล้านบาท โครงการบำรุงรักษาระบบโครงข่ายทางหลวงชนบท 9,983 ล้านบาท โครงการทางหลวงชนบทเพื่อการท่องเที่ยว 795 ล้านบาท และโครงการทางหลวงชนบทเพื่อการเชื่อมต่อระบบขนส่ง วงเงิน 826 ล้านบาท

 การรถไฟแห่งประเทศไทย 11,410 ล้านบาท ที่มีแผนดำเนินการได้แก่ โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการ 7,573 ล้านบาท โครงการปรับปรุงทางและสะพานตามจุดต่าง ๆ  การจัดหาเครื่องกั้นถนน 981 ล้านบาท โครงการศึกษาความเหมาะสมเส้นทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย 129 ล้านบาท การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.)ได้ 7,625 ล้านบาท โดยจะเน้นไปที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบการบริหารจัดการขนส่งและบริการ 1,412 ล้านบาท การทางพิเศษแห่งประเทศไทย 8,131 ล้านบาทมีโครงการที่เร่งด่วนคือการก่อสร้างระบบเก็บค่าผ่านทางและระบบควบคุมความปลอดภัยด้านการจราจรจุดเชื่อมต่อทางพิเศษบูรพาวิถีกับถนนวงแหวนอุตสาหกรรม งบ 1,220 ล้านบาท


 กรมเจ้าท่า 4,011 ล้านบาทจะเน้นไปที่การสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งพัง สร้างเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยา การขุดลอกทะเลสาบสงขลา  314 ล้านบาท สร้างท่าเทียบเรือ สร้างเขื่อนในจังหวัดนครพนม ที่อำเภอจอมทองเชียงใหม่  และที่เด่นชัย จังหวัดแพร่ 2,020 ล้านบาท และค่าผลิตบุคลากรด้านพาณิชย์นาวี  132 ล้านบาท กรมการขนส่งทางบก 2,120 ล้านบาท โครงการบริการด้านทะเบียนรถและใบอนุญาต 991 ล้านบาท โครงการก่อสร้างสำนักงานขนส่งสาขา แพร่-สุรินทร์และสมุทรปราการ 89 ล้านบาท โครงการพัฒนาความปลอดภัยและกำกับดูแลการขนส่งทางถนน 650 ล้านบาท องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) 1,308 ล้านบาท ที่จะนำไปใช้ชดเชยด้านการบริการสาธารณะเป็นหลัก


 ในส่วนหน่วยงานกรมการบินพลเรือน 1,351 ล้านบาท ได้แก่ การพัฒนาท่าอากาศยานในภูมิภาค 26 แห่ง 1,144 ล้านบาท สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) 454 ล้านบาท โครงการที่โดดเด่น ได้แก่ การศึกษาจัดทำแผนแม่บทการขนส่งและจราจรในภูมิภาค 317 ล้านบาท สถาบันการบินพลเรือน 241 ล้านบาท และสำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม 383 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,577  24-27  ตุลาคม พ.ศ. 2553

http://www.thannews.th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=45107:54&catid=128:-real-estate-&Itemid=478


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 ตุลาคม 2010, 15:35:17
'กิ๊กการ์ด'รุก ทุ่ม700ล้าน บัตรเที่ยวเก็บแต้ม
 
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 24 ตุลาคม 2553 20:47 น.
 
 
 
 
 
       ASTVผู้จัดการรายวัน - โกลบอล ไอ-แคร์ ปิ๊งไอเดียทุ่ม 700 ล้านบาท เปิดตัว”บัตรกิ๊กการ์ด” เพื่อการท่องเที่ยว ประเดิมจับมือพันธมิตร 10,000 รายทั่วประเทศ ร่วมรายงานสะสมแต้ม วางเป้า 2 ปี ผุดครบ 76 จังหวัด ทั่วประเทศ
       
       นางสาวรุจิวรรณ ปทุมเทวาภิบาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอล ไอ-แคร์ ผู้ดำเนินการบัตรกิ๊กการ์ด (Gic Card) เปิดเผยว่า บริษัทได้แตกไลน์บัตรกิ๊กการ์ดเพื่อการท่องเที่ยว โดยจับมือกับจังหวัดเพื่ออกบัตรดังกล่าว ทั้งนี้เบื้องต้นใช้เงินลงทุน 700 ล้านบาทสำหรับปีนี้ถึงปีหน้า ในการพัฒนาระบบเครื่องรูดบัตรเพื่อสะสมแต้ม และ ทำการตลาดสร้างการรับรู้ มีเป้าหมายเปิดตัวบัตรกิ๊กการ์ด ให้ครอบคลุม 76 จังหวัดภายใน 2 ปี ทั่วประเทศไทย มียอดผู้ถือบัตรเฉลี่ยจังหวัดละ 500,000- 1,000,000 ใบ รวมถึงหาพันธมิตรที่เป็นเครื่อข่ายร้านค้าที่ร่วมรายการรับรูดบัตรกิ๊กการ์ดที่ให้ได้ 10,000 แห่งทั่วประเทศ
       
       ทั้งนี้”กิ๊กการ์ด” เป็นบัตรสะสมแต้ม เพื่อแลกของรางวัล หรือแลกรับบริการจากร้านค้าที่เป็นพันธมิตร ที่ผ่านมา จับกลุ่มเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กร แต่มองเทรนด์การเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยว จึงแตกไลน์มาเจาะเป้าหมายผู้บริโภคท่องเที่ยวและพันธมิตรที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยกิ๊กการ์ด เริ่มเกิดขึ้นที่ประเทศออสเตรเลีย และขยายไปยังประเทศต่างๆ
       
       รวมถึงประเทศไทย ผู้ถือบัตรสามารถนำไปรูด เพื่อสะสมแต้มได้กับทุกร้านค้าที่ร่วมรายการทั่วประเทศ โดยการใช้จ่าย 1 บาท จะได้คะแนนสะสม 1 กิ๊ก หรือ 1 แต้ม แต้มที่สะสมได้จะนำไปแลกซื้อสินค้าและบริการ และ 10% ของแต้มที่ผู้สะสมจะถูกนำไปบริจาคให้กับองค์กรหรือมูลนิธิ ตามจังหวัดที่เป็นผู้ออกบัตรนั้น และ บัตรจะตัด 680 กิ๊ก ต่อปีเพื่อเป็นค่าธรรมเนียมการต่อบัตร
       
       “กิ๊กการ์ด ไม่ใช่บัตรเครดิต ไม่ใช่บัตรเดบิต แต่เป็นบัตรสะสมแต้ม มีภาพลักษณ์บัตรเหมือน บัตรการกุศล และบัตรธุรกิจ แต่ผู้ถือจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น แต่จะถูกหักจากแต้มที่สะสม และบริษัทก็นำไปเครมกับร้านค้าที่ร่วมรายการเอง โดยเบื้องต้น ทางบริษัท ได้จับมือกับบริษัทไปรษณีย์ไทย เป็นโซลูชั่นในการรับแลกของรางวัลซึ่งจะรวมถึงสินค้าและบริการที่สั่งซื้อจากไปรษณีไทยด้วย ส่วนตัวบัตรกิ๊กการ์ดเปิดตัวแล้ว 2 แห่ง ที่ภูเก็ตและพัทยา ล่าสุดเปิดที่เชียงราย ลำดับต่อไปจะเปิดที่ สมุยและเชียงใหม่ พร้อมกันนี้ยังจับมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในการขยายเครือข่ายบัตรนี้ ”
       
       อย่างไรก็ตาม บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาขยายบัตรกิ๊กการ์ด ไปเปิดตัวที่ประเทศสิงคโปร์ โดยสามารถใช้สะสมแต้มจากการใช้จ่าด้านการท่องเที่ยวและการขนส่งโดยรถไฟฟ้า และจะขยายต่อเนื่องไปยังประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เช่น ลาว กัมพูชา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเม็กซิโก เพื่อต่อยอดสู่เป้าหมายการเป็นบัตรสะสมแต้มที่สามารถใช้ได้ในทั่วโลกในอนาคต และจะขยายให้นำแต้มที่ใช้ในต่างประเทศกลับมาแลกสินค้าและบริการในประเทศที่จังหวัดผู้ออกบัตร โดยสามารถเปลี่ยนแต้มตามสกุลเงิน เช่น จ่ายเงินที่สิงคโปร์ 1 ดอลล่าร์ จะได้ 25 กิ๊กสำหรับบัตรจังหวัดท่องเที่ยวของไทยเป็นต้น มั่นใจบัตรกิ๊กการ์ดจะได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวและนักเดินทางทั่วโลก
 
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000149943


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 28 ตุลาคม 2010, 20:55:19
เชียงรายคึก-สิบสองปันนาขอจัดทัวร์ เชื่อมเที่ยว'อาร์ 3เอ'-นักเที่ยวจีนเพิ่มอีกล้าน



เชียงราย - นายอภิชา ตระสินธุ์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย เปิดเผยว่า สมาคมท่องเที่ยวเชียงราย และสำนักงานการท่องเที่ยวสิบสองปันนา รวมทั้งภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวของเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา ประสานความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสิบสองปันนาเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของจีนตอนใต้ และมีนักท่องเที่ยวไปเยือนปีละกว่า 7-8 ล้านคน ซึ่งถือวˆาเป?นจำนวนมาก สร‰างรายได‰จากการทˆองเที่ยวแกˆสิบสองป?นนาได‰มหาศาล

นายอภิชากลˆาววˆา สำนักงานท่องเที่ยวสิบสองปันนาได้ขอความร่วมมือจากสมาคมท่องเที่ยวเชียงรายว่า ในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมากต้องการเดินทางมาเยือนจ.เชียงราย หรือภาคเหนือของไทย ผ่านทางถนนอาร์สามเอ มณฑลยูนนาน-ลาว-เชียงของ สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะนักท่องเที่ยวจีนเริ่มมีฐานะดีตามภาวะเศรษฐกิจ ทำให‰มีการซื้อรถยนต์กันมาก จึงต้องการเดินทางทˆองเที่ยวด้วยรถยนต์ผ่านมาทางถนนสายอารŒสามเอ ดังกล่าว

นายกสมาคมทˆองเที่ยวจ.เชียงราย กลˆาวตˆอไปวˆา สำนักงานการท่องเที่ยวสิบสองปันนาขอให้จ.เชียงราย ทำโปรแกรมทัวร์ภายในจังหวัดไปเชื่อมกับเส้นทางดังกล่าวด้วย เพื่อจะได้ขายเป็นเส้นทางท่องเที่ยวหรือแพ็กเกจเดียวกัน ดังนั้น ทางสมาคมจึงอยู่ระหว่างดำเนินการเรื่องนี้ โดยจัดการประชุมเอกชนภายในจังหวัดเพื่อหาตัวแทนเอกชนที่จะเข้าร่วมโครงการเชื่อมทัวร์กับสิบสองปันนาต่อไป คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนพ.ย.นี้

"เรื่องนี้ถือว่าสำคัญต่อจ.เชียงราย เพราะปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวมาเยือนเชียงรายปีละประมาณ 1 ล้านคน หากโปรแกรมทัวร์เชื่อมเชียงราย-สิบสองปันนาแล้วเสร็จ ก็เป็นไปได้ที่จะมีนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1 ล้านคน เป็น 2 ล้านคน ซึ่งจะทำให้มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างมาก" นายอภิชา กลˆาว

หน้า 29
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd2NtOHdNVEk0TVRBMU13PT0=&sectionid=TURNeE13PT0=&day=TWpBeE1DMHhNQzB5T0E9PQ==


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 31 ตุลาคม 2010, 21:21:42
เทศบาลนครเชียงราย จัดให้มีพิธีฉลอง ถนนคนเดิน  กาดเจียงฮายรำลึก ครบรอบ 2 ปี มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวคึกคัก

นายสมพงษ์ กูลวงค์ นานยกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงราย ได้จัดให้มีพิธีฉลอง ถนนคนเดิน  กาดเจียงฮายรำลึก ครบรอบ 2 ปี ขึ้น ณ สวนตุงและโคมเชียงราย เฉลิมพระเกียรติ และ ตลอดถนนธนาลัย เขตเทศบาลนครเชียงราย กว่า 1.5 ก.ม. มีการนำสินค้าของที่ระลึก อาหาร และการแสดง มาให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อและชมกัน ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นสบาย กว่า 1,000 ร้านค้า โดยเทศบาลนครเชียงราย เก็บค่าเช่า ร้านค้าเริ่มต้นที่คืนละ 50 บาท  
 
นาย สามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ได้เป็นประธานในการเปิดงาน พร้อมปล่อยโคมลอย 99 ดวง และร่วมมอบรางวัลในการประกวดภาพถ่ายถนนคนเดิน และชุมชนต่างๆที่เข้าประกวด ซึ่งถนนคนเดิน กาดเจียงฮายรำลึก จัดมาครบ 2 ปี แล้ว และได้รับความสนใจจากประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวกันทุกเย็นวันเสาร์ และจะมีการจัดไปต่อเนื่อง และขยายพื้นที่ตามคำเรียกร้อง พร้อมปรับปรุงให้ตรงใจนักท่องเที่ยวมากที่สุด

http://www.posttoday.com


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 01 พฤศจิกายน 2010, 14:06:28
วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7277 ข่าวสดรายวัน


เริ่มหนาวแล้ว-เชียงรายคึกคัก



เชียงราย - นายสมเกียรติ ชื่นธีระวงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรม จ.เชียงราย เปิดเผยว่า ในปัจจุบันอากาศในพื้นที่ภาคเหนือโดยเฉพาะเชียงรายเริ่มเย็นลง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ดีและทำให้ฤดูท่องเที่ยวเริ่มต้นขึ้นแล้ว และที่ผ่านมาได้ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศจองห้องพักในพื้นที่กันยาวไปจนถึงเดือนธ.ค.หรือเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เชื่อว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวของเชียงรายจะกลับมาคึกคักขึ้นอย่างแน่นอน

นางรุจิรา ใจจักร์ นายก อบต.แม่สลองใน อ.แม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า อบต.แม่สลองใน กำหนด จัดงานวัฒนธรรมชาวดอย ดอกบัวตองบานที่หัวแม่คำ ครั้งที่ 21 ระหว่างวันที่ 13-14 พ.ย. จัดการแสดงชนเผ่าทั้ง 7 ชนเผ่า การแสดงกระทุ้งกระบอกไผ่ชองชนเผ่าอาข่า และการแสดงชนเผ่าจีนฮ่อ ชนเผ่าเย้า ชนเผ่าม้ง ชนเผ่าลีซอ และชนเผ่าลาหู่ ชมดอกบัวตองบานสะพรั่งรอบหมู่บ้าน สำหรับวัน 13-14 พ.ย. ร่วมทำบุญตักบาตรพระขี่ม้าบิณฑบาตบริเวณภายในหมู่บ้าน

หน้า 29

http://www.khaosod.co.th/view_news.p...hNUzB3TVE9PQ==


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 03 พฤศจิกายน 2010, 14:16:20
เป้าหมายของอาเซียน (บทบรรณาธิการ)



การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่17ที่กรุงฮานอยสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามในวันที่ 28 - 30 ตุลาคมที่ผ่านมานั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีของไทยได้เสนอแผนการที่เรียกชื่อว่า"อาเชี่ยนคอนเน็คติวิตี้"เพื่อให้ที่ประชุมสุดยอดผู้นำทั้ง 10 ชาติให้ความเห็นชอบในหลักการ

หลักการนี้จะนำไปสู่เป้าหมายในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้าที่จะทำให้กลุ่มชาติอาเชี่ยนมีฐานะเป็นหนึ่งเดียวเช่นเดียวกับสหภาพยุโรป นายกรัฐมนตรีของไทยได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่รายงานข่าวการประชุมสุดยอดครั้งนี้ว่าจะเป็นก้าวแรกที่จะทำให้อาเชี่ยนมีสภาพเป็นอาเชี่ยนยูเนี่ยนในอนาคต

วิธีการดังกล่าวคือให้ชาติอาเชี่ยนยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของเส้นทางคมนาคมซึ่งจะทำให้เป็นสะพานข้ามช่องว่างของการพัฒนาในระหว่างชาติสมาชิกทำให้อาเชี่ยนมีเส้นทางคมนาคมขนส่งทัดเทียมกับภูมิภาคอื่นๆของโลก

แผนของนายกรัฐมนตรีไทยก็คือการก่อสร้างทางหลวงที่มีมาตรฐานเชื่อมโยงกันตั้งแต่เมียนม่าร์ที่เริ่มสร้างทางหลวงมาตรฐานดีจากชายแดนอินเดียมาสู่ร่างกุ้งผ่านเข้าประเทศไทยที่แม่สอดผ่านมาถึงพิษณุโลกซึ่งมีทางหลวงเชื่อมไปที่เชียงใหม่และลงมากรุงเทพมหานครผ่านลงไปทางภาคใต้ของไทยที่หาดใหญ่และเข้าไปยังมาเลเซียไปสิ้นสุดทางหลวงที่สิงคโปร์

อีกด้านหนึ่งเมียนม่าร์จะสร้างทางหลวงเข้าไปเชื่อมกับจีนไปถึงมณฑลยูนานและเสฉวนเข้ามาเชื่อมกับทางหลวงของไทยที่เชียงรายซึ่งจะมาเชื่อมต่อถึงพิษณุโลกจากจุดนี้จะมีทางหลวงไปยังขอนแก่นผ่านอุดรธานีและหนองคายไปสู่กรุงเวียงจันทร์ในลาว

ส่วนลาวนั้นก็จะมีการสร้างทางหลวงจากเวียงจันทร์ไปยังเวียดนาม 2 สาย สายหนึ่งไปที่กรุงฮานอย อีกสายไปที่โฮจิมินห์ซิตี้และยังมีทางหลวงอีกสายผ่านหลวงพระบางไปเชื่อมต่อกับจีนที่เชียงรุ้ง ด้านกัมพูชานั้นจะมีทางหลวงจากอรัญประเทศผ่านกรุงพนมเป็ญไปยังโฮจิมินห์ซิตี้ในเวียดนามและอีกสายหนึ่งจากพนมเป็ญไปเชื่อมต่อกับลาวผ่านจำปาศักดิ์และสุวรรณเขตไปสู่เวียงจันทร์

นอกจากทางหลวงแล้วจะต้องสร้างทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่ออินเดียผ่านเมียนม่าร์และไทยออกไปสู่ลาวที่จะเชื่อมโยงไปสู่จีน เวียดนามและกัมพูชา ส่วนไทยก็จะมีทางรถไฟความเร็วสูงจากกรุงเทพฯไปมาเลเซียและสิ้นสุดที่สิงคโปร์

ผู้นำไทยคาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนตามแผนระหว่าง 750 พันล้านดอลล่าร์ถึง 770 พันล้านดอลล่าร์ซึ่งจะมีการระดมทุนจากชาติสมาชิกอาเชี่ยนจากธนาคารโลกและธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเซียรวมไปถึงการกู้ยืมจากชาติมหาอำนาจ

เมื่อแผนสำเร็จก็จะทำให้อาเชี่ยนมีการคมนาคมขนส่งทันสมัยเช่นเดียวกับยุโรปซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของกลุ่มอาเชี่ยนที่มีประชากรรวมกัน 600 ล้านคนมีความก้าวหน้าไม่แพ้ทวีปอื่นๆอย่างแน่นอน


http://www.naewna.com/news.asp?ID=234880


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 04 พฤศจิกายน 2010, 10:51:38
วันที่ 04 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4259  ประชาชาติธุรกิจ


"ท่องเที่ยว" พลิกแผนหลังน้ำท่วม ทัวร์หนาวทะลักเหนือลุ้น "ลอยกระทง-เคานต์ดาวน์"




 
น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี ทำให้ภาคกลาง 19 จังหวัด ภาคอีสานตอนล่าง นครราชสีมา และตอนบน อุบลราชธานี จมอยู่ใต้น้ำภายในเวลาอันรวดเร็ว ตามมาด้วยภาคใต้ชายฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน หาดใหญ่ สงขลา เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี ส่งผลเสียหายต่อภาคการเกษตร ชีวิตและทรัพย์สิน ลุกลามต่อเนื่องมาถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งระบบในฤดูขายปลายปีนี้ กลายเป็นวิกฤตกระจายพื้นที่ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้บางส่วน แต่อีกด้านหนึ่งกลับเป็นโอกาสของภาคเหนือตอนบน และภาคใต้บางโซน มีนักท่องเที่ยวคนไทยและชาวต่างชาติแห่จองห้องพักล่วงหน้าเกินกว่า 70%

ก.ท่องเที่ยวผนึกเจ้าของแหล่งฟื้นฟูหลังน้ำท่วม

ผู้ประกอบการโรงแรม รีสอร์ต บริษัทนำเที่ยว บริษัทบริการขนส่ง ทางรถ ทางเรือ สายการบิน ร้านอาหาร ร้านขายของยังมีความหวังหลังน้ำท่วมจะได้มีโอกาสทำเงินจาก 2 เทศกาลระดับเวิลด์อีเวนต์ คือ งานประเพณีลอยกระทง และเทศกาลความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ (countdown) ทั่วทุกภาคของประเทศ

นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า นโยบายให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งนี้ จะใช้วิธีร่วมมือพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงเจ้าของสถานที่ท่องเที่ยว เช่น กระทรวงวัฒนธรรม เจ้าของ วัด ศิลปะ โบราณสถานต่าง ๆ ภาคกลางเสียหายหลายแห่ง หรือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เจ้าของอุทยานแห่งชาติ แถบภาคอีสาน

ส่วนการเยียวยากลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวในแต่ละภาค ได้มอบให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดำเนินการปรับแผนกิจกรรม การตลาดและการขาย ทั้งภายในประเทศและทั่วโลกให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยยังมั่นใจปลายปีนี้เป็นฤดูท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวโดยภาพรวมจะดีกว่าช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา และแน่นอนในพื้นที่น้ำท่วมจำนวนนักท่องเที่ยวย่อมลดลง โดยจะหันไปท่องเที่ยวพื้นที่อากาศหนาวเย็นทางภาคเหนือเพิ่มขึ้น
 


"เชียงใหม่-เหนือ" ทัวร์ฤดูหนาวแน่น 2 หมื่นห้อง

นายสราวุฒิ แซ่เตี๋ยว นายกสมาคมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มผู้ประกอบการโรงแรม รีสอร์ตภาคเหนือ รายงานยอดจองพักช่วงฤดูหนาวปีนี้ดีมาก ที่พักในจังหวัดเชียงใหม่รับจองล่วงหน้าแล้วกว่า 50-70% หรือคิดเป็นประมาณเกือบ 15,000- 20,000 ห้อง จากห้องพักที่มีทั้งหมด 35,000 ห้อง ทางเชียงราย แม่ฮ่องสอน ก็เช่นกัน สภาพอากาศหนาวเย็นบวกกับธรรมชาติสวยงามเป็นแม่เหล็กดึงดูดตลาดคนไทยได้มากกว่าทุกปี

มั่นใจการท่องเที่ยวภาคเหนือช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีนี้จะคึกคักเป็นพิเศษ จึงเตรียมจัดกิจกรรมต้อนรับนักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติ 2 งานใหญ่ งานแรก "ประเพณียี่เป็ง" หรือลอยกระทงตามแบบล้านนา ระหว่าง 20-22 พฤศจิกายนนี้ งานที่ 2 จัดมหกรรม "พลุเฉลิมพระเกียรติ" เป็นครั้งแรกในเชียงใหม่ โดยมีเจ้าภาพคือกระทรวงกลาโหม ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 31 ธันวาคมนี้-1 มกราคม 2554 ณ สนามกีฬาเชียงใหม่ 700 ปี

นายกงกฤช หิรัญกิจ เจ้าของโรงแรมสีมาธานี จ.นครราชสีมา และประธานด้านนโยบายสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่น้ำท่วมถึงในตัวเมืองนครราชสีมา ซึ่งเป็นประตูของภาคอีสาน ส่งผลให้ความเสียหายลุกลามไปทั่วทุกจังหวัด ทั้งภาคการค้า การลงทุน เกษตร พาณิชย์ และธุรกิจท่องเที่ยวบริเวณพื้นที่จุดขาย อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งมีโรงแรม รีสอร์ต เป็นจำนวนมากที่สุด กำลังซื้อทั้งหมดหายไปทันที เนื่องจากอีสานเป็นภาคที่มีคนไทยท่องเที่ยว 97% ต่างชาติเพียง 3% พอเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม คนไทยเองไม่มีอารมณ์จะใช้เงินพักผ่อนสักเท่าไร ส่วนหน่วยงานต่าง ๆ ช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็พากันยกเลิกการจัดประชุม สัมมนาทั้งหมด

เฉพาะโรงแรมสีมาธานีแห่งเดียว ถูกยกเลิกประชุม สัมมนา คิดเป็นมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท เปรียบเทียบไม่ได้กับโรงแรมปริ๊นเซส โคราช โดนน้ำท่วมเสียหายทั้งทรัพย์สิน ต้องลงทุนปรับปรุงใหม่ และต้องใช้เวลาซ่อมแซมอีกสักระยะไม่สามารถให้บริการได้

ททท.ภาคกลาง 19 จังหวัดปรับแผนฉุกเฉิน

นายวัฒนพงษ์ โพธิ์นิ่มแดง ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานลพบุรี กล่าวว่า ดูแลการท่องเที่ยว 3 จังหวัด สระบุรี สิงห์บุรี ลพบุรี ขณะนี้ทุกพื้นที่น้ำลดแล้ว เริ่มจัดทำแผนฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยว และหารือกับภาคเอกชนท่องเที่ยว ผู้ว่าราชการจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึง ททท.ภาคกลาง เพื่อร่วมมือกันปรับแผนกิจกรรมการตลาดช่วง 2 เดือนนี้ พฤศจิกายน-ธันวาคม กระตุ้นการท่องเที่ยวกลับเข้าพื้นที่ให้ได้มากสุดเท่าที่จะทำได้

เบื้องต้นจะช่วยกันทำความสะอาดสถานที่เพื่อต้อนรับคนที่จะเดินทางเข้ามา จากนั้นทาง ททท.ภาคกลาง 19 จังหวัด เตรียมประชุมร่วมกัน 6-8 พฤศจิกายนนี้ เพื่อนำงบฯที่มีมารวมกันทำอีเวนต์ให้ยิ่งใหญ่ สร้างกิจกรรมขายเป็นทีมเดียวกัน เพิ่มความแรงและน้ำหนักดึงความสนใจ ดีกว่าแยกทำเป็นรายพื้นที่

นายธวัชชัย อรัญญิก รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. กล่าวว่า ระหว่างนี้ได้ประชุมร่วมกับภาคเอกชนกลุ่มรถค่ายต่าง ๆ เพื่อร่วมมือกันจัดกิจกรรมรายการใหญ่ กระตุ้นและรณรงค์ส่งเสริมคนไทยขับรถท่องเที่ยวหลังน้ำท่วม ขณะนี้ทางค่ายโตโยต้าสนใจโครงการนี้ แต่ความต้องการโดยรวมของทุกจังหวัดก็อยากให้รถยนต์ทุกค่ายเข้ามาสมทบทำให้เกิดโมเมนตัมชวนนักท่องเที่ยวเดินทางมาก ๆ ช่วงปลายปีนี้ เพื่อกระจายรายได้สู่โรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายสินค้าและชุมชนอย่างทั่วถึง

สำหรับภาคใต้ หาดใหญ่และเกาะสมุยเจอพายุถล่มน้ำท่วมฉับพลันเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ผู้ประกอบการท่องเที่ยวส่วนใหญ่ระบุยังพอจะรับมือได้ เพราะคาดสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้นตามลำดับหลัง 15 พฤศจิกายนนี้ จากนั้นก็จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติทยอยเข้ามาพักตามปกติ ตลอดธันวาคมนี้จนถึง กุมภาพันธ์ 2554

งานเที่ยวเมืองไทย 4-7 พ.ย.นี้ โปรโมชั่นอื้อ

นายกฤตย์ พัตรปาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พี.เค.เอ็กซิบิชั่น แมเนจเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า ในฐานะผู้จัดงาน "ไทยเที่ยวไทย เที่ยวคุ้ม ส่งท้ายปี ครั้งที่ 20" ระหว่าง 4-7 พฤศจิกายนนี้ ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 3-4 มีเจ้าของธุรกิจท่องเที่ยวจองบูทเปิดขายในงาน 760 บูท ในจำนวนนี้เป็นขาประจำกว่า 70% ซึ่งเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยว เช่นเดียวกับเหตุการณ์น้ำท่วมภาคอีสานอย่างอุบลราชธานี นครราชสีมา ซึ่งโรงแรมรีสอร์ตในทำเลน้ำไม่ท่วมเตรียมแพ็กเกจปลายฝนต้นหนาวมาขาย ภาคอื่นอย่างหัวหิน ชะอำ เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ แห่เปิดบูท ขายกว่า 40 บูท แต่ละจังหวัดต่างก็ทำโปรโมชั่นรับลมหนาวลดตั้งแต่ 20-50% และกองทัพสถาบันการเงินจากธนาคารต่าง ๆ ก็หันมาขยายฐานจากตลาดการท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน เตรียมโปรดักต์ ลดเพิ่มอีกให้แก่ผู้ซื้อที่ได้ส่วนลดจากธุรกิจท่องเที่ยวแล้ว

ในจังหวะการจัดงานหลังน้ำท่วมซึ่งถือเป็นวิกฤตของหลายจังหวัด แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถสร้างโอกาสใหม่ขึ้นมาได้ และเป็นผลดีกับนักท่องเที่ยวทั่วไปจะได้เที่ยวเมืองไทยช่วงฤดูท่องเที่ยว (hi season) ด้วยราคาคุ้มค่าเงิน และคาดตลอด 4 วัน รายได้จะสะพัดไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท

เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่คราวนี้ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเจอวิกฤตพอ ๆ กับภาคธุรกิจอื่น แต่ทุกจังหวัดทุกภาคยังคงรอน้ำใจจากคนไทยแห่กันมาอุดหนุน 2 อีเวนต์ใหญ่ปลายปี คือประเพณีลอยกระทง และฉลองความสุขคืนเคานต์ดาวน์ 31 ธันวาคมนี้

หน้า 2
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02edi01041153&sectionid=0212&day=2010-11-04


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 พฤศจิกายน 2010, 15:05:36
เปิดวิสัยทัศน์ “ธนชาติ” ผอ.ใหม่ซอฟต์แวร์พาร์ก เน้น 5 บทบาทหลัก 7 แผนปฏิบัติการเร่งด่วน หวังปี 54 เกิดสาขาใหม่อย่างน้อย 3 สาขา เกิดศูนย์ทดสอบซอฟต์แวร์มือถือ เปิดตัวฟรีแลนซ์สเปซรับกระแสคลื่นลูกใหม่ ผลักดันโซลูชันซอฟต์แวร์และสร้างศูนย์ทดสอบซอฟต์แวร์
       
       นายธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย หรือ ซอฟต์แวร์พาร์ค กล่าวว่า แนวโน้มอุตสากรรมซอฟต์แวร์โลกและในประเทศไทยกำลังก้าวสู่ยุคคลาวด์ คอมพิวติ้ง ทำให้หน่วยงานอย่างซอฟต์แวร์พาร์กจำเป็นต้องปรับยุทธศาสตร์ขององค์กรตามไปด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป
       
       สิ่งแรกที่ซอฟต์แวร์พาร์กจะต้องปรับอย่างเร่งด่วน ก็คือ บทบาทของซอฟท์แวร์พาร์กให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงตามเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในเวลานี้ โดยได้กำหนดบทบาทของซอฟต์แวร์พาร์กไว้ 5 บทบาท หนึ่ง คงบทบาทให้ซอฟต์แวร์พาร์กเป็นจุดศูนย์กลาง หรือแลนด์มาร์กของธุรกิจซอฟต์แวร์ไทยต่อไป สอง เป็นที่ปรึกษาทางด้านเทคโนโลยีใหม่ให้กับวงการซอฟต์แวร์ไทย สาม สร้างความเข้มแข็งให้กับตลาดอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย สี่ มุ่งสร้างความต้องการของตลาดซอฟต์แวร์ในประเทศให้เติบโตแบบยั่งยืน และห้า สร้างความร่วมมือแนวใหม่ หรือ New Collaborative
       
       “ความร่วมมือแนวใหม่ ถือเป็นบทบาทใหม่ของซอฟต์แวร์พาร์ก เนื่องจากเทคโนโลยีใหม่ไม่ว่าจะเป็นโมบาย หรือคลาวด์ คอมพิวติ้งทำให้ตลาดเปลี่ยนแปลงไป โดยตลาดใหญ่จะเป็นตลาดระดับโลก”
       
       นายธนชาติ กล่าวถึงโครงการสำคัญในปีหน้านั้น มีโครงการสำคัญอยู่ 7 โครงการ ประกอบไปด้วย หนึ่ง โครงการขยายสาขาของซอฟต์แวร์พาร์ก โดยร่วมมือภาคเอกชนและเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์อื่นๆ มีความเป็นไปได้ที่อาจะใช้ระบบแฟรนไชส์ มตั้งแต่ระดับเล็ก กลาง ใหญ่ คาดว่า จะมีเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ขนาดเล็กเกิดขึ้นใหม่ 2 แห่ง และขนาดกลางเกิดขึ้น 1 แห่ง และในระยะยาวจะมีการเติบโตของธุรกิจซอฟต์แวร์พาร์กถึง 100% ภายใน 5 ปีนี้
       
       สอง โครงการสร้างฟรีแลนซ์ สเปซแห่งแรกให้เกิดขึ้นในเมืองไทย ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาเรื่องสถานที่ และเงื่อนไข ทั้งในส่วนของผู้จ้างงานและผู้รับจ้างอิสระ สาม โครงการพัฒนาระบบโมบายและคลาวด์ของวงการซอฟต์แวร์ไทย โดยใช้ซอฟต์แวร์ทั้ง 2 เทคโนโลยีเป็นเรือธงในการขับเคลื่อน เนื่องจากเทคโนโลยีนี้มีผลกระทบในวงกว้างกับอุตสาหกรรมอย่างมาก โดยซอฟต์แวร์พาร์กจะมีการตั้งศูนย์ทดสอบซอฟต์แวร์ที่ใช้กับโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เนื่องจากการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้ผ่านระบบโทรศัพท์มือถือเป็นเรื่องยุ่งยากและใช้ต้นทุนสูง เนื่องจากมีหลายระบบปฏิบัติการ
       
      สี่ โครงการผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพด้านไอทีป้อนตลาด เป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการนำร่องที่จังหวัดเชียงราย โดยรับนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมาฝึกงานกับบริษัทซอฟต์แวร์ที่เน้นทำให้บัณฑิตมีความสามารถในการทำงานด้านซอฟต์แวร์อย่างแท้จริง ห้า โครงการนำเสนอโซลูชันทางด้านซอฟต์แวร์ โดยซอฟต์แวร์พาร์กจะประสานงานกับบริษัทนักพัฒนา สมาคมวิชาชีพ และหน่วยงานรัฐเพื่อรวบรวมและจัดซอฟต์แวร์ให้เป็นหมวดหมู่สำหรับแต่ละอุตสาหกรรม หก โครงการสร้างนักทดสอบซอฟต์แวร์ให้เกิดขึ้นอย่างจริงจังในประเทศไทย และสุดท้าย โครงการทำอี-มาร์เก็ตเพลซ
       
       “ซิป้าจะเหมือนบีโอไอส่งเสริมการลงทุน แต่เน้นซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์พาร์คเหมือนนิคมอุตสาหกรรมไม่ใช่ผู้ประกอบการ 50 กว่าราย แต่เป็นนิคมที่ใหญ่มหาศาล ถึงแม้เราจะไม่ใช่องค์กรใหญ่โต แต่ต้องการสร้างโมเดลในการสร้างคน สนับสนุนผู้ประกอบการให้แข็งแกร่งแข่งต่างชาติได้"

http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000156233


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 พฤศจิกายน 2010, 15:06:07
เชียงราย - เตือนนักท่องเที่ยวขึ้นเชียงรายระวังการใช้รถ ใช้ถนน หลังทางหลวงเริ่มลงมือก่อสร้าง-ปรับปรุงหลายเส้นทาง รองรับแผนพัฒนาการค้า-การลงทุนผ่านสะพานข้ามโขง 4-ท่าเรือเชียงแสน 2

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016573901.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016573902.JPEG)
       
       นายจิรศักดิ์ วงศ์ศิริวัฒน์ ผู้อำนวยการแขวงการทางเชียงรายที่ 1 เปิดเผยว่า แขวงการทางเชียงรายที่ 1 กรมทางหลวง มีกำหนดจะทำการบูรณะทางหลวงสายหลักอีกเส้นทางหนึ่งคือเส้นทางหลวงหมายเลข 1 จึงได้กำหนดให้ใช้ช่องทางการจราจรร่วมทางเดียวกันในการสัญจรไป-มา ตามเส้นทางการจราจร ทั้ง 2 เส้นทาง
       
       ประกอบไปด้วย เส้นทางระหว่าง กม.806+300 ถึง กม.806+600 ระหว่างทางแยกไปจากถนนพหลโยธินสายเชียงราย-พะเยา ไปทาง อ.แม่สรวย หรือถนนไป จ.เชียงใหม่ โดยเส้นทางนี้จะเปิดให้ใช้รถวิ่งช่องทางซ้ายสวนทางกันตั้งแต่วันที่ 3-30 พ.ย.นี้
       
       อีกเส้นทางหนึ่งจะดำเนินการตั้งแต่ระหว่าง กม.815+850 ถึง กม.816+250 ระหว่างทางแยกร่องขุ่น ต.ป่าอ้อดอนชัย เข้าไปทางน้ำตกขุนกรณ์ กำหนดปิดการจราจรในช่องจราจรทางขวาและเปิดให้วิ่งรถเลนซ้ายสวนทางเช่นเดียวกัน ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย.-15 ธ.ค.นี้ ดังนั้นทางแขวงการทางเชียงรายที่ 1 จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้เส้นทางการจราจรดังกล่าว ได้ระมัดระวังในการสัญจรและขออภัยในความไม่สะดวกรวมทั้งยืนยันจะเร่งทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลาดังกล่าวแน่นอน
       
       นอกจากนี้ กรมทางหลวงยังได้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนเชื่อมโครงข่ายชายแดนอีกหลายแห่ง เช่น สาย อ.แม่จัน-เชียงแสน ระยะทาง 19.2 กิโลเมตร ด้วยงบประมาณ 630 ล้านบาท โดยระหว่างรองบประมาณอีก 540 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างช่วงที่ 1 ถนนเชื่อม อ.แม่สาย-เชียงแสน ระยะทาง 30.6 กิโลเมตร ด้วยงบประมาณ 300 ล้านบาท ถนนสาย อ.เชียงแสน-เชียงของ ระยะทาง 59 กิโลเมตร ด้วยงบประมาณ 995 ล้านบาท รวมทั้งอยู่ระหว่างของบประมาณ 850 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างถนนสายเชียงราย-เชียงของ ช่วงที่ 3 ซึ่งเหลืออีกเพียง 25 กิโลเมตร เพื่อให้แล้วเสร็จปี 2554 ด้วย ทำให้ที่ผ่านมามีงบประมาณจากโครงการก่อสร้างถนนสายต่างๆ ลงสู่พื้นที่ไม่ต่ำกว่า 4,500 ล้านบาท และในปี 2554 ก็จะเพิ่มเติมอีกประมาณ 270 ล้านบาท โดยถนนทุกสายมุ่งสู่สะพานข้ามแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000156303 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000156303)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 พฤศจิกายน 2010, 15:15:31
เชียงรายหนาวมาก!! ยอดดอย 5 องศา-เตรียมประกาศ 18 อ.พื้นที่ภัยหนาว
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 พฤศจิกายน 2553 08:44 น.
 
 
       สภาพอากาศในพื้นที่ จ.เชียงราย ยังคงหนาวเย็นอย่างต่อเนื่อง โดยอุณหภูมิลดต่ำลง ทางสถานีอุตุนิยมวิทยาเชียงราย รายงานการตรวจวัดอุณหภูมิต่ำสุด ในเช้าวันนี้ที่ ต.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย ซึ่งเป็นพื้นราบ สามารถวัดได้ 13.3 องศาเซลเซียส ซึ่งถือว่าหนาวเย็นอย่างมาก ขณะที่ อากาศตามยอดดอยถือว่าหนาวจัดในทุกพื้นที่ อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 5-6 องศาเซลเซียส
        ขณะที่ สำนักงานป้องกันภัย จ.เชียงราย เขต 15 ได้มีการประกาศเตือนประชาชนให้เตรียมรับมือกับอากาศหนาวเย็นที่จะลดต่ำลงอีก และได้มีการเร่งสำรวจพื้นที่ของ จ.เชียงราย ที่กำลังประสบกับภัยอากาศหนาว ซึ่งจากการสำรวจทาง ปภ. คาดว่า อาจจะต้องมีการประกาศให้พื้นที่ของ จ.เชียงราย 18 อำเภอ เป็นเขตประสบภัยหนาวหากอุณภูมิยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าอากาศจะนาวเย็นนาน
 
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9530000156136


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 พฤศจิกายน 2010, 23:07:15
ประชุมหอการค้าทั่วปท.ปัดฝุ่นโครงการรถไฟเด่นชัย-ชร.
   
 5 พย. 2553 17:39 น.  สนับสนุนโดย NECTEC


นายวิรุณ คำภิโล ประธานหอการค้าจ.เชียงราย กล่าวว่า ในการประชุมหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 28 ระหว่างวันที่ 26 -28 พฤศจิกายน 2553 นี้ที่จ.ขอนแก่น หอการค้าจ.เชียงรายเตรียมเรื่องเพื่อนำเสนอในที่ประชุมเพื่อขอมติจากหอการค้าทั่วประเทศร่วมผลักดันและนำเสนอผลการประชุมต่อรัฐบาล ประเด็นหลัก คือ การพัฒนาศักยภาพระบบโลตจิสติกส์ของจ.เชียงรายและภาคเหนือ ทั้งทางบกและทางน้ำ โดยเฉพาะการหยิบยกเรื่องโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายเด่นชัย - เชียงราย ซึ่งหอการค้าฯเคยเรียกร้องผ่านรัฐบาลแล้วหลายครั้งแต่ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร เดิมเคยอ้างอิงความจำเป็นกรณีจีนให้ความสนใจจะขยายเส้นทางรถไฟผ่านลาวเชื่อมมายังชายแดนไทยด้านจ.เชียงราย แต่เมื่อไทยล่าช้าจีนจึงหันไปขยายเส้นทางรถไฟผ่านลาว พม่า เชื่อมไปยังเวียดนามและกัมพูชาแทน

แต่ทั้งนี้หอการค้าฯยังมองเห็นลู่ทางและโอกาสการขยายเส้นทางรถไฟสายเด่นชัย -เชียงราย เพราะช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งได้มากกว่า 3 - 4 เท่าตัว และเพื่อเชื่อมต่อกับเส้นทางอาร์ 3 เอ ผ่านไทย-ลาว -จีน ซึ่งเปิดใช้อย่างเป็นทางการมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ขณะเดียวกันโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงตามแนวเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor) (เชียงของ-ห้วย ทราย) เชื่อมเชียงราย-คุนหมิง ผ่าน สปป.ลาว (เส้นทางอาร์3เอ) หรือสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ตั้งอยู่บริเวณบ้านปักอิง ต.ศรีดอนไชย อ.เชียงของ จ.เชียงรายอ.เชียงของ จ.เชียงราย ที่ได้ผู้รับเหมาและเตรียมก่อสร้างหลังน้ำโขงลดระดับลงในฤดูแล้งปลายปีนี้ หรือต้นปี2554

นอกจากนี้หอการค้าฯเตรียมนำเสนอประเด็นการเตรียมความพร้อมของบุคคลกรในพื้นที่ ในฐานะจ.เชียงรายเป็นประตูการค้าเชื่อมกับหลายประเทศในภูมิภาคทั้งทางบกและทางน้ำ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งระบบสาธารณูปโภค ถนน กฎระเบียบ ฯลฯ หรือโครงการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ต้องไม่เน้นเฉพาะการจ้างงานในพื้นที่เท่านั้น แต่ควรเป็นอุตสาหกรรมที่รองรับภาคเกษตรของคนในพื้นที่ด้วย

นายณรงค์ คองประเสริฐ ประธานหอการค้าจ.เชียงใหม่ กล่าวว่า หอการค้าจ.เชียงใหม่ เตรียมนำเสนอประเด็นเรื่องความผันผวนของค่าเงินบาทที่ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกในปัจจุบัน การเร่งรัดให้ก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูง เชียงใหม่ - กรุงเทพฯ ซึ่งระบบรางถือว่ามีความสำคัญอย่างมากเพราะช่วยลดเวลาในการเดินทางเหลือเพียง 5 - 6 ชั่วโมง แนวทางการทำตลาดท่องเที่ยวกลุ่มลองสเตย์ที่จ.เชียงใหม่มีศักยภาพค่อนข้างสูง แต่ติดขัดปัญหากฎระเบียบที่เข้มงวด จึงไม่สอดคล้องและเอื้ออำนวยให้นักท่องเที่ยวกลุ่มลองสเตย์ที่เข้ามาพำนักในพื้นที่

"หอการค้าฯจะขอให้รัฐบาลพิจารณาแก้ไขกฎระเบียบสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มลองสเตย์ใหม่ โดยให้ขยายระยะเวลาการอนุญาตให้พำนักออกไปเป็น 10 ปี จากเดิมให้เพียง 1 ปี เพื่อให้ใกล้เคียงกับมาเลเซีย"นายณรงค์กล่าว

ส่วนการพัฒนาการค้าชายแดน จะเสนอให้มีการยกระดับจุดผ่อนปรนกิ่วผาวอก บ้านอรุโณทัย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เป็นด่านชายแดนถาวร เพื่อสนับสนุนการค้าชายแดนกับพม่าที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ โดยคาดว่าหลังเลือกตั้งนี้การเมืองในพม่าจะคลี่คลายและมีแนวโน้มที่ไทย-พม่าจะเป็นคู่ค้าที่ดีต่อกันในอนาคต 
 
 
 
http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=478029


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 11:08:14
มกราฯ 54 ตอกเสาเข็มสะพานข้ามโขง 4

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 พฤศจิกายน 2553 12:10 น.

เชียงราย - กรมทางหลวงเริ่มเดินเครื่องสร้างสะพานข้ามโขง 4 เชื่อมชายแดนเชียงรายเข้ากับเส้นทาง R3a แล้ว คาดตอกเสาเข็มเล่มแรกมกราคม 54 ล่าสุดจ่ายเงินเวนคืนที่ดินให้ชาวบ้าน เตรียมสร้างถนนเชื่อมต่อหัวสะพาน

รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า ขณะนี้กรมทางหลวงได้เริ่มก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เพื่อเชื่อมกับถนน R3 a ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ระยะทาง 248 กิโลเมตร และก่อสร้างถนนเชื่อมหัวสะพานแล้ว โดยการก่อสร้างสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่หมู่บ้านดอนมหาวัน ต.เวียง อ.เชียงของ จนมาถึงจุดเริ่มต้นโครงการที่บ้านทุ่งงิ้ว ต.สถาน อ.เชียงของ ห่างจากริมฝั่งประมาณ 7 กิโลเมตร ที่มีการปรับหน้าดินเพื่อตอกเสาเข็มเพื่อให้แล้วเสร็จภายในปี 2555 ตามกำหนด ซึ่งการก่อสร้างดังกล่าวควบคู่ไปกับการทำถนนสายเชียงของ-เทิง ขนาด 4 ช่องจราจรเพื่อรองรับไปพร้อมๆ กัน

นายวิรัตน์ แสนอุดม ผู้อำนวยการแขวงการทางเชียงรายที่ 2 กรมทางหลวง เปิดเผยว่า การก่อสร้างสะพาน ทำไปได้แล้วราว 2-3% คาดว่าภายในเดือมกราคม 2554 จะสามารถตอกเสาเข็มเล่มแรกกลางแม่น้ำโขงได้ และจะมีการวางเสาตอม่อ รวมทั้งสร้างเกาะเทียมกลางแม่น้ำโขง เพื่อใช้ในการก่อสร้างให้เสร็จสมบูรณ์ต่อไป ทั้งนี้ในภาพรวมถือว่าไม่มีปัญหาใดๆ โดยจะมีการปรับพื้นที่ส่วนกองทรายด้านหน้างานก็จะมีการให้เอกชนนำเอาออกไปให้เรียบร้อย ทำให้จะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกำหนดแน่

นายวิรัตน์กล่าวว่า ส่วนการเวนคืนที่ดินมีชาวบ้านที่จะถูกคืนที่ดินจำนวน 61 ราย ตลอดรายทางทั้งบริเวณสะพาน-แนวถนน เจ้าหน้าที่ได้มีการเข้าไปทำความเข้าใจแก่ชาวบ้านแล้ว และจ่ายเงินค่าเวนคืนที่ดินให้แก่ชาวบ้านมูลค่าประมาณ 60 ล้านบาท กรณีทรายที่มีการขุดกันนั้นไม่ถือเป็นปัญหาเพราะเอกชนสามารถทำการก่อสร้างต่อไปได้ตามสัญญา

สำหรับรูปแบบโครงการได้รับการสนับสนุนด้านการศึกษารูปแบบจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ตั้งแต่ปี 2548 ต่อมาปี 2550 กรมทางหลวงของไทย ได้สานต่อด้วยการออกแบบรายละเอียดโครงการมูลค่า 35 ล้านบาท และเมื่อต้นปี 2553 ก็สามารถคัดสรรเอกชนที่จะทำการก่อสร้าง คือ กลุ่มซีอาร์ 5-เคที จอยท์เวนเจอร์ ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท ไชน่า เรลเวย์ โน.5 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด จากประเทศจีน กับบริษัทกรุงธนเอ็นยิเนียร์ จำกัด ของประเทศไทย ภายใต้งบประมาณ 1,486.5 ล้านบาท โดยประเทศไทยและจีนสนับสนุนฝ่ายละครึ่ง

รูปแบบสะพานเป็นคอนกรีตรูปกล่อง (Segmental Concrete Box Girder) มีเสาตอม่อ 4 ตอม่อ มีความกว้าง 14.70 เมตร เป็นสะพานขนาดสองช่องจราจรๆ ละ 3.50 เมตร และไหล่ทางข้างละ 2 เมตร และทางเท้าข้างละ 1.25 เมตร ความยาว 480 เมตรเมื่อรวมกับถนนติดขอบฝั่งก็จะยาวประมาณ 630 เมตร นอกจากตัวสะพานแล้วยังมีโครงการก่อสร้างถนนตัดแยกจากถนนหมายเลข 1020 หรือสายเชียงราย-เชียงของ ในฝั่งไทย เพื่อเป็นจุดสลับการจราจรก่อนไปถึงตัวสะพานอีกประมาณ 5 กิโลเมตร และถนนในฝั่ง สปป.ลาว อีกประมาณ 6 กิโลเมตร

รวมทั้งมีการก่อสร้างอาคารด่านพรมแดนทั้งฝั่งไทยและ สปป.ลาว รูปทรงล้านนาประยุกต์ เพื่อใช้เป็นจุดตรวจปล่อยร่วมกัน ณ จุดเดียวตามหลักประตูเดี่ยว (Single Stop Inspection) รวมเนื้อที่ฝั่งไทยทั้งหมดประมาณ 400 ไร่

ทั้งนี้ชายแดนเชียงของ-ห้วยทราย ปีที่ผ่านมาตัวเลขการนำเข้าอยู่ที่ 986.331 ล้านบาท เป็นสินค้าจากจีนตอนใต้ 490.409 ล้านบาท สปป.ลาว 495.922 ล้านบาท โดยสินค้านำเข้าอันดับ 1 คือ ถ่านหินลิกไนต์ ปริมาณกว่า 382,339,680 ตัน มูลค่า 317.7 ล้านบาท และได้เริ่มมีพืชผักจีนถูกส่งมาตามถนนอาร์สาเอแล้วกว่า 9,672,350.00 ตัน มูลค่า 159.16 ล้านบาท

ส่วนการการส่งออกมีมูลค่า 1.931,04 ล้านบาท แยกเป็นการส่งออกไปจีนตอนใต้ 436.906 ล้านบาท สปป.ลาว 1,493.184 ล้านบาท พม่า 0.950 ล้านบาท สินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง วัสดุก่อสร้าง สินค้าอุปโภคบริโภค อุปกรณ์ไฟฟ้า ยางพารา ฯลฯ

สถิติการนำเข้าและส่งออกทุกอย่างมีอัตราเพิ่มขึ้นทุกปี ตามความสะดวกของการคมนาคมของถนนR3aเชื่อมไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ และยังมีผลต่อสถิติด้านการท่องเที่ยว เพราะปี 2552 ที่ผ่านมามีคนไทยเดินทางไปเที่ยวจีนตอนใต้ด้วยเส้นทางนี้กว่า 85,697 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 55.2%
__________________
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000157110


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: watcharanlnw ที่ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2010, 09:56:13
ขอบคุณคะ ;D


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2010, 21:39:36
เชียงราย - เมืองพ่อขุนฯ เร่งบูมท่องเที่ยว ตัดริบบิ้นเปิด “ทุ่งบัวตองบนดอยหัวแม่คำ” ชูวิถีชนเผ่าดึงคนเที่ยว ขณะที่ ททท.นำทีมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดลานสวนตุง และโคมเฉลิมพระเกียรติฯ ทำพิธีเปิดฤดูท่องเที่ยวเชียงราย

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017045103.JPEG)
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดงาน “ดอกบัวตองบานที่หัวแม่คำ ครั้งที่ 21” ณ หมู่บ้านหัวแม่คำ หมู่ 4 ต.แม่สลองใน อ.แม่ฟ้าหลวง โดยมีนายอำเภอแม่ฟ้าหลวงและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรวมทั้ง นางรุจิรา ใจจักร์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แม่สลองใน ซึ่งเป็นส่วนท้องถิ่นที่รับผิดชอบในการจัดงานให้การต้อนรับ โดยการจัดงานดังกล่าวมีขึ้นที่หมู่บ้านหัวแม่คำตั้งแต่วันที่ 13-14 พ.ย.53 เป็นต้นไป
       
       โดยมีการแสดงชนเผ่า ทั้ง 7 ชนเผ่าคือชนเผ่าไทยใหญ่ อาข่า จีนฮ่อ เย้า ม้ง ลีซอ และลาหู่ ภายในพื้นที่ยังจัดวิถีชีวิตของชนเผ่าต่างๆ อาหารขันโตกชาวดอย ฯลฯ
       
       ทั้งนี้ พบว่า การจัดงานในปีนี้ เป็นช่องเวลาที่ดอกบัวตองบานสะพรั่งเป็นสีเหลืองสดใสไปทั่วบริเวณภูเขารอบหมู่บ้านหัวแม่คำ จนสามารถมองเห็นได้ในระยะไกล และเนื่องจากภูเขาหรือดอยหัวแม่คำ มีลักษณะคล้ายกำแพงสูงที่อยู่เบื้องหน้าทำให้บรรยากาศดูมีความสวยงามอย่างมาก ท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งวัน
       
       เมื่อคืนที่ผ่านมา (13 พ.ย.) ณ บริเวณสวนตุงและโคมเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนธนาลัย อ.เมืองเชียงราย ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย ร่วมกับเทศบาลนครเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้มีพิธีเปิดฤดูท่องเที่ยวเชียงราย ครั้งที่ 3 โดยมี นายพินิจ หาญพานิช รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เป็นประธาน
       
       ภายในงานมีการรวบรวมเอางานเทศกาล กิจกรรม และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่มีอยู่ทั่ว จ.เชียงราย ไปจำลองและอธิบายในรูปแบบต่างๆ เพื่อเชิญชวนนักท่องเที่ยว
       
       งานจะจัดขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 53 ไปจนถึงเดือนเมษายน 54 ขณะที่วันแรกที่มีการเปิดงานนี้อยู่ในช่วงที่เทศบาลนครเชียงรายจัดงานเทศกาลถนนคนเดินเชียงรายรำลึกทุกคืนวันเสาร์ บนถนนธนาลัยพอดี จึงทำให้บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก และมีการแสดงนำร่องเป็นแสงสีเสียงขนาดเล็กจากชนเผ่าอาข่าเรื่อง “อาข่า คนภูเขา” รอบปฐมทัศน์ ซึ่งเป็นการเรื่องราวของชนเผ่าอาข่า และการแสดงชุดนี้จะจัดขึ้น ณ ศูนย์พัฒนสังคมหนวยที่ 12 อ.แม่จัน จ.เชียงราย ทุกเสาร์ที่ 2 ของเดือนตลอดฤดูท่องเที่ยวนี้ด้วย

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000160766


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: watcharanlnw ที่ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2010, 09:49:36
ไปๆๆไปเที่ยวเชียงรายกานเถอะ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2010, 21:55:23
เชียงราย - เอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย เผย หากรถไฟคุนหมิง-หนองคาย-กรุงเทพฯ เสร็จ จะทำให้คนไทย-จีน เดินทางถึงกันได้ภายในเวลา 5 ชั่วโมงเท่านั้น เชื่อมั่นจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนในกลุ่มลุ่มน้ำโขงตอนบนอีกมหาศาล หลัง R3a ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลุ่มน้ำโขงตอนบนมาแล้วอย่างชัดเจน
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า ช่วงระหว่างวันที่ 17-19 พ.ย.นี้ นายก่วน มู่ (Mr.Guan Mu) เอกอัครราชทูตประเทศจีนประจำประเทศไทย ได้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ จ.เชียงราย เป็นเวลา 3 วัน ซึ่งนอกจากจะเดินทางไปยังสมาคมกวงเม้งเชียงราย เพื่อพบปะพี่น้องเชื้อสายจีนที่อาศัยอยู่ที่เชียงราย ยังเดินไปยังโรงเรียนพณิชยการเชียงราย อ.เมืองเชียงราย ตรวจเยี่ยมสถานศึกษาที่มีการเปิดสอนภาษาจีน พร้อมกันนี้ ได้มอบเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นวิดีโอเพื่อใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนให้กับทางโรงเรียนด้วย
       
       โดยมี นายสินธุ์ จงไพบูลย์กิจ ผู้รับใบอนุญาตก่อตั้งโรงเรียนพณิชยการเชียงราย และประธานมูลนิธิสาธารณกุศลสงเคราะห์เชียงราย, นายสาธิต ตรีสัตยาเวทย์ เลขานุการมูลนิธิ และคณะกรรมการบริหารมูลนิธิ รวมทั้งบริหารโรงเรียน และนักเรียนให้การต้อนรับ
       
       นายสินธุ์ กล่าวว่า ทางโรงเรียนพณิชยการเชียงราย และมูลนิธิสาธารณกุศลสงเคราะห์เชียงราย นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เอกเอกอัครราชทูตประเทศจีน ประจำประเทศไทยได้เดินทางไปเยือน สำหรับโรงเรียนมีนักเรียนประมาณ 3,000 คน ทำการเปิดเรียนในระดับ ปวช.และ ปวส.ในหลายสาขา ขณะเดียวกัน ได้มีการเปิดสอนหลักสูตรภาษาจีนและที่ผ่านมาสถานศึกษาแห่งนี้มีความมุ่งมั่นจะพัฒนาให้โรงเรียนแห่งนี้เป็นศูนย์กลางการเรียนการสอนในภาคเหนือและของภูมิภาคลุ่มน้ำโขงในอนาคตต่อไป
       
       ด้าน นายก่วนมู่ กล่าวว่า นับเป็นเวลาเกือบ 20 ปีที่จังหวัดเชียงรายได้ร่วมกับประเทศจีนผลักดันการค้า การลงทุนและความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมกับประเทศแถบลุ่มน้ำโขงผ่านเส้นทางทางน้ำ ทางบกและอากาศ โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของถนน R3A เชื่อมเชียงราย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทุกๆ ด้านต่อประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน และหากสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เสร็จสิ้นลงก็จะกลายเป็นช่องทางที่จะเชื่อมจีนกับอาเซียนโดยผ่านประเทศไทย ซึ่งก็จะทำให้เกิดมูลค่าจากการค้าขายและการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
       
       “ปัจจุบันประเทศจีนได้ก่อสร้างเส้นทางรถไฟรางคู่จากเมืองคุนหมิง มณฑลหยุนหนัน ผ่านเข้าไปยัง สปป.ลาว และจะเข้าสู่ประเทศไทยที่ จ.หนองคาย เพื่อจะมุ่งหน้าต่อไปยังกรุงเทพฯ ซึ่งหากก่อสร้างแล้วเสร็จก็จะทำให้การเดินทางใช้เวลาอันรวดเร็ว เพราะรถไฟมีความเร็ว 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้เส้นทางคุนหมิง-กรุงเทพฯ สามารถนั่งรถไฟแค่ 5 ชั่วโมงเท่านั้น" นายก่วนมู่ กล่าวและว่า และหากมีเส้นทางสายคุนหมิง-เชียงราย ในอนาคตอีกก็จะทำให้ใช้เวลาเดินทางแค่ 4 ชั่วโมง
       
       เอกอัครราชทูตประจำจีนประจำประเทศไทย กล่าวด้วยว่า ดังนั้น ทั้งสองประเทศจึงต้องมีการเตรียมตัวรับมือกับการพัฒนาร่วมกันใน โดยในส่วนของ จ.เชียงราย ถือเป็นเมืองสำคัญเพราะเป็นเมืองท่าในแม่น้ำโขงและมีเส้นทางเชื่อมทางบกกับจีนได้ ดังนั้น การที่โรงเรียนพานิชยการเชียงรายมีการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีนให้กับนักเรียน เพื่อใช้ในการติดต่อพูดคุยกับชาวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวและมาลงทุนจึงเป็นการรองรับอนาคตที่ดีอย่างยิ่ง
       
       นอกจากนี้ นายก่วนมู่ มีกำหนดเดินทางไปในหลายพื้นที่นอกโปรแกรมปกติ โดยมีรายงานว่าจะเดินทางไปดูสภาพของแม่น้ำโขงชายแดนไทย-ส.ป.ป.ลาว ภายหลังมีข่าวเรื่องแม่น้ำโขงแห้งลงอย่างรวดเร็ว และในวันที่ 19 พ.ย.มีกำหนดอย่างเป็นทางการที่จะเดินทางไปร่วมงานครบรอบ 12 ปีแห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) และ 35 ปีการสถาปนความสัมพันธ์ไทย-จีน ณ ศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร สถาบันขงจื่อแห่ง มฟล.โดยจะเป็นวิทยากรกิตติมศักดิ์ในการบรรยายเรื่อง “ส่งเสริมมิตรภาพ เพิ่มพูนความร่วมมือ สู่การพัฒนาร่วมกัน” ณ อาคารซี 4 มฟล.ด้วย
 
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000163171


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2010, 22:07:27
เชียงราย - ผู้ว่าฯเชียงราย เล็งโหมโรงกันอีกรอบ เตรียมเสนอทูตจีนตั้งกงสุลเชียงราย หนุนการค้า-การท่องเที่ยว ขณะที่ภาคเอกชนเชื่อมั่น จีนเห็นพ้อง หลังมีทุนจีนลงทุนในลุ่มน้ำโขง แถบชายแดนเชียงรายนับแสนล้าน
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่าระหว่างวันที่ 17-19 พ.ย.นี้ นายกวนมู่ เอกอัคราชฑูตประเทศจีนประจำประเทศไทย มีกำหนดเดินทางไปเยือน จ.เชียงราย โดยวันที่ 17-18 พ.ย.จะไปร่วมกิจกรรมกับสมาคมการค้าจงหัวเชียงราย เพื่อพบปะกับองค์กรชาวจีน เช่น สมาคม มูลนิธิ ฯลฯ ต่างๆ และในวันที่ 19 พ.ย.มีกำหนดไปร่วมงานครบรอบ 12 ปีแห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) และ 35 ปีการสถาปนความสัมพันธ์ไทย-จีน ณ ศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร สถาบันขงจื่อ แห่ง มฟล. โดยนายกวนมู่ จะเป็นวิทยากรกิตติมศักดิ์ในการบรรยายเรื่อง "ส่งเสริมมิตรภาพ เพิ่มพูนความร่วมมือ สู่การพัฒนาร่วมกัน" ณ อาคารซี 4 มฟล.ด้วย
       
       ด้านนายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ในโอกาสที่เอกอัคราชทูตประเทศจีน ประจำประเทศไทย เดินทางมาเชียงรายครั้งนี้ ตนจะเสนอข้อปรึกษาเกี่ยวกับการขอให้ทางประเทศจีนได้พิจารณาจัดตั้งสถานกงสุลแห่งใหม่ขึ้นที่เชียงราย เพื่อให้เหมาะสมกับภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เพราะปัจจุบันเชียงรายเชื่อมโยงกับจีนตอนใต้ในทุกเส้นทางทั้งทางบกผ่านถนนหลายสาย ทางเรือในแม่น้ำโขง และทางเครื่องบิน รวมทั้งยังสามารถเชื่อมไปยัง สปป.ลาว พม่า ได้อีกด้วย
       
       ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันประเทศจีนจะมีสถานกงสุลใหญ่ประจำ จ.เชียงใหม่ อยู่แล้วแต่เพื่อการอำนวยความสะดวกในการประสานงานทุกด้าน ทั้งด้านการค้าและการท่องเที่ยว จึงเห็นว่าหากมีการจัดตั้งในเชียงรายจะช่วยทำให้การพัฒนาด้านรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
       
       นายสมชัย ย้ำว่า เชียงรายกับจีนตอนใต้ มีความสัมพันธ์แนบแน่นทั้งด้านการค้า การท่องเที่ยว ทางวัฒนธรรม การศึกษา ฯลฯ ซึ่งในส่วนของด้านการศึกษานั้น ก็พึ่งเริ่มต้นกันในตอนหลังและพบว่าทุกฝ่ายให้ความสำคัญ เนื่องจากบทบาทของภาษาจีนในเวทีโลกมีมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการได้เรียนรู้ภาษาจีนโดยเฉพาะผ่านทาง มฟล.จึงมีความจำเป็น
       
      ด้านนายวิรุณ คำภิโล ประธานหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่า เห็นด้วยอย่างยิ่งหากมีการพิจารณาจัดตั้งสถานกงสุลที่เชียงราย เพราะโดยความเป็นจริงแล้วสภาพภูมิศาสตร์ของเชียงราย เป็นศูนย์กลางของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หากว่าเมืองหน้าด่าน ซึ่งเป็นประตูมีการสถานกงสุล ก็จะสามารถทำพิธีการเกี่ยวกับการออกวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวเข้า-ออกได้สะดวก
       
       โดยเฉพาะปัจจุบันมีคนจีนและไทยเดินทางไปมาหาสู่กันมากขึ้นในทุกเส้นทางโดยทางบกเชียงรายอยู่ห่างจากเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลหยุนหนัน เพียง 248 กิโลเมตร และมีช่องทางอื่นๆ อีกมากมาย แต่ปัจจุบันการทำวีซ่า ต้องไปทำกันที่ จ.เชียงใหม่ หรือกรุงเทพฯ เช่นเดียวกับคนจีนที่ต้องติดต่อประสานงานกับสถานกงสุล ก็ไม่สะดวกเช่นกัน
       
       นายวิรุณ กล่าวอีกว่า ขณะนี้กลุ่มทุนจากประเทศจีนได้ลงทุนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงด้าน จ.เชียงราย เป็นมูลค่านับแสนล้านบาท ดังนั้นตนจึงเชื่อว่าทางประเทศจีนจะรับเรื่องนี้ไปพิจารณา เพราะโลกยุคปัจจุบันอาศัยเรื่องผลประโยชน์และความร่วมมือกันเป็นหลัก หากว่าประเทศจีนมีเศรษฐกิจขยายลงสู่ภาคใต้อย่างมหาศาลเช่นนี้ก็ย่อมต้องใช้กลไกด้านความสะดวกดังกล่าวเช่นกัน
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ในปัจจุบันมีคนไทยเดินทางไปเยือนยังเขตปกครองตนเองสิบสองปันนาปีละประมาณ 85,000 คน ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละ 55 เป็นประจำทุกปี ส่วนคนจีนที่เดินทางมาเยือนเชียงรายยังมีน้อยเพียงประมาณ 5,000 คน ขณะที่การค้าชายแดนเชียงราย-จีนตอนใต้ เมื่อปีที่ผ่านมามีมูลค่ารวมกันกว่า 5,141.18 ล้านบาท แยกเป็นการส่งออกจากไทยมูลค่า 3,261.59 ล้านบาท นำเข้า 1,879.59 ล้านบาท และในช่วงต้นปีนี้มีมูลค่ารวม 1,037.09 ล้านบาท โดยเป็นการส่งออกจากเชียงรายมูลค่า 605.91 ล้านบาท และนำเข้า 431.18 ล้านบาท


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000162562 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000162562)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2010, 22:16:32
เชียงราย - ประธานหอการค้าเมืองพ่อขุนฯ ชี้สัญญาณพม่าดีขึ้นหลังเลือกตั้ง เล็งเสนอเปิดด่านแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก ยาวถึงเที่ยงคืนทุกวัน เปิดช่องเศรษฐีพม่าเที่ยวเชียงราย พร้อมดึงนักท่องเที่ยวต่างถิ่นเข้าพื้นที่ได้มากขึ้น
       
       หลังการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์พม่าผ่านพ้นไปด้วยดี โดยชายแดนด้านอื่นไม่มีความรุนแรงยกเว้นด้าน จ.ตาก ติดกับเมืองเมียวดี ประเทศพม่า นั้น ได้ทำให้สถานการณ์ทั่วไปของชายแดนไทย-พม่า ด้าน จ.เชียงราย ยังคงคึกคักเช่นเดิม โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวกลับมีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น เพราะได้ผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤตไปแล้ว และไม่มีการปะทะหรือความตึงเครียดต่อชายแดนด้านนี้แต่อย่างใด
       
       นายวิรุณ คำภิโล ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ทางหอการค้า จ.เชียงราย กำลังพิจารณาที่จะนำเสนอไปยังภาครัฐให้มีการพิจารณาเปิดจุดผ่านแดนถาวรแม่สาย ให้ถึงเที่ยงคืนหรือมากกว่านั้นหากเป็นไปได้ เนื่องจากสถานการณ์ที่ผ่านมาบ่งชี้ให้เห็นแล้วได้คลี่คลายลง และในประเทศพม่าเองก็มีการเลือกตั้งผ่านพ้นไปด้วยดี ดังนั้นการนำเสนอดังกล่าวจึงเป็นไปเพื่ออนาคต เพราะที่ผ่านมากรณีชายแดนไทย-มาเลเซีย ก็มีการเปิดด่านถึงเที่ยงคืน เช่นเดียวกับด่านถาวรทั่วโลกที่มีการปฏิบัติในทำนองเดียวกัน       
       ปัจจุบันชายแดนไทย-พม่า กลับมีการเปิดด่านตั้งแต่เวลาประมาณ 06.30-18.00 น.ซึ่งเป็นช่วงเวลาอันจำกัดและใช้ประโยชน์ได้มากกับเรื่องการขนส่งสินค้าหรือการเข้าออกเมืองตามปกติ แต่กรณีชายแดนไทย-พม่า พบว่า คนพม่าจำนวนมากได้เข้ามาใช้บริการในฝั่งไทยโดยเฉพาะการรักษาพยาบาลและอื่นๆ ซึ่งบางครั้งต้องเดินทางเข้ามาถึงตัวเมืองชั้นในของไทย
       
       แต่ปรากฏว่า เมื่อถึงเวลาที่กำหนดปิดด่านก็ต้องรีบเดินทางกลับทำให้เสียโอกาสในการใช้บริการด้านอื่นๆ ในประเทศไทย ทั้งเรื่องการจับจ่ายใช้สอย ที่พัก ฯลฯ “เดี๋ยวนี้คนพม่าที่มีฐานะดีก็มีอยู่มากและเข้ามาใช้บริการในฝั่งไทย โดยเฉพาะบรรดานักธุรกิจและอื่นๆ แต่เมื่อถึงเวลากำหนดพวกเขาก็ต้องรีบกลับ ก่อน 18.00 น.
       
       ดังนั้น ในอนาคตอันใกล้คาดหวังว่าเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นจะทำให้มีการขยายช่วงเวลาในการเปิดด่านไทย-พม่า จนถึงเที่ยงคืน จากนั้นเราก็จะพยายามผลักดันไปยังจุดผ่านแดนถาวรอื่นๆ ทั้งที่ อ.เชียงแสน และ อ.เชียงของ ชายแดนไทย-ส.ป.ป.ลาว ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับจีนตอนใต้ต่อไป” นายวิรุณ กล่าว
       
       ประธานหอฯเชียงราย บอกว่า ผลดีของการขยายการเปิดด่านก็คือภาคการท่องเที่ยว เพราะการเข้าออกทำได้สะดวกมากขึ้นโดยที่นักท่องเที่ยวไม่ต้องกังวลเรื่องระยะเวลามากเหมือนเดิม ซึ่งเชื่อว่าหากขยายเวลาก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวที่ไปเยือนเชียงรายได้อีกเป็นจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะในฤดูท่องเที่ยว
       
       ส่วนด้านการค้าปีที่ผ่านมาไทยมีการส่งออกสินค้าไปยังพม่าผ่านจุดผ่านแดน อ.แม่สาย มูลค่าประมาณ 4,259.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.95% และนำเข้ามูลค่า 359.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.48%
       
       ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ทางหอการค้า อ.แม่สาย เคยนำเสนอไปยังกระทรวงมหาดไทยขอให้ขยายการเปิดด่านในลักษณะดังกล่าว แต่จำกัดเฉพาะช่วงประเพณีลอยกระทง ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และสงกรานต์ เท่านั้น


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000162561


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: miyoko ที่ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2010, 15:25:08
อยากเป็นส่วนหนึ่งของพลังน้อยๆ เพื่อสร้างสรรค์ จังหวัดบ้านเกิด จาก คนรักบ้านเกิด


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2010, 11:41:42
วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4264  ประชาชาติธุรกิจ


หวั่นล้มแผน'โลจิสติกส์ภาคเหนือ' หอ10จังหวัดจี้รัฐจัดลำดับความสำคัญไฮสปีดเทรน




 
หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือหวั่นโครงการรถไฟความเร็วสูงผ่านลาว-หนองคาย ดึงความสำคัญแผนพัฒนาโลจิสติกส์ภาคเหนือ ทั้งที่ดำเนินการไปมากแล้ว เผยรถไฟรางคู่เน้นหนุนการท่องเที่ยว ขณะที่ประเทศเสียเปรียบหนักเรื่องต้นทุนโลจิสติกส์ ด้าน สนข.ออกแบบศูนย์กระจาย สินค้า 2 พันล้าน เตรียมรับสะพานข้าม น้ำโขงแห่งใหม่ พร้อมออกแบบทางรถไฟเด่นชัย-เชียงราย


นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" กรณีรัฐสภาอนุมัติกรอบเจรจาความร่วมมือพัฒนากิจการรถไฟระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนว่า อาจทำให้แผนพัฒนาระบบโลจิสติกส์ไทยภาคเหนือเชื่อมกับจีนตอนใต้โดยใช้เชียงรายเป็นศูนย์กลางถูกลดความสำคัญลง จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องทบทวนจริงจังว่าจะดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโลจิสติกส์ของประเทศ 2550-2554 ที่ดำเนินการไปมากแล้ว หรือจะหันมาให้ความสำคัญกับโครงการใหม่ที่มีการเมืองผลักดัน

ทั้งนี้โครงการดังกล่าวประกอบด้วย การก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะทาง 615 ก.ม. กรุงเทพฯ-ระยอง 221 ก.ม. กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ 982 ก.ม. กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ-อุบลราชธานี เพื่อเชื่อมต่อ กับเส้นทางรถไฟที่จีนและลาวจะร่วมกันก่อสร้างจากชายแดนจีนตอนใต้ ผ่านประเทศลาวมาจดชายแดนไทยที่จังหวัดหนองคาย

นายพัฒนากล่าวอีกว่า โครงการ ก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง 5 เส้นทางดังกล่าวไม่ได้สนับสนุนแผนยุทธศาสตร์ การพัฒนาโลจิสติกส์ เพราะรถไฟความเร็วสูงไม่ได้ออกแบบสำหรับการขนส่งสินค้า แต่เน้นการขนส่งคนเป็นหลัก เน้นสนับสนุนการท่องเที่ยว ส่วนแผนยุทธศาสตร์ โลจิสติกส์ชาติมีเป้าหมายจะลดต้นทุนโลจิสติกส์ของไทย ปัจจุบันจากระดับ 19% หรือกว่า 20% ในบางธุรกิจ เป็นเฉลี่ย 15% หรือพัฒนาไปจนถึงระดับประเทศพัฒนาแล้วที่มีต้นทุนโลจิสติกส์เพียง 9-11%

ทั้งนี้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม ซึ่งดูแลการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภาคเหนือเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านระบุว่า จะใช้ระบบ Multi Model Logistics คือระบบผสมผสาน โดยมีระบบรางเป็นหลัก (backbone) จากนั้นมีระบบ feeder ทั้งรถและรถไฟภายในประเทศรองรับ รวมทั้งจะมีศูนย์กระจายสินค้าชายแดน ครบวงจรเชิงสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 อ.เชียงของ ซึ่งการสำรวจออกแบบใกล้ แล้วเสร็จ

"การที่รัฐสภามีมติให้เจรจาเรื่องรถไฟความเร็วสูงอาจทำให้แผนงานนี้เลื่อน ออกไป เพราะรัฐบาลมีงบฯจำกัด และแผนการพัฒนาเชียงรายให้เป็นศูนย์กลาง โลจิสติกส์ อาจไม่มีความสำคัญเท่ากับแผนการใหม่ที่มีภาคการเมืองหนุนเต็มที่ อยากให้จัดอันดับความสำคัญให้ชัดเจน และทำงานต่อเนื่อง" นายพัฒนากล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์เปลี่ยนถ่าย รูปแบบการขนส่งสินค้าหรือ Border Control Facility ที่ สนข.ออกแบบ ประกอบด้วยศูนย์อำนวยความสะดวกด้านกิจการชายแดนจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บริการ ณ จุดเดียว รวมทั้งการอำนวยความสะดวกด้านสถานที่รองรับ รถโดยสาร รถบรรทุก รถไฟ รถทั่วไป ใช้งบฯลงทุนประมาณ 2,301 ล้านบาท แบ่งเป็นระยะที่ 1 จำนวน 1,451 ล้านบาท

ระยะที่ 2 จำนวน 850 ล้านบาท พร้อมกับโครงการสนับสนุนหลายโครงการ เช่น การก่อสร้างทาง 4 ช่องจราจร สายเชียงราย-เชียงของ การก่อสร้างถนนสายแยก บ.กิ่วแก้ว อ.เทิง-อ.จุน การก่อสร้างถนนสาย บ.ดอนมหาวัน อ.เชียงของ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีโครงการที่อยู่ในแผนพัฒนาขีดความสามารถด้านโลจิสติกส์ทางตอนเหนือ เช่น โครงการสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของกับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว คาดว่าแล้วเสร็จปลายปี 2555

โครงการท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่ง ที่ 2 หมู่บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน กรมเจ้าท่าดำเนินการก่อสร้างด้วยวงเงิน 1,546,400,000 บาท กำหนดแล้วเสร็จ วันที่ 28 ธ.ค. 54

ปัจจุบันโครงการนี้มีถนนสนับสนุนที่ก่อสร้างใหม่หลายสาย เช่น ถนน 4 ช่องจราจรสาย อ.แม่สาย-อ.เชียงแสน ระยะทาง 38.46 กิโลเมตร ถนน 4 ช่องจราจรสาย อ.แม่จัน-อ.เชียงแสน ระยะทาง 19.2 กิโลเมตร

ขณะเดียวกัน สนข.เตรียมใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท ทำแผนศึกษาเส้นทางรถไฟเด่นชัย-เชียงราย ระยะทาง 346 กิโลเมตรใหม่อีกครั้ง

หน้า 24

http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02phu03221153&sectionid=0211&day=2010-11-22


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2010, 11:47:29
วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4264 ประชาชาติธุรกิจ


หวั่นล้มแผน'โลจิสติกส์ภาคเหนือ' หอ10จังหวัดจี้รัฐจัดลำดับความสำคัญไฮสปีดเทรน





หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือหวั่นโครงการรถไฟความเร็วสูงผ่านลาว-หนองคาย ดึงความสำคัญแผนพัฒนาโลจิสติกส์ภาคเหนือ ทั้งที่ดำเนินการไปมากแล้ว เผยรถไฟรางคู่เน้นหนุนการท่องเที่ยว ขณะที่ประเทศเสียเปรียบหนักเรื่องต้นทุนโลจิสติกส์ ด้าน สนข.ออกแบบศูนย์กระจาย สินค้า 2 พันล้าน เตรียมรับสะพานข้าม น้ำโขงแห่งใหม่ พร้อมออกแบบทางรถไฟเด่นชัย-เชียงราย


นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" กรณีรัฐสภาอนุมัติกรอบเจรจาความร่วมมือพัฒนากิจการรถไฟระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนว่า อาจทำให้แผนพัฒนาระบบโลจิสติกส์ไทยภาคเหนือเชื่อมกับจีนตอนใต้โดยใช้เชียงรายเป็นศูนย์กลางถูกลดความสำคัญลง จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องทบทวนจริงจังว่าจะดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโลจิสติกส์ของประเทศ 2550-2554 ที่ดำเนินการไปมากแล้ว หรือจะหันมาให้ความสำคัญกับโครงการใหม่ที่มีการเมืองผลักดัน

ทั้งนี้โครงการดังกล่าวประกอบด้วย การก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะทาง 615 ก.ม. กรุงเทพฯ-ระยอง 221 ก.ม. กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ 982 ก.ม. กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ-อุบลราชธานี เพื่อเชื่อมต่อ กับเส้นทางรถไฟที่จีนและลาวจะร่วมกันก่อสร้างจากชายแดนจีนตอนใต้ ผ่านประเทศลาวมาจดชายแดนไทยที่จังหวัดหนองคาย

นายพัฒนากล่าวอีกว่า โครงการ ก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง 5 เส้นทางดังกล่าวไม่ได้สนับสนุนแผนยุทธศาสตร์ การพัฒนาโลจิสติกส์ เพราะรถไฟความเร็วสูงไม่ได้ออกแบบสำหรับการขนส่งสินค้า แต่เน้นการขนส่งคนเป็นหลัก เน้นสนับสนุนการท่องเที่ยว ส่วนแผนยุทธศาสตร์ โลจิสติกส์ชาติมีเป้าหมายจะลดต้นทุนโลจิสติกส์ของไทย ปัจจุบันจากระดับ 19% หรือกว่า 20% ในบางธุรกิจ เป็นเฉลี่ย 15% หรือพัฒนาไปจนถึงระดับประเทศพัฒนาแล้วที่มีต้นทุนโลจิสติกส์เพียง 9-11%

ทั้งนี้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม ซึ่งดูแลการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภาคเหนือเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านระบุว่า จะใช้ระบบ Multi Model Logistics คือระบบผสมผสาน โดยมีระบบรางเป็นหลัก (backbone) จากนั้นมีระบบ feeder ทั้งรถและรถไฟภายในประเทศรองรับ รวมทั้งจะมีศูนย์กระจายสินค้าชายแดน ครบวงจรเชิงสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 อ.เชียงของ ซึ่งการสำรวจออกแบบใกล้ แล้วเสร็จ

"การที่รัฐสภามีมติให้เจรจาเรื่องรถไฟความเร็วสูงอาจทำให้แผนงานนี้เลื่อน ออกไป เพราะรัฐบาลมีงบฯจำกัด และแผนการพัฒนาเชียงรายให้เป็นศูนย์กลาง โลจิสติกส์ อาจไม่มีความสำคัญเท่ากับแผนการใหม่ที่มีภาคการเมืองหนุนเต็มที่ อยากให้จัดอันดับความสำคัญให้ชัดเจน และทำงานต่อเนื่อง" นายพัฒนากล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์เปลี่ยนถ่าย รูปแบบการขนส่งสินค้าหรือ Border Control Facility ที่ สนข.ออกแบบ ประกอบด้วยศูนย์อำนวยความสะดวกด้านกิจการชายแดนจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บริการ ณ จุดเดียว รวมทั้งการอำนวยความสะดวกด้านสถานที่รองรับ รถโดยสาร รถบรรทุก รถไฟ รถทั่วไป ใช้งบฯลงทุนประมาณ 2,301 ล้านบาท แบ่งเป็นระยะที่ 1 จำนวน 1,451 ล้านบาท

ระยะที่ 2 จำนวน 850 ล้านบาท พร้อมกับโครงการสนับสนุนหลายโครงการ เช่น การก่อสร้างทาง 4 ช่องจราจร สายเชียงราย-เชียงของ การก่อสร้างถนนสายแยก บ.กิ่วแก้ว อ.เทิง-อ.จุน การก่อสร้างถนนสาย บ.ดอนมหาวัน อ.เชียงของ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีโครงการที่อยู่ในแผนพัฒนาขีดความสามารถด้านโลจิสติกส์ทางตอนเหนือ เช่น โครงการสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของกับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว คาดว่าแล้วเสร็จปลายปี 2555

โครงการท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่ง ที่ 2 หมู่บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน กรมเจ้าท่าดำเนินการก่อสร้างด้วยวงเงิน 1,546,400,000 บาท กำหนดแล้วเสร็จ วันที่ 28 ธ.ค. 54

ปัจจุบันโครงการนี้มีถนนสนับสนุนที่ก่อสร้างใหม่หลายสาย เช่น ถนน 4 ช่องจราจรสาย อ.แม่สาย-อ.เชียงแสน ระยะทาง 38.46 กิโลเมตร ถนน 4 ช่องจราจรสาย อ.แม่จัน-อ.เชียงแสน ระยะทาง 19.2 กิโลเมตร

ขณะเดียวกัน สนข.เตรียมใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท ทำแผนศึกษาเส้นทางรถไฟเด่นชัย-เชียงราย ระยะทาง 346 กิโลเมตรใหม่อีกครั้ง

หน้า 24

http://www.prachachat.net/view_news....day=2010-11-22


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2010, 20:35:55
ศูนย์ข่าวภูเก็ต - กลุ่มจังหวัดอันดามันลงนามบันทึกความร่วมมือการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพกับกลุ่มจังหวัดล้านนา เพื่อพัฒนาธุรกิจสปาให้มีความโดดเด่น ดึงนักท่องเที่ยวมาใช้บริการให้มากขึ้น
       
       เมื่อเวลา 11.00 น.วันนี้ ( 22 พ.ย.) นายธีรเดช ลิ่มวิริยกุล รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกระบี่ พร้อมคณะ เข้าพบนายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ในฐานะหัวหน้ากลุ่มจังหวัดอันดามัน ประกอบด้วย ภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนองและตรัง เพื่อชี้แจงรายละเอียดการลงนามความร่วมมือด้านพัฒนาการท่องเที่ยว ของกลุ่มจังหวัดอันดามันกับจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงราย หนึ่งในกิจกรรมตามโครงการส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันด้านธุรกิจบริการสุขภาพของกลุ่มจังหวัดอันดามัน ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณกลุ่มจังหวัด ปี 2553 จำนวน 6 ล้านบาท
       
       นายธีรเดช ลิ่มวิริยกุล รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า กลุ่มจังหวัดอันดามัน ซึ่งประกอบด้วย ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ และตรัง ได้มีการบันทึกข้อตกลงเพื่อความร่วมมือด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพกับกลุ่มจังหวัดล้านนา (เชียงใหม่ เชียงราย) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ร่วมกันบนพื้นฐานความเท่าเทียม และผลประโยชน์ร่วมกัน
       
       รวมทั้งร่วมมือซึ่งกันและกันในด้านต่างๆ ที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและพันธกรณีระหว่างจังหวัดในกลุ่มจังหวัด ส่งเสริมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งเจ็ดจังหวัดติดต่อกันโดยตรง เพื่อร่วมมือกัน ตลอดจนสนับสนุนให้มีการท่องเที่ยวของทั้งเจ็ดจังหวัด และให้นักท่องเที่ยวมีระยะเวลาการพำนักยาวนานขึ้น
       
       รูปแบบความร่วมมือที่เกิดจากการทำบันทึกความร่วมมือดังกล่าว จะมีทั้งการพัฒนาองค์ความรู้ ประสบการณ์ทางวิชาการ วิทยากร และการพัฒนาแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือด้านการบริหารจัดการธุรกิจ เช่น การพัฒนาบุคลากร การจัดหาแรงงาน การฝึกงานหรืออื่นๆ เพื่อให้การจัดการด้านการพัฒนาธุรกิจบริการสุขภาพมีศักยภาพในการแข่งขันอย่างยั่งยืน ร่วมมือกันทำการประชาสัมพันธ์และการตลาด แลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวระหว่างกัน รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เชิงสุขภาพ เชิงอนุรักษ์ วิถีชีวิตและผลิตภัณฑ์ชุมชน ตลอดจนแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การค้าและการลงทุน
       
       นายธีรเดช กล่าวด้วยว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะเน้นไปที่การพัฒนาธุรกิจสปาร่วมกันทั้งในส่วนของการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ ผลิตภัณฑ์สปา เป็นต้น เนื่องจากธุรกิจสปาล้านนาเป็นธุรกิจสปาที่มีอัตตลักษณ์ความเป็นล้านนา ที่สามารถสร้างรายได้ปีละจำนวนมาก ซึ่งก็เช่นเดียวกับสปาในฝั่งอันดามันที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัวและได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติใช้บริการจำนวนมากเช่นกัน
       
       โดยในส่วนสปาในอันดามันนั้นขณะนี้ได้มีการผลิตผลิตภัณฑ์สปาจากวัตถุดิบในท้องถิ่นจากน้ำมันปาล์ม สบูกาแฟ โคลนน้ำพุร้อนเค็ม ที่คลองท่อม เป็นต้น โดยให้ทางมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) เป็นผู้วิจัย เพื่อใช้เป็นน้ำมันสำหรับนวดในสปาต่างๆ
       
       สำหรับสปาในอันดามันนั้นมีประมาณ 150-200 แห่ง ที่เป็นเดย์สปาและรีสอร์ทสปา สามารถสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 1,000 ล้านบาท


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2010, 20:57:42
นายวรพจน์ อุชุไพบูลย์วงศ์) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2553 มีมติดังนี้

1. อนุมัติให้บริษัทฯ เข้าร่วมลงทุนในบริษัท นครราชสีมา โซล่าร์ จำกัด โดยซื้อหุ้นจากบริษัท แปซิฟิก โซล่าร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ถือหุ้นเดิมซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทฯ แต่อย่างใด ในสัดส่วนร้อยละ 30 ของทุนจดทะเบียน คิดเป็นเงินลงทุนจำนวนไม่เกิน 55,000,000 บาท โดยบริษัทดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งโครงการตั้งอยู่ที่ตำบลวังโรงใหญ่ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ปริมาณพลังงานไฟฟ้าสูงสุด 6 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการประมาณ 708,000,000 บาท

2. อนุมัติให้บริษัทฯ เข้าร่วมลงทุนในบริษัท เชียงราย โซล่าร์ จำกัด โดยซื้อหุ้นจากบริษัท แปซิฟิก โซล่าร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ถือหุ้นเดิมซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทฯ แต่อย่างใด ในสัดส่วนร้อยละ 30 ของทุนจดทะเบียน คิดเป็นเงินลงทุนจำนวนไม่เกิน 75,000,000 บาท โดยบริษัทดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งโครงการตั้งอยู่ที่ตำบลท่าข้าวเปลือก อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ปริมาณพลังงานไฟฟ้าสูงสุด 8 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการประมาณ 944,000,000 บาท

3. อนุมัติให้บริษัทฯ ลงนามในบันทึกความเข้าใจความตกลงร่วมมือในการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่อาจจะมีขึ้นในประเทศไทยในอนาคต จำนวน 100 เมกะวัตต์ กับ บริษัท แปซิฟิก โซล่าร์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยมอบหมายให้คณะกรรมการบริหาร มีอำนาจในการเจรจาตกลงเงื่อนไขเกี่ยวกับสัดส่วนการถือหุ้น/เงินลงทุน รวมถึงรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเข้าร่วมลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

4. อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 3 ปี ดังนี้

1) นายดอน ปรมัตถ์วินัย ประธานกรรมการความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

2) ดร. ภาวิช ทองโรจน์ กรรมการความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

3) นายประเสริฐ มริตตนะพร กรรมการความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้นายดอน ปรมัตถ์วินัย เป็นอดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ และเป็นทูตใหญ่ประจำในหลายประเทศ ก่อนเกษียณอายุราชการในตำแหน่ง เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทย ประจำสหประชาชาติ



ที่มา : http://www.stockwave.in.th/index.php/hot-news/15891-2010-11-23-05-09-54.html



หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2010, 21:45:36
วัฒนธรรมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ จับมือรุกท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย,พะเยา,แพร่ และน่าน) จับมือจัดกิจกรรมสืบสานวัฒนธรรมบ้านพี่เมืองน้อง กิจกรรมนี้ภายใต้โครงการ เชื่อมโยงวัฒนธรรมล้านนาตะวันออก เดินสายสัมมนาเชิงรุกภายใต้แนวคิดท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมภายใต้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่โรงแรมแม่ยมพาเลส
นางขันทอง สุทธนะ วัฒนธรรมจังหวัดแพร่ เปิดเผยว่า กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ได้จัดกิจกรรมสืบสานวัฒนธรรมบ้านพี่เมืองน้อง เป็นกิจกรรมภายใต้โครงการเชื่อมโยงวัฒนธรรมล้านนาตะวันออก ได้แก่ จังหวัดเชียงราย,พะเยา,แพร่ และน่าน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ รับฟังข้อเสนอแนะ ข้อคิดเห็น ประสบการณ์ของชาวล้านนาตะวันออก และผู้เกี่ยวข้องในการดำเนินงานด้านวัฒนธรรม รวมทั้งปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์เพื่อการทำงานแบบพหุภาคีร่วมศึกษาชุมชน และกระตุ้นให้ชาวตะวันออก เกิดความรัก ความหวงแหน และภาคภูมิใจศิลปวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า พร้อมร่วมอนุรักษ์และเผยแพร่ เพื่อการพัฒนางานด้านวัฒนธรรมของกลุ่มล้านนาตะวันออก ตลอดจนเพื่อสร้างโอกาสให้กับกลุ่มจังหวัดล้านนา สามารถนำเอาวัฒนธรรมมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจแก่ชุมชน โดยผ่านการตลาดด้านการท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
โดยกิจกรรมแรกของโครงการที่จังหวัดแพร่ คือการอภิปรายเรื่อง “มรดกทางวัฒนธรรมเมืองแพร่ และเวียงสรอง กับการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ” โดยจะจัดให้มีการท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมต่างๆในจังหวัดแพร่ น่าน พะเยา และเชียงราย เพื่อเป็นการส่งเสริมให้คนมาเที่ยวเมืองแพร่ให้มากขึ้น นอกจากนั้นยังจะให้สินค้าโอท็อป เป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วโลกอีกด้วย
นายชวน ศิรินันท์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ กล่าวว่า จังหวัดแพร่เป็นจังหวัดหนึ่งในล้านนาตะวันออก ที่มีความโดดเด่นคือ มีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้งศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมโบราณสถาน ดังนั้นเมื่อมาถึงศักยภาพของเมืองแพร่เราพบว่ายังมีอยู่มาก ในทางประวัติศาสตร์และทรัพยากรต่างๆก็มีหลากหลาย และประเด็นสำคัญในการเชื่อมโยงวัฒนธรรมกับการท่องเที่ยว ต้องกลับไปดูเรื่องเด็กและเยาวชน เพราะเป็นอนาคตของเมืองแพร่ ทรัพยากรทุกอย่างที่กล่าวมานั้น เราต้องปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนเหล่านี้ ช่วยกันดูแลรักษา สิ่งที่ดีงามของจังหวัดแพร่ เพื่อให้เขามีความเข้มแข็ง เพื่อจะไปดูแลมรดกทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่สำคัญของจังหวัดแพร่ และกลุ่มจังหวัดภาคเหนือต่อไป

http://thainews.prd.go.th/view.php?m_newsid=255311260234&tb=N255311&return=ok&news_headline="%c7%d1%b2%b9%b8%c3%c3%c1%a1%c5%d8%e8%c1%a8%d1%a7%cb%c7%d1%b4%c0%d2%a4%e0%cb%b9%d7%cd%20%a8%d1%ba%c1%d7%cd%c3%d8%a1%b7%e8%cd%a7%e0%b7%d5%e8%c2%c7%e0%aa%d4%a7%c7%d1%b2%b9%b8%c3%c3%c1"


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2010, 20:47:26
วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4266  ประชาชาติธุรกิจ


หอเหนือชงเปิดเส้นทางเชื่อมพม่า-เอเชียใต้




หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ เสนอเส้นทางใหม่เชื่อมพม่า-BIMSTEC เจาะผ่านแม่ฮ่องสอน เชื่อมเมืองหลวงใหม่ เมืองท่า ใหญ่ของพม่าแค่ 450 ก.ม. เผยจีน-อินเดียลุยลงทุนมหาศาลในพม่า สร้างทางรถไฟรางคู่ ท่อก๊าซเข้ายูนนาน วอนรัฐสนับสนุน หวังเพิ่มมูลค่าการค้าก้าวกระโดด


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ มีมติให้ผลักดันการเปิดเส้นทางการค้าการลงทุนและการเชื่อมโยงระหว่างประเทศเส้นทางใหม่ ระหว่างจังหวัดแม่ฮ่องสอนกับเมืองลอยก่อ และเมืองเนปิดอว์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของพม่า

นายธานินทร์ สุภาแสน รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า เส้นทาง ดังกล่าวจะเป็นประตูบานใหม่ของไทยที่เชื่อมโยงกับพม่า จากปัจจุบันมีที่ อ.แม่สอด จ.ตาก, อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี และ อ.แม่สาย จ.เชียงราย นอกจากนั้นยังจะเป็นเส้นทางสำคัญเชื่อมโยงไทยกับประเทศในกลุ่ม BIMSTEC คือ อินเดีย บังกลาเทศ เนปาล ภูฏาน และศรีลังกา

เส้นทางดังกล่าวจะเริ่มต้นที่ด่านห้วย ต้นนุ่น อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งขณะนี้เป็นจุดผ่อนปรนการค้าชั่วคราว และมีความพยายามจะยกระดับเป็นด่านการค้าถาวรไปยังเมืองลอยก่อ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการรถไฟ ที่สำคัญของพม่า โดยมีรถไฟรางคู่กระจายไปทั่วประเทศ และเชื่อมโยงไปยังชายแดนประเทศบังกลาเทศและจีน เส้นทางนี้ยังจะเชื่อมต่อไปยังเมืองเนปิดอว์ เมืองหลวงใหม่ของพม่า ในระยะทางเพียง 200 กิโลเมตร และต่อไปยังเมืองทันเวย์ เมืองท่าใหญ่ของพม่าริมฝั่งมหาสมุทรอินเดีย ในระยะทางเพียง 450 กิโลเมตร

"พม่ากำลังให้สัมปทานสร้างถนนทั่วประเทศ และจะมีศูนย์กลางเส้นทางรถไฟที่เมืองลอยก่อ สามารถเชื่อมโยงไปยังชายแดนพม่าทั้งด้านบังกลาเทศ เชื่อมต่อไปยังอินเดีย มีรถไฟรางคู่จากอินเดียมาถึง ตองอู มีรถไฟรางคู่จากยูนนาน มีการก่อสร้างทางหลวงขนาด 4 ช่องทางจากย่างกุ้งมายังเมืองเนปิดอว์ และเมืองตองอู ชิตตะเวย์ซึ่งเป็นเมืองท่าใกล้เมืองทันเวย์ก็เป็นฐานทัพเรือ ซึ่งจีนใช้ประโยชน์อยู่มาก มีทางลำเลียงน้ำมันและก๊าซเป็นท่อคู่เข้าไปในยูนนาน หากเราเชื่อมโยงเข้าไปในเครือข่ายเหล่านี้ได้จะเป็นประโยชน์มาก"

นายธานินทร์กล่าวอีกว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอนยังได้เสนอรัฐบาลให้สนับสนุนการตัดเส้นทางใหม่เชื่อมเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน ระยะทางเพียง 161 ก.ม. ซึ่งจะเป็นเส้นทางสั้นที่สุดเชื่อมเมืองหลวงใหม่ของพม่า และเป็นทางออกทะเลที่ใกล้ที่สุดของภาคเหนือ

นายราชันย์ วีระพันธ์ ประธานก่อตั้งคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ กล่าวว่า ระยะ 10 ปีที่ก่อตั้งมา คสศ.ได้ผลักดันการเชื่อมโยงเครือข่ายการคมนาคมระหว่างประเทศในสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจถือว่าประสบผลสำเร็จ สามารถผลักดันให้มีเส้นทาง R3A ระหว่างไทย-จีนตอนใต้ มีสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย เส้นทางเชื่อมพม่า-จีนตอนใต้ ผ่านเมืองลา และการเชื่อมโยงทางอากาศ ปัจจุบันเหลือเพียงการเจรจาด้านกฎระเบียบการค้า การผ่านแดน และการพัฒนาบุคลากรร่วมกัน เชื่อว่าจะใช้เวลาในการพัฒนาร่วมกันอีกระยะหนึ่ง

"สิ่งที่จะเห็นในอนาคตอันใกล้นี้คือ มูลค่าการค้าของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจะขยายจากปีละ 4-5 หมื่นล้านบาท เป็นอย่างน้อย 2 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นไปได้แน่นอน หากเราเชื่อมกับเมืองสำคัญในพม่าได้ และจะขยายไปมากกว่านั้นอีกหลายเท่าตัว หากเชื่อมกับ BIMSTEC ได้" นายราชันย์กล่าว

หน้า 24


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 ธันวาคม 2010, 07:58:28
ท่องเที่ยวหยุด3วันเชียงรายสุดคึกคัก
 
 

บรรยากาศท่องเที่ยว จ.เชียงราย ช่วงวันหยุดยาว 3 วัน สุดคึกคัก หอการค้าแม่สาย ระบุ เป็นสัญญาณที่ดี




บรรยากาศการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย ถือว่า กระเตื้องขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดระยะเวลา 3 วัน ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นวันหยุดยาว ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวจังหวัดเชียงรายมากขึ้น โดย นายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ ประธานหอการค้าแม่สาย ระบุว่า จากตัวเลขนักท่องเที่ยว ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวใน อ.แม่สาย ในวันดังกล่าว ถือว่า มีปริมากขึ้นอย่างมาก ซึ่งจุดนี้เป็นการส่งสัญญาณทีดี ต่อการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงรายอย่างมาก เพราะเพียงวันหยุด 3 วัน มีนักท่องเที่ยวมากหลายหมื่นคน และหากถึงช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เชื่อนักท่องเที่ยวก็จะมากขึ้นตาม จุดนี้ทำให้บรรดาพ่อค้า แม่ค้า สามารถขายสินค้าได้ดี
 
http://www.innnews.co.th/local.php?nid=258234


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: Doingam ที่ วันที่ 07 ธันวาคม 2010, 21:16:49
ได้ยินตั้งแต่เด็กแล้วว่าจะมีรถไฟผ่านเชียงราย
ตอนนี้เป็นหนุ่มแล้วยังไม่เห็นวี่แววเลย


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 ธันวาคม 2010, 07:53:11
นักวิชาการ-เอกชนหนุนตั้ง “Custom Free Zone”รับสะพานโขง 4 เชื่อมไทย-ลาว-จีน



นักวิชาการ ตัวแทนภาคเอกชน ตั้งเวทีถกแผนพัฒนาการขนส่งสินค้าผ่านสะพานข้ามโขง 4 ชงผุดเขตปลอดอากรเชิงสะพาน ดึงนักลงทุนสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้านำเข้า

วันนี้ (7 ธ.ค.) ดร.อภิชาต โสภาแดง หัวหน้าโครงการศึกษาแนวคิดการพัฒนาการอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งและการค้าบริเวณสะพานแม่น้ำโขงตามแนวพัฒนาเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (เชียงของ-ห้วยทราย) ซึ่งเชื่อมถนน R3A เชียงของ-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ได้จัดระดมความเห็นจากภาครัฐและเอกชนตามโครงการดังกล่าว ณ ห้องประชุมโรงแรมมันตรินี บูติค รีสอร์ท อ.เมืองเชียงราย โดยมีนายด่านศุลกากร หอการค้า สภาอุตสาหกรรม ฯลฯ เข้าร่วม

ดร.อภิชาต และอาจารย์อรรฆพจน์ พึ่งไชย รวมทั้งคณะได้ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันโครงการได้ศึกษาแล้วเสร็จแล้วและต้องการได้รับความเห็นจากฝ่ายต่างๆ เพิ่มเติม โดยสิ่งที่มีการนำเสนอให้พิจารณาร่วมกันคือการจัดตั้ง "Customs Free Zone" หรือเขตปลอดอากรตามกฎหมายศุลกากร เพื่อรองรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงซึ่งกำลังจะก่อสร้างแล้วเสร็จ และในอนาคตจะมีการขนส่งและการลงทุนโดยเฉพาะจากกลุ่มทุนจีนอย่างมหาศาล

Customs Free Zone มีข้อกำหนดว่าภาคเอกชนจะต้องเป็นผู้ลงทุนและบริหารงานภายในเองทั้งหมด ภาครัฐจะจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้จัดตั้งปีละประมาณ 300,000 บาท และเก็บค่าเช่าจากพื้นที่จัดตั้งโครงการตารางเมตรละ 150 บาทต่อเดือน โดยแบ่งเป็นล็อก ขนาดกว้าง 20 คูณ 20 เมตร หรือรวมประมาณ 60,000 กว่าบาท ซึ่งที่ผ่านมาก็มีทั้ง Customs Free Zone ที่จัดตั้งแล้วประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ เช่น คลังท่าเรืออยุธยา มีค่าเช่าสูงถึง 200 บาทต่อตารางเมตร แต่มุกดาหาร ไม่มีผู้เข้าใช้บริการมานานกว่า 3 ปีแล้ว เป็นต้น



ดร.อภิชาต บอกว่า การมี Customs Free Zone ถือเป็นจุดดึงดูดนักลงทุน ผู้นำเข้าสามารถนำไปเก็บหรือแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าภายใน โดยไม่ต้องเสียภาษีอากรหากว่าอยู่ภายในเขต ซึ่งมีตัวอย่างการจัดตั้งขนาด 50 ยูนิต คือภายในสามารถแบ่งเป็นที่เช่าโกดังสินค้าจำนวน 7 ยูนิต พื้นที่โรงงานแปรรูปผัก ผลไม้ อาหาร ฯลฯ จำนวน 33 ยูนิต พื้นที่โรงงานแปรรูปชิ้นส่วนที่ทำจากเหล็กและอลูมิเนียม 10 ยูนิต จะใช้ต้นทุนประมาณ 63 ล้านบาท

รายงานข่าวแจ้งจากจากนั้นได้มีการขอความคิดเห็นจากฝ่ายต่างๆ ซึ่งนายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธาน คสศ.หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ ระบุว่า ปัจจุบันกลุ่มทุนจีนรุกลงทุนในเขตอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนหลายแห่ง โดยเฉพาะตามชายแดนจีน-สปป.ลาว และภายใน สปป.ลาว ติดพรมแดนไทย ขณะที่บริเวณ อ.เชียงของ เชิงสะพานก็มีกลุ่มทุนจากบริษัท จิ่วโจว อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด สร้างโรงแรมอยู่ในฝั่งไทยที่ อ.เชียงของ ขณะเดียวกันมีกลุ่มทุนไทยประสานกับจีนตอนใต้เพื่อการลงทุนในหลายด้านทั้งการขนส่งและการค้า แต่ Customs Free Zone มีเผยแพร่ออกมาน้อยมาก

ด้านนายเกรียงไกร วีระฤทธิพันธ์ ประธานสภาอุตสาหกรรม จ.เชียงราย กล่าวว่า ตามปกติการจะลงทุนจะต้องดูว่าพื้นที่และช่วงเวลาน่าลงทุนหรือไม่ ซึ่งกรณีของ อ.เชียงของ ปัจจุบันราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นอย่างมากและบางส่วนเป็นเขต สปก.4-01 ส่วนการส่งออกสินค้าส่วนใหญ่ก็เป็นสินค้าจากกลุ่มธุรกิจภาคกลาง ดังนั้นกลุ่มทุนท้องถิ่นคงต้องพิจารณาให้หนักก่อนการลงทุน

รายงานข่าวแจ้งอีกว่าเวทีนี้ยังจัดระดมความเห็นเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าเพื่อรองรับ CBTA หรือข้อตกลงขนส่งทางบกซึ่งกลุ่มประเทศใน GMS ได้ทำร่วมกันเพื่อเปิดให้แต่ละฝ่ายสามารถใช้รถบรรทุกสินค้าประเทศละ 200 คันแล่นผ่านตลอดแนว ซึ่งทดลองใช้ตามเส้นทางไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม ผู้ระดมความเห็นส่วนใหญ่ต้องการให้มีการเปลี่ยนหัวลากเพราะต้องการให้เอกชนไทยรับช่วงต่อ กรณีมีการขนส่งภายในประเทศ ที่ประเทศอื่นขับเลนขวา และผู้ประกอบการจีนก็มีการดำเนินการแล้วที่เมืองโม่หาน-บ่อเต็น ชายแดนจีนตอนใต้-สปป.ลาว บนถนน R3A ซึ่งเป็นจุดที่มีความสะดวกมากที่สุดทั้งต่อเอกชนไทยและจีน


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 ธันวาคม 2010, 07:54:26
ตากระทู้นี้ครับ.

http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=6381.0
ได้ยินตั้งแต่เด็กแล้วว่าจะมีรถไฟผ่านเชียงราย
ตอนนี้เป็นหนุ่มแล้วยังไม่เห็นวี่แววเลย


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 ธันวาคม 2010, 15:49:46
4 จว.ล้านนาสานงานบ้านพี่เมืองน้อง
   
 9 ธค. 2553 12:39 น. 


นายสุวัฒน์ พรมสุวรรณ ปลัดจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า กลุ่มจังหวัด ภาคเหนือตอนบน 2 ที่ประกอบด้วยจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน และ แพร่ ได้จับ มือจัดกิจกรรมสืบสานวัฒนธรรมบ้านพี่เมืองภายใต้โครงการเชื่อมโยงวัฒนธรรม ล้านนาตะวันออก โดยมีการสัมมนาเชิงรุกภายใต้แนวคิดท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ภายใต้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ กระตุ้นความรักความหวงแหน และภาคภูมิใจศิลป วัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า สร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์พัฒนาเศรษฐกิจให้ กับชุมชนโดยผ่านตลาดเพื่อการท่องเที่ยว

การสัมมนาเชิงรุกดังกล่าวจัดขึ้นทุกจังหวัดในกลุ่ม ครั้งล่าสุดจัดขึ้นที่ จ.เชียงราย โดยแต่ละจังหวัดจะชูเอกลักษณ์วัฒนธรรมที่โดดเด่นของจังหวัดตนเอง เช่นเดียว กับจังหวัดเชียงรายที่ชูในด้านการเป็นเมืองศิลปิน -เวียงกาหลงสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์
ปลัดจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ความร่วมมือของทั้ง 4 จังหวัด เพื่อสืบ สานวัฒนธรรมบ้านพี่เมืองน้องและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมภายใต้เศรษฐกิจ สร้างสรรค์เป็นเรื่องที่น่ายินดีเพราะพี่น้องแต่ละจังหวัดจะได้ประโยชน์ รวมทั้งเป็น การปลูกฝังให้คนในชุมชนมีการอนุรักษ์และหวงแหนในวัฒนธรรมอันมีค่าของตน เองไปพร้อมกัน 
 
 
 
http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=483861


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: rptour ที่ วันที่ 10 ธันวาคม 2010, 20:47:42
ทางไปสามเหลี่ยมทองดำไม่แล้วชักเต้อจะไปทางใหนคีที่ประหยัดที่สุดน้ำมันแพงๆ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 ธันวาคม 2010, 21:42:58
นักท่องเที่ยวอิตาลีลดฮวบ ททท.รุกจัดกิจกรรมกระตุ้น 
 
 
 
 นางวิยะดา ศรีรางกูล ผู้อำนวยการสำนักงานกรุงโรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่ผ่านมา ซึ่งทำให้นักข่าวจากอิตาลีเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 1 ราย ได้ส่งผลทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจากอิตาลีนับจากเดือนเมษยนถึงขณะนี้ลดลง 20% จากที่ช่วง 3 เดือนแรกปี 2553 มีการเติบโตในทิศทางที่ดีมากถึง 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2552 ล่าสุดเดือนตุลาคมติดลบถึง 1.9% และเชื่อว่าตลอดทั้งปี 2553 นี้จะลดลง 3% จากปกติจำนวนนักท่องเที่ยวอิตาลีจะเดินทางมาไทยในแต่ละปีประมาณ 170,000 คน

 ทั้งนี้ล่าสุด ททท.ได้ดึงสื่อมวลชนอิตาลีและดาราชื่อดังมาถ่ายทำรายการโทรทัศน์และนิตยสารท่องเที่ยวในไทย ระหว่างวันที่ 8-17 ธันวาคม 2553 เพื่อเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของไทยให้กลับคืนมาในสายตานักท่องเที่ยวอิตาลี โดย ททท.จะจัดเส้นทางท่องเที่ยว กรุงเทพฯ-เชียงใหม่-เชียงราย-เกาะเสม็ด-เกาะช้าง-เกาะกูด และเส้นทางกรุงเทพฯ-เกาะพะงัน-เกาะเต่า-เกาะสมุย เพื่อให้สื่อมวลชนได้สำรวจสถานที่ท่องเที่ยว

 "ททท.มองว่าการจัดกิจกรรมในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ดี เพื่อจะได้เป็นการดึงภาพลักษณ์ที่ดีของไทยให้กลับคืนมา เพราะนักท่องเที่ยวอิตาลีเป็นตลาดที่สำคัญของไทย และเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเป็นครอบครัว มีการใช้จ่ายสูงถึง 36,000 บาทต่อคนต่อวัน และจะอยู่ในไทยเฉลี่ยถึง 14.8 วัน กิจกรรมนี้จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในปี 2554 ได้มาก เพราะนักท่องเที่ยวยุโรปจะอ่อนไหวกับเหตุการณ์มากกว่าเอเชีย"นางวิยะดา กล่าว

 สำหรับแผนการตลาดในปี 2554 ททท.จะเร่งประชาสัมพันธ์ ทั้งการนำเสนอหรือโรดโชว์ตามเมืองต่างๆของอิตาลี การจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้ประกอบการทั้ง 2 ประเทศ เพื่อดึงดูดและสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวอิตาลีเกิดการเดินทางมาไทย ททท.เชื่อว่ากลุ่มที่เคยเดินทางมาแล้ว 90% จะกลับมาอีก และคาดว่าถ้าการเมืองในปี 2554 สงบ นักท่องเที่ยวอิตาลีจะเพิ่มขึ้น 10% อย่างแน่
http://www.naewna.com/news.asp?ID=240198


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 13 ธันวาคม 2010, 12:03:31
วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4270  ประชาชาติธุรกิจ


"เชียงรายดอกไม้งาม" สีสันเมืองเหนือในอ้อมกอดฤดูหนาว




 
การได้เที่ยวชมความงามใต้ผืนหมอกของเมืองเหนือ น่าจะเป็นหนึ่งของไฮไลต์การพักผ่อนของนักท่องเที่ยวหลายคน ทั้งการได้สัมผัสอากาศหนาวเย็น ดื่มด่ำกับทิวทัศน์แห่งขุนเขา อิ่มเอมกับวิถีวัฒนธรรมล้านนาที่ดูแปลกตา ในช่วง 6-7 ปีหลังมานี้จังหวัดเชียงรายได้ปลุกปั้นเสน่ห์ของเมืองเหนือสุดในสยามขึ้นมาอีกจุดหนึ่งนั่นคือ "เทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม" โดยมีองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงรายเป็นแม่งานใหญ่จัดขึ้นย่างเข้าสู่ปีที่ 7 แล้ว

เทศกาลดังกล่าวในยุคแรกจัดขึ้นบริเวณหาดเชียงราย ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย แต่ปัจจุบันได้ย้ายสถานที่ไปยังสวนไม้งามริมกก ตำบลริมกก อำเภอเมือง โดย อบจ.เชียงรายได้ทุ่มงบประมาณ ปีละกว่า 20 ล้านบาทเพื่อเนรมิตพื้นที่ ริมแม่น้ำกก 105 ไร่ ให้เป็นสวนไม้ดอก ไม้ประดับเมืองหนาวที่หาดูยากและงดงาม

กิจกรรมส่วนใหญ่ของงาน คือ การนำความงดงามของไม้ดอกไม้ประดับมาจัดแสดงบนสวนขนาดใหญ่หรืออุทยานไม้ดอกเมืองเหนือนานาพรรณ อาทิ สวนหย่อม สวนน้ำตก ประติมากรรมไม้ดอกไม้ประดับ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีการแสดงบนเวทีตาม รูปแบบวัฒนธรรมล้านนาและชนเผ่า กาดมั่ว คัวแลง การประกวดนางสาวถิ่นไทยงาม

การทุ่มงบประมาณเพื่อจัดงานผสานกับภูมิทัศน์อันสวยงามของริมฝั่งแม่น้ำกก จึงกลายเป็นแรงดึงดูดให้แต่ละปีมีผู้คนเดินทางไปเยือนเป็นจำนวนมาก ปีที่ผ่านมามี นักท่องเที่ยวเข้าชมงานกว่า 1 ล้านคน โดยเฉพาะช่วงวันหยุดส่งท้ายปีเก่าต้อนรับ ปีใหม่จะมีนักท่องเที่ยวร่วม 2 แสนคนต่อวัน ที่นี่จึงกลายเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวที่ไปเยือนเชียงรายแทบทุกคน

นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย "รัตนา จงสุทธนามณี" บอกว่า ปีนี้พยายามพัฒนารูปแบบการประดับดอกไม้นานาพรรณ โดยจะเพิ่มประติมากรรมไม้ดอกไม้ประดับให้หลากหลายมากขึ้น เช่น จัดทรงเรขาคณิต อุโมงค์ไม้ดอกไม้ประดับ อุทยานกล้วยไม้ สวนเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจัดเตรียมหัวพันธุ์ดอกทิวลิปซึ่งผลิดอก ได้เฉพาะสภาพอากาศต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส ไว้ประมาณ 3 แสนหัว เน้นความหลากหลายสายพันธุ์ทิวลิป เพื่อให้มีสีสันตระการตามากยิ่งขึ้น

ใครวางแผนไปฉลองปีใหม่เมืองเหนือ อย่าลืมแวะไปสัมผัสเมืองดอกไม้งาม เพราะ 1 ปีมีครั้งเดียวเท่านั้น ดีเดย์วันที่ 25 ธันวาคม 2553-3 มกราคม 2554 ณ สวนไม้งามริมน้ำกกเชิงสะพานเฉลิมพระเกียรติ 1 จังหวัดเชียงราย

หน้า 28


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 13 ธันวาคม 2010, 12:08:33
ททท.มั่นใจวันหยุดยาวปีใหม่ นักท่องเที่ยวแห่ไปภาคเหนือ ยอดจองที่พักส่วนใหญ่เต็ม 
 
 
 

 นางเพ็ญสุดา ไพรอร่าม รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ในช่วงวันหยุดยาวสิ้นปี 2553 ไปจนถึงปีใหม่ 2554 คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จะเติบโตได้ประมาณ 10% จากปี 2552 โดยในช่วงเดียวกันของปี 2552 มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 2.5 ล้านบาท และเชื่อว่าในวันหยุดยาวนี้นักท่องเที่ยวยังคงนิยมไปเที่ยวที่ภาคเหนือมากกว่าในภาคอื่นๆ โดยแบ่งสัดส่วนเป็น ภาคเหนือ 50% กรุงเทพฯและจังหวัดใกล้เคียง 20% และที่เหลืออีก 30% เป็นภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมกัน

 ทั้งนี้การที่เชื่อว่านักท่องเที่ยวจะเดินทางไปภาคเหนือจำนวนมากนั้น สังเกตุได้จากยอดจองโรงแรมส่วนใหญ่ที่เชียงใหม่ โดยส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะชอบไปสัมผัสอากาศหนาวตามเทือกเขาที่เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ส่วนในกรุงเทพฯและจังหวัดใกล้เคียง นักท่องเที่ยวยังคงนิยมไปเที่ยวทุ่งทานตะวันที่ลพบุรีมากที่สุด เพราะในปี 2553 นี้ทางจังหวัดลพบุรีมีโครงการที่จะให้แต่ละพื้นที่ปลูกคนละเวลา เพื่อไม่ให้ออกดอกพร้อมกัน จึงสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้นานถึง 3 เดือน ไปจนถึงหลังปีใหม่

 น.ส.มัยรัตน์ พีระญาณ์โกเศส นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) กล่าวว่า การที่นักท่องเที่ยวหลั่งไหลขึ้นไปเที่ยวภาคเหนือ อาจเป็นเพราะข่าวลือเรื่องการจะเกิดคลื่นยักษ์สึนามิบริเวณภาคใต้ฝั่งอันดามันในช่วงวันที่ 30 ธันวาคมนี้ ทำให้นักท่องเที่ยวเปลี่ยนแผนมายังภาคเหนือแทน สำหรับกิจกรรมที่ ททท.จะใช้เป็นตัวดึงดูดนักท่องเที่ยว คือ กิจกรรมเคาท์ดาวน์ตามภูมิภาคต่างๆ 


http://www.naewna.com/news.asp?ID=240450


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 15 ธันวาคม 2010, 16:37:53
กมธ.ความมั่นคงฯลงพื้นที่เชียงของ แนะรัฐสร้างศักยภาพการค้าชายแดน
 
       นายเจะอามิง โตะตาหยง ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า คณะกรรมาธิการฯ ได้ลงพื้นที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย เพื่อตรวจสอบปัญหาความมั่นคงในด้านเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจาก อ.เชียงของ เป็นอำเภอชายแดนที่มีการขนส่งสินค้า และนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านจำนวนมาก โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งจากการลงทุนที่พบว่ายังมีปัญหาเรื่องการขนส่งสินค้า และข้อผูกมัดบางประการจากการทำเอฟทีเอกับประเทศจีน หากมีการแก้ปัญหา เชื่อว่า อ.เชียงของ จะมีศักยภาพในด้านการขนส่งสินค้า และเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศได้เป็นอย่างดี ดังนั้น คณะกรรมาธิการฯ จะนำข้อมูลที่ได้เสนอต่อรัฐบาลเพื่อดำเนินนโยบายในการดูแลและสนับสนุนในเรื่องดังกล่าว
 
 
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9530000176120


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: rosemary21 ที่ วันที่ 17 ธันวาคม 2010, 13:14:32
ว่างๆจะตามไปแอ่ว


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 ธันวาคม 2010, 18:44:02
[COLOR="Navy"]แอ่วเชียงราย ไปเมืองลาว ย้อนอดีต เชียงแสน - สุวรรณโคมคำ[/COLOR]

(http://pics.manager.co.th/Images/553000018693304.JPEG)
วัดป่าสัก

แม้ว่ากาลเวลาจะหมุนเปลี่ยนมากี่ยุคกี่สมัย แต่เรื่องราวของประวัติศาสตร์นั้นยังคงเป็นเรื่องที่มีผู้คนให้ความสนใจและติดตามไม่มากก็น้อย เพราะคุณค่าของมันนั้นทำให้เราสามารถเรียรู้ถึงความเป็นมา สภาพของสังคม และเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้น จึงถือเป็นโอกาสดีที่ “ตะลอนเที่ยว” จึงพาย้อนเวลา มาสัมผัสกับอารยธรรมที่ยังคงตั้งตระหง่าน ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน ที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เพราะว่ามีความน่าสนใจ มากกว่าที่หลายคนทราบ

(http://pics.manager.co.th/Images/553000018693308.JPEG)

ตักบาตรยามเช้าอีกหนึ่งแง่งามในเส้นทางสายนี้

เพื่อให้เห็นกับตาเราจึงไม่รอช้า นั่งเรือข้ามแม่น้ำโขง ไปยัง สปป. ลาว มาเยี่ยมชมวิถีชีวิตของบ้านพี่เมืองน้อง และที่พลาดไม่ได้คือมาดูโบราณสถานและโบราณวัตถุที่กระจายตัวอยู่ในระแวกนี้ ที่เชื่อกันว่าเป็นส่วนหนึ่งของเมืองสุวรรณโคมคำในอดีต ซึ่งปัจจุบันนั้นตั้งอยู่ที่ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้ต้องนั่งรถลุยฝุ่นควันเป็นระยะทางไกลพอสมควร เพราะเนื่องจากซากของโบราณสถานแต่

       เชียงแสน หนึ่งเมืองเก่าของประเทศไทย ข้อมูลจากตำนานวัดพระธาตุจอมกิตติกล่าวว่าเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่าพันปี มีอาณาจักรกว้างขวางและมีผังเมืองที่สลับซับซ้อน และอยู่ยืนหยัดมาร่วม 8 สมัย ตั้งแต่อาณาจักรสุวรรณโคมคำ อาณาจักรโยนก อาณาจักรขอม อาณาจักรล้านนา อาณาจักรพม่า อาณาจักรอยุธยา และจนถึงปัจจุบัน


(http://pics.manager.co.th/Images/553000018693309.JPEG)

ร่องรอยอารยธรรมที่ยังหลงเหลืออยู่
 
 
       สำหรับคนที่หลงไหลในประวัติศาสตร์คงจะทราบกันดี เพราะตามบันทึกในแต่ละสมัยนั้นได้มีการกล่าวถึงการติดต่อค้าขายกับเมืองในลุ่มน้ำโขง ซึ่งก็คือเมืองเชียงแสนในปัจจุบันนั้นเอง ทุกวันนี้เชียงแสนกลายเป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบ อาจเรียกได้ว่าถ้าไม่ใช่นักท่องเที่ยวที่สนใจในโบราณสถานและสถาปัตยกรรมต่างๆ แล้วละก็ เชียงแสนจะกลายเป็นเมืองทางผ่าน ไปสู่ อ.แม่สาย และ อ.เชียงของเสียมากกว่า

(http://pics.manager.co.th/Images/553000018693305.JPEG)
พระอาทิตย์ขึ้นฝั่งลาว ตกที่ฝั่งเรา
 
 
       ประวัติศาสตร์เริ่มตั้นที่ไหนและจบลงที่ไหนนั้น ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด เพราะในสมัยก่อนนั้นมีเพียงแค่คำบอกเล่าจากปากต่อปาก ต่อมาเริ่มมีการจดบันทึกขึ้น แต่ก็ยังยืนยันความจริงไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็น ถึงอย่างไรก็ตาม ความยิ่งใหญ่ของเมืองเชียงแสนนั้นยืนยันได้จากโบราณสถานต่างๆ ที่กระจายตัวอยู่รอบๆ ชุมชน กำแพงเมืองซึ่งมีขนาดใหญ่และเก่าแก่ แต่ถ้าอยากเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงแสนจริงๆแล้วละก็ แนะนำให้มาที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเชียงแสน

(http://pics.manager.co.th/Images/553000018693301.JPEG)
พระพุทธรูปยืนองค์โตกับบรรยากาศยามเย็นที่บ้านแซว
 
 
       เป็นที่น่าเสียดายว่าไม่สามารถบันทึกภาพในพิพิธภัณฑ์ได้ เพราะปัญหาการป้องกันการลักลอบค้าขายวัตถุโบราณต่างๆ แต่บอกได้คำเดียวว่าการฟังบรรยายของที่นี่ไม่น่าเบื่อเหมือนเรียนวิชาประวัติศาสตร์ในโรงเรียน ศิลปวัตถุ โบราณวัตถุต่างๆ ที่ถูกเก็บรวบรวมไว้ที่นี่มีเรื่องราวและความเป็นมาที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะ เปลวรัศมีพระเจ้าล้านตื้อ (ส่วนบนของเศียรพระพุทธรูป) ศิลปะล้านนา ราวพุทธศตวรรษที่ 20 - 21 สร้างจากสำริด มีขนาดกว้าง 55 ซม. สูง 70 ซม. ถูงมได้ในแม่น้ำโขง และเคยเป็นที่ประเด็นถกเถียงกันถึงที่มาที่ไป ก่อนจะเชื่มโยงไปยังอาณาจักรกลางแม่น้ำโขงในปัจจุบันที่ชื่อว่า อาณาจักรสุวรรณโคมคำ

(http://pics.manager.co.th/Images/553000018693311.JPEG)

วิถีชีวิตที่เรียบง่าย
 
       เพื่อให้เห็นกับตาเราจึงไม่รอช้า นั่งเรือข้ามแม่น้ำโขง ไปยัง สปป. ลาว มาเยี่ยมชมวิถีชีวิตของบ้านพี่เมืองน้อง และที่พลาดไม่ได้คือมาดูโบราณสถานและโบราณวัตถุที่กระจายตัวอยู่ในระแวกนี้ ที่เชื่อกันว่าเป็นส่วนหนึ่งของเมืองสุวรรณโคมคำในอดีต ซึ่งปัจจุบันนั้นตั้งอยู่ที่ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้ต้องนั่งรถลุยฝุ่นควันเป็นระยะทางไกลพอสมควร เพราะเนื่องจากซากของโบราณสถานแต่ละที่นั้นตั้งอยู่ห่างจากกันมาก

เจดีย์เก่าที่วัดดอนสวรรค์
 
 
       วิถีชีวิตของพี่น้องชาวลาวที่นี่ยังคงเดินไปอย่างเรียบง่าย อาจเป็นเพราะกระแสของทุนนิยมยังเดินทางมาไม่ถึง หรือไม่พวกเขาเหล่านี้ก็คงรู้ว่าเงินกับธรรมชาตินั้นมีประโยชน์มากมายพอๆ กัน จึงเลือกที่จะอยู่คู่กับสิ่งสองอย่างนี้อย่างชาญฉลาด สองข้างทางนั้นเป็นไร่ข้าวโพด สลับกับป่าไม้ที่ยังคงความสมบูรณ์ จึงทำให้เห็นความเขียวขจีได้ชัดเจนกว่าบ้านเรามาก

       จุดหมายแรกของเรานั้นคือที่ วัดดอนสวรรค์ วัดเล็กๆ ซึ่งเก็บรวบรวมเอาโบราณวัตถุต่างๆ ที่ชาวบ้านงมได้ในแม่น้ำโขง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพระพุทธรูปในสมัยเชียงแสนลักษณะต่างๆ หรือที่เซียนพระนิยมเรียกกันว่า “พระพุทธรูปสิงห์หนึ่ง สิงห์สอง และสิงห์สาม“ แต่ที่ฝั่งลาวนี้ก็เจอกระแสการลักลอบขายพระพุทธรูปโบราณจากบ้านเรา ทำให้การถ่ายถ่ายภาพเพื่อประชาสัมพันธ์ทางการท่องเที่ยวเปรียบเสมือนดาบสองคม เอาเป็นว่าถ้าใครสนใจก็สามารถแวะมาดูได้ที่นี่

 
       นอกจากพระพุทธรูปต่างๆ แล้ว วัดดอนสวรรค์นี้ยังเป็นที่เก็บรักษา พระธาตุแสนแส้ พระธาตุซึ่งโผล่พ้นน้ำโขงมาแม่ปี 2552 จากเหตุการณ์ที่เกิดผลกระทบจากการสร้างเขื่อนที่ประเทศจีน จนทำให้น้ำในแม่น้ำโขงแห้งลง แต่ก็ยังถือว่าเป็นโชคดีของทั้งประเทศลาวและประเทศไทย ที่ปรากฏโบราณสถานเก่าแก่ รวมไปถึงวัตถุโบราณเก่าแก่ต่างๆ เพื่อเป็นหลักฐานแสดงการมีตัวตนของนครกลางแม่น้ำโขงในอดีต

 
       สำหรับคำว่า “แสนแส้” นั้นมีความหมายมาจากวิธีการที่ใช้สร้างพระธาตุ และพระพุทธรูปในสมัยนั้น โดย คำว่าแส้ แปลว่า ตะปู คนในสมัยก่อนไม่ได้ใช้เหล็กในการขึ้นโครง แต่จะใช้ตะปูซึ่งทำจากนาคจำนวนมากเป็นโครง แล้วก็ก่ออิฐ โบกปูนทับอีกทีหนึ่ง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า ภูมิปัญญาของคนในสมัยก่อนนั้นจะสามารถทำให้พระธาตุแสนแส้นี้ยังคงไม่พังทลายลงไป แม้จะอยู่จมใต้กระแสน้ำมานานหลายปี

       จากนั้นเราขึ้นรถผ่านหมู่บ้าน จนเริ่มเข้าสู่ไร่ข้าวโพดของชาวบ้าน นั่งมาได้สักพักก็ พบเจอกับเจดีย์เก่า ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในป่าข้างทาง ซึ่งสันนิษฐานว่า อาจเป็นเจดีย์ที่เป็นจุดแสดงอาณาเขตของวัด ตัวเมือง หรืออาณาจักรในสมัยก่อน ซึ่งความกว้างใหญ่ของอาณาจักรต่างๆ นั้นสามารถคาดคะเนได้จากการกระจายตัวของกำแพง ตลอดจนเจดีย์ต่างๆ หรือที่เรียกกันว่า “เจดีย์ราย”

 
       หลังจากนั่งรถลุยฝุ่นมาได้สักระยะ เราก็มาหยุดกันที่บริเวณศาลากลางไร่ข้าวโพดเพื่อพักทานข้าวกลางวันกันแบบง่ายๆ จากนั้นก็ถึงไฮไลท์ของทริปนี้ คือพระพุทธรูปปางสมาธิขนาดใหญ่ หรือที่ชาวลาวเรียกกันว่า “พระเจ้าองค์โมง” หรือ “พ่อใหญ่” มีขนาดหน้าตักกว้าง 6.5 เมตร และสูงกว่า 7 เมตร ซึ่งมีตำนานที่เล่าขานกันมา เมื่อถึงวันวิสาขบูชา จะปรากฏดวงแก้วศักดิ์สิทธิ์ ส่องแสงสีฟ้าเป็นประกาย ออกจากพระเจ้าองค์โมง ข้ามมายังวัดสวนดอก ฝั่ง อ. เชียงแสน ของไทย ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระเจ้าหลวงสวนดอก โดยชาวบ้านทั้งไทยและลาวนั้นเชื่อกันว่า พระพุทธรูปทั้ง 2 องค์นี้ เป็นสหายกัน


 
       หลังจากสักการะพระเจ้าองค์โมงแล้ว ก็ได้เวลาที่ต้องนั่งเรือกลับมายังฝั่งไทย และตอนขากลับนี้เองทำให้เราได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ทำไร่ข้าวโพดอย่างเรียบง่าย ทำให้ต้องจอดรถถ่ายรูปกันเป็นระยะๆ ซึ่งนักท่องเที่ยวคนไหนชอบภาพถ่ายแนววิถีชีวิตคงถูกใจไม่ใช่น้อย และเราก็ต้องมาหยุดอีกครั้งเมื่อถึงบริเวณต้นยางยักษ์ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางทุ่งข้าวโพด และไม่ไกลจากนั้นก็มีพระพุทธรูปโบราณตั้งอยู่ แต่ทว่าน่าเสียดายที่ถูกมือดีลักลอบตัดเศียรไปเสียแล้ว


       อาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าแล้ว แต่ตำนานของพระพุทธรูป 2 สหาย ไทย - ลาว นั้นยังไม่สิ้นสุด เราจึงดั้นด้นเดินทางมาให้ถึงวัดสวนดอก อยู่บริเวณชุมชนใน ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน เพื่อมาสักการะพระเจ้าหลวงสวนดอกตามตำนาน แต่ทว่าพระองค์เก่านั้นได้พังทลายลงไป ชาวบ้านจึงรวบรวมเอาเศษของพระพุทธรูปนำมาปั้นเป็นพระองค์ใหม่ ซึ่งปัจจุบันนั้นอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
       
       ความเป็นไปได้สูง ที่อาณาจักรสุวรรณโคมคำนั้นจะมีอยู่จริง ถ้าเราลองนำภาพแผนที่แม่น้ำโขงในอดีตแลัปัจจุบันมาเปรียบเทียบกันก็จะพบว่า ปรากฏแผ่นดินซึ่งคาดการณ์กันว่าจะเป็นเมืองสุวรรณโคมคำในอดีต ซึ่งอยู่ใต้แม่น้ำโขงในปัจจุบัน ซึ่งก็ตรงกับบริเวณที่พบเปลวรัศมีพระเจ้าล้านตื้อ และพระธาตุแสนแส้ และอีกหลายข้อสันนิษฐานที่ว่าทั้งสุวรรณโคมคำและเชียงแสนอาจเป็นอาณาจักรเดียวกัน หรือเป็นบ้านพี่เมืองน้องกัน ก็ยังคงหาข้อสรุปไม่ได้ แต่จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ขุดพบขึ้นต่างๆ นั้น สามารถบอกได้ว่ามีความเกี่ยวข้อง และคล้ายคลึงกันในด้านศิลปวัตนธรรม ตลอดจนสถาปัตยกรรมต่างๆ

       เช้าวันใหม่ เราใช้เวลาสั้นๆ ก่อนกลับแวะมาเดินเที่ยวตลาดเช้า นั่งรถชมโบราณสถานบริเวณเขตกำแพงเมืองเชียงแสน ซึ่งหลักๆ แล้วก็จะมีเจดีย์ขนาดใหญ่ที่วัดเจดีย์หลวง ซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเชียงแสน ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นที่ท่องเที่ยหลักที่ใครผ่านมาก็ต้องแวะสักการะ และทุกวันนี้ในช่วงวันหยุดก็จะมีการจัดตลาดนัดชาวบ้านเล็กๆ ที่ชื่อว่า “กาดใบตอง” เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว และไม่ไกลจากนั้นก็เป็นที่ตั้งของวัดป่าสัก วัดเก่าที่ยังปรากฏเจดีย์ทรงมณฑป เป็นศิลปะที่ได้รับอิทธิพลมาจาก พุกาม จีน ขอมและสุโขทัย ซึ่งยังไม่พังทลายลงไปตามกาลเวลา
       
       การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์นั้นไม่ได้น่าเบื่อเหมือนที่หลายๆ คนคิด เพราะการเดินไปตามเส้นทางในอดีตน้นก็เหมือนกับเรานั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปสู่ยุคนั้นๆ อีกครั้ง และแม้ว่าตำนานต่างๆ จะยังไม่ค้นพบข้อเท็จจริงที่สมบูรณ์แบบ แต่มันจะกลายเป็นอีกความน่าสนใจ ซึ่งดึงดูดให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาได้ไม่มากก็น้อย ทริปนี้หลายๆ คนกลับมาพร้อมความสนใจว่าใต้แม่น้ำโขงปัจจุบันนี้แอบซ่อนความยิ่งใหญ่อะไรเอาไว้บ้างและเชื่อว่าทุกคนนั้นจินตนาการถึงอาณาจักรยิ่งใหญ่ที่ยังคงเป็นปริศนาสืบต่อไป เพราะนี่คือ เสน่ห์ ของคำว่า “ประวัติศาสตร์”
 
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000176260 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000176260)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 ธันวาคม 2010, 18:51:16
ชวนเยาวชนร่วมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทย ที่ “หอฝิ่น” อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ



โอเรียนท์ไทยสานต่อโครงการกิจกรรมรักเมืองไทย ‘โครงการ Orient Thai, We love Thailand’ เพื่อสะท้อนถึงคุณค่าของความเป็นไทยและอานุภาพแห่งพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช และ ‘สมเด็จย่า’ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ต่อการฟื้นฟูผืนป่าธรรมชาติและฟื้นฟูสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรไทยและชาวเขาให้ดีขึ้น ที่มีตำนานเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ความเป็นมาของพืชพันธุ์แสนสวยที่มีอิทธิพลต่อมวลมนุษยชาติทั่วโลก ณ ‘หอฝิ่น’ อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ จังหวัดเชียงราย มนัสนันท์ ตันติประสงค์ชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโอเรียนท์ไทย แอร์ไลน์ จำกัด กล่าวถึงกิจกรรมแรกของโครงการว่า “โครงการ Orient Thai, We love Thailand ’ สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อให้คนไทยได้ย้อนคิดและมองเห็นถึงคุณค่าและวัฒนธรรมของไทย เพื่อยกระดับคุณภาพทั้งด้านจิตใจและการลงมือทำ สังคมและประเทศไทยของเรามีเรื่องราวสำคัญๆ มากมายให้เรียนรู้ ให้เลือกนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยครั้งนี้เริ่มที่ภาคเหนือ จ.เชียงราย ก่อน ที่ ‘หอฝิ่น’ ณ อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพราะที่นี่มีสิ่งที่น่าศึกษาและค้นคว้าเรื่องราวในอดีตกว่า 5,000 ปี ที่ทั้งคนทั่วไป นักท่องเที่ยว หรือนักเรียน-นักศึกษา เยาวชนคนรุ่นใหม่ควรที่จะได้ศึกษา เพื่อจะนำไปเป็นข้อคิดในการที่จะดำเนินการใช้ในชีวิตประจำวันได้ เพราะจะได้ทั้งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และที่สำคัญเรื่องราวของพิษภัยจากการตกเป็นทาสยาเสพติดจะมีผลร้ายต่อคุณภาพชีวิตอย่างไร”

สำหรับ หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ มีพรมแดนประเทศไทย ลาว และพม่า มาบรรจบกัน มีแม่น้ำรวกไหลมารวมกับแม่น้ำโขง เทือกเขาปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก และภาพการปลูกและการค้าฝิ่นนั้น เป็นภาพที่ไม่ดีนักและมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ โครงการหลวงจึงได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2512 เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นถึงปัญหาการปลูกฝิ่นของชาวเขา โดยปลูกพืชอื่นที่ขายได้ราคาดี และมีความเหมาะสมที่จะปลูกในที่สูงแทนการปลูกฝิ่น และเพื่อมุ่งหวังให้ชาวเขาทำมาหากินอยู่กับที่ เลิกทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งจะทำให้หยุดยั้งการทำลายป่าลงได้ “ต่อมาปี 2531 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้ทรงเริ่มโครงการพัฒนาดอยตุงขึ้นในจุดเหนือสุดของประเทศไทย โดยโครงการนี้มีจุดหมายที่จะคืนผืนป่าและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ และหยุดการปลูกและการเสพฝิ่นในดินแดนแห่งนี้ ได้ทรงริเริ่มโครงการที่จะช่วยให้การศึกษาแก่ประชาชนในเรื่องของการศึกษาประวัติของฝิ่นในดินแดนสามเหลี่ยมทองคำและทั่วโลก และการริเริ่มโครงการในพระราชดำริในครั้งนั้น ส่งผลสืบเนื่องให้เกิด หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ ”

ผู้สนใจร่วมย้อนร่องรอยประวัติศาสตร์ ณ หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ โดยหากจะมาเป็นครอบครัว หรือกลุ่มก๊วน กลุ่มนักเรียน-นักศึกษา ตลอดเดือนธันวาคมนี้จนถึงมกราคม 2554 ได้ทุกวัน ในราคาคนไทย 150 บาท ต่างชาติ 200 บาท สนใจติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. (053) 784 444 6, (053) 652 151 Email : hallofopium@doitung.org หรือ www.maefahluang.org

http://www.naewna.com/news.asp?ID=241674


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 ธันวาคม 2010, 15:10:55
เทงบทำถนนชนบทกว่า2.5หมื่นล้าน



เล็งขออีก3หมื่นล้านผุด Zero Base

กรมทางหลวงชนบท เปิดแผนพัฒนาทางหลวงชนบทปี 54 8 โครงการ งบ ประมาณกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท พร้อม ผุดแผน Zero Base “ถนนคุณภาพมาตรฐานปลอดภัย สังคมไทยเป็นสุข” งบกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท “วิชาญ” ระบุ ปี 53-54 อยู่ในช่วงทำแผนจะเริ่มใช้งบจริงในปี 55-57 ส่วนถนนไร้ฝุ่นปี 54 ได้งบน้อยทำได้เพียง 600 กม.ยังเหลือ อีก 4,000 กม.ที่ยังไม่ได้งบประมาณ

นายวิชาญ คุณากูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เปิดเผยถึงแผนงานและโครงการของกรมทางหลวงชนบทในปี 2554 ว่า กรมฯได้รับจัด สรรงบประมาณจำนวน 2.5 หมื่นล้านบาท ให้ดำเนินการโครงการต่างๆ ที่กรมรับผิดชอบ ประกอบด้วย

1.โครงการซ่อมบำรุงทางทั่วประเทศ ระยะทางกว่า 49,000 กิโลเมตร งบประมาณก่อสร้างประมาณ 10,000 ล้านบาท

2.โครงการถนนเชื่อมถนนราชพฤกษ์-กาญจนาภิเษก (แนวตะวันออก-ตะวันตก) ซึ่งจะก่อสร้างถนนขนาด 6 ช่องจราจร ระยะทาง 4.6 กม. พร้อม สะพานกลับรถ 2 แห่ง งบประมาณทั้งสิ้น 2,350 ล้านบาท ซึ่งจะมีระยะเวลาดำเนินการปีงบประมาณ 2554-2556

3.โครงการถนนสาย ก. (ตอนที่ 1) ผัง เมืองรวมเมืองพระนครศรีอยุธยา จ.พระ นครศรีอยุธยา จะก่อสร้างถนนขนาด 6 ช่องจราจร ระยะทาง 3.8 กม. พร้อมสะพานข้ามทางรถไฟ 1 แห่ง งบประมาณทั้งสิ้น 550 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปีงบประมาณ 2554-2556

4.โครงการสาย ก. ผังเมืองรวมป่าตอง จ.ภูเก็ต จะก่อสร้างถนนขนาด 6 ช่องจราจร ระยะทาง 2.9 กม. งบประมาณทั้งสิ้น 250 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปีงบประมาณ 2554-2556

5.โครงการสะพานข้ามทางรถไฟตามถนนสาย ค 3 ผังเมืองรวมเมืองพัทลุง จ.พัทลุง จะก่อสร้างถนนขนาด 6 ช่องจราจร ระยะทาง 1.1 กม. งบประมาณทั้งสิ้น 200 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปีงบประมาณ 2554-2556

6.โครงการ จ.3 (ตอนที่3) ผังเมืองรวมเมืองเชียงราย จ.เชียงราย จะก่อสร้างถนนขนาด 6 ช่องจราจร ระยะทาง4 กม. งบประมาณทั้งสิ้น 180 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปีงบประมาณ 2554-2556

7.โครงการถนนสายเลี่ยงเมือง บ.ทุ่งเสี้ยว-บ.สันป่าตอง-บ.หางดง (ตอนที่ 2) อ.หางดง,สันป่าตอน จ.เชียงใหม่ จะก่อร้างถนนขนาด 4 ช่องจราจร ระยะทาง 13.7 กม. งบประมาณทั้งสิ้น 990 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปีงบประมาณ 2554-2556 และ

8.โครงการถนนสายเชื่อม ทล.1129-ทล.1098 อ.เชียงแสน จ.เชียงราย จะก่อสร้างถนนขนาด 4 ช่องจราจร ระยะทาง 14.5 กม. งบประมาณทั้งสิ้น 810 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปะงบประมาณ 2554-2556

นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่ต้องดำการต่อเนื่องจากปีงบประมาณ 2553-2554 เช่น โครงการสะพานนนทบุรี 1 วงเงินลงทุน 3,796 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปีงบประมาณ 2553-2556 ซึ่งอยู่ระหว่างประกาศประกวดราคา คาดว่าจะลงนามได้ภายในเดือน พ.ค. 2554 โดยได้ลงนามในสัญญากู้ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2553 ที่ผ่านมา และยังมีโครงการก่อสร้างสะพานเชื่อมเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ งบลงทุนประมาณ 400 ล้านบาท เพื่อเป็นการเชื่อมถนนเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวได้อีกเส้นทางหนึ่งด้วย

ส่วนโครงการถนนไร้ฝุ่น กรมฯ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 2,800 ล้านบาท ให้ดำเนินโครงการฯระยะทาง 600 กิโลเมตร อย่างไรก็ตามยังเหลือถนนไร้ฝุ่นที่ต้องดำเนินการอีกประมาณ 4,000 กิโลเมตร

นายวิชาญ ยังได้กล่าวถึง การจัดทำแผนความปลอดภัย ภายใต้สโลแกน “คมนาคมปลอดภัย สังคมไทยเป็นสุข” หรือ Zero Base ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ว่า ขณะนี้ ทช. ได้ทำแผนงาน/งบประมาณสำหรับโครงการนี้แล้ว โดยปี 2553-2554 เป็นช่วงเวลาการจัดทำรายละเอียดและออกแบบโครงการ และในปี 2555-2557 จะของบประมาณจากรัฐบาลมาดำเนินการ เนื่องจากแต่ละปีที่กรมฯได้รับการจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอสำหรับในการดำเนินการกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะยกระดับคุณภาพถนนให้ได้มาตรฐานเพื่อให้ประชาชนได้เดินทางโดยสวัสดิภาพและปลอดภัย

ทั้งนี้ในรายการนั้น จะมีการปรับปรุงจุด/บริเวณเสี่ยงอันตรายบนทางหลวงชนบท ภายในระยะเวลา 5 ปี (2553-2557) โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 28,807.5 ล้านบาท ประกอบด้วย

1.ปรับปรุงจุดตัดทางรถไฟ จำนวน 117 แห่ง งบประมาณ 3,364.5 ล้านบาท

2.ปรับปรุงบริเวณคอขวด สะพานแคบ จำนวน 2,662 แห่ง งบประมาณ 7,578 ล้านบาท ไหล่ทางแคบ จำนวน 10,262 กิโลเมตร งบประมาณ 7,970 ล้านบาท

3.ปรับปรุงทางแยกจุดต่อเชื่อมจำนวน 3,600 แห่ง งบประมาณ 2,010 ล้านบาท

4.ปรับปรุงเรขาคณิตของทาง จำนวน 280 แห่ง งบประมาณ 740 ล้านบาท

5.ปรับปรุงย่านชุมชนจำนวน 200 แห่ง งบประมาณ 2,118 ล้านบาท

6.สะพานลอยคนเดินข้าม จำนวน 25 แห่ง งบประมาณ 200 ล้านบาท

7.ปรับปรุงทางหลวง จำนวน 1,000 แห่ง งบประมาณ 527 ล้านบาท

8.ตีเส้นจราจร จำนวน 25,000 กิโลเมตร งบประมาณ 3,000 ล้านบาท

9.ติดตั้งราวกันอันตราย จำนวน 380,000 เมตร งบประมาณ 665 ล้านบาท

10.ป้ายและเครื่องหมายจราจร จำนวน 120 แห่ง งบประมาณ 60 ล้านบาท

11.ไฟฟ้าแสงสว่างและไฟสัญญาณ จำนวน 380 แห่ง งบประมาณ 575 ล้านบาท


http://www.siamturakij.com/home/news...s_id=413349741  
      


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 ธันวาคม 2010, 10:39:22
วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7332 ข่าวสดรายวัน


'แม่สลอง'ชวนชิมชา-ซากุระบาน



เชียงราย - นางอัจฉริกา มณีสิน ผอ.ททท.สำนักงานจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ดอยแม่ สลองเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจ.เชียงราย เนื่องจากมีภูมิประเทศที่สูงชัน สวยงามและมี วิถีชีวิตที่แปลกตา โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวอากาศหนาวเย็นมากและเป็นช่วงที่สวยงามด้วยดอกซากุระบานสะพรั่งและสีสันของต้นไม้เปลี่ยนสีแต่งแต้มยอดดอย อีกทั้งมีความอุดมสมบูรณ์ของอินทรียวัตถุในดินจึงทำให้เป็นแหล่งปลูกชาที่ดี มีไร่ชาและโรงงานแปรรูปใบชา สามารถผลิตชาชั้นดีจำหน่ายในพื้นที่และส่งขายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ

นอกจากนี้ในพื้นที่ยังสามารถปลูกพืชผัก ไม้ผลและไม้ดอกเมืองหนาวหลากหลายชนิด ประกอบกับวิถีชีวิตชนเผ่ากว่า 7 ชนเผ่าที่อาศัยอยู่ร่วมกันเป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางขึ้นมาสัมผัสและเรียนรู้วิถีชีวิตของชนเผ่า พร้อมจับจ่ายซื้อของเป็นจำนวนมากตลอดทั้งปี

นางอัจฉริกากล่าวต่อว่า ดังนั้น ทาง อ.แม่ฟ้าหลวง อบต.แม่สลองนอก ร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการในท้องถิ่น และ ททท.สำนักงานจังหวัดเชียงราย ร่วมกันจัดงานเทศกาล "ชิมชา ซากุระบาน อาหารชนเผ่า ดอยแม่สลอง" ครั้งที่ 15 ระหว่างวันที่ 28 ธ.ค.53-2 ม.ค.54 ณ สนามกีฬา ร.ร.บ้านสันติคีรี ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง เพื่อส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยว

อีกทั้งร่วมกันรักษาประเพณีวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และเชิญชวนให้นักท่องเที่ยว ได้มีโอกาสเดินทางมาสัมผัสบรรยากาศการท่องเที่ยวบนดอยแม่สลองอย่างต่อเนื่องตามนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวภายใต้แนวคิดเที่ยวไทยครึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก

สำหรับกิจกรรมภายในงานมีหลากหลาย เช่น การแสดงศิลปวัฒนธรรมชนเผ่า 7 ชนเผ่า รวมถึงกิจกรรมลานบ้านชนเผ่า เช่น โล้ชิงช้า ชิงช้าชนเผ่า ฯลฯ

หน้า 28
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd2NtOHdNakkyTVRJMU13PT0=&sectionid=TURNeE13PT0=&day=TWpBeE1DMHhNaTB5Tmc9PQ==


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 ธันวาคม 2010, 10:41:58
-นิทรรศการศิลปะ "หลากสีวันหลากอารมณ์ ที่เชียงราย" โดย ธีรยุทธ สืบทิม วันนี้ถึง 13 ม.ค. ที่ 9 Art Gallery จ.เชียงราย


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 27 ธันวาคม 2010, 15:52:55
วินัยโชว์ผลงาน3เดือนกรมธนารักษ์

27 ธันวาคม 2553 เวลา 15:23 น.



 วินัย แจงผลงาน 3 เดือนเพียบ เตรียมสั่งธนารักษ์พัฒนาที่ราชพัสดุแนวรถไฟฟ้าความเร็วสูงทำศูนย์กระจายสินค้า - พร้อมเปิดรับทีมบริหารโรงแรมศูนย์ราชการ และเล็งประเมินราคาคอนโด ห้องพักทั่วประเทศกว่า 6,000 แห่ง รองรับการประเมินที่ดินรอบใหม่ในปี 2555 นี้

นายวินัย วิทวัสการเวช อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยถึงผลงานในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาว่า ขณะนี้กรมธนารักษ์ได้สำรวจที่ราชพัสดุทั่วประเทศ เพื่อเตรียมทำโครงการลอจิสติกส์ ศูนย์กระจายสินค้า เพื่อรองรับกับแนวเส้นทางเดินรถไฟฟ้าความเร็วสูง โดยคาดว่าน่าจะดึงเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน ซึ่งขณะนี้เชื่อว่ามีที่ราชพัสดุในหลายจังหวัดที่มีความพร้อมเช่นที่จังหวัดนครสวรรค์ ,พิษณูโลก ,ลำปาง , เชียงใหม่ , เชียงราย และ สุราษธานีเป็นต้น

" เป็นการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลเรื่องการก่อสร้างรถความเร็วสูง ถ้าวิ่งผ่านจังหวัดไหนก็จะไปสร้างศูนย์กระจายสินค้ารองรับไว้ คิดว่าจะดึงเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน เพราะบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์  (ธ.พ.ส.) คงมีงานล้นมือ " นายวินัยกล่าว

นอกจากนี้กรมธนารักษ์ ยังเตรียมเปิดรับสมัครทีมบริหารโรงแรมของศูนย์ราชการแห่งใหม่ในเดือน ม.ค. 2554 นี้ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเปิดให้บริการได้ในเดือน เม.ย. 2554 มีความสูง 10 ชั้น มีห้องพัก 204 ห้อง ห้องประชุม 38 ห้อง สามารถรองรับผู้เข้าร่วมประชุมได้สูงสุด 1,000 คน  โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีต้นทุนไม่เกิน 70 % จะต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าโครงการโรงแรมของศูนย์ราชการจะสามารถรองรับการประชุมของหน่วยงานราชการที่อยู่ภายในศูนย์ราชการกว่า 50 - 60 แห่งได้ และยังสามารถรองรับเรื่องที่พักให้คนที่เดินทางมาประชุมที่อิมแพคเมืองทองธานีได้

นายวินัย กล่าวอีกว่า กรมธนารักษ์ อยู่ระหว่างการเข้าประเมินการก่อสร้าง ห้องพัก อาคารชุด คอนโดมิเนียมทั่วประเทศกว่า 6,000 แห่ง เพื่อรองรับกับการประกาศราคาที่ดินรอบใหม่ในวันที่ 1 ม.ค. 2555 เนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัวดี มีผลต่อความเจริญเติบโตของระบบขนส่ง และการคมนาคม จึงทำให้มีการก่อสร้างที่พักอาศัย คอนโดฯ เพื่อรองรับการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง ทั้งในเขตกรุงเทพ ปริมณฑล

ทั้งนี้จะมีการส่งเจ้าหน้าที่เข้าประเมินแบบละเอียด เนื่องจากรูปแบบเดิมจะใช้วิธีการประเมินทุกห้องราคาเท่ากันหมด แต่เนื่องจากปัจจุบันรูปแบบการก่อสร้างคอนโดอาจมีบางชั้นที่มีเนื้อที่มากกว่า ทำให้ราคาสูงกว่า ก็จะต้องปรับราคาประเมินเพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงเพื่อสร้างความเป็นธรรมในการเสียค่าธรรมเนียม การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมกับกรมที่ดินให้มากขึ้น

พร้อมกันนี้กรมธนารักษ์ ยังเดินหน้าเรื่องการนำที่ราชพัสดุตรงแปลงบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน หรือ บบส.เดิม จำนวน 5 ไร่มาก่อสร้างเป็นอาคารสำนักงานให้หน่วยราชการเช่น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ( สศค. ), วำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) และกรมสรรพากร ได้เช่าทำงานและเพื่อขยายบริการให้ประชาน รวมทั้งจะเปิดพื้นที่ส่วนที่เหลือให้เอกชนเช่าในเชิงพาณิชย์ โดยจะให้ ธ.พ.ส. เป็นผู้บริหาร  รวมถึงการสร้างคอนโดมิเนียมที่บริเวณซอยวัดไผ่ตัน เพื่อเปิดให้ข้าราชการที่มีรายได้น้อยจำนวน 800 -900 รายได้เช่าอาศัยในราคาต่ำ คาดว่าจะเริ่มโครงการได้ในต้นปี 2554 นี้


http://www.posttoday.com/%e0%b8%82%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%a7/%e0%b8%98%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%88-%e0%b8%95%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b8%94/66845/%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%a2%e0%b9%82%e0%b8%8a%e0%b8%a7%e0%b9%8c%e0%b8%9c%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%993%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%98%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b9%8c (http://www.posttoday.com/%e0%b8%82%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%a7/%e0%b8%98%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%88-%e0%b8%95%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b8%94/66845/%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%a2%e0%b9%82%e0%b8%8a%e0%b8%a7%e0%b9%8c%e0%b8%9c%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%993%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%98%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b9%8c)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: ap.41 ที่ วันที่ 27 ธันวาคม 2010, 17:18:14
เอาความคืบหน้าการก่อสร้างท่าเรือเีชียงแสน 2 มาฝากครับ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: ap.41 ที่ วันที่ 27 ธันวาคม 2010, 17:19:57
 ;D


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: ap.41 ที่ วันที่ 27 ธันวาคม 2010, 17:21:38
 ;D


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: ap.41 ที่ วันที่ 27 ธันวาคม 2010, 17:24:06
 ;D


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: ap.41 ที่ วันที่ 27 ธันวาคม 2010, 17:26:21
 ;Dภาพแรกเป้นแม่น้ำกกนะครับ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: ap.41 ที่ วันที่ 27 ธันวาคม 2010, 17:28:35
 ;D


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: ap.41 ที่ วันที่ 27 ธันวาคม 2010, 17:30:49
 ;D


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: ap.41 ที่ วันที่ 27 ธันวาคม 2010, 17:33:09
ชุดสุดท้ายครับ ติดตามชมต่อที่บอร์ดบ้านสบกก นะครับ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 27 ธันวาคม 2010, 23:23:03
ขอบคุณมากครับ ท่าน AP1


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 27 ธันวาคม 2010, 23:23:39
10เอกชนโดดซื้อซองประมูล3จีทีโอที

27 ธันวาคม 2553


เอกชนโดดซื้อซอง 3 จี ทีโอที 10 ราย ประธานบอร์ดมั่นใจเปิดให้บริการเฟสแรกได้ตามกรอบ เม.ย.ปี54

รายงานข่าวจาก บริษัท ทีโอที เปิดเผยว่า หลังปิดการซื้อซองประกวดราคาโครงการ 3จี ทั่วประเทศมูลค่า 1.9 หมื่นล้านบาทเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. มีผู้สนใจเข้าร่วมซื้อซองจำนวน 10 ราย คือ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น บริษัท แซดทีอี (ประเทศไทย) บริษัท ล็อกซเล่ย์ บริษัท อิริคสัน ประเทศไทย บริษัท แอดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี หรือ เอไอที บริษัท อัลคาเทล – ลูเซ่นส์ (ประเทศไทย) บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น บริษัทยูไนเต็ด คอมมูนิเกชั่น อินดัสตรี หรือ ยูคอม และ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชันแนล

ทั้งนี้ ผู้ที่เข้าร่วมประมูล ต้องซื้อซองประกวดราคา 5 แสนบาท และต้องมีการค้ำประกันซอง 3 % ของมูลค่าโครงการ หรือประมาณ 572 ล้านบาท โดยทีโอทีได้กำหนดให้ยื่นซองพร้อมกันทุกรายในวันที่ 10 ม.ค.2554 ตั้งแต่ 9.00 น.-12.00 น. ซึ่งจะมีการเคาะราคาการประมูลด้วยวิธีอิเลคทรอนิกส์ หรือ อีออกชั่นวันที่ 28 ม.ค. และคาดว่าจะสามารถทำสัญญาได้ประมาณวันที่ 15-18 ก.พ.

นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ประธานกรรมการ หรือ บอร์ด ทีโอที กล่าวว่า มั่นใจว่าการดำเนินการน่าจะแล้วเสร็จตามกรอบที่วางไว้ คือ เดือน เม.ย. ซึ่งหลังจากทีโอทีเปิดขายซองประกวดราคา ได้,uหลายธนาคารได้ให้ความสนใจและยื่นข้อเสนอเรื่องแหล่งเงินกู้เข้ามา จึงเชื่อว่าโครงการนี้จะไม่มีปัญหาใดๆ

สำหรับโครงการ 3 จีทั่วประเทศนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที ต้องการให้เปิดบริการเฟสแรกภายในเดือนเม.ย.2554 และเฟสที่ 2 จะต้องเปิดให้บริการภายใน 180 วัน หรือช่วงเดือนส.ค.2554 ในกทม.และปริมณฑล และ 13จังหวัดเศรษฐกิจ คือ ชลบุรี ระยอง สงขลา สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง พิษณุโลก อุดรธานี นครราชสีมา ขอนแก่น และหนองคาย ส่วนเฟสสุดท้ายจะขยายไปยังจังหวัดอื่นๆ อีก 59 จังหวัด ภายใน 360 วัน โดยทีโอทีจะพิจารณาจากพื้นที่ที่มีความต้องการสูงและมีศักยภาพในการสร้างรายได้

รายงานข่าวระบุว่า มีความพยายามแข่งขันกันระหว่าง บริษัท แซดทีอี และ หัวเว่ย เทคโนโลยี ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่จากประเทศจีนทั้งคู่ และต่างฝ่ายต่างต้องการเป็นหนึ่งเดียว ที่ได้โครงการนี้ โดยมีกระแสว่าแซดทีอีมีสิทธิ์ที่จะได้โครงการนี้สูงมาก เนื่องจากหัวเว่ยจับคู่กับ สามารถ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ไม่พอใจการทำงานของกลุ่มสามารถ เห็นได้ชัดเจนจากการปลดนายวรุธ สุวกร ซึ่ง เป็นคนของกลุ่มสามารถโดยตรง พ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอที
http://www.posttoday.com/%e0%b8%82%e...b8%97%e0%b8%b5


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: ap.41 ที่ วันที่ 28 ธันวาคม 2010, 05:32:21
ผมอยากเห็นการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขง ที่เชียงของนะครับใครมีเอามาแชร์กันหน่อยครับ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 ธันวาคม 2010, 08:40:13
บอร์ดททท.ผ่านงบ6พันล้านปี54สิ้นปีเที่ยวคึกคัก

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 28 ธันวาคม 2553




ASTVผู้จัดการรายวัน - บอร์ด ททท.ไฟเขียว กรอบงบประมาณเบื้องต้นประจำปี 2555 วงเงิน 6,000 ล้านบาท พร้อมตั้งคณะทำงานร่วมกับภาคเอกชน วางยุทธศาสตร์ทำงานด้านการท่องเที่ยวร่วมกัน ประเมินผู้ว่าททท.ผ่านฉลุย สิ้นปี ไทย-เทศ เที่ยวไทยคึกคัก

นายวิชัย ศรีขวัญ ประธานคณะกรรมการ(บอร์ด) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ด เห็นชอบกรอบงบประมาณดำเนินงานประจำปีงบประมาณ 2555 ที่วงเงิน 6,000 ล้านบาทเพิ่มจากปีงบประมาณ 2554 ราว 13.2% โดยจะนำเสนอต่อกระทรวงการท่องเที่ยว เพื่อนำเสนอต่อสำนักงบประมาณตามลำดับ

โดยวงเงินดังกล่าว เป็นงบลงทุนเพียง 210 ล้านบาท ที่เหลือแบ่งเป็น ค่าใช้จ่ายเพื่อการดำเนินงานและเงินเดือนพนักงาน 35% งบสำหรับทำตลาดต่างประเทศ 21% งบทำตลาดในประเทศ 11% และ งบโฆษณาและทำตลาดส่วนกลาง การตลาดออนไลน์และกิจกรรมส่งเสริม 32% โดยมีเป้าหมายเพิ่มรายได้จากปี 2554 แบ่งเป็น ตลาดต่างประเทศเป้าหมายเพิ่ม 5-7% ตลาดในประเทศ เพิ่ม 4-5%

ตั้งคณะทำงานร่วมเอกชน

นอกจากนั้น ที่ประชุมยังเห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะทำงาน โดยมีบุคคลากรผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจากทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน มาร่วมทำงานกำหนดยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวร่วมกัน สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวแห่งชาติ 5 ปี (2555-2559)

ประเมินผู้ว่าททท.ผ่านฉลุย

นายวิชัย กล่าวอีกว่า ในการประชุมบอร์ดครั้งนี้ ยังได้มีการประชุมลับ เพื่อประเมินผลการทำงานของนายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการ ททท. ช่วงระหว่าง 1 ม.ค.-30ก.ย.53 ผลการประเมินเบื้องต้น ของ บอร์ด และ บุคคลากรภายในองค์กร นายสุรพล ได้มากกว่า 90 คะแนน อยู่ในขั้นดีมาก อย่างไรก็ตาม ยังคงเหลือ การประเมิน จาก สำนักงานคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ(สคร.) ภาคเอกชน และ บริษัท ทริส
คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัท ประเมินผลการทำงาน

“เราประเมินจากหลายตัวชี้วัด เช่น จำนวนนักท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิก ลำดับภาพลักษณ์ประเทศไทยด้านวัฒนธรรม ด้านไมตรีจิต ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล โดยทั้งหมดดังกล่าว ทริส จะเป็นผู้ประเมิน “

ฟุ้งสิ้นปีต่างชาติแห่เที่ยวไทย

ทางด้านนายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการ ททท. กล่าวยอมรับว่า ในส่วนของกรอบวงเงินงบประมาณปี 2555 ที่ขอน้อยลงจากทุกปีจะเสนอขอราว 8,000 ล้านบาท แต่ก็ถูกปรับลด ดังนั้นปีนี้ เราจึงจัดทำงบตามความเป็นจริงที่สุดและอยู่บนพื้นฐานที่ว่าเฉลี่ยแต่ละปี เกือบทุกองค์กรจะได้รับงบเพิ่มเฉลี่ยที่ 3-5% จึงเห็นว่า 6,000 ล้านบาทเป็นตัวเลขที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความชัดเจนของการทำงาน ที่ประชุมบอร์ด ยังได้มอบหมายให้ ททท.เร่งจัดทำปฎิทินการปฎิบัติงาน ทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ เพราะต้องการทราบแผนงานทำงาน ระยะเวลาแล้วเสร็จ รวมถึงการทำงานร่วมกับภาคเอกชน อย่างชัดเจน

สำหรับรายงานตัวเลขนักท่องเที่ยว ช่วง วันที่ 1-27 ธ.ค. 54 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ด่านสุวรรณภูมิ มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1,021,362 คน เพิ่มขึ้น 5.77% โดยช่วงวันที่ 23- 27 ธ.ค. ที่ด่านสุวรรณภูมิ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีเพิ่มสูงถึงวันละ กว่า 4.4 หมื่นคน เข้าสาช่วงปกติของฮซีซั่น ส่วนที่ ด่านภูเก็ต ช่วง 1-26 ธ.ค.54 รวมจำนวน 175,921 คน เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 25.81%

ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่ถึงสิ้นปีจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมมากกว่า 15.3 ล้านคน

ต่างชาติเข้าไทยเพียบช่วงปีใหม่

นายประกิจ ชินอมรพงษ์ นายกสมาคมโรงแรมไทย(ทีเอชเอ) กล่าวว่า ยอดบุคคกิ้งห้องพักโรงแรมช่วงนี้ถึง 1 ม.ค.54 เกือบทุกโรงแรมเฉลี่ยอยู่ที่ 90% โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ อีสาน และ ใต้ ยกเว้นเขตกรุงเทพฯที่มียอดบุ๊คกิ้งที่ 60% เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักธุรกิจ ซึ่งช่วงนี้ได้หยุดพักผ่อนประจำปีไปแล้ว

ทางด้านนายสุรพล ศรีตระกูล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 2553 ถึงขณะนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เดินทางผ่านสมาคมแอตต้า มีทั้งสิ้น 1.99 ล้านคน เพิ่มขึ้น 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะมีประมาณ 1.5 ล้านคน กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาสูงสุด คือ จีน เพิ่ม 27% รัสเซีย 107% อินเดีย 34% เกาหลีใต้ 51%และอิหร่าน 47% เป็นต้น แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมยังคงเป็นภาคใต้ ส่วนภาคเหนือแอตต้าก็พยายามโปรโมทอย่างต่อเนื่อง จึงมีบางส่วนที่สนใจเดินทางไปเชียงใหม่ เชียงราย และพิษณุโลก รวมถึงภาคอีสานบางจังหวัด เช่น อุบลราชธานี ขอนแก่น และ สกลนคร

สำหรับตัวเลขคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศ ช่วงเทศกาลปีใหม่ ก็ยังคงอยู่ในระดับสูง ประเทศยอดฮิต ได้แก่ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ เนื่องจากราคาทัวร์ไม่แพงมาก ขณะที่ยุโรปคนไทยไม่ค่อยสนใจไปนักเพราะอากาศหนาวเย็น ประกอบกับข่าวหิมะตกหนัก ทำให้บางคนที่จองทัวร์ไว้ก็ขอยกเลิก

นางสาวมัยรัตน์ พีระญาณ์โกเศส นายาสมาคมธุรกิจนำเที่ยวภายในประเทศ(สทน.) กล่าวว่า ตลาดคนไทยเที่ยวในประเทศ ช่วงเทศกาลปีใหม่ มีจำนวนคนไทยจองแพกเกจเดินทางท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยนิยมเดินทางไปยัง ภาคเหนือตอนบน ตอนล่าง และภาคอีสานตอนบน เพราะเป็นพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็นซึ่งคนไทยชื่นชอบ ส่วนทางภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน เช่น พังงา และกระบี่
ยอดจองล่วงหน้ายังไม่ดีนัก เพราะนักท่องเที่ยวคนไทยมีความกังวลกับกระแสข่าวว่าจะเกิดสึนามิ ในพื้นที่ดังกล่าว ส่งผลให้นักท่องเที่ยวคนไทยยกเลิกการจองไปเกือบหมด หากสรุปรวมการท่องเที่ยวทั่วประเทศไทยช่วงปีใหม่ จะเฉลี่ยอยู่ 70% เท่านั้น จากปกติจะเกิน

http://www.manager.co.th/Daily/ViewN...=9530000182802


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 ธันวาคม 2010, 14:02:48
เหนือ-อีสานปีใหม่คึกแต่ใต้ยังซึม

29 ธันวาคม 2553 เวลา 10:41 น.

 อากาศหนาวคนแห่เที่ยวปีใหม่ ภาคเหนือ-เขาใหญ่ตรึม แต่ใต้ซบเจอข่าวสึนามิ

น.ส.มัยรัตน์ พีระญาณ์โกเศส นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) เปิดเผยว่า ช่วงปีใหม่สถานที่ท่องเที่ยวทั้งภาคเหนือ-เขาใหญ่ดี แต่ภาพรวมทั้งประเทศยังไม่ดี จากข่าวสึนามิที่ภาคใต้ทำให้นักท่องเที่ยวชะลอการเดินทางตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา

นายประกิจ ชินอมรพงษ์ นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า สถานการณ์ท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ยังคึกคักเช่นเดิม ซึ่งยอดจองโรงแรมต่างจังหวัดเต็มเกือบหมด 90% เป็นคนไทยที่เดินทางไปท่องเที่ยว โดยเฉพาะภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ เชียงราย และจังหวัดใกล้เคียง

ทั้งนี้ อัตราจองโรงแรมวันหยุดคริสต์มาสที่ผ่านมาอยู่ที่ 70-80% ส่วนหนึ่งเพราะยังไม่ใช่วันหยุดยาว แต่ก็ถือว่าน่าพอใจ

นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า การท่องเที่ยวปลายปีมีแนวโน้มดีมากจากปัจจัยบวกทั้งเศรษฐกิจ การเมืองที่ดีขึ้น ทำให้อัตราการท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น 7-8% คาดว่าช่วงปีใหม่จะมีเงินสะพัดประมาณ 4,000 ล้านบาทต่อวัน


http://www.posttoday.com/%e0%b8%82%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%a7/%e0%b8%82%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%97%e0%b8%b9%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b8%a2%e0%b9%8c/67179/%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b7%e0%b8%ad-%e0%b8%ad%e0%b8%b5%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%9b%e0%b8%b5%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b8%84%e0%b8%b6%e0%b8%81%e0%b9%81%e0%b8%95%e0%b9%88%e0%b9%83%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%a2%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%8b%e0%b8%b6%e0%b8%a1


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 ธันวาคม 2010, 14:03:16
คนแห่ชมดอกไม้เชียงรายแน่น!กว่าแสน/วัน


นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ เดินทางสัมผัสอากาศหนาว และชมความงามของดอกไม้ ในเทศกาลดอกไม้งาม จ.เชียงราย กว่าแสนคนต่อวัน




นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ต่างเดินทางเข้าชมความงามของดอกไม้เมืองหนาว นานาพันธุ์ ที่กำลังบานรับลมหนาว อย่างสวยงาม ภายในสวนไม้งาม ริมน้ำกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 7 ที่ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นำลงปลูกบนเนื้อที่กว่า 100 ไร่ เพื่อให้ นักท่องเที่ยว ได้ชมความสวยงามและถ่ายภาพเก็บเป็นที่ระลึก มีนักท่องเที่ยวเข้าชม ตั้งแต่ช่วงเช้า โดยวันหนึ่ง ๆ มีนักท่องเที่ยวเข้าชมดอกไม้ มากกว่า 100,000 คน ขณะเดียวกันสภาพอากาศในพื้นที่ จังหวัดเชียงราย ยังคงหนาวเย็นอย่างต่อเนื่อง โดยทางสถานีอุตุนิยมวิทยา จังหวัดเชียงราย รายงานอากาศตรวจวัดอุณหภูมิต่ำสุด ที่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย อยู่ที่ 12.6 องศาเซลเซียส ยอดดอย อยู่ที่ 2-3 องศาเซลเซียส ซึ่งถือว่า อากาศหนาวจัด ในทุกพื้นที่


http://www.innnews.co.th/local.php?nid=261884


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 04 มกราคม 2011, 17:18:56
ท่องเที่ยวทั่วไทยฉลองปีใหม่ตลอดเดือนธันวาคม เงินสะพัด 20,000 ล้านบาท

--------------------------------------------------------------------------------

วันอังคาร ที่ 04 ม.ค. 2554    สำนักข่าวไทย 4 ม.ค.- ท่องเที่ยวคึกคักทั่วประเทศ เงินสะพัดฉลองปีใหม่ตลอดเดือนธันวาคมกว่า 20,000 ล้านบาท ส่วนปีนี้เตรียมคัดกิจกรรมเด่นชวนคนไทยเที่ยวทุกสัปดาห์และตลอดปี เน้นรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืน ตลอดจนท่องเที่ยวอย่างมีความสุขและปลอดภัย

นายธวัชชัย  อรัญญิก  รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า การท่องเที่ยวภายในประเทศตลอดเดือนธันวาคมจนถึงเทศกาลปีใหม่ปีนี้คึกคักมาก  ภาพรวมตลอดทั้งเดือนเงินสะพัดกว่า 20,000 ล้านบาท ทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ ถึงขนาดเที่ยวบินไม่เพียงพอในการรองรับผู้โดยสาร ห้องพักโรงแรมต่าง ๆ เต็มเพราะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ และฉลองปีใหม่ ซึ่งปีนี้จังหวัดก็มีการจุดพลุเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่

ส่วนจังหวัดอื่น ๆ ในภาคเหนือก็คึกคักเช่นเดียวกัน ทั้งจังหวัดเชียงราย และแม่ฮ่องสอน เพราะอากาศดี เย็นสบาย ขณะที่ภาคใต้แม้จะมีข่าวลือเกิดสึนามิแต่ก็มีนักท่องเที่ยวไม่น้อยร้อยละ 75 โดยเฉพาะภูเก็ต สมุย กระบี่ โรงแรมที่พักต่าง ๆ ก็มีนักท่องเที่ยวเข้าพักเต็ม ทั้งนี้ หากปีนี้ ไม่มีข่าวที่กระทบต่อการท่องเที่ยวจะส่งผลให้คนไทยเดินทางมากขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีการเดินทาง 91 ล้านคนครั้ง

นายธวัชชัย กล่าวด้วยว่า สำหรับแผนการตลาดในประเทศปีนี้ นอกจากการส่งเสริมให้คนไทยท่องเที่ยวในประเทศทั้งแบบขับรถท่องเที่ยวกันเองแล้ว ยังส่งเสริมให้ผ่านบริษัททัวร์เพื่อสนับสนุนบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ทั้งพนักงานขับรถ มัคคุเทศก์ท้องถิ่น มัคคุเทศก์เยาวชน ฯลฯ ตลอดจนเกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนร่วมทาง พร้อมกันนี้ยังจะคัดเลือกกิจกรรมเด่น 52 กิจกรรมจากที่กระจายอยู่ทั่วประเทศนับพันกิจกรรม เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวทุกสัปดาห์ และตลอด 1 ปีภายใต้แนวคิด “ท่องเที่ยวหัวใจใหม่ เมืองไทยยั่งยืน” นอกจากนี้จะร่วมกับสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวให้ความสำคัญเรื่องมาตรฐานรถนักท่องเที่ยวและพนักงานขับรถ เพื่อให้การท่องเที่ยวอย่างมีความสุขและปลอดภัย .-สำนักข่าวไทย


http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/151264.html


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 มกราคม 2011, 13:24:37
ทัวร์ลาว-R3a ยอดนักท่องเที่ยวทะลุล้าน-เชื่อหลังสะพานโขง 4 เสร็จการค้าลงทุนบูมอีก
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 มกราคม 2554 11:20 น.
 
 
 เชียงราย – นักธุรกิจลาวย้ำพร้อมรับสะพานน้ำโขง เผยหลังเส้นทาง R 3 a เสร็จ ทำนักท่องเที่ยวทะลักเข้าลาวผ่านแขวงบ่อแก้วเกินล้านคนแล้ว เชื่อหลังสะพานเสร็จการค้า การลงทุน รวมถึงการท่องเที่ยวเติบโตอีกมหาศาล
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้นำคณะหัวหน้าส่วนราชการและเอกชนเดินทางข้ามฝั่งโขงที่ อ.เชียงของ ไปยังเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เพื่อพบปะและเจริญสัมพันธไมตรีกับท่านคำมั่น สูนวิเลิด เจ้าแขวงบ่อแก้ว ที่อยู่ติดกับ จ.เชียงราย เมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งได้รับการต้อนรับจากคณะของแขวงห้วยทรายเป็นอย่างดี และทางผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ร่วมกับนายวิรุณ คำภิโล ประธานหอการค้า จ.เชียงราย ได้เชิญคณะจากแขวงบ่อแก้วได้เข้าร่วมงานวัฒนธรรมสัมพันธ์ลุ่มแม่น้ำโขงครั้งที่ 16 ที่จะจัดขึ้น 15-17 ม.ค.นี้ ณ สนามบินฝูงบิน 416 ถนนสนามบิน เทศบาลนครเชียงราย
       
       จากนั้นท่านคำมั่นได้ให้คณะฝ่ายไทยเดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลแขวงบ่อแก้วและโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อมบ้านดอน เมืองห้วยทราย-บ้านทุ่งงิ้ว ต.สถาน อ.เชียงของ
       
       พร้อมกันนั้นคณะของผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้พบกับคณะวิศวกรชาวจีนของบริษัท CR5-KT (China Raiway No.5 Engineering Group) จำกัด ที่ได้นำเครื่องจักร อุปกรณ์และแรงงานเริ่มก่อสร้างโครงสร้างของสะพานอย่างคึกคัก อย่างไรก็ตามในฝั่ง สปป.ลาว ยังไม่มีการก่อสร้างถนนเชื่อมสะพานเข้ากับเส้นทาง R3A ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้
       
       ขณะที่ฝั่งไทย บริษัทกรุงธนเอ็นจิเนียร์ริ่ง จำกัด ซึ่งเป็นเอกชนที่ร่วมทุนกับบริษัท CR5-KT ในการก่อสร้างสะพาน ถนนและอาคารที่เกี่ยวข้อง ได้ทำการก่อสร้างถนนแยกจากถนนสายเทิง-เชียงของ ไปจนถึงหมู่บ้านทุ่งงิ้วอย่างคึกคักเช่นกัน
       
       นอกจากนี้ คณะยังได้เยี่ยมชมโครงการนาคราชนคร ซึ่งเป็นการลงทุนของเอกชนไทยนำโดยบริษัทเอเอซี กรีน ซิตี้ ลาว จำกัด ร่วมทุนกับเกาหลีใต้ พัฒนาเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว สินค้าปลอดภาษี โรงแรม การเกษตร ฯลฯ ครบวงจร บนเนื้อที่ 1,200 ไร่ ภายใต้สัญญาสัมปทานกับรัฐบาล สปป.ลาว 40 ปีและต่อได้อีก 40 ปี แต่การก่อสร้างสะพานได้ออกแบบถนนให้ตัดผ่านโครงการกว่า 120 ไร่ ซึ่งคณะได้รับทราบจากโครงการนาคราชนครว่าปัจจุบันได้มีการปรับตัวด้วยการปรับแบบเพื่อให้เหมาะสมกับถนนที่จะตัดผ่านแล้ว
       
       ด้านท่านสุพอน ปันยาดา ประธานสภาการค้าและอุตสาหกรรมแขวงบ่อแก้ว ซึ่งเป็นนักธุรกิจด้านการสื่อสารในแขวงบ่อแก้ว กล่าวว่า อดีตที่ผ่านมาการค้าชายแดนด้านห้วยทราย-เชียงของ เป็นการค้าเกี่ยวกับการเกษตรเป็นหลัก แต่ปัจจุบันมีอัตราการขยายตัวมากขึ้น และเชื่อว่าเมื่อสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งนี้แล้วเสร็จจะทำให้การค้าและการท่องเที่ยวขยายตัวอีกมาก
       
       ในส่วนของฝ่าย สปป.ลาว ก็ได้มีการรองรับด้วยการพัฒนาจุดผ่านสินค้าให้สะดวกและรวดเร็วหรือ Single Window รวมทั้งระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากสะพานแห่งนี้คงจะทำให้เกิดการค้าระหว่างไทย-จีน มากขึ้นในส่วนของ สปป.ลาว คงจะได้ประโยชน์ด้านค่าผ่านทาง ภาษีและการท่องเที่ยวเป็นหลัก
       
       ท่านสุพอน กล่าวอีกว่า แม้ว่าการคมนาคมจะสะดวกขึ้นและในปัจจุบันมีการค้าเสรีโดยปลอดอัตราภาษีสินค้ากันมากขึ้น แต่สำหรับ สปป.ลาว ยังถือว่ายังไม่ได้เข้าร่วมกับเขตเสรีอาเซียนหรือ AFTA อย่างเต็มตัวจนกว่าจะถึงปี 2557 ดังนั้นเมื่อการสะพานก่อสร้างเสร็จในปี 2555 ทาง สปป.ลาว ก็คงจะมีการจัดเก็บภาษีตามกฎหมายลาวและข้อตกลงระหว่างประเทศต่างๆ ตามขั้นตอน แต่สิ่งที่จะได้รับประโยชน์อย่างทันทีคือเรื่องการท่องเที่ยวหลังจากที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวผ่าน R3A และแม่น้ำโขงไปเยือนแขวงบ่อแก้วเกือบ 1 ล้านคนแล้ว
       
       "ด้านการลงทุนส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มทุนจีนที่เข้าไปลงทุนในแขวงบ่อแก้วมากกว่ากลุ่มทุนใดๆ รวมทั้งกลุ่มทุนไทย ทั้งโรงแรม ขนส่งสินค้า และด้านการขนส่งสินค้าก็เห็นว่าหลังสะพานก่อสร้างแล้วเสร็จก็คงจะใช้ระบบโลจิสติกส์เดิมคือมีการเปลี่ยนถ่านหัวลากกันที่บ้านนาเตย แขวงหลวงน้ำทา ชายแดน สปป.ลาว-จีนตอนใต้ เพราะรถขนส่งของไทยและจีนบนถนน R3A ไม่เหมือนกัน มีพวงมาลัยและการขับขี่แตกต่างกัน"
       
       ท่านสุพอน กล่าวว่า อย่างไรก็ตามในอนาคตก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตั้งจุดเปลี่ยนหัวลากที่เมืองห้วยทรายได้ เพราะเมื่อเกิดความแตกต่างกันดังกล่าวทำให้รถบรรทุกจากประเทศไทยประสบปัญหาการขนส่งบนถนน R3A ในเขต สปป.ลาว เพราะขับขี่คนละช่องทางกันขณะที่ของฝ่าย สปป.ลาว และจีนขับขี่ช่องทางเดียวกัน จึงทำให้ที่ผ่านมาเคยเกิดอุบัติเหตุบนถนนสายนี้มาแล้วหลายครั้ง ซึ่งหากมีจุดเปลี่ยนหัวลากที่ห้วยทรายก็จะแก้ไขปัญหาทั้งหมดนี้ได้
       
       ท่านสุพอน กล่าวด้วยว่า สำหรับธุรกิจที่จะตามมาจากการก่อสร้างสะพาน คือ ขณะนี้ตนกำลังเจรจาในการเชื่อมสายเคเบิ้ลไฟเบอร์ออฟติกมาจากฝั่งไทย โดยระบบดังกล่าวจะสามารถดำเนินการได้พร้อมๆ กับสะพานที่มีโครงสร้างให้สามารถเชื่อมต่อสายดังกล่าวได้อยู่แล้ว เพื่อให้สามารถใช้การสื่อสารในฝั่ง สปป.ลาว ได้ทั้งระบบดีแทค เอไอเอส ฯลฯ หรืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งแม้ว่าในฝั่ง สปป.ลาว จะใช้การสื่อสารระบบ 3จี ไปแล้วแต่หากเข้าสู่จุดอับบางจุดก็จะได้ใช้ระบบ 2จีนที่ใช้ในฝั่งไทยทดแทนได้ เพื่อให้ลูกค้าได้รับการอำนวยความสะดวกมากที่สุดต่อไป       
       รายงานข่าวแจ้งด้วยว่าสำหรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงดังกล่าว เกิดจากความร่วมมือของรัฐบาลไทย-สปป.ลาว-จีน เพื่อเชื่อมแนวเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ โดยมีมูลค่าการก่อสร้างรวม 44,815,322.13 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าจ้างที่ปรึกษารวม 2,540,366.10 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,400 ล้านบาทโดยรัฐบาลไทยและจีนเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายประเทศละ 50% กำหนดเริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2553 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธ.ค.2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน
 
 
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000000574 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000000574)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 มกราคม 2011, 16:54:39
จี้กระทรวงท่องเที่ยวยกเครื่อง แก้ระบบเก็บสถิติ-เพิ่มแหล่ง รับปีกระต่ายบูม
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 มกราคม 2554 22:34 น.
 
 
 
 
 
       ถึงเวลากระทรวงการท่องเที่ยว ต้องเร่งปรับตัวเอง ก้าวทันการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เอกชนย้ำได้เวลายกเครื่องการทำงาน ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบ เน้น พัฒนาเพิ่มแหล่งท่องเที่ยว เปิดกว้างการลงทุน การจัดทำระบบเก็บสถิติ แก้ปัญหาสมองไหล ปรับปรุงประสิทธิภาพบุคคลากร ใช้ภูมิศาสตร์ที่ตั้งประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด
       
       แนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวประเทศไทย ซึ่งปี 2554 มีลุ้น ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะทำได้ถึง 16-17 ล้านคน เงินสะพัดกว่า 6 แสนล้านบาท เป็นผลการโตต่อเนื่องจากปี 53 ที่ทะลุเป้าหมายไปปิดมากกว่า 15 ล้านคน
       
       ****เร่งพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวตามโครงข่ายคมนาคม****
       ปัจจัยเกื้อหนุนที่ทำให้ไทยมีความโดดเด่น จากประเทศอื่นๆ และถึงเวลาแล้ว ที่รัฐบาลและกระทรวงการท่องเที่ยว ควรหันมาเอาจริงเอาจังกับการพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว และเศรษฐกิจของประเทศ คือ ความได้เปรียบด้านภูมิศาตร์ ที่ตั้งประเทศ ที่เป็นจุดศูนย์กลางของกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เห็นได้จากความเป็นฮับด้านการบิน ทั้งโลว์คอสต์แอร์ไลน์ และ สายการบินจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ต่าง เข้ามาจับจองเปิดเส้นทางบินมาประเทศไทยทั้งที่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ นอกจากนั้นสายการบินโลว์คอสต์ อย่างไทยแอร์เอเชีย ซึ่งมีบริษัทแม่อยู่ที่มาเลเซีย ยังเข้ามาจับจอง เปิดเส้นทางบิน เชื่อมระหว่างประเทศ และ เชื่อมหัวเมืองใหญ่ อย่าง อุบลราชธานี อุดรธานี เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ เพื่อการเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน
       
       รวมถึงโครงการถนน R3 ซึ่งเมื่อดูจากแผนที่จะตอบโจทย์ ได้ดีที่สุด เพราะเป็นถนนที่เชื่อมต่อ จีนตอนใต้ พม่า ลาว และ ไทย และ ถนนสายอีสท์เวส อิโคโนมิค ดอริคอ หรือ ถนนสายตะวันตก-ตะวันออก ซึ่งเชื่อมต่อถนนที่มาจากพุกาม ประเทศพม่า ตรงชายแดนที่ จ.ตาก มาผ่าน จ.สุโขทัย และไปสุดปลายทางที่ จ.มุกดาหาร เพื่อเชื่อมต่อไปหลวงพระบาง และเว้ และ ยังมีถนนจากจังหวัดสุโขทัย มุ่งตรงไป อุบลราชธานี เชื่อมเข้าสู่นครวัด ประเทศกัมพูชา พร้อมโครงการความร่วมมือ ACMECS (Ayeawady-Chao Phraya - Mekong Economic Cooperation Strategy) ภายใต้โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวสังวาลย์มรดกแห่งเอเชีย (Heritage Necklace of Asia) จึงถึงเวลาแล้ว ที่กระทรวงการท่องเที่ยวและหน่วยงานเจ้าของแหล่งท่องเที่ยวจะต้องพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ในเส้นทางดังกล่าว เพื่อรองรับการมาเยี่ยมเยียนของนักท่องเที่ยวกลุ่มประชาคมอาเซียน ซึ่งมีจำนวนเกือบ 600 ล้านคน
       
       ****เปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่-ฟื้นแหล่งเก่า****
       เสียงเรียกร้องจากภาคเอกชน ทั้งจากสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ กลุ่มสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย(เฟตต้า) ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งประเทศ ที่ต้องการให้ภาครัฐ โดยเริ่มจากกระทรวงการท่องเที่ยว เร่งยกเครื่องเรื่องการทำงาน หันมาบูรณาการการทำงานอย่างเป็นระบบวางแผนรับมือการท่องเที่ยวของไทยที่จะเติบโตต่อไปในอนาคตให้ได้อย่างยั่งยืน และรับมือกับการแข่งขันในเวทีอาเซียน เร่งพัฒนา เปิดแหล่งท่องเที่ยว ฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวเสื่อมโทรม จัดระบบการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว รองรับการขยายตัวของจำนวนนนักท่องเที่ยว เปิดกว้างให้ผู้สนใจลงทุนเมกกะโปรเจกต์
       
       ****ตบเท้าจี้ ก.ท่องเที่ยวเร่งทำระบบเก็บสถิติ****
       อีกหนึ่งประเด็นสำคัญ คือ การจัดทำระบบการจัดเก็บสถิตินักท่องเที่ยว แบบเจาะลึกทั้งจำนวนและการใช้จ่าย เพื่อให้รู้ถึง พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวแบบเจาะลึก จพได้นำเสนอสินค้าและบริการได้ตรงตามไลฟ์สไตล์ แม้การจัดเก็บสถิติจะโอนย้ายจาก ททท.มาอยู่ที่กระทรวงการท่องเที่ยวเกือบ 3 ปี แต่ การทำงานก็ยังไม่คืบหน้า มีเพียงการเก็บตัวเลขแบบหยาบๆ จากด่านตรวจคนเข้าเมือง ทำให้ข้อมูลที่ได้ขัดแย้งกับสมาคมโรงแรม และสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว ที่ทิ้งห่างกันอยู่เป็นหลักล้านคน โดยตัวเลขของกระทรวงฯมักจะมากกว่าเป็นล้านคน ก่อเกิดปัญหาการลงทุนสร้างโรงแรมในบ้างพื้นที่ถึงกับโอเวอร์ซัพพลาย เช่น กรุงเทพฯ และ เชียงใหม่
       
       ***ข้อมูลเชิงลึกเครื่องมือสำคัญของการทำตลาด***
       ด้านการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการ ททท. พูดในประเด็นนี้ว่า ต้องการให้สถิตินักท่องเที่ยวมีมิติในเชิงลึกมากขึ้นทั้งนักท่องเที่ยวต่างประเทศและนักท่องเที่ยวคนไทยเที่ยวในประเทศ เพื่อประโยชน์ของการเป็นข้อมูลใช้ตัดสินใจด้านการกำหนดแผนการทำตลาด ข้อมูลสำคัญ และจะมีประโยชน์อย่างยิ่งกับ ททท. คือเรื่องของ อายุ เพศ วัย การศึกษาและพฤติกรรมการท่องเที่ยวและการคำนวนการใช้จ่าย ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และนักท่องเที่ยวคนไทย โดยหากข้อมูลเหล่านี้สามารถมีการจัดเก็บได้อย่างมีระบบ ไม่แค่ททท.เท่านั้นจะได้ใช้ประโยชน์ แต่ภาคเอกชนในธุรกิจท่องเที่ยวก็สามารถนำข้อมูลที่ได้นี้ไปกำหนดแผนธุรกิจของตัวเองได้เช่นกัน
       
       สิ่งที่เอกชนต้องการเห็น คือ การเร่งสานต่อโครงการทัวริสซึ่ม แซทเทอไรท์ แอคเคาท์ (TSA) ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลเชิงลึก เพื่อให้ทราบรายได้ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ตกอยู่ในประเทศจริงๆ รวมถึง การจำแนก กลุ่มและพฤติกรรมนักท่องเที่ยว ให้ชัด
       
       ปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(สทท.) กล่าวว่า ถึงเวลาที่ภาครัฐต้องยกเครื่องการทำงาน เพื่อเอื้อให้เอกชนท่องเที่ยวได้เดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน หลังจากที่เอกชนเอง ได้หาวิธีช่วยเหลือกันเองมาโดยตลอด เพื่อจะได้เป็นสัญญาณส่งถึงผู้ประกอบการโรงแรม และธุรกิจท่องเที่ยว ที่ต้องการขยายการลงทุน ได้ใช้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันการเกิดโอเวอร์ซัพพลาย
       
       ***ก.ท่องเที่ยวสมองไหลย้าย-ลาออก ***
       ถึงวันนี้ คงเป็นภาระกิจด้านนโยบาย ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ต้องเข้ามาปรับปรุงแก้ไขอย่างจริงจัง หรือจะรอให้ภาคเอกชนต้องออกมาพูดกันสักกี่ครั้งว่า"ควรยุบกระทรวงการท่องเที่ยวนี้ไปเสีย" เพราะ นั่นเป็นคำพูดที่สะท้อนออกมาถึงความอัดอั้น ว่าการมีกระทรวงท่องเที่ยวมานาน 9 ปีแล้วแต่ไม่สามารถช่วยกันสร้างสรรอุตสาหกรรมนี้ให้แข็งแกร่งอย่างเป็นระบบได้ หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นล้วนเป็นไปตามธรรมชาติและวงจรของการท่องเที่ยว การทำงานของเอกชน และ ททท. เท่านั้นหรือไม่ ทุกวันนี้ สถานการณ์ของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ กำลังอยู่ในช่วง"สมองไหล" คือ คนที่ทำงานเป็นและเก่ง กลับอยู่ไม่ได้ จะด้วยเพราะไม่ได้รับการเติบโตในการทำงาน หรือด้วยเหตุใดไม่ทราบได้ หลายฝ่าย หลายกอง ที่มีบุคคลากรขอย้าย ขอลาออก กันเป็นใบไม้ล่วง แต่ที่สำคัญ กลับปล่อยให้ตำแหน่งนั้นๆ ว่างอยู่นาน ไม่รู้ พณฯท่าน ชุมพล ศิลปอาชา รมว.กระทรวงการท่องเที่ยว รับรู้หรือไม่ หรือใส่เกียร์ว่างไว้ก่อน เป็นเพียงร่างทรงการทำงานเท่านั้น

 
 


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 มกราคม 2011, 07:05:25
จีนวาดแผนสร้างทางรถไฟเชื่อมโลก พม่ากลายเป็นศูนย์กลางโยงอินเดีย-อุษาคเนย์
ต่างประเทศ 9 มกราคม 2554 - 00:00

   พม่ากำลังกลายเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ที่เชื่อมโยงจีนกับอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยโครงสร้างทางรถไฟหลายสาย เส้นทางเหล่านี้จะกลายเป็นโครงข่ายการคมนาคมของเอเชียในอนาคตอันไม่ไกลนัก
     ตามรายงานของ Bian McCarton ในเอเชียไทมส์ออนไลน์ จีนมีแผนที่จะสร้างทางรถไฟหลายสายเชื่อมโยงพื้นที่แถบตะวันตกเฉียงใต้ของจีนไปยังเมืองท่าต่างๆ ในพม่า และต่อไปยังอุษาคเนย์กับเอเชียใต้ โดยเฉพาะเส้นทางเชื่อมโยงเมืองคุนหมิงกับท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งกำลังก่อสร้างที่เมืองจ้าวผิ่ว (Kyaukpyu) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากซิตตเว เมืองเอกของรัฐยะไข่ ทางฝั่งตะวันตกของพม่า
     คาดว่าเส้นทางรถไฟยูนนาน-พม่าสายนี้จะสร้างเสร็จในปี 2015 และจีนก็กำลังจะสร้างท่าเรือและเขตอุตสาหกรรมที่นั่นด้วย เพื่อเป็นช่องทางส่งออกสินค้าจากเขตตะวันตกเฉียงใต้ของจีนซึ่งไม่มีทางออกทะเล รวมทั้งเป็นจุดขนถ่ายน้ำมันและก๊าซ
     ทางรถไฟอีกสายหนึ่งมีความยาว 1,920 กม. เชื่อมเมืองคุนหมิงกับเมืองท่าย่างกุ้ง ซึ่งจะเป็นการขยายเส้นทางแนวเหนือ-ใต้ซึ่งมีอยู่แล้ว เส้นทางนี้จะเชื่อมไปถึงท่าเรือแห่งใหม่ที่ทวายในภาคใต้ของพม่า แล้วต่อไปก็จะมีเส้นทางเชื่อมระหว่างทวายกับกรุงเทพฯ
     เส้นทางสายที่สามจะตัดผ่านรัฐฉานของพม่า โดยเชื่อมเมืองคุนหมิงกับเชียงราย แล้วเชื่อมจากเชียงรายเข้าสู่โครงข่ายรถไฟในไทย เส้นทางสายนี้และเส้นทางที่กำลังสำรวจในลาว จะเป็นเส้นทางขนส่งทางรถไฟระหว่างจีน กัมพูชา ไทย และสิงคโปร์
     นอกจากนี้ ยังมีการวางแผนจะสร้างอีก 2 เส้นทาง เชื่อมโยงเมืองต้าลี่ในเขตตะวันตกเฉียงใต้ของจีน กับเมืองมิตจีนาและลาโชของพม่า ทั้งสองเมืองของพม่านี้เป็นชุมทางการค้าและต้นทางรถไฟ
     เมื่อสร้างเสร็จ เส้นทางเหล่านี้จะช่วยกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับพม่า และบูรณาการเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้
     เวลานี้จีนได้ดำเนินโครงการต่อขยายเส้นทางรถไฟจากความยาว 78,000 กม.ในปัจจุบันให้เป็น 110,000 กม.ในปี 2012 และเป็น 120,000 กม.ภายในปี 2020 ใช้เงินราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ เวลานี้มีความคืบหน้าไปครึ่งหนึ่งแล้ว เป้าหมายคือทำให้เมืองใหญ่ของจีนทุกแห่งเชื่อมถึงกันหมดด้วยรถไฟความเร็วสูง ซึ่งแล่นได้ 200 กม./ชม.
     พม่าได้กลายเป็นทำเลสำคัญในแผนการของจีนที่จะใช้รถไฟความเร็วสูงเชื่อมจีนเข้ากับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และยุโรป เส้นทางตามแผนเหล่านี้เป็นสิ่งที่คิดกันมาตั้งแต่ทศวรรษ 1960 แล้ว เรียกว่าทางรถไฟสายทรานส์เอเชีย หากสร้างสำเร็จก็จะเป็นโครงการสาธารณูปโภคที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์
     เส้นทางจะวางแนวพาดผ่านจุดไหนบ้างนั้นยังไม่ชัดเจน แต่มีทิศทางใหญ่ 3 ด้าน คือ เส้นทางสายเหนือจะผ่านมองโกเลีย คาซัคสถาน รัสเซีย ยูเครน ไปเชื่อมกับโครงข่ายรถไฟของยุโรป
     เส้นทางตอนกลางจะผ่านพม่า บังกลาเทศ อินเดีย ปากีสถาน อิหร่าน ไปยังตุรกี และเส้นทางสายใต้จะเชื่อมโยงพม่ากับสิงคโปร์ โดยผ่านพม่า ลาว เวียดนาม และไทย ตอนนี้จีนมีเส้นทางรถไฟเชื่อมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แค่สายเดียวไปยังเวียดนาม
     อุปสรรคใหญ่ข้อหนึ่งของโครงการนี้ คือ จีนยืนกรานจะใช้รางที่มีความกว้างเท่ากับรางของรถไฟความเร็วสูงในประเทศจีน แต่ระบบรางของพม่าและประเทศอุษาคเนย์อื่นๆ นั้นมีขนาดไม่เท่ากัน จำเป็นต้องเปลี่ยนรางหรือวางรางใหม่ แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ ต้นทุนสูง แล้วจะแบ่งกันแบกรับต้นทุนนี้อย่างไร
     จีนเสนอจะออกเงินสร้างทางรถไฟสายใหม่และปรับปรุงรางเดิมให้พม่า โดยแลกกับการได้สัมปทานทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ เช่น น้ำมัน ก๊าซ และน้ำ
     นอกจากเป็นเส้นทางส่งออกสินค้าจากเขตตะวันตกเฉียงใต้ของจีนแล้ว ทางรถไฟเหล่านี้ยังจะเป็นเส้นทางขนส่งทรัพยากรพลังงานจากตะวันออกกลางและแอฟริกาด้วย ท่าเรือน้ำลึกที่เมืองคอกซ์บาซาร์ในบังกลาเทศและจ้าวผิ่วกับทวายในพม่าจะช่วยย่นระยะทางของการส่งน้ำมันทางทะเลจากตะวันออกกลางและแอฟริกาได้เกือบครึ่ง
     ท่าเรือและทางรถไฟดังกล่าวยังจะช่วยหลีกเลี่ยงเส้นทางขนส่งอันคับคั่งในช่องแคบมะละกาได้ด้วย เวลานี้ราว 80% ของพลังงานนำเข้าของจีนต้องพึ่งพาเส้นทางช่องแคบดังกล่าว และหากสหรัฐเกิดขัดแย้งกับจีน อเมริกาอาจปิดกั้นเส้นทางนี้ก็เป็นได้ ดังนั้น สาธารณูปโภคเหล่านี้จึงมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์สำหรับจีน
     ที่ผ่านมา จีนกับบังกลาเทศได้หารือกันถึงเรื่องการเชื่อมทางรถไฟระหว่างเมืองคุนหมิงกับท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่ที่คอกซ์บาซาร์โดยผ่านพม่า ยังไม่มีการลงนามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลปักกิ่งกับธากา แต่คาดว่าเส้นทางความยาว 111 กม.นี้จะผ่านภาคตะวันออกของบังกลาเทศไปยังเมืองกันดัมในพม่า โดยอาจเชื่อมกับโครงข่ายรถไฟเดิมของพม่า หรือเชื่อมกับเส้นทางรถไฟความเร็วสูงสายใหม่
     รัฐบาลธากามีความสนใจที่จะสร้างเส้นทางรถไฟไปยังชายแดนพม่าเมื่อเดือนกรกฎาคม 2010 ธากาได้ประกาศแผนจะสร้างทางรถไฟไปยังพรมแดนด้านพม่าภายในปี 2014 ด้วยเงินลงทุน 260 ล้านดอลลาร์
     อย่างไรก็ดี ในช่วงสองสามปีมานี้ ความสัมพันธ์ของพม่ากับบังกลาเทศไม่ราบรื่นนักเพราะมีข้อพิพาทเรื่องพรมแเดน เรื่องผู้ลี้ภัยมุสลิมโรฮิงยาจากพม่า เรื่องการลักลอบขนของเถื่อน และเรื่องกรรมสิทธิ์เหนือแหล่งน้ำมันและก๊าซในทะเล
     ทางด้านอินเดียนั้นก็ไม่อยากน้อยหน้าจีนในเรื่องการสนับสนุนเงินทุนสร้างทางรถไฟในพม่า นิวเดลีได้เปิดไฟเขียวให้เอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้ 60 ล้านดอลลาร์แก่พม่าในโครงการสร้างทางรถไฟ การปล่อยเงินกู้ดังกล่าวมีขึ้นในช่วงที่พลเอกอาวุโสตาน ฉ่วย ของพม่าไปเยือนกรุงนิวเดลี และพบหรือกับนายกรัฐมนตรีมันโมฮัน ซิงห์ เมื่อเร็วๆ นี้
     การให้ความช่วยเหลือดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการความร่วมมือแม่โขง-คงคา ซึ่งจะเชื่อมทางรถไฟจากนิวเดลีไปยังกรุงฮานอย เมื่อปี 2000 อินเดียได้ลงนามข้อตกลงโครงการนี้กับไทย ลาว พม่า เวียดนาม และกัมพูชา โดยอินเดียได้เปิดวงเงินกู้ 56 ล้านดอลลาร์ให้แก่พม่าเพื่อสร้างทางรถไฟในภาคกลางและภาคตะวันตกเฉียงเหนือ และอินเดียยังช่วยปรับปรุงเส้นทางรถไฟสายย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์ด้วย
     ในการเชื่อมทางรถไฟของอินเดียกับพม่านี้ การรถไฟอินเดียได้ลงมือตระเตรียมที่จะขยายรางรถไฟจากเมืองจิริบัมในรัฐมณีปุระไปยังเมืองโมรีที่ชายแดนพม่า เส้นทางนี้จะเชื่อมต่อไปยังต้นทางรถไฟที่เมืองเซกยีในเขตสะกายของพม่า และต่อไปยังเมืองทามูที่ชายแดนพม่า-อินเดีย
     เส้นทางรถไฟอินเดีย-พม่าจะเป็นประโยชน์แก่การขนส่งสินค้าระหว่างอินเดียกับจีนด้วย มูลค่าการค้าระหว่างประเทศทั้งสองได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เวลานี้จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอินเดีย มูลค่าการค้าได้เพิ่มเป็น 60,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว
     แม้จีนกับอินเดียได้แข่งอิทธิพลกันในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในพม่า เศรษฐกิจของประเทศทั้งสองกำลังพึ่งพากันและกันมากขึ้นเรื่อยๆ แม้อินเดียจะขาดดุลการค้ากับจีนก็ตาม
     การที่พม่ากำลังกลายเป็นศูนย์กลางเส้นทางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาคเช่นนี้ จะส่งผลอย่างไรต่อพม่าเอง ต่อความสัมพันธ์ของพม่ากับเพื่อนบ้าน และต่อความเคลื่อนไหวทางยุทธศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจ ทั้งจีน อินเดีย สหรัฐ ยุโรป คือโจทย์ใหม่ที่ชวนติดตาม.


http://www.thaipost.net/sunday/090111/32574


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 10 มกราคม 2011, 14:26:43
เชียงราย - กลุ่ม “ดอกงิ้วคำ” จากจีน เดินหน้าปลุกปั้นกาสิโนยักษ์ และสารพัดโครงการ พร้อมสร้างชุมชนใหม่ริมน้ำโขงฝั่ง สปป.ลาว แถบสามเหลี่ยมทองคำต่อเนื่อง คาดอีก 10 ปีเสร็จสมบูรณ์ มีคนเข้าอยู่ไม่ต่ำกว่า 2 แสนคน ฝันเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวลุ่มน้ำโขงตอนบน ล่าสุดกลุ่มห้างสรรพสินค้าจากไทยขอเอี่ยวเปิดห้างด้วย

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000259301.JPEG)(http://pics.manager.co.th/Images/554000000259304.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000259305.JPEG)(http://pics.manager.co.th/Images/554000000259306.JPEG)
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างวันที่ 8-9 ม.ค.ที่ผ่านมา สมาคมท่องเที่ยวเชียงรายนำโดย นายอภิชา ตระสินธ์ นายกสมาคมฯ ได้นำคณะกรรมการจัดทำโครงการเยี่ยมเยียนสมาชิกสมาคมฯ พื้นที่ อ.เชียงแสน และได้ข้ามไปเยี่ยมชมกิจการของโรงแรมโกลเด้นไทรแองเกิ้ลพาราไดซ์รีสอร์ท ซึ่งอยู่ที่สามเหลี่ยมทองคำ ฝั่งเมืองท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า ก่อนข้ามไปเยี่ยมชมโครงการ Kings Romans of Laos Asian & Tourism Development Zone ในเขตเศรษฐกิจพิเศษเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว )ซึ่งกลุ่มดอกงิ้วคำ จากประเทศจีนเข้าไปเช่าจากรัฐบาล สปป.ลาว เป็นเวลา 99 ปี บนเนื้อที่กว่า 7,500 ไร่
       
       ทั้งนี้ พบว่า โครงการ Kings Romans of Laos Asian & Tourism Development มีการพัฒนาคืบหน้าต่อเนื่อง โดยมีการตัดถนนภายในโครงการด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กจนครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ รวมทั้งเชื่อมถนนจากโครงการไปเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ต่อกับถนน R3a ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ รวมทั้งมีอาคารสถานที่ต่างๆ มากขึ้น
       
       โดยเฉพาะอาคารกาสิโนหลังใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ติดหลังเดิมและโรงแรมขนาด 700 ห้อง ที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม หลังคาบนสุดเป็นทรงมงกุฎสามารถมองเห็นได้อย่างโดดเด่น ภายในมีความกว้างขวางและมีนักนักท่องเที่ยวเข้าไปเล่นการพนันต่างๆ อยู่เต็ม ขณะที่ภายในมีห้องอาหาร ร้านกาแฟ ฯลฯ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย
       
       นอกจากนี้คณะได้เข้าพบนายจ้าว เหว่ย ประธานบริษัทจินมูเหมิน จำกัด ที่รับผิดชอบโครงการนี้ รวมทั้งฟังบรรยายสรุปความคืบหน้าโครงการฯ จากนายเจิ้น ซิน หัวหน้าบัญชีและการประชาสัมพันธ์โครงการฯ โดยนายเจิ้น ได้ระบุว่า โครงการมีกำหนดจัดงานเทศกาลดอกงิ้วบานระหว่างวันที่ 27 ม.ค.-2 ก.พ.นี้ ณ เกาะดอนซาว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการโดยภายในงานมีการแสดงทางวัฒนธรรมและบันเทิงต่างๆ มากมาย
       
       นายเจิ้น กล่าวว่า โครงการให้ความสำคัญต่อการท่องเที่ยวมาก และเห็นว่าผู้ประกอบการท่องเที่ยวจากประเทศไทยมีความสำคัญ สามารถร่วมมือกับโครงการในการพัฒนาการท่องเที่ยวได้อีกมาก ทั้งนี้ปัจจุบันโครงการได้แบ่งการพัฒนาออกเป็น 5 โซนคือโซน A เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเน้นด้านการค้า พาณิชยกรรม กาสิโน ฯลฯ โซน B เป็นกิจการท่าเรือ โซน C เป็นกิจการด้านวัฒนธรรม โซน D เป็นกิจการด้านโบราณสถาน และโซน E เป็นเขตการท่องเที่ยวธรรมชาติ มุ่งเป็นศูนย์กลางเส้นทางการท่องเที่ยวจากไทย-สิบสองปันนา และหลวงพระบาง รวมทั้ง จ.เชียงใหม่-กรุงเทพฯ ของประเทศไทยด้วย
       
       "อีกประมาณ 10 ปีโครงการก็จะเสร็จสมบูรณ์และจะมีประชากรในพื้นที่เพิ่มมากขึ้นถึงกว่า 200,000 คน และเราเห็นว่าด้านการท่องเที่ยวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาพื้นที่นี้มาก ปัจจุบันก็คืบหน้าไปอย่างต่อเนื่องทั้งการเกษตร โรงแรม บ่อนคาสิโน ฯลฯ ล่าสุดห้างสรรพสินค้าเอดิสัน จากประเทศไทย ก็เตรียมจะไปเปิดกิจการในโครงการ ขณะเดียวกันมีกลุ่มทุนจีนหลายกลุ่มสนใจเข้าไปลงทุนแต่ปัจจุบันบริษัทเรายังเป็นรายใหญ่ที่สุดในโครงการ" นายเจิ้น กล่าว
       
       สำหรับการพัฒนาเขตการท่องเที่ยวในโครงการนี้ได้แบ่งออกเป็น 6 โซน ได้แก่โซน 1 จัดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับขุนส่า ซึ่งเกี่ยวข้องกับชายแดนด้านนี้ โซน 2 เกาะดอนซาวโดยเกี่ยวข้องกับดอกงิ้วและตลาดสินค้าชายแดน โซน 3 ชุมชนพม่าโดยจัดให้เป็นศูนย์กลางเกี่ยวกับชาวพม่า 4.โบราณสถานอาณาจักรสุวรรณโคมคำ โซน 5 ท่าเรือบ้านมอม ซึ่งมีตลาดและชุมชนชาวลาวด้วย และโซน 6 ธรรมชาติของสวนป่าและไม้ดอกไม้ประดับ
       ทั้งนี้ปัจจุบันโครงการได้ร่วมกับบริษัทท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีนเข้าไปพัฒนาการท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันการพัฒนาทุกโซนคืบหน้าอย่างต่อเนื่องและอยากให้เอกชนไทยเข้าไปลงทุนในโครงการร่วมกัน
       
       ด้านนายอภิชา กล่าวว่า โครงการลงทุนของกลุ่มทุนจีนนี้ จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงชายแดนด้านเชียงราย อย่างแน่นอน ดังนั้น สมาคมฯ จึงต้องเข้ามามีบทบาทในความร่วมมือดังกล่าว ทั้งนี้ได้รับแจ้งว่าปัจจุบันโครงการคืบหน้าไปแล้วกว่า 30-40% แต่ก็มีผลถึงขนาดนี้โดยมีคนไทยเดินทางข้ามไปทำงานเป็นจำนวนมากและมีการใช้วัสดุจากฝั่งไทยมากมาย หากโครงการแล้วเสร็จก็ย่อมมีผลอย่างมากเช่นกัน

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000002426 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000002426)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 12 มกราคม 2011, 15:15:52
ปชช.แห่เที่ยวเชียงรายเฉลี่ยวันละ2แสนคน
 
 
ผู้อำนวยการท่องเที่ยว จ.เชียงราย ระบุ ปีนี้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่ เฉลี่ยวันละ 2 แสนคน มากกว่าปีที่แล้ว 2 เท่าตัว โดย ภูชี้ฟ้า ยังสร้างความประทับใจสูงสุด



นายพรหมโชติ ไตรเวช ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวและกีฬา จ.เชียงราย เปิดเผยว่า จ.เชียงราย ได้สรุปสถานการณ์ท่องเที่ยว ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากที่สุด เริ่มตั้งแต่เริ่มต้นฤดูหนาว จนถึงขณะนี้โดยมีนักท่องเที่ยว เข้ามาท่องเที่ยวเฉลี่ยวันละ 200,000 คน โดยแหล่งท่องเที่ยว ที่นักท่องเที่ยวสนใจมากที่สุด คือ เทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม ที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมถึงวันละ 130,000 คน รวมระยะเวลา 10 วัน ของการจัดงาน รองลงมา คือ วัดร่องขุ่น และโครงการพัฒนาดอยตุง ส่วนสถานที่ท่องเที่ยว ที่นักท่องเที่ยวประทับใจมากที่สุด คือ ภูชี้ฟ้า คือ ได้ชมทะเลหมอกยามเช้า และพระอาทิตย์ขึ้น รวมไปถึงการสัมผัสอากาศที่หนาวเย็น ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวและกีฬา จ.เชียงราย กล่าวอีกว่า ซึ่งในปีนี้ถือว่า มีนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยว จ.เชียงราย มากกว่าปีที่ผ่านมา ถึง 2 เท่าตัว
 
 http://www.innnews.co.th/local.php?nid=264062


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 12 มกราคม 2011, 23:39:31
กษตรฯลงนามจีนส่งผลไม้ผ่านเส้นทางอาร์3

12 มกราคม 2554 เวลา 15:54 น.

กระทรวงเกษตรฯ เตรียมลงนามกับจีน เปิดเส้นทาง R3 หลังครม.อนุมัติ คาดส่งผลตลาดสินค้าเกษตรขยายการส่งออก

นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่ากระทรวงเกษตรฯเตรียมเดินทางไปลงนามในพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการตรวจสอบและกักกันโรคสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างประเทศไทยและจีน จำนวน 23ชนิด โดยเส้นทางสาย R3 เชียงของ-โม่หาน ระยะทาง 1,104 กม.ภายหลังที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กระทรวงเกษตรฯลงนามเนื่องจากไม่เข้ามาตรา 190

ทั้งนี้ได้มอบหมายจะให้ นายศักดิ์ชัย ศรีบุญซื่อ ผอ.สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.) ไปลงนามกับอธิบดีควบคุมคุณภาพตรวจสอบและกักกันโรค(AQSIQ) สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อให้มีผลในการดำเนินการก่อนฤดูผลไม้ไทยจะออกมากในเดือนเม.ย.ซึ่งจะส่งผลต่อปริมาณการส่งออกและความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของประชาชนสองประเทศที่ดีขึ้น

http://www.posttoday.com/%e0%b8%82%e...8%a3%e0%b9%8c3



หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: miyoko ที่ วันที่ 14 มกราคม 2011, 18:33:18
แวะมาอ่านดูค่ะ น่าสนใจมาก


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 16 มกราคม 2011, 21:47:52
คนแห่ซื้อเสื้อกันหนาวชายแดนแม่สายคึกคัก
 
 

บรรยากาศซื้อขายเสื้อกันหนาว ที่ตลาดอินโดจีน ชายแดน อ.แม่สาย เป็นไปอย่างคึกคัก ขณะอุณหภูมิพื้นราบ อยู่ที่ 13 องศาเซลเซียส

 










 




บรรยากาศการซื้อขายเสื้อกันหนาว บริเวณตลาดอินโดจีน ชายแดน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ยังคงคึกคัก มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยว แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก ของพม่า หาซื้อเครื่องกันหนาวกันอย่างไม่ขาดสาย โดยเสื้อกันหนาวในพื้นที่ชายแดนแม่สาย เป็นเสื้อกันหนาวที่นำเข้ามาจากจีนตอนใต้ มีสีสัน และรูปแบบที่สวยงาม ประจวบกับราคาที่ถูก ซึ่งจำหน่ายกันในตัวละ 80-500 บาท โดยพ่อค้า แม่ค้า เสื้อกันหนาวชายแดนแม่สาย บอกว่า ช่วงนี้เสื้อกันหนาวกลับมาขายดีอีกครั้ง เนื่องจากสภาพอากาศในพื้นที่จังหวัดเชียงราย กลับมาหนาวเย็น จนทำให้เสื้อกันหนาวขายดีขึ้น ส่วนสภาพอากาศในพื้นราบของจังหวัดเชียงราย อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 13 องศาเซลเซียส
 


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 17 มกราคม 2011, 07:18:11
เที่ยวเมืองเชียงแสนสัมผัสหนาวที่ดอยแม่สลอง
         
อากาศเย็นสบายในช่วงเวลานี้หลากหลายสถานที่อาจเป็นคำตอบของการพักผ่อนท่องเที่ยว เช่นเดียวกับจุดหมายปลายทางแห่งนี้ เชียงแสน อีกอำเภอหนึ่งในจังหวัดเชียงราย ซึ่งไม่เพียงมีสีสันบรรยากาศธรรมชาติ หากแต่ยังมีมนต์เสน่ห์ประวัติศาสตร์วันวาน วิถีชีวิตชุมชนให้สัมผัสใกล้ชิด
   
ด้วยระยะทางห่างจากตัวเมืองออกไปประมาณ 60 กิโลเมตรซึ่งสามารถเดินทางมาถึงได้โดยสะดวกก่อนเริ่มลัดเลาะเที่ยวชมเมืองอันมีประวัติความเป็นมายาวนาน โบราณสถานเก่าแก่ปรากฏอยู่มากมาย
   
ไม่เพียงเท่านั้น ที่อำเภอ ริมฝั่งแม่น้ำโขงแห่งนี้ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวและท่าเรือขนส่งสินค้าที่สำคัญของภาคเหนือ มีพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ บริเวณที่บรรจบกันของชายแดนไทย ลาว พม่าและด้วยเหตุที่เป็นเมืองเก่า ในทางประวัติศาสตร์ เมืองเชียงแสนจึงมีฐานะเป็นอาณาจักรโบราณมีเรื่องราวและพงศาวดารบันทึกไว้หลายฉบับ
   
เมืองเชียงแสนมีทั้ง ส่วนเมืองเก่าหรือเวียงเก่า และส่วนเมืองใหม่ โดยตัวเมืองเก่าจะอยู่ในเขตกำแพงเมืองเก่า ขณะที่นอกกำแพงเมืองมีโบราณสถานกระจายอยู่ทั่วไปถึงอำเภอแม่จัน ทั้งนี้เพราะมีเมืองสร้างขึ้นมาซ้อนกันหลายยุคหลายสมัย เช่น อาณาจักรสุวรรณโคมคำ อาณาจักรโยนก อาณาจักรล้านนา ฯลฯ
   
เมื่อมาถึงเชียงแสนทั้งทีคงต้องหาเวลาท่องเที่ยวพักผ่อนภายในเขตเมืองซึ่งมีอยู่หลายสถานที่ช่วยเติมต่อประสบการณ์วันหยุดพักผ่อนอย่างคุ้มค่า อย่างครั้งนี้ในเส้นทางที่ สิรีน แอท เชียงรายแนะนำให้ทำความรู้จักกับเมืองเชียงแสนใกล้ชิดขึ้นโดยตั้งต้นที่ พิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติเชียงแสน ซึ่งตั้งอยู่ในย่านตัวเมือง
   
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดเป็นพิพิธภัณฑสถานประจำแหล่งโบราณคดีเมืองเชียงแสนเมืองสำคัญเมืองหนึ่งใน  ประวัติศาสตร์ของอาณาจักรล้านนาซึ่งมีแหล่งโบราณคดีทั้งสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และสมัยประวัติศาสตร์ปรากฏ อยู่มาก
   
การจัดแสดงจึงเน้นในเรื่องของประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่เกี่ยวข้องกับการตั้งหลักแหล่งของชุมชน เครื่องมือเครื่องใช้ของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ยุคสังคมล่าสัตว์และสังคมเกษตรกรรมเรื่อยมาจนถึงสมัยประวัติศาสตร์ จำแนกโบราณวัตถุที่ได้จากการขุดแต่งโบราณสถานในเมืองเชียงแสนออกเป็นกลุ่มต่าง ๆตามแหล่งที่ขุดพบจัดแสดงภายใน อาคารจัดแสดงหลักชั้นล่าง และภายใน อาคารส่วนขยาย เป็นต้น
   
ไม่ไกลจากกันนัก ยังสามารถแวะไหว้พระชมความงดงามสถาปัตยกรรมภายใน วัดพระธาตุเจดีย์หลวง วัดเก่าแก่ของเมืองซึ่งจากประวัติเล่าขานถึงการสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าแสนภู พระราชนัดดาในพญาเม็งรายมหาราช ด้านในสงบร่มรื่นมีพระเจดีย์องค์ใหญ่ทรงระฆังแบบล้านนาประดิษฐานอยู่ โดยเจดีย์ดังกล่าวเป็นเจดีย์ประจำเมืองเชียงแสนซึ่งสร้างขึ้นในช่วงต้นของการสร้างเมือง นอกจากนี้ยังมีพระวิหารเก่าแก่ พระเจดีย์รูปแบบต่าง ๆ ให้เที่ยวชม
   
ส่วนทางฝั่งนอกกำแพงเมืองออกไปไม่ไกลโดยตลอดถนนร่มรื่นไปด้วยต้นไม้เป็นที่ตั้งของ วัดป่าสัก ซึ่งกล่าวถึงการสร้างวัดขึ้นในสมัยเดียวกันเจดีย์ประธานเป็นทรงปราสาทห้ายอดศิลปะล้านนาซึ่งนอกจากความงดงามของรูปทรงยังมีลวดลายปูนปั้นประดับปรากฏให้ชมด้วย ภายในวัดเก่าแก่แห่งนี้สงบเงียบร่มรื่นมีต้นสักรายล้อมรอบวัดซึ่งก็เป็นที่มาของชื่อวัดป่าสัก นั่นเอง
   
ในบรรยากาศของการเที่ยววัดไหว้พระยังไม่หมดเท่านี้ ด้วยเหตุที่เมืองเชียงแสนมีประวัติความเป็นมายาวนาน ไม่เพียงโบราณสถานที่ปรากฏ หากแต่ยังมีกำแพงเมือง คูเมืองเก่าแก่ซึ่งหลายภาคส่วนได้ร่วมกันอนุรักษ์ไว้และห่างจากวัดป่าสักไปอีกไม่ไกลนัก ยังอาจสามารถเดินทางไปเที่ยวต่อได้ที่ วัดพระธาตุจอมกิตติ อีกหนึ่งสถานที่ที่มีพระธาตุเก่าแก่ งดงามลักษณะเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองสมัยเชียงแสนภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ นอกจากนี้บริเวณด้านทิศตะวันออกยังมีโบสถ์ศิลปะล้านนางดงามให้เที่ยวชม อีกทั้งด้านหน้าของโบสถ์ยังเป็นจุดชมวิวมองเห็นแม่น้ำโขงและ ทิวทัศน์งดงามกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
   
อีกมนต์เสน่ห์หนึ่งของเมืองเชียงแสน ด้วยความที่มีที่ตั้งทำเลอยู่ใกล้ชิดติดแม่น้ำโขง ยังทำให้นักท่องเที่ยวสามารถล่องเรือข้ามฝั่งไปยังบ้านต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้วเยือนฝั่งลาวเที่ยวเมืองสุวรรณโคมคำในอดีตได้ซึ่งในเส้นทางยังมีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของนครเก่าแก่มีโบราณสถานสร้างโดยการก่ออิฐถือปูนปรากฏให้ชม อย่างที่วัดดอนสวรรค์ ซึ่งเก็บรักษาโบราณวัตถุที่พบในดินแดนนี้
   
อีกทั้งในเส้นทางสองฟากฝั่งยังมีสีสันของแปลงข้าวโพดที่กำลังผลิใบเขียวชวนให้ได้พักผ่อนสายตา มีร่องรอยของสถูปเจดีย์ ความงดงามของพระพุทธรูปปางสมาธิถ่ายทอดให้เห็นถึงความรุ่งเรืองในวันวาน พร้อมสัมผัสบรรยากาศยามเย็นก่อนพระอาทิตย์จะลาลับฟ้าที่บริเวณริมฝั่งโขง ซึ่ง จุดนี้แหละ...ที่นักท่องเที่ยวทั้งหลายมักไม่พลาดที่จะหยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพความประทับใจกลับบ้านไว้ดูเป็นที่ระลึก
   
รุ่งเช้าของวันใหม่ หากใครชื่นชอบสีสันของพืช  ผักสด ผลไม้สดจากไร่ รวมถึงอาหารพื้นถิ่น ต้องไม่พลาดแวะเที่ยวชมตลาดเช้าเมืองเชียงแสนซึ่งมีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร โดยสารพันทั้ง สิ่งของเครื่องใช้ และอาหารต่างมีให้เลือกซื้อเลือกหากันหลากหลาย
   
จากเมืองเชียงแสนเดินทางต่อไปยัง ดอยแม่สลอง ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง โดยที่นี่เป็นที่ตั้งของ หมู่บ้านสันติคีรี หรือเดิมชื่อบ้านแม่สลองนอก บนดอยแม่สลอง มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่งให้เที่ยวชม โดยเฉพาะช่วงเดือนนี้จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ หากใครมีโอกาสขึ้นไปก็จะได้เห็นสีสันความงาม ของดอกนางพญาเสือโคร่ง ซึ่งมีสีชมพูอมขาว และดอกบัวตองสีเหลืองสด ซึ่งผลิดอกต้อนรับผู้มาเยือนตลอดสอง ข้างทาง
   
นอกจากนี้ที่แม่สลองยังมีการทำไร่ปลูกชาหลากหลายชนิด ซึ่งระหว่างเส้นทางก็จะได้เห็น อีกทั้งยังสามารถเที่ยวชมไร่ดูขั้นตอนการปลูก การเก็บใบชาซึ่งกว่าจะได้ใบชามารับประทานเป็นเครื่องดื่มรสชาติดีนั้นมีหลายขั้นตอนในการควบคุมคุณภาพของใบชา ตั้งแต่การเก็บใบชา การอบ การบรรจุถุง ฯลฯ
   
ด้วยที่ลักษณะภูมิประเทศ เป็นภูเขาสูง อากาศที่นี่จึงค่อนข้างเย็นสบายและไม่เพียงเฉพาะชาจีนที่ดอยแม่สลองจะเป็นผลผลิตที่ขึ้นชื่อ ณ ดอยแห่งนี้ยังเป็นแหล่งผลิตสินค้าทางการเกษตรอีกหลายอย่างทั้งพืชผัก ผลไม้ฤดูหนาวหลากชนิดซึ่งนอกจากผลสดที่ได้รับความนิยม ในส่วนของผลไม้แปรรูปก็มีรสชาติติดอกติดใจนักท่องเที่ยวมามากมายนักต่อนัก
   
นอกจากการเพลิดเพลินธรรมชาติ การท่องเที่ยวเชิงเกษตรสัมผัสอากาศหนาวเย็นกันแล้ว มาถึงดอยแม่สลองยังสามารถแวะเที่ยวชมวัฒนธรรมประเพณีชาวเขา ชาวจีนยูนนานและที่ไม่ควรพลาดก็คือ การลิ้มรสอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขาหมูยูน นานกับหมั่นโถว เมนูเลื่องชื่อของดอยแม่สลอง หรือจะทดลองความหอม กลมกล่อมของรสชาติชาซึ่งก็มีให้เลือกหามากมาย นับเป็นอีกหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวหลากสีสัน ปิดท้ายการพักผ่อนเติมต่อประสบการณ์วันหยุดอย่างคุ้มค่า ที่คุณจะประทับใจไปอีกนานแสนนานทีเดียว.

..............
สีสันรายทาง

การเดินทาง : การเดินทางสู่จังหวัดเชียงรายไปได้โดยสะดวกทั้ง ทางรถยนต์ส่วนตัว รถประจำทาง เครื่องบินและรถไฟ โดยในเส้นทางรถไฟจากสถานีรถไฟหัวลำโพงไปลงที่จังหวัดลำปางหรือเชียงใหม่ แล้วเดินทางต่อโดยรถยนต์ ไปยังจังหวัดเชียงราย
   
อำเภอเชียงแสนอยู่ห่างจากตัวเมือง 60 กิโลเมตร  และถ้าจะเดินทางต่อไปยังดอยแม่สลอง สามารถไปได้หลายเส้นทาง อาทิ เส้นเชียงราย-แม่จัน จาก อ.เมืองใช้ทางหลวงหมายเลข 10 มายัง อ.แม่จัน จากนั้นเลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 1089 (แม่จัน-ท่าตอน) บริเวณหลัก กม.856 ก่อนถึงทางเข้าตัวอำเภอ ผ่านน้ำพุร้อนป่าตึง กม. 55 ให้เลี้ยวขวา ไปตามเส้นทางขึ้นดอย หรือตามเส้นทางหมายเลข 1338 เลี้ยวซ้ายตามทางหลวง 1234 ผ่านบ้านอีก้อ ถึงสามแยกตรงหลัก กม. 9 เลี้ยวซ้ายไปอีก 16 กม. ก็จะถึงดอยแม่สลอง นอกจากนี้ยัง  สามารถใช้บริการรถสองแถวประจำทางเพื่อขึ้นดอยได้อีกด้วย
   
สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง : พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทร์สถิตมหาสันติคีรี ตั้งอยู่บนยอดดอยแม่สลองภายในสถานที่นี้นอกจากจะได้ชมความงดงามของพระบรมธาตุฯ แล้วยังสามารถชมทิวทัศน์มุมสูงได้กว้างไกลสุดสายตา 
   
ของฝาก : ผลไม้สด ผลไม้แปรรูป งานหัตถกรรมเครื่องประดับจากชาวเขา

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=486&contentId=115442


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 มกราคม 2011, 10:50:03
 
โครงข่ายทางรถไฟ‘จีน’ออกสู่โลกภายนอกโดยผ่าน‘พม่า’ (ตอนแรก)
 
โดย ไบรอัน แมคคาร์แทน 20 มกราคม 2554 21:39 น.
 
 (เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์www.atimes.com)
       
       China outward bound through Myanmar
       By Brian McCartan
       07/01/2011
       
       ประเทศพม่าอยู่ในฐานะที่ทรงความสำคัญเป็นอย่างมาก ในแผนการอันใหญ่โตมโหฬารของปักกิ่งที่จะสร้างโครงข่ายทางรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมต่อระหว่างจีนกับบรรดาชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และดินแดนที่อยู่ถัดออกไปอีก ถ้าหากแผนการนี้เสร็จสมบูรณ์ได้ตามที่วาดวางเอาไว้ มันก็จะเป็นโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานที่มีขนาดใหญ่โตที่สุดในประวัติศาสตร์ทีเดียว อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญประการหนึ่งของโครงการนี้ ก็คือการที่ระบบรางรถไฟของพม่าและประเทศอื่นๆ ใช้ช่วงกว้างระหว่างรางที่แตกต่างกันอยู่
       
       *รายงานชิ้นนี้แบ่งเป็น 2 ตอน นี่คือตอนแรก *
       
       เชียงใหม่ - พม่ากำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมด้วยระบบรางรถไฟแห่งสำคัญแห่งหนึ่งในระดับภูมิภาค โดยจะเป็นจุดเชื่อมต่อจีนและอินเดียเข้ากับตลาดต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และดินแดนที่อยู่ถัดออกไปอีก ทั้งนี้ถ้าหากแผนการลงทุนต่างๆ ที่กำลังเสนอกันอยู่ในเวลานี้จักบังเกิดผลขึ้นมาได้จริง และก็เฉกเช่นเดียวกับการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ จำนวนมากมายในภูมิภาคแถบนี้ ผู้ที่เป็นพลังขับดันอยู่เบื้องหลังการออกแบบอันใหญ่โตมโหฬารในเรื่องนี้ก็คือปักกิ่งเจ้าเก่า
       
       จีนกำลังวางแผนการที่จะก่อสร้างเส้นทางรถไฟจำนวนมาก ซึ่งจะเชื่อมต่อภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้อันห่างไกลของตน เข้ากับเมืองท่าต่างๆ ในพม่า แล้วต่อไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีการวางแผนกำหนดให้มีเส้นทางรถไฟสายสำคัญสายหนึ่งโยงต่อเมืองคุนหมิง (เมืองหลวงของมณฑลหยุนหนัน ที่อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของแดนมังกร) เข้ากับท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่รวมทั้งพื้นที่เขตเศรษฐกิจอุตสาหกรรมพิเศษ ซึ่งกำลังก่อสร้างกันอยู่ที่เมืองจ๊อกเปียว (Kyaukpyu) บนชายฝั่งด้านตะวันตกของพม่า
       
       แผนการสร้างเส้นทางรถไฟสายนี้ได้รับการกระจายข่าวเป็นครั้งแรกในนิตยสารรายสัปดาห์ “วีกลี อีเลฟเวน นิวส์” (Weekly Eleven News) ของพม่าเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมปีที่แล้ว โดยเป็นที่คาดหมายกันว่าจะสร้างแล้วเสร็จในปี 2015 นอกจากนั้นจีนยังเกี่ยวข้องกับการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและเขตอุตสาหกรรมที่จ๊อกเปียวด้วย ทั้งเส้นทางรถไฟ, ท่าเรือน้ำลึก, และเขตอุตสาหกรรมดังที่กล่าวมา ถือเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของแดนมังกรที่จะพัฒนาช่องทางทางการค้าให้แก่ภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่ไร้ทางออกทางทะเลของตน รวมทั้งยังจะใช้เป็นจุดเปลี่ยนถ่ายสินค้าน้ำมันและก๊าซ โดยจะมีการเชื่อมต่อไปยังสายท่อส่งน้ำมันและก๊าซซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
       
       นอกจากทางรถไฟคุนหมิง-จ๊อกเปียว ยังมีการวางแผนสร้างเส้นทางรางรถไฟอีกเส้นหนึ่งเชื่อมต่อเมืองคุนหมิงเข้ากับเมืองย่างกุ้ง อดีตเมืองหลวงเก่าและเมืองท่าใหญ่ของพม่า คิดเป็นระยะทาง 1,920 กิโลเมตร การก่อสร้างน่าที่จะอาศัยเส้นทางรถไฟสายเหนือ-ใต้ที่มีอยู่แล้วของพม่า แทนที่จะต้องวางรางวางเส้นทางกันใหม่หมด
       
       ทางรถไฟเส้นนี้ยังจะต่อเข้ากับเส้นทางรถไฟสายซึ่งเชื่อมโยงไปสู่โครงการท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่ที่เมืองทวาย (Dawei) บนชายฝั่งด้านใต้ของพม่า ทั้งนี้ส่วนประกอบสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของโครงการท่าเรือแห่งนี้ตามที่ได้มีการแถลงกันไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ก็คือจะมีการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ระหว่างทวายกับกรุงเทพฯ
       
       ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังมีการวางแผนการสร้างทางรถไฟติดต่อระหว่างภาคตะวันตกเฉียงใต้ของแดนมังกรกับดินแดนพม่าเส้นที่สาม โดยรางรถไฟของสายนี้จะทอดผ่านรัฐฉาน (Shan State) ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของพม่า ทั้งนี้จากจุดเริ่มต้นที่เมืองคุนหมิง ทางรถไฟสายนี้เมื่อผ่านรัฐฉานแล้วก็จะมาจนถึงจังหวัดเชียงรายทางภาคเหนือของประเทศไทย และจากเชียงรายก็จะโยงเข้าสู่โครงข่ายรางรถไฟของไทยได้ เส้นทางคุนหมิง-เชียงรายสายนี้เมื่อบวกเข้ากับอีกเส้นหนึ่งที่ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการสำรวจวางแนวทางในประเทศลาว ก็จะทำให้สามารถขนส่งสินค้าด้วยรางรถไฟระหว่างจีน, กัมพูชา, พม่า, ไทย, ลาว, มาเลเซีย, และสิงคโปร์
       
       หวัง เมิ่งซู (Wang Mengshu) นักวิชาการของบัณฑิตยสถานทางวิศวกรรมศาสตร์แห่งประเทศจีน (Chinese Academy of Engineering) ได้กล่าวกับสื่อมวลชนจีนในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาว่า “คณะผู้แทนที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากกระทรวงการรถไฟ (Ministry of Railroads) ได้ไปเยือน (พม่า) และลาวในกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อดำเนินการสำรวจ และทันทีที่มีการกำหนดแนวเส้นทางรถไฟระหว่างจีน-พม่าแล้ว การก่อสร้างก็สามารถเริ่มต้นได้อย่างเร็วที่สุดคือภายในเวลา 2 เดือน โดยที่เส้นทางสายนี้น่าที่จะกลายเป็นเส้นทางขนส่งสายหลักที่ทำให้จีนเชื่อมต่อด้วยทางรถไฟกับประเทศทั้งหลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
       
       นอกเหนือจากพวกเส้นทางรถไฟซึ่งออกมาจากเมืองคุนมิงดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีแผนการทำทางรถไฟเพิ่มเติมอีก 2 เส้นที่จะโยงภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนเข้ากับโครงข่ายรางรถไฟของพม่า โดยเป็นเส้นทางจากเมืองตาหลี่ ของจีน ไปยังเมืองมีตจีนา (Myitkyina) และเมืองลาเฉียว (Lashio) ของพม่า เมืองทั้ง 2 แห่งนี้ของพม่าต่างก็เป็นศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่และเป็นปลายทางของทางรถไฟ
       
       ไม่เฉพาะแต่เรื่องเส้นทางรางรถไฟผ่านพม่า แดนมังกรยังกำลังให้ความช่วยเหลือเพื่อยกระดับอุปกรณ์เครื่องจักรเครื่องมือเกี่ยวกับรถไฟของแดนหม่องให้ทันสมัยยิ่งขึ้นด้วย เป็นต้นว่า ในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ปักกิ่งได้บริจาคหัวรถจักร 30 หัวจากกรมการขนส่งทางรถไฟของจีน เพื่อเป็น “ของขวัญแห่งมิตรภาพ” ให้แก่พม่า ทั้งนี้ตามรายงานของสำนักข่าวซินหวาของทางการจีน
       
       เมื่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ เส้นทางรถไฟใหม่ๆ เหล่านี้ก็จะยิ่งกระชับสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่จีนมีอยู่กับพม่าให้แข็งแกร่งขึ้นอีกมาก อีกทั้งยังจะร่วมส่วนในการบูรณาการเศรษฐกิจของภูมิภาคแถบนี้ด้วย ประเทศจีนเองก็กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินโครงการที่ประมาณการกันว่ามีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อขยายระบบทางรถไฟภายในประเทศ จากที่มีระยะทางรวมทั้งสิ้น 78,000 กิโลเมตรในปัจจุบัน ให้เป็น 110,000 กิโลเมตรภายในปี 2012 และเป็น 120,000 กิโลเมตรภายในปี 2020 โครงการอันมหึมานี้ยังตั้งจุดมุ่งหมายเอาไว้ว่า จะต้องทำให้เมืองใหญ่เมืองสำคัญทั้งหมดในแดนมังกรสามารถติดต่อเชื่อมโยงกันด้วยทางรถไฟความเร็วสูง (high-speed line) ซึ่งสามารถรองรับขบวนรถไฟที่แล่นด้วยความเร็วเกินกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
       
       เมื่อพิจารณาโดยภาพรวมก็จะเห็นได้ว่า พม่าอยู่ในฐานะที่ทรงความสำคัญเป็นพิเศษในแผนการอันใหญ่โตมโหฬารของปักกิ่งที่จะก่อสร้างโครงข่ายทางรถไฟความเร็วสูงซึ่งเชื่อมโยงจีนเข้ากับบรรดาชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียใต้, ตะวันออกกลาง, และยุโรป อันที่จริงหลายๆ ส่วนของโครงข่ายนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่ผ่านประเทศพม่านั้น สอดคล้องต้องกันกับแผนการริเริ่มจัดทำเส้นทางรถไฟสายทรานส์เอเชีย (Trans-Asian Railway initiative) รวมระยะทางทั้งสิ้นราว 14,000 กิโลเมตร ซึ่งสำนักงานคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ สำหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (United Nations Economic and Social Commission for Asia and the Pacific ใช้อักษรย่อว่า UNESCAP หรือย่อกันยิ่งกว่านั้นว่า ESCAP) ได้เสนอกันขึ้นมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 ถ้าหากเสร็จสิ้นสมบูรณ์ตามแผนการได้เมื่อใด มันก็จะกลายเป็นโครงการทางด้านโครงสร้างพื้นฐานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ทีเดียว
       
       เส้นทางรถไฟสายทรานส์เอเชีย จะมีแนวเส้นทางอย่างไรแน่ๆ เวลานี้ยังคงไม่เป็นที่กระจ่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ย่อมหนีไม่พ้นว่าโครงข่ายนี้จะต้องไปตามทิศทางใหญ่ๆ รวม 3 ทิศทาง กล่าวคือ แนวเส้นทางสายเหนือจะแผ่ขยายผ่านมองโกเลีย, คาซัคสถาน, รัสเซีย, ยูเครน และต่อออกไปเชื่อมโยงกับโครงข่ายทางรถไฟของยุโรป สำหรับแนวเส้นทางสายกลางจะผ่านพม่า, บังกลาเทศ, อินเดีย, ปากีสถาน, อิหร่าน, ไปจนถึงตุรกี ส่วนแนวเส้นทางสายใต้จะออกจากจีนไปจนถึงสิงคโปร์ โดยผ่านพม่า, ลาว, เวียดนาม, และไทย ในปัจจุบันจีนมีเส้นทางรถไฟที่สามารถเชื่อมต่อกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็คือผ่านไปทางเวียดนามเท่านั้น
       
       ไบรอัน แมคคาร์แทน เป็นนักหนังสือพิมพ์อิสระที่พำนักอยู่ในกรุงเทพฯ สามารถติดต่อเขาได้ทางอีเมล์ที่ brianpm@comcast.net
       (อ่านต่อตอน 2 ซึ่งเป็นตอนจบ)
 
 http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000008512
 


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ทุกกระทู้
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 มกราคม 2011, 10:54:31
โครงข่ายทางรถไฟ‘จีน’ออกสู่โลกภายนอกโดยผ่าน‘พม่า’ (ตอนแรก)

โดย ไบรอัน แมคคาร์แทน 20 มกราคม 2554 21:39 น.


(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์www.atimes.com)

China outward bound through Myanmar
By Brian McCartan
07/01/2011

ประเทศพม่าอยู่ในฐานะที่ทรงความสำคัญเป็นอย่างมาก ในแผนการอันใหญ่โตมโหฬารของปักกิ่งที่จะสร้างโครงข่ายทางรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมต่อระหว่างจีนกับบรรดาชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และดินแดนที่อยู่ถัดออกไปอีก ถ้าหากแผนการนี้เสร็จสมบูรณ์ได้ตามที่วาดวางเอาไว้ มันก็จะเป็นโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานที่มีขนาดใหญ่โตที่สุดในประวัติศาสตร์ทีเดียว อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญประการหนึ่งของโครงการนี้ ก็คือการที่ระบบรางรถไฟของพม่าและประเทศอื่นๆ ใช้ช่วงกว้างระหว่างรางที่แตกต่างกันอยู่

*รายงานชิ้นนี้แบ่งเป็น 2 ตอน นี่คือตอนแรก *

เชียงใหม่ - พม่ากำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมด้วยระบบรางรถไฟแห่งสำคัญแห่งหนึ่งในระดับภูมิภาค โดยจะเป็นจุดเชื่อมต่อจีนและอินเดียเข้ากับตลาดต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และดินแดนที่อยู่ถัดออกไปอีก ทั้งนี้ถ้าหากแผนการลงทุนต่างๆ ที่กำลังเสนอกันอยู่ในเวลานี้จักบังเกิดผลขึ้นมาได้จริง และก็เฉกเช่นเดียวกับการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ จำนวนมากมายในภูมิภาคแถบนี้ ผู้ที่เป็นพลังขับดันอยู่เบื้องหลังการออกแบบอันใหญ่โตมโหฬารในเรื่องนี้ก็คือปักกิ่งเจ้าเก่า

จีนกำลังวางแผนการที่จะก่อสร้างเส้นทางรถไฟจำนวนมาก ซึ่งจะเชื่อมต่อภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้อันห่างไกลของตน เข้ากับเมืองท่าต่างๆ ในพม่า แล้วต่อไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีการวางแผนกำหนดให้มีเส้นทางรถไฟสายสำคัญสายหนึ่งโยงต่อเมืองคุนหมิง (เมืองหลวงของมณฑลหยุนหนัน ที่อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของแดนมังกร) เข้ากับท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่รวมทั้งพื้นที่เขตเศรษฐกิจอุตสาหกรรมพิเศษ ซึ่งกำลังก่อสร้างกันอยู่ที่เมืองจ๊อกเปียว (Kyaukpyu) บนชายฝั่งด้านตะวันตกของพม่า

แผนการสร้างเส้นทางรถไฟสายนี้ได้รับการกระจายข่าวเป็นครั้งแรกในนิตยสารรายสัปดาห์ “วีกลี อีเลฟเวน นิวส์” (Weekly Eleven News) ของพม่าเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมปีที่แล้ว โดยเป็นที่คาดหมายกันว่าจะสร้างแล้วเสร็จในปี 2015 นอกจากนั้นจีนยังเกี่ยวข้องกับการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและเขตอุตสาหกรรมที่จ๊อกเปียวด้วย ทั้งเส้นทางรถไฟ, ท่าเรือน้ำลึก, และเขตอุตสาหกรรมดังที่กล่าวมา ถือเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของแดนมังกรที่จะพัฒนาช่องทางทางการค้าให้แก่ภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่ไร้ทางออกทางทะเลของตน รวมทั้งยังจะใช้เป็นจุดเปลี่ยนถ่ายสินค้าน้ำมันและก๊าซ โดยจะมีการเชื่อมต่อไปยังสายท่อส่งน้ำมันและก๊าซซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง

นอกจากทางรถไฟคุนหมิง-จ๊อกเปียว ยังมีการวางแผนสร้างเส้นทางรางรถไฟอีกเส้นหนึ่งเชื่อมต่อเมืองคุนหมิงเข้ากับเมืองย่างกุ้ง อดีตเมืองหลวงเก่าและเมืองท่าใหญ่ของพม่า คิดเป็นระยะทาง 1,920 กิโลเมตร การก่อสร้างน่าที่จะอาศัยเส้นทางรถไฟสายเหนือ-ใต้ที่มีอยู่แล้วของพม่า แทนที่จะต้องวางรางวางเส้นทางกันใหม่หมด

ทางรถไฟเส้นนี้ยังจะต่อเข้ากับเส้นทางรถไฟสายซึ่งเชื่อมโยงไปสู่โครงการท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่ที่เมืองทวาย (Dawei) บนชายฝั่งด้านใต้ของพม่า ทั้งนี้ส่วนประกอบสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของโครงการท่าเรือแห่งนี้ตามที่ได้มีการแถลงกันไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ก็คือจะมีการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ระหว่างทวายกับกรุงเทพฯ

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังมีการวางแผนการสร้างทางรถไฟติดต่อระหว่างภาคตะวันตกเฉียงใต้ของแดนมังกรกับดินแดนพม่าเส้นที่สาม โดยรางรถไฟของสายนี้จะทอดผ่านรัฐฉาน (Shan State) ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของพม่า ทั้งนี้จากจุดเริ่มต้นที่เมืองคุนหมิง ทางรถไฟสายนี้เมื่อผ่านรัฐฉานแล้วก็จะมาจนถึงจังหวัดเชียงรายทางภาคเหนือของประเทศไทย และจากเชียงรายก็จะโยงเข้าสู่โครงข่ายรางรถไฟของไทยได้ เส้นทางคุนหมิง-เชียงรายสายนี้เมื่อบวกเข้ากับอีกเส้นหนึ่งที่ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการสำรวจวางแนวทางในประเทศลาว ก็จะทำให้สามารถขนส่งสินค้าด้วยรางรถไฟระหว่างจีน, กัมพูชา, พม่า, ไทย, ลาว, มาเลเซีย, และสิงคโปร์

หวัง เมิ่งซู (Wang Mengshu) นักวิชาการของบัณฑิตยสถานทางวิศวกรรมศาสตร์แห่งประเทศจีน (Chinese Academy of Engineering) ได้กล่าวกับสื่อมวลชนจีนในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาว่า “คณะผู้แทนที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากกระทรวงการรถไฟ (Ministry of Railroads) ได้ไปเยือน (พม่า) และลาวในกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อดำเนินการสำรวจ และทันทีที่มีการกำหนดแนวเส้นทางรถไฟระหว่างจีน-พม่าแล้ว การก่อสร้างก็สามารถเริ่มต้นได้อย่างเร็วที่สุดคือภายในเวลา 2 เดือน โดยที่เส้นทางสายนี้น่าที่จะกลายเป็นเส้นทางขนส่งสายหลักที่ทำให้จีนเชื่อมต่อด้วยทางรถไฟกับประเทศทั้งหลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

นอกเหนือจากพวกเส้นทางรถไฟซึ่งออกมาจากเมืองคุนมิงดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีแผนการทำทางรถไฟเพิ่มเติมอีก 2 เส้นที่จะโยงภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนเข้ากับโครงข่ายรางรถไฟของพม่า โดยเป็นเส้นทางจากเมืองตาหลี่ ของจีน ไปยังเมืองมีตจีนา (Myitkyina) และเมืองลาเฉียว (Lashio) ของพม่า เมืองทั้ง 2 แห่งนี้ของพม่าต่างก็เป็นศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่และเป็นปลายทางของทางรถไฟ

ไม่เฉพาะแต่เรื่องเส้นทางรางรถไฟผ่านพม่า แดนมังกรยังกำลังให้ความช่วยเหลือเพื่อยกระดับอุปกรณ์เครื่องจักรเครื่องมือเกี่ยวกับรถไฟของแดนหม่องให้ทันสมัยยิ่งขึ้นด้วย เป็นต้นว่า ในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ปักกิ่งได้บริจาคหัวรถจักร 30 หัวจากกรมการขนส่งทางรถไฟของจีน เพื่อเป็น “ของขวัญแห่งมิตรภาพ” ให้แก่พม่า ทั้งนี้ตามรายงานของสำนักข่าวซินหวาของทางการจีน

เมื่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ เส้นทางรถไฟใหม่ๆ เหล่านี้ก็จะยิ่งกระชับสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่จีนมีอยู่กับพม่าให้แข็งแกร่งขึ้นอีกมาก อีกทั้งยังจะร่วมส่วนในการบูรณาการเศรษฐกิจของภูมิภาคแถบนี้ด้วย ประเทศจีนเองก็กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินโครงการที่ประมาณการกันว่ามีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อขยายระบบทางรถไฟภายในประเทศ จากที่มีระยะทางรวมทั้งสิ้น 78,000 กิโลเมตรในปัจจุบัน ให้เป็น 110,000 กิโลเมตรภายในปี 2012 และเป็น 120,000 กิโลเมตรภายในปี 2020 โครงการอันมหึมานี้ยังตั้งจุดมุ่งหมายเอาไว้ว่า จะต้องทำให้เมืองใหญ่เมืองสำคัญทั้งหมดในแดนมังกรสามารถติดต่อเชื่อมโยงกันด้วยทางรถไฟความเร็วสูง (high-speed line) ซึ่งสามารถรองรับขบวนรถไฟที่แล่นด้วยความเร็วเกินกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เมื่อพิจารณาโดยภาพรวมก็จะเห็นได้ว่า พม่าอยู่ในฐานะที่ทรงความสำคัญเป็นพิเศษในแผนการอันใหญ่โตมโหฬารของปักกิ่งที่จะก่อสร้างโครงข่ายทางรถไฟความเร็วสูงซึ่งเชื่อมโยงจีนเข้ากับบรรดาชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียใต้, ตะวันออกกลาง, และยุโรป อันที่จริงหลายๆ ส่วนของโครงข่ายนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่ผ่านประเทศพม่านั้น สอดคล้องต้องกันกับแผนการริเริ่มจัดทำเส้นทางรถไฟสายทรานส์เอเชีย (Trans-Asian Railway initiative) รวมระยะทางทั้งสิ้นราว 14,000 กิโลเมตร ซึ่งสำนักงานคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ สำหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (United Nations Economic and Social Commission for Asia and the Pacific ใช้อักษรย่อว่า UNESCAP หรือย่อกันยิ่งกว่านั้นว่า ESCAP) ได้เสนอกันขึ้นมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 ถ้าหากเสร็จสิ้นสมบูรณ์ตามแผนการได้เมื่อใด มันก็จะกลายเป็นโครงการทางด้านโครงสร้างพื้นฐานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ทีเดียว

เส้นทางรถไฟสายทรานส์เอเชีย จะมีแนวเส้นทางอย่างไรแน่ๆ เวลานี้ยังคงไม่เป็นที่กระจ่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ย่อมหนีไม่พ้นว่าโครงข่ายนี้จะต้องไปตามทิศทางใหญ่ๆ รวม 3 ทิศทาง กล่าวคือ แนวเส้นทางสายเหนือจะแผ่ขยายผ่านมองโกเลีย, คาซัคสถาน, รัสเซีย, ยูเครน และต่อออกไปเชื่อมโยงกับโครงข่ายทางรถไฟของยุโรป สำหรับแนวเส้นทางสายกลางจะผ่านพม่า, บังกลาเทศ, อินเดีย, ปากีสถาน, อิหร่าน, ไปจนถึงตุรกี ส่วนแนวเส้นทางสายใต้จะออกจากจีนไปจนถึงสิงคโปร์ โดยผ่านพม่า, ลาว, เวียดนาม, และไทย ในปัจจุบันจีนมีเส้นทางรถไฟที่สามารถเชื่อมต่อกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็คือผ่านไปทางเวียดนามเท่านั้น

ไบรอัน แมคคาร์แทน เป็นนักหนังสือพิมพ์อิสระที่พำนักอยู่ในกรุงเทพฯ สามารถติดต่อเขาได้ทางอีเมล์ที่ brianpm@comcast.net
(อ่านต่อตอน 2 ซึ่งเป็นตอนจบ)

http://www.manager.co.th/Around/View...=9540000008512

///////////////

ขอเมืองเชียงราย เราเป็นปลายทาง เพราะไม่ค่อยคาดหวังกับรัฐบาลไทย ในความจริงจังเรื่องนี้


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 มกราคม 2011, 12:22:40
-นิทรรศการศิลปะ Beautifu-life ของ สุดรัก อุทโยภาศ วันนี้ถึง 10 ก.พ. ที่ 9 Art Gallery จ.เชียงราย โทร.0-5371-911


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 24 มกราคม 2011, 11:49:28

วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4282 ประชาชาติธุรกิจ


เขตเศรษฐกิจพิเศษ"ต้นผึ้ง"โตฉลุย-รัฐบาลลาวตั้งทีมดูแลการลงทุน



นักลงทุนจีน-ไทยแห่ร่วมลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษเมืองต้นผึ้ง สปป.ลาว กลุ่ม "ดอกงิ้วคำ" เจ้าของโปรเจ็กต์เร่งพัฒนาถนนเชื่อมอาร์สามเอรองรับการเติบโต ตั้งเป้าเนรมิตเป็นเมืองใหม่รับคลื่นการลงทุน การท่องเที่ยวโยงจีนตอนใต้-กรุงเทพฯ-เชียงใหม่-หลวงพระบาง


นางสาวนงเยาว์ ปาสามลีย์ หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ฝั่งไทย โครงการคิงส์โรมันส์ ออฟ ลาว เอเชี่ยน แอนด์ ทัวริส ดิเวลลอปเม้นท์ โซน ซึ่งประกอบกิจการเขตเศรษฐกิจพิเศษเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ในนามกลุ่มดอกงิ้วคำ เปิดเผยว่า ขณะนี้โครงการคืบหน้าไปอย่างต่อเนื่อง มีการก่อสร้างถนนจากโครงการไปจนถึงเมืองห้วยทรายติดถนนอาร์สามเอเชื่อมไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ รวมทั้งลงทุนระบบสาธารณูปโภค อาคารพาณิชย์ พื้นที่เกษตร กาสิโนแห่งใหม่ที่เปิดไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และโรงแรมขนาด 700 ห้อง นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนากิจการด้านการท่องเที่ยวด้วย

ปัจจุบันมีกลุ่มทุนจากประเทศจีนหลายรายเข้าไปร่วมลงทุนในพื้นที่ทั้งด้านการค้าขาย สถานบันเทิง เขตการค้าปลอดภาษี ฯลฯ ขณะที่กลุ่มทุนจากประเทศไทยก็เข้าไปเช่าพื้นที่อาคารพาณิชย์ รวมทั้งห้างสรรพสินค้าเอดิสัน (ทุนท้องถิ่นเชียงราย) ก็เตรียมจะเข้าไปเปิดกิจการในเร็ว ๆ นี้ด้วย ทั้งนี้ตั้งเป้าหมายว่าภายใน 10 ปีจะมีผู้เข้าไปอยู่อาศัยในโครงการประมาณ 2 แสนคน

สำหรับพื้นที่ภายในโครงการทั้งหมด 7,500 ไร่ ระยะเวลาเช่าจากรัฐบาล สปป.ลาว 99 ปีนั้นแบ่งออกเป็น 5 โซน ได้แก่ โซนเอ ซึ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย กำลังพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ มีการสร้างแหล่ง พาณิชยกรรม การค้า กาสิโน โรงแรม ขนาด 700 ห้อง, โซนบี เป็นตลาด เมืองมอม และท่าเรือเมืองมอม, โซนซี พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรม

พื้นที่โซนดี จะพัฒนาเป็นแหล่ง ท่องเที่ยวโบราณสถาน เพราะมีโบราณสถานนครสุวรรณโคมคำมีอายุเก่าแก่มาก และโซนอี มีสภาพเป็นป่าไม้อุดมสมบูรณ์ เตรียมพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ โดยมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของภูมิภาคด้วยการเชื่อมโยงจีนตอนใต้-กรุงเทพฯ-เชียงใหม่-หลวงพระบาง

ด้านนายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือกล่าวว่า เขตเศรษฐกิจเมืองต้นผึ้งเติบโตอย่างรวดเร็ว ล่าสุดรัฐบาล สปป.ลาวได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตเศรษฐกิจพิเศษและเฉพาะขึ้นมากำกับดูแลแล้ว โดยมีท่านบัวรา ขัติยะ เป็นประธานคณะกรรมาธิการ

ทั้งนี้ นักธุรกิจไทย-สปป.ลาวตั้งข้อสังเกตว่า การจัดตั้งคณะกรรมาธิการดังกล่าวอาจเกิดจากการเติบโตของเอกชนจีนที่รุกเข้าไปยัง สปป.ลาวอย่างต่อเนื่อง และมีการเปิดกิจการต่าง ๆ มากมายทั้งโรงแรม กาสิโน ฯลฯ รัฐบาล สปป.ลาวต้องการเข้าไปดูแลหลายปัญหา เช่น สิ่งแวดล้อม แรงงาน ซึ่งการดำเนินงานของกลุ่มดอกงิ้วคำจะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมาธิการชุดนี้ด้วย

หน้า 15



http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02inv10240154&sectionid=0203&day=2011-01-24


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 24 มกราคม 2011, 13:40:06
เชียงราย - รมว.กต.เตือน “วีระ-ราตรี” ดูตัวอย่าง 5 คนไทยที่ได้กลับไทย ก่อนตัดสินใจสู้คดีให้ถึงที่สุด หรือทำอย่างไรต่อ แถมระบุ “หากทั้ง 2 คนคิดเป็นอย่างอื่น ก็คงช่วยอะไรไม่ได้”
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า ระหว่างที่นายกษิต ภิรมย์ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ เดินทางด้วยเครื่องบินไปยังท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย เพื่อไปร่วมการประชุมคระรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 23-24 ม.ค.54 ณ โรงแรมอนันตรารีสอร์ทแอนด์สปาโกลเด้นไทรแองเกิ้ล สามเหลี่ยมทองคำ ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย
       
       นายกษิตได้กล่าวถึงกรณีการช่วยเหลือคนไทยอีก 2 คนที่ยังถูกดำเนินคดีและรอการพิพากษาของศาลประเทศกัมพูชาว่า คงจะไม่มีสิ่งใดมากไปกว่านี้ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวนายวีระ และคุณราตรี เองว่าจะสู้คดีให้ถึงที่สุดหรือไม่ หรือจะดำเนินการอย่างไรต่อไป โดยสามารถปรึกษากับทนายความได้ และสามารถดูตัวอย่างการถูกปล่อยตัวกลับประเทศไทยของคนไทยจำนวน 5 คนก่อนหน้านี้ได้เช่นกัน
       
       “แต่ถ้าทั้งสองคนคิดเป็นอย่างอื่นก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้ จึงขอให้คิดดูให้ดีเพราะไม่มีใครอยากอยู่ในคุกและญาติๆ ของแต่ละคนก็คงอยากจะให้กลับประเทศไทยโดยเร็ว จากนั้นจึงค่อยมาเริ่มการต่อสู้และเริ่มต้นชีวิตกันใหม่” นายกษิตกล่าวก่อนจะเดินทางไปยังสามเหลี่ยมทองคำเพื่อร่วมการประชุม และคณะ รมว.ต่างประเทศทั้งหมดจะมีการประชุมโดยมีนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน เดินทางไปร่วมด้วย
       
       จากนั้นวันที่ 24 ม.ค.ทั้งหมดมีกำหนดเดินทางด้วยเรือในแม่น้ำโขงไปขึ้นฝั่งที่เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ตรงกันข้าม อ.เชียงของ เพื่อดูความคืบหน้าในการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 และสำรวจถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ และเดินทางไปทางเครื่องบินไปเยือนเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ต่อไป


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000009784


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 มกราคม 2011, 13:10:10
ตรุษจีนเงินสะพัด4หมื่นล.
 
วันพุธ ที่ 26 มกราคม 2554 เวลา 9:50 น
 

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีน และทรรศนะเกี่ยวกับเศรษฐกิจและมาตรการปัจจุบันว่า การจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี  54 ประเมินมีเงินสะพัดกว่า 39,141 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่เม็ดเงินสะพัด 36,263 ล้านบาท ประมาณ 7.94% เป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่มีการสำรวจมาในปี 49 ซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวของกำลังซื้อผู้บริโภคและความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจที่เริ่มกลับเข้าสู่ปกติ
   
“การใช้จ่ายในเทศกาลตรุษจีนปีนี้ คึกคักมากสุดเมื่อเทียบกับหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา โดยมียอดใช้จ่ายสูงใกล้เคียงกับการเติบโตของจีดีพี ซึ่งเป็นผลจากประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงราคาพืชผลการเกษตรสูงขึ้น ส่งผลให้การจับจ่ายใช้คึกคัก แต่ก็ยังระมัดระวังการใช้จ่ายอยู่”
   
สำหรับการใช้จ่ายแยกรายบุคคลพบประชาชนส่วนใหญ่ยังใช้จ่ายเพื่อซื้อของเซ่นไหว้มากที่สุด 69.1% ตกเฉลี่ยคนละ 2,853 บาท รองลงมาเป็นทำบุญ 66.3% เฉลี่ย 1,838 บาท ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค 41.7% เฉลี่ย 3,294 บาท ให้แต๊ะเอีย 30.5% เฉลี่ย 3,028 บาท ใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว 30.5% เฉลี่ย 6,853 บาท ส่วนที่เหลือเป็นการใช้จ่ายในการเดินห้าง จัดเลี้ยงสังสรรค์ ซื้อเสื้อผ้า สินค้าคงทน ดูหนัง โดยมีรูปแบบการใช้จ่ายใกล้เคียงกับปีที่แล้ว
   
ส่วนทรรศนะเกี่ยวกับราคาสินค้าในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 54 กลุ่มตัวอย่างกว่า 80% เห็นว่าราคาสินค้าแพงขึ้น และผู้บริโภคกว่า 49.8% เป็นห่วงเรื่องราคาสินค้าแพงมากที่สุด โดยเมื่อเทียบค่าใช้จ่ายกับปีก่อนกลุ่มตัวอย่าง 42.6% เห็นว่าปีนี้จะใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพราะมีสาเหตุมาจากราคาสินค้าแพง มากกว่าการเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ส่วนกลุ่มผู้ตอบใช้จ่ายลดลง 22.4% เพราะต้องการลดค่าใช้จ่าย เนื่องจากเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจ และรายได้แย่ลง
   
ด้านการวางแผนเดินทางท่องเที่ยวปีนี้ คนส่วนใหญ่ 69.5% ไม่มีการวางแผนท่องเที่ยว และอีก 30.5% มีแผนท่องเที่ยว แบ่งเป็นเที่ยวในประเทศ 81.3% และเที่ยวต่างประเทศ 18.7% โดยปีนี้คนมีการเดินทางเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย เพราะช่วงตรุษจีนไม่ได้ตรงกับวันหยุดสุดสัปดาห์ สำหรับแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย พระนคร ศรีอยุธยา ส่วนต่างประเทศ ได้แก่ จีน ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง มาเลเซีย
   
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ทรรศนะเกี่ยวกับเศรษฐกิจและมาตรการของภาครัฐในปัจจุบัน กลุ่มตัวอย่าง 28.8% เห็นว่ามาตรการควบคุมราคาสินค้าของรัฐบาลไม่ได้ผลเลย เพราะราคาสินค้ายังเพิ่มขึ้นมาก และคนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าในอีก 6 เดือนข้างหน้า ราคาสินค้าจะแพงขึ้น ซึ่งมีสาเหตุจากราคาน้ำมันปรับตัวสูง วัตถุดิบผลิตสินค้าแพงขึ้น รัฐบาลไม่ควบคุม และยังมีประชาชนมากถึง 38% ไม่สามารถแบกรับภาระสินค้าแพงได้ ต้องหันมากู้ยืมเงินนอกระบบแทน 
   
ขณะที่มาตรการ 9 ข้อที่รัฐบาลให้เป็นของขวัญปีใหม่ มาตรการที่คนชื่นชอบมากที่สุด ได้แก่ มาตรการให้ผู้ที่ใช้ไฟต่ำกว่า 90 หน่วยใช้ไฟฟรีถาวร มาตรการให้ผู้ที่ไม่ได้อยู่ระบบประกันสังคมเข้ามาอยู่ในระบบ และมาตรการตรึงราคาแอลพีจีภาคครัวเรือน และภาคขนส่ง ส่วนมาตรการที่ไม่เห็นด้วยเลยคือการขายไข่แบบชั่งกิโลกรัมติดลบถึง 9.2 คะแนนจากเต็ม 10 รวมทั้งยังไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลปรับเพิ่มราคาน้ำมันปาล์มถึงลิตรละ 9 บาท เพราะเพิ่มสูงเกินไป
   
“ธปท. ควรชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 2 ออกไปก่อนเพื่อลดต้นทุนสินค้า เนื่องจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในตอนนี้มาจากการที่ข้าวของราคาแพง ไม่ได้มาจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น และเห็นด้วยให้รัฐบาลตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ไปถึงเดือน มี.ค.แต่หลังจากนั้นควรทยอยขึ้นเป็น 31-32 บาทต่อลิตร เพื่อไม่ใช้งบประมาณแทรกแซงมากเกินไป”.


http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=310&contentID=117611


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: miyoko ที่ วันที่ 28 มกราคม 2011, 12:27:54
โชคดีที่เกิดเป็นชาว เชียงราย


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 02 กุมภาพันธ์ 2011, 10:16:35
ส่งสินค้าไปจีนคล่องตัว

นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทย และกระทรวงควบคุมคุณภาพตรวจสอบและกักกันโรค (AQSIQ) สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกันว่าด้วยความร่วมมือด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชตั้งแต่ปี ཫ และต่อมาทั้งสองฝ่ายยังได้เห็นพ้องกันที่จะทำความร่วมมือในด้านการขนส่งสินค้าทางบกเส้นทาง R3 และให้ครอบคลุมสินค้าผลไม้ โดยเส้นทางสาย R3 มีระยะทาง 1,104 กิโลเมตร เริ่มต้นจากชายแดนไทยที่อ.เชียงของ จ.เชียงราย ไปสู่เมือง คุนหมิงของจีน เป็นการลดระยะเวลาในการขนส่งเหลือเพียง 2-3 วัน (ทางเรือใช้เวลา 5-7 วัน) ซึ่งไทยส่งออกผลไม้คุณภาพดีไปจีนได้ปีละกว่า 5,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี และช่วงเดือนม.ค.-ต.ค.53 ส่งออกรวม 5,988 ล้านบาท

หน้า 8


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 กุมภาพันธ์ 2011, 19:18:29
เชียงราย - จังหวัดเชียงรายเตรียมจัดงานต้อนรับ “วันแห่งความรัก” ด้วยงาน “จาวดอยสัมพันธ์ มหัศจรรย์หุบเขาแห่งความรัก ครั้งที่ 24” เน้นขายความสวยงามด้วยขุนเขาและน้ำตกห้วยแม่ซ้ายรวมทั้งวิถีชีวิตชนเผ่าและนั่งชมไพร
       
       นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายภวัติ เลิศมุกดา นายอำเภอเมืองเชียงราย และ ร.อ.ประจัญ สาคร นายกเทศมนตรีตำบลแม่ยาว ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงาน “จาวดอยสัมพันธ์ มหัศจรรย์หุบเขาแห่งความรัก ครั้งที่ 24” โดยมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 14 ก.พ.นี้ ณ หุบเขาหมู่บ้านแห่งความรัก หมู่บ้านห้วยแม่ซ้าย ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความสวยงามด้วยขุนเขาและน้ำตกห้วยแม่ซ้ายรวมทั้งวิถีชีวิตชนเผ่าและนั่งช้างชมไพร
       
       นายสมชัยกล่าวว่า วัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้ก็เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรม ประเพณีของชนเผ่า เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี วิถีชีวิตความเป็นอยู่เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคมที่มีความ หลากหลายในท้องถิ่น เพิ่มศักยภาพทางด้านการท่องเที่ยวของเชียงราย
       
       โดยในงานมีกิจกรรการแสดงแสงสีเสียงจากพี่น้องชนเผ่าต่างๆ ได้แก่ เมี่ยน อาข่า ลาหู่ และกะเหรี่ยง การแสดงศิลปวัฒนธรรมชนเผ่าต่างๆ อันยิ่งใหญ่ตระการตา การจำลองวิถีชีวิตชนเผ่าและร่วมสัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงพร้อม ทั้งเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สินค้าชนเผ่าจากกาดชาวดอย รวมทั้งมีการแสดงของศิลปินเพลงรับเชิญ “ไม้เมือง” นอกจากนี้ ในวันงานหากมีนักท่องเที่ยวคู่ใดที่แต่งงานอยู่กินนานที่สุดจะได้รับรางวัลด้วย
       
       ด้าน ร.อ.ประจัญ สาคร นายกเทศมนตรี ต.แม่ยาว กล่าวว่า นอกจากนี้ใน งานได้มีการจัดอาหารแบบขันโตก อาหารพื้นบ้านของชนเผ่าต่างๆ ที่สามารถเลือกซื้อได้ตามต้องการ ภายใต้บรรยากาศของหุบเขาแห่งความรัก ท่ามกลางแสงเทียนระยิบระยับ พร้อมชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมของพี่น้องชนเผ่าต่างๆ และกิจกรรมการแสดงอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000016320


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 กุมภาพันธ์ 2011, 20:46:48
ททท.ดึงเอกชนทำแผนการตลาด เตรียมชงของบ 8.5 พัน ล.ปี 55

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   7 กุมภาพันธ์ 2554


       ททท.ดึงเอกชนร่วมทำแผนการตลาดปี 55 ชูกลยุทธ์ ดิจิตอลมาร์เก็ตติ้ง เผยตั้งของบปีหน้า 8.3 พันล้านบาท ด้านตลาดจีน ตื๊อขอยกเลิกค่าวีซ่า คาดโกยนักท่องเที่ยวจียได้ 1.5 ล้านคน เงินสะพัด 4 หมื่นล้านบาท
       
       วานนี้ (7 ก.พ.) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดประชุมเพื่อระดมความคิดกับภาคเอกชนเรื่องแผนการตลาดท่องเที่ยวประจำปีงบประมาณ 2555 นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในฐานะประธานเปิดการประชุม กล่าวว่า เป็นครั้งแรก ที่ ททท.เชิญภาคเอกชนมาร่วมให้ข้อมูล ก่อนการทำโฟกัสกรุ๊ป เพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนการทำงาน และประกาศอย่างเป็นทางการราวเดือน ก.ค.ศกนี้
       
       *****คู่แข่งเก่า-ใหม่รุมชิงเค้กก้อนโต****
       เบื้องต้น ททท.ได้ประเมินตลาด ว่า มีแนวโน้มการแข่งขันสูง ทุกประเทศรอบด้านต่างมุ่งให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้เข้าประเทศ ด้วยกลยุทธ์การนำเสนอสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดตลอดเวลา รวมทั้งการเร่งสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำ ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ ขณะที่จีนก็มุ่งเปิดประเทศด้วยการเป็นเจ้าภาพจัดงานอีเวนต์ระดับโลก อาทิ เวิลด์เอ็กซ์โป เอเชียนเกมส์ โอลิมปิก นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มประเทศคู่แข่งใหม่ที่เกิดขึ้นในพื้นที่เอเชีย ได้แก่ ภูฏาน เนปาล ศรีลังกา มองโกเลีย สำหรับคู่แข่งขัน นอกพื้นที่ ได้แก่ ดูไบ อาบูดาบี โอมานน์ และอิรัก
       
       อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ คือ การเตรียมความพร้อมรับการแข่งขันภายหลังเปิดเสรีอาเซียนในกลุ่มสินค้าบริการ ซึ่งเป็นจุดที่ประเทศไทย ต้องเร่งพัฒนาขีดความสามารถขอบุคลากร เร่งศึกษาใช้ประโยชน์จากเส้นทางคมนาคมทางบกที่เชื่อมโยงประเทศต่างๆ โดยมีไทยเป็นศูนย์กลาง
       
       กลยุทธ์ของ ททท.จะเน้นทำเทคโนโลยีสารสนเทศ เข้ามาใช้ในเรื่องการตลาดเพิ่มขึ้น ให้ความสำคัญกับช่องทางการตลาดแบบออนไลน์ โชเซียลมีเดีย
       
       สำหรับปีงบประมาณ 2555 ททท.เสนอของบต่อสำนักงบประมาณไปทั้งสิ้น 8.3 พันล้านบาท เพิ่มจากปี 2554 ที่ได้รับจัดสรรมาทั้งสิ้น 5.3 พันล้านบาท โดยมีเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปีนี้ 15.5 ล้านคน ส่วนปีหน้า เพิ่มตามสัดส่วนการเติบโตของ จีดีพีประเทศ สำหรับปี 55 จะเพิ่มงบดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งเป็น 35% จากงบรวมที่จะใช้เพื่อการตลาด เพิ่มจากปีนี้ที่ใช้ในสัดส่วน 30% ซึ่งเพิ่มจากปี 2552 ที่มีสัดส่วน 20%
       
       ***จี้นักวิชาการอบรมจริยธรรมให้ อบต.-อบจ.******
       ทางด้าน นายอภิชาติ สังฆอารี ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า การเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของ ททท.ในครั้งนี้ เป็นนิมิตหมายที่ดี หลังจากที่เอกชนได้ผลักดันรูปแบบการทำงานแบบนี้มา 4-5 ปีแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการจัดตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชน
       
       สำหรับประเด็นที่เอกชนเสนอแนะ ในการประชุมครั้งนี้ คือ เรื่องของ สร้างจริยธรรม และสร้างการรับรู้ให้คนไทยรู้วิธีการดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามา และการดูแลแหล่งท่องเที่ยว
       
       นายวิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย-จีน กล่าวว่า ได้เสนอ 3 ประเด็นหลัก ให้ ททท.นำไปช่วยผลักดัน เพื่อส่งเสริมนักท่องเที่ยวจากตลาดจีน ได้แก่ 1. ผลักดันให้รัฐบาลยกเลิกค่าธรรมเนียมการขอตรวจลงตรา (วีซ่า) เข้าไทย กับคนจีนโดยให้ปฏิบัติเหมือนตลาด ญี่ปุ่น และ เกาหลี ซึ่งไม่ต้องขอวีซ่าหากมาประเทศไทย
       
       2.สนับสนุนงบการตลาดสำหรับตลาดจีนเพิ่มจากปกติอีก 200 ล้านบาท ใช้สนับสนุนโฆษณาและการตลาดให้บริษัทนำเที่ยวในจีน และเครื่องบินเช่าเหมาลำ (ชาร์เตอร์ไฟลต์) จากเมืองที่ยังไม่มีเส้นทางบินมาไทย หรือมีเส้นทางอยู่แล้ว แต่เพิ่มเส้นทางใหม่ๆ
       
       และ 3.นำเสนอเดสติเนชั่นใหม่ๆ ให้ตลาดจีน เช่น กระบี่ เชียงราย เชียงใหม่ หัวหิน และเกาะเสม็ด ด้วยการทำฮาร์ดเซล นำเสนอแหล่งท่องเที่ยว สร้างการรับรู้ หากทำได้ทั้ง 3 ข้อดังกล่าว เชื่อมั่นปีนี้นักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางมาไทยได้ถึง 1.5 ล้านคนเกิดรายได้ กว่า 4 หมื่นล้านบาท เพิ่มจากแผนเดิมที่ว่าจะได้ 1.3 ล้านคน
       
       อย่างไรก็ตาม ต้องการให้ภาครัฐในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดระเบียบผู้ประกอบการท่องเที่ยวในแต่ละแขนงธุรกิจ เช่น ธุรกิจโรงแรม อย่าปล่อยสร้าง จนเกิดโอเวอร์ซัปพลาย ส่งผลเกิดสงครามราคา

http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9540000016787


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2011, 21:11:03
“มาร์ค” เจอศึกรอบด้าน ชาวบ้านต้านโรงไฟฟ้า-ปากมูลกดดันเร่งเจรจา

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   19 กุมภาพันธ์ 2554 14:05 น.



คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น

นางสดใส สร่างโศก แกนนำต่อต้านโรงไฟฟ้าพลังชีวมวลใช้แกลบเป็นพลังงานของบริษัทบัวสมหมายไบโอแมส จำกัด ซึ่งมีโครงการก่อสร้างที่บ้านคำสร้างไชย ต.ท่าช้าง อ.สว่างวีระวงศ์ จ.อุบลราชธานี




   
อุบลราชธานี-สารพัดม็อบจากทั่วประเทศ จับมือร่วมขบวน จี้ "อภิสิทธิ์" หยุดลอยตัวซื้อเวลา หันมาแก้ปัญหาชาวบ้านจริงใจ เผยผลการเจรจารอบแรกกลุ่มต้านโรงไฟฟ้าชีวมวล ยังไม่ได้ข้อสรุป ขณะที่ปัญหาสมัชชาคนจนปากมูลได้ผลน่าพอใจ แต่ชาวบ้านไม่เชื่อน้ำยานายกฯ ยันชุมนุมต่อจนกว่าเห็นการลงมือปฏิบัติอย่างแท้จริง
       
       จากกรณีเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล เข้าร่วมกับประชาชนอีกหลายกลุ่มรวมตัวประท้วงการดำเนินงานของรัฐบาลภายใต้ชื่อ “ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือพีมูฟ (P Move)” ยื่นเรื่องเจรจาฝ่ายการเมืองสั่งระงับการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพราะทำคนทั่วประเทศเดือนร้อนกว่า 6,000 คน การเจรจารอบแรกกรมอุตสาหกรรมยืนกรานไม่มีสิทธิ์ระงับการก่อสร้าง ทำได้เพียงซื้อเวลาตั้งกรรมการตรวจสอบพื้นที่ก่อสร้าง
       
       ล่าสุดวันนี้(19 ก.พ.) นางสดใส สร่างโศก แกนนำต่อต้านโรงไฟฟ้าพลังชีวมวลใช้แกลบเป็นพลังงานของบริษัทบัวสมหมายไบโอแมส จำกัด ซึ่งมีโครงการก่อสร้างที่บ้านคำสร้างไชย ต.ท่าช้าง อ.สว่างวีระวงศ์ จ.อุบลราชธานี แต่ถูกชาวบ้านต่อต้านคัดค้านมาตั้งแต่ปี 2550 กล่าวว่า การชุมนุมของชาวบ้านจากหลายกรณีปัญหาจากทั่วประเทศ ซึ่งมารวมตัวอยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้ารัฐกาลที่ 5ได้จับมือร่วมเป็นเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากบริษัทโรงไฟฟ้าชีวมวล ประกอบด้วยชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้าของบริษัทพลังงานสะอาดดี 2 จำกัด บ้านไตรแก้ว ต.เวียงเหนือ อ.เวียงชัย จ.เชียงราย
       
       บริษัทจัสมิน กรีน เพาเวอร์ แอนด์ เอ็นเนอร์จี จำกัด บ้านน้อยสนาม ต.รัตนบุรี อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ บริษัทสหโคเจนกรีนจำกัด บ้านหนองปลาขอ ต.ป่าสัก อ.เมือง จ.ลำพูน บริษัทโรงไฟฟ้าบ้านตากจำกัด บ้านวังไม้สร้าง ต.ตากออก อ.บ้านตาก จ.ตาก บริษัทพลังงานสะอาดทับสะแกจำกัด บ้านทุ่งยาว ต.ห้วยยาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ และบริษัทบัวสมหมายไบโอแมส จำกัด บ้านคำสร้างไชย ต.ท่าช้าง อ.สว่างวีระวงศ์ จ.อุบลราชธานี
       
       พร้อมใจทำหนังสือยื่นต่อนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เพื่อสั่งยกเลิกใบอนุญาตสร้างโรงไฟฟ้า และเร่งแก้ไขปัญหาการทำประชาคมที่ไม่โปร่งใส การข่มขู่เอาชีวิตแกนนำชาวบ้าน การปะทะกันระหว่างชาวบ้านและเจ้าหน้าที่รัฐ ผลกระทบเรื่องฝุ่นละออง และการแย่งชิงน้ำกับประชาชน ซึ่งที่ผ่านมา แม้ชาวบ้านจะรวมตัวต่อต้าน แต่หน่วยงานของรัฐที่กำกับดูแลไม่รับฟัง แต่เดินหน้าสนับสนุนให้มีการก่อสร้างเพียงอย่างเดียว
       
       “การปล่อยให้ก่อสร้างโรงไฟฟ้า โดยไม่ดูความเหมาะสมของสถานที่ตั้ง จะนำปัญหามาให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ก่อนมีโรงไฟฟ้า ต้องรับกรรมจากมลภาวะเป็นพิษด้านเสียง ฝุ่นละออง เขม่า และน้ำกินน้ำใช้ที่ต้องแย่งกัน” ชาวบ้านจึงเข้าร่วมกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือพีมูฟ (P Move) เพื่อกดดันให้รัฐบาลเปิดเวทีเจรจาหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
       
       น.ส.สดใสกล่าวต่อว่า ล่าสุดเมื่อเย็นวันที่ 17 ก.พ. รัฐบาลได้เปิดเวทีเจรจากับตัวแทนกลุ่มผู้เดือดร้อนจากนโยบายการพัฒนาของรัฐ ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มพีมูฟ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการพูดคุยก่อนจะแยกกลุ่มคุยตามประเด็นความเดือดร้อน โดยประเด็นโรงไฟฟ้าชีวมวลมีนายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายสมศักดิ์ จันทรรวงทอง ผู้อำนวยการสำนักงานโรงงานอุตสาหกรรมรายสาขา 5 กรมโรงงานอุตสาหกรรม ใช้เวลาเจรจาร่วมกันประมาณ 4 ชั่วโมง
       
       ข้อเสนอในการเจรจาของเครือข่ายฯ คือ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีคำสั่งระงับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเอาไว้ก่อน พร้อมขอให้มีการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน รวมทั้งเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลางเพื่อตรวจสอบและหาแนวทางแก้ไขปัญหา ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมและกรมโรงงานอุตสาหกรรมให้คำตอบจะลงไปตรวจสอบพื้นที่ภายใน 2 อาทิตย์ แต่ทางเครือข่ายขอให้ดำเนินการภายใน 1 อาทิตย์
       
       ส่วนการตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลางขึ้นมาตรวจสอบโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าต่างๆ กรมโรงงานอุตสาหกรรมระว่า ไม่สามารถตั้งได้จนกว่าจะมีการลงตรวจสอบในพื้นที่ ส่วนการระงับการก่อสร้างนั้น กรมโรงงานอุตสาหกรรมกล่าวว่า ไม่สามารถทำได้ เมื่อผลการเจรจาไม่ได้ข้อยุติ เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากบริษัทโรงไฟฟ้าชีวมวล จึงตัดสินใจยื่นหนังสือขอคุยกับนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เพื่อให้ฝ่ายการเมืองมีคำสั่งระงับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าไว้ก่อน เพราะขณะนี้ ประชาชนกว่า 6,000 คน ใน 6 จังหวัด กำลังได้รับผลกระทบจากการสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลอย่างหนัก น.ส.สดใสแกนนำชาวบ้านกล่าวถึงผลการเจรจารอบแรกที่ยังไม่เป็นคุณกับชาวบ้าน
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ขณะเดียวกันการชุมนุมของชาวบ้านสมัชชาคนจนเขื่อนปากมูล เริ่มมีความคืบหน้า โดย น.ส.สมภาร คืนดี แกนนำชาวบ้านปากมูลเผยว่า ได้เปิดเวทีเจรจากับรัฐบาล โดยมีนายสาทิต วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายรัฐมนตรี เป็นประธานในการพูดคุย โดยชาวบ้านเสนอให้รัฐบาลเร่งนำข้อสรุปของอนุกรรมการแก้ไขปัญหา 2 ชุด เข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีทันที พร้อมให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พ.ค.2550
       
       รายงานข่าวแจ้งว่า หลังใช้เวลาเจรจาร่วมกันนานประมาณ 4 ชั่วโมง ได้ข้อสรุปว่ารัฐบาลจะนำข้อสรุปของอนุกรรมการแก้ไขปัญหาชาวบ้านสมัชชาคนจนเขื่อนปากมูลทั้ง 2 ชุดเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีภายในสัปดาห์หน้า ส่วนการยกเลิกมติ ครม.เมื่อวันที่ 17 พ.ค.2550 หาก ครม.มีมติใหม่ มติเดิมก็จะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ
       
       น.ส.สมภาร กล่าวอีกว่า “แม้การเจรจาจะได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แต่ชาวบ้านปากมูลยังคงปักหลักชุมนุมที่บริเวณหน้าลานพระบรมรูปทรงม้ารัชกาลที่ 5 ต่อไป เพื่อติดตามว่าจะรัฐบาลจะดำเนินการตามที่รับปากไว้หรือไม่ และชาวบ้านสมัชชาคนจนจะชุมนุมอย่างต่อเนื่อง จนกว่า ครม.จะมีมติแก้ไขปัญหาของชาวบ้านสมัชชาคนจนเขื่อนปากมูลออกมาอย่างเป็นทางการด้วย


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: unna ที่ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2011, 23:04:32
แจ้งข่าวจ้า 23 ก.พ.54   8.30-16.30 
มีการประชุมเชิงปฎิบัติการ เพื่อระดมความคิดเห็นเกีี่ยวกับ
หลักเกณฑ์ วิธีการ กระบวนการ
และข้อเสนอในการกำหนดเขตพัฒนาการท่องเที่ยวภาคเหนือ ครั้งที่ 1
ณ รร.ทีค การ์เด้นค่ะ จากสถาบันวิจัยสังคม ม.ช.

เชิญผู้สนใจเจ๊า อย่ามาถามรายละเอียดเราเน้อ
เราแค่ได้รับหนังสือเชิญ จึงมาป่าวประกาศต่อนะเจ๊า


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2011, 10:55:18
 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4290  ประชาชาติธุรกิจ


"ม่วนใจ๋" กาแฟหัวใจไทย ยุทธศาสตร์สตาร์บัคส์ผูกใจ "ท้องถิ่น"




 
"กาแฟสตาร์บัคส์ ม่วนใจ๋ เบลนด์" กาแฟคั่วบดจากการผสมผสานระหว่างเมล็ดกาแฟพันธุ์อราบิก้าของไทย กับ หมู่เกาะอื่น ๆ ในเอเชีย-แปซิฟิกที่มีความโดดเด่นเรื่องรสชาติที่หนักแน่น นุ่มลึก ด้วยความหมายจากภาษาคำเมืองที่หมายถึง "ความสุขอย่างเต็มเปี่ยม" ถือว่าวันนี้ได้ทำหน้าที่สะท้อนความหมายดังกล่าวได้อย่างน่าศึกษาติดตาม

ย้อนกลับไป 8 ปีที่แล้ว ม่วนใจ๋ เปิดตัวครั้งแรกเมื่อกันยายน 2546 จาก นโยบายสตาร์บัคส์ทั่วโลกที่ต้องการ สร้างสัมพันธภาพที่ยั่งยืนกับชาวไร่ผู้ปลูกกาแฟ โดยให้การสนับสนุนโครงการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมหลากหลายโครงการ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของชาวไร่กาแฟและครอบครัว รวมไปถึงชุมชนของพวกเขาเพื่อความสามารถในการพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง

"สุมนพินท์ โชติกะพุกกุณะ"ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ ประเทศไทย จำกัดระบุว่า ตั้งแต่จุดแรกเราทำงานร่วมกับเอ็นจีโอ "โครงการพัฒนาชาวเขาแบบผสมผสาน" ที่เข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านครอบคลุมพื้นที่ในเชียงใหม่, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, น่าน และลำปาง เพื่อเข้าไปพัฒนาความรู้ทักษะให้กับชาวบ้านในการปลูกกาแฟ
 


จนปัจจุบันสตาร์บัคส์ได้ทำสัญญาสั่งซื้อเมล็ดกาแฟจากหลาย ๆ หมู่บ้านทั้งจากหมู่บ้านห้วยห้อม จ.แม่ฮ่องสอน, ใน 2 หมู่บ้านดอยช้าง จ.เชียงราย และบ้านหนองหล่ม จ.เชียงใหม่

"ผ่านมา 8 ปีเราซื้อกาแฟจากชาวบ้านไปแล้ว 150 ตัน จากจุดแรกที่รับซื้อเพียง 2 ตัน และในอนาคตก็คาดว่าจะมากขึ้น ขณะนี้ก็มีการขยายพื้นที่ปลูกไปเรื่อย ๆ แต่ก็ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะต้องอาศัยเวลา ปัจจุบันนอกจากขายในร้านสตาร์บัคส์ในไทย ก็ยังส่งออกไปหลายประเทศ แต่ยังจำหน่ายเฉพาะฤดูกาล เนื่องจากวัตถุดิบยังไม่เพียงพอ"

ปัจจุบันสตาร์บัคส์ ม่วนใจ๋ เบลนด์วางจำหน่ายในประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย-แปซิฟิก อาทิ สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, ไต้หวัน และฮ่องกง

เธอชี้ว่าอนาคตหากจะขยายม่วนใจ๋ เบลนด์ไปในวงกว้างมากขึ้นก็จำเป็นต้องมีซัพพลายที่มากกว่านี้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทก็มีการพูดคุยกับพันธมิตร เอ็นจีโอ ในการหาพื้นที่ปลูกมากขึ้น รวมถึงการเข้าไปให้ความรู้กับชาวบ้านมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยเงื่อนไขกาแฟที่สตาร์บัคส์รับซื้อคือ จะต้องเป็นกาแฟที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมให้อุดมสมบูรณ์, รักษาแหล่งน้ำใต้ดินให้สะอาด ขณะเดียวกันก็ต้องไม่มีการตัดไม้ทำลายป่า โดยเป็นกาแฟที่ปลูกใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ตามธรรมชาติ

เป้าหมายของสตาร์บัคส์นอกจากการเข้าไปช่วยเหลือชาวไร่บนภูเขาให้มีอาชีพแล้ว ส่วนหนึ่งก็เป็นการโปรโมต กาแฟที่ได้จากแหล่งเพาะปลูกในประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักของต่างประเทศ

"สุมนพินท์" ชี้ว่า ที่ผ่านมาถือว่า ม่วนใจ๋ได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า และมีการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี

นอกจาก "ม่วนใจ๋" สตาร์บัคส์ ยังดำเนินนโยบายลักษณะนี้กับชาวไร่ ผู้ปลูกกาแฟในอีกหลายๆ ประเทศ

หลักการคือ รายได้ 5% ที่ได้จากการจัดจำหน่ายกาแฟม่วนใจ๋ เบลนด์ในไทย และอีกหลายประเทศในเอเชีย นำไปใช้ปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของชาวไร่กาแฟทางภาคเหนือของไทย อาทิ ด้านระบบชลประทาน หรือการศึกษา

ขณะเดียวกัน สตาร์บัคส์ ประเทศไทย รวมทั้งอีกหลาย ๆ ประเทศก็ถือโอกาสนี้สร้าง "ทริป" แบบเอ็กซ์คลูซีฟ โดยพา "สตาร์บัคส์ พาร์ตเนอร์" ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะพนักงานของบริษัท ได้มีโอกาสเดินทางไปสัมผัสวิถีชีวิตชาวไร่กาแฟ พบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับชาวไร่ผู้ปลูกกาแฟ เพื่อรู้ลึกถึงต้นกำเนิดที่มาและกรรมวิธีก่อนที่จะมาเป็นกาแฟคั่วบดที่ขายให้กับลูกค้า

ในแง่การบริหารบุคลากร ถือเป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ความรู้ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับพนักงานว่า ทุกถุงกาแฟม่วนใจ๋ที่ขายให้กับลูกค้า สามารถแปรเป็นเงินกลับมาช่วยเหลือชาวเขาได้อย่างเป็นรูปธรรม ล่าสุดกับการมอบเงินสนับสนุนภายใต้โครงการ Youth Action Grant เพื่อก่อสร้างศูนย์การเรียนรู้ของชุมชนให้กับชุมชนชาวไร่บ้านกองกาย อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่

ในแง่กลยุทธ์ "ม่วนใจ๋" ถือเป็นตัวแทนกาแฟไทยที่สามารถออกไปอวดโฉมยังต่างประเทศ สร้างเอกลักษณ์และความแตกต่างให้กับแบรนด์สตาร์บัคส์ จากบรรดาคู่แข่ง

ขณะเดียวกัน ก็ตอบโจทย์นโยบายความรับผิดชอบต่อสังคม ที่สตาร์บัคส์หมายมั่นปั้นมือได้อีกด้วย

อนาคต "ม่วนใจ๋" สามารถพัฒนาไปไกลได้แค่ไหน ต้องติดตาม

หน้า 24
 
 
 


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2011, 10:57:35
ค้าไทย-จีนผ่าน R3a บูมรับโขงแห้ง
 
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 20 กุมภาพันธ์ 2554 22:01 น.
 
 
 
 
 
   
ธนาพันธ์ ลิ่ววัฒนากรณ์
 
 
       เชียงราย - น้ำโขงแห้งนำเข้าส่งออกเชียงของเพิ่มเกือบ 100%รับถนนR3a ที่หนุนการขนส่งสินค้าที่เสียหายง่าย เผยเฉพาะตุลาฯ 2553-13 กุมภาฯ2554 มียอดการค้าเกิดขึ้นแล้วกว่า 2.5 พันล้านบาท โดยมีผักจากจีน ครองแชมป์นำเข้ามากสุด ขณะที่ธุรกิจต่อเนื่องทยอยผุดรอรับสะพานข้ามโขง 4
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากระดับน้ำในแม่น้ำโขงแห้งลง ทำให้การขนส่งสินค้าของผู้ค้ารายใหญ่ระหว่างไทย-จีนตอนใต้ หันมาใช้การขนส่งทางรถบรรทุกคอนเทนเนอร์ผ่านชายแดน อ.เชียงของ จ.เชียงราย เข้าถนน R3aไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ระยะทางประมาณ 258 กิโลเมตรแทน อย่างคึกคัก มีเอกชนรายใหญ่ๆ หลายรายขนส่งสินค้านำเข้าและส่งออก เช่น ดอยตุงขนส่ง ธนาธร สปีดอินเตอร์เนชั่นแนลแอร์พอร์ต ฯลฯ โดยเฉพาะการขนส่งด้วยคอนเทนเนอร์เครื่องเย็น มีขึ้นเป็นประจำทุกวัน
       
       ส่งผลให้มูลค่าการค้าผ่านด่านฯเชียงของ เพิ่มจากช่วงก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก จากเดิมที่มีมูลค่าการค้าเกิดขึ้นไม่มากนัก คือ ปี 2546 มีมูลค่าการค้ารวมแค่ 716.765 ล้านบาท แยกเป็นการส่งออก 184.558 ล้านบาท นำเข้า 532.207 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคเข้าไปยัง สปป.ลาว จากนั้นในแต่ละปีก็มีมูลค่าการค้าใกล้เคียงกัน คือ ปี 2552 มีมูลค่าการค้ารวม 2,899.371 ล้าบาท แยกเป็นการนำเข้า 986.331 ล้านบาท ส่งออก 1,913.040 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 27.51% กระทั่งปี 2553 มีการค้ารวมมากถึง 4,938.118 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้า 1,731.283 ล้านบาท ส่งออก 3,206.835 ล้านบาท พิ่มมากขึ้นถึง 70.31%
       
       สำหรับสินค้านำเข้ามากที่สุดคือพืชผักจีนมีการนำเข้ากว่า 199,317,767.96 บาท ถ่านหินลิกไนต์ มูลค่า 111,988,800 บาท ดอกไม้และไม้ประดับมูลค่า 95,679,039.34 บาท ผลไม้สดมูลค่า 49,734,267.68 บาท ส่วนการส่งออกมากที่สุดคือน้ำมันดีเซล มูลค่า 612,855,838.97 บาท น้ำมันเบนซิน 203,261,066.29 บาท ผลไม้สด 150,675,395.17 บาท วัสดุก่อสร้าง 101,679,541.55 บาท เนื้อสัตว์แช่แข็งมูลค่า 71,807,457.23 บาท ฯลฯ
       
       ในปีงบประมาณ 2554 ตั้งแต่เดือน ต.ค.2553 - 13 ก.พ.2554 มีการนำเข้ารวมแล้วกว่า 2,583.292 ล้านบาท โดยแยกเป็นการนำเข้า 628.363 ล้านบาท ส่งออก 1,951.933 ล้านบาท โดยแต่ละเดือนมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นประมาณ 25-50%
       
       นายธนาพันธ์ ลิ่ววัฒนากรณ์ ผู้ช่วยนายด่านศุลกากร อ.เชียงของ กล่าวว่า สาเหตุที่การค้าด้านเชียงของคึกคักเช่นนี้เพราะถนน R3a สะดวกขึ้น และมีแนวโน้มว่ามูลค่าการค้าจะเพิ่มมากขึ้นอีกเรื่อยๆ หากสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อมเชียงของ-ห้วยทราย แล้วเสร็จ ทั้งนี้สินค้าส่งออกที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการไทย คือ ลำไยจากภาคตะวันออก เช่น จันทบุรี ฯลฯ ส่งออกวันละกว่า 5 คอนเทนเนอร์ ติดต่อกันมา 1-2 สัปดาห์แล้ว ส่วนสินค้านำเข้ามากๆ ยังคงเป็นประเภทพืชผักเป็นส่วนใหญ่
       
       ด้านนายสงวน ซ้อนกลิ่นสกุล รองเลขาธิการหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่า จากอดีตแทบไม่อยากเชื่อว่าการค้าที่ อ.เชียงของ จะคึกคักเช่นนี้ แต่คงเป็นเพราะถนนเชื่อมกับจีนตอนใต้ดีและผู้ประกอบการต้องการขนส่งสินค้าที่อ่อนไหวง่าย เช่น ผัก ผลไม้ ฯลฯ สามารถทำได้สะดวกบนถนน R3a จึงมีการขนส่งกันอย่างคึกคัก โดยสินค้าอ่อนไหวหลายชนิดเมื่อนำมากับรถบรรทุกคอนเทนเนอร์จะเก็บรักษาได้ดีกว่าและไม่บอบช้ำ เมื่อเทียบกับการขนส่งทางเรือในแม่น้ำโขงเข้าทางท่าเรือ อ.เชียงแสน
       
       นายสงวน กล่าวอีกว่า ปัจจุบันเอกชนที่ประกอบกิจการบรรทุกสินค้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์ ยังคงเป็นเอกชนไทยเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะการแลกเปลี่ยนคอนเทนเนอร์จากรถบรรทุกไทย-จีน ยังคงมีการดำเนินการแค่จุดเดียว คือ ที่เมืองบ่อเต็น-โม่ฮาน ชายแดน สปป.ลาว-จีนตอนใต้ โดยรถบรรทุกไทยจะนำสินค้าไทย เช่น ไก่แช่แข็ง ฯลฯ ที่ขายดีมากจนไม่พอต่อความต้องการของตลาดจีนไปส่ง และนำพืชผัก ผลไม้ ฯลฯ กลับมายังเชียงของด้วยการข้ามฝั่งแม่น้ำโขงด้วยแพขนานยนต์
       
       "เมื่อการขนส่งสินค้าคึกคัก ทำให้ที่เชียงของมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกิจการไซโลเพื่อรองรับสินค้าทั้งขาเข้าและออกรวมกันถึง 5 แห่งแล้ว แพลนต์ปูนเพิ่มขึ้นเป็น 2 แห่ง ลานสำหรับให้จอดรถบรรทุก 3 แห่ง ที่ท่าเรือยังให้บริการชาร์จไฟแก่คอนเทนเนอร์ตู้เย็นวันละ 700 บาท เพื่อความสะดวกของผู้ประกอบการ ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตกิจการประเภทเหล่านี้จะมีเพิ่มมากขึ้น" นายสงวน กล่าว
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า สำหรับการก่อสร้างสะพานแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เป็นไปตามข้อตกลงไทย-สปป.ลาว-จีน โดยมีเอกชนที่ร่วมทุนกันคือกลุ่ม CR5-KT จากจีนและบริษัทกรุงธนเอ็นจิเนียร์ริ่งของไทย ถือว่าคืบหน้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยฝ่ายจีนจะรับก่อสร้างตัวสะพานทำให้เราเห็นเครื่องอุปกรณ์ต่างๆ จำนวนมาก ส่วนเอกชนไทยจะรับก่อสร้างถนนทั้งฝั่งไทยและ สปป.ลาว รวม 11 กิโลเมตร โดยเกิดจากความร่วมมือของรัฐบาลไทย-สปป.ลาว-จีน เพื่อเชื่อมแนวเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ โดยมีมูลค่าการก่อสร้างรวม 44,815,322.13 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าจ้างที่ปรึกษารวม 2,540,366.10 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,400 ล้านบาทโดยรัฐบาลไทยและจีนเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายประเทศละ 50% กำหนดเริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2553 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธ.ค.2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน
 
 


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2011, 20:57:51
รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ระบุ โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือเชียงแสน 2 เป็นไปตามแผน

รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ระบุ โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือเชียงแสน 2 เป็นไปตามแผน คาด พร้อมเปิดให้บริการได้ในเดือนเมษายน ปี 2555
นายพงษ์วรรณ จารุเดชา รองอธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยถึงความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการท่าเทียบเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 จังหวัดเชียงราย ว่า ขณะนี้มีความคืบหน้ากว่าร้อยละ 65 โดยการก่อสร้างเป็นไปตามแผนที่กำหนด คาดว่าจะเสร็จตามเป้าหมายคือภายในวันที่ 28 ธันวาคม 2554 สำหรับโครงการก่อสร้างท่าเรือเชียงแสน 2 มีบริษัท พอร์ท แอนด์ มารีน คอร์ปอเรชั่น (พี.เอ.เอ็ม.) จำกัด เป็นผู้ก่อสร้าง วงเงินลงทุนก่อสร้าง 1,546,400,000 บาท เริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2552 โดยจะสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 28 ธันวาคม นี้รวมระยะเวลาก่อสร้าง 960 วัน เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ ประเทศไทย ลาว และจีน จะได้รับผลประโยชน์ทั้งการขนส่งสินค้า และการท่องเที่ยวด้วย สำหรับขีดความสามารถของท่าเทียบเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 จะสามารถรองรับจำนวนเรือสินค้าได้ในเวลาพร้อมกันถึง 10 ลำ โดยเรือแต่ละลำสามารถบรรทุกสินค้าได้ประมาณ 350 ตัน ต่อลำ
อย่างไรก็ตามล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นผู้บริหารประกอบการท่าเรือเชียงแสน 2 คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในเดือนเมษายน 2555

  ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : นภสร แก้วคำ    Rewriter : วีระพันธ์ วุฒิบุญญะ
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2011, 21:34:43
เชียงราย เหนือสุดแดนสยาม งดงามประเพณีและวัฒนธรรม
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 กุมภาพันธ์ 2554 16:24 น.
 
 
 
 

 
       เชียงรายจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของประเทศไทย และเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีผู้คนจากทั่วประเทศให้ความสนใจ เดินทางมาสัมผัสกับบรรยากาศของธรรมชาติ ป่าเขา ดอยสูง กับอากาศหนาว จนบางครั้งอุณภูมิลดต่ำลงจนเกิดเป็นน้ำค้างแข็ง หรือที่รู้จักกันว่าแม่ขนิ้ง ก็สร้างความตื่นเต้นให้กับหลายคนๆ แต่เราอาจยังไม่ทราบคำขวัญของจังหวัดเชียงรายที่ว่า "เหนือสุดในสยาม ชายแดนสามแผ่นดิน ถิ่นวัฒนธรรมล้านนา ล้ำค่าพระธาตุดอยตุง" ซึ่งรายละเอียดที่อยู่ในคำขวัญนี้เป็นของดีที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด เราจะลองมาเที่ยวตามรอยคำขวัญ ว่ามีความน่าสนใจอย่างไร
       
       "เหนือสุดแดนสยาม" เป็นที่ทราบกันดีว่าเชียงรายเป็นจังหวัดด้านบนสุดของประเทศไทย แต่สิ่งที่น่าสนใจว่านั้นคือภูมิประเทศและภูมิอากาศของจังหวัดเชียงรายเอง เป็นจุดดึงดูดให้นักท่องเที่ยวในภาคอื่นๆ ให้เดินทางไกลมาท่องเที่ยว ทั้งด้วยมีภูเขาสูง อุณหภูมิต่ำในช่วงหน้าหนาว ทำให้ดอยต่างๆ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ อาทิ ภูชี้ฟ้า ดอยผาตั้ง ดอยแม่สลอง ดอยตุง แต่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวก็ต้องมาดูทะเลหมอกที่ ภูชี้ฟ้า ซึ่งเป็นภูเขาที่อยู่ระหว่างรอยตะเข็บชายแดนไทยและลาว หน้าผาสูงที่ยื่นออกไปในอากาศ ปรากฏเป็นรูปร่างลักษณะคล้ายกับท่าทางที่กำลังชี้ขึ้นไปบนฟ้า กลายมาเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ ภายถ่ายท่องเที่ยวตามเวปไซต์ต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวแต่ละคนได้โพสต์ความสวยงามของที่นี่เอาไว้ ทำให้กระแสะการท่องเที่ยวของภูชี้ฟ้าไม่เคยจางหายไปไหน

 
 
 
       ยิ่งในช่วงวันหยุดยาวๆ ที่อากาศลดต่ำลงสูงสุด ด้านบนภูชี้ฟ้าก็จะคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศ ไม่ว่าจะมาพักกันแบบรีสอร์ท ห้องพักพักต่างๆ และที่ได้รับความนิยมที่สุดก็คือกางเต็นท์ โดยมากันเป็นกลุ่มแบบครอบครัว เพื่อนฝูง หรือแบบคู่รัก ซึ่งบนยอดภูชี้ฟ้าเองก็เคยเป็นที่สารภาพรักของหนุ่มสาวหลายคู่มาแล้ว
       
       วันที่ฟ้าเปิดช่วงเวลาประมาณ 04.30 ถ้าใครได้มีโอกาสได้ขึ้นไปจับจองที่ด้านบนเพื่อดูทะเลหมอกแล้วละก็ จะสามารถพบกับความสวยงามของกลุ่มดาวนับร้อย นับพันดวง วันที่ไหนโชคดียิ่งกว่า ก็จะมีโอกาสได้เห็นกับทางช้างเผือกที่ทอดตัวยาว ส่องแสงระยิบระยับเป็นประกาย อากาศหนาวๆ และได้นั่งดูดาวแบบนี้ก็โรแมนติกดี ไปอีกแบบ และพลาดไม่ได้คือช่วงที่พระอาทิตย์ค่อยๆ โผล่พ้นทะเลหมอกยามเช้า ซึ่งแสงสีของธรรมชาตินั้นสวยงามเกินกว่าคำบรรยายใดๆ

 
 
 
       "ชายแดนสามแผ่นดิน" เนื่องจากเชียงรายเองนั้นมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ประเทศลาวและประเทศพม่า ทำให้ทั้ง 3 ประเทศกลายมาเป็นบ้านพี่เมืองน้องที่ไปมาหาสู่กันอยู่ประจำ ผลจากการท่องเที่ยวของไทยจึงเชื่อมต่อไปยัง 2 ประเทศนี้ ทำให้มีคนในบ้านเราเดินทางท่องเที่ยวไปยังพม่าและลาว (ไม่นับรวมผู้ซึ่งชื่นชอบในการพนันที่บ่อนตามชายแดนต่างๆ)
       
       และอำเภอแม่สายก็เป็นแหล่งช็อบปิ้งขนาดใหญ่ที่หลายคนรู้จัก และเป็นด่านผ่านแดนเข้าไปยังท่าขี้เหล็กของพม่า ขึ้นชื่อในเรื่องสินค้าราคาถูก และมีหลายสิ่งให้เลือกซื้อ และของส่วนใหญ่ก็จะนำเข้ามาจากประเทศจีนอีกต่อหนึ่ง จนที่นี่กลายเป็นที่ถูกอกถูกใจของขาช็อปบ้านเราไปแล้ว
       
       ลงจากแม่สายมาดูกันที่สามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสนกันบ้าง โดยเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดเชียงรายของประเทศไทย แขวงบ่อแก้วประเทศลาว และจังหวัดท่าขี้เหล็กประเทศพม่า มีลักษณะเป็นพื้นที่สามเหลี่ยมบรรจบกัน โดยมีแม่น้ำโขงเป็นตัวกั้นกลาง ถ้าเราย้อนไปในอดีตนั้นในระแวกนี้มีการค้าขายฝิ่นเป็นจำนวนมาก เรียกว่ามีมูลค่ามากขนาดที่ใช้ทองคำเป็นตัวกลางซื้อขายกันเลยทีเดียว ปัจจุบันสิ่งเลวร้ายในอดีตนั้นได้หมดไปแล้ว และสามเหลี่ยมทองคำเองก็กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและศูนย์กลางการขนส่งสินค้าไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญ ซึ่งทิวทัศน์ที่งดงามโดยเฉพาะยามเช้าบริเวณองค์พระเจ้าล้านตื้อ พระพุทธรูปองค์ใหญ่สัญลักษณ์ของสามเหลี่ยมทองคำ นอกจากนั้นยังสามารถเที่ยวพร้อมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของสามเหลี่ยมทองคำได้ที่หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ หรือจะนั่งเรือข้ามฟากไปตลาดชาวบ้านฝั่งลาวก็ได้

 

 
 
       "ถิ่นวัฒนธรรมล้านนา" นอกจากเมืองเชียงใหม่ ที่ถูกถ่ายทอดวิถีชีวิตชาวล้านนาออกมาให้เราเห็นตามสื่อต่างๆ แล้ว หลายจังหวัดทางภาคเหนือเองก็มีความสวยงามของศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตแบบล้านนาที่สวยงามไม่แพ้กันและจังหวัดเชียงรายเองก็มีประเพณีที่น่าสนใจ แต่ไม่ค่อยมีใครทราบ อย่างเช่นงานจุลกฐิน ที่วัดพระธาตุผาเงาซึ่งเป็นงานบุญซึ่งจะจัดขึ้นในทุกปีก่อนช่วงออกพรรษา ซึ่งจะต่างจากการถวายผ้ากฐินทั่วไป เพราะจุลกฐินคือประเพณีที่รวมเอาความสมัครสมานสามัคคีของชาวบ้านเข้าไว้ด้วยกัน โดยต่างคนต่างช่วยกันทอผ้า เริ่มกระบวนการตั้งแต่เก็บฝ้ายและนำมาปั่นเป็นเส้นด้าย แล้วนำเส้นด้ายมาย้อม ถัดทอให้เป็นผืนผ้าและตัดเย็บให้แล้วเสร็จภายในวันเดียว แล้วนำผ้ากฐินนั้นไปทอดถวายพระภิกษุในรุ่งขึ้น
       
       ประเพณีตักบาตรเที่ยงคืน หรือประเพณีเพ็งพุทธ (เรียกว่า เป็งปุ๊ด ในภาษาเหนือ) อีกประเพณีเก่าแก่ของชาวล้านนาที่คาดว่าน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากทางประเทศพม่า โดยพระภิกษุสามเณรจะออกบิณฑบาตรในช่วงเวลาเที่ยงคืน ในทุกปีที่มีวันขึ้น 15 ค่ำที่ตรงกับวันพุธ โดยไม่จำเพาะเจาะจงต้องอยู่ในเดือนใดบางปีอาจมีแค่ครั้งเดียว สองครั้ง หรือบางปีก็อาจไม่มีเลยก็เป็นได้ โดยจังหวัดเชียงรายเองได้มีการสืบสานประเพณีเอาไว้ ปัจจุบันจึงมีทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวนิยมมาตักบาตรกันตอนเที่ยงคืนอย่างสม่ำเสมอ
       
       "ล้ำค่าพระธาตุดอยตุง" อีกแหล่งท่องเที่ยวที่เมื่อมาเชียงรายแล้วไม่ควรพลาดที่จะขึ้นมาเยี่ยมชม พร้อมสักการะพระธาตุที่วัดพระมหาชินธาตุเจ้า โดยชาวบ้านมักเรียกกันติดปากว่าพระธาตุดอยตุง ซึ่งองค์พระธาตุเองนั้นมีสีทองอร่าม สูงประมาณ 5 เมตร อายุหลายร้อยปี และเป็นพระธาตุประจำปีนักษัตรกุนอีกด้วย

 
 
       บริเวณวัดพระมหาชินธาตุเจ้าเองนั้นยังเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่นักท่องเที่ยวนิยมนั่งทอดสายตาชมความงามของธรรมชาติและขุนเขา หลังจากที่สักการะพระธาตุเสร็จแล้วก็ยังสามารถขึ้นมาชมความงามของพระตำหนักดอยตุง ที่ประทับแปรพระราชฐานเพื่อทรงงานของสมเด็จย่า รูปแบบการสร้างเป็นการผสมผสานสถาปัตยกรรมล้านนากับบ้านพื้นเมืองสวิตเซอร์แลนด์ที่ลงตัว นอกจากนั้น สวนไม้ดอกนานาพันธุ์ภายในระแวกพระตำหนักนั้นก็มีความสวยงาม ยิ่งในช่วงฤดูหนาวแล้วละก็ ทั้งหมอกทั้งสีสันของดอกไม้ ช่วยทำให้บรรยากาศบอนดอยตุงนี้เหมาะสำหรับการมาท่องเที่ยวพักผ่อนเป็นที่สุด
       
       ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องมาเที่ยวเชียงรายเฉพาะในช่วงฤดูหนาวก็ได้ เพราะว่าความสวยงามของแต่ละสถานที่ก็จะแตกต่างกันออกไป อย่างในช่วงฤดูฝนเอง เป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยออกเดินทางท่องเที่ยว แต่ที่ภูชี้ฟ้านั้นอากาศก็จะเย็นสบาย บางครั้งอาจหนาวไม่ต่างจะฤดูหนาวเลยก็ได้ ส่วนทะเลหมอกหน้าฝนก็สวยงามไปอีกแบบ ซึ่งความน่าสนใจของจังหวัดนี้ไม่ได้มี้พียงแค่ในคำขวัญ แต่หากได้มีโอกาสมาเที่ยวดูสักครั้ง รับรองว่าไม่ผิดหวัง อย่างแน่นอน

 
 
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000022786


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2011, 23:00:33
ทางหลวงเล็งตัดถนนเส้นใหม่-ผ่านพะเยาเชื่อมเชียงราย-R3a

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 กุมภาพันธ์ 2554 11:21 น.





พะเยา - กรมทางหลวงชนบทเปิดผังก่อสร้างเส้นทางสายใหม่ค่า 500 ล้าน เชื่อมพะเยาถึงชายแดนเชียงราย เข้า R3a หนุนท่องเที่ยว-การค้าร่วมพม่า จีน และลาว

รายงานข่าวจากจังหวัดพะเยา แจ้งว่า หลังจากกรมทางหลวงชนบท ได้ว่าจ้าง บ.เชนีเอนจิเนียริ่ง คอนซัลแตนท์ จำกัด, บ.บุญปัญญาเทคโนโลยี จำกัด และเอ็นทิค จำกัด สำรวจออกแบบโครงการก่อสร้างถนนตามผังเมืองรวมถนนสาย จ.1 (ตอนที่ 1) ผังเมืองรวมเมืองพะเยา ล่าสุดได้มีการจัดประชุมชี้แจง และรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพะเยากว่า 200 คน ที่ห้องประชุมสหกรณ์การเกษตรเมืองพะเยา (จำกัด) โดยมีนายกาจพล เอิบสุขสิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เป็นประธาน

นายสุพร เตไชยา วิศวกรระดับเชี่ยวชาญ กรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า โครงการนี้จะมีการก่อสร้างถนนใหม่ ทั้งเส้นขนาดกว้าง 40 เมตร 6 ช่องจราจร ระยะทาง 8 กิโลเมตร คาดว่าจะต้องใช้ประมาณ 400-500 ล้านบาท โดยจุดเริ่มต้นอยู่บริเวณที่ กม.ที่ 600+200 ของทางหลวงหมายเลข 1202 (บ้านดอกบัว) ต.ท่าวังทอง อ.เมือง จ.พะเยา แนวถนนไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 800 เมตร เลี้ยวขวาตัดผ่านถนนหมู่บ้าน และแม่น้ำอิง ตัดผ่านถนนลาดยางของ อบจ.สาย พย.3014 บ้านศาลา-บ้านศรีชุม

จากนั้นมุ่งทางทิศใต้ระยะประมาณ 3,100 เมตร แล้วตัดผ่านถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1021 บริเวณบ้านสั้นป่าเป้า ต.ดอกคำใต้ อ.ดอกคำใต้ ก่อนจะตัดไปทิศตะวันตกเฉียงใต้ บรรจบกับถนนลาดยางของ อบจ. สาย พย.3201 บ้านสันจกปก-บ้างปาง

กรมทางหลวงชนบทได้มอบหมายบริษัทเอกชนเปิดรับฟังความคิดเห็น รวมไปถึงการชี้แจงโครงการแก่ประชาชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครอบคลุม 4 ตำบล ใน 2 อำเภอได้แก่ ต.ท่าวังทอง ต.จำป่าหวาย อ.เมืองพะเยา และ ต.ดอกคำใต้ ต.สว่างอารมณ์ อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนงานสำรวจออกแบบเบื้องต้น-การคัดเลือกรูปแบบ และส่วนงานสำรวจออกแบบรายละเอียดและศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการ ชี้แจงทำความเข้าใจ และขอความร่วมมือในการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการฯ

นายกาจพล เอิบสุขสิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา กล่าว่า ถนนดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับจังหวัด พะเยาอย่างมาก เพราะจะสามารถรองรับด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดที่ขยายตัวต่อเนื่อง รวมไปถึงการค้าจากพม่า จีน และสปป.ลาว เนื่องจากเป็นเส้นทางที่จะเชื่อมต่อกับถนน R3A ผ่านชายแดน อ.เชียงของ และ อ.จุน อ.ภูกามยาว จ.พะเยา แล้วเชื่อมต่อกับเส้นทางหลักที่ อ.ดอกคำใต้ และ อ.เมืองพะเยา นอกจากนี้จะทำให้สินค้าด้านการเกษตร เช่น ข้าว และยางพารา ที่ขยับราคาขึ้นสูงต่อเนื่องในปัจจุบัน ได้รับประโยชน์ สามารถขนส่งสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างถนนตามผังเมืองรวมฯ เมืองพะเยา ขนาด 6 ช่องจราจร ระยะทาง 8 กิโลเมตร นี้หากดำเนินการตามกระบวนการในการรับฟังความคิดเห็น การทำประชาคม และการเวนคืนที่ดินเรียบร้อยแล้ว จะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ราวปี พ.ศ. 2557 ที่จะถึงนี้


http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9540000022737 
     


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2011, 01:02:39
เปิด 'บ้านดำ' ถวัลย์ ดัชนี แหล่งเรียนรู้รากแก้วโลกตะวันออก
ศิลปวัฒนธรรม 23 กุมภาพันธ์ 2554 - 00:00

     35 ปีที่แล้ว หากบทสรุปคำตอบคือความย่อท้อในการเป็นช่างวาดรูป วันนี้เราคงไม่ได้เห็นภาพความอลังการตระการตาของ บ้านดำ จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นทั้งบ้าน ที่ทำงาน พิพิธภัณฑ์ และที่สำคัญคือเป็นจิตวิญญาณของจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินผู้ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม)
     บ้าน 35 หลังที่อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และทุนทรัพย์ส่วนตัวรังสรรค์ขึ้น โดยมีปรัชญาตะวันออกและศิลปะพื้นบ้านเป็นแรงบันดาลใจ ที่นี่ไม่เคยล้อมรั้วและเปิดบ้านต้อนรับผู้คนที่สนใจผลงานศิลปะไทยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และด้วยความพร้อมของพิพิธภัณฑ์บ้านดำ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม โดยกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม จึงขอนำโครงการเปิดบ้านศิลปินแห่งชาติมาที่นี่ เพื่อเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ทางวัฒนธรรมและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของชาวไทยและชาวต่างประเทศ ซึ่งบ้านดำถือเป็นบ้านหลังที่ 11 ในโครงการนี้
     ในพิธีเปิดบ้านดำของอาจารย์ถวัลย์ที่นางแลคับคั่งไปด้วยศิลปินแห่งชาติที่มาแสดงความยินดีมากที่สุดถึง 10 คน ตั้งแต่ ศ.เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ, ดร.กมล ทัศนาญชลี, อาจารย์ประเทือง เอมเจริญ, ศ.อิทธิพล ตั้งโฉลก, ศ.ปรีชา เถาทอง, ยรรยง โอฬาระชิน, ดร.นนทิวรรธน์ จันทนะผะลิน, ศ.เดชา วรชุน, วรนันทน์ ชัชวาลทิพากร และศิลปินแห่งชาติหมาดๆ ธงชัย รักปทุม แล้วยังมีชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มาร่วมเป็นประจักษ์พยานในวันประวัติศาสตร์นี้
     "ผมทำบ้านเพื่อดำรงชีวิต เป็นภาชนะใส่ร่างกาย เมื่อเติบโตและผ่านพ้นการดำรงชีวิต กลายเป็นผู้ดำเนินชีวิต ช่วงอายุ 36 ปีจึงทำภาชนะใส่จิตวิญญาณ ถ้าไข่มุกคือเทวาลัยอันเจ็บปวดจากน้ำตาหอย สิ่งที่ผมสร้างและทำขึ้นเป็นเทวาลัยแห่งความรักปรากฏรูป ซึ่งมีทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม และวรรณกรรม บ้านดำเปิดมาเป็นที่ 35 ไม่มีรั้ว ไม่มีวันปิด ตั้งใจจะคืนศิลปะทั้งหมดให้แผ่นดินและมวลมนุษยชาติ ชีวิตของผมตั้งมั่นทำงานศิลปะ ไม่ได้หวังผลเพื่อชื่อเสียงเกียรติยศ ตลอดเวลาผ่านมาผมดำเนินชีวิตอย่างและเยี่ยงจิตรกรอาชีพ" อาจารย์ถวัลย์ ศิลปินแห่งชาติ เล่าถึงจุดเริ่มต้นการสร้างบ้านดำ
     พื้นที่บ้านดำบนเนื้อที่ 65 ไร่ มีทั้งวิหารเล็ก มหาวิหารที่เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ บ้านลาวจัดแสดงเครื่องเงินโบราณ บ้านสามเหลี่ยม บ้านสามหลังจัดแสดงเครื่องตกแต่ง เครื่องเขินราชสำนัก ห้องจิตวิญญาณหรืออูปปรภพ อูบเปลวส่องฟ้า สถานที่จัดแสดงเก้าอี้ เขาควาย จระเข้ หอย เพื่อศึกษาอนาโตโครงสร้างสิ่งมีชีวิต อูบหัวนกเงือก บ้านเรือ นอกจากนี้ยังมีศาลาพระทองไสยาสน์ หอไตร บ้านแหวน ห้องเขียนรูปส่วนตัวจิตรกร โรงแกะไม้สำหรับลูกศิษย์ลูกหาของท่านทำงาน กระทั่งห้องน้ำยังเป็นห้องน้ำนก ห้องน้ำหอย มีเอกลักษณ์ ทุกตารางนิ้วในเขตบ้านดำเป็นความตั้งใจสอดแทรกปรัชญาพุทธศิลป์ของศิลปิน
     "ไม่ว่าผมจะพูดอะไร ผมจะย้อนมาที่ไตรภูมิ รามเกียรติ์ พุทธภูมิ พุทธศาสนา คิดว่านี่คือเสียงของขลุ่ยที่กลับมาหากอไผ่ ในงานศิลปะทางตะวันออก ถ้าไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ ไม่รู้จักภูมิจักรวาลทั้งหมดแล้ว คุณจะเป็นต้นไม้ที่ไร้ราก ไม่มีวันเติบโต กลายเป็นหมาจรจัดที่ดูจากฝรั่งตรงนั้นตรงนี้ ผมไม่อยากพูดถึงหนังกำพร้าของความคิด ผมอยากจะหยั่งรากอาณาจักรที่ผมทำทั้งหมด ผมนำล้านช้าง อยุธยาตอนต้น-ปลาย รัตนโกสินทร์ต้น-กลาง-ปลาย นำแนวคิดของระบบสุริยจักรวาลที่เรารับจากอินเดีย ลังกา แล้วผ่านเข้ามาทั้งพุทธศาสนาหินยาน มหายาน สิ่งเหล่านี้หลับรอในใจผม ผมแปลเป็นรูปธรรมในบ้านดำ" จิตรกรแห่งแผ่นดินกล่าว
     อาจารย์ถวัลย์เป็นจิตรกรอันดับหนึ่งของไทยที่มีฝีแปรงฉับไว นอกจากนั้นยังมีเอกลักษณ์ที่การพูดจาด้วยภาษาสละสลวย คมคายด้วยปรัชญาและบทกวี ท่านก็บอกการอ้างอิงบทกวีหรือวาทะที่คมคายของนักปราชญ์ ด้วยอยากให้คมคำและคมความคิด แล้วก็รู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นชนชาติ เป็นเจ้าของภาษามาจากเหล่ากอของคนที่มีรากแก้ว และสงบสุขร่มเย็นอยู่ในแผ่นดินที่มีพระมหากษัตริย์ปกครองมายาวนานกว่า 60 ปี
     ทุกวันนี้บ้านดำกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ของเอกชนขนาดใหญ่ในจังหวัดเชียงราย และเป็นแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมความเป็นไทย มีประชาชน นิสิต นักศึกษา และนักท่องเที่ยวแดนไกลปรารถนามาดูความอลังการของศิลปะที่นี่
     ศ.เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ ศิลปินแห่งชาติที่ได้ชื่อว่าเป็นกัลยาณมิตรของอาจารย์ถวัลย์ บอกว่า ทุกตารางนิ้วของบ้านดำ อาจารย์ถวัลย์สร้างสรรค์เป็นงานศิลปะ อย่างมหาวิหารก็แสดงความกล้าหาญ เพราะเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่โชว์โครงสร้าง ใช้ไม้ธรรมดาสร้างงานศิลปะให้เกิดคุณค่าใหม่ นี่คือคุณค่าที่หาสิ่งเทียบไม่ได้ บวกกับใจรักศิลปะ ทำให้ความงามของวัตถุปรากฏขึ้น ล้วนมาจากความมานะพากเพียร
     "บ้านดำเป็นเรื่องอัศจรรย์ มาเมื่อปีที่แล้วก็ตื่นเต้น เดินย่างก้าวเข้ามาในวันนี้ยังตื่นเต้น เป็นงานศิลปะและสถาปัตยกรรมที่หนักแน่น ทุกอณูเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ มีคนคนหนึ่งคิดสร้างสรรค์ออกมาเป็นรูปธรรม" อาจารย์ประหยัดกล่าว
     ด้าน ดร.กมล ทัศนาญชลี กล่าวว่า นอกจากการเขียนรูป อาจารย์ถวัลย์ต้องการสร้างสถาปัตยกรรมเป็นสมบัติของประเทศชาติ ทุกครั้งที่มาบ้านดำจะมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา เพราะความคิดสร้างสรรค์ของศิลปินท่านนี้ไม่เคยสิ้นสุด บ้านดำถือเป็นคลังสมบัติของชาติ แล้วยังมีชาวต่างชาติที่สนใจผลงานของอาจารย์ถวัลย์ เห็นคุณค่านำผลงานจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ศิลปะต่างๆ ทั้งสหรัฐ, ยุโรป, เยอรมนี ฯลฯ การเปิดบ้านดำวันนี้ตนจึงมาร่วมแสดงยินดีจากใจ เพราะศิลปินสร้างที่นี่จากพลังใจจริงๆ
     "บ้านดำ" หรือ "พิพิธภัณฑ์บ้านดำ" ตั้งอยู่เลขที่ 414 หมู่ 13 ต.นางแล อ.เมืองฯ จ.เชียงราย เปิดให้เยี่ยมชมทุกวันโดยไม่ต้องเสียบัตรค่าผ่านประตู สนใจสามารถแวะชมบ้านทุกหลังได้ ทุกหลังเต็มไปด้วยศิลปะ.

http://www.thaipost.net/x-cite/230211/34745


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2011, 16:45:29
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554

สถาบันคุ้มครองเงินฝากออกโรดโชว์เชียงราย
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


นายสิงหะ นิกรพันธุ์ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) เปิดเผยว่าสถาบันคุ้มครองเงินฝากและธนาคารแห่งประเทศไทย ได้จัดการสัมมนาให้ความรู้ ความเข้าใจเรื่อง "ความมั่นคงของสถาบันการเงินและการคุ้มครองเงินฝาก" แก่สถาบันการเงิน ผู้ฝากเงิน และผู้เกี่ยวข้องที่โรงแรมเลอ เมอริเดียน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย

ทั้งนี้ เนื้อหาในการบรรยายและสัมมนาจะเกี่ยวข้องกับการกำกับดูแล ความมั่นคงของสถาบันการเงิน และการคุ้มครองเงินฝากโดยเฉพาะการทยอยลดวงเงินคุ้มครองเป็น 50 ล้านบาท ในวันที่ 11 ส.ค. 2554 และเป็น 1 ล้านบาท ในวันที่ 11 ส.ค. 2555 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ฝาก

ในปีนี้สถาบันคุ้มครองเงินฝากจะเร่งเดินหน้าประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับประโยชน์และวงเงินความคุ้มครองของระบบประกันเงินฝาก โดยการชี้แจงผ่านช่องทางต่างๆ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้ประชาชนมีความเข้าใจมากขึ้น ทำให้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเกิดความตื่นตระหนกในระบบการเงิน หรือมีการโยกย้ายเงินฝากอย่างมีนัยสำคัญ เพราะความจริงการคุ้มครองเงินฝากในวงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาทที่จะเกิดขึ้นในปี 2555 ตามที่กฎหมายกำหนดนั้น ครอบคลุมผู้เงินฝากสูงถึง 98.5% ของผู้ฝากทั้งหมด และวงเงินคุ้มครองเงินฝากของไทยเมื่อเทียบกับรายได้ของประชากรอยู่ในระดับอันดับต้นๆ ของกลุ่มประเทศที่ใช้ระบบคุ้มครองเงินฝาก

สำหรับผู้สนใจรายละเอียดต่างๆของสถาบันคุ้มครองเงินฝากสามารถติดตามได้ทาง www.dpa.or.th หรือ 02-272-0300
__________________
พูดคุยกันได้ครับ.

http://www.chiangraifocus.com/forums/chatroom/


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2011, 18:00:51
เชียงราย - นักวิชาการชี้ชัดท่องเที่ยวไทยนับวันจะย่ำอยู่กับที่ เหตุต่างคนต่างทำ แถมมีสารพัดกฎระเบียบไม่รู้จักจบจักสิ้น แต่ละหน่วยงานถือกฎหมายคนละฉบับ ขณะที่มิตรประเทศรอบข้างก้าวไปไกลลิบ ทั้งที่เริ่มสตาร์ทพร้อม ๆ กัน เสนอจัดกลุ่มวางแผนพัฒนาใหม่-ปรับการขนส่งระบบรางที่เก่ายิ่งกว่าสมัย ร.5
       
       วันนี้ (23 ก.พ.54) สถาวันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้จัดให้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับการกำหนดเขตพัฒนาการท่องเที่ยวภาคเหนือ ครั้งที่ 1 ณ โรงแรมทีคการ์เด้น สปา รีสอร์ท อ.เมืองเชียงราย มีนายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด และ รศ.ดร.ธเนศ ศรีวิชัยลำพันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันฯสรุปความเป็นมาของโครงการ และ ดร.วิชุลดา มาตันบุญ หัวหน้าโครงการวิจัยรับฟังการระดมความคิดเห็น ท่ามกลางตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนใน 17 จังหวัดภาคเหนือตอนบนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
       
       รศ.ดร.ธเนศ กล่าวว่า ประมาณ 20 ปีก่อน เกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น ต่างเริ่มต้นพัฒนาการท่องเที่ยวพร้อมๆ กับประเทศไทย โดยภาครัฐและเอกชนมีความเป็นเอกภาพเดินไปในทิศทางเดียวกันจึงทำให้รุดหน้าไปมาก เมื่อเทียบกับไทยพบว่ายังอยู่กับที่ เพราะการพัฒนาของไทยอยู่ในสภาพต่างฝ่ายต่างทำ แม้จะรวมตัวกันบ้างแต่ก็ทำงานแบบตัวใครตัวมัน
       
       หรือในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวในช่วง 40 ปีของ 6 ประเทศในเอเชีย เช่น ไทย มาเลเซีย ญี่ปุ่น ฯลฯ พบว่าขณะที่ประเทศอื่นไปมาก แต่ไทยยังอยู่ที่เดิมท่ามกลางความสงสัยของประเทศต่างๆ ที่มีต่อทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวที่มีความพร้อมกว่าของไทย ขณะที่หลายประเทศแทบไม่มีทรัพยากรใดๆ เลยแต่สามารถพัฒนาการท่องเที่ยวได้ดีกว่า
       
       รศ.ดร.ธเนศ กล่าวอีกว่า การวิจัยครั้งนี้จึงเพื่อแก้ปัญหาเรื่องข้อกฎหมายที่สร้างขึ้นมามากมายไม่รู้จักจบสิ้น และแต่ละหน่วยงานก็ถือกฎหมายคนละฉบับ เพื่อให้การพัฒนาสะดวกและง่ายต่อการปฏิบัติ รวมทั้งพระราชบัญญัติหลายฉบับที่เป็นประโยชน์ ก็จะได้สามารถนำออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ จากนั้นจึงมีการแบ่งเขตการกำหนดเขตพัฒนาต่อไป โดยตั้งอยู่บนพื้นที่ฐานความเป็นเอกภาพ กระจายรายได้และงบประมาณไปสู่ทุกกลุ่มแทนที่จะพัฒนาเพื่อผลประโยชน์ของใครตัวมันหรือกลุ่มใครกลุ่มมันเหมือนในอดีต
       
       "อีกประเด็นปัญหาที่มีผลต่อการท่องเที่ยวคือเรื่องการขนส่ง ผมเห็นว่าตราบใดประเทศไทยยังไม่มีรถไฟรางคู่ และต้องเป็นรถไฟฟ้าจะทำให้การท่องเที่ยวไม่คืบหน้าแน่นอน จึงหวังให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วยกันผลักดันด้วย โดยสภาพที่เราเห็นในปัจจุบัน ผมขอยกตัวอย่างจากที่เคยไปรอรถไฟที่สถานีเชียงใหม่ ซึ่งกำหนดไปถึงสถานีเวลา 08.00 น. ปรากฏว่าไปถึงช้ากว่าถึง 2 ชั่วโมง สภาพรถก็เก่ามาก ซึ่งคิดว่าสมัยรัชกาลที่ 5 ยังใหม่กว่าเสียอีก ซึ่งถ้ามีรถไฟนอกจากจะมีประโยชน์ด้านการขนส่งสินค้าและขนส่งมวลชนแล้ว ก็จะกระจายไปสู่ภาคการท่องเที่ยวได้อย่างรวดเร็ว" รศ.ดร.ธเนศ กล่าวและว่า
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับการประชุมครั้งนี้มีการกำหนดหัวข้อให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้ระบุชื่อจังหวัดต่างๆ ที่จะแบ่งเป็นเขตพัฒนาเดียวกันเพื่อแบ่งเป็นกลุ่มๆ ละ 3 จังหวัด ประกอบไปด้วยหลายหัวข้อ เช่น ความโดดเด่นทรงคุณค่าทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเด่นทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม มีจำนวนนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก มีการค้าชายแดนและเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ฯลฯ จากนั้นมีการจัดแบ่งกลุ่มจังหวัดต่างๆ เพื่อระดมสมองเพื่อการพัฒนาต่อไป
       
       ขณะที่ ดร.วิชุลดา กล่าวว่า โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาโดยกำหนดระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2553-วันที่ 31 มี.ค.2554 นี้ โดยมีระยะเวลาดำเนินการคือรวบรวมและศึกษาข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้อง สัมภาษณ์เชิงลึก และทำแบบสอบถามในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ เพื่อจะได้จัดส่งให้กระทรวงได้พิจารณาดำเนินการต่อไป
       
       ด้านนายวิรุณ คำภิโล ประธานหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวเสริมว่า ในเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลหยุนหนัน มีนักท่องเที่ยวไปเยือนปีละกว่า 7-8 ล้านคน เพราะต้องการไปเที่ยวชมความหลากหลายทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและชาติพันธุ์ ซึ่งสภาพเช่นนี้คล้ายกับภาคเหนือของไทย
       
       ดังนั้น แม้ว่าสังคมปัจจุบันจะมีความเปลี่ยนแปลงไปมากจนทำให้เรื่องชาติพันธุ์เริ่มกลมกลืนกันไป แต่เมื่อจะสร้างความโดดเด่นด้านการท่องเที่ยวก็ต้องนำมาพัฒนาเพื่อให้เกิดความเป็นเอกลักษณ์ต่อไป


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2011, 09:14:12
แลกประสบการณ์สอนวิทย์ 4ชาติช่วยคิดพัฒนาการศึกษาในร.ร.

รายงานพิเศษ




สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ร่วมกับ มหา วิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จัดเสวนาวิชาการ เรื่อง "พัฒนาวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนอย่าง ยั่งยืน ประสบการณ์จากประเทศเพื่อนบ้าน" เมื่อเร็วๆ นี้

ดร.ริเอะ อาเทกิ ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า ผลการประเมิน TIMSS-PISA มีผลต่อนโยบายการศึกษาของญี่ปุ่น ขณะที่จำนวนนักเรียนกลุ่มที่มีผลสัมฤทธิ์ต่ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เรียกว่าเป็นปรากฏการณ์ PISA Shock และนักเรียนญี่ปุ่นมีทัศนคติทางลบต่อการเรียนรู้ ขาดความสนใจด้านการเรียนรู้วิทยา ศาสตร์ คณิตศาสตร์

การปรับเปลี่ยนนโยบายการศึกษา ของญี่ปุ่นเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิต ศาสตร์ คือ เพิ่มชั่วโมงเรียนวิทยา ศาสตร์ คณิตศาสตร์อีกร้อยละ 10 ลดเวลาเรียนด้านอื่นลง

ญี่ปุ่นมีนโยบายพัฒนาครู 3 แนวทาง คือ จัดตั้งสถาบันพัฒนาครู เน้นพัฒนาครูระดับหลังอุดมศึกษา โดยยกเลิกการให้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูแบบตลอดชีวิต เปลี่ยนเป็นต่ออายุทุก 10 ปี และปรับปรุงหลักสูตรการผลิตครูก่อนประจำการ

ความท้าทายสำหรับครูญี่ปุ่น คือ ครูมีเวลาจำกัดในการสอน นักเรียนมุ่งเน้นในการสอบเข้ามหา วิทยาลัย จึงไม่มีเวลาทดลองปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์

คุณอุน ซุง ลี ประเทศเกาหลีใต้ กล่าวว่า เกาหลีใต้ประสบความสำเร็จได้เพราะสามารถจัดการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบดีมาก สอดคล้องกับ TIMSS-PISA ประเมิน ส่วนนักเรียนแต่ละคนก็ทุ่มเทกับการเรียนมาก

แม้เกาหลีใต้จะมีผลการประเมิน TIMSS-PISA สูง แต่ก็ยังมุ่งพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่อง ปรับระบบการศึกษาให้ยืดหยุ่น มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความสุขในการเรียนรู้ ที่สำคัญทั้งพ่อแม่ ผู้เรียนภาครัฐและเอกชน ให้ความสำคัญต่อการศึกษาอย่างทุ่มเททั้งระบบ

ดร.ยีพ บัน ฮาร์ ประเทศสิงคโปร์ เล่าว่า ปัจจัยที่ทำให้สิงคโปร์ ประสบความสำเร็จ คือ หลักสูตรวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เน้นกระบวนการแก้ปัญหาและการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ การใช้หนังสือเรียนที่มีคุณภาพ เพื่อรองรับครูที่ขาดคุณวุฒิ โดยเฉพาะครูประถมศึกษาที่ไม่ได้จบปริญญา และการวัดประเมินผลความสามารถทางการคิด

คุณครูชาวสิงคโปร์ต้องพัฒนาตัวเองให้ก้าวทันต่อองค์ความรู้และเทคโนโลยีตลอดเวลา แต่ ครูก็ได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากรัฐ

ดร.พรพรรณ ไวทยางกูร ผอ.สสวท. กล่าว ว่า การพัฒนาคุณภาพการศึกษาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ของไทยอย่างยั่งยืน มี 4 ปัจจัย คือ หลักสูตรที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการศึกษา โรงเรียนและครูไทยจะต้องจัดการเรียนการสอนให้ได้มาตรฐานตาม ที่ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ กำหนดไว้

การพัฒนาข้อสอบเพื่อประเมินสมรรถนะครูวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษาตอนต้น การพัฒนาโรงเรียนตามสภาพจริงที่มีความหลากหลาย การพัฒนาครู พัฒนาหลักสูตรครูก่อนประจำ การวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ โดยเปลี่ยนเป็นหลักสูตร 4+2 ปี

ในช่วงท้ายของการเสวนา มีการซักถามเกี่ยวกับระบบการสอบเข้ามหาวิทยา ลัยของนักเรียนแต่ละชาติ สิงคโปร์ใช้ข้อสอบ NT เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกเข้ามหา วิทยาลัย ไม่ได้สอบเข้าโดยตรง เกาหลี ใต้เข้ามหาวิทยาลัย โดยใช้ผล NT ประ กอบกับการทำข้อสอบ และการสัมภาษณ์ ญี่ปุ่น การสอบ NT ไม่นับเป็นเกณฑ์ในการเข้ามหาวิทยาลัย

ท้ายสุดมีข้อซักถามเกี่ยวกับภาระงานของครูในประเทศต่างๆ ซึ่งพบว่า ครูญี่ปุ่น ไทย สิงคโปร์ หรือ เกาหลีใต้ ต่างก็ต้องแบกรับภาระงานที่นอกเหนือจากการสอนเยอะแยะมากมายไม่ต่างกัน

หน้า 26


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2011, 23:27:08
จีเนท"ฉลองก้าวสู่ปีที่ 5 อย่างเต็มภาคภูมิ





ก้าวสู่ปีที่ 5 ด้วยความสำเร็จอย่างเต็มภาคภูมิ สำหรับโทรศัพท์มือถือแบรนด์ "จีเนท" ภายใต้การดำเนินงานของผู้บริหารหนุ่ม "วุฒิ จารุวัชรวรรณ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเนท อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หลังจากได้เดินหน้าทำตามพันธกิจที่เคยประกาศไว้ บรรลุผลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จนในวันนี้โทรศัพท์มือถือจีเนทสามารถครองใจคนทั่วประเทศ กลายเป็นอันดับ 1 ในตลาดมือถือเมืองไทย และเนื่องในโอกาสครบรอบ 4 ปี ของจีเนท ในงาน G - Net 4 Year 4 You 4th Anniversary ที่นอกจากนายวุฒิจะมาสะบัดธงชัย ประกาศความสำเร็จแล้ว ยังได้กล่าวขอบคุณลูกค้าทุกคนด้วย "ขอบคุณทุกความไว้วางใจ ที่ทำให้เราก้าวสู่ชัยชนะในตลาดมือถือเมืองไทย" พร้อมด้วยการประกาศพันธกิจใหม่ในการก้าวขึ้นสู่การเป็น International Local Brand ด้วยกลยุทธ์แบบ Tailor Made ในการเลือกโมเดลสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ เหมาะกับพื้นที่ เหมาะกับภูมิภาค ตรงจุดในแต่ละตลาด เพื่อทำให้โดนใจผู้บริโภคทุกกลุ่มเป้าหมาย ภายใต้การวางกลยุทธ์ทางการตลาดทั้งในประเทศและการบุกตลาดอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ




โดยแผนงานในต่างประเทศ เตรียมรุกทำตลาดในประเทศอาเซียน ด้วยแผนการตลาดและการจัดจำหน่ายเต็มรูปแบบในเร็วๆนี้ ส่วนตลาดในประเทศ ได้เตรียมการ Re-Brand และ Re-Positioning แบรนด์จีเนทใหม่เพื่อปรับและขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากขึ้น เตรียมนำโปรดักส์ใหม่ๆ ในกลุ่มสินค้าไฮ-เอ็นเข้ามาจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นแอนดรอยด์โฟน สมาร์ทโฟน และแทปเล็ต ในชื่อว่า G-Pad เพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมาร์เก็ตแชร์ลูกค้ากลุ่มกลางถึงบน ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายรูปแบบใหม่ภายใต้ชื่อ G-Net Smart Shop พร้อมทั้งให้บริการที่สร้างประสบการณ์และความประทับใจให้กับลูกค้า โดยจะทำการเปิดให้บริการตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำหลายแห่ง ภายในไตรมาสที่สองของปีนี้ และในเรื่องของศูนย์บริการที่เป็น First Class Service สำหรับในไตรมาสแรกของปีนี้ เปิดศูนย์บริการเพิ่มเติมไปแล้ว 3 แห่งที่ จังหวัดภูเก็ต, จันทบุรี และอยุธยา ตามแผนที่วางไว้ โดยเหลืออีก 2 ศูนย์บริการที่กำลังจะเปิดเร็วๆนี้ ได้แก่ ที่จังหวัดอุบลราชธานี และเชียงราย รวม 5 แห่ง ภายในเดือนมีนาคม รวมทั้งยังมีแผนที่จะขยายศูนย์บริการเพิ่มอีกภูมิภาคละหนึ่งแห่งภายในปีนี้แน่นอน นอกจากนั้นยังได้เตรียมแคมเปญสุดพิเศษ "จีเนท ครบรอบ 4 ปี แจกทอง 444 เส้น" รวมทั้งการทำของขวัญชิ้นพิเศษ (Thumb Drive Limited Edition) ในวาระฉลองครบรอบ 4 ปีเพื่อตอบแทนลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศอีกด้วย รวมทั้งแคมเปญ "ไปเที่ยวมัลดีฟส์กับปอยค่ะ" เพื่อตอบแทนให้กับร้านค้าที่สนับสนุนบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมาในช่วงเดือนปลายเมษายนนี้ เรียกได้ว่าครบรอบ 4 ปีจีเนทครั้งนี้มีแต่ให้จริงๆ


http://www.naewna.com/news.asp?ID=250929


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 02 มีนาคม 2011, 22:36:10
เชียงราย - เมืองพ่อขุนฯเตรียมจัดใหญ่ งาน “เยือนดอกกาแฟบาน ณ ลานดอยช้าง” อาทิตย์ที่ 6 มีนาฯนี้ พร้อมระดมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปลุกกระแสท่องเที่ยว - เปิดพื้นที่ขายสินค้าชุมชนบนดอย

(http://pics.manager.co.th/Images/554000002889105.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/554000002889103.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/554000002889104.JPEG)
       
       นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า เชียงรายมีพืชเศรษฐกิจที่รู้จักแพร่หลายคือกาแฟชั้นดี โดยเฉพาะกาแฟที่ปลูกบนดอยช้าง ต.วาวี อ.แม่สรวย ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว จังหวัดจึงร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยฯ, ฝ่ายปกครอง อ.แม่สรวย ,องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) วาวี ,ชมรมวิ่งเพื่อสุขภาพแม่สรวย และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตกาแฟดอยช้าง กำหนดจัดงาน "เยือนดอกกาแฟบาน ณ ลานดอยช้าง" ในวันที่ 6 มี.ค.2554 นี้
       
       การจัดงานจะเริ่มต้นตั้งแต่ภาคเช้าจัดให้มีการแข่งขันวิ่งขึ้นดอย ซุปเปอร์มินิมาราธอนระยะทาง 12.5 กิโลเมตร ปล่อยตัว 06.30 น.และวิ่งไมโครมาราธอน ระยะทาง 4.5 กิโลเมตร ปล่อยตัวเวลา 07.00 น.จากนั้นจะมีพิธีเปิดงานเยือนดอกกาแฟบาน โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน ภายในบริเวณงานจัดให้มีซุ้มศูนย์รวมกาแฟของกลุ่มวิสากิจชุมชนผู้ผลิตกาแฟดอยช้าง จำหน่ายกาแฟราคาถูก สินค้าโอท็อป ศิลปหัตถกรรมชาวไทยภูเขา ชมการแสดงวัฒนธรรมชนเผ่า ตลอดงาน
       
       นอกจากนั้น ยังจัดให้มีการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ สัมผัสมหัศจรรย์ดอกกาแฟบาน สีขาวสะอาดตา ส่งกลิ่นหอมน่าหลงใหล นมัสการพระพุทธสิกขี ณ พุทธอุทยานดอยช้าง ชมบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ชมดอกไม้เมืองหนาว ณ สถานีทดลองเกษตรที่สูงวาวี (ศูนย์บริการด้านพืชและปัจจัยการผลิต เชียงราย 2) โดยเฉพาะช่วงนี้ดอกว่านสี่ทิศกำลังบานสะพรั่งสวยงามอย่างมาก
       
       สำหรับกาแฟดอยช้างกำเนิดขึ้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวไทยภูเขาให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นลดพื้นที่การปลูกฝิ่นและการทำไร่เลื่อนลอย ทรงมีพระราชดำริให้นำกาแฟอราบิก้าและพืชเมืองหนาวมาปลูกทดแทน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของกาแฟบ้านดอยช้างอันเลื่องชื่อ จากการคัดสรรสายพันธุ์กาแฟอราบิก้า ตามโครงการพระราชดำริทำให้ได้สายพันธุ์ดี เป็นกาแฟเกรดพิเศษ ที่ปลูกเฉพาะบริเวณบ้านดอยช้างซึ่งมีความสูง 1,200-1,500 เมตร จากระดับน้ำทะเลทำให้ได้กาแฟที่มีรสชาติดี
       
       "ผลกาแฟจะสุกต้องใช้เวลาประมาณ 4-8 เดือน ช่วงนี้ก็จะมีดอกกาแฟบานสะพรั่ง ซึ่งมีความงดงามและน่าดูชมท่ามกลางขุนเขา จึงได้มีการจัดงานขึ้นเพื่อประโยชน์ทุกด้าน สำหรับผลกาแฟอราบิก้าบ้านดอยช้างเมื่อสุกและนำมาผ่านกระบวนการคั่วและบดอย่างประณีต จะได้กาแฟที่มีกลิ่นหอม ชวนให้ดื่มทั้งยังมีรสชาติดี และ มีปริมาณคาเฟอีนต่ำประมาณ 1.3 % ในบรรดากาแฟสายพันธุ์อราบิก้าทั้งหมดนั้นพบว่า มีกาแฟเกรดพิเศษอยู่ไม่ถึง 10% ซึ่งกาแฟที่มีรสชาติเฉพาะ มีกลิ่นหอมมาก และมีความเป็นกรด (ผลไม้) ที่เหมาะสม ทำให้ดื่มแล้วรู้สึกชุ่มคอ ดื่มได้ตลอดเวลาเพราะมีปริมาณคาเฟอีนต่ำ ช่วยกระตุ้นให้เกิดความกระชุ่มกระชวย กาแฟเกรดพิเศษนี้มักเกิดขึ้นเฉพาะแหล่ง อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกาแฟดอยช้าง" นายสมชัย กล่าว


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000027051


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 03 มีนาคม 2011, 09:10:39

วันที่ 03 มีนาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4293  ประชาชาติธุรกิจ


ททท.รุกหนักตลาดอินโดฯ ดึงเศรษฐี 30 ล้านคนเที่ยวไทย




"อินโดนีเซีย" ประเทศที่มีฐานประชากรขนาดใหญ่กว่า 240 ล้านคน และเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าจากธุรกิจอุตสาหกรรมและพลังงาน ก๊าซและน้ำมัน ด้วยอัตราเติบโตของจีดีพีกว่า 6% เฉลี่ยทุกปี กำลังจะเป็นตลาดดาวรุ่งแห่งเอเชียที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวไทย หลังจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จับกระแสการเดินทางที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตั้งสำนักงานต่างประเทศแห่งที่ 25 ณ กรุงจาการ์ตา พร้อมจัดงาน "อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ โรดโชว์ อินโดนีเซีย" ขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

เจาะกลุ่มเศรษฐี 30 ล้านคน

นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่า การจัดโรดโชว์ 3 เมืองหลัก คือ เมดาน สุราบายา และจาการ์ตา ช่วงปลายกุมภาพันธ์ มีการเปิดตัวแหล่งท่องเที่ยวใหม่ตามความต้องการของบริษัทนำเที่ยวกว่า 550 ราย ที่มาร่วมการซื้อขายและเป็นตัวแทนในการเจาะถึงกลุ่มเศรษฐีกว่า 30 ล้านคน ใน 3 เมืองดังกล่าว มีความพร้อมทั้งกำลังซื้อสูง และความต้องการเที่ยวต่างประเทศ หากเจาะกลุ่มนี้ได้ราว 5% ก็จะได้ตลาดคุณภาพเข้าไทยมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี

ไทยเป็นจุดหมายที่นิยมอันดับ 4 รองจากมาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง แต่มีโอกาสเพิ่มจำนวนขึ้นเพราะสำนักงานใหม่ในจาการ์ตาจะทำแคมเปญโปรโมชั่นร่วมกับเอเย่นต์ และวางแผนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ นอกจากนั้นชาวอินโดนีเซียจะเริ่มอิ่มตัวกับแหล่งท่องเที่ยวเดิม และมองไทยเป็นตัวเลือกเพราะมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์หลากหลาย พร้อมนำเสนอ

จุดหมายใหม่เสมอ นอกจากกรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ตที่เป็นหลัก ยังเริ่มนำเสนอพระนครศรีอยุธยา ปากช่อง กาญจนบุรี เชียงใหม่ เชียงราย สมุยด้วยเชื่อว่า 5 ปีต่อไปนี้ตลาดมีโอกาสเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ต่อเนื่องทุกปี

อัดแคมเปญ Fun In Thailand

นายสรรเสริญ เงารังษี รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย-แปซิฟิกใต้ ททท. เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดเอเชียแบ่งได้ 3 กลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกมีนักท่องเที่ยวเกิน 1 ล้านคน จีน ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย กลุ่ม 2 คือ 5 แสนคน สิงคโปร์ อินเดีย ออสเตรเลีย และกลุ่มสุดท้ายคือ ที่ต่ำกว่า 5 แสนคนลงมา ซึ่งอินโดนีเซียอยู่ในกลุ่มนี้ แต่หลังจากการเปิดสำนักงานจาการ์ตา ตั้งเป้าราว 380,000 คนในปี 2554 หรือเติบโต 35% เมื่อเทียบกับ 281,873 คนจากปี 2553

นายนิธี สีแพร ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานจาการ์ตา เปิดเผยว่า วางแผนสร้างความสัมพันธ์กับบริษัททัวร์ 600-700 รายที่ทำทัวร์เอาต์บาวนด์มาไทย กลยุทธ์แรกจับมือทัวร์เป็นพันธมิตรร่วมลงทุนทำโปรโมชั่นแพ็กเกจผ่านสื่อ

ต่าง ๆ เนื่องจากสื่อในอินโดฯมีราคาสูงกว่าไทย 2-3 เท่า กลยุทธ์ 2 สนับสนุนรายการทีวี "เซเลเบรชั่น จะรัน จะรัน" มาถ่ายทำในไทยช่วงเทศกาลสงกรานต์ และออกอากาศช่องฟรีทีวีทั่วประเทศ 2 ตอน เพื่อสนับสนุนการเดินทางช่วงปิดเทอมเดือนกรกฎาคม และช่วงโลว์ซีซั่น แคมเปญหลักเสนอ "Fun In Thailand" นำเสนอความสนุกสนานมีชีวิตชีวาจากเทศกาล แหล่งท่องเที่ยว การช็อปปิ้งที่มีสีสัน เช่น ตลาดนัดจตุจักร ทิฟฟานี่โชว์ อัลคาซาร์โชว์ สวนน้ำ สวนสนุกอย่างเช่น สวนสยาม โดยจะใช้เป็นธีมสำหรับโฆษณาตลอดปีนี้

นอกจากนี้ ครึ่งปีหลังจะเริ่มอบรมข้อมูลท่องเที่ยวกับตัวแทนบริษัทนำเที่ยว เพื่อนำเสนอทัวร์ใหม่ต่อลูกค้า ตั้งเป้า

ปีแรกนำผู้ประกอบการ 10-20% ของบริษัททัวร์กว่า 700 รายเข้าร่วมเพื่อ

นำเสนอแหล่งท่องเที่ยวให้ตรงกับกลุ่มความต้องการ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวไฮเอนด์ที่มีถึง 50% จากนักท่องเที่ยวทั้งหมด

กลยุทธ์ออนไลน์ปรับปรุงเว็บไซต์ภาษาบาฮาซา จัดทำสื่อผ่านทวิตเตอร์ ตั้งแฟนเพจในเฟซบุ๊ก จัดกิจกรรมตอบปัญหาชิงรางวัลเพื่อจับกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 30 ล้านคน และส่วนใหญ่เป็น กลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (FIT) ที่มีสัดส่วนกว่า 60% จากนักท่องเที่ยวทั้งหมด

หนุนเปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่

นางทีร์ซ่า เออลีซ่า หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ บริษัทเอเอสเอ วิซาต้า บริษัทตัวแทนท่องเที่ยวในกรุงจาการ์ตา เปิดเผยว่า จัดทัวร์ไปกรุงเทพฯทุก 3 เดือน โดยมีกลุ่มครอบครัวเป็นลูกค้าหลัก ใช้เวลาเที่ยวระยะสั้น 8 วัน ระยะยาว 10-12 วัน เน้นกรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุย โดยลูกค้าส่วนใหญ่ชอบกรุงเทพฯเพราะความแตกต่างด้านวัฒนธรรม มีแหล่งช็อปปิ้งคุ้มค่าเงิน และที่สำคัญคือมีแหล่งท่องเที่ยวใหม่มานำเสนอตลอดเวลา

นายเดวิด อาริฟิน หัวหน้าฝ่ายขายแผนกเอาต์บาวนด์ บริษัททาราทัวร์ เปิดเผยว่า กลุ่มลูกค้าหลักคือครอบครัว นิยมเดินทางช่วงปิดภาคเรียน และกลุ่มนักธุรกิจ เดินทางครั้งละ 20-30 คน ทริป 3-4 วันสำหรับกรุงเทพฯ พัทยา และทริป 6 วัน เมื่อเลือกเที่ยวต่อภูเก็ต เชียงใหม่ เชียงราย จุดขายหลักของไทยคือวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนที่อื่น เช่น ตลาดน้ำ เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้ามาก และมีความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยว ทำให้ลูกค้าเลือกเดินทางซ้ำ

ประเมินแนวโน้มปีนี้การเดินทางจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากการยกเลิกภาษีเดินทางขาออก ทำให้ครอบครัว 4 คนประหยัดได้ถึง 10 ล้านรูเปียห์ หรือราว 35,000 บาท/ทริป ประกอบกับ ททท.สำนักงานจาการ์ตาที่เปิดใหม่จะช่วยอัพเดตข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวใหม่ให้กับกลุ่มเดินทางซ้ำที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่ผ่านมาขายแหล่งท่องเที่ยวเดิมมาเป็น 10 ปี

โดยขณะนี้มองแหล่งท่องเที่ยวเส้นทางที่มีศักยภาพ คือ เส้นทาง R3A ที่เชื่อมต่อจากภาคเหนือไปถึงจีนได้ รวมถึงสินค้าท่องเที่ยวใหม่ ๆ ในแหล่งท่องเที่ยวเดิม เช่น วัดไตรมิตรฯ ริปลีย์ พัทยา เป็นต้น

หน้า 26


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 03 มีนาคม 2011, 19:40:28
สนง.พาณิชย์ จ่อยกระดับตลาดกลางสินค้าเกษตรเชียงรายเชื่อม3ชาติ
   
 3 มีค. 2554 10:07 น.




นายเฉลิมพล พงษ์ฉบับนภา พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้สินค้าพืชผลทางการเกษตร ของจังหวัดเชียงราย เป็นเพียงตลาดค้าส่งในระดับจังหวัด และมีการเชื่อมโยงไปยังจังหวัดต่างๆในภาคอื่นๆ แต่ด้วยศักยภาพที่จังหวัดเชียงรายยังเป็นแหล่งผลิตสำคัญของพืชผลทางการเกษตรอยู่หลายชนิด ทางสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย กำลังผลักดันให้ตลาดค้าส่งของจังหวัด สามารถยกระดับเป็นศูนย์กระจายสินค้าในระดับชั้นมาตรฐาน โดยเป้าหมายของศูนย์กระจายสินค้าที่จะเกิดขึ้นนี้ จะส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่จังหวัดเชียงราย จะไม่ถูกป้อนไปเพียงแค่ตลาดในระดับภูมิภาคเท่านั้น แต่สินค้าเหล่านี้ยังจะถูกส่งไปยังตลาดในในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว จีน และพม่า อีกด้วย เพราะปัจจุบันประเทศเหล่านี้มีความต้องการในการสั่งซื้อสินค้าจากจังหวัดเชียงรายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะพืชผลทางการเกษตรที่เป็นไม้เมืองร้อนตามฤดูกาล ทั้งนี้เมื่อมีการยกระดับตลาดค้าส่งให้เป็นศูนย์กระจายสินค้าแล้ว มีความจำเป็นจะต้องเชิญตลาดคู่ค้า โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านมาทำการเจรจาอย่างเป็นจริงเป็นจังกว่านี้ เพื่อให้พื้นที่แหล่งผลิตสามารถจัดหาสินค้าได้ตามความต้องการมากที่สุด

 
 
 
 


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: nataann ที่ วันที่ 04 มีนาคม 2011, 15:07:14
รักเชียงรายครับ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 มีนาคม 2011, 16:03:25
ทีโอทียันติดตั้ง3Gไร้ปัญหาเซ็นสัญญามี.ค.
   
 7 มีค. 2554 12:46 น.


นายณพณัฏฐ์ หุตะเจริญ รักษาการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการขยายโครงข่าย 3จี ว่า โดยส่วนตัวไม่ได้รับผิดชอบโดยตรง แต่จากการติดตามการทำงานของคณะกรรมการประกวดราคาก็ทำงานได้อย่างเรียบร้อยดี ตอบได้ทุกคำถาม แต่ก็ยอมรับว่าโครงการขนาดใหญ่มีการร้องเรียนก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่คณะกรรมการก็สามารถตอบได้ มีข้อมูลรายละเอียดในเชิงลึก ทั้งนี้ จากที่ได้ฟังเสียงคณะกรรมการประกวดราคาก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวว่าไม่มีปัญหา สามารถตอบได้ และไม่หนักใจอะไร และช่วงนี้คณะกรรมการทีโอที ก็มองเห็นว่าอยากจะให้รอบคอบและโปร่งใส จึงเชิญผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ เพื่อจะได้ชัดเจนมากขึ้น คาดว่าภายในเดือนมีนาคมน่าจะเห็นอะไรจัดเจนขึ้น คาดว่าจะมีการเซ็นสัญญา และภายใน 180 วันจะมีการกำหนดส่งมอบของให้แล้วเสร็จในเมืองใหญ่และขยายโครงการนำร่อง 17 หัวเมืองหลักที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและการศึกษา เช่น เชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก ฯลฯ และรวมต่ออีก 360 วันจะขยายไปทั่วประเทศ ส่วนจะให้บริการพร้อมกันทั่วประเทศได้พร้อมกันเมื่อไหร่นั้นเราจะมีการแบ่งขยายเป็นเฟส 1 เฟส 2 วิศวกรกำลังพิจารณาอยู่ คงจะไม่เสร็จภายในวันเดียวเหมือน 2จี ที่ผ่านมา ตนคิดว่าหลังจากนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร พร้อมทุกอย่าง เราทำด้วยความโปร่งใสและรอบคอบ แต่อาจจะร้องเรียนบ้างก็คงทราบโครงการใหญ่ๆ มีการร้องทั้งนั้น ตนเองไม่ใช่คณะกรรมการยืนเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่หนักใจ

 
 
 
 


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 มีนาคม 2011, 16:03:43
พาณิชย์เชียงรายเปิดตัวย่านการค้าชาดอยแม่สลองคาดเงินสะพัดกว่า20 ล้าน

7 มีค. 2554 15:38 น.




นายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 18-21 มีนาคม 2554 ที่บริเวณสนามโรงเรียนสันติคีรี ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายจะจัดให้มีการเปิดตัว ”ย่านการค้าชาดอยแม่สลอง” ( Doi MaeSalong Tea Trade Zone) ขึ้น เพื่อเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและเป็นการสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนภายในจังหวัด ก่อนเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ โดยภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้า จำนวนกว่า 70 ร้านค้า ร่วมใจกันลดราคาสินค้า 15-50% ตลอดงาน นอกจากนี้ ยังมีการจำหน่ายสินค้าจากย่านการค้าชื่อดัง ของเชียงราย และจังหวัดต่างๆ ทั่วไทย ที่เดินทางมาร่วมกันสร้างสีสันทางการค้าในงานนี้ ได้แก่ กาแฟ สับปะรดภูแล เสื้อผ้าพื้นเมือง ข้าวหอมมะลิ และย่านการค้าจังหวัดต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงพาณิชย์ ได้แก่ จังหวัดตาก กระบี่ ฉะเชิงเทรา จันทบุรี ขอนแก่น ชลบุรี สงขลา นครสวรรค์ นครราชสีมา เชียงราย ตรัง และสมุทรสาคร โดยในการจัดงานครั้งนี้ ตั้งเป้าหมายที่จะมีผู้มาเที่ยวชมงานตลอด 4 วัน ประมาณกว่า 50,000 คน สร้างเม็ดเงินสะพัดในชุมชนและจังหวัดกว่า 20 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เพื่อฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจการค้าในภูมิภาคให้มีความคึกคัก อีกทั้งเป็นการสร้างรายได้และโอกาสทางตลาด โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ในภูมิภาคให้เข้มแข็ง ทั้งนี้ในส่วนของจังหวัดเชียงราย ได้คัดเลือกชาดอยแม่สลอง ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง เป็นย่านการค้านำร่อง ในการฟื้นฟูส่งเสริม โดยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและการพัฒนาผู้ประกอบการ การผลิต ตลอดจนการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ ในงานนี้ผู้เข้าเยี่ยมชมงานยังจะได้สัมผัสบรรยากาศอิงเขาดื่มด่ำกับรสชาติชาเชียงราย กับบรรยากาศสบาย ๆ บนดอยแม่สลอง ซึ่งเป็นชาที่ดีที่สุดในประเทศไทย และกำลังขยายตลาดไปทั่วโลก พร้อมชื่นชมเอกลักษณ์พี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน และความหลากหลายของชนเผ่า


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2011, 21:30:44
ชร.เตรียมเปิดดอยแม่สลอง-จัดลานค้ากลางไร่ชากลางเดือนนี้ (มี.ค.54)

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   8 มีนาคม 255

เชียงราย - เตรียมเปิดพื้นที่ลานค้าบนดอยแม่สลอง กลางไร่ชากว่า 60,000 ไร่ ระดมชาพันธุ์ดี-สินค้าพื้นบ้าน รวมถึงผลิตภัณฑ์เด่นทั่วสารทิศร่วมออกร้าน ดึงนักท่องเที่ยวขึ้นดอยก่อนสงกรานต์ 54 คาดมีคนเที่ยวไม่น้อยกว่า 5 หมื่น ทำเงินสะพัดเกิน 20 ล้านแน่
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า สำนักงานพาณิชย์ จ.เชียงราย มีกำหนดจัดงาน “ย่านการค้าชาดอยแม่สลอง” ขึ้น ระหว่างวันที่ 18-21 มี.ค.นี้ ณ สนามกีฬาโรงเรียนสันติคีรี ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย หรือบนดอยแม่สลอง ซึ่งเป็นใจกลางพื้นที่การปลูกชาสำคัญของประเทศไทย และปัจจุบันมีตลาดการค้าสินค้าพื้นเมือง-ของฝาก ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าโรงเรียนเป็นจำนวนมาก ซึ่งนักท่องเที่ยวที่ไปเยือนนิยมแวะเพื่อเดินชม-ซื้อสินค้าที่แปลกตาหรือเป็นของฝากรวมทั้งชมวิถีชีวิตของชาวเขาด้วย โดยในการจัดงานครั้งนี้มีการจัดให้ร้านค้าต่างๆ ดังกล่าวจำนวน 70 แห่ง นำสินค้าที่น่าสนใจเข้าไปจำหน่ายในราคาถูกตลอดงาน
       
       ในงานดังกล่าวยังจัดให้มีสินค้าจากหลากหลายจังหวัดทั่วประเทศ เช่น ขอนแก่น นครราชสีมา สงขลา ตรัง กระบี่ ฉะเชิงเทรา จันทบุรี ชลบุรี ตาก สมุทรสาคร นครสวรรค์ ฯลฯ นำสินค้าไปจัดแสดงอีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้จัดให้มีการประกวดชิมชา ให้เจ้าของผลิตชาได้ปรุง และให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิได้ดื่ม วิเคราะห์คะแนนจากหลายด้าน เช่น ชิมรสชาติ ดมกลิ่น ฯลฯ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ชาและอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงมีการจัดเวทีการแสดงบนเวที เช่น ตำนานชาวไทยเชื้อสายจีนบนดอยแม่สลอง การแสดงดนตรี การละเล่น ฯลฯ
       
       นายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์ จ.เชียงราย กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยเฉพาะช่วงก่อนจะถึงเทศกาลสงกรานต์ เหตุที่คัดเลือกชามาจัดงานเพราะมีเกษตรกร ผู้ประกอบการและผลิตภัณฑ์ที่ดีอยู่แล้ว
       
       “กิจกรรมนี้เป็นเพียงการนำร่องเท่านั้น ซึ่งจะมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องต่อไป เบื้องต้นตั้งเป้าว่าจะมีผู้เข้าชมงานตลอดงานมากกว่า 50,000 คน ทำเงินสะพัดให้จังหวัดไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท”
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ในปัจจุบันมีไร่ชาบนดอยแม่สลองทั้งหมดประมาณ 60,000 ไร่ โดยแบ่งเป็นชาอู่หลงประมาณ 18,000 ไร่และชาพื้นเมืองหรือชาอัสสัม ประมาณ 32,000 ไร่ เกษตรกรมีต้นทุนในการปลูกไร่ละประมาณ 30,000-40,000 บาท และเมื่อปลูกเสร็จก็มีค่าดูแลไร่ละ 3,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ จากการพัฒนาวงการชามาอย่างต่อเนื่องทำให้มีอัตราเพิ่มขึ้นของไร่ชาประมาณ 15-20%
       
       สำหรับราคาใบชาแตกต่างกันไป โดยราคาขายส่งที่ไร่แยกเป็นชาอูหลงเบอร์ 12 กิโลกรัมละ 40-100 บาท อู่หลงเบอร์ 17 กิโลกรัมละ 60-120 บาท ขณะที่ชาที่ไม่ใช้สารเคมีหรือชาอินทรีย์จะมีราคาที่สูงกว่าชาปกติทั่วไปกว่า 10 เท่าตัว โดยชาอินทรีย์อู่หลงเบอร์ 12 มีราคาสูงถึงกว่า 2,000 บาทต่อกิโลกรัม และเบอร์ 17 กิโลกรัมละ 1,000-3,600 บาท


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000029825


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 มีนาคม 2011, 22:29:14
กทท.หวั่นเชียงแสน2ขาดทุน เตรียมเจรจาธนารักษ์ลดค่าเช่า

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน   8 มีนาคม 2554 21:44 น.


       ASTVผู้จัดการรายวัน-กทท.หวั่นบริหารท่าเรือเชียงแสน 2 ขาดทุนเหตุ”ธนารักษ์”เรียกค่าแรกเข้า หารือคมนาคมขอเจรจายกเว้น เหลือแค่ค่าเช่า 2% ของรายได้ เตรียมประเมินตัวเลขต็สินค้าก่อนเจรจา ดีเดย์เปิด 1 เม.ย. 55 ตามเป้าเดิม
          นายศรศักดิ์ แสนสมบัติ รองปลัดกระทรวงคมนาคมเปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมการให้บริการท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 จ.เชียงราย วานนี้ (8 มี.ค.) ว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้เป็นผู้บริหารท่าเรือเชียงแสน2 ได้หารือถึงกรณีที่กรมธนารักษ์จะเรียกเก็บค่าเช่าพื้นที่ในอัตรา 2% ของรายได้ และ ขอเก็บค่าแรกเข้าอีกประมาณ 50 ล้านบาทว่าหากต้องจ่ายค่าแรกเข้า กทท.จะเสี่ยงต่อการขาดทุน โดยเสนอขอยกเว้นค่าแรกเข้าดังกล่าว ดังนั้น จึงให้กทท.ศึกษาตัวเลขปริมาณตู้สินค้ารวมถึงประมาณการรายได้รายจ่ายที่ชัดเจนอีกครั้งเพื่อนำไปเจรจากับกรมธนารักษ์ต่อไป
          ทั้งนี้ กทท.ยืนยันว่า มีความพร้อมในการเข้าบริหารและให้บริการท่าเรือเชียงแสน 2 ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 255 แน่นอน โดยจะใช้เงินลงทุนประมาณ 170 ล้านบาทในการจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือสำหรับให้บริการ ในขณะที่ผู้แทนหน่วยงานที่ต้องให้บริการในท่าเรือเชียงแสน 2 อาทิ กรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น ได้ยืนยันถึงความพร้อมในการให้บริการเช่นกัน
       โดยให้ทุกหน่วยงานลงพื้นที่ก่อสร้างเพื่อร่วมกันสรุปแผนการจัดสรรการใช้พื้นที่ให้เรียบร้อยภายในวันที่ 15 มี.ค. 2554 นี้
          “ทุกหน่วยงานที่มีหน้าที่ให้บริการในเขตท่าเรือ จะต้องเข้าไปดูว่า จุดที่ได้รับการจัดสรรพื้นที่เหมาะสมหรือไม่ หากมีปัญหา ก็ยังสามารถแก้ไขได้ทันเนื่องจากยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง “นายศรศักดิ์กล่าว
          อย่างไรก็คาม ในส่วนของกทท. ได้เตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ในการเข้าบริหาร ได้แก่ด้านบุคลากร โดยจัดอัตรากำลังให้สอดคล้องกับขนาดและกิจกรรมของ ท่าเรือเชียงแสน 2 การกำหนดแผนการลงทุน ด้านระบบสารสนเทศ (ICT) การให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) และการส่งเสริมการตลาดและประชาสัมพันธ์ เพื่อให้การให้บริการ มีประสิทธิภาพและสะดวกรวดเร็ว ครบวงจร

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000030268


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 10 มีนาคม 2011, 13:46:46
ชียงราย - ธุรกิจประกันฯ ส่อรุ่ง ยุคเศรษฐกิจถอยหลัง กลุ่ม “อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.ฯ” ดันทุนท้องถิ่นเชียงรายร่วมเปิดสำนักงานตัวแทน ดึงลูกค้าร่วมออมผ่านประกันฯวันแรกได้กว่า 10 ล้าน

นายสุรชัย ลิ้นทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เป็นประธานในพิธีเปิดสำนักงานตัวแทนบริษัทอยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.ประกันภัย จำกัด เลขที่ 207/5 หมู่ 12 ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย โดยมีนายสตีเฟ่น แอปเปิ้ลยาร์ด กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทฯ เดินทางไปร่วมในพิธีเปิด ,นางกรกมล จงไพบูลย์กิจ ตัวแทนจำหน่ายและเจ้าของสำนักงานดังกล่าว รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมครบครัน

นายสตีเฟ่น กล่าวว่า การเปิดกิจการใหม่ในพื้นที่เชียงราย ครั้งนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่บ่งชี้อนาคตธุรกิจการประกันภัย โดยเฉพาะฝ่ายขายของบริษัทในปี 2554 นี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพอันเกิดจากการสนับสนุนของบริษัท จึงคาดหวังว่าจากการร่วมกันจัดการประสานงานที่ดี และกลายเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ดีจะนำไปสู่ความสำเร็จของกิจการใน จ.เชียงราย มากยิ่งขึ้นไปอีก

ด้านมิสซิส.แซลลี่ โอฮาร่า รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายตัวแทนบริษัทฯ กล่าวว่า บริษัทก่อตั้งมานานจนครบรอบ 60 ปีในปีนี้ ซึ่งถือเป็นสิ่งการันตีถึงความไว้วางใจของลูกค้าที่มีต่อการดำเนินการของบริษัทฯ และในส่วนของสำนักงานที่ จ.เชียงราย ก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะเบื้องต้นมีทำเลที่ตั้งที่ดี อยู่ติดกับถนนพหลโยธินภายในเขตเทศบาลนครเชียงรายด้วย

ขณะที่นายสุรชัย ลิ้นทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า นโยบายของจังหวัดคือการส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคธุรกิจมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการมีธุรกิจประกันภัยเพิ่มขึ้นอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดจึงเป็นเรื่องที่ดี และแสดงให้เห็นว่ามีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในเชียงรายอย่างต่อเนื่อง

สำหรับกลุ่มธุรกิจ "จงไพบูลย์กิจ" เป็นกลุ่มทุนท้องถิ่นที่มีการประกอบธุรกิจหลากหลาย และในการเปิด สนง.ตัวแทนธุรกิจประกันภัยครั้งนี้ ทำให้นางกรกมล จงไพูลย์กิจ ได้รับความไว้วางใจจากผู้ที่ต้องการจะทำธุรกิจหรือใช้บริการประกันภัย โดยมีลูกค้าเข้าร่วมซื้อกรมธรรม์ตั้งแต่วันแรกรวมกันทั้งหมดประมาณ 13 ล้านบาท

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000030518


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 10 มีนาคม 2011, 22:41:55
กาแฟขี้ชะมด เพิ่มมูลค่าแบรนด์ ‘ดอยช้าง’ (1)

เชื่อว่าเหล่าบรรดาคอกาแฟทั้งในไทยและต่างประเทศคงรู้จักชื่อของ “กาแฟดอยช้าง” เป็นแน่ เพราะกาแฟดอยช้างถือว่าเป็นกาแฟที่มีชื่อเสียงว่ามีรสชาติดี เพราะได้คว้ารางวัลชนะเลิศจากการประกวดกาแฟโลกมาแล้วเมื่อปี 2552 และยังถือว่าเป็นกาแฟที่ปลูกมาจากความภาคภูมิใจของคนไทยที่เป็นชุมชนชาวเขาเผ่าอีก้อ กลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งในจังหวัดเหนือสุด ของประเทศอย่างจังหวัดเชียงราย นอกจากปัจจุบันกาแฟชาวดอยจะมี ชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างชาติแล้ว ก็ ยังได้ขยายแบรนด์กาแฟยี่ห้ออื่นๆ อย่าง จัสท์ คอฟฟี่ (JUST COFFE) ออกมาเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่อีกหนึ่งแบรนด์ด้วย

โดยนางสาวรพีพรรณ เลิศปรีชา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท จัสท์ คอฟฟี่ จำกัด เล่าถึงที่มาที่ไปของ “กาแฟดอยช้าง” ว่า กาแฟดอยช้างนั้นกำเนิดมาจากบริเวณชุมชน ภูเขาดอยช้าง ที่อยู่ในจังหวัดเชียงราย ได้เคย เป็นแหล่งพื้นที่ปลูกฝิ่น และมีการปลูกกาแฟ บ้างประปราย จนเมื่อโครงการพระราชดำริของในหลวงเข้ามาในพื้นที่ และได้แจกจ่ายต้นกล้ากาแฟสายพันธุ์อะราบิก้าให้แก่ชาวบ้าน เพื่อปลูกทดแทนฝิ่น การปลูกกาแฟบนดอย จึงเริ่มขึ้น แต่ผลผลิตที่ได้กลับไม่ดีเท่าที่ควร ประกอบกับการถูกกดราคารับซื้อจากพ่อค้า คนกลาง ทำให้ชาวบ้านหลายรายล้มเลิกการ ปลูกกาแฟ ทำให้ผู้นำชุมชนภูเขาดอยช้าง นามว่า “อาเดล” ได้เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้ลงจากดอยมาหา “คุณวิชา พรหมยงค์” เพื่อปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดีกับปัญหาดังกล่าว และทำอย่างไรให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดี กว่าที่เป็นอยู่

หลังจากนั้นคุณวิชา จึงได้ไปศึกษาเรื่องกาแฟหลังจากที่ไม่เคยมีความรู้เรื่องดังกล่าวเลย และจึงได้สรุปว่าการจะหลีกเลี่ยงการถูกกดราคา นั้น ชาวบ้านต้องเพิ่มกำลังผลิตเป็นสองถึงสามพันไร่ เพื่อสร้างปริมาณของกาแฟให้มากพอที่จะ มีอำนาจไปต่อรองกับพ่อค้า นอกจากนี้ คุณภาพของกาแฟก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งด้วย

ดังนั้น กระบวนการปรับเปลี่ยนการผลิตและควบคุมคุณภาพของเมล็ดกาแฟ รวมทั้งการ สร้างความเข้มแข็งให้กับชาวบ้านและชุมชนดอยช้าง จึงได้เริ่มขึ้นจากความร่วมมือกันระหว่างคุณวิชาและคุณอาเดล ร่วมกับกลุ่มชาวบ้านบนดอย และ พัฒนาสายพันธุ์กาแฟให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น รวมทั้ง ดูแลระบบการผลิตกาแฟให้ครบวงจร จึงทำให้ชาวบ้านพอจะลืมตาอ้าปาก ได้ก็เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี โดยครั้งนั้นคุณวิชาก็ได้รับซื้อกาแฟจากชาวบ้านถึง 100 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาที่ สูงกว่าท้องตลาด ทำให้พ่อค้าในละแวกนั้นต้องปรับราคารับซื้อเมล็ดกาแฟจากชาวบ้านให้สูงขึ้น ตามไปด้วย

“จากความเป็นมาดังกล่าวจึงได้เกิดกาแฟ ดอยช้างขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยปัจจุบันกาแฟดอยช้าง ได้รับรางวัลจากคณะกรรมการ Coffee Review : The World Leading Coffee Buyer Guide ให้คะแนนผลิตภัณฑ์กาแฟ Aged Piko’s Peaberry จำนวน 89/100 คะแนน ผลิตภัณฑ์กาแฟพรีเมี่ยม Doichang Single Estate ได้คะแนน 85/100 คะแนน ซึ่งถือได้ว่าผลิตภัณฑ์ กาแฟดอยช้างได้รับการยอมรับจากนานาชาติแล้ว”

ปัจจุบัน ร้านกาแฟดอยช้างจะเน้นไปที่การ ส่งออกไปยังต่างประเทศมากกว่า เนื่องจากกาแฟ ดอยช้างได้มีหุ้นส่วนเป็นนักธุรกิจชาวแคนาดา โดยเขามาร่วมทุนแบบไม่ขอร่วมทุนในด้านการผลิต แต่ตกลงที่จะร่วมเปิดบริษัทใหม่ในประเทศ แคนาดาแทน ภายใต้ชื่อบริษัท “บริษัท กาแฟดอยช้าง เฟรช โรสเต็ด คอฟฟี่ จำกัด” ปัจจุบันเป็นได้เปลี่ยนมาเป็น “บริษัท ดอยช้าง คอฟฟี่ ออริจินอล จำกัด” แล้วรับซื้อกาแฟดอยช้าง ในราคาต้นทุนเพื่อไปทำการคั่วและขายปลีก-ส่งที่นั่น กำไรที่ได้มาจะแบ่งกันคนละครึ่ง ความร่วมมือทางธุรกิจครั้งนี้ ทำให้กาแฟดอยช้างมีโอกาสเปิดตัวในตลาดต่างประเทศ

ผู้จัดการทั่วไป คนเดิมบอกต่อว่า นอกเหนือจากดอยช้างจะทำการผลิตกาแฟ แล้ว ยังมีสถาบันกาแฟ Doichang Academy of Coffee เปิดอบรมให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจ ได้เข้าร่วมเก็บเกี่ยวประสบการณ์ตั้งแต่วิธีการ ปลูกกาแฟ คัดเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ การ แปรรูปให้ได้มาตรฐานไปจนถึงวิธีการชงกาแฟ โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญให้ความรู้ พร้อมมีที่ให้ได้ลงมือทดลองปฏิบัติจริง โดยได้เริ่ม เปิดอบรมตั้งปี 2551 จวบจนปัจจุบัน โดยจะรับปีละ5 รุ่น รุ่นละประมาณ 30 คน โดยจะมีการฝึกอบรมรุ่นละ 3 วัน 2 คืน ฉบับหน้ามาติดตามแนวทางการดำเนินธุรกิจของกาแฟดอยช้าง กระทั่งได้ แตกแบรนด์ร้านกาแฟอย่าง จัสท์ คอฟฟี่ ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด
 


http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413351701


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 12 มีนาคม 2011, 22:05:18
มองปัญหา"เขื่อน" ผ่าน"วันหยุดเขื่อนโลก"

สิ่งแวดล้อม 13 มีนาคม 2554 - 00:00
  ในวันที่ 14 มีนาคมของทุกปีเป็น "วันหยุดเขื่อนโลก" ซึ่งจุดเริ่มต้นมาจากภาคพลเมืองเครือข่ายระดับโลกที่ต่อต้านความหายนะที่มาจากเขื่อนมารวมตัวกัน ทั้งจากเครือข่ายคัดค้านเขื่อนแห่งบราซิล (MAB) เครือข่ายหยุดเขื่อนแห่งชิลี เครือข่ายแม่น้ำนานาชาติ (IRN) ขบวนการปกป้องนาร์มาดาแห่งอินเดีย เครือข่ายแม่น้ำแห่งยุโรป (ERN) และตัวแทนจากประเทศไทย ได้ร่วมกันจัดการประชุมนานาชาติของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเขื่อนครั้งที่ 1 ขึ้น ณ เมืองคิวริทิบา ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 11-14 มีนาคม 2540 เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การต่อสู้เรื่องเขื่อน โดยที่ประชุมได้ตกลงให้มีคำประกาศคิวริทิบาเพื่อ "ยืนหยัดการมีสิทธิความเป็นมนุษย์และวิถีชีวิตของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเขื่อน" และได้กำหนดให้วันที่ 14 มีนาคมของทุกปีเป็น "วันหยุดเขื่อนโลก" ด้วย โดยมีคำขวัญที่จะใช้ร่วมกันว่า "น้ำเพื่อชีวิตไม่ใช่เพื่อความตาย"
     ดังนั้น ในบ้านเราปัญหาของ "เขื่อน" ก็ยังคงเป็นประเด็นร้อนอยู่ แม้จะไม่ได้มีการพูดถึงมากนัก อย่างกรณี "เขื่อนปากมูล" ที่เพิ่งผิดหวังจากการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรี ในเวทีประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา ที่ชาวบ้านเรียกร้องให้เปิดเขื่อนปากมูลถาวร 5 ปี แม้จะมีนักวิชาการผู้ศึกษาผลกระทบเข้าชี้แจงต่อที่ประชุม แต่รัฐบาลอ้างถึงข้อมูลของปริมาณน้ำว่าจะขาดแคลนหรือไม่หากต้องมีการเปิดเขื่อน เพราะผลการศึกษาที่ผ่านมาเราไม่ได้เจอแค่วิกฤติน้ำโขงเท่านั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จึงมอบหมายให้คณะกรรมการศึกษาเขื่อนปากมูล ที่มี นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาเขื่อนปากมูลไปศึกษาเรื่องนี้อีกครั้ง ในเวลา 45 วัน และให้นำกลับเข้ารายงานที่ประชุม ครม.เพื่อพิจารณา ขณะที่กลุ่มเครือข่ายประชาชนชาวอุบลราชธานีต้องขนข้าวของกลับบ้านอย่างผิดหวัง หลังมาปักหลักชุมชนที่ลานพระบรมรูปทรงม้าร่วมเดือน
     ขณะที่เรื่องวิกฤติน้ำโขงที่ตอนนี้ถูกนำมาเป็นโจทย์ผูกโยงกับเขื่อนปากมูล เนื่องจากเขื่อนปากมูลอยู่ห่างจากแม่น้ำโขงเพียงแค่ 6 กิโลเมตร ก็กำลังเป็นประเด็นปัญหา เพราะเมื่อเข้าช่วงหน้าแล้ง ลำน้ำโขงก็มักจะวิกฤติ บางช่วงน้ำแห้ง เรือไม่สามารถแล่นผ่านได้ แท้จริงแล้วเรื่องของวิกฤติน้ำโขงนั้นเป็นเพราะภัยแล้ง หรือโลกร้อน หรือเป็นเพราะ "เขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ" ที่กำลังระดมสร้างลงในแม่น้ำโขงสายหลังตั้งแต่สาธารณรัฐประชาชนจีน จนมาถึงลุ่มน้ำโขงตอนล่างที่ประเทศกัมพูชา
     เวลาเดียวกัน "เขื่อนไซยะบุรี" ที่แก่งหลวง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) กำลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ในเวทีเสวนาเครือข่ายภาคประชาชนลุ่มน้ำโขง ได้สะท้อนภาพของแม่น้ำโขงวันนี้ ที่ชาวบ้านต่างคิดเห็นตรงกันว่าผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งเกิดน้ำท่วมและน้ำแห้ง มาจากการสร้างเขื่อนปิดกั้นลำน้ำที่สาธารณรัฐประชาชนจีน โดย นายนิวัติ ร้อยแก้ว กลุ่มรักษ์เชียงของ จ.เชียงราย บอกว่า หากติดตามเรื่องนี้มาตลอดจะพบว่าก่อนสร้างเขื่อนน้ำในแม่น้ำโขงระดับน้ำจะสูงกว่านี้มาก หลังจากการสร้างเขื่อนที่จีนน้ำโขงก็ลดระดับลงเรื่อยๆ แม้ว่าที่ผ่านมาทางจังหวัดเชียงรายจะแก้ไขปัญหาโดยการสร้างฝาย แต่มองว่าเป็นการแก้กันคนละเรื่อง เพราะการสร้างฝายไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่ปัญหาคือ การไม่ยอมรับในประเด็นปัญหาของแม่น้ำโขงจากรัฐบาล ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วแม่น้ำโขงวิกฤติอยู่ที่การสร้างเขื่อน
     "จากงานวิจัยหลายฉบับบอกว่าเขื่อนเป็นสาเหตุของน้ำโขงแห้ง ซึ่งถ้าเกิดจากโลกร้อนจริง ทำไมแม่น้ำสาละวินจึงไม่แห้ง ชาวบ้านท้องถิ่นก็รู้ว่าเมื่อก่อนไม่เป็นอย่างนี้ หลังจากแม่น้ำโขงมีคนมาบังคับและจัดการแล้ว เวลานี้รัฐบาลไทยได้หารือปัญหากับรัฐบาลจีนหรือยัง และต้องถามว่า กรมทรัพยากรน้ำรู้ปัญหานี้จริงหรือไม่ ทุกวันนี้ไม่ยอมรับว่าแม่น้ำโขงแห้งเพราะเขื่อน เนื่องจากไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรใช่หรือไม่" นายนิวัติกล่าว
     ขณะที่ช่วงนี้หลายพื้นที่เริ่มประสบปัญหาภัยแล้ง ปริมาณน้ำในแม่น้ำจะลดระดับลงตามธรรมชาติ นายมิติ ยาประสิทธิ์ นักวิชาการเครือข่ายรักษ์เชียงแสน จ.เชียงราย บอกว่า ในเมื่อมีการสร้างเขื่อนที่จีนไปแล้ว จีนต้องเปิดเผยข้อมูลการกักน้ำ และการปล่อยน้ำจากเขื่อนให้ไทยทราบ และรัฐบาลไทยควรนำเรื่องนี้ เจรจากับรัฐบาลจีนอย่างจริงจัง เพราะถือว่าคนท้ายน้ำก็เป็นคนที่ใช้แม่น้ำสายเดียวกัน และเป็นปัญหาระดับชาติที่รัฐบาลต้องเป็นฝ่ายแก้ไข และอย่าคิดแต่เรื่องผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว
     ส่วน "เขื่อนไซยะบุรี" ที่ประเทศลาว ก็กำลังเร่งเครื่องเดินหน้า หลังคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติไปมีมติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับซื้อไฟฟ้าถึง 1,220 เมกะวัตต์ จากกำลังการผลิต 1,285 เมกะวัตต์ จากเขื่อนไซยะบุรี ที่ บริษัท ช.การช่าง เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยมี 4 ธนาคารพาณิชย์ของไทยให้เงินกู้ถึง 95% จากเงินลงทุน 105,000 ล้านบาท ซึ่งทางการลาวประกาศเดินหน้าสร้างเขื่อนเร่งด่วน ทั้งๆ ที่ผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ที่ประกอบด้วย 4 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม ลาว กัมพูชา และไทย จะระบุว่า หากสร้างจะเกิดผลกระทบข้ามพรมแดนอย่างมหาศาล และการให้ข้อมูลการก่อสร้างยังคลุมเครือ ทีมงานของ MRC จึงทำบทสรุปเสนอว่า ควรเลื่อนเวลาการสร้างเขื่อนไปอีก 10 ปี เพื่อให้เกิดการศึกษาอย่างรอบด้านเสียก่อน ขณะที่เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐบาลลาวได้ออกแถลงการณ์ละจุดยืนที่ชัดเจนในการเดินหน้าโครงการต่อโดยไม่ยอมขยายเวลาให้ไทย โดยให้เหตุผลว่า ได้จัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีการศึกษาความเป็นไปได้ทั้งด้านเทคนิค วิศวกรรม โดยยืนยันว่าไม่มีผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นการสร้างเขื่อนในพื้นที่ของลาวด้วย
     ในเวทีเสวนาโต๊ะกลมเรื่อง "การลงทุนของไทยในประเทศเพื่อนบ้านและความรับผิดชอบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม มองผ่านโครงการเขื่อนไซยะบุรีบนแม่น้ำโขง" ที่จัดขึ้นที่สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้สะท้อนภาพของการลงทุนของประเทศไทยในการสร้างเขื่อนไซยะบุรี จากนักวิชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี คณะทำงานองค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International rivers) และเครือข่ายโครงการฟื้นฟูนิเวศวิทยาภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ถึงประเด็นปัญหาการสร้างเขื่อนไซยะบุรีจากการลงทุนของไทยในประเทศเพื่อนบ้าน และปัญหาสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศแม่น้ำโขงที่อาจจะส่งผลกระทบข้ามพรมแดน
     โดยกรณีเขื่อนไซยะบุรีมีความน่าสนใจหลายมิติ แม้ว่าจะยังไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในวันนี้ แต่ก็เป็น 1 ใน 12 เขื่อนใหญ่ที่มีแผนการจะสร้างในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า หลังจากมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ ระหว่างบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) กับรัฐบาลลาว และได้ว่าจ้าง บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัดเป็นผู้ศึกษา สำรวจข้อมูลโครงการ และศึกษาความเหมาะสมของโครงการ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2550 และสิ้นสุดในเดือนเมษายน 2551
     หลังจากผ่านเรื่องของการศึกษาความเหมาะสมในการสร้างเขื่อนไซยะบุรีให้เป็นเขื่อนทดน้ำ เช่นเดียวกับเขื่อนปากมูลในประเทศไทย เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ด้วยขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 1,280 เมกะวัตต์ มูลค่าการก่อสร้างมากกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6 หมื่น 5 พันล้านบาทแล้ว ตามแผนจะก่อสร้างให้แล้วเสร็จในปี 2562 และเตรียมผลิตกระแสไฟฟ้าขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. ได้ประมาณ 7,370 กิกะวัตต์-ชั่วโมง/ปี
     คำถามที่ตามมาคือ ความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าของไทยมีมากมายขนาดนี้เลยหรือ ในประเด็นนี้ เปรมฤดี ดาวเรือง ผู้อำนวยการโครงการฟื้นฟูนิเวศวิทยาภูมิภาคลุ่มน้ำโขง บอกว่า ความต้องการด้านพลังงานไฟฟ้าของไทยเป็นการชี้ขาดว่า ลาวควรจะสร้างหรือไม่สร้างเขื่อนในลำน้ำโขงเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า เพราะเมื่อเปรียบเทียบจากการประมาณการของแต่ละประเทศในลุ่มน้ำโขงมีความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ที่น่าสังเกตร้อยละ 96 เป็นความต้องการจากไทยและเวียดนาม โดยไทยเป็นผู้ซื้อไฟรายใหญ่ที่สุดจากโครงการแม่น้ำโขงสายหลักตอนล่าง ซึ่งหากไทยและเวียดนามตัดสินใจไม่รับซื้อไฟฟ้า โครงการสร้างเขื่อนก็จะไม่ถูกผลักดันให้เกิดขึ้น ขณะที่อีก 5 ปีข้างหน้ายังจะมีเขื่อนไฟฟ้าขนาดใหญ่ในน้ำสาขาของแม่น้ำโขงอีก 41 โครงการ และในประเทศจีนอีก 8 โครงการ
     "มองว่าความต้องการส่วนใหญ่มาจากภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มากกว่าภาคประชาชน เพราะหากเปรียบเทียบการใช้ไฟของประชาชนชาวบ้านทั่วไปก็ใช้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วทำไมชาวบ้านต้องจ่ายเงินให้ภาคอุตสาหกรรม และต้องเสียทรัพยากรธรรมชาติไปกับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้รับประโยชน์ ดูแล้วไม่ยุติธรรมเลย" เปรมฤดีกล่าว
     แม้ปัจจัยด้านพลังงานจะกลายเป็นชนวนสำคัญทำให้เกิดโครงการเขื่อนไซยะบุรีโดยอาศัยช่องว่างของกฎหมายที่อ่อนแอของ สปป.ลาว ในการเดินหน้า ขณะที่การจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบด้านสังคมหรือ SIA โดย บริษัท ทีม คอนซัลแทนท์ ที่บริษัท ช.การช่างได้ว่าจ้างให้จัดทำขึ้น ก็เป็นเพียงแค่การสำรวจข้อมูลเบื้องต้น และสำรวจจำนวนผู้ที่ได้รับผลกระทบก็เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น แต่ไม่สามารถใช้ได้กับสภาพความเป็นจริง
     เรื่องนี้ อาจารย์สุรสม กฤษณะจูฑะ อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ในฐานะผู้ที่อ่านรายงานการประเมินผลกระทบด้านสังคม หรือ SIA ของโครงการเขื่อนไซยะบุรี กล่าวว่า จากรายงานฉบับนี้มีข้อที่น่าสังเกตหลายเรื่อง ทั้งเรื่องของข้อมูลการสำรวจของพื้นที่ไม่ตรงกับหลักการ และเหตุผลที่เป็นจริง และในบางบทของรายงานยังไม่สอดคล้องกัน โดยการประเมินผลกระทบทางสังคมมีการกำหนดมาตรการในการลดผลกระทบ มีทั้งแผนการดำเนินงาน งบประมาณเพื่อเสนอต่อรัฐบาลลาว รวมทั้งจัดให้มีกิจกรรมการปรึกษาหารือสาธารณะกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และนำข้อเสนอเหล่านี้มาใช้ในการลดผลกระทบทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม แต่รายงานฉบับนี้กลับไม่มีทั้งข้อเสนอหรือแผนการลดผลกระทบที่ชัดเจน หรือมีการนำข้อมูลจากเวทีที่หารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียบรรจุเข้าไว้ในรายงาน จึงไม่มีความสมบูรณ์ และไม่สามารถะนำมาใช้ได้จริง
     ขณะที่การรายงานการประเมินสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ หรือ SEA ของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง หรือ MRC ได้จัดทำขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2553 เพื่อเป็นฐานในการตัดสินใจการก่อสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายหลัก โดยได้มีการประเมินผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอันเกิดจากการผลิตไฟฟ้า มาเปรียบเทียบกับต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชนริมแม่น้ำ ตลอดจนเศรษฐกิจท้องถิ่นของชุมชน เนื่องจากเขื่อนที่สร้างขึ้นปิดกั้นลำน้ำ จะคุกคามนิเวศวิทยาของแม่น้ำโขงอย่างไม่สามารถเรียกคืนได้ และยังสร้างความเสี่ยงต่อวิถีชีวิตและความมั่นคงทางอาหารของประชาชนนับล้านคนที่ต้องพึ่งพาทรัพยากรแม่น้ำโขงด้วย คณะกรรมการ MRC จึงได้แนะนำให้ชะลอการตัดสินใจสร้างเขื่อนเหล่านี้ออกไปอีก 10 ปีจนกว่าจะมีการศึกษาอย่างรอบด้าน
     นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาและผลกระทบที่เกิดจากการสร้างเขื่อน ทั้งเขื่อนปากมูลที่ต้องแลกด้วยวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้าน และเขื่อนไซยะบุรีที่กำลังเดินหน้า อนาคตอาจจะต้องแลกกับการสูญเสียภาคเกษตรริมโขง ที่เป็นแหล่งผลิตพืชผลทางการเกษตร รวมถึงวิถีชีวิตคนลุ่มน้ำและปลานานาชนิดในแม่น้ำโขง โดยเฉพาะปลาบึกที่ใกล้สูญพันธุ์
     ทั้งหมดทั้งมวลนี้เพื่อแลกกับความมั่นคงทาง "พลังงานไฟฟ้า" แต่ทว่า "เขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ" คือคำตอบสุดท้ายหรือหนทางที่ดีที่สุดแล้วหรือ สำหรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สวนทางกับการรณรงค์ให้ประหยัดพลังงาน.!!

http://www.thaipost.net/sunday/130311/35638


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 14 มีนาคม 2011, 16:39:43
ชงรัฐพัฒนาถนนเชื่อม R3a-R3b ร่วมอีสต์-เวสต์ต่อภาพเส้นทางธุรกิจหนุน“แม่สอด”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   14 มีนาคม 2554 13:54 น.


   

นายเทอดเกียรติ ชินสรนันท์ นายกเทศมนตรีนครแม่สอด
       ตาก - เสนอรัฐพัฒนาเส้นทางเชื่อม R3a-R3b และEast-West Economic Corridor ต่อภาพถนนธุรกิจ การค้าชายแดน การลงทุน การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม รับแผนยกระดับ “ ทน.แม่สอด-เขตเศรษฐกิจชายแดน”
       
       นายเทอดเกียรติ ชินสรนันท์ นายกเทศมนตรีนครแม่สอด กล่าวว่า เทศบาลฯ ได้ทำหนังสือผ่านนายสามารถ ลอยฟ้า ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เพื่อนำเสนอรัฐบาลให้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนเชื่อมเส้นธุรกิจ เศรษฐกิจการค้าชายแดน การลงทุน การส่งเสริมภาคการเกษตร และอุตสาหกรรมเพื่อการเกษตร ระหว่างเส้นทาง R3a-R3b และEast-West Economic Corridor -EWEC โดยผลักดันให้เป็นเส้นทางสายเศรษฐกิจสำคัญในภูมิภาคและสร้าง “นครแม่สอด” เป็นเมืองเศรษฐกิจหมายเลข 1 ก่อนที่รัฐบาลจะผลักดันให้พื้นที่ชายแดนแม่สอดเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการยกฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ “นครแม่สอด”
       
       เขาเสนอว่า ควรจะมีการขุดเจาะอุโมงค์ระหว่างเส้นทางสายตาก-แม่สอด จากเดิมระยะทาง 86 กิโลเมตร(กม.)ให้เหลือเพียง 28- 30 กม. ซึ่งใช้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญได้ด้วย
       
       นอกจากนี้ยังจะเป็นเส้นทางลำเลียงสินค้าและลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางมากกว่าครึ่ง ถือว่าคุ้มค่าต่อการลงทุนอย่างยิ่ง เช่น ลดเวลาการเดินทางจากเดิมแม่สอด-ตาก 1 ชั่วโมง(ชม.)เหลือเพียงไม่เกิน 20 นาทีเท่านั้น
       
       เส้นทางดังกล่าว จะเชื่อมระหว่างไทย-จีน-ลาวและเวียดนาม จากเชียงรุ่ง(จีน)-บ่อเต็ง(ลาว)-เชียงแสน-เชียงของ(ไทย)และ บูรณาการเส้นทางเชื่อมกับเส้นทาง EWEC ตัดผ่านที่นครแม่สอด ไปยังสะหวันเขต(ลาว)และดานัง-เวียดนาม ด้วย
       
       นายเทอดเกียรติ กล่าวต่อว่า จากการที่ทีมผู้บริหาร สมาชิกสภานครแม่สอดและส่วนราชการของนครแม่สอดได้เดินโดยรถยนต์จากชายแดนแม่สอดไปยังเชียงรายและเข้าสู่ลาวไปจีนที่สิบสองปันนา พบว่าเป็นเส้นทางที่น่าจะมีการพัฒนาเชื่อมโยงกัน โดยการเดินทางจากชายแดนไทย-พม่า-ลาวเข้าสู่จีน ตามเส้นทางนี้ใช้เวลาประมาณ 15 ชม. หากมีการพัฒนาแล้วจะเหลือระยะเวลาไม่เกิน 7 ชม.เท่านั้น
       
       ขณะที่นายสามารถ ลอยฟ้า ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก กล่าวว่า จ.ตากสนับสนุนการที่ท้องถิ่นจะเสนอให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่น ก่อนที่จะมีการยกฐานะ “นครแม่สอด” เพราะเป็นนโยบายในการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจชายแดนของรัฐบาล ตนเห็นว่านอกจากการสนับสนุนเส้นทาง EWEC ควรพัฒนาเส้นทาง R3a-R3bควบคู่เป็นเส้นทางที่เชื่อมโยงกันด้วย
       
       ส่วนความคืบหน้าการก่อสร้างเส้นทาง EWEC ระหว่างตาก-แม่สอด ได้ขยายเป็น 4 ช่องทางจราจรแล้ว รวมทั้งการร่วมกับพม่าพัฒนาเส้นทางจากนครแม่สอด-เมียวดี ไปยังเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจในพม่า ซึ่งในปี 2554 เป็นต้นไปจะได้งบเข้ามาก่อสร้างอีกกว่า 1,000 ล้านบาท



หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 14 มีนาคม 2011, 19:31:55
ชาวสวนยางพะเยาเดินหน้าตั้งสหกรณ์/หนีพ่อค้าคนกลางกดราคา-ทุนใหญ่ ย่อยเข้าพื้นที่ตรึม

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   14 มีนาคม 2554 17:35 น.


       พะเยา - กลุ่มเกษตรกรสวนยางพะเยาดันตั้ง “สหกรณ์ชาวสวนยางพาราพะเยา” สร้างอำนาจต่อรองสกัดพ่อค้าคนกลางกดราคา หวังถึงขั้นกำหนดราคากลางเหมืองปักษ์ใต้ในอนาคต ขณะที่รัฐเดินหน้าหนุนปลูกยางต่อเนื่องทั้งที่เนินเขา-พื้นราบ ทำกลุ่มทุนทั้งรายใหญ่-รายย่อยแห่เข้าพื้นที่เพียบ
       
       นายประยูร ใจกว้าง ประธานกลุ่มตลาดประมูลยางพาราท้องถิ่นจังหวัดพะเยา กล่าวว่า หลังจากเกษตรกรชาวสวนยาง ได้รวมกลุ่มกันขายยางพารา ทำให้ยางพาราแผ่นดิบมีราคาสูงขึ้น เกษตรกรมีรายได้อย่างงดงาม จึงมีแผนเดินหน้าในการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน หรือสหกรณ์ชาวสวนยางพาราจังหวัดพะเยา ในอนาคตเพื่อสร้างความเข้มแข็งในระบบการตลาดให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางไม่ต้องประสบปัญหาการถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลางอีกต่อไป และหากสามารถรวมตัวและจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลได้แล้วโอกาสจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณหรือความช่วยเหลือใด ๆ จากรัฐบาลจะมีมากขึ้น
       
       “แต่สิ่งที่กลุ่มเกษตรกรห่วงคือหากจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว รัฐบาลจะรีดภาษีจากพวกเรา ตรงนี้คือความวิตกอย่างมาก เพราะทุกวันนี้ในการประมูลตลาดยางพาราท้องถิ่น ผู้ที่ประมูลเพื่อส่งออกจะต้องเสียภาษียางพาราแผ่นดิบให้กับรัฐบาลกิโลกรัมละ 5 บาท” นายประยูร กล่าว
       
       ด้านนายเจตพร สังข์ทอง เกษตรกรหมู่ 6 ต.แม่ลาว อ.เชียงคำ จ.พะเยา กล่าวว่า การตั้งสหกรณ์ชาวสวนยางฯพะเยา ถือว่าไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเกษตรกรที่จะรวมตัวกัน หากทางราชการเป็นพี่เลี้ยงในการจัดตั้งคาดว่า เมื่อกลุ่มเกษตรกรมีข้อมูล เอกสารหลักฐานพร้อม ภายใน 2 วันสามารถจดทะเบียนจัดตั้งเป็นสหกรณ์ฯ ได้ทันที ระยะแรกอาจจะต้องหารือกันในกลุ่มของผู้นำเกษตรกร เพื่อหาทางออกเรื่องทุนจดทะเบียน เมื่อมีแหล่งทุน การประชุมดำเนินการระหว่างขั้นตอนก่อนจดทะเบียนจนถึงความพร้อมทั้งหมดแล้ว นำเอกสารหลักฐาน ส่งชุดผู้นำซึ่งเป็นว่าที่คณะกรรมการสหกรณ์ ฯ เข้าดำเนินการจดทะเบียน
       
       ส่วนเรื่องภาษีจะเป็นมาตรการต่อไปที่จะต้องหารือและเสนอให้รัฐบาลพิจารณาปรับลดเพื่อไม่ให้เกษตรกรถูกเอาเปรียบอีกต่อไป
       
       “หลังจากที่สามารถจัดตั้งสหกรณ์ฯ ได้แล้ว การที่จะพัฒนาตลาดยางพาราจังหวัดพะเยา ให้เป็นตลาดกลางยางพาราในภาคเหนือ จนสามารถกำหนดราคากลางยางพาราได้เหมือนตลาดกลางทางภาคใต้ ไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถอีกต่อไป” นายเจตพร กล่าว
       
       ด้านนายนเรศ ฝีปากเพราะ นักวิชาการเกษตร สำนักงานเกษตรจังหวัดพะเยา กล่าวว่า เนื่องจากขณะนี้อาชีพการปลูกยางพารากลายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้หลักอีกทางหนึ่งให้แก่เกษตรกรชาวพะเยา โดยเฉลี่ยเกษตรกรจะมีรายได้จากการกรีดยางพาราไร่ละ 200-300 บาทต่อวัน ทั้งเจ้าของสวนและแรงงานรับจ้างต่างอยู่ได้ ซึ่งภาครัฐก็ได้มีการส่งเสริมเกษตรกรปลูกยางพาราอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ราบและที่เนินดอย โดยมีข้อแนะนำเกษตรกรให้เลือกหาพันธุ์ยางพาราปลูกให้เหมาะสมกับพื้นที่ด้วย
       
       อาทิ พื้นที่เนินดอย พันธุ์ที่จะใช้ปลูก เช่น RRM 600 ขณะที่พื้นที่ราบไม่มีน้ำท่วมขัง พันธุ์ที่เหมาะสมคือ 251 เมื่อหาพันธุ์ที่เหมาะสมแล้วก็ต้องดูแลบำรุงด้วยน้ำและปุ๋ยอินทรีย์ น้ำยางจะมีคุณภาพ
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์ราคายางพาราที่สูงขึ้นต่อเนื่องจนเป็นรายได้หลักของเกษตรกรชาวพะเยาและหลายจังหวัดทางภาคเหนือ ทำให้พื้นที่ดินทำกินในภาคเหนือกลายเป็นทำเลทองของนายทุนผู้ประกอบอาชีพยางพาราจากภาคใต้ ที่ขึ้นมาหาซื้อดินเพื่อปลูกยางพารา เพาะกล้ายาง รับซื้อแผ่นดิบ และจัดทำโรงงานธุรกิจยางพาราครบวงจร
       
       นอกจากนี้ ในพื้นที่ อ.เชียงคำ อ.จุน จ.พะเยา และ จ.เชียงราย ยังมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ เช่น บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี , บ.บุญรอด ฯ หรือ แม้แต่บริษัทไทยเบฟ ฯ รวมถึงบริษัทผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ ก็ได้มาซื้อที่และลงทุนประกอบกิจการเกี่ยวกับยางพาราทางภาคเหนือมากขึ้น เพราะพื้นที่จังหวัดพะเยาอนาคตมีแนวโน้มกลายเป็นแหล่งผลิตยางใหญ่แห่งหนึ่งในภาคเหนือและของประเทศด้วย

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000032666


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 15 มีนาคม 2011, 19:16:27
หอฯลำปาง เล็งใช้โอกาสจาก R3a ดึงนักลงทุนเข้าพื้นที่

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   15 มีนาคม 2554 12:43 น.


   

นายอนุวัตร ภูวเศษฐ ประธานหอการค้าจังหวัดลำปาง
       ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - หอฯลำปาง เล็งดึงโอกาสทางการค้า การลงทุน หลัง R3a เปิดใช้เต็มตัว-สถานข้ามโขงแห่งที่ 4 เสร็จ ดึงนักลงทุนเข้าพื้นที่ ชูศักยภาพศูนย์กลางขนส่งกระจายสินค้าภาคเหนือตอนบน
       
       นายอนุวัตร ภูวเศษฐ ประธานหอการค้าจังหวัดลำปาง เปิดเผยว่า ขณะนี้หอการค้าจังหวัดลำปาง กำลังจะเร่งจัดทำแนวทางพัฒนาพื้นที่ นำเสนอข้อมูลที่ชัดเจนเผยแพร่ให้กับนักลงทุนทั้งในท้องถิ่น-ส่วนกลาง เพื่อดึงดูให้เข้ามาลงทุนในพื้นที่เพิ่มขึ้น โดยจะหยิบยกเอาโอกาสที่จะเกิดขึ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจตามแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ โดยเฉพาะเส้นทางR3a ที่เชื่อมจีนตอนใต้ - สปป.ลาว - สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 อ.เชียงของ จ.เชียงราย ที่ต้องผ่านจังหวัดลำปางเข้ากรุงเทพฯ-แหลมฉบัง ซึ่งจะเป็นเส้นทางขนส่งสินค้า - คน ทางบกที่สำคัญสะดวกรวดเร็ว
       
       จังหวัดลำปางเองก็คาดหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะหรือจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน ชาวลาว หลั่งไหลผ่านเส้นนี้ เพื่อมาท่องเที่ยวในประเทศไทย หรือนักท่องเที่ยวจากต่างชาติ ที่จะเดินทางผ่านเส้นนี้เพื่อเข้าไปท่องเที่ยวประเทศจีน
       
       ขณะเดียวกันลำปางเองก็มีความโดดเด่น และมีความพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้า เพราะสามารถเชื่อมต่อหลายจังหวัดในภาคเหนือ และมีระบบขนส่งทั้งทางถนนและทางรถไฟ อีกทั้งที่ดินในจังหวัดลำปางราคายังไม่สูงมากนักหากเทียบกับหลายจังหวัดในภาคเหนือ ระบบสาธารณูปโภค ก็พร้อมทั้งน้ำ ไฟฟ้า สอดคล้องและเหมาะสำหรับการลงทุนเพื่อสร้างเป็นโกดังสินค้าเพื่อกระจายต่อไปในภูมิภาคอื่นๆได้เป็นอย่างดี


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 16 มีนาคม 2011, 21:14:16
จันทบุรีเตรียมลงนาม MOU ซื้อขายผลไม้ 54

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   16 มีนาคม 2554 18:04 น.


        จันทบุรี - จังหวัดจันทบุรีเตรียมจัดประชุมลงนามความตกลง (MOU) ซื้อขายผลไม้ปี 2554
       
       นายวรวิศว์ เมฆนพรัตน์ พาณิชย์จังหวัดจันทบุรี เปิดเผยว่า ด้วยจังหวัดจันทบุรี โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดจันทบุรี จะดำเนินการประชุมลงนามความตกลง (MOU) ซื้อขายผลไม้ จังหวัดจันทบุรี ในวันที่ 25 มีนาคม 2554 ที่ห้องจุลมณี 1 โรงแรมเคพีแกรนด์ จันทบุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ เตรียมการรองรับสถานการณ์ผลไม้ ปี 2554
       
       ทั้งนี้ มีเป้าหมายผู้เข้าประชุม ประกอบด้วย ผู้ประกอบการปลายทาง ได้แก่ ตลาดค้าส่ง ค้าปลีกผลไม้ จำนวน 11 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา สุรินทร์ อุบลราชธานี มุกดาหาร อุดรธานี ขอนแก่น ร้อยเอ็ด พิษณุโลก เชียงราย นครสวรรค์ และราชบุรี ผู้ประกอบการค้าส่งออก ผู้ประกอบการค้าชายแดน ผู้ประกอบการการค้าเครือข่ายของธนาคาร ธ.ก.ส.
       
       รวมถึงห้างสรรพสินค้า (Modern Trade) บริษัทผู้ผลิตผลไม้แปรรูปของจังหวัดต่างๆ และผู้ประกอบการค้าต้นทาง ได้แก่ สหกรณ์การเกษตร องค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการการค้าท้องถิ่นรายใหญ่ ผู้นำเกษตรกร/ผู้บริหารสถาบันการเกษตรกร และเจ้าของสวนผลไม้จังหวัดจันทบุรี
       
       จึงอยากขอเชิญชวนสหกรณ์การเกษตร องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการค้าท้องถิ่น ผู้นำเกษตรกร/ผู้บริหารสถาบันเกษตร และเจ้าของสวนผลไม้จังหวัดจันทบุรีมาร่วมประชุมในวันและเวลาดังกล่าว โดยติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดจันทบุรี เลขที่ 1162/2 ถ.ท่าแฉลบ ต.ตลาด อ.เมือง จ.จันทบุรี 22000 ในวันและเวลาราชการ หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 039-311 357

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000033870


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: mmm16 ที่ วันที่ 16 มีนาคม 2011, 21:16:21
 ;Dใ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 มีนาคม 2011, 20:01:34
อากาศวิปริตทำ“กุหลาบขาว”ชูช่อบนภูหินร่องกล้า-เชียงราย ยังยะเยือก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   18 มีนาคม 2554 12:02 น.


พิษณุโลก/เชียงราย - อากาศหนาวต่ำ 10 องศาต่อเนื่องบนยอดภูหินร่องกล้าทำ“กุหลาบขาว”เบ่งบานเต็มลานหินปุ่ม-ลานหินแตก ยั่วนักท่องเที่ยว หัวหน้าอุทยานฯภูหินร่องกล้าระบุ ฤดูร้อนนี้เปิดรับนักท่องเที่ยวยาว ไม่มีหยุด ล่าสุดฝนยังโปรยชุ่ม ขณะที่ไม้ดอกพันธุ์เมืองหนาวเหลืองอร่าม ณ ที่ทำการอุทยานฯ ขณะที่เชียงราย ยังยะเยือก
       
       นายไพรัช มณีงาม หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จ.พิษณุโลก กล่าวว่า ฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องหลายวันบนอุทยานฯภูหินร่องกล้า ทำให้อุณหภูมิลดมาอยู่ประมาณ 9 องศา ณ บริเวณที่ทำการอุทยานฯ แต่หากนักท่องเที่ยวจะเดินทางไปสัมผัสอากาศเย็นกว่านี้ เช่น บ้านใหม่ร่องกล้า สามารถชมวิถีชีวิตชาวม้ง ปลูกกะหล่ำ ก็มั่นใจว่า อุณหภูมิต่ำกว่าหน้าที่ทำการแน่นอน
       
       จากสภาพอากาศหนาวเย็นในช่วงฤดูร้อนนี้ ยังทำให้กุหลาบขาวที่เคยขึ้นปกติมีนาคม-พฤษภาคมของทุกปี บานสะพรั่งให้นักท่องเที่ยวเชยชม บริเวณลานหินปุ่ม-ลานหินแตก ทั้งนี้ “ดอกกุหลาบขาว”เป็นไม้พุ่ม ไม้ผลัดใบ สูง 1-3 เมตร ออกดอกเป็นช่อๆละ 3-5 ดอก สีขาวและขาวอมชมพูและมีสีเหลือง มีชื่อท้องถิ่นเรียกว่า “ดอกสามสี” ขึ้นตามภูเขาสูง 1,000-1,600 เมตรบริเวณโล่งแจ้ง บนพื้นดินหินทราย พบมากที่สุด คือ อช.ภูหินร่องกล้า และถือว่า มีจำนวนมากกว่าอุทยานแห่งชาติภูกระดึง, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง
       
       เขาย้ำว่า ช่วงนี้นักท่องเที่ยวสามารถชมพันธุ์ไม้ดอกเมืองหนาว ที่ปลูกไว้รองรองรับนักท่องเที่ยวบริเวณหน้าที่ทำการอุทยานฯ ส่วนปี 53 ที่ผ่านมา อำเภอนครไทย กับอุทยานฯภูหินร่องกล้าเคยจัดงานเทศกาลกุหลาบขาวบานบนลานร่องกล้า(2-3 เมษายน 2553) ที่เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวประจำฤดูร้อนของจังหวัดพิษณุโลก
       
       นายไพรัช ยืนยันว่า ปี 54 นี้ อำเภอนครไทยและอุทยานฯภูหินร่องกล้า “งด”การจัดงาน แต่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปชมกุหลาบขาวบานบนลานหินแตก, ลานหินปุ่มตลอดทั้งปี ไม่มีหยุด เพราะถือว่า ลานหินต่างๆ เป็นจุดขายของอุทยานฯ ประกอบกับอุณหภูมิลดต่ำกว่าปกติช่วงนี้ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจากต่างถิ่นแวะเวียนเพิ่มขึ้น
       
       อีกทั้งฝนที่โปรยชุ่ม อุทยานฯภูหินร่องกล้า ก็ยังมีจุดขายแห่งใหม่ คือ ดอก “ปาหนัน” พันธุ์ไม้หายาก ที่มักขึ้นป่าดิบภาคใต้ของไทย กลับแตกกิ่ง ออกดอก นับร้อยๆต้นหลังโรงเรียนการเมืองการทหาร ก็มั่นใจว่า มีแรงกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวขึ้นมาเที่ยว อ.นครไทย
       
       ขณะเดียวกันมีรายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า สภาพอากาศโดยทั่วไปของเชียงราย มีอุณหภูมิลดต่ำลงและมีฝนตกโปรยปรายตลอด โดยสถานีอุตุนิยมวิทยา จ.เชียงราย ได้วัดอุณหภูมิ ที่ ต.บ้านดู่ อ.เมือง ลดต่ำลง ขณะที่มีฝนตกลงมาตลอดทั้งวันทำให้ประชาชนทั่วไปพากันนำเสื้อกันหนาวที่เก็บไว้แล้ว ตั้งแต่ฤดูหนาวที่ผ่านมามานุ่งห่มกันโดยถ้วนหน้า ท่ามกลางความหนาวเหน็บและชื้นแฉะเพราะฝนตลอดทั้งวัน
       
       ทั้งนี้ ทางสถานีอุตุนิยมวิทยา จ.เชียงราย แจ้งว่าสภาพอากาศเช่นนี้จะมีขึ้นไปจนถึงวันนี้(18 มี.ค.54)เท่านั้น จากนั้นอากาศจะค่อยๆ อุ่นลงและกลับเข้าสู่ภาวะปกติหรือเป็นฤดูร้อนเหมือนเดิม จึงได้แจ้งเตือนให้ประชาชนระมัดระวังเรื่องสุขภาพ เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันจากหนาวสู่ร้อน
       
       อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนดังกล่าว ได้ทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นหลายครั้งโดยเฉพาะถนนสายหลักๆ ในเขต อ.เมือง
       
       นายสมพล สุปการ หัวหน้าสถานีอุตุนิยมวิทยา จ.เชียงราย กล่าวว่า ดูจากแผนที่พบว่าสภาพเช่นนี้เกิดขึ้นใน จ.เชียงราย พะเยา และเชียงใหม่ แต่ความกดอากาศสูงจากจีนจะลดต่ำลงตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค.เป็นต้นจึงคาดว่าวันนี้ (18 มี.ค.) อากาศจะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ จากนั้นก็ต้องไปดูตัวแปลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศในฤดูร้อนเหมือนเดิม เช่น พายุ ความกดอากาศ ฯลฯ เพื่อแจ้งให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 มีนาคม 2011, 20:03:51
ประเดิมสวยค้าชายแดนม.ค.โต 17%“ พาณิชย์”คาดแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน   18 มีนาคม 2554 11:02 น.


       ASTVผู้จัดการรายวัน- “พาณิชย์”เผยการค้าชายแดนไทยเดือนม.ค. โตต่อเนื่อง มูลค่ากว่า 7 หมื่นล้าน โต 17% คาดแนวโน้มยังดีทุกประเทศ ฝั่งมาเลเซีย ยางพาราช่วยเพิ่มยอด พม่าแม้ปิดด่านเมียวดี แต่ด่านอื่นยอดโตเกิน 100% ลาวคาดดีขึ้น หลังเปิดด่านและเชื่อมเส้นทางโลจิสติกส์ ส่วนกัมพูชา ดีขึ้นแน่ หลังความสัมพันธ์เข้าสู่ปกติ
       
           นางสาวผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การค้าชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในเดือนม.ค.2554 มีมูลค่ารวม 71,447 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เป็นการส่งออกมูลค่า 45,935 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% และนำเข้ามูลค่า 25,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% โดยไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้ามูลค่า 20,423 ล้านบาท โดยเป็นการค้าขายกับมาเลเซียสูงสุด รองลงมา คือ พม่า ลาว และกัมพูชาโดยปัจจัยที่ส่งผลให้การค้าชายแดนขยายตัวได้ดี มาจากความต้องการสินค้าไทยที่เพิ่มมากขึ้น จากการเปิดการค้าเสรีอาเซียน (อาฟตา) และเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้านขยายตัวในระดับสูง ทำให้มีความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น
       
           สำหรับแนวโน้มการค้าชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ในช่วงไตรมาสแรก คาดว่าการค้ากับมาเลเซีย จะยังขยายตัวได้ดีขึ้น เนื่องจากยางพารา ที่มีมูลค่าการส่งออกมากเป็นอันดับ 1 มีสัดส่วนการค้ากว่า 30% ยังมีแนวโน้มราคาสูงขึ้น ประกอบกับในช่วงเดือนมี.ค.-มิ.ย. เป็นช่วงฤดูกาลยางผลัดใบ ส่งผลให้ยางพาราไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ จึงมีการเร่งซื้อไว้ป้อนโรงงานในช่วงที่ขาดแคลน
       
           การค้ากับพม่า คาดว่าจะยังคงขยายตัวได้เพิ่มขึ้น เพราะแม้พม่าจะปิดด่านเมียวดี ตรงข้ามกับด่านแม่สอด จ.ตาก ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค.2553 แต่ขณะนี้สามารถส่งออกไปพม่าได้บริเวณท่าเรือข้ามแม่น้ำเมยทางช่องทางอนุมัติเฉพาะคราว และยังมีการส่งออกไปยังด่านอื่นๆ เพิ่มขึ้น เช่น แม่ฮ่องสอน เพิ่มขึ้น 183% กาญจนบุรี 117% ระนอง 116% เชียงราย 85% และประจวบคีรีขันธ์ 100%
       
           การค้ากับลาว คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากการที่ไทย-ลาว มีการเชื่อมโยงเส้นทางการค้าและการอำนวยความสะดวกในการปล่อยสินค้ารวดเร็วขึ้น แต่ต้องระวังคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนามที่ขณะนี้ได้เข้ามามีบทบาทในลาวมากขึ้น รวมทั้งประเทศผู้ลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่ได้เข้าไปลงทุนในเวียดนามจะผลิตสินค้าและส่งออกมาแข่งขันกับสินค้าไทยในลาวมากขึ้น ซึ่งไทยจำเป็นต้องพัฒนาสินค้าและพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่อเตรียมพร้อมในการแข่งขัน
       
           สำหรับการค้ากับกัมพูชา คาดว่าจะกลับมาขยายตัวได้ดีขึ้น หลังจากความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาเริ่มดีขึ้น ประกอบกับกรมฯ ได้มีการลงพื้นที่ทำความเข้าใจและเผยแพร่กฎระเบียบการค้า การลงทุนให้กับผู้ประกอบการตามแนวชายแดน ซึ่งได้รับความสนใจ และพร้อมที่จะทำการค้าและการลงทุนกับกัมพูชามากขึ้น
       
           ทั้งนี้ ในปี 2554 ไทยได้ตั้งเป้าหมายมูลค่าการค้าชายแดน มูลค่า 860,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5% โดยการค้ากับมาเลเซียมีมูลค่า 547,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% พม่า 148,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.8% ลาว 104,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% และกัมพูชา 59,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8%


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 มีนาคม 2011, 10:54:44
เที่ยวเชียงแสน ดินแดนประวัติศาสตร์
(http://www.thaipost.net/sites/default/files/images/tabloid/3.gif)


ท่องเที่ยว 20 มีนาคม 2554 - 00:00
    หากจะท่องเที่ยวแบบของดีมีครบนั้น ต้องบอกว่าประเทศไทยเราเป็นพื้นที่หนึ่งที่ไม่ด้อยไปกว่าคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นทะเล ภูเขา วัฒนธรรมที่หลากหลาย หรือดินแดนประวัติศาสตร์อย่างเชียงแสน
 นักท่องเที่ยวอาจคุ้นเคยกับสามเหลี่ยมทองคำ สถานที่ดังกล่าวคือ อำเภอเชียงแสน ที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีเขตติดกับประเทศพม่าและประเทศลาว เป็นเมืองที่เหมาะสำหรับคนสนใจเรื่องราวความเป็นมาของดินแดนแถบนี้ โดยเฉพาะคนที่ชอบเที่ยวดูวัดวาอาราม หรือสิ่งก่อสร้าง รักที่จะเรียนรู้สถาปัตยกรรม งานช่างต่างๆ และเสน่ห์ของเมืองนี้อยู่ตรงที่การผสมผสานระหว่างอดีตกับปัจจุบัน เพราะยังปรากฏร่องรอยโบราณวัตถุโบราณสถานหลายแห่ง
     จากหลักฐานโบราณคดีสันนิษฐานว่า การสร้างเมืองคงเริ่มขึ้นระหว่างพุทธศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา จากนั้นตัดมาที่ปี พ.ศ.2413 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเจ้าอินทวิชยานนท์ (พระเจ้านครเชียงใหม่) ได้ทรงส่งใบบอกข้อราชการไปยังกรุงเทพมหานครว่า มีชาวพม่า ไทลื้อ และไทเขิน จากเมืองเชียงตุงประมาณ 300 ครอบครัว ได้อพยพลงมาอยู่เมืองเชียงแสน และตั้งตนเป็นอิสระไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองของสยามและล้านนา
 จึงแต่งคนไปว่ากล่าวให้ถอยออกจากเมือง ถ้าอยากจะอยู่ ให้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเมืองเชียงรายและนครเชียงใหม่ แต่ก็ไม่ได้ผล ไม่มีใครยอมออกไป
     ในปี พ.ศ.2417 พระเจ้านครเชียงใหม่จึงทรงเกณฑ์กำลัง 4,500 คน จากเมืองต่างๆ ยกทัพจากนครเชียงใหม่มาเมืองเชียงราย และเมืองเชียงแสน ไล่ชนเหล่านั้นออกจากเมืองเชียงแสน จึงทำให้เชียงแสนกลายเป็นเมืองร้าง
      จนถึงปี พ.ศ.2423 ได้ทรงให้เจ้าอินต๊ะ ราชโอรสในพระเจ้าบุญมาเมือง พระเจ้าผู้ครองนครลำพูนมาเป็นเจ้าเมือง (ราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์) องค์แรก และให้พระเจ้าผู้ครองนครลำพูนทรงเกณฑ์ราษฎรจากหลายเมืองประมาณ 1,500 ครอบครัว ขึ้นมาตั้งรกราก "ปักซั้งตั้งถิ่น" อยู่ที่เมืองเชียงแสนจวบจนถึงปัจจุบัน
     ต่อมาในปี พ.ศ.2442 ทางราชการได้ย้ายศูนย์การปกครองเมืองไปอยู่ที่ตำบลกาสา เรียกชื่อว่า อำเภอเชียงแสน ส่วนบริเวณเมืองเชียงแสนเดิมถูกยุบลงเป็นกิ่งอำเภอเชียงแสนหลวง ขึ้นกับอำเภอเชียงแสน และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น กิ่งอำเภอเชียงแสน ในปี พ.ศ.2482 (โดยอำเภอเชียงแสน ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลกาสานั้นได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอแม่จันแทน) จนกระทั่งได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอเชียงแสน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2500 เป็นต้นมา
     สำหรับการเที่ยวชมเมืองเก่า ปัจจุบันร่องรอยของโบราณสถานในอำเภอเชียงแสนที่หลงเหลือให้เห็น มักเป็นซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างในพุทธศาสนา ได้แก่ พระเจดีย์ และพระวิหาร ซึ่งส่วนใหญ่มีรายชื่อปรากฏอยู่ในพงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน และมีวัดอยู่ทั้งสิ้น 140 วัด แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ วัดในเมือง 76 วัด และวัดนอกเมือง 65 วัด
     เริ่มต้นจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน ใกล้กับประตูป่าสัก ติดกันเป็นวัดเจดีย์หลวง ฝั่งตรงข้ามจะเป็นศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวเชียงแสน จากจุดนี้สามารถไปเที่ยวชมโบราณสถานต่างๆ ได้ในรัศมีไม่เกิน 1.5 กิโลเมตร
     ตามมาที่วัดพระธาตุจอมกิตติ ตั้งอยู่บนดอยจอมกิตติ นอกเมืองเชียงแสนไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 1.7 กิโลเมตร สิ่งสำคัญภายในวัด ได้แก่ เจดีย์จอมกิตติที่ตั้งบนฐานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเตี้ยๆ ถัดขึ้นไปเป็นฐานบัวคว่ำย่อมุมซ้อนกันสี่ชั้นรองรับเรือนธาตุย่อมุมเช่นกัน มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นประทับยืนทั้งสี่ด้าน ส่วนยอดทำเป็นกลีบมะเฟืองรองรับปล้องไฉนและปลียอด ส่วนเจดีย์จอมแจ้งและเจดีย์สวนสนุกนั้นอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
      วัดพระธาตุผาเงา ตั้งอยู่นอกเมืองทางทิศใต้ ห่างจากที่ว่าการอำเภอเชียงแสนไปตามเส้นทางเชียงของ-เชียงแสน ประมาณ 5 กิโลเมตร อยู่ตรงข้ามโรงเรียนบ้านสบคำ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม มีเนื้อที่ประมาณ  143 ไร่
     สิ่งสำคัญภายในวัด ได้แก่ พระธาตุผาเงา ซึ่งเป็นเจดีย์ทรงระฆังขนาดเล็กตั้งอยู่บนก้อนหินใหญ่ ซึ่งบูรณะขึ้นใหม่ แต่เดิมเป็นวัดร้าง ชาวบ้านสบคำต้องการย้ายวัดสบคำจากที่เดิมที่ถูกแม่น้ำโขงกัดเซาะพังทลาย จึงมาฟื้นฟูวัดร้างนี้ขึ้นเป็นวัดดังเดิม พ.ศ.2521 
     พระธาตุเจดีย์วัดผ้าขาวป้าน มีลักษณะที่รวบรวมเอาลักษณะต่างๆ ของพระธาตุเจดีย์ที่มีมาแต่เดิมเข้าไว้ในองค์เดียวกัน จึงเกิดเป็นลักษณะพระธาตุเจดีย์อีกแบบหนึ่งขึ้น กล่าวคือ ส่วนฐานท่อนล่างทำเป็นฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสสามชั้นลดหลั่นกันขึ้นไป ย่อมุมไม้ 20 ถัดมาเป็นแท่งสี่เหลี่ยมทึบแบบวัดพระบวชแต่ย่อมุมมากกว่า เป็นย่อมุมไม้ 20 ไป ต่อจากนั้นจึงเป็นส่วนกลางนี้ก็ย่อมุมไม้ 20 อีกเช่นกัน
     ส่วนบนเป็นเจดีย์ทรง 16 เหลี่ยม มีทองจังโกหุ้มตลอดองค์ประกอบขององค์พระธาตุเจดีย์นั้นเพิ่มความยุ่งยากมากขึ้นยิ่งกว่าพระธาตุเจดีย์จอมกิตติ พระธาตุเจดีย์วัดผ้าขาวป้านนี้ กรมศิลปากรได้ทำการบูรณะตามแบบสภาพรูปทรงเดิมทุกประการ และได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำหรับชาติแล้ว
     สำหรับนักท่องเที่ยวนั้น มาที่นี่อาจจะไม่สนุกเพลิดเพลินอย่างการเที่ยวทะเลหรือเดินป่า ดังนั้นจำเป็นจะต้องมีการเตรียมพร้อมก่อนที่จะมา เพราะมิเช่นนั้นอาจเกิดอาการนอยหรืออาการน่ารำคาญและเบื่อหน่ายตามศัพท์วัยรุ่นยุคนี้ขึ้นได้
 สิ่งจำเป็น ควรศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของสถานที่ที่จะไปท่องเที่ยวพร้อมประวัติความเป็นมา จะช่วยให้ท่องเที่ยวได้อย่างสนุกสนานและได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น เข้าใจถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นที่คุณไปเยือน
      มีจิตสำนึกต่อการรักษาสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยปฏิบัติตามกฎกติกาและข้อห้ามของสถานที่นั้นๆ และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและชุมชนในพื้นที่ เพื่อการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน หรือแนวคิดที่เรียกว่า "7 Greens ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. กำลังรณรงค์ผู้เกี่ยวข้องที่อยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านนักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ หรือชุมชนรอบสถานที่ท่องเที่ยวนั้น
     คำโบราณที่ว่า “ดูแต่ตา มืออย่าต้องของจะเสีย” นั้นใช้ได้ตลอดกาล เพราะการที่คนรุ่นเรายังมีของดีๆ ให้เรียนรู้อยู่ ก็เพราะการที่คนรุ่นก่อนหน้านี้รักษาไว้นั่นเอง และก็ถือเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องรักษาสืบทอดต่อไปให้คนรุ่นลูกหลานได้มาดูมาเห็นกันอีก นี่เป็นหลักการง่ายดายที่สุด สำหรับการท่องเที่ยวในลักษณะที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม อันจะสร้างความยั่งยืนให้กับสถานที่ท่องเที่ยวต่อไป
     นอกจากนี้ การเที่ยวโบราณสถานด้วยการให้ความเคารพต่อสถานที่ ขนบธรรมเนียมท้องถิ่นยังเป็นสิ่งสำคัญ การติดต่อผู้รู้ที่จะสามารถให้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่หรือหาข้อมูลจากเอกสารแนะนำสถานที่และการท่องเที่ยวโบราณสถาน ก็เป็นเรื่องที่ช่วยเติมความสนุกให้กับทริปนั้นขึ้นไปอีก   
      ส่วนข้อควรห้ามคือ ไม่ควรปีนป่ายโบราณสถานไปแอคชั่นถ่ายรูป ไม่จับ ลูบคลำอาคารโบราณสถาน ไม่ขีดเขียนลวดลายบนผนังโบราณสถาน ไม่นำชิ้นส่วนของโบราณกลับมาบ้าน   
 ง่ายแค่นี้ก็สามารถท่องเที่ยวเมืองเก่าได้อย่างยั่งยืนและมีความสุข
 เชียงแสนก็ยังคงจะเหลือเป็นเชียงแสน เพราะหากเราไม่ดูแลรักษา อาจต้องเปลี่ยนชื่อจากเชียงแสนเหลือแต่เชียงหมื่นก็เป็นได้ 
 
http://www.thaipost.net/tabloid/200311/35940


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 มีนาคม 2011, 10:57:47
ศิลปะสะท้อนชีวิตจริง ฟังเสียงสะท้อนก่อนสัมผัสของจริง (บนทางท่องเที่ยว)




 หนึ่งในโปรแกรมท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่มักจะขาดไม่ได้ คือการจัดให้นักท่องเที่ยวไปดูพิพิธภัณฑ์สถาน หรือ ศูนย์การแสดงศิลปของเมืองนั้นๆ ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวนี้ ดูเหมือนจะไม่เป็นที่รังเกียจของผู้ท่องเที่ยวเท่าไรนัก เนื่องจาก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่รู้ว่า งานศิลปะของศิลปินทุกชาติ ย่อมสะท้อนภาพจริงของวิถีชีวิต และจิตวิญญาณของชนชาตินั้นๆ การได้รับรู้ถึง จิตวิญญาณของชนชาติต่างๆที่เรากำลังจะไปเยี่ยมชม จึงเท่ากับเป็นการ เติมเต็มภาพรวมของชนชาตินั้นๆนั่นเอง

 การท่องเที่ยวในประเทศไทยของเราก็เช่นเดียวกัน กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติส่วนใหญ่ ที่เข้ามาเที่ยวในกรุงเทพมหานคร ก็มักจะไม่ขาดที่จะได้เยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ และเยี่ยมชม โบราณสถานที่สำคัญๆของคนไทย

 ปัจจุบัน งานทางด้าน ศิลปวัฒนธรรมของคนไทยรุ่นใหม่มีการพัฒนาขึ้นมาก ทั้งด้าน คุณภาพ และ แนวคิด จึงมีผลทำให้ งานศิลปะของคนไทยรุ่นใหม่ มีการแสดงออกถึง จิต และวิญญาณแห่งความเป็นไทยได้อย่างลุ่มลึก และ กว้างขว้างมากขึ้น จึงทำให้ งานศิลป ของคนไทยรุ่นใหม่จึงค่อนข้างจะน่าส่งเสริมและให้มีการเผยแพร่มากยิ่งขึ้น

 แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า การท่องเที่ยวของคนไทย และต่างประเทศที่มาเยือนประเทศไทย ยังไม่ค่อยมีการ เปิดกว้างให้กับนักท่องเที่ยวมากนัก ทั้งๆที่ ประเทศไทยในปัจจุบัน ได้เกิด แหล่งท่องเที่ยวทางศิลปะมากขึ้น ทั้งในส่วนกลาง และต่างจังหวัด

 จึงน่าที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ควรจะช่วยกันส่งเสริม และเผยแพร่แหล่งท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับงานทางด้านศิลปะให้เพิ่มมากขึ้น ด้วยการผนวกโปรแกรมการท่องเที่ยวไปยัง งานด้านศิลปะให้มากขึ้น

 มีแหล่งท่องเที่ยวในเชิงศิลปะที่เปิดขึ้นเพื่อรองรับงานศิลปะเพื่อการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นในหลายจังหวัดของไทย อาทิ หอศิลป์ริมน่าน, วัดร่องขุ่น, และ 9 Art Gallery / Architect Studio เป็นต้น สถานที่เหล่านี้ มีผลงานทางศิลปะที่พร้อมจะเปิดเผยให้ นักท่องเที่ยวได้มองเห็น จิต และวิญญาณของความเป็นไทยที่หลากหลายกันออกไป




 ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ซึ่งจะขอยกเอามาให้ได้รับรู้กัน คือ นิทรรศการศิลปกรรม "คงอยู่...เคียงคู่...คุ้นเคย"โดย จันทร์เพ็ญ พงศ์นิวัตร นิธิ ใหญ่ลา ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 มีนาคม - 7 เมษายน 2011 เวลา 10.00 น.-20.00 น. (เว้นวันจันทร์) ณ 9 Art Gallery / Architect Studio 786/11 หมู่ 3 ถ.พหลโยธิน ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย 57000 โทร. 0-53719110 Email:artgallery9@hotmail.com , artgallerynine@gmail.com www.9artgallery.com (http://www.9artgallery.com)

 ใครที่มีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมชมผลงานของ สองจิตกร ดังกล่าว คุณ จันทร์เพ็ญ พงศ์นิวัตร เปิดเผยถึง แนวคิด (Concept) ของ นิทรรศการ" คงอยู่ เคียงคู่ คุ้นเคย " ว่า จะบอกเล่าถึง สิ่งต่างๆ ที่รายล้อมอยู่รอบๆตัวเรา ที่ เรารับรู้และเห็นมาตั้งแต่จำความได้ จนรู้สึกคุ้นเคยและชินตา สิ่งเหล่านั้นอยู่มา หมุนเวียน ยาวนาน และจะคงอยู่ต่อไปอีกยาวนานเกินที่เราจะคาดเดาและถือว่าเป็นความโชคดีของฉันที่ได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในช่วงเวลานั้น ได้รับรู้ ได้มองเห็น และได้ถ่ายทอดเป็นภาพสีน้ำผ่านปลายพู่กันมาเป็นชิ้นงานที่เรียบง่าย ...

 หลายๆภาพที่ถูกนำมาแสดง เป็นภาพในใจ ของศิลปิน จนทำให้เกิดเป็น แรงบันดาลใจ เมื่อครั้งที่ฉันนั้นยังคงเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ยายของฉันมักจะพาไปทำบุญที่วัดด้วยทุกครั้งเมื่อมีโอกาส จำได้ว่าบ่อยมาก หลังจากที่ยายใส่บาตรเสร็จแล้วท่านมักจะเหลือข้าวเอาไว้นิดหน่อยเพื่อนำมากำจนเป็นก้อนให้ฉันกินเสมอ วันเวลาผ่านไปจนถึงวันนี้ วันที่ฉันโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว วันที่ไม่มียาย ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นยังคงอยู่แบบเลือนลาง ... เมื่อฉันได้มาอยู่ที่เชียงราย วัดแห่งหนึ่งทำให้ฉันได้เห็นภาพเหล่านั้นได้ชัดเจนอีกครั้ง ทุกอย่างเหมือนเดิม กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยมาตามลมคือลั่นทมนั่นเอง ดอกสีเหลืองสดใสที่มักจะมาพร้อมกับการสาดน้ำ ดอกคูณ และดอกไม้อีกหลากหลายสีสันที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาอวดโฉม เบ่งบานตามกาลเวลา คนที่ใส่ชุดสีเหลืองยังคงแต่งกายเหมือนเดิม ไม่มีผม และคิ้ว นั้นคือผู้ที่สืบทอดศาสนา มีผู้คนมาคอยใส่บาตรและฉันเห็นหญิงที่มีผมสีขาวกำลังตักข้าวใส่บาตรพระโดยมีเด็กหญิงตัวเล็กๆเกาะชายเสื้ออยู่ข้างๆ ฉันสัมผัสได้ถึงข้าวอุ่นๆ หอมๆ ที่อยู่ในมือของหญิงชราคนนั้น

 หากนักท่องเที่ยว มีโอกาสที่จะได้รับรู้ถึง เรื่องราว แนวคิด และแรงบันดาลใจที่เหล่าศิลปิน สะท้อนภาพของวิถีชีวิตของคนในท้องวถิ่นออกมาให้ได้รับรู้กันอย่างเป็นรูปธรรมแบบนี้ จะทำให้การท่องเที่ยว มีชีวิตชีวา และ เพิ่มจิตวิญญาณแห่งการท่องเที่ยวให้บรรเจิดจ้ามากยิ่งขึ้น

 การเดินทางท่องเที่ยวทางด้านศิลปะจึงน่าจะเป็น ปัจจัยสำคัญอีกอย่างของการท่องเที่ยวในยุคนี้ ที่นักท่องเที่ยวต้องการรับอรรถรสทั้ง คุณภาพ และ จิตวิญญาณไปพร้อมๆกัน

http://www.naewna.com/news.asp?ID=253995


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 มีนาคม 2011, 13:30:24
วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4298  ประชาชาติธุรกิจ


สภาอุตฯจี้รัฐ"รถไฟรางคู่-ถนน4เลน"เชื่อมขนส่งทั่วปท.



ส.อ.ท.จัดประชุมระดมสมองทำยุทธศาสตร์พัฒนาอุตสาหกรรม 5 ภาคเสนอรัฐ เน้นสร้างรถไฟรางคู่-รางเดี่ยว/ถนน 4 เลน เชื่อมการขนส่งทั่วประเทศ พร้อมสนับสนุนท่าเรือปากบารา ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 ศูนย์กระจายสินค้าทุ่งสง เร่งรัดตั้งเศรษฐกิจแม่สอด



ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า ในวันที่ 19 มีนาคม 2554 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้จัดประชุมทำยุทธศาสตร์สภาอุตสาหกรรมจังหวัดและกลุ่มจังหวัด 5 ภาค ครั้งที่ 1/2554 ที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ร่วมปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมระหว่างภาครัฐและเอกชน" พร้อมกับพิจารณาสรุปข้อเสนอเพื่อขอความช่วยเหลือจากรัฐ

ทั้งนี้ กลุ่มจังหวัด 5 ภาค ส.อ.ท. ประกอบด้วยภาคเหนือ 16 จังหวัด (ขาดจังหวัดแม่ฮ่องสอน), ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19 จังหวัด, ภาคกลาง 16 จังหวัด, ภาคตะวันออก 9 จังหวัด และภาคใต้ 14 จังหวัด ได้เสนอโครงการในแต่ละภูมิภาค เพื่อขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลใน 3 โครงการหลัก ได้แก่

1) โครงการรถไฟรางคู่/รางเดี่ยว ประกอบไปด้วยสายเหนือ เส้นทางสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงแสน-เชียงของ สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-นครราชสีมา, ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น, ช่วงแก่งคอย-บัวใหญ่ สายใต้ ช่วงนครปฐม-หัวหิน, ช่วงหาดใหญ่- ปากบารา และโครงการรถไฟระบบรางคู่ เชื่อมโยงกับการขนส่งทางรางขนานกับรถไฟรางเดี่ยว ตั้งแต่สถานีรถไฟชุมพร-สุราษฎร์ธานี-ชุมทางรถไฟทุ่งสง-พัทลุง-ชุมทางรถไฟหาดใหญ่-สถานีรถไฟปัตตานี-สถานีรถไฟสุไหง-โกลก

ส่วนโครงการรถไฟรางเดี่ยว ประกอบไปด้วยเส้นทางรถไฟระบบรางเดี่ยว จากชุมพร-ระนอง เชื่อมต่อการ ขนส่งไปยังท่าเรือระนอง, เส้นทางสุราษฎร์ธานี-พังงา, สุราษฎร์ธานี-ดอนสัก-ขนอม, หาดใหญ่-สงขลา เชื่อมต่อการขนส่งไปยังท่าเรือน้ำลึกสงขลา และสายระยอง-จันทบุรี-ตราด

2) โครงการสร้างถนน แบ่งเป็น 2 โครงการ คือถนน 4 เลน ใน 3 เส้นทาง คือเส้นทางขนถ่ายสินค้าจากหาดใหญ่-สตูล-กระบี่-พังงา-ระนอง, เส้นทางจากเลียบชายฝั่งชุมพร-สุราษฎร์ธานี-นครศรีธรรมราช และเส้นทางชุมพร-ระนอง บรรจบกับเส้นทางจากระนอง-พังงา-กระบี่-ตรัง-สตูล-หาดใหญ่

การสร้างถนนเชื่อมภูมิภาค ระหว่างภาคเหนือ-ตะวันตก-ใต้ โดยเริ่มจากเชียงราย-เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน-ตาก-กำแพงเพชร-นครสวรรค์-อุทัยธานี-สุพรรณบุรี-กาญจนบุรี-ราชบุรี-เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร กับถนนภาคเหนือลงสู่ภาคใต้ โดยไม่ผ่านกรุงเทพ มหานครและปริมณฑล แต่เป็นเส้นทางที่วิ่งเลียบชายแดน

และ 3) เรื่องอื่นๆ ประกอบไปด้วยโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 บริเวณบ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย, โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย, โครงการสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา, โครงการศูนย์ซ่อม/สร้างตู้คอนเทนเนอร์ท่าเรือปากบารา, การ ขอสนับสนุนและส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าในภาคใต้ที่ชุมทางรถไฟทุ่งสง ในกรณีที่มีการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกทวาย, การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจแม่สอดโดยเร็ว, การขอสนับสนุนและผลักดันให้มีการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-พม่าแห่งที่ 2 ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อบรรเทาปัญหาสะพานมิตรภาพไทย-พม่าชำรุด ไม่สามารถรองรับปริมาณขนส่งสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นได้ ประกอบกับการขนส่งต้องใช้รถบรรทุกขนาด 25 ตัน ทำให้ต้องขนถ่ายสินค้าลงรถบรรทุกเล็กและขนข้ามสะพานและบริเวณด่านพรมแดนไม่สามารถรองรับปริมาณการส่งออกและรถบรรทุกที่เพิ่มจำนวนขึ้นได้ รวมทั้งจุด One Stop Service ไม่อยู่ในจุดที่สามารถให้บริการกับรถบรรทุกได้สะดวก

หน้า 1


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 มีนาคม 2011, 13:36:21
เชียงราย - งานชาบนดอยแม่สลอง เชียงรายคึกคัก หลังจัดยาวตั้งแต่ 18 มีนาฯ ถึงวันนี้ (21 มี.ค.) พาณิชย์หวังบูมท่องเที่ยวก่อนเข้าเทศกาลสงกรานต์ คาดสะพัดมหาศาล
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า หลังจากนางพิมพวรรณ ชาญศิลป์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดงาน “ย่านการค้าชาดอยแม่สลอง” ณ สนามโรงเรียนสันติคีรี ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย โดยมีนายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำคณะข้าราชการที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนซึ่งประกอบการปลูกชาและเกษตรกรที่ปลูกชาบนดอยแม่สลอง เข้าร่วมในงานดังกล่าวครบครัน โดยวันนี้ (21 มี.ค.) จะเป็นวันสุดท้ายของงานดังกล่าว
       
       ภายในงานมีการจัดการแสดงของชนเผ่าต่างๆ บนเวทีซึ่งมีความตระการตา สร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเยือนดอยแม่สลองอย่างมาก ขณะที่บริเวณงานมีการจัดแสดงนิทรรศการประวัติการปลูกชาดอยแม่สอง ผลิตภัณฑ์ชาชนิดต่างๆ การเชิญชวนจิบชา อาหารจากชา ฯลฯ รวมทั้งมีร้านค้าต่างๆ จากหลายจังหวัดทั่วประเทศนำสินค้าไปจัดแสดงจำนวนประมาณ 70 ร้าน ขณะที่บนดอยแม่สลองมีการพัฒนาด้านการพาณิชย์ต่างๆ มากมาย ซึ่งแตกต่างจากในอดีต เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ฯลฯ โดยพยายามอิงกับธรรมชาติและวิถีชีวิต
       
       สำหรับกิจกรรมดังกล่าวนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้จัดขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วงก่อนถึงเทศกาลสงกรานต์ โดยเลือกพื้นที่ที่มีความพร้อม ซึ่งก็คือดอยแม่สลองในการนำร่องโครงการดังกล่าว ภายใต้งบประมาณ 20 ล้านบาท และตั้งเป้าจะมีผู้เดินทางไปชมงานประมาณ 50,000 คน
       
       อย่างไรก็ตาม ช่วงต้นการจัดงานพบว่ามีฝนตกและสภาพอากาศหนาวเย็นอย่างมากทำให้บรรยากาศไม่คึกคักมากนัก แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงอากาศดังกล่าวและเข้าสู่วันหยุดเสาร์และอาทิตย์ทำให้ภารในงานมีความคึกคักมากขึ้นตามเป้า
       
       รางานข่าวแจ้งด้วยว่า ไร่ชาบนดอยแม่สลองมีจำนวนทั้งหมดประมาณ 60,000 ไร่ แบ่งเป็นชาอู่หลงประมาณ 18,000 ไร่และชาพื้นเมืองหรือชาอัสสัมประมาณ 32,000 ไร่ เกษตรกรมีต้นทุนในการปลูกไร่ละประมาณ 30,000-40,000 บาท และเมื่อปลูกเสร็จก็มีค่าดูแลไร่ละ 3,000 บาทต่อเดือน
       
      อย่างไรก็ตาม เนื่องจากใบชามีราคาแพงโดยชาอูหลงเบอร์ 12 กิโลกรัมละ 40-100 บาท และหากเป็นชาอินทรีย์จะมีราคาที่สูงกว่าชาปกติทั่วไปกว่า 10 เท่าตัว โดยชาอินทรีย์อู่หลงเบอร์ 12 มีราคาสูงถึงกว่า 2,000 บาทต่อกิโลกรัม และเบอร์ 17 กิโลกรัมละ 1,000-3,600 บาท เป็นต้น

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000035788


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: crlove ที่ วันที่ 22 มีนาคม 2011, 13:25:23
สร้างทางลอด ตรงแยกศรีทรายมูล ให้ด้วยน่ะครับ รถติดมากเลย และก็ทางยกระดับหน้าสนามบินด้วย รถติดอ่ะมาก ๆ ๆ ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 มีนาคม 2011, 21:55:12
เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

ผู้ใหญ่ ในบ้านเมือง มาอ่าน ช่วยพิจารณาด้วยนะครับ..


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 มีนาคม 2011, 11:20:56
ไทย-จีนร่วมทุนยางพารา ดันพะเยา-เชียงรายเป็นฐาน ศูนย์กลางการผลิตครบวงจร


 พะเยา:ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มนักธุรกิจจากประเภทอุตสาหกรรมยางพาราในนามบริษัท ฮกเกี้ยน และบริษัทเทียนจีน ประเทศจีน ภายใต้การนำของนางหวัง ลี่ ฮวย ได้เดินทางมาสำรวจวัตถุดิบยางพาราในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน คือ จ.พะเยา และเชียงราย พร้อมทั้งตกลงร่วมทุนกับกลุ่มนักธุรกิจยางพาราครบวงจรในภาคเหนือ ภายใต้โครงการอุตสาหกรรมยางพาราครบวงจร

 นายรุ่งโรจน์ เหมันต์สุทธิกุล ที่ปรึกษาและหุ้นส่วนโครงการฯ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นการร่วมทุนระหว่างกลุ่มนักธุรกิจยางพาราจากประเทศจีน และนักธุรกิจยางพาราของไทย มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งมีฐานการผลิตที่ภาคเหนือตอนบน โดยใช้พื้นที่ จ.พะเยา และเชียงราย เป็นศูนย์กลางการผลิตและแปรรูปยางพาราครบวงจร ทั้งยางแผ่นดิบแผ่นดิบรมควัน น้ำยาง ยางแท่ง และน้ำยางข้น ซึ่งจะมีวัตถุดิบยางพาราจากจังหวัดข้างเคียงเข้ามา เช่น แพร่ น่าน และลำปาง จากนั้นอาจจะมีการขยายและต่อยอดไปภาคยังจังหวัดอื่นๆ ต่อไป

 สำหรับแผนงานธุรกิจของโครงการแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การผลิตยางแผ่นดิบรมควัน ระยะที่ 2 การผลิตยางแท่ง และ ระยะที่ 3 การผลิตน้ำยางข้น โดยหลังจากเปิดตัวโครงการในเดือน เม.ย. 2554 คาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดในพื้นที่ จ.พะเยา และเชียงราย ไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้กลุ่มทุนเอกชนทั้งสองกลุ่มได้ลงนามทำข้อตกลงร่วมกันเรียบร้อยแล้วพร้อมเดินหน้าอย่างเต็มที่

 โดยเหตุผลที่นักลงทุนของไทยและจีนให้ความสนใจมาลงทุนอุตสาหกรรมยางพาราครบวงจรที่ภาคเหนือตอนบน เนื่องจากสำรวจพบว่า เป็นแหล่งการผลิตยางพาราที่มีคุณภาพและพื้นที่ปลูกขยายมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และภาครัฐมีนโยบายให้การสนับสนุนทุกปี ประกอบกับภาครัฐได้จัดทำระบบขนส่งวัตถุดิบเพื่อรองรับการส่งออกไปสู่ประเทศจีนที่เห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้จะสร้างความมั่นคงด้านเศรษฐกิจให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางพาราของภาคเหนือและภาคอื่นๆ ได้ในอนาคต

http://www.naewna.com/news.asp?ID=254327 (http://www.naewna.com/news.asp?ID=254327)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: p1138 ที่ วันที่ 23 มีนาคม 2011, 18:14:45
จ.เชียงรายเป็นจังหวัดที่อยู่เหนือสุดและมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจครับ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 24 มีนาคม 2011, 12:25:05
ต่างชาติ-ไทยผวารังสี-สึนามิ - สงคราม!!! “ไทย” เสียบ ดูดเงินนักท่องเที่ยว

โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์   24 มีนาคม 2554
      
 
      
       ทัวร์-โรงแรม ระบุ
       เชียงใหม่-พัทยา ยอดกระฉูด
      
       ด้านความเคลื่อนไหวของเอกชน ล่าสุด ประสิทธิ สิงห์ดำรง นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร เปิดเผยว่า สงกรานต์นี้ได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น ซึ่งปรกติมีสัดส่วนราว 10% จะไม่เดินทางมาในช่วงนี้ ทำให้อัตราเข้าพักเฉลี่ยจะลดลง 5-10% เหลือประมาณ 80% คาดว่าปัจจัยหลักนอกจากญี่ปุ่นที่งดเดินทางแล้ว ยังเป็นเพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติตลาดหลักอย่างยุโรปนิยมเดินทางไปต่างจังหวัด อาทิ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต กระบี่ สมุย มากกว่า

      
       การจัดงานสงกรานต์ถนนข้าวสารปีนี้ 4 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 12-15 เมษายน ทั้งนี้ หลังจากผ่านเหตุการณ์ความไม่สงบบนถนนราชดำเนินเมื่อปีที่แล้ว ผู้ประกอบการต่างๆ เริ่มฟื้นฟูธุรกิจระหว่างปีที่ผ่านมา ทำให้ย่านข้าวสารมีห้องพักใหม่เพิ่มไม่ต่ำกว่า 20%
      
       ส่วน สราวุฒิ แซ่เตี๋ยว นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ให้สัมภาษณ์ว่า คาดว่าสงกรานต์ปีนี้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มราว 10% ตลาดที่เพิ่มขึ้นคือ คนไทยและเอเชียจากจีนและเกาหลี ขณะที่ตลาดต่างชาติที่ยังได้รับผลกระทบคืออเมริกา ที่ปรกติมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากภาวะเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับตลาดอันดับ 2 อย่างญี่ปุ่น ที่ปรกติเดินทางเข้ามาเชียงใหม่ราว 1 แสนคนต่อปี จะชะลอการเดินทางช่วงสงกรานต์นี้แน่นอน
      
       ประกิจ ชินอมรพงษ์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) เปิดเผยว่า ในช่วงสงกรานต์นี้จุดหมายที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ ภูเก็ต มีแนวโน้มอัตราเข้าพัก 80-85% ขึ้นไป เนื่องจากได้ชาร์เตอร์ไฟลต์นำนักท่องเที่ยวจากจีน ส่วนเชียงใหม่ยังมีลูกค้าคนไทยเป็นหลัก อัตราเข้าพักราว 70-75% แต่ในภาพรวมทั้งประเทศคาดว่าทุกพื้นที่ทั้งเชียงใหม่ พัทยา จะมีอัตราเข้าพักดีขึ้น 15-20% เทียบกับเมษายนปีที่แล้วซึ่งเกิดเหตุไม่สงบในกรุงเทพฯ
      
       สำหรับอัตราเข้าพักเฉลี่ยเดือนมีนาคม เฉลี่ยทั้งประเทศ 65-70% ส่วนโรงแรมในกรุงเทพฯ อัตราเข้าพักราว 75-80% ซึ่งลดลงกว่าเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ช่วงปลายไฮซีซัน แต่เดือนเมษายน-พฤษภาคม มีโอกาสกระตุ้นคนไทยเที่ยวในประเทศเพิ่ม หลังจากที่ส่วนหนึ่งไม่สามารถเดินทางไปญี่ปุ่นได้ และเลือกไปจุดหมายอื่น เช่น จีน เกาหลี แทน
      
       เปิด 10 แหล่งท่องเที่ยวแปลกใหม่เอเชีย
      
       จากสถานการณ์ผวากัมมันตภาพรังสีและสึนามิที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ส่งผลให้บรรดาขาเที่ยวทั้งหลายต้องแสวงหาพื้นที่ใหม่เพื่อจะได้ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ทาง “อโกด้า” บริษัทผู้ให้บริการเว็บไซต์สำรองห้องพักในโรงแรมแบบออนไลน์ยอดนิยม ได้ทำการคัดเลือกแหล่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดแปลกใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในเอเชียประจำปี 2554 มา 10 แห่ง ครอบคลุมลักษณะภูมิประเทศ บรรยากาศ วัฒนธรรมที่หลากหลาย และประสบการณ์ท่องเที่ยวครบทุกรสชาติ ไม่ว่าจะเป็น สนุกสนาน โรแมนติก ผจญภัย ผ่อนคลาย เงียบสงบ ให้ความรู้เชิงประวัติศาสตร์ และอื่นๆ อีกมากมาย
      
       จุดหมายปลายทางบางแห่งเป็นเมืองที่คึกคัก บางแห่งเป็นเกาะซึ่งอยู่ห่างไกล แต่ทุกแห่งล้วนมีเอกลักษณ์และวัฒนธรรมเฉพาะตัวที่ทำให้นักท่องเที่ยวอยากกลับมาเยือนอีกครั้ง
        
      
       สำหรับ 10 สถานที่ท่องเที่ยวแปลกใหม่แห่งปี 2554 ประกอบด้วย
       1.เกาะฟู้ก๊วก ประเทศเวียดนาม เกาะฟู้ก๊วกเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม มีภูมิประเทศเป็นเทือกเขาอยู่ท่ามกลางป่าเขตร้อน ในเดือนกรกฎาคม 2553 อุทยานแห่งชาติฟู้ก๊วกได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในเขตสงวนชีวมณฑลโลกขององค์การยูเนสโก เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของพรรณไม้และระบบนิเวศทางทะเลอันหลากหลาย
      
       2.ทาคายามา ประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของโตเกียว ในบริเวณเทือกเขาของจังหวัดกิฟุ สถานที่แห่งนี้มักเรียกกันในชื่อฮิดะทาคายามา เป็นเมืองประวัติศาสตร์ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่สูงของเทือกเขา มีอากาศสดชื่นและท้องฟ้าแจ่มใส
      
       3.สุรากาตาร์ (โซโล) ประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ในเกาะชวาตอนกลาง 60 กิโลเมตรจากยอร์กยากาตาร์ เป็นที่รู้จักมากกว่าในชื่อโซโล (Solo) เป็นที่อยู่อาศัยของประชากร 800,000 คน ที่แม้จะไม่ถึงขนาดเป็นขุมทรัพย์แห่งการท่องเที่ยว แต่โซโล ก็เป็นเมืองที่มีความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม นักท่องเที่ยวมีโอกาสมากมายในการได้ศึกษาประวัติศาสตร์และประเพณีของชวาอย่างละเอียด ศิลปะการทำผ้าบาติกหยั่งรากลึกในวัฒนธรรมโซโล จนถึงกับมีการจัดเทศกาลผ้าบาติก (Solo Batik Carnival) ขณะที่นอกเมืองก็มี Prambanan สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของฮินดูที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยยูเนสโก
      
       4.เกาะหลีเป๊ะ ประเทศไทย เกาะหลีเป๊ะเป็นเกาะเล็กๆ แห่งทะเลอันดามัน ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา จ.สตูล 5.บาเกียว ประเทศฟิลิปปินส์ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของมะนิลา เมืองหลวงของฟิลิปปินส์ ระยะทาง 730 กิโลเมตร เป็นเมืองแห่งป่าสนภูเขาที่มีอากาศเย็นสบาย มหาวิทยาลัย เหมืองแร่ นาขั้นบันได และถนนที่คดเคี้ยวตัดผ่านทิวเขา
      
       6.นูวารา เอลิยา ประเทศศรีลังกา อยู่บริเวณตอนกลางของศรีลังกา สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,900 เมตร ถือเป็นเมืองบนเขาสไตล์โคโลเนียลในอดีต ตั้งอยู่ใจกลางศรีลังกา ประเทศแห่งชา ห่างจากเมืองแคนดี 40 กิโลเมตร และจากเมืองหลวงโคลัมโบ 180 กิโลเมตร ทางรถยนต์
      
       7.เชจู ประเทศเกาหลีใต้ เกาะเชจูอยู่ในคาบสมุทรเกาหลี ตอนใต้ของประเทศเกาหลีและทางฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น เป็นเกาะภูเขาไฟที่มีภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อน ป่าดิบ ถ้ำลาวา น้ำตก ทะเลสาบปล่องภูเขาไฟแห่งเดียวของประเทศ และภูเขาฮัลลา (Halla) ที่สูงที่สุดในเกาหลี
      
       8.จันทบุรี ประเทศไทย ตั้งอยู่ริมอ่าวไทย มีพรมแดนติดกับกัมพูชา และติดกับจังหวัดระยองและตราด เป็นจังหวัดที่มีความหลากหลายทางภูมิประเทศและมีสินแร่ที่อุดมสมบูรณ์ พร้อมด้วยสวนผลไม้ น้ำตก ภูเขาและถ้ำหินปูน ป่าดิบชื้น และชายหาดเป็นแนวยาว นอกเหนือจากสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติแล้ว ยังมีตลาดและร้านจำหน่ายอัญมณี วัด เจดีย์ และสถานที่ทางประวัติศาสตร์และทางศาสนาอีกหลายแห่งเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว
      
       9.กวนตัน ประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรมาเลเซีย ประมาณ 200 กิโลเมตร ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกัวลาลัมเปอร์ ชายหาดของกวนตัน มัสยิดประจำเมืองกวนตัน มาเลเซียเป็นสถานที่พักผ่อนที่วิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวในประเทศ ด้วยหน้าผาและหาดทรายขาวอันเงียบสงบ ในตัวเมืองมีประชากรประมาณ 600,000 คน และยังคงมีบรรยากาศแบบเมืองชนบทเล็กๆ
      
       10.จูไห่ ประเทศจีน ตั้งอยู่ในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ล พรมแดนทางทิศใต้ติดกับมาเก๊า เป็นเมืองริมทะเลที่สะอาดและสวยงาม ด้วยทางเดินเลียบริมน้ำที่น่าดึงดูดใจ ชายหาด เกาะ และทิวทัศน์ยามเย็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ
      
       แหล่งเที่ยวทะเลไทยมั่นใจยอดนักเที่ยว
      
       ภูเก็ต พัทยา กระบี่ ยืนยันนักท่องเที่ยวยังเดินหน้าสู่แหล่งท่องเที่ยวทางทะเล พร้อมมั่นอกมั่นใจผลกระทบจะกลายเป็นโอกาสที่นักท่องเที่ยวจะหลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวอย่างแน่นอน
      
       สมบูรณ์ จิรายุส นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ผลกระทบจากสึนามิของญี่ปุ่นเชื่อว่าไม่มีผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติ เนื่องจากเขามองว่าเป็นเหตุการณ์ธรรมชาติ นอกจากนี้จังหวัดภูเก็ตมีการซักซ้อมในเรื่องสึนามิเป็นอย่างดีจึงมั่นใจได้
      
       ส่วนคนไทยนั้นก็อาจจะกระทบกับคนบางกลุ่ม แต่คนที่มีข้อมูลเพียงพออยู่แล้วเขาจะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นไม่มีผลกระทบต่อภูเก็ต นอกจากนี้ การที่ไทยเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนไทยรู้จักที่จะตั้งรับ และการมีหอกระจายข่าวเตือนภัยก็เป็นเครื่องมือที่ช่วยเหลืออย่างหนึ่ง
      
       สำหรับปริมาณนักท่องเที่ยวไทยที่เข้ามาในภูเก็ตช่วงนี้มีประมาณ 10-15% เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นทำให้หาที่พักได้ยาก แต่หลังจากเดือนเมษายนไปแล้วจะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวไทยเข้ามามากคาดว่าจะมีตัวเลขอยู่ที่ 20-25%
      
       อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวหากต้องการมาเที่ยวทะเลเขาต้องมาที่อ่าวไทยหรืออันดามันอยู่แล้ว ดังนั้น คนที่กลัวไม่ว่าจะทำโปรโมชั่นยังไงเขาก็ไม่มา แม้แต่จะให้ฟรีก็ตาม ส่วนคนที่มาเขาอาจจะไม่กลัวกับเหตุการณ์หรือเขามั่นใจในเครื่องเตือนภัยก็เป็นได้ ดังนั้น โปรโมชั่นที่สมาคมฯจะทำเป็นโปรโมชั่นที่กระตุ้นตลาดจะไม่ใช่โปรโมชั่นที่ออกมาเพื่อดึงคนที่กลัวสึนามิให้เข้ามาพัก
      
       อิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า จากการที่มีนักวิชาการหรือหมอดูออกมาทำนายว่าประเทศไทยจะเกิดสึนามินั้น ข่าวแบบนี้มีผลต่อการตัดสินใจมาท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวทั้งสิ้นซึ่งให้ภาพทางลบ แต่ก็ให้ภาพทางบวกในแง่ของการเป็นการเตือนให้นักท่องเที่ยวรู้จักการระมัดระวังตัวในการเดินทาง รวมทั้งผู้ประกอบการเองก็ต้องระวังตัว
      
       “จริงๆ แล้วการออกข่าวแบนี้ก็เท่ากับเป็นการเตือนภัยอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้ประกอบการเขาก็มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่คอยเตือนภัยไว้แล้ว ซึ่งจะเตือนภัยก่อนที่จะเกิดคลื่นสึนามิได้ล่วงหน้าเป็นชั่วโมง และผู้ประกอบการก็มีการซักซ้อมในเรื่องนี้ตลอดเวลา มีป้ายแนะนำบอกว่าจะหนีไปยัง”
      
       ทั้งนี้ ในช่วงหน้าไฮซีซั่นนี้จะมีนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นชาวสแกนดิเนเวียเข้ามาพัก 70-80% เนื่องจากต่างชาติไม่ค่อยกลัวเรื่องภัยพิบัติ และมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ ส่วนคนไทยจะมาพักช่วงโลว์ซี่ชั่นหรือหลังสงกรานต์หรือช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมประมาณ 10-20% ซึ่งช่วงหน้าไฮซีซั่นจำนวนผู้เข้าพักโรงแรมอยู่ที่ 70-90% จากจำนวนทั้งหมด 15,000 ห้อง
      
       อย่างไรก็ตาม หากปริมาณนักท่องเที่ยวไทยช่วงโลว์ซีซั่นมีปริมาณลดลงจากปัญหาสึนามินั้น สมาคมฯก็ไม่มองหาการทำตลาดใหม่ๆ ไว้แล้ว โดยตลาดที่จะเข้าไปจับคือตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวมาเลย์และสิงคโปร์ ซึ่งจะทำตลาดผ่านงานท่องเที่ยวของเขา ที่ผ่านมาก็มีการทำตลาดนี้อย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว
      
       อิทธิพล คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา กล่าวว่า การเกิดสึนามิที่ญี่ปุ่นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อไทย แต่ยังส่งผลด้านดีด้วยซ้ำ เพียงแต่กระทบในเรื่องคนญี่ปุ่นไม่มาเที่ยวเมืองไทยเท่านั้นเอง ส่วนคนญี่ปุ่นที่พอจะมีเงินเขาก็ยังบินออกนอกประเทศอยู่ดี
      
       ส่วนการคาดการณ์ว่าจะเกิดสึนามิในไทยนั้น พัทยาเป็นเมืองชายทะเลที่อยู่ด้านอ่าวไทยซึ่งไม่มีผลกระทบอย่างแน่นอน ถ้าจะมีก็จะเป็นฝั่นอันดามันมากกว่า สำหรับคนไทยที่ต้องการเที่ยวพัทยาก็ยังมีอยู่เรื่อยๆ เห็นได้จากที่ผ่านมาการจัดกิจกรรมของพัทยาก็ได้รับการตอบรับอย่างดี อย่าง พัทยามิวสิคเฟสติวัล ปัจจุบันนักท่องเที่ยวชาวไทยมีสัดส่วน 40% ต่างชาติ 60% ในช่วงไฮซีซั่น ส่วนช่วงโลว์ซีซั่นจะอยู่ที่สัดส่วน 50 ต่อ 50
      
       “เรามั่นใจว่าพัทยาปลอดภัย 99% เพราะถ้าดูตามแนวธรณีวิทยาแล้วพัทยาไม่มีโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์สึนามิ แต่เราไม่อยากบอกว่าเรามั่นใจ 100% แต่เราก็มีการเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือกับสึนามิ”
      
       อย่าง การมีหอกระจายข่าว หอเฝ้าระวัง หอตรวจการเมืองพัทยา พัทยาเป็นท้องถิ่นไม่กี่แห่งที่มีหน่วยกู้ภัยทางทะเลถึง 4 แห่ง และมีอุปกรณ์กู้ภัยต่างๆ พร้อม แต่สิ่งที่ยังไม่ได้ทำคือการซักซ้อมในการหนีภัยหรืออพยบเท่านั้นเอง
      
       สำหรับการทำโปรโมชั่นนั้นขณะนี้ไม่มีการทำเพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นจะทำอีกทีก็ช่วงโลซีซั่น หรือเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมจะมีการจัดงานพัทยาแกรนด์เซล ซึ่งปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ 1 แถม 1 หรือลด 50% ทั้งห้างสรรพสินค้าและโรงแรม ปีนี้ก็อาจจะปรับเป็นซึ้อ 2แถม 2 ก็ได้ เนื่องจากการลดเป็นเปอร์เซ็นต์ไม่ตอบรับกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
      
       นานาทัศนะ “สึนามิ” กับการท่องเที่ยวไทย
      
       ปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหาที่ว่าจะเกิดสึนามิในประเทศไทยนั้น ไม่อยากให้ทุกคนต้องตื่นตระหนก ไม่อยากให้กลัวไปเอง แม้ว่าฝั่งอันนามันจะอยู่ตรงรอยเลื่อนก็ตาม แต่คิดว่าไม่น่าจะสร้างปัญหาให้คนไม่อยากไปเที่ยว
      
       สำหรับความต้องการเดินทางเที่ยวภายในประเทศนั้น เท่าที่ดูจากการจัดงานไทยเที่ยวไทยก็ยังมีคนจองไปท่องเที่ยวกันอยู่มาก และคนก็ยังจองไปเที่ยวทะเลภาคใต้เหมือนเดิม
      
       อดุลชัย รักดำ นายกสมาคมผู้ประกอบการนำเที่ยวไทย (ATTO) กล่าวว่า เหตุการณ์สึนามิยังเป็นเหตุการณ์ที่อยู่ในใจคนไทยมาตลอด เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นก็ย่อมส่งผลกับคนไทยเช่นกัน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาการจองเพื่อไปท่องเที่ยวในจังหวัดภาคใต้กับบริษัทนำเที่ยวตอนนี้สงบมาก ไม่มีการขยับเลยโดยเฉพาะจังหวัดกระบี่
      
       ทั้งนี้ สาเหตุที่ไม่ค่อยมีการจองอาจเป็นเพราะสงกรานต์เป็นวันครอบครัว และส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวปัจจุบันนิยมเดินทางไปด้วยตัวเองมากกว่า ดังนั้น จังหวัดที่เขาจะไปจะเป็นจังหวัดที่อยู่ไม่ไกล และสามารถขับรถไปเองได้ เช่น เที่ยว 2 วัน 1 คืน 3 วัน 1 คืน ทำให้การใช้บริการของบริษัททัวร์ลดลง
      
       นอกจากนี้ เหตุการณ์สึนามิทำให้เขาระมัดระวังตัวมากขึ้น เพราะถ้าไปเที่ยวเขาจะไปกับครอบครัว เขาจึงต้องคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนจะเดินทาง
      
       ที่สำคัญการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยปีนี้ก็มีการหันมาส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวในภาคอีสานโดยเริ่มโครงการเดือนเมษายนถึงกันยายน และมีการส่งเสริมเส้นทางการท่องเที่ยวภาคเหนือ โดยเริ่มโครงการเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงกรีนซีซันพอดี
      
       สำหรับการส่งเสริมการตลาดของภาคใต้ก็มีการทำอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาเรื่องสึนามิก็ยังฝังใจนักท่องเที่ยวเช่นกัน ดังนั้น ก่อนจะเดินทางไปไหน นักท่องเที่ยวจะศึกษาข้อมูลและคิดไตร่ตรองมากขึ้น
      
       เจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA) กล่าวว่า ขณะนี้นักท่องเที่ยวที่มีแผนจะเดินทางไปญี่ปุ่นได้ยกเลิกการเดินทางหมดแล้ว 100% คาดว่านักท่องเที่ยวจะกลับมาอีกครั้งเมื่อกลับสู่ภาวะปรกติแล้ว โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ถ้าเขาไม่ยกเลิกการเดินทางเขาก็ขอเปลี่ยนเส้นทางแทน ซึ่งเส้นทางที่เลือกไปแทนก็มีทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นจีน เกาหลี ยุโรป รัสเซีย หรืออเมริกา
      
       ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับนักท่องเที่ยวว่าต้องการเปลี่ยนไปเส้นทางใด แต่เชื่อว่าปริมาณที่แต่ละเส้นทางรองรับก็มิได้มีมาก อย่างเกาหลี การเดินทางปรกติอยู่ที่ 85% แล้วเส้นทางนี้ก็พร้อมจะรองรับนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนเส้นทางอีกแค่ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง อย่างไรก็ดี ค่าใช้จ่ายในการเดินทางในเส้นทางใหม่ๆ อาจจะสูงกว่าเดินทางไปญี่ปุ่นเล็กน้อย บางแห่งก็อาจจะต่ำกว่า
      
       โดยการจะเลือกเปลี่ยนเป็นเส้นทางใดจะต้องดูงบประมาณและการขอวีซ่าด้วย แต่ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่สามารถเดินทางไปญี่ปุ่นได้ก็ไม่น่าจะติดปัญหาเรื่องการขอวีซ่าไปประเทศอื่นๆ ซึ่งคาดการณ์ว่าปีนี้เส้นทางท่องเที่ยวยุโรป และอเมริกาจะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากที่ 3 ปีที่ผ่านมาตกต่ำลง เนื่องจากปีนี้เศรษฐกิจของไทยเติบโตขึ้นและค่าเงินบาทที่แข็งตัว
      
       มัยรัตน์ พีระญาณ์โกเศส นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ กล่าวว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวมีความเข้าใจและรู้จักการเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวกันมากขึ้น ดังนั้น ถ้ามีข่าวสารอะไรเขาจะเช็กก่อนเดินทาง ถ้าเขามองว่าไปไม่ได้เขาก็จะหยุดการเดินทาง ถ้าไปได้ก็ไปต่อ
      
       “การจะยกเลิกการเดินทางมีต่ำมาก เพราะเวลาเขาซื้อห้องพักไม่ได้มีการระบุวันที่จะไป ไปเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าเขาเห็นช่วงนี้ไม่ปลอดภัยเขาก็จะไม่ไป”
      
       สำหรับการทำโปรโมชั่นในช่วงนี้ต้องบอกว่าไม่อยากเห็นการเทกระจาดสินค้าไทย ถ้าทุกคนเทกระจาดกันหมดจะทำให้การท่องเที่ยวไทยเสีย แต่อยากให้ขายสินค้าตามจริง อย่างไรก็ดี เชื่อว่าฤดูร้อนนี้คนยังนิยมท่องเที่ยวทะเลอย่างแน่นอน ส่วนปัญหาเรื่องสึนามิที่จะเกิดขึ้นกับจังหวัดชายทะเลต้องบอกว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ ซึ่งนักท่องเที่ยวปัจจุบันเขาจะตรวจสภาพอากาศก่อนการเดินทางอยู่แล้ว

http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9540000037363


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 28 มีนาคม 2011, 10:22:10
ทัวร์ไทยตกค้างพม่ากลับถึงแม่สายแล้ว
 

กรุ๊ปทัวร์ไทยเที่ยวพม่า ตกค้างในพม่า หลังแผ่นดินไหว เดินทางกลับถึงไทยแล้ว เผย เห็นภาพความเสียหายทั่วเมือง


จากกรณีที่เกิดแผ่นดินไหวในพม่า และสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงทั้งบ้านพัก เส้นทางต่างๆ จนทำให้กรุ๊ปทัวร์คนไทยที่เดินทางไปเที่ยวทางรถยนต์ผ่านพม่าไปยังจีน ตกค้างในพม่าประมาณ 50 คน และช่วงเกิดแผ่นดินไหวได้พักอยู่ที่เมืองเชียงตุง ศูนย์กลางของรัฐฉาน ติดถนนอาร์สามเอ ห่างจากชายแดน อ.แม่สาย ไปทางทิศเหนือ ประมาณ 168 กิโลเมตร ล่าสุด กรุ๊ปทัวร์ทั้งหมดได้เดินทางกลับมาถึง อ.แม่สาย จ.เชียงรายแล้ว อย่างปลอดภัย โดยหลายคนเล่าถึงภาพที่แผ่นดินไหวและมีบ้านชาวพม่า พังเสียหายว่า เป็นภาพที่น่ากลัวอย่างมาก เพราะบ้านพังเสียหายจนไม่เหลือสภาพบ้าน

ขณะที่ ญาติคนไทยที่เดินทางไปเที่ยวที่มารอรับที่หน้าด่านพรมแดนไทยพม่า ด้าน อ.แม่สาย ต่างดีใจที่ญาติตัวเองไม่เป็นอะไรจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนี้


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 มีนาคม 2011, 08:28:38
แผ่นดินไหวพม่า-ถนนพังค้าผ่านแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก R3b ชะงัก

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน   28 มีนาคม 2554 20:01 น.


       เชียงราย - เหนือแปรปรวนหนาวทั้งวัน ขณะที่แผ่นดินไหวใหญ่ในพม่า ทำกระบวนการค้าผ่านเส้นทาง R3b หยุดชะงัก
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า ขณะนี้สภาพอากาศโดยทั่วไปของจังหวัดเกิดภาวะแปรปรวน ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้พยากรณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ โดยอากาศทั่วไปอึมครึมและไร้แสงแดด รวมทั้งมีอุณหภูมิลดต่ำลงตั้งแต่ 27 มี.ค.54 เป็นต้นมา
       
       ที่ สถานีอุตุนิยมวิทยา จ.เชียงราย วัดอุณหภูมิในช่วงเช้าจาก อ.เมือง ได้ประมาณ 18.7 องศาเซลเซียส และมีลมพัดตลอดเวลาทำให้อากาศเย็นและบางช่วงหนาวคล้ายฤดูหนาว ทั้งๆ ที่อยู่ในห้วงฤดูร้อนทำให้ผู้คนทั่วไปต่างวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับสภาวะอากาศที่แปรปรวน โดยเฉพาะมีแผ่นดินไหวรุนแรงจากนั้นสภาพอากาศก็ผิดปกติไปจากเดิม
       
       สำหรับชายแดนไทย-พม่า ด้าน อ.แม่สาย พบว่าชาวพม่าในฝั่งท่าขี้เหล็ก ต่างมีการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจากฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะยังไม่ไว้ใจในสถานการณ์ ขณะที่การค้าชายแดนพบว่าได้รับผลกระทบในด้านการขนส่งระยะไกลด้วยรถบรรทุกจากชายแดนเข้าไปยังถนน R3b จาก จ.ท่าขี้เหล็ก-เชียงตุง และเมืองใหญ่อื่นๆ เพราะสะพานข้ามน้ำรวกบ้านป่าเดื่อหรือท่าเดื่อ ห่างจากชายแดนไทยไปทางทิศเหนือประมาณ 40 กิโลเมตร ได้ถูกตัดขาดและถนนแตกเสียหายอย่างมาก
       
       แม้ว่าชาวพม่าจะมีการนำกระสอบทรายไปปิดตรงรอยแยกระหว่างถนนและคอสะพาน แต่ก็สามารถใช้สัญจรผ่านไปมาได้เฉพาะรถจักรยานยนต์หรือการเดินเท้าข้ามไปมาเท่านั้น ยังไม่สามารถเปิดให้รถบรรทุกโดยเฉพาะรถบรรทุกสินค้าผ่านไปมาได้ เนื่องจากทางการพม่าเกรงว่าตัวสะพานอาจจะได้รับผลกระทบและไม่แข็งแรงดีพอ
       
       ทั้งนี้ชายแดนไทย-พม่า ด้าน จ.เชียงราย มีการค้าขายกับประเทศพม่าเป็นจำนวนมหาศาล โดยปี 2553 ที่ผ่านมาการค้าพุ่งสูงขึ้นถึง 10,189.35 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้าจำนวน 219.79 ล้านบาท และส่งออกจำนวน 9,969.56 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าเบ็ดเตล็ดกว่า 3,022.06 ล้านบาท สินค้าอุปโภคบริโภค 1,569.85 ล้านบาท น้ำมันเชื้อเพลิง 978.79 ล้านบาท ฯลฯ ส่วนสินค้านำเข้าจากพม่าส่วนใหญ่เป็นไม้สักซุงและกระเทียม ฯลฯ
       
       นายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ ประธานหอการค้า อ.แม่สาย กล่าวว่า ปัจจุบันการค้าที่ตลาดแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก ในภาพรวมยังถือว่าดีอยู่ แต่สินค้าจำนวนมากๆ ที่ต้องอาศัยการขนส่งด้วยรถบรรทุกขนาดใหญ่ไปตามถนน R3b ต้องหยุดชะงักลง เพราะสะพานใช้ขนส่งสินค้าไม่ได้ ทำให้สินค้าหลักๆ ที่ขนส่งไปตามถนนสายนี้คือน้ำมันเชื้อเพลิงต้องหยุดการส่งออกไป
       
       ที่ผ่านมาน้ำมันเชื้อเพลิงหรือสินค้าอื่นๆ ของไทยเคยถูกส่งออกไปยังหลายเมืองใหญ่ในพม่าตอนเหนือ เช่น เมืองเชียงตุง เมืองเลน เมืองพยาก เมืองโก เมืองยอง ฯลฯ
       
       นายบุญธรรม กล่าวอีกว่าเนื่องจากสินค้าเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญจึงคิดว่าแม้จะส่งออกผ่านถนน R3b ไม่ได้ แต่ก็คงจะมีการส่งออกผ่านทางเรือที่ท่าเรือแม่น้ำโขง อ.เชียงแสน ไปยังเมืองท่าต่างๆ ของพม่าที่มีอยู่หลายแห่ง เช่น บ้านโป่ง สบหรวย ฯลฯ ซึ่งก็เป็นเมืองท่าที่มีเรือแม่น้ำโขงเข้าไปเทียบท่าตามปกติอยู่แล้วด้วย


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 มีนาคม 2011, 23:03:59
ททท.เน้นทำตลาดเชิงรุกทุกภูมิภาค/หวังดึงคนไทยเที่ยวเมืองไทยกู้วิกฤติ

ได้ปรับแผนการตลาดเชิงรุกเน้นจัดกิจกรรมอย่างหนักทั่วประเทศ เพื่อสร้างความคึกคักด้านการท่องเที่ยวตามแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวให้คนไทยเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น
     ด้วยสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ปัจจัยการเมืองในประเทศลิเบียที่รุกลามไปถึงประเทศแถบแอฟริกาเหนือ และตะวันออกกลาง รวมทั้งปัจจัยภัยพิบัติจากธรรมมาชาติที่เกิดขึ้นในประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และประเทศญี่ปุ่น ทำให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  คาดการณ์ไว้ว่า น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดท่องเที่ยวไทยในปีนี้  ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจจะเหลือเพียง16.47 ล้านคน หรือลดลง 1.75% ประมาณ 3.1 แสนคน จากเป้าเดิมที่ตั้งไว้ 16.78 ล้านคน น่าจะเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทำให้ผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวต้องเร่งแก้ไขปัญหาที่จะตามมาอย่างเร่งด่วน 
ติดตามสถานการณ์
     ในเรื่องนี้ นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  กล่าวว่า  จากปัจจัยการเมืองในตะวันออกกลาง จะส่งผลกระทบทั้งจำนวนคนในแถบบตะวันออกกลางที่จะเดินทางมาเมืองไทยลดลง รวมถึงนักท่องเที่ยวยุโรปซึ่งส่วนใหญ่จะเปลี่ยนเครื่องบิน เพื่อเดินทางมาไทย ก็จะต้องชะลอตัว ประกอบกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นยิ่งส่งผลให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางทั้งในระยะใกล้ และไกลลดลง 1%  โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางน่าจะหายไปประมาณ  1.1 แสนคน หรือประมาณ 10 %
     “หากเหตุการณ์ในตะวันออกกลางยังคงมีความยืดเยื้อรุนแรง อาจจะทำให้นักท่องเที่ยว ทั้งปีลดลง 150,000 คน ซึ่งจะกระทบกับเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวม ไม่ต่ำกว่า 1% ของจำนวนนักท่องเที่ยวรวมที่ตั้งเป้าหมายไว้ แต่ถ้าเหตุการณ์ไม่รุนแรง ก็น่าจะลดลง 110,000 คน หรือไม่ถึง 1%”   นายสุรพล กล่าว
     ขณะที่ปัจจัยภัยพิบัติจากธรรมชาติในประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์นั้น ได้ส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาไทยในจำนวนที่ไม่มากนัก ซึ่งหลังจากนี้ต่อไปจะต้องทำการเฝ้าติดตามสถานการณ์การฟื้นตัวของทั้ง 2 ประเทศ ว่าจะเป็นไปในลักษณะเช่นไรต่อไป
     โดยเฉพาะในส่วนของพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นตลาดที่เดินทางมาไทประมาณย10% หรือประมาณ 100,000 คน ซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ดังนั้นจึงคาดว่าในช่วงไตรมาสที่ 2 และ3 น่าจะเห็นผลกระทบได้ชัดเจนขึ้น ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่น่าจะลดลงประมาณ 15% สูญเสียนักท่องเที่ยวไปประมาณ 1.24 แสนคน จากจำนวนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่เดินทางมาไทยประมาณ 1 ล้านคนต่อปี ขณะที่ไทยจะสูญเสียจำนวนนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นในภาพรวมที่จะเดินทางมาไทยประมาณ 0.75% จากเป้าหมายนักท่องเที่ยวที่วางไว้ ซึ่งขึ้นอยู่กับการระเบิดของเตาปฏิกรนิวเคลียร์ด้วย
     ทั้งนี้ นายสุรพล กล่าวว่า ทางททท.ได้หารือกับภาคเอกชนท่องเที่ยว เพื่อจัดทำกิจกรรมโรดโชว์ และแผนการตลาดในประเทศญี่ปุ่นไว้เช่นเดิม แต่จะรอช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อทำการตลาดอีกครั้ง เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นยังมีความสำคัญต่อประเทศไทย โดยในเบื้องต้นประเทศไทยได้แสดงความพร้อมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนญี่ปุ่น ด้วยการเสนอตัวในลักษณะที่ไม่เป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจ แต่เป็นการเสนอตัวในการช่วยเหลือญี่ปุ่นที่แสดงออกถึงน้ำใจต่อกัน ด้วยการขยายขยายระยะเวลาวีซ่าสำหรับคนญี่ปุ่นที่จะเดินทางมาพำนักในไทยได้มากกว่า 30 วัน ซึ่งจะทำการเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เร็วๆนี้
รุกตลาดในประเทศ
     ด้าน  นายธวัชชัย อรัญญิก รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ด้านตลาดในประเทศ กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ ทาง ททท.ได้ปรับแผนการตลาดเชิงรุกเน้นจัดกิจกรรมอย่างหนักทั่วประเทศ เพื่อสร้างความคึกคักด้านการท่องเที่ยวตามแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวให้คนไทยเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น โดยได้ใช้งบสนับสนุน 4 ล้านบาท จัดกิจกรรมใน 13 พื้นที่หลัก รวมมากกว่า 50 กิจกรรม ซึ่งคาดว่าภาพรวมของการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 5 วัน ตั้งแต่ 13-17 เมษายน2554  จะมีเงินหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 4-5 พันล้านบาท โดยมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยทั้งประเทศประมาณ 70 % หรือเพิ่มขึ้น 15 % จากปีที่ผ่านมา
     อย่างไรก็ตามททท.ในทุกพื้นที่ได้ร่วมกับภาคเอกชนท่องเที่ยว เพื่อจัดทำแพ็คเกจทัวร์กระตุ้นการเดินทางเข้าพื้นที่เพิ่มขึ้น โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือร่วมกับ 4 สมาคมท่องเที่ยวทำแพ็กเกจทัวร์ไหว้พระ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางจำนวน 5 แสนคน มีรายได้ 20ล้านบาท เพิ่มจากปีที่ผ่านมา 3% โดยภาพรวมทั้งปีมีนักท่องเที่ยวคนไทย 20ล้านคน มีรายได้ 4.3 หมื่นล้านบาท
    ส่วนภาคตะวันออกคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเที่ยวจำนวน 1 แสนคน มีรายได้ 1,000ล้านบาท มีอัตราการพักเฉลี่ย 3 วันเพิ่มจากปีที่ผ่านมา ซึ่งจากเดิมมีจำนวนนักท่องเที่ยว 80,000คน มีรายได้ 800ล้านบาท และภาพรวมทั้งปีมีจำนวนนักท่องเที่ยว 20 ล้านคน มีรายได้ 9 หมื่นล้านบาท
    สำหรับภาคเหนือร่วมกับโรงแรมต่างๆ และสายการบินทำแพ็คเกจราคาพิเศ ษ โดยมีไฮไลท์สงกรานต์อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดเชียงราย ซึ่งคาดว่าจะสามารถดึงนักท่องเที่ยวให้เดินทางท่องเที่ยวได้ในทุกพื้นที่ และภาคใต้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเที่ยวจำนวน 3.5แสนคน มีรายได้ 65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 10%
     นอกจากนี้  นายธวัชชัย ยังกล่าวต่อว่า ได้สั่งการให้ ททท. ทั้ง 5 ภูมิภาค สำรวจห้องว่างของโรงแรมทั่วประเทศ เพื่อนำข้อมูลห้องว่างมานำเสนอให้คนไทยที่กำลังมองหาสถานที่เที่ยวในช่วงสงกรานต์ ทราบถึงพื้นที่ที่ยังมีห้องพักว่าง เพื่อจะได้รีบจองและสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวในช่วงดังกล่าวได้อย่างสะดวก โดยข้อมูลดังกล่าวจะนำเสนอผ่านช่องทางเฟซบุ๊ก หน้าอะเมซิ่ง ไทยแลนด์ และเบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย 1672  รวมทั้งส่งข้อมูลโดยตรงไปถึงอีเมลของนักท่องเที่ยว
     ทั้งนี้ นายธวัชชัย กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลดังกล่าวยังได้มีการเตรียมรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวคนไทยที่เตรียมตัวเดินทางไปต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ที่มีมากกว่า 1แสนคน ให้กลับมาเที่ยวเมืองไทยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยตั้งเป้าดึงกลุ่มคนดังกล่าวให้ได้ประมาณ 10-15% และน่าจะสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ประมาณ 500-600 ล้านบาท
ทัวร์โกลเด้นวท์วีคยังมา
     ขณะที่ นายทะซิอะกิ คันดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจทีบี ไทยแลนด์ ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทนำเที่ยวรายใหญ่ของญี่ปุ่น กล่าวว่า สถานการณ์ท่องเที่ยวของชาวญี่ปุ่นที่มาเที่ยวประเทศไทยยังคงเป็นตามปกติ มีการยกเลิกบ้างแต่ถือว่าจำนวนน้อย โดยผู้ที่ยกเลิกส่วนใหญ่อยู่ในเขตที่ประสบภัยพิบัติสึนามิ แต่ชาวไทยที่จะเดินทางไปญี่ปุ่นได้ยกเลิกการเดินทางเกือบทั้งหมด
    สำหรับวันหยุดยาวของชาวญี่ปุ่นในช่วงปลายเดือนเมษายน ถึงเดือนพฤษภาคมของทุกปี ถือเป็นโกลเด้นวท์วีคนั้น ยังไม่มีการยกเลิกทัวร์ แต่คงรอดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไปสักระยะหนึ่ง แต่มีการยกเลิกเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากเมืองเชนได และฮอกไกโด รวมเป็น 2 เที่ยวบินแล้ว คาดว่าตลอดทั้งปีนี้คนญี่ปุ่นที่จะมาไทยคงลดลงประมาณ 10% หรือประมาณ 100,000 คน ส่วนการเดินทางของทุกสายการบินขณะนี้เป็นปกติ เพียงแต่มีผู้โดยสารเดินทาง 50% ซึ่งที่หายไปส่วนใหญ่เป็นชาวไทยที่นิยมเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของทุกๆ ปีถึง  40%
 
http://www.siamrath.co.th/web/?q=node/45230 (http://www.siamrath.co.th/web/?q=node/45230)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 31 มีนาคม 2011, 00:12:55
กพบ.หนุนวีซ่า GMS-ชงนำร่อง 4 ประเทศลุ่มน้ำโขงตอนบน เผย “หยวนโซน” เริ่มเกิดแล้ว

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   30 มีนาคม 2554 11:38 น.


   

คณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ(คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ ได้จัดการประชุมครั้งที่ 2/2554 ขึ้น ตามโครงการพัฒนาด่านการค้าชายแดนภาคเหนือเชื่อมโยงประเทศเพื่อน ไทย –จีน –พม่า-ลาว
       ศูนย์ข่าวภาคเหนือ - คณะกรรมการความร่วมมือทางเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้าน เห็นชอบวีซ่า GMS เล็งชงเรื่องเสนอ ครม.นำร่อง 4 ปท.ลุ่มน้ำโขงตอนบนก่อน ขณะที่ “หยวนโซน” เริ่มเป็นจริงแล้ว ด้าน คสศ.-หอ 10 จว.เหนือ เสนอเพิ่มจุดจอดไฮสปีดเทรน
       
       นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการ คสศ.ครั้งที่ 2 ประจำปี 2554 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ที่ประชุมได้รับทราบและมีมติเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจในภาคเหนือหลายประการ โดยเฉพาะการติดตามการแก้ไขปัญหา และส่งเสริมการเปิดด่านการค้าเป็นด่านถาวรทั้งระบบในภาคเหนือ
       
       การประชุมครั้งนี้ได้เห็นชอบที่จะผลักดันให้มีการด่านจุดผ่อนปรนบ้านฮวก อ.ภูซาง จ.พะเยา เป็นด่านถาวรที่เชื่อมทั้งด้านการค้าและการท่องเที่ยวกับ สปป.ลาว เพื่อเพิ่มศักยภาพในการติดต่อกับเมืองไชยบุรี และหลวงพระบางต่อไป
       
       ส่วนปัญหาด่านการค้าอื่นๆ ที่จะนำเสนอปัญหาต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือที่ด่านภูดู่ จ.อุตรดิตถ์ ห้วยต้นนุ่น จ.แม่ฮ่องสอน กิ่วผาวอก จ.เชียงใหม่ และด่านแม่สอด จ.ตาก ที่ได้ปิดมากว่า 9 เดือนแล้ว
       
       ประเด็นต่อมาคือ ความคืบหน้าการผลักดันเรื่อง One Visa ใน 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงหรือ GMS ที่ทาง คสศ.ได้จัดสัมมนา “Six Countries one Visa- One Destination in GMS” ที่ จ.เชียงราย ไปแล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ล่าสุดทางคณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (กพบ.) เห็นชอบในหลักการการใช้วีซ่าเดียวเข้าได้ 6 ประเทศ โดยพิจารณาแนวทางการดำเนินงานที่เป็นไปได้ระหว่าง 4 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนก่อน ได้แก่ ไทย-จีนตอนใต้-พม่า-ลาว และให้ใช้ต้นแบบของไทย-กัมพูชา ซึ่งทางสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับจะได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเป็นมติออกมาต่อไป
       
       นายพัฒนากล่าวว่า ในส่วนความคืบหน้าการใช้สกุลเงินท้องถิ่น ในเขตสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจสำหรับผู้ประกอบการในภาคเหนือ ได้รับทราบว่าสามารถทำการค้ากับคู่ค้าที่ได้รับอนุญาตในมณฑลยูนนาน และมณฑลอื่นๆ ของจีน ด้วยสกุลเงินหยวนของจีนและเงินบาทของไทยเป็นหลักผ่านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแบบเงินโอนกับธนาคารพาณิชย์ในไทยได้ทั้ง 7 ธนาคาร แต่ต้องให้ธนาคารตรวจสอบรายชื่อวิสาหกิจต่างๆ หรือคู่ค้าที่ทางรัฐบาลจีนอนุญาตให้ทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศด้วยสกุลเงินหยวน กับคู่ค้าในประเทศจีน (China Counterparties) ก่อนทำธุรกรรม
       
       จากกรณีรัฐบาลได้ผลักดันโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสู่ภาคเหนือ ระยะทาง 754 กิโลเมตร มูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท โดยเปิดให้เอกชนจากทุกประเทศเข้าร่วมประกวดราคาแบบนานาชาติ (INTERNATIONAL BIDDING) นั้น ทาง คสศ.เห็นว่าควรจะมีการพิจารณาศึกษาเพิ่มจุดจอดนอกจากที่ จ.พิษณุโลก-นครสวรรค์ เป็นอีก 1 หรือ 2 จุดที่ จ.แพร่ หรือ จ.ลำปาง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเชื่อมโยงจังหวัดต่างๆ ในภาคเหนือ โดยใช้ระบบรองรับการขนส่งเมืองต่างๆ มาสนับสนุน
       
       ขณะที่โอกาสครบรอบคณะกรรมการ คสศ.ปี 2554 ครบ 10 ปีทาง คสศ.ยังจะมีกิจกรรมต่างๆ ในปีนี้มากมาย เช่น การจัดคณะเยือนประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเชื่อมโยงการค้าใน 5 เส้นทางคือเส้นทาง R3a เขตปกครองตนเองชนชาติไต สิบสองปันนา (จีน) เส้นทางเมืองตองยี ประเทศพม่า เส้นทางนครเวียงจันทน์ สปป.ลาว-ฮานอย (เวียดนาม) แม่สอด-มะละแหม่ง ประเทศพม่า และเส้นทางแม่ฮ่องสอน-ตองอู-ทันเว ประเทศพม่า รวมทั้งมีกิจกรรมจัดทำสารคดีเชิงลึกเกี่ยวกับการพัฒนาด่านการค้าชายแดนภาคเหนือ การจัดทำหนังสือหนึ่งทศวรรษ คสศ.ฯลฯ

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000040077


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 04 เมษายน 2011, 06:48:34
เชื่อสะพานข้ามโขง 4 เสร็จตามกำหนด

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน   3 เมษายน 2554 20:05 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/554000004486201.JPEG)
   

หลังเริ่มเข้าสู่ช่วงหน้าแล้ง การก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 รุดหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเชื่อว่าจะเสร็จตามที่กำหนดแน่
       เชียงราย - โครงการก่อสร้างสะพานข้ามโขง 4 รุดหน้า ล่าสุดอาศัยช่วงหน้าแล้งลุยตอกเสาเข็มกลางน้ำเต็มที่ ขณะที่โครงข่ายคมนาคมฝั่งไทยเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เชื่อมั่นเสร็จตามกำหนดแน่
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย แจ้งถึงความคืบหน้าการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ เชื่อมกับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว( สปป.ลาว) เพื่อเชื่อมแนวเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ โดยใช้งบประมาณว่าจ้างกลุ่มซีอาร์ 5-เคที จอยท์เวนเจอร์ ประกอบไปด้วยบริษัทไชน่า เรลเวย์ โน.5 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด จากประเทศจีน และบริษัทกรุงธนเอ็นยิเนียร์ จำกัด ของประเทศไทย ภายใต้งบประมาณ 1,486.5 ล้านบาทโดยประเทศไทยและจีนสนับสนุนฝ่ายละครึ่ง กำหนดก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2553 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธ.ค.2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือนนั้น
       
       ล่าสุดการก่อสร้างยังคงคืบหน้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยฝั่งไทยมีการก่อสร้างถนนจากถนนสายเชียงของ-เทิง ตั้งแต่หมู่บ้านทุ่งงิ้ว ต.สถาน อ.เชียงของ เข้าไปทางริมฝั่งแม่น้ำโขงที่หมู่บ้านดอนมหาวัน ต.เวียง อ.เชียงของ แล้ว ส่วนฝั่ง สปป.ลาว ก็มีการก่อสร้างที่หมู่บ้านดอน เมืองห้วยทราย โดยส่วนใหญ่เป็นการก่อสร้างสะพานโดยเอกชนจีน ได้ตอกเสาเข็มกลางแม่น้ำโขง ซึ่งช่วงนี้มีระดับน้ำตื้นและแห้งทำให้สะดวกกว่าช่วงฤดูฝน
       
       นายวิรัตน์ แสนอุดม ผู้อำนวยการแขวงการทางเชียงรายที่ 2 กล่าวว่า การก่อสร้างสะพานคืบหน้าไปได้ประมาณ 11-12% แล้ว โดยทางเอกชนจีนได้พยายามเร่งทำการก่อสร้างในช่วงนี้ซึ่งระดับน้ำในแม่น้ำโขงอยู่ในเกณฑ์แห้งเหมาะสมกับการนำเครื่องมืออุปกรณ์ลงไปกลางแม่น้ำโขง ซึ่งขั้นตอนปัจจุบันคือการพยายามสร้างฐานรากด้วยการตอกเสาเข็มกลางแม่น้ำโขง ซึ่งสามารถดำเนินการได้หลายเสาแล้ว
       
       นายวิรัตน์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามในการตอกเสาเข็มที่ผ่านมาพบว่าบางจุดใต้ดินเป็นหินทั้งแถบ แต่คาดว่าคงไม่เป็นปัญหา เพราะมีเครื่องมือที่ทันสมัย ดังนั้น การตอกเสาเข็มเพื่อวางฐานราก สำหรับการก่อสร้างในขั้นตอนต่อไปคงจะเดินหน้าจนแล้วเสร็จก่อนฤดูฝนนี้ เชื่อว่าเสร็จตามกำหนดแน่
       
       นายวิรัตน์ กล่าวด้วยว่า สำหรับถนนสายเชียงของ-เทิง ซึ่งทางกรมทางหลวงของไทยได้ก่อสร้างเพื่อสนับสนุนโครงข่ายภายในประเทศไปสู่สะพานแห่งนี้นั้น ได้เร่งก่อสร้างอย่างเต็มที่โดยเป็นการก่อสร้างตั้งแต่ กม.90 ไปจนถึงบ้านต้า อ.ขุนตาล โดยมีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในราวปลายปี 2554 ซึ่งก็จะทำให้การคมนาคมระหว่าง อ.เชียงของ กับถนนสายอื่นๆ สะดวกมากขึ้นเพราะเป็นถนนสี่ช่องจราจร
       
       ส่วนถนนเชียงของ-เมืองเชียงราย ซึ่งจะก่อสร้างจากบ้านหัวดอยไปเชื่อมกับถนนสายเชียงของดังกล่าว จะเป็นถนนสาย 1021 สายใหม่ที่ก่อสร้างอ้อมเขตชุมชนของ อ.พญาเม็งราย และใกล้เคียง ซึ่งจะทำให้สะดวกต่อการคมนาคมและก่อสร้างในอนาคตแน่นอน ด้านถนนเชื่อมจาก อ.เทิง ไปยัง อ.ดอยคำใต้ จ.พะเยา เพื่อเชื่อมกับถนนไปยัง อ.เชียงของ ปัจจุบันมีการว่าจ้างที่ปรึกษาให้ไปศึกษาออกแบบอยู่โดยจะแล้วเสร็จใน 1-2 ปีนี้

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000042011 (http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000042011)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 เมษายน 2011, 12:45:54
น้ำท่วมใต้ทำใช้จ่ายสงกรานต์หด 3พันล้าน
05 เมษายน 2554

ประเด็น: สถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ,
 
น้ำท่วมใต้ทำพิษ ส่งผลการใช้จ่ายของผู้บริโภคช่วงสงกรานต์ลดลง 3 พันล้านบาท  นักท่องเที่ยวเบนเข็มเที่ยวภาคอื่นแทน

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจจากพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จำนวน 1,183 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 28 มี.ค.-3 เม.ย. 2554 พบว่า ช่วงเทศกาลสงกรานต์ จะมีเงินสะพัด 9.64 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3.41% แต่ลดลงจากจากที่คาดการณ์ไว้ ที่ระดับ 9.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้

สำหรับการเดินท่องท่องเที่ยวในช่วงสงกรานต์พบว่า นักท่องเที่ยวเลือกเดินทางท่องเที่ยวในภาคกลางมากสุด เช่น  ชลบุรี ระยอง เพชรบุรี ประจวบฯ อันดับ 2 เป็นภาคเหนือ  เช่น เชียงใหม่ เชียงราย อันดับ 3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอันดับ 4 คือภาคใต้  แต่หากไม่มีสถานการณ์น้ำท่วม การท่องเที่ยวในภาคใต้ จะขยับมาอยู่เป็นอันดับที่ 3 แทน โดยจังหวัดที่คนนิยมไปมากสุดคือ ภูเก็ต กระบี่ พังงา หาดใหญ่

อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ในภาคใต้เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี เส้นทางคมานาคมกลับมาใช้ได้ตามปกติ อย่างรวดเร็ว คาดว่าบรรยากาศการใช้จ่ายช่วงเทศกาลสงกรานต์น่าจะเพิ่มขึ้นได้อยู่ที่ระดับ 9.75-9.8 หมื่นล้านบาท

http://www.posttoday.com


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 เมษายน 2011, 21:47:02
ถอดรหัส 7-5-0 ที่เชียงราย.

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/326/2326/images/750y/6414224_n.jpg)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/326/2326/images/750y/3841290_n.jpg)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/326/2326/images/750y/3761837_n.jpg)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/326/2326/images/750y/2201895_n.jpg)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/326/2326/images/750y/2581995_n.jpg)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/326/2326/images/750y/5658880_n.jpg)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/326/2326/images/750y/4399426_n.jpg)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/326/2326/images/750y/4788040_n.jpg)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/326/2326/images/750y/6162959_n.jpg)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/326/2326/images/750y/1989123_n.jpg)

ที่มา http://www.oknation.net/blog/akom/2010/12/28/entry-1


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 เมษายน 2011, 20:24:36

สนข.เล็งขอ700ล.จ้างทำแผนโครงข่ายฯ         

โดย กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ      
วันอังคารที่ 12 เมษายน 2011 เวลา 11:34 น.
พีระพล ถาวรสุภเจริญสนข.ชงของบปี 2555 กว่า 700 ล้านบาท  จ้างศึกษาและจัดทำแผนแม่บทโครงข่ายคมนาคมทั้งในพื้นที่กทม.และต่างจังหวัด จับตางบรถไฟรางคู่ 2 เส้นทางมูลค่ากว่า 150 ล้านบาท ส่วนเส้นทางรถไฟอุบลราชธานี-ช่องเม็กมีลุ้นขอรับงบ 15 ล้านบาทเพื่อการศึกษา ด้านภาพรวมงบประมาณปี 2555 คาดว่าจะได้รับมากกว่าปี 2554 ส่วนใหญ่เป็นงบผูกพันปี 2554-2556
 แหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ได้เตรียมนำเสนอของบประมาณปี 2555 ภายใต้กรอบวงเงินจำนวน  757  ล้านบาท เพื่อเป็นค่าจ้างศึกษาและพัฒนาระบบโครงข่ายคมนาคมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร(กทม.)-ปริมณฑลและต่างจังหวัด  คาดว่าจะได้รับประมาณ 451 ล้านบาท ส่วนในปี 2554 ที่ผ่านมาได้รับอนุมัติงบเพียง 408 ล้านบาท โดยจัดเป็นงบว่าจ้างที่ปรึกษาสูงถึง 272 ล้านบาท
 "ในปีนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นงบผูกพัน ทั้งของหน่วยงานกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมการบินพลเรือน การรถไฟฯ เป็นต้น โดยคาดว่าจะใช้งบว่าจ้างที่ปรึกษาประมาณ 316 ล้านบาท ซึ่งการเร่งพัฒนาเพื่อรองรับการเปิดเสรีอาเซียน จึงต้องเร่งบูรณาการในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องไปพร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาจราจรในเมืองใหญ่ การใช้เทคโนโลยี ตลอดจนการปฏิบัติตามกฎการใช้คาร์บอนคาร์บิเนต ซึ่งตามนโยบายของผู้บริหาร สนข.เมื่อหน่วยงานนั้น ๆ มีความเข้มแข็งก็จะปล่อยให้ปฏิบัติงานด้วยตนเอง เช่น การก่อตั้งสำนักงานพัฒนาระบบตั๋วร่วมที่อยู่ระหว่างการผลักดันหากสามารถยืนหยัดอยู่ได้ก็จะไปริเริ่มดำเนินการในส่วนอื่นต่อไป"
 ด้านนายพีระพล  ถาวรสุภเจริญ ผู้อำนวยการสำนักแผนงาน สนข.กล่าวว่า การใช้งบประมาณปี 2555 ของสนข.นั้นมี 3 ส่วนหลักๆ คือค่าวัสดุครุภัณฑ์ ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง และค่าจ้างที่ปรึกษา โดยเฉพาะงบประมาณเพื่อการจ้างที่ปรึกษานั้นพบว่าปี 2555 มีจำนวนมากถึง 316,788,800 บาท โดยโครงการที่น่าสนใจได้แก่งบเพื่อการศึกษาระบบรถไฟทางคู่ 2 เส้นทาง และการออกแบบทางรถไฟสายใหม่ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี  การบูรณาการโครงข่ายถนน สะพานข้ามแม่น้ำพื้นที่กทม.-ปริมณฑล ค่าพัฒนาระบบการเดินทางเชื่อมต่อบริเวณศูนย์คมนาคมพหลโยธิน
 สำหรับรายละเอียดตามแผนงานสนข.ปี 2555 ประกอบไปด้วย 1.ค่าจ้างศึกษาและจัดทำแผนแม่บทบูรณาการด้านการจัดระบบการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 28 ล้านบาท 2.ค่าจ้างศึกษาและพัฒนาเส้นทางอัจฉริยะเข้า-ออกกรุงเทพมหานคร(ITC) และการปรับปรุง บำรุงรักษา ระบบบูรณาการข้อมูลด้านการจราจรและขนส่งอัจฉริยะ 37 ล้านบาท 3.ค่าจ้างศึกษาแก้ไขปัญหาการจัดการจราจรระยะสั้นเร่งด่วนแบบเบ็ดเสร็จในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ขอนแก่น และนครราชสีมา 15 ล้านบาท 4. ค่าจ้างศึกษาและออกแบบทางรถไฟสายใหม่ เส้นทางอุบลราชธานี-ช่องเม็ก 71 ล้านบาท 5. ค่าจ้างศึกษาการเชื่อมต่อการเดินทางของผู้โดยสารจากระบบขนส่งมวลชนบริเวณคูคต  3 ล้านบาท 6. ค่าจ้างศึกษาประเมินศักยภาพและการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและบริการระบบขนส่งของไทยสำหรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 13 ล้านบาท
 7. ค่าจ้างศึกษาพัฒนาระบบการเชื่อมต่อการเดินทางบริเวณศูนย์คมนาคมพหลโยธิน 15 ล้านบาท 8. ค่าจ้างศึกษาจัดทำแผนเร่งด่วนในการปรับปรุงเบ็ดเสร็จบนถนนสายหลัก 9 ล้านบาท 9.ค่าจ้างศึกษาสำรวจการจัดทำฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาระบบโครงข่ายด้านขนส่งและจราจรในเขตพื้นที่กลุ่มยุทธศาสตร์ชายแดนจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนบน 1(จ.อุดรธานี หนองบัวลำภู หนองคาย และเลย) 9 ล้านบาท
 10.ค่าจ้างศึกษาพัฒนาปรับปรุง บำรุงรักษาฐานข้อมูลข้อสนเทศและแบบจำลองเพื่อบูรณาการขนส่งและจราจร การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบและระบบโลจิสติกส์ 15 ล้านบาท 11. ค่าจ้างศึกษาจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาและบูรณาการโครงข่ายถนน สะพานข้ามแม่น้ำและการจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร-ปริมณฑล 10 ล้านบาท 12. ค่าจ้างศึกษาการพัฒนาปรับปรุงรักษาศูนย์เทคโนโลยีและการสื่อสารเพื่อการบูรณาการข้อมูลด้านการจราจรและขนส่งอัจฉริยะ การจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาระบบการจราจรและขนส่งอัจฉริยะปี 2555-2560 จำนวน13 ล้านบาท
 13.ค่าจ้างศึกษาความเหมาะสมและออกแบบระบบรถไฟทางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์(ระยะเร่งด่วน ช่วงชุมทางจิระ-ขอนแก่น) 84 ล้านบาท 14. ค่าจ้างศึกษาความเหมาะสมและออกแบบระบบรถไฟทางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์(ระยะเร่งด่วน ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร) 76 ล้านบาท 15. ค่าจ้างศึกษาสำรวจการจัดทำฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาระบบโครงข่ายด้านการขนส่งและจราจรในเขตพื้นที่กลุ่มยุทธศาสตร์ชายแดนจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2(จังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน) 5 ล้านบาท
 16. ค่าจ้างศึกษาพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าในเส้นทางการขนส่งโลจิสติกส์ในแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ และตะวันออก-ตะวันตก ระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน 9 ล้านบาท 17. ค่าจ้างศึกษาเพื่อจัดทำแผนแม่บทในการพัฒนาระบบการขนส่งที่ยั่งยืนและลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ 18. ค่าจ้างศึกษาและพัฒนาระบบงานบริหารสำนักงานอัตโนมัติของ สนข. 3 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,627 17-20  เมษายน พ.ศ. 2554


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 เมษายน 2011, 22:27:29
เชียงราย - สงกรานต์เชียงรายเข้าวันที่สองฝนไม่ตกส่งผลบรรยากาศยิ่งคึกคัก ททท.เชียงรายคาดเงินสะพัดกว่า 350 ล้าน อัตราจองห้องพักแตะ 60% แต่ตัวเลขอุบัติเหตุยังสูง ล่าสุดตายอีก 2 ที่อ.เวียงแก่น ด้านตำรวจจราจรเตรียมเพิ่มระดับคุมเข้มเมาแล้วขับ หลังคาดวันนี้ขนทรายเข้าวัดเสร็จชาวบ้านดื่มฉลองเพียบแน่


       
       วันนี้ (14 เม.ย.54) นายอิสรา สถาปนเศรษฐ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงาน จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่าระหว่างวันที่ 13-17 เม.ย.นี้ ทาง ททท.คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนเชียงรายไม่ต่ำกว่าวันละ 25,000 คน
       
       โดยจากสถิติตั้งแต่วันที่ 13-14 เม.ย.พบว่าตรงกับที่คาดการณ์ไว้ โดยเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 80% และต่างประเทศ 20% และจากการตรวจสอบไปยังสายการบินไทยและแอร์เอเชียพบว่าการบินระหว่างท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายกับสนามบินสุวรรณภูมิ ระหว่างวันที่ 10-13 เม.ย.นั้นเต็มหมดทุกเที่ยวบิน
       
       นายอิสรา กล่าวต่อไปว่า ส่วนระหว่างวันที่ 14-17 เม.ย. พบว่าผู้โดยสารที่เดินทางไปยัง จ.เชียงราย จะเริ่มลดลงเพราะเป็นช่วงเดินทางกลับ ทำให้การจองเที่ยวบินน้อยกว่าเดิมประมาณ 50% และทำให้การเดินทางจากเชียงรายไปกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นถึง 80-85%
       
       ขณะที่ที่พักภายในจังหวัดซึ่งมีอยู่ทั้งหมดประมาณ 7,000 ห้องพัก คาดว่าจะมีอัตราการเข้าพักประมาณ 55-60% ซึ่งถือว่ามากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีอยู่แค่ 20% เท่านั้น
       
       นายอิสรา กล่าวอีกว่า สภาพดังกล่าวคาดการณ์ว่าจะทำให้ปีนี้มีเงินสะพัดจากการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ไม่ต่ำกว่า 350 ล้านบาท โดยมีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวงานสงกรานต์ทั้งในเขตเทศบาลนครเชียงรายและอำเภอต่างๆ เช่น แม่สาย เชียงแสน เชียงของ รวมทั้งบริเวณชายแดนไทย-พม่า และไทย-สปป.ลาว
       
       ขณะที่บรรยากาศเทศกาลสงกรานต์ใน จ.เชียงราย ในวันนี้ถือว่าดีขึ้นเนื่องจากไม่มีฝนตกลงมา มีเพียงหมอกจัดในช่วงเช้ามืดก่อนที่อากาศจะสดใสและมีแดดตั้งแต่ช่วงเช้า ทำให้การเล่นน้ำสงครามคึกคักกว่าวันที่ 13 เม.ย.ซึ่งมีฝนตก อย่างไรก็ตามด้านสถิติอุบัติเหตุก็กลับเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
       
       โดยสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.เชียงราย สรุปตัวเลขการเกิดอุบัติเหตุว่าได้เกิดอุบัติเหตุช่วง 3 วันที่ผ่านมาจำวน 77 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตเป็นชายทั้งหมดจำนวน 4 ราย และบาดเจ็บจำนวน 85 ราย โดยเป็นชายจำนวน 69 รายและหญิง 16 ราย ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าท้องที่ที่เกิดอุบัติเหตุและเป็นสาเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตยังคงเป็น อ.เวียงแก่น โดยมีผู้เสียชีวิต 2 ราย คือนายอัครเดช บุญยประพันธ์ อายุ 46 ปี ประสบอุบัติเหตุขับขี่รถจักรยานยนต์ไปชนรถบรรทุกหกล้อที่ถนนเลาะแม่น้ำโขงชายแดนไทย-สปป.ลาว ที่หมู่บ้านท่าข้าม ต.หล่ายงาว อ.เวียงแก่น และนายวิษณุ แซ่ฟ้า อายุ 17 ปี บนถนนสายเดียวกันที่หมู่บ้านทรายทอง ต.ปอ อ.เวียงแก่น  เพราะขับรถยนต์กระบะพลิกคว่ำ ซึ่งถนนดังกล่าวไม่มีการจราจรแออัดเพราะเป็นชนในชนบท แต่มีความคดเคี้ยวในบางช่วงโดยเฉพาะช่วงที่ผ่านบางหมู่บ้าน
       
       นายวิรัตน์ แสนอุดม ผอ.แขวงการทางเชียงรายที่ 2 กล่าวว่า กรณีเกิดอุบัติเหตุบนถนนสาย อ.เวียงแก่น บ่อยครั้งนั้น พบว่าถนนสายดังกล่าวสภาพผิวจราจรดีและมีป้ายสัญญาจรต่างๆ ครบถ้วน แต่อาจมีโค้งและเป็นเนินตามสภาพภูมิประเทศและชุมชน ดังนั้นอุบัติเหตุน่าจะเกิดจากตัวผู้ขับขี่เองมากกว่า
       
       ในวันเดียวกันนี้ นายวัลลภ พริ้งพงษ์ รองปลัดกระรวงมหาดไทย ได้เดินทางมาประชุมร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายเร่งคุมเข้มการเกิดอุบัติเหตุตามถนนสายรองในชนบท รวมทั้งเข้มงวดกฎหมายจราจรโดยเฉพาะการดื่มสุราแล้วขับขี่ยานพาหนะ ซึ่งทาง พ.ต.ท.สรัญรัฐ ชยนนท์ สารวัตรจราจร สภ.เมือง ระบุว่า ช่วงคืนที่ผ่านมาได้ดำเนินคดีกับผู้ที่เมาแล้วขับจำนวน 28 ราย ส่วนในวันนี้จะตรวจตราอย่างเข้มงวดมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะช่วงเย็น เพราะคาดว่าหลังพิธีขนทรายเข้าวัดจะมีการดื่มฉลองกันเป็นจำนวนมาก


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 เมษายน 2011, 10:44:56
ททท.จับมือเอกชน กระตุ้นท่องเที่ยว เมืองรองภาคเหนือ



 นายสุภกิตต์ พลจันทร ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนมิถุยายน-ตุลาคมนี้ ททท.จะร่วมกับ 4 สมาคมเอกชนด้านการท่องเที่ยว จัดทำแพ็คเกจทัวร์ดึงนักท่องเที่ยวในประเทศให้เดินทางท่องเที่ยวยังหัวเมืองรองของภาคเหนือ ได้แก่ น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ พิจิตร เพชรบูรณ์ เป็นต้น นอกเหนือจากท่องเที่ยวในเมืองหลักอย่างเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน

 "สถานที่ท่องเที่ยวหัวเมืองรองของภาคเหนือสวยไม่แพ้กับเมืองท่องเที่ยวหลักๆ และถ้าเกิดปัญหาวิกฤตต่างๆที่เมืองท่องเที่ยวหลัก นักท่องเที่ยวก็สามารถไปเที่ยวหัวเมืองรองได้ อีกทั้งยังเป็นการประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆที่นักท่องเที่ยวยังไม่รู้จัก โดยจะมีการนำหน่วยงานท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ไปออกบูธในงานเที่ยวเมืองไทย ในเดือนมิถุนายนนี้"นายสุภกิตต์ กล่าว

 สำหรับในปี 2554 นี้ ภาพรวมการท่องเที่ยวในภาคเหนือทั้งหมด ททท.คาดว่าจะมีการขยายตัว 11-12% จากปี 2553 เป็นผลมาจากปัจจัยบวกหลายด้านที่ทำให้การท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้ขยายตัวดีขึ้น เช่น ปัญหาการเมืองที่มีน้อยลง


http://www.naewna.com/news.asp?ID=257960


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 เมษายน 2011, 22:38:14
เชียงราย - สำนักนโยบายและแผนการขนส่งฯเดินหน้าทำพิมพ์เขียวคมนาคม 4 จังหวัดเหนือ มุ่งเน้นเชื่อม สป.จีน เป็นเป้าหลัก พร้อมดันทำระบบขนส่งมวลชนเต็มที่ ชี้ รัฐบาลเดินผิดทาง มุ่งแต่สร้างถนน แต่ละเลยขนส่งมวลชน อ้างไม่คุ้มทุน ด้านรองผู้ว่าฯเชียงราย จี้เร่งคืนชีพรถไฟเด่นชัย-เชียงราย หลังถูกดองมา 50 ปี

(http://pics.manager.co.th/Images/554000005119101.JPEG)

       
       วันนี้ (19 เม.ย.) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม ได้จัดประชุมกลุ่มย่อยบูรณาการ 4 จังหวัด ตามโครงการ “ศึกษาสำรวจการจัดทำฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาระบบโครงข่ายด้านการขนส่งและจราจรในเขตพื้นที่กลุ่มยุทธศาสตร์ชายแดนจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน)” ณ โรงแรมริมกกรีสอร์ท อ.เมือง จ.เชียงราย
       
       โดยมี นายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด และคณาจารย์จากสถาบันการศึกษาหลายแห่ง ซึ่งออกจัดเก็บข้อมูลใน 4 จังหวัด นำโดย ผศ.ดร.พนกฤษณ คลังบุญครอง, รศ.ลำดวน ศรีศักดา, ดร.รังสรรค์ อุมศรี และ ผศ.ดร.มนสิชา เพชรานนท์ นำเสนอข้อมูล และมีตัวแทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมคับคั่ง
       
       นายวิจิตต์ นิมิตรวานิช ผู้อำนวยการ สนข.เปิดเผยว่า โครงการนี้มีระยะเวลาดำเนินการ 15 เดือน ปัจจุบันดำเนินการมาได้ 3 เดือนแล้ว โดยเก็บข้อมูลและนำมาวางแผนสำหรับพิจารณาดำเนินการก่อสร้างตามโครงการคมนาคมต่างๆ ให้เหมาะสมกับความต้องการ สภาพความเป็นจริง สิ่งแวดล้อม ความเหมาะสม งบประมาณ ฯลฯ และเชื่อมโยงระหว่างยุทธศาสตร์ระดับประเทศและพื้นที่เข้าด้วยกัน ซึ่งผลการศึกษาจะนำเสนอไปยังกระทรวงคมนาคมพิจารณาแยกแยะว่าโครงการใดเป็นหน้าที่ของรัฐบาล กระทรวงและส่วนท้องถิ่นต่างๆ เพื่อนำไปปฏิบัติให้เหมาะสมต่อไป
       
       นายวิจิตต์ กล่าวว่า ซึ่งผลการศึกษา 3 เดือนที่ผ่านมาพบหลากหลายประเด็น เช่น บางโครงการมีการก่อสร้างอย่างเร่งด่วน ไม่มีงบประมาณรองรับ และนโยบายส่วนกลางแทรกแซง เป็นต้น และผลจากข้อมูลต่างๆ ทั้งหมดก็จะมีการนำมาประชุม ลงพื้นที่จริง จากนั้นราวเดือน ก.ย.2554 จะกลับไปนำเสนอในการสัมมนาใหญ่ที่ เชียงราย อีกครั้งก่อนนำเสนอให้รัฐบาลราวต้นปี 2555 เพื่อนำไปดำเนินการต่อไป
       
       นายวิจิตต์ ย้ำว่า การวางแผนทั้งหมดของเราขึ้นอยู่หลายด้าน เช่น ต้องปรับให้เข้ากับยุทธศาสตร์ของประเทศจีนที่มีการขยายโครงข่ายคมนาคมและเศรษฐกิจลงทางใต้ผ่านประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งผลในปัจจุบันก็เห็นชัดเจนในโครงการต่างๆ ของประเทศไทยที่มีรองรับเอาไว้แล้ว เช่น ท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2-สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่ อ.เชียงของ ฯลฯ
       
       “อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาทั้งหมดพบว่า การก่อสร้างไม่ใช่คำตอบของการวางแผนด้านการคมนาคม แต่คำตอบที่แท้จริงคือ การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้มีคุณภาพ” นายวิจิตต์ กล่าว
       
       ซึ่งด้วยความเจริญเติบโตของสังคมตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และไปสู่อนาคต ทำให้ทราบว่าไม่ว่าจะก่อสร้างถนน เพิ่มเส้นทางคมนาคมอื่นๆ อย่างไร ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความแออัดและความต้องการของประชากรได้ แต่ต้องพัฒนาระบบขนส่งมวลชน เช่น ระบบราง รถเมล์ ฯลฯ ไม่เช่นนั้นประชาชนผู้ใช้เส้นทางคมนาคมก็จะต้องเป็นทุกข์เช่นนี้เรื่อยไป
       
       นายวิจิตต์ กล่าวอีกว่า ปีที่ผ่านมา ไทยมีรถยนต์เพิ่มขึ้น 500,000-700,000 คน บางปีเศรษฐกิจดีก็ทะลุขึ้นถึง 800,000 คน แต่รัฐขยายระบบขนส่งมวลชนน้อยมาก กลับไปทุ่มงบประมาณกับการก่อสร้างถนนหนทางปีละนับหมื่นล้านบาท เพราะมักจะไปผูกมัดกับแนวคิดที่ว่าโครงการขนส่งมวลชนไม่คุ้มทุน ทั้งที่ความเป็นจริงต้องมองความจำเป็นในการอำนวยความสะดวกให้ประชาชน เช่น กรณีรถไฟสายเชียงราย-เด่นชัย จ.แพร่ ซึ่งศึกษามานานแต่ไม่ก่อสร้างเพราะมองเรื่องการคุ้มทุนนั้น ควรมองในมิติใหม่ เพียงแต่โครงการนี้ ก็ยอมรับว่ามีปัญหามากเพราะรถไฟต้องใช้ระยะเวลาก่อสร้างยาวนานจึงต้องอาศัยรัฐบาลที่มีความต่อเนื่อง
       
       ด้าน นายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า เชียงราย มีความต้องการรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย มานานหลายสิบปี เพราะมียุทธศาสตร์เชื่อมโยงกับจีนตอนใต้และอำนวยความสะดวกด้วยระบบรางในด้านอื่นๆ แต่กลับมาศึกษาความคุ้มทุนใหม่อยู่ร่ำไป กระทั่งล่าสุดมีการศึกษาอีก ตนคาดว่า หากจะก่อสร้างจริงก็น่าจะเป็นอีกประมาณ 3 ปีข้างหน้า และหากไม่ก่อสร้างต้นทุนก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ และความคุ้มทุนก็จะลดลงมากขึ้นตามมาด้วย
       
       รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับโครงรถไฟเด่นชัย-เชียงราย ยืดเยื้อมายาวนานร่วม 50 ปี กระทั่งเมื่อปี 2544 การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ได้เคยศึกษาและออกแบบก่อสร้างเส้นทางแล้วเสร็จแต่ก็ยังไม่ดำเนินการ กระทั่งปี 2553-2554 รัฐบาลได้ให้ศึกษาอีกครั้งด้วยงบประมาณ 200 ล้านบาทให้ศึกษารถไฟรางคู่ขนาดกว้าง 1.453 เมตร เชื่อมเด่นชัย-เชียงราย ระยะทาง 246 กิโลเมตรและจากเชียงราย-สันยาว 40 กิโลเมตรเลี้ยวซ้ายไปทาง อ.เชียงแสน และจากสันยาว-เชียงของ จุดก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงไทย-สปป.ลาว-ถนนอาร์สามเอ-จีนตอนใต้ อีก 40 กิโลเมตรด้วย

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000047959


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 เมษายน 2011, 19:18:47
ทุนจีนดอดจับมือเอกชนไทยทุ่มพันล้านตั้งโรงงานขนยางพาราส่งจีน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   20 เมษายน 2554 13:34 น.


       พะเยา - กลุ่มทุนยางพาราจีน ดอดจับมือเอกชนไทย เตรียมผุดโครงการร่วมทุนยางฯครบวงจร รับผลผลิตเชียงราย-พะเยา ส่งเข้าตลาดจีนนำร่อง ก่อนขยายฐานเข้าสู่แหล่งผลิตยางพาราชั้นดีของไทยต่อ วางแผนขนเม็ดเงินลงทุนนับพันล้านใน 3 ปีต่อจากนี้
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดพะเยาแจ้งว่า ขณะนี้ได้มีกลุ่มอุตสาหกรรมยางพาราในนามบริษัท ฮกเกี้ยน และ บริษัทเทียนจิน ประเทศจีน ภายใต้การนำของนางหวัง ลี่ ฮวย เดินทางมาสำรวจวัตถุดิบยางพาราในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน คือ พะเยา และเชียงราย จากนั้นได้ตกลงร่วมทุนกับกลุ่มนักธุรกิจยางพาราในพื้นที่ โดยการประสานงานของนายรุ่งโรจน์ เหมันต์สุทธิกุล ที่ปรึกษาและหุ้นส่วนโครงการอุตสาหกรรมยางพาราครบวงจร
       
       นายรุ่งโรจน์ เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวเป็นการร่วมทุนระหว่างกลุ่มนักธุรกิจยางพาราและนักธุรกิจยางพาราของไทย มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท มีฐานการผลิตที่ภาคเหนือตอนบน โดยใช้พื้นที่จังหวัดพะเยา และเชียงราย เป็นศูนย์กลางการผลิตและแปรรูปยางพาราครบวงจร ทั้งยางแผ่นดิบ แผ่นดิบรมควัน น้ำยาง ยางแท่ง และน้ำยางข้น ซึ่งจะมีวัตถุดิบยางพาราจากจังหวัดข้างเคียงเข้ามา เช่น แพร่ น่าน ลำปาง จากนั้นอาจจะมีการขยายและต่อยอดไปยังจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป
       
       ที่ปรึกษาและหุ้นส่วนโครงการฯ กล่าวต่อว่า แผนงานธุรกิจของโครงการ ฯ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การผลิตยางแผ่นดิบรมควัน ระยะที่ 2 การผลิตยางแท่ง และระยะที่ 3 การผลิตน้ำยางข้น หลังจากเปิดตัวโครงการในเดือนเมษายน 2554 นี้ คาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดในพื้นที่จังหวัดพะเยา และเชียงราย ไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้กลุ่มทุนเอกชนทั้งสองกลุ่มได้ลงนามทำข้อตกลงร่วมกันเรียบร้อยแล้ว พร้อมเดินหน้าอย่างเต็มที่
       
       “เหตุผลที่นักลงทุนของไทยและจีนให้ความสนใจมาลงทุนอุตสาหกรรมยางพาราครบวงจรที่ภาคเหนือตอนบน เนื่องจากสำรวจพบว่าเป็นแหล่งการผลิตยางพาราที่มีคุณภาพและพื้นที่ปลูกขยายมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และภาครัฐมีนโยบายให้การสนับสนุนทุกปี ประกอบกับภาครัฐได้จัดทำระบบขนส่งวัตถุดิบเพื่อรองรับการส่งออกไปสู่ประเทศจีนที่เห็นได้อย่างชัดเจน และที่มากไปกว่านั้นเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้จะสร้างความมั่นคงด้านเศรษฐกิจให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางพาราของภาคเหนือและภาคอื่น ๆ ในอนาคตได้ เพราะไม่ต้องถูกพ่อค้าคนกลางมาตัดราคาหรือหักหัวคิวอีกต่อไป” นายรุ่งโรจน์ กล่าว
       
       ด้านนางหวัง ลี่ ฮวย กล่าวว่า ที่เลือกลงทุนกับนักธุรกิจยางพาราในภาคเหนือของไทย เพราะได้รู้จักคุ้นเคยกับนายรุ่งโรจน์ มาก่อน ที่สำคัญทราบว่าคนไทยมีความรับผิดชอบ เมื่อได้มาสำรวจพื้นที่การปลูกยางและเห็นผลผลิตยางพาราแล้ว มีความมั่นใจว่าโครงการดังกล่าวจะมีความยั่งยืนมั่นคง เพราะมีศักยภาพใน
       
       นางหวัง ลี่ ฮวย บอกว่า โครงการนี้จะสามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรสวนยางพาราของไทยในอนาคตได้มาก นอกจากนี้ประเทศจีนมีความต้องการใช้ยางพารามากขึ้น สังเกตได้จากทุกครัวเรือนมีการซื้อรถยนต์ซึ่งต้องใช้ยางพาราทำล้อรถ ดังนั้นคาดว่าภายในอนาคตอีก 20-30 ปี ชาวจีนยังคงต้องการยางพาราอีกมาก
       
       ขณะที่นาย เจตพร สังข์ทอง ผู้จัดการสหกรณ์ชาวสวนยางพะเยา จำกัด กล่าวว่า เมื่อได้เห็นชัดเจนว่าขณะนี้มีกลุ่มธุรกิจที่ต้องการรับซื้อยางพาราจากไทย ทำให้ทางสหกรณ์ ฯ มั่นใจว่าต้นน้ำ คือกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา จะไม่ต้องกังวลเรื่องยางพาราล้นตลาด และที่สำคัญไม่ต้องห่วงว่าจะถูกพ่อค้าคนกลางตัดราคาหรือหักหัวคิวในการซื้อขายยางพาราอีกต่อไป เพราะเมื่อมีกลุ่มอุตสาหกรรมยางพาราครบวงจรคือผู้รับซื้อโดยตรง จะตัดวงจรพ่อค้าคนกลางไปในทันที และสหกรณ์ ฯ จะเป็นจุดรวบรวมยางพาราของเกษตรกรให้เกษตรกรมั่นใจในอาชีพชาวสวนยางด้วย
       
       “อนาคตจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จังหวัดพะเยา จะได้รับการพัฒนาตัวเองให้กลายเป็นศูนย์กลางการค้ายางพาราคาครบวงจร และ สามารถประกาศราคาตลาดรับซื้อ-ขาย ยางหลักของภาคเหนือ” นายเจตพร กล่าว

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000047884


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: AOWTHAI ที่ วันที่ 22 เมษายน 2011, 12:28:23
ข่าวความคืบหน้าครับ จากช่อง3


http://www.krobkruakao.com/ข่าว/36915/รายงาน--คืบหน้าสะพานไทยมิตรภาพแห่งที่-4.html


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: ssss99 ที่ วันที่ 22 เมษายน 2011, 13:26:35
แวะมาดูจ้า


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 เมษายน 2011, 08:51:22
ทย-จีนลงนามตรวจสินค้าผ่านR3 เกษตรเตรียมรุกหนักส่งออก คาดดันปริมาณเพิ่มกว่า10%



 นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรฯได้ลงนามพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบ สำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างไทยและจีนอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะส่งผลให้ไทยส่งออกผลไม้ไปจีนผ่านเส้นทางบกสาย R3A หรือ R3E โดยเริ่มจาก อ.เชียงของ จ.เชียงราย ผ่านเมืองห้วยทราย บ่อแก้ว หลวงน้ำทา บ่อเต็น ของลาว เข้าสู่เมืองโม่หาน จิ่งหง เชียงรุ้งมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีระยะทางประมาณ 1,104 กิโลเมตร ทำให้เส้นทางสายนี้จะเป็นเครื่องมือให้เกิดการขยายตัวทางการค้าผลไม้ระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น

 ทั้งนี้ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับ คือ ลดเวลาในการขนส่งเหลือเพียง 2-3 วัน จากปกติทางเรือใช้เวลา 5-7 วัน ทำให้ผลไม้ไทยมีความสดยาวนานขึ้นและกระจายผลไม้ไปยังตลาดเมืองยูนนานมณฑลตะวันตกเฉียงใต้ของจีนได้โดยตรง จากเดิมต้องผ่านฮ่องกง-เสิ้นเจิ้น หรือตลาดเจี้ยงหนาน กวางโจวแล้วจึงกระจายต่อไปมณฑลต่างๆ ของจีน นอกจากนี้ผลไม้ที่นำเข้าจากจีนผ่านเส้นทางนี้จะมีคุณภาพ มาตรฐานและความปลอดภัยต่อผู้บริโภคชาวไทยมากขึ้น เนื่องจากจะมีการควบคุมคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยจากต้นทางของทั้งสองประเทศ

 โดยคาดว่า จะเพิ่มโอกาสการขยายปริมาณและมูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีนมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นตลาดส่งออกผลไม้ที่สำคัญของไทย ซึ่งไทยสามารถส่งออกผลไม้คุณภาพดีไปจีนได้ปีละกว่า 5,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในช่วงปี 2550-2552 ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งส่งออกจำนวน 4,424 , 4,967, 6,875 ล้านบาทตามลำดับ และช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2553 ส่งออกรวม 5,988 ล้านบาท ซึ่งผลไม้ที่ส่งออกมากที่สุดได้แก่ ทุเรียน ลำไย มังคุด มะพร้าว มะม่วง และสำหรับผลไม้แห้งที่ไทยส่งออกมากที่สุด ได้แก่ ลำไยแห้ง มะขามแห้ง จากสถิติดังกล่าวคาดการณ์ว่าจะมีการขยายตัวทางการค้าผลไม้ระหว่างกันเพิ่มมากขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% มูลค่าประมาณ 500 ล้านบาทเนื่องจากมีการส่งออกผ่านเส้นทางบกที่กระทรวงเกษตรฯ เจรจาเปิดเส้นทางทั้งสาย R9 และ R3

http://www.naewna.com/news.asp?ID=258718


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 เมษายน 2011, 16:57:40
พาณิชย์ปลื้มฝีมือกองทุนFTA ดันสับปะรดนางแลเจาะญี่ปุ่น

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน   26 เมษายน 2554 10:14 น.


       ASTVผู้จัดการรายวัน-กองทุน FTA ปลื้มดันสับปะรดนางแลเจาะตลาดญี่ปุ่นสำเร็จ
       
          นายสุรศักดิ์ เรียงเครือ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ร่วมกับคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กรมส่งเสริมการส่งออก นำสับปะรดสด สายพันธุ์นางแล จังหวัดเชียงราย ที่เป็นผลผลิตภายใต้โครงการนำร่องการพัฒนาคุณภาพด้านการผลิตและการตลาดเพื่อส่งออกสับปะรดผลสดไทย ภายใต้สิทธิประโยชน์ทางการค้าตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA)ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่กองทุน FTA ได้ให้ความช่วยเหลือ ไปจัดแสดงเพื่อแนะนำสินค้าแก่ผู้ค้าและบริษัทผู้นำเข้าสินค้าผลไม้สดของญี่ปุ่นในงาน Foodex Japan 2011 เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
       
          “มีผู้นำเข้าญี่ปุ่นจำนวน 3 ราย ได้เริ่มการเจรจาการค้ากับบริษัทผู้ส่งออกไทยที่ร่วมในโครงการในการนำสินค้าสับปะรดสดสายพันธุ์นางแลผลสดไปจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นในช่วงฤดูร้อนนี้ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จอีกครั้งของกองทุน FTA กระทรวงพาณิชย์ที่ได้ช่วยผลักดันให้สับปะรดผลสดไทยเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้น”นายสุรศักดิ์กล่าว
       
          ที่ผ่านมา กองทุน FTA กระทรวงพาณิชย์ได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานในการผลิตสับปะรดผลสด โดยสร้างระบบตรวจสอบย้อนกลับเพื่อสร้างความมั่นใจในการบริโภค เพิ่มขีดความสามารถในการผลิต การจัดการก่อนและหลังการเก็บเกี่ยว และการหาช่องทางการตลาดในการเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่น


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 เมษายน 2011, 17:07:07
แผนพัฒนาอำเภอแม่สายสู่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนภาคเหนือ : เขตปกครองพิเศษ

จุดเริ่มจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2545 ได้เห็นชอบให้มีการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนในพื้นที่นำร่อง 3 พื้นที่ก่อน ได้แก่ ที่อำเภอแม่สาย อำเภอเชียงแสน และอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา เนื่องจากเห็นว่า พื้นที่ชายแดนเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพและเป็นทางเลือกหนึ่งในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน เพื่อนำไปสู่การเป็นประตูการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
สำหรับเชียงราย เป็นประตูเศรษฐกิจที่สำคัญ จะส่งผลให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการผลิต การค้า การลงทุน และการคมนาคมขนส่งของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยกำหนดบทบาทเมืองชายแดนแต่ละเมือง ดังนี้
· แม่สาย(เมืองหลัก) เป็นศูนย์กลางการค้า บริการ และการท่องเที่ยว และเป็นประตูเชื่อมโยงกับประเทศ เพื่อนบ้าน กำหนดให้นักธุรกิจต้องอาศัยในเมืองแม่สายอย่างน้อย 3 วันเพื่อจับจ่ายใช้ส่อย
· เชียงแสน(เมืองลูก) เป็นประตูการค้าเชื่อมกับจีนตามแนวลำน้ำโขง และเป็นศูนย์กลางเขตเศรษฐกิจพิเศษ
· เชียงของ(เมืองลูก) เป็นพื้นที่อยู่ในเส้นทางถนนเชื่อมไปจีนโดยผ่าน สปป.ลาว ส่งผลให้เชียงของมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นเขตนิคมอุตสาหกรรมเกษตรครบวงจร และเขตอุตสาหกรรมทั่วไป
 หลังจากนั้นในปี 2547 ทางการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้อนุมัติให้จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเชียงแสน ขึ้นที่บริเวณบ้านศรีบุญยืน ต.ศรีดอนมูล อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ในพื้นที่ 1,500 ไร่ โดยใช้งบประมาณ การก่อสร้างประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งคาดกันว่าจะสามารถรองรับโรงงานอุตสาหกรรมได้ประมาณกว่า 100 แห่ง โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 1 แสนล้านบาทแต่ภายหลังถูกต่อต้านคัดค้านจากชาวบ้านในพื้นที่ เนื่องจากโครงการดังกล่าวไม่เหมาะสมกับพื้นที่ เนื่องจากเชียงแสนเป็นเมืองประวัติศาสตร์ และอาจมีการเสนอให้เป็นมรดกโลกในอนาคต นอกจากนั้นกลุ่มชาวบ้านยังหวั่นวิตกกันว่าหากมีการสร้างนิคมอุตสาหกรรมแล้วจะก่อให้เกิดปัญหาผลกระทบต่อชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่โดยรวม
กระทั่ง เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2549 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้มีการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในเขต ต.ศรีดอนชัย และ ต.สถาน อ.เชียงของ ในเนื้อที่ประมาณ 16,000 ไร่ บริเวณทุ่งสามหมอน ต่อมาได้ปรับพื้นที่คงเหลือ นิคมอุตสาหกรรม จำนวน 6,250 ไร่ ซึ่งอ้างกันว่า หากสามารถดึงการลงทุนจากประเทศจีนมายังนิคมอุตสาหกรรมที่ อ.เชียงของ ไม่เพียงจะเป็นการสร้างงานให้กับคนในพื้นที่แล้ว ยังสอดรับกับการก่อสร้างถนนสาย R3A ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างเชียงของ-หลวงน้ำทา-เชียงรุ้ง-คุนหมิง ซึ่งในปี 2555 โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) จะแล้วเสร็จ
โดยเน้นอุตสาหกรรมที่มีการเพิ่มมูลค่าโดยใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มมูลค่าในการผลิตและเป็นอุตสาหกรรมสะอาด ประกอบด้วย แปรรูปเกษตรและอาหาร อัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งทอขั้นปลาย บริการขนส่ง เครื่องใช้ไฟฟ้า/electronics ยา/เครื่องสำอางสมุนไพร อุปกรณ์และเครื่องจักรกลการเกษตร หัตถกรรม/OTOP และแปรรูปไม้และการพิมพ์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดึงนักลงทุนเข้าลงทุนในพื้นที่ถือว่ายังล่าช้ามาก

ประเด็นท้าทายเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนภาคเหนือ
ถึงแม้ว่าเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ ส่วนใหญ่แล้วไม่มีความคืบหน้าในเชิงรูปธรรมหากแต่เป็นการผลักดันโครงการแบบแยกส่วนพื้นที่เชียงรายก็จะมุ่งเน้นเรื่องนิคมอุตสาหกรรมเป็นหลัก ภายใต้โครงสร้างของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเขตเศรษฐกิจพิเศษ ส่วนที่อำเภอแม่สอดกลับมองเชิงการบริหารจัดการในเชิงการเมืองการปกครองนำก่อน แล้วค่อยแตะเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษจึงเป็นโมเดลทางเลือกที่น่าสนใจว่าในแต่ละพื้นที่จะเดินหน้าอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายและปัญหา รวมถึงเงื่อนไขของความสำเร็จของเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนซึ่งเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก อยู่ที่การออกกฎหมายแม่หรือ พรบ.เขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะคลอดออกมาแล้วได้รับการยอมรับหรือไม่เป็นประการแรก ส่วนประเด็นอื่น ๆ ที่มีความสำคัญคือ ภาครัฐต้องลงทุนสูงมากในการพัฒนาแก้ไขปัญหาเมือง โดยเฉพาะเรื่องปัญหาผังเมืองและบังคับใช้เพื่อจัดระเบียบการพัฒนา การออกมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ กำหนดประเภทอุตสาหกรรมที่ไม่มีมลภาวะในพื้นที่ กำหนดรูปแบบให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารและจัดการสิ่งแวดล้อม ซึ่งจำเป็นที่จะต้องสร้างกลไกถาวรที่เข้าถึงภาคเอกชน องค์กรท้องถิ่นผู้นำประชาชน สื่อสาธารณะ และประชาชนชุมชนในพื้นที่ เนื่องจากปัญหาที่จะตามมาเช่น อาชญากรรม ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากมลพิษ และขยะ เป็นต้น
นอกจากนั้นภาครัฐจะต้องเข้ามาดูแลโดยตรงเรื่อง การจำแนกประเภทพื้นที่สำหรับการเกษตรและอุตสาหกรรม การปฏิบัติตามผังเมืองรวมโดยเคร่งครัด มาตรการด้านการใช้พื้นที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ ตรวจสอบโครงการที่หน่วยงานอื่นๆดำเนินการไปแล้ว เพื่อมิให้ซ้ำซ้อนกัน ปรับขนาดโครงการตามความเหมาะสม ปรับปรุงกฎระเบียบให้ประชาชนในพื้นที่มีการส่งเสริมในการบริหารและจัดเก็บรายได้
พร้อมกันนั้น ในด้านแผนการตลาด ได้แก่ การเข้าถึงนักลงทุนเป้าหมายทั้งในและระหว่างประเทศก็เป็นเรื่องสำคัญคู่ขนานที่จะแข่งขันดึงนักลงทุนจากภายในและต่างประเทศมาลงทุนในพื้นที่อย่างไร ซึ่งจะต้องดูเรื่อง กฎระเบียบนโยบายมาตรการส่งเสริมการลงทุน ความสามารถในการกำหนด Incentive Package ครอบคลุมสิทธิพิเศษที่สูงกว่าประเทศใกล้เคียง
ในด้านการบริหารจัดการในพื้นที่จะต้องแบบเบ็ดเสร็จ รวดเร็ว โดยเน้นการบริหารจัดการในพื้นที่ที่มีเจ้าภาพในการพัฒนาอย่างมีเอกภาพ และต้องมีกฎหมายรองรับ ซึ่งเรื่องนี้มีกระแสคัดค้านมาก ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทั้งการขัดแย้งกับชุมชนกับนักอุตสาหกรรมหรือกลุ่มผลประโยชน์ทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่น เช่น ปัญหาด้านแรงงานต่างด้าวจะต้องมีการจัดการให้เป็นระบบไม่ใช่แย่งแรงงานกันเองในแต่ละจังหวัด มิฉะนั้น นักลงทุนซึ่งไม่ใช่คนในพื้นที่อาจไม่กล้าเข้ามาลงทุน เป็นต้น ดังนั้น การให้ได้มาทั้งกรรมการ , ผู้จัดการเขตเศรษฐกิจพิเศษและการให้ได้ซึ่งพื้นที่ ที่จะต้องมีความชอบธรรม มีหลักการคานอำนาจ และมีการตรวจสอบอย่างเคร่งครัด

http://www.vmekongmedia.com


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 30 เมษายน 2011, 08:02:15
ไทย-ลาว-จีนนัดตั้งวงถกต้นเดือนหน้า-สางปัญหาสร้างสะพานโขง 4
 
ประกาศเมื่อ 30 เมษายน 2011

(http://pics.manager.co.th/Images/554000005631601.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/554000005631602.JPEG)
(http://pics.manager.co.th/Images/554000005631603.JPEG)


หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งไทย - ลาว - จีน นัดตั้งวงหารือปัญหาสร้างสะพานน้ำโขง 4 ต้นเดือนพฤษภาฯนี้ หลังมีปัญหาจีน ยังไม่จ่ายเงิน ทำคนงานก่อนสร้างซวย
       
       เมื่อเร็วๆ นี้ คณะอธิบดีกรมการค้าของประเทศจีน ได้เดินทางไปเยือนชายแดนไทย-สปป.ลาว ที่เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ตรงกันข้าม อ.เชียงของ เพื่อตรวจดูความคืบหน้าในการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อยไทย-สปป.ลาว และถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลทั้ง 3 ประเทศ (จีน-ลาว-ไทย) ที่เริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2553 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธ.ค.2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือนนั้น
       

 
       ซึ่งล่าสุดการก่อสร้างสะพานดังกล่าว ได้เกิดปัญหาขึ้น เพราะคนงานที่ทำการก่อสร้างได้รับค่าแรงเพียง 50% โดยหลังจากที่เริ่มมีการลงมือก่อสร้างตามข้อตกลงทางรัฐบาลไทยได้เร่งรีบถ่ายโอนงบประมาณไปให้กับเอกชนเพื่อทำการก่อสร้างตามขั้นตอน แต่ทางประเทศจีนยังไม่มีการโอนงบประมาณให้กับเอกชนร่วมก่อสร้างดังกล่าวแต่อย่างใด
       
       นายวิรัตน์ แสนอุดม ผู้อำนวยการแขวงการทางเชียงรายที่ 2 กล่าวว่า อย่างไรก็ตามการก่อสร้างก็ยังคงเดินหน้า โดยขณะนี้คืบหน้าไปได้ประมาณ 14% แล้ว ซึ่งก็เป็นไปตามแผนและเราสามารถแก้ไขปัญหาด้านเทคนิคในการก่อสร้างได้อย่างต่อเนื่อง เช่น กรณีเจอหินใต้แม่น้ำโขง เป็นต้น ส่วนกรณีเรื่องงบประมาณในการก่อสร้าง ทางฝั่งไทยไม่มีปัญหาใดๆ


       
       ขณะที่ปัญหางบประมาณจากจีนดังกล่าว ก็จะมีการนัดประชุมกันที่ฝั่ง สปป.ลาว ในราวต้นเดือนพฤษภาคม 54 นี้ เพื่อหารือถึงปัญหาและร่วมกันแก้ไขต่อไป ซึ่งคาดว่าความชัดเจนจะมีขึ้นในการประชุมดังกล่าว ส่วนช่วงนี้ก็ยังคงมีการดำเนินการก่อสร้างไปเรื่อยๆ โดยทางบริษัทกรุงธนฯ ของไทยจะทำหน้าที่ในการก่อสร้างถนน ส่วนประกอบของสะพาน และอาคารด่านพรมแดนทั้ง 2 ฝั่งประเทศ ส่วนบริษัทไชน่าฯ ของจีนจะรับก่อสร้างตัวสะพานให้แล้วเสร็จต่อไป
       
       ด้านนายสงวน ซ้อนกลิ่นสกุล รองเลขาธิการหอการค้า จ.เชียงราย และผู้ประกอบการค้าชายแดนที่เชียงของ กล่าวว่า เชื่อว่าปัญหาทุกอย่างจะได้รับการแก้ไขและคงเป็นเพียงด้านเทคนิคเล็กน้อยจากนี้ไปก็คงจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง จนทำให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาดังกล่าวต่อไป
       
       รายงานข่าวแจ้งด้วยว่าสำหรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงดังกล่าวออกแบบเป็นคอนกรีตรูปกล่องมีเสาตอม่อ 4 ตอม่อ มีความกว้าง 14.70 เมตร เป็นสะพานขนาดสองช่องจราจรๆ ละ 3.50 เมตร และไหล่ทางข้างละ 2 เมตร และทางเท้าข้างละ 1.25 เมตร ความยาว 480 เมตรเมื่อรวมกับถนนติดขอบฝั่งก็จะยาวประมาณ 630 เมตร และโครงการก่อสร้างถนนตัดแยกจากถนนหมายเลข 1020 หรือสายเชียงราย-เชียงของ ในฝั่งไทย เพื่อเป็นจุดสลับการจราจรในฝั่งไทยก่อนไปถึงตัวสะพานอีกประมาณ 5 กิโลเมตร และถนนในฝั่ง สปป.ลาว อีกประมาณ 6 กิโลเมตร สวนอาคารด่านพรมแดนทั้งฝั่งไทยและ สปป.ลาว รูปทรงล้านนาประยุกติ์เพื่อใช้เป็นจุดตรวจปล่อยร่วมกัน ณ จุดเดียวตามหลักประตูเดียว (Single Stop Inspection) รวมเนื้อที่ฝั่งไทยทั้งหมดประมาณ 400 ไร่
 
แหล่งข่าว : ผู้จัดการออนไลน์
นำเสนอโดย : เชียงรายโฟกัสดอทคอ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 02 พฤษภาคม 2011, 22:55:55
รฟท.ส่อแห้วทำไฮสปีดเทรนด์ นายกฯ มอบ "สคร." ดึง "เอกชน" เสียบแทน

นายกฯ มอบ สคร.ศึกษาให้เอกชนร่วมบริหาร โครงการรถไฟความเร็วสูง แทนการรถไฟฯ เนื่อจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ ใช้เงินลงทุนสูงถึง 2 ล้านล้านบาท จึงต้องการความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ ขณะที่ภาครัฐยังคงเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการนี้

นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า สคร.ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ให้ทำการศึกษารูปแบบการบริหารจัดการของโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ที่รัฐบาลมีแผนดำเนินการก่อสร้าง เพื่อพิจารณาว่า รูปแบบใดจะมีประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่ดีกว่ากัน ระหว่างให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เป็นผู้บริหาร หรือให้เอกชนเป็นผู้บริหาร โดยการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ มีรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้น

"โครงการลงทุนลักษณะนี้ ถือเป็นโครงการใหม่ รูปแบบการบริหารจัดการควรเป็นสากล หากให้บริษัทที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่เป็นผู้ดูแล จะทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ เพราะจะมีรัฐเป็นผู้ถือหุ้นด้วย โดยการจัดตั้งอาจใช้เงินไปมาก แต่ขณะนี้ สคร. ยังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว"

ผู้อำนวยการ สคร. กล่าวให้เหตุผลเสริมว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงนี้ มีวงเงินลงทุนสูง และเป็นโครงการที่ต้องใช้เทคโนโลยีในรูปแบบที่ทันสมัยและใหม่สำหรับประเทศไทย ดังนั้น เพื่อให้การลงทุนดังกล่าวประสบผลสำเร็จ การให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนจึงเป็นทางเลือกหลัก

ทั้งนี้ ภายใต้แผนพัฒนารถไฟความเร็วสูงนี้ ประกอบด้วย 5 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-หนองคาย กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ โดยรัฐบาลได้ทำการทดสอบตลาดใน 2 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่และกรุงเทพฯ-ระยอง มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 3 แสนล้านบาท

โครงการลงทุนรถไฟความเร็วสูง เป็นหนึ่งในแผนการลงทุนระยะ 5 ปีของรัฐวิสาหกิจซึ่งตามแผนจะมีวงเงินลงทุนรวม 2 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในภาคต่างๆเช่น ขนส่งพลังงาน และการสื่อสาร โดยวงเงินลงทุนนี้ส่วนใหญ่จะใช้รูปแบบการร่วมลงทุนกับภาคเอกชน แต่ยังไม่ได้กำหนดสัดส่วนชัดเจน

"เราพยายามให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนมากที่สุด เพื่อให้จัดสรรงบประมาณแผ่นดินไปใช้ในโครงการอื่นและขณะที่กฎหมายการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนยังไม่ได้มีผลบังคับใช้ เราจะใช้กฎหมายเดิมไปก่อน และนำผลการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาในปัญหาต่าง ที่เคยเกิดขึ้นมาใช้เกณฑ์"

ขณะนี้ กำลังพิจารณาขายทั้งหุ้นที่จดและไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งหุ้นส่วนที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดมีกว่า 50 บริษัท มูลค่า 3 พันล้านบาท ขณะนี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติให้ สคร.ขายได้ทันทีหากมีความพร้อม ส่วนบริษัทที่จะทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คาดว่าจะขายเฉพาะหุ้นส่วนที่ถือเกิน

"เราจะให้บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินช่วยดูข้อมูลก่อนขายออกไปซึ่งหลักทรัพย์ที่ถือนอกตลาด คงได้ข้อสรุปภายใน 1-2 เดือน ส่วนหลักทรัพย์ที่ถือในบริษัท ซึ่งอยู่ในตลาดหุ้นจะขายในเวลาที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้กระทบต่อหุ้นนั้นๆ ส่วนราคาต้องไม่ต่ำกว่าที่ซื้อมา"


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 03 พฤษภาคม 2011, 16:26:18
Inside Transport


>> ฉบับนี้ขอเริ่มที่การประชุมหารือระดับรัฐมนตรีด้านคมนาคมระหว่างไทย-จีน โดยมี “เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร” รมช.คมนาคม เป็นประธาน พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ได้แก่ กรมเจ้าท่า กรมทางหลวง การท่าเรือแห่งประเทศไทย สำหรับฝ่ายจีนมี Mr.Weng Mengyong รมช.คมนาคม ทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทน ซึ่งการประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความคืบ หน้าของประเด็นความร่วมมือด้านคมนาคม ระหว่างไทย-จีน ได้แก่ การปรับปรุงร่องน้ำทางเดินเรือในแม่น้ำโขง การใช้ประโยชน์ เส้นทาง R3 (คุนหมิง-สปป.ลาว-เชียงราย) โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขง เชียงของ-ห้วยทราย และการจัดทำบันทึกความเข้าใจในการเริ่มใช้ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร ณ จุดผ่ายแดน เชียงของ-ห้วยทราย และจุดผ่านแดน บ่อเต็น-โมฮาน\

http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413352803


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 03 พฤษภาคม 2011, 22:05:05
มฟล.ดึงภาครัฐ-เอกชน-นักวิชาการ ถกผลกระทบแผ่นดินไหว   
 
   
3 พค. 2554 20:30 น.

ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง(มฟล.) จ.เชียงราย ได้มีการจัดการเสวนาเรื่อง "ทิศทางเศรษฐกิจเชียงรายและภาคเหนือตอนบน-ผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว" โดยมีนายสัตวแพทย์ ดร.เทอด เทศประทีม รักษาการแทนอธิการบดี มฟล.เป็นประธาน และมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิด้านแผ่นดินไหว การปกครองและเศรษฐกิจเข้าร่วมครบครัน โดยมีผู้เข้ารับฟังประมาณ 200 คน ซึ่งนายสัตวแพทย์ ดร.เทอด ให้เหตุผลว่าสาเหตุที่มีการจัดเสวนาเพราะเชียงรายตั้งอยู่บนรอยเลื่อนที่มีพลังมากถึง 4 รอย คือรอยเลื่อนเชียงแสน รอยเลื่อนแม่จัน รอยเลื่อนแม่อิง และรอยเลื่อนมูลาว
รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ ประธานกรรมการอำนวยการ มฟล. กล่าวว่า ผลของการเกิดแผ่นดินไหววัดความแรงตามมาตราวัดริคเตอร์ได้ 6.7 ริกเตอร์ ในประเทศพม่าห่างจาก อ.แม่สาย ประมาณ 56 กิโลเมตรเมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้สร้างผลกระทบหลายเรื่อง ทั้งความวิตกกังวล รวมไปถึงด้านการท่องเที่ยว โดยหลังเหตุการณ์นักท่องเที่ยวก็เริ่มเดินทางออกจากจังหวัด ผู้จะเดินทางไปใหม่ก็มักถามข้อมูลเรื่องความมั่นคงของอาคาร สถานการณ์แผ่นดินไหว ฯลฯ ขณะที่ จ.เชียงรายมีความอ่อนไหวหลายด้านจึงจัดเสวนาเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว
ด้านนายสุวิทย์ โคสุวรรณ ผู้อำนวยการส่วนวิจัยรอยเลื่อนมีพลัง กรมทรัพยากรธรณี กล่าวว่า รอยเลื่อนขนาดใหญ่บริเวณ สปป.ลาว-พม่า ใกล้กับภาคเหนือของไทยคือฝั่งพม่ามีรอยเลื่อน "สะแก" ซึ่งเป็นรอยใหญ่ตัดผ่ากลางเมืองปิ่นมะนาเมืองหลวงใหม่ของพม่าโดยเคยไหวแรงถึง 7 ริกเตอร์ ส่วนฝั่งตะวันออกเป็นรอยเลื่อนไม่ใหญ่ แต่มีลักษณะแตกแขนงเป็นหลายรอย โดยรอยเลื่อนใหญ่ที่สุดคือรอยเลื่อน "น้ำมา" ในพม่า ซึ่งสร้างผลกระทบไปเมื่อวันที่ 24 มี.ค.ดังกล่าว และมีรอยเลื่อนย่อยอื่นๆเป็นแขนง เช่น รอยเลื่อนแม่จัน แม่อิง ฯลฯ
สำหรับรอยเลื่อนแม่จันเป็นรอยเลื่อนที่ยาวที่สุด และอาจส่งผลกระทบ โดยมีความยาวประมาณ 150 กิโลเมตร ตั้งแต่ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ทอดยาวผ่านบ้านกิ่วสะไต-บ่อน้ำพุร้อนป่าตึง-แม่จัน-เชียงแสน-สปป.ลาว โดยสันนิฐานว่าเคยไหวแรงจนทำให้เกิดตำนานเวียงหนองหล่มหรือเมืองในอาณาจักรโยนกนครล่มลงเมื่อนับพันปีก่อน ทั้งนี้สำหรับภาพรวมของเชียงรายหรือภาคเหนือของไทยถือว่าอยู่ในเขตแผ่นดินไหวระดับปานกลาง ไม่รุนแรงเหมือนในพม่า กระนั้นก็ไม่ควรประมาทเพราะแผ่นดินไหวพยากรณ์ล่วงหน้าไม่ได้ จึงขอให้ทุกฝ่ายทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชนและประชาชนทั่วไปได้ปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมอาคารซึ่งกำหนดให้ 10 จังหวัดภาคเหนือสร้างให้รองรับแผ่นดินไหว ดูแลโดยกรมโยธาะการและผังเมืองซึ่งบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2540อย่างเข้มงวดด้วย สำหรับรอยเลื่อนต่างๆ มีการพยากรณ์รอบของการสั่นไหวแตกต่างกันไป เช่น รอยเลื่อนสะแกในพม่ามีรอบการไหว 100 ปี ส่วนรอยเลื่อนแม่จันประมาณ 1,000 ปี
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า จากนั้นมีการเสวนาทิศทางเศรษฐกิจเชียงรายและภาคเหนือตอนบน โดยมีวิทยากรที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวครบครัน ซึ่งนายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้ให้รายงานถึงความพร้อมของภาครัฐในการระดมพลหากเกิดเหตุการณ์ขึ้น ส่วน ดร.ปรเมธี วิมลศิริ รองเลขาธิการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิในญี่ปุ่นครั้งล่าสุด ทำให้การเจริญเติบโตของญี่ปุ่นลดลงเพียง 0.2-0.5% ดังนั้นผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการเตรียมพร้อม
ด้านนายศุกรีย์ สิทธิวนิช ผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า เชียงรายควรโหมประชาสัมพันธ์ 750 ปีเมืองเชียงราย เพื่อสร้างกระแสด้านการท่องเที่ยวเพื่อไม่ให้เกิดความวิตกมากเกินไปเพราะยังมีสิ่งดีๆ มากมาย

http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=508138


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 04 พฤษภาคม 2011, 16:22:13
เชียงราย - “โสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม” ขึ้นเวทีขายฝันรถไฟเด่นชัย - เชียงราย ส่งท้ายรัฐบาลก่อนยุบสภาฯ บอกคนเชียงราย ให้เลือกภูมิใจไทย จะได้รถไฟตามฝัน หลังถลุงงบศึกษาซ้ำซากมาครึ่งศตวรรษ
(http://pics.manager.co.th/Images/554000005845204.JPEG)

       
       วันนี้ (4 เม.ย.54) ที่อาคารคชสาร องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย นายโสภณ ซารัมย์ รมว.กระทรวงคมนาคม ได้เดินทางไปเป็นประธานในการประชุมรับความเห็นจากประชาชนเกี่ยวกับความคืบหน้าการก่อสร้างรถไฟสาย อ.เด่นชัย จ.แพร่ ไปยัง จ.เชียงราย ซึ่งยืดเยื้อมานานกว่า 53 ปียังไม่มีการก่อสร้าง โดยมีประชาชนไปร่วมประมาณ 1,000 คน แต่การประชุมกลับเป็นลักษณะการกล่าวปราศรัยจากนายโสภณ เป็นส่วนใหญ่ ส่วนการรับฟังความเห็น เป็นการแจกเอกสารแสดงความเห็นเท่านั้น
       
       ทั้งนี้ ก่อนการปราศรัยนายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้กล่าวรายงานความคืบหน้าของโครงการว่า การศึกษาเพื่อสร้างเส้นทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย มีมาตั้งแต่ปี 2503 และมีการสำรวจเบื้องต้นในปี 2512 จากเด่นชัย-แพร่-สอง-เชียงม่วน-ดอกคำใต้-พะเยา-ป่าแดด-เชียงราย ระยะทางรวม 273 กิโลเมตร
       
       ต่อมาปี 2537-2538 รฟท.ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทำการทบทวนผลการศึกษาเดิมได้ข้อสรุปให้ก่อสร้างตามแนวเด่นชัย-แพร่-สอง-งาว (ลำปาง)-พะเยา-เชียงราย ระยะทางรวม 246 กิโลเมตร กระทั่งปี 2539-2541 รฟท.ได้ว่าจ้างเอกชนให้สำรวจออกแบบรายละเอียดและศึกษาผลกระทบ และปี 2547 ได้ว่าจ้างให้ศึกษาความเหมาะสมอีกครั้งเพื่อเชื่อมกับจีนตอนใต้ ซึ่งผลสรุปคือเส้นทางเดิมมีความเหมาะสมมากที่สุด
       
       นายโสภณ กล่าวว่า ปี 2553 ตนไปปักธงว่าจะผลักดันรถไฟมาเชียงราย และวันนี้ก็มีความคืบหน้าตามลำดับ โดยเส้นทางเด่นชัย-เชียงราย เป็น 1 ใน 3 แผนเร่งด่วนแล้ว ซึ่งตนขอบอกด้วยความจริงใจว่าก่อสร้างแน่นอน หลังจากก่อนหน้านี้ได้ผลักดันโครงการถนนหลายสายมูลค่าหลายหมื่นล้าน ท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสน 2 มูลค่า 1,500 ล้านบาท สะพานแม่น้ำโขงไทย-สปป.ลาว ฯลฯ โดยมีนายวันชัย จงสุทธนามณี ที่ปรึกษาชาวเชียงรายเป็นผู้ผลักดัน ซึ่งสาเหตุที่ยุคตนผลักดันงบประมาณมากมายมาเชียงรายเพราะผูกพัน ส่วนจังหวัดใกล้เคียง เช่น พะเยาก็รู้จักกันช้ากว่าเชียงราย
       
       "อย่าได้สงสัยว่าผมจะมาหลอกท่าน เพราะที่ผ่านมาล้วนแต่มีข่าวว่าทำไมผมจึงไปแต่เชียงรายบ่อย อย่างไรก็ตามท่านนายกฯ ก็จะยุบสภาแล้ว แต่ผมอยากบอกว่าการเมืองก็ปล่อยให้ว่ากันไป แต่ถ้าอยากจะให้โครงการสานต่อก็ต้องเลือกพรรคผมเพื่อจะได้สานต่อ เพราะรัฐบาลชุดต่อๆ ไปก็ขึ้นอยู่กับความชอบของเขาว่าจะทำต่อไปหรือไม่" นายโสภณ กล่าว
       
       นายโสภณ ย้ำว่า โครงการนี้มีการศึกษาและออกแบบหมดแล้วเหลือเพียงก่อสร้างได้เลย แต่เมืองไทยแปลกรัฐบาลใหม่ที่ขึ้นไปหากมีแผนงานของรัฐบาลเก่าก็มักไม่สานต่อเพราะกลัวเสียหน้า
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่าคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 17 พ.ย.2552 เห็นชอบให้พัฒนาโครงข่ายระบบรางและให้บริการรถไฟของ รฟท.และเห็นชอบแผนการลงทุนระยะเร่งด่วนในวันที่ 27 เม.ย.2553 โดยโครงการรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย เป็นหนึ่งในแผนดังกล่าวควบคู่กับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม สปป.ลาว-ไทย เข้าทาง จ.หนองคาย และเส้นทางอีสาน-มหาสารคาม-นครพนม มูลค่าทั้งหมด 176,808 แสนล้านบาท
       
       อย่างไรก็ตาม ในยุคนายโสภณ เป็น รมว.คมนาคม ก็ยังไม่มีการก่อสร้าง ขณะที่ในปี 2554 กระทรวงคมนาคมได้จัดสรรงบประมาณราว 200 ล้านบาท เพื่อศึกษารถไฟรางคู่ต่อไปจนถึง อ.เชียงของ ชายแดนไทย-สปป.ลาว ระยะทาง 326 กิโลเมตรอีก โดย รฟท.พึ่งลงนามจ้างเอกชนให้ศึกษาเมื่อวันที่ 29 เม.ย.54 ที่ผ่านมาระยะเวลาศึกษา 14 เดือน
       
       ขณะที่โครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ท่าเรือแม่น้ำโขงมูลค่า 1,500 ล้านบาท อนุมัติให้ก่อสร้างสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ถนนโครงข่ายสะพานแม่น้ำโขง สะพานแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชียงของ-ห้วยทราย ฯลฯ ล้วนเป็นโครงการที่อยู่ในแผนของรัฐบาลชุดก่อนๆ และพัฒนาการด้านงบประมาณมาตามลำดับจนถึงรัฐบาลปัจจุบัน

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000054785


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 พฤษภาคม 2011, 12:21:09
ททท.จับมือ4สมาคมฯบูมเที่ยวเหนือ เปิด6เส้นทางกระตุ้นกรีนซีซั่น

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   5 พฤษภาคม 2554 22:00 น.


       ททท.ผนึก 4 สมาคมท่องเที่ยว จัดโครงการ“ เที่ยวสุขสันต์ มหัศจรรย์เมืองเหนือ” เปิด 6 เส้นทางกระตุ้นท่องเที่ยวภาคเหนือ ช่วง กรีนซีซั่น ตั้งเป้า 6 เดือน เงินสะพัดกว่า 20 ล้านบาท ขณะที่ โครงการ “บินไป บินกลับขับรถเที่ยว “ เตรียมปล่อยมือ เหลือแค่ทำไกด์บุ๊กหนุนเอกชนเดินต่อ
       
       แหล่งข่าวจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) กล่าวว่า ได้ร่วมกับ 4 สมาคมในประเทศ เช่น สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ สมาคมนำเที่ยวไทย สมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวไทย จัดโครงการกระตุ้นท่องเที่ยวภาคเหนือ ช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว หรือกรีนซีซั่น ระหว่างเดือน พ.ค.-ต.ค.54 นำเสนอ 6เส้นทางท่องเที่ยวภาคเหนือ ตอนบน และ ตอนล่าง ด้วยราคาแพกเกจทัวร์เริ่มต้นที่ 2,900 - 6,900 บาท ต่อคน วันพัก ตั้งแต่ 1 - 4 คืน
       
       โดยโครงการครั้งนี้ จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ งานเทรด เพื่อเปิดเวทีเจรจาซื้อขายกันระหว่างผู้ประกอบการ ใช้ชื่อโครงการว่า “จับมือร่วมขาย กระจายรายได้ภาคเหนือ” โดยจะนำผู้ประกอบการท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ เดินทางสำรวจเส้นทาง(แฟมทริป พร้อมพบปะผู้ประกบอการท่องเที่ยวภาคเหนือ และ เจรจาซื้อขายสินค้าทางการท่องเที่ยวและในส่วนของคอนซูเมอร์ จะใช้ชื่อโครงการว่า
       “เที่ยวสุขสันต์ มหัศจรรย์เมืองเหนือ”
       
       สำหรับ 6 เส้นทาง ที่ได้ร่วมกับภาคเอกชน จัดทำขึ้นสำหรับโครงการครั้งนี้ ได้แก่ 1. เส้นทาง เที่ยวเหนือสืบสานโครงการพระราชดำริ ซึ่งมี 2 เส้นทาง คือ เชียงราย-เชียงใหม่ และ พะเยา-ลำพูน 2.เส้นทางเที่ยวเมืองฟ้า ล้านนาตะวันออก อุตรดิตถ์-แพร่-น่าน 3.เส้นทางเที่ยวเสด็จตามรอยประพาสต้น อุทัย-นครสวรรค์ 4. ตั้งเป้ามียอดขายเฉพาะที่ผ่านบริษัทนำเที่ยวจาก 4 สมาคม ไม่น้อยกว่า 2,500 แพกเกจ ไม่นับรวมนักท่องเที่ยวที่เดินทางเอง เกิดรายได้สะพัดกว่า 20 ล้านบาท
       
       นอกจากนั้น ยังร่วมกับธนาคารซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา กับธนาคาร 2 แห่ง เพื่อเลือกข้อเสนอที่ดีที่สุด พร้อมจัดโปรโมชัน สำหรับนักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายหรือซื้อแพกเกจทัวร์ผ่านบัตรเครดิต สามารถผ่อนได้ 0% พร้อมรับของกำนัล ขณะที่ททท.จะทำหน้าที่ด้านการประชาสัมพันธ์โครงการในทุกสื่อของ ททท. ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงสื่อสิ่งพิมพ์ ใช้งบประชาสัมพันธ์ราว 6-7 แสนบาท
       
       ***อุดช่องว่างหนุนเที่ยวช่วงโลว์ซีซั่น****
       “ปกติ ภาคเหนือ จะมีนักท่องเที่ยวกระจุกตัวเฉพาะช่วงฤดูหนาว ซึ่งเป็นไฮซีซั่น จึงเป็นโจทย์สำคัญของ ททท. ที่ต้องการให้ เกิดการเดินทางท่องเที่ยวภาคเหนือได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงโลว์ซีซั่น ที่ภาคเหนือ จะเกิดปัญหาว่ามีจำนวนห้องพักว่างมาก เราจึงพยายามจัดกิจกรรมส่งเสริมให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งเป็นที่มาของการเริ่มโครงการดังกล่าวนี้”
       
       นางปนัดดา กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการ บินไป บินกลับ ขับรถเที่ยว ซึ่ง ททท.ได้จัดต่อเนื่องกันมา 3 ปี แล้ว ปัจจุบันมีภาคเอกชน เช่น สมาคมรถเช่า ได้นำชื่อโครงการนี้ ไปจัดทำเป็นแพกเกจทัวร์เสนอขายต่อนักท่องเที่ยว ททท.จึงเห็นว่า โครงการดังกล่าว สามารถเดินต่อไปได้ด้วยตัวเองแล้ว จึงมีความเป็นไปได้ที่จะค่อยๆถอยตัวออกมา โดยปีนี้ อาจทำเพียง การจัดทำแพกเกจ และการพิมพ์หนังสือคู่มือการเดินทาง โดยนำข้อมูลที่มีอยู่แล้วมาจัดพิมพ์ใหม่
http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9540000055508


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 พฤษภาคม 2011, 15:15:57

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยร่วมกับภาคเอกชน จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวภาคเหนือช่วงกรีนซีซั่น คาดเงินสะพัดกว่า 20 ล้านบาท
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมกับภาคเอกชน จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวภาคเหนือช่วงกรีนซีซั่น คาดเงินสะพัดกว่า 20 ล้านบาท
นายสุภกิตติ์ พลจันทร์ ผู้อำนวยการภูมิภาค ภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวภาคเหนือช่วงกรีนซีซั่นเดือนพฤษภาคม – ตุลาคม ททท.ร่วมกับภาคเอกชน จัดกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยว นำเสนอเส้นทางท่องเที่ยว 6 เส้นทาง อาทิ เส้นทาง เที่ยวเหนือสืบสานโครงการพระราชดำริ เชียงราย-เชียงใหม่ พะเยา-ลำพูน เส้นทางเที่ยวเมืองฟ้าล้านนาตะวันออก จังหวัดอุตรดิตถ์-แพร่-น่าน และเส้นทางเสด็จตามรอยประพาสต้นจังหวัดอุทัยธานี -นครสวรรค์ จัดแพกเกจทัวร์ราคาประหยัดแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การเทรดโชว์ เปิดเวทีเจรจาซื้อขาย ภายใต้ชื่องาน “จับมือร่วมขาย กระจายรายได้ภาคเหนือ” และกิจกรรมคอนซูเมอร์ “เที่ยวสุขสันต์ มหัศจรรย์เมืองเหนือ” ซึ่งคาดว่า จะมีเงินหมุนเวียวจากการจัดโครงการครั้งนี้ประมาณ 20 ล้านบาท


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 พฤษภาคม 2011, 17:02:06
เชียงราย - เตรียมพัฒนา “เวียงหนองล่ม” ฟื้นตำนานเมืองล่มจากเหตุแผ่นดินไหวใหญ่บนรอยเลื่อนแม่จัน เมื่อ 1,500 ปีก่อน พร้อมดันขึ้นชั้นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต และวัฒนธรรม เผยเคยพบโบราณวัตถุเพียบ
       
       นายทนงศักดิ์ ทองแสน นายกเทศมนตรี ต.จันจว้า กล่าวว่า สภาพปัจจุบันของเวียงหนองหล่มหรือ หนองล่ม ตั้งอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 2,000 ไร่ เขตติดต่อ ต.ท่าข้าวเปลือก อ.แม่จัน ต.โยนก อ.เชียงแสน และ ต.จันจว้า อ.แม่จัน ยังรกด้วยวัชพืชและไม่มีการกำหนดขอบเขตให้มั่นคง จึงมีคนพยายามจะรุกล้ำเข้าไปครอบครองอย่างต่อเนื่อง
       
       ดังนั้น เทศบาลจึงพยายามเข้าไปปรับปรุงในหลายด้าน เช่น พัฒนาแหล่งน้ำ ปรับภูมิทัศน์ พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตและวัฒนธรรม การจัดทำพิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุ ฯลฯ
       
       โดยเฉพาะตำนานของเวียงหนองหล่ม และประวัติศาสตร์ความเป็นเมืองเก่าแก่ที่ล่มสลายลงจนกลายเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งเกี่ยวข้องทั้งตำนานและหลักธรณีวิทยาเรื่องแผ่นดินไหวครั้งใหญ่อันเกิดจากรอยเลื่อนแม่จันด้วย ซึ่งขณะนี้ได้มีการจัดทำแผนและรอการสนับสนุนด้านงบประมาณโดยร่วมกับจังหวัดต่อไป
       
       พ่อหนานเป็ง ปิ่นธรรมา มัคทายกวัดป่าหมากหน่อซึ่งเป็นมัคทายกของวัดมานานกว่า 36 ปี กล่าวว่า เวียงหนองหล่มเป็นสถานที่กว้างขวาง ที่มีผู้คนพบโบราณวัตถุต่างๆ เป็นประจำ และนำไปเก็บไว้ที่วัด ปัจจุบันจึงถูกเก็บรักษาไว้มากมาย แต่ยังไม่เป็นสัดเป็นส่วนมากนัก โดยถ้วย โถ โอ ชาม โลหะ ฯลฯ ที่เก็บได้นำไปไว้ที่ศาลาหลังเล็กๆ ส่วนดาบหรือพระแสง เศียรพญานาค เก็บไว้ในพระวิหารของวัด เป็นต้น
       
       นอกจากนี้ ทางวัดได้มีการอนุรักษ์เวียงหนองหล่มด้วยการกำหนดให้พื้นที่รอบเกาะห่างออกไปในหนองน้ำประมาณ 50 เมตร ห้ามไม่ให้มีการล่าสัตว์ เพื่อให้เป็นเขตอภัยทานของสัตว์น้ำและนก
       
       “เมืองแห่งนี้มีเรื่องปาฏิหาริย์มากมาย เช่น คืนวันพระจะมีเสียงฆ้องกลอนแห่แหนทางทิศเหนือของทุ่งหนองคำซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเวียงหนองหล่ม หรือบางครั้งก็มีผู้พบพระพุทธรูปองค์ใหญ่หน้าตักกว้าง 9 ศอกในน้ำแต่ก็หายไป เป็นต้น” พ่อหนานเป็ง กล่าว
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า เวียงหนองหล่มนั้นมีตำนาน หรือพงศาวดารหลายเล่มเล่าตรงกันว่า เจ้าชายสิงหนวัติ พาผู้คนมาหาที่ตั้งเมือง พอมาถึงแม่น้ำโขง ก็พบนาคจำแลงเป็นชายมาบอกสถานที่สร้างเมือง จึงตั้งเมืองโยนกนาคพันสิงหนวัติ จนถึงสมัยพระเจ้ามหาไชยชนะ มีผู้คนจับปลาไหลเผือกได้ และนำมาแบ่งกันกินทั่วเมือง เว้นแต่หญิงม่ายนางหนึ่งไม่มีใครให้กิน ตกกลางคืนเกิดแผ่นดินไหว เมืองถล่มลงเหลือแต่บริเวณเกาะแม่ม่าย และเรียกเมืองนั้นว่าเวียงหนองล่ม
       
       แต่ตามหลักฐานปัจจุบันสันนิษฐานว่า เกิดแผ่นดินไหวจากรอยเลื่อนแม่จันเมื่อประมาณ 1,500 ปีก่อนวัดได้ 6.6 ริกเตอร์ จนทำให้เมืองล่มลงจนมีสภาพเป็นเมืองใต้หนองน้ำ ที่มีวัชพืชอยู่เต็มพื้นที่


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 พฤษภาคม 2011, 05:07:25
มท.ยังไม่ไฟเขียวเปิดด่านถาวรสามเหลี่ยมทองคำ

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน   8 พฤษภาคม 2554 22:22 น.


       เชียงราย - ศูนย์สั่งการชายแดนฯ เมืองพ่อขุนฯ ตีกลับแผนเปิดด่านถาวร “สามเหลี่ยมทองคำ” สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาใหม่ หลังยังไม่มีไฟเขียวจาก มท. ขณะที่จุดผ่อนปรน ถูกเปิดตามแนวฝั่งน้ำโขงเขตเชียงแสนเกร่อ จนเคยถูกเจ้าท่าฯ รื้อป้ายออกมาแล้ว
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า ในการประชุมคณะกรรมการศูนย์สั่งการชายแดนไทย-สปป.ลาว และไทย-พม่า จ.เชียงราย ครั้งที่ 4 ประจำปี 2554 ที่ศาลากลางจังหวัด โดยมีนายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เป็นประธาน ที่ประชุมได้แจ้งถึงความสัมพันธ์ระหว่าง จ.เชียงราย กับประเทศเพื่อนบ้านทั้งสองประเทศ โดยมีการไปมาติดต่อกันระหว่างผู้บริหารอยู่บ่อยครั้ง และได้มีการแจ้งถึงนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้เกิดความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ไปจนถึงจีนตอนใต้ด้วย
       
       นายพินิจ กล่าวว่า ครั้งนี้ยังได้หารือเพื่อเตรียมการประชุมคณะกรรมการรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนไทย-ลาว ระหว่าง จ.เชียงราย กับเมืองบ่อแก้ว สปป.ลาว ครั้งที่ 9 ในอนาคต รวมทั้งยังหารือด้านการสัญจรข้ามแดน ด้านการค้า และสถานการณ์แรงงานต่างด้าว ฯลฯ เพราะนับวันความเติบโตของชายแดนด้านนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยการค้าชายแดนระหว่าง จ.เชียงราย กับทั้ง 3 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงคือ สปป.ลาว พม่า และจีน มีมูลค่าทางการค้าในรอบเดือน มี.ค.54 รวมกันกว่า 2,699.31 ล้านบาท แยกเป็นการส่งออก 2,428.40 ล้านบาท นำเข้า 270.91 ล้านบาท ไทยได้เปรียบดุลการค้ากว่า 2,157.49 ล้านบาท
       
       นายพินิจ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังได้หารือเพื่อปฏิบัติตามมติคณะกรรมการฯ เรื่องการขอเปิดจุดผ่านแดนถาวรบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ตามมติการประชุมครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ที่ผ่านมา และยังได้รับทราบรายงานสถานการณ์ชายแดนและข้อหารือปัญหาอุปสรรคของอำเภอที่มีอาณาเขตติดกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาที่มีผลกระทบต่อกันและเพื่อแสวงหาความร่วมมือระดับท้องถิ่นในอนาคตต่อไปด้วย
       
       พื้นที่สามเหลี่ยมทองคำดังกล่าว ปัจจุบันมีจุดผ่อนปรนอย่างเป็นทางการที่บ้านสบรวก ต.เวียง ตรงทางเชื่อมแม่น้ำรวกกับแม่น้ำโขงชายแดนไทย-พม่า และจังหวัดเคยทำพิธีเปิดจุดผ่อนปรนใกล้กันอีก 1 จุดเมื่อเดือน ก.ย.2553 ซึ่งห่างจากจุดแรกไม่กี่ร้อยเมตร แต่ปรากฏว่า กรมเจ้าท่าฯก็เข้าไปปลดป้ายและไม่ให้เปิดใช้อย่างเป็นทางการ เพราะยังไม่มีการแจ้งให้กรมเจ้าท่าฯรับทราบ
       
       สำหรับจุดแรกนั้นพบว่าเมื่อหลายปีก่อนสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เคยเห็นชอบในหลักการให้เปิดเป็นจุดผ่านแดนถาวรได้ แต่ในปัจจุบันยังไม่มีการประกาศจากกระทรวงมหาดไทยอย่างเป็นทางการ แม้จะมีการใช้ประโยชน์ในการเดินทางเข้าออกอย่าคึกคัก และมีการติดป้ายว่าเป็นจุดผ่านแดนถาวรเอาไว้แล้วก็ตาม ดังนั้นในการพิจารณาครั้งนี้คณะกรรมการฯ จึงมีการแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำกรณีการเปิดจุดผ่านแดนถาวรไปพิจารณาอีกครั้ง

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000056526 (http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000056526)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 พฤษภาคม 2011, 05:07:42
ชูเที่ยวเชียงของรับเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว

08 พฤษภาคม 2554
 
ภาครัฐ - เอกชน อ.เวียงแก่น ถกยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ ชูเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ล่องแม่น้ำโขงจากเชียงของ ไปยังแก่งผาได และนั่งรถขึ้นภูดูทะเลหมอกที่ดอยผาตั้ง

นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ นายอำเภอเวียงแก่น จ.เชียงราย เปิดเผยว่า ได้ระดมความคิดเห็น ร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน  ในการพัฒนายุทธศาสตร์ของอำเภอเวียงแก่น ปรากฏว่า ที่ประชุมให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านการท่องเที่ยว รวมถึงการพัฒนาด้านสาธารณูปโภค และการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน

สำหรับ ด้านการท่องเที่ยวจะมีการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวให้สมบูรณ์แบบ โดยจังหวัดให้การสนับสนุนด้านงบประมาณ รอบรับการเปิดใช้สะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 4 ระหว่างอ.เชียงของ จ.เชียงราย กับเมืองห้วงทราย แขวงบ่อแก้ว  สปป.ลาว ในปี 2555 ขณะนี้ทางอำเภอเวียงแก่นได้ประสานความร่วมมือ กับกลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยวของ อ.เชียงของ ในการเชื่อมเส้นทางท่องเที่ยว ทางแม่น้ำโขง จากตัวอ.เชียงของ ผ่านบริเวณจุดก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขง เข้าสู่อ.เวียงแก่น โดยมีปลายทางอยู่ที่แก่งผาไดจุดสิ้นสุดของแม่น้ำโขงของภาคเหนือ ก่อนที่แม่น้ำโขงจะไหลเข้าไปยังพื้นที่ของ สปป.ลาว

ทั้งนี้ เส้นทางดังกล่าว ถือเป็นเส้นทางที่มีทัศนียภาพสวยงามมาก โดยเฉพาะโขดทราย ผาหิน เกาะแก่ง กลางแม่น้ำ ตลอดจนวิถีชีวิต ซึ่งในหลายจุดมีประวัติความเป็นมาทางประศาสตร์ยาวนาน บ่งบอกความสัมพันธ์ของพี่น้องไทย-ลาว ทั้งสองฟากฝั่ง

นางสาริสา นวลใส ประธานชมรมผู้ประกอบการท่องเที่ยวอ.เชียงของ กล่าวว่า การเปิดใช้สะพานข้ามแม่น้ำโขง ไทย- ลาว และเส้นทาง R 3- A ที่เชื่อมต่อผ่านพื้นที่ของสปป.ลาว ไปยังประเทศจีนตอนใต้ จะเป็นจุดทำให้การท่องเที่ยวอ.เชียงของ และอ.เวียงแก่นมีความคึกคักมากขึ้น โดยทั้งสองอำเภอสามารถเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ย วและเส้นทางร่วมกันได้ สำหรับการเปิดโปรแกรมการเดินทางท่องเที่ยวใหม่ จะนั่งเรือล่องแม่น้ำโขงไปยังแก่นผาได จากนั้นเดินทางต่อโดยทางรถต่อไปยังดอยผาตั้ง ถือเป็นเส้นทางที่น่าสนใจมาก เพราะนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสบรรยากาศที่หลากหลาย ภายในโปรแกรมเดียว

http://www.posttoday.com (http://www.posttoday.com)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 พฤษภาคม 2011, 17:22:49
เครือ “อิตัลไทย” ยกธงขาว-ล้มแผนเปิด “ม้งเก้าหลัง-แม่ฟ้าหลวง” ขนลิกไนต์พม่าเข้าไทย

(http://pics.manager.co.th/Images/554000006048702.JPEG)


เชียงราย - กลุ่ม “สระบุรีถ่านหิน” เครืออิตัลไทย ยอมล้มแผนนำเข้าลิกไนต์จากเหมืองเมืองก๊ก-พม่า เข้าชายแดน “บ้านม้งเก้าหลัง” ผ่านป่า “แม่ฟ้าหลวง” แล้ว หลังถูกต่อต้านหนัก เล็งเจรจาพม่าใหม่อีกรอบ ขอขนเข้าท่าขี้เหล็ก-แม่สาย หรือส่งลงน้ำโขง ก่อนขนขายจีนแทน
       
       วันนี้ (9 พ.ค.) นายอาณัติ วิทยานุกูล ปลัด จ.เชียงราย ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการอนุมัติเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราว บริเวณบ้านม้งเก้าหลัง ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ที่ห้องประชุมชั้น 3 อาคารด่านศุลกากรพรมแดนสะพานไทย-พม่า แห่งที่ 1 อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและบริษัทสระบุรีถ่านหิน จำกัด เครืออิตัลไทย เข้าร่วม
       
       ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับคำขอเปิดจุดชายแดนชั่วคราวของบริษัท สระบุรีถ่านหิน ที่ต้องการนำเข้าลิกไนต์จากเหมืองเมืองก๊ก เขตเมืองสาด ท่าขี้เหล็กประเทศพม่า ผ่านชายแดนไทย-พม่า เข้ามาที่ชายแดนไทย-พม่า ด้านหมู่บ้านม้งเก้าหลัง หลังจากบริษัทได้สัมปทานจากรัฐบาลพม่า เพื่อจะได้นำข้อสรุปแจ้งให้กระทรวงมหาดไทย สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และรัฐบาลได้รับทราบ
       
       อย่างไรก็ตาม นายปกรณ์ ร่วมทอง ตัวแทนบริษัท ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า บริษัทขอยกเลิกและยุติการขออนุญาตนำเข้าถ่านหินลิกไนต์ผ่านช่องทางหมู่บ้านม้งเก้าหลังแล้ว เนื่องจากถูกชาวบ้านในพื้นที่ต่อต้าน เนื่องจากเกรงผลกระทบต่อมลภาวะ จากการขนส่งด้วยรถบรรทุกผ่านเส้นทางม้งเก้าหลัง-ดอยแม่สลอง-ถนนพหลโยธิน-เชียงราย-สระบุรี
       
       นายปกรณ์ กล่าวว่า บริษัทเสียดายที่ไม่สามารถนำเข้าถ่านหินทางช่องทางนี้ แม้รัฐบาลพม่ากำหนดให้นำเข้าได้เฉพาะช่องทางเมืองก๊ก-ม้งเก้าหลังเท่านั้น ขณะที่แหล่งพลังงานถ่านหินในประเทศไทยก็กำลังหมดลง ต้องหาแหล่งพลังงานนอกประเทศมาป้อน และถ่านหินเมืองก๊ก ก็เป็นถ่านหินคุณภาพดีที่สุดหรือประเภทซับบีทูบินิส ซึ่งให้ความร้อนได้ดีที่สุด หากใช้เทคโนโลยี ก็แทบจะไม่ก่อมลพิษไม่ใช่ลิกไนต์ธรรมดาแบบเหมืองแม่เมาะ จ.ลำปาง
       
       นายปกรณ์ กล่าวอีกว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทพยายามทำความเข้าใจต่อชาวบ้านเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ปัญหาคือชาวบ้านไม่เชื่อ และตนเชื่อว่า จะมีปัญหาลักษณะนี้กับอีกหลายบริษัทที่ประกอบการในลักษณะเดียวกัน
       
       “หลังจากนี้ บริษัทก็จะหารือกับรัฐบาลพม่า ว่า จะนำเข้าช่องทางอื่นได้หรือไม่ โดยมี 2 ทางเลือกคือ ขนจากเมืองก๊ก เข้าทางท่าขี้เหล็ก นำเข้าผ่านสะพานข้ามลำน้ำสาย 2 ต.แม่สาย อ.แม่สาย ไม่ต้องผ่านป่าแม่ฟ้าหลวง หรือขนจากเมืองก๊ก-ท่าขี้เหล็ก-ท่าเรือบ้านโป่ง เหนือสามเหลี่ยมทองคำ ส่งขายจีน แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่า พม่าจะอนุมัติหรือไม่”
       
       นายปกรณ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ บริษัทได้สัมปทานเหมืองเมืองก๊กจากรัฐบาลพม่าเป็นระยะเวลา 30 ปี ซึ่งการแจ้งยกเลิกการนำเข้าดังกล่าวคงจะไม่ส่งผลกระทบต่อสัมปทานที่ได้ แต่กรณีขอเปลี่ยนสถานที่การขนส่งดังกล่าวอาจจะมีผลต่อระยะเวลาดังกล่าวเช่นกัน
       
       จากนั้นที่ประชุมได้แจ้งให้บริษัท สระบุรีถ่านหิน ทำหนังสือแจ้งความประสงค์ดังกล่าวไปยัง สมช.-จังหวัด และด่านศุลกากรแม่สาย ภายใน 1 สัปดาห์ เพราะก่อนหน้านี้ ทางบริษัทได้ยื่นเรื่องไปยัง สมช.ก่อนแล้วจน สมช.ได้เห็นชอบให้ดำเนินการตามหลักการและเป็นที่มาของการตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดดังกล่าว
       
       นายอาณัติ วิทยานุกูล ปลัด จ.เชียงราย กล่าวว่า ผลอย่างเป็นทางการจะมีขึ้นหลังบริษัท ทำหนังสือถึง 3 หน่วยงานดังกล่าวอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ในอนาคตหากบริษัทจะดำเนินการใดๆ ขอให้ปรึกษากับพื้นที่ก่อน เพื่อจะได้รู้สภาพ เพราะที่ผ่านมาเป็นการขอไปยัง สมช.และกระทรวงฯโดยตรง เมื่อเรื่องมาถึงพื้นที่จึงเกิดแรงกระเพื่อมอย่างไม่คาดคิด
       
       ทั้งนี้ หลังบริษัทแจ้งยุติดังกล่าวก็ให้อำเภอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แจ้งไปยังประชาชนและส่วนท้องถิ่นที่เคยออกมาต่อต้านให้ได้รับทราบเพื่อยุติการเคลื่อนไหวต่อไป
       
       นายฤทธิไกร อุดมเวทย์ นายด่านศุลกากรแม่สาย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ หน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการเปิดจุดนำเข้า ที่หมู่บ้านม้งเก้าหลัง เพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องเขตแดนประเทศ สิ่งแวดล้อม ป่าไม้ ฯลฯ ดังนั้น เมื่อบริษัทยอมยุติการนำเข้าที่จุดดังกล่าวจึงถือเป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก
       
       เมื่อปี 2551 บริษัท สระบุรีถ่านหิน ได้สัมปทานจากรัฐบาลพม่า ให้เข้าไปขุดถ่านหินที่เหมืองเมืองก๊ก ห่างจากหมู่บ้านม้งเก้าหลัง เข้าไปในพม่าประมาณ 68 กิโลเมตร เป็นเวลานาน 30 ปี เพื่อขุดถ่านหินมูลค่ากว่า 270,000 ล้านบาท หรือปริมาณสำรองกว่า 110 ตัน โดยรัฐบาลพม่าอนุญาตให้นำออกมาผ่านช่องทางเมืองก๊ก-ม้งเก้าหลังเท่านั้น แต่ไม่ให้ขนผ่านไปทางจุดผ่านแดนถาวร อ.แม่สาย ซึ่งห่างออกไปประมาณ 70-80 กิโลเมตร
       
       ตลอด 2 ปีเศษที่ผ่านมา บริษัท สระบุรีถ่านหิน ได้พยายามชี้แจงว่า จะมีการขนถ่านหินลิกไนต์ผ่านเข้ามาทางถนนม้งเก้าหลัง-สามแยกอีก้อ-ต.ป่าซาง อ.แม่จัน-ถนนพหลโยธินสายเชียงราย-สระบุรี โดยรถบรรทุกจะมีขนาด 6-10 ล้อวันละ 200 คันๆ ละ 15-26 ตัน หรือวันละกว่า 5,200 ตัน หลังจากออกจากชายแดนแล้วมีแผนจะนำไปพักที่ลานเก็บชั่วคราวที่หมู่บ้านใหม่พัฒนา หมู่ 14 ต.ป่าซาง อ.แม่จัน ใกล้กับถนนพหลโยธิน ห่างจากช่องแม่โจ๊ก บ้านม้งเก้าหลัง ประมาณ 77 กิโลเมตร ก่อนจะขนต่อไปยังโรงงานอุตสาหกรรมผลิตปูนซีเมนต์ของบริษัท ที่ จ.สระบุรี
       
       ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้บริษัท เทคนิคสิ่งแวดล้อมไทย จำกัด ทำความเข้าใจกับประชาชน เพราะได้มีการขออนุญาตสร้างถนน 2 สายจากหมู่บ้านม้งเก้าหลัง ไปบรรจบกับถนนสายปกติที่เชื่อมระหว่างม้งเก้าหลัง-เทอดไทย แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะ 4 กิโลเมตร และ 7 กิโลเมตรตามลำดับ
       
       บริษัทได้พยายามชี้แจงด้วยว่า การขนส่งก็จะใช้ผ้าใบคลุมรถให้มิดชิดและการขนถ่านที่ลานเปลี่ยนถ่านที่ ต.ป่าซาง ก็จะทำให้รวดเร็ว มีการจำกัดความเร็วของรถบรรทุกไม่ให้เกิน 25 กม./ชม., ตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ ซ่อมบำรุงผิวจราจรกรณีเกิดความเสียหาย หลีกเลี่ยงการขนส่งช่วงเวลาพักผ่อนของประชาชน จำกัดเสียง หยุดวิ่งรถในเวลาเร่งด่วนคือ 07.00-08.30 น.และ 15.30-17.00 น.ติดป้ายจราจรตามจุดสำคัญ ติดตั้งจุดประสานงาน เป็นต้น
       
       แต่ก็เกิดการต่อต้านจากหลายภาคส่วนทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชมรมท้องถิ่นไทย ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกรณีการขนส่งผ่านถนนแคบจากดอยแม่สลองลงมาเพราะเกรงจะมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยว และการมีลานพักที่หมู่บ้านป่าซางเพราะเกรงจะมีมลภาวะ จึงเคยมีการออกมาชุมนุมต่อต้านมาแล้วหลายครั้ง แม้แต่ “ปรียานุช ปานประดับ” อดีตรองนางสาวไทยและมิสเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมีบ้านพักอยู่ที่หมู่บ้านป่าซางยังเคยออกมาร่วมต่อต้านด้วย

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000056696


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 พฤษภาคม 2011, 17:25:44
เซ็นจ้าง“กลุ่มสามารถฯ”ทำ3จี

วันจันทร์ ที่ 09 พฤษภาคม 2554 เวลา 10:12 น 


เซ็นแล้ว “ทีโอที” จ้าง “กลุ่มสามารถ” ทำ 3จี ทั่วประเทศ คาดประมาณปลายปีประชาชนจะได้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3จี

เมื่อเวลา  08.29 น. วันที่ 9 พ.ค. ที่บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้เซ็นสัญญาว่าจ้างผู้ชนะการประมูลขยายโครงข่าย 3จีมูลค่า 15,999 ล้านบาท กับกิจการร่วมค้าเอสแอล คอมซัลเตียมอย่างเป็นทางการ โดยตัวแทนทีโอทีประกอบด้วยนายอานนท์ ทับเที่ยง กรรมการผู้จัดการใหญ่ นายกำธร ไวทยกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ นางวัชรี ทัพเจริญ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน นางศริญญา ไชยประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักพัสดุ และกฎหมาย นอกจากนี้ ยังมี นายเจริญรัฐ วิไลลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. สามารถคอร์ปอเรชั่น นายวสันต์ จาติกวณิช กรรมการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ล็อกซ์เล่ย์

โดยการลงนามครั้งนี้ จะประกอบด้วย การสร้างระบบโครงข่ายหลัก ( คอร์ เน็ตเวิร์ก) จำนวน 1 ระบบ ระบบสถานีฐาน จำนวน 4,772 แห่ง แบ่งเป็นในกทม. 2,320 แห่ง ระบบสื่อสาร  ระบบบริหารจัดการโครงข่าย จำนวน  1 ระบบ ระบบบริการเสริมพื้นฐาน จำนวน 1 ระบบ ระบบสนับสนุนการให้บริการ จำนวน 1 ระบบ รวมการติดตั้งอุปกรณ์และการจัดเตรียมสถานที่ (Site Preparation ) และสนับสนุนและบำรุงรักษาโครงข่าย

สำหรับรายละเอียดในแผนการขยายโครงข่าย (Roll out) จะดำเนินการติดตั้งสถานีฐานทั่วประเทศจำนวน 5,320 แห่ง ครอบคลุม 57 จังหวัด โดยจะเป็นการสร้างสถานีฐานใหม่จำนวน 4,772 สถานี และย้ายสถานีฐานเดิม จากใจกลางกรุงเทพฯไปติดตั้งในปริมณฑลกรุงเทพ แทนจำนวน 548 สถานี ซึ่งหลังจากที่ได้ลงนามในสัญญาแล้ว คาดว่าประมาณกลางไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 ประชาชนจะได้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 จี เต็มรูปแบบในกรุงเทพฯปริมณฑลและ 13 จังหวัดหลัก หลังจากนั้นภายในกลางปี 2555 จะสามารถใช้งานได้ทุกจังหวัดทั่วประเทศ

ทั้งนี้ การเปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 จี จะแบ่งเป็น 3 ระยะ ซึ่งหลังจากที่มีการลงนามเซนสัญญาว่าจ้างผู้รับเหมาแล้ว คาดว่าจะสามารถติดตั้งอุปกรณ์สำหรับใช้บริการแล้วเสร็จในพื้นที่สำคัญ ซึ่งมีประชากรหนาแน่นโดยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ เฟส 1 – 2 คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายใน 180 วัน คือ กทม ทุกพื้นที่และปริมณฑลอีก 4 จังหวัด และ 13 จังหวัดเช่น ชลบุรี ระยอง สงขลา สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง พิษณุโลก อุดรธานี นครราชสีมา ขอนแก่น และหนองคาย เป็นต้น โดยจะสามารถเริ่มให้บริการได้ภายใน 90 วัน และเฟสสุดท้าย จะขยายไปยังจังหวัดในประเทศเพื่อให้ครอบคลุมต่อจำนวนประชากร 70 % ภายใน 360 วัน โดยทีโอที จะพิจารณาพื้นที่ทีมีความต้องการสูง

นายอานนท์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันทีโอที มีลูกค้าผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทีโอที 3จีประมาณ 200,000 เลขหมาย โดยตั้งเป้าหมายปี 2554 จะมีลูกค้าประมาณ 1.3 ล้านเลขหมายรายได้ปีแรก 1,700 ล้านบาท  และเพิ่มเป็น  7 ล้านเลขหมายในปี 2558 มีส่วนแบ่งการตลาดไม่น้อยกว่า 8 % โดยแผนการตลาด ทีโอที จะขยายผ่านบริการขายต่อบริการบนโครงข่ายเสมือน (เอ็มวีเอ็นโอ) เป็นหลัก และจะทำตลาดเองบางส่วน โดยทำการตลาดควบคู่ไปกับบรอดแบนด์ เอดีเอสแอลของทีโอทีเอง และโทรศัพท์ประจำที่ (ฟิกซ์ไลน์) ด้วยความเร็วสูง 14.4 เมกะบิต.

http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=316&contentID=137629


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 10 พฤษภาคม 2011, 20:29:08
เชียงราย - พ่อเมืองเชียงราย นำทีมเปิดเวทีเสวนาร่วมตัวแทนหน่วยงานรัฐ-ภาค ปชช.เชียงแสน ระดมปราชญ์ท้องถิ่นร่วมเสนอปัญหา-ทางออก ก่อนกำหนดเป็นยุทธศาสตร์จังหวัดฯ ชงฟื้น “เวียงหนองหล่ม” เป็นแก้มลิงใหญ่เชียงราย พร้อมแหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรม
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เป็นประธานในการจัดเวทีเสวนาแก้ไขปัญหาและความต้องการให้แก่ประชาชน ที่วัดพระธาตุผาเงา ต.เวียง อ.เชียงแสน โดยมีนายเสริมศักดิ์ สีสันต์ นายอำเภอเชียงแสน นำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคประชาชนในพื้นที่เข้าร่วม และเปิดให้แต่ละฝ่ายได้แสดงความเห็นเพื่อแจ้งถึงสภาพปัญหาเพื่อพัฒนาเป็นยุทธศาสตร์ของอำเภอในภาพรวม
       
       นายสมชัยกล่าวว่า ปัญหาการกำหนดยุทธศาสตร์ที่ผ่านมา คือ การไม่ได้มาจากเวทีเสวนาท้องถิ่น แต่เขียนโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพียงไม่กี่คน ดังนั้น ตนจึงได้จัดเวทีลักษณะนี้ขึ้นทุกพื้นที่เพื่อสะท้อนปัญหาและนำข้อเสนอมาจัดทำเป็นยุทธศาสตร์ เพื่อพัฒนาไปเป็นแผนงานและโครงการต่างๆ ต่อไป
       
       สำหรับพื้นที่เชียงแสนมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ซึ่งไม่ได้มีเพียงเรื่องเล่า แต่ยังปรากฏเป็นโบราณสถานและสถานที่สำคัญๆ โดยเฉพาะทะเลสาบเชียงแสน ที่สามารถเชื่อมไปยัง “เวียงหนองหล่ม” ต.โยนก อ.เชียงแสน และ อ.แม่จัน สามารถนำมาใช้ประโยชน์สำหรับคนรุ่นหลังได้อย่างมหาศาล
       
       นายสมชัยกล่าวอีกว่า พื้นที่เหล่านี้เดิมมีเนื้อที่กว่า 20,000 ไร่ แต่ปัจจุบันขาดหายไปบ้าง แต่หากพัฒนาและเชื่อมต่อถึงกัน รวมทั้งกำหนดขอบเขตชัดเจนจะกลายเป็นแก้มลิงขนาดใหญ่ สามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝนและภัยแล้งในฤดูแล้งได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังสามารถพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้ด้วย
       
       ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดในยุคของตนจะมุ่งไปที่การบริหารจัดการน้ำ เพราะปัญหาที่ผ่านมาคือเราปล่อยให้น้ำท่วมและไหลลงสู่แม่น้ำโขงไปหมด
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ในการจัดเวทีเสวนามีผู้นำชุมชนและปราชญ์ท้องถิ่นหลายคนแสดงความเห็นเกี่ยวกับสภาพปัญหาและการพัฒนาต่างๆ มากมาย โดยเรื่องการบริหารจัดการน้ำพบปัญหาเดียวกันคือแหล่งน้ำไม่มีการขุดลอกและไม่มีแหล่งกักเก็บ จึงทำให้น้ำไหลลงสู่แม่น้ำโขง โดยที่ ต.บ้านแซว ซึ่งเป็นแม่น้ำกกไหลลงสู่แม่น้ำโขง แม่น้ำคำ ฯลฯ บางท้องถิ่นมีการผันน้ำจากเวียงหนองหล่มไปใช้ประโยชน์ด้วย
       
       อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมทั้งหมดระบุว่าขาดแคลนงบประมาณในการก่อสร้างและขุดลอก โดยบางท้องถิ่นระบุต้องใช้เม็ดเงินสูงกว่า 60-70 ล้านบาท จึงมีการบันทึกข้อมูลไว้เพื่อการพิจารณาในอนาคต
       
       ด้าน พระพุทธิญาณมุนี เจ้าคณะ อ.เชียงแสน กล่าวว่า เชียงแสนมีแหล่งน้ำที่ไหลผ่านโบราณสถานเชียงแสน ในเขตเทศบาล ต.เวียงเชียงแสน ซึ่งปัจจุบันมีกำแพงล้อมรอบ การบริหารจัดการน้ำสามารถทำได้หลายอย่าง กรณีของเมืองโบราณ สามารถผันน้ำจากแม่น้ำคำ ที่อยู่ใกล้กัน ให้ไหลลัดเลาะไปใช้ประโยชน์ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขงได้ และบางส่วนทดให้ไหลลัดคูเมืองใต้กำแพงเมืองรอบนอก เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมได้ด้วย


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000057146


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 10 พฤษภาคม 2011, 20:29:43
เชียงราย - มวลชนต่อต้านแผนขนถ่านหินอิตัลไทย ผ่านชายแดน “ม้งเก้าหลัง-แม่ฟ้าหลวง” ยังไม่วางใจ แม้เอกชนเจ้าของสัมปทานเหมืองในพม่าประกาศยกเลิกแล้ว แต่ยังหาทางเจรจารัฐบาลพม่านำเข้าช่องทางอื่นต่อ ยื่นข้อเสนอสร้างถนน-รถไฟ รองรับเองหากยังผ่านเชียงราย

หลังบริษัท สระบุรีถ่านหิน จำกัด ในเครืออิตัลไทย ได้แจ้งยกเลิกการขอนำเข้าถ่านหินจากเหมืองเมืองก๊ก ประเทศพม่า เข้ามาทางชายแดนไทย-พม่า พื้นที่หมู่บ้านม้งเก้าหลัง หมู่ 9 ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง เพราะมวลชนในพื้นที่ต่อต้านอย่างหนักและล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติไม่อนุญาตให้สร้างถนนตัดผ่านเขตป่าสงวนแห่งชาติบริเวณดังกล่าวด้วยนั้น ทำให้กระแสต่อต้านในพื้นที่ อ.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่จัน ต่อกรณีดังกล่าวลดลง แต่ทุกฝ่ายก็ยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์ เนื่องจากรอการประกาศจากหน่วยงานราชการอย่างเป็นทางการ และติดตามความเคลื่อนไหวของบริษัท เนื่องจากยังคงได้รับสัมปทานจากรัฐบาลพม่าให้ขุดถ่านหินคุณภาพดีชนิดซับบิทูมินัสบี (Sub-bituminous) ซึ่งให้ความร้อนสูงกว่าชนิดอื่นๆ มูลค่า 270,000 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 30 ปีอยู่เช่นเดิม

นายวุฒิพงศ์ สวรรณโชติ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง ซึ่งเป็นแกนนำมวลชนที่ออกมาต่อต้าน เปิดเผยว่า พวกเราได้รับทราบข่าวว่าน่าจะมีการยกเลิกการนำเข้าถ่านหินผ่านหมู่บ้านม้งเก้าหลัง ตั้งแต่มีมติ ครม.ไม่ให้สร้างถนนผ่านเขตป่าสงวนแห่งชาติ แต่ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจากในพื้นที่ กระทั่งได้รับแจ้งเรื่องบริษัทยกเลิกการนำเข้าในครั้งนี้ ซึ่งก็ดีใจมากที่ได้รับทราบข่าวนี้ เพราะหากมีการนำเข้าก็จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่อย่างหนัก โดยเฉพาะมีการขนส่งผ่านถนนคับแคบตามภูเขาสูงของดอยหัวแม่คำและดอยแม่สลอง ซึ่งจะกระทบต่อการท่องเที่ยว วิถีชีวิต ป่าไม้ ถนน ฯลฯ ตามที่ได้เรียกร้องและนำเสนอกันมาตั้งแต่ต้นแล้วนั่นเอง

นายวุฒิพงศ์ กล่าวอีกว่าอย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีการยกเลิกการนำเข้าผ่านหมู่บ้านม้งเก้าหลัง แต่ก็ยังมีความพยายามจะนำเข้ายังจุดอื่นๆ อยู่ ดังนั้น กรณีจะมีการนำเข้าผ่านเข้ามาทาง จ.เชียงราย ทางเครือข่ายมวลชนก็ได้นำเสนอข้อเสนอแนะให้บริษัทได้พิจารณาแล้ว 2 ข้อใหญ่ คือ 1.ให้มีการก่อสร้างถนนสายใหม่เพื่อการขนส่งถ่านหินโดยเฉพาะ เลี่ยงถนนสายเดิม ชุมชน ป่าไม้ ฯลฯ และ 2.ให้มีการสร้างเส้นทางรถไฟเพื่อขนส่งไปยังภาคกลางเป็นการเฉพาะ

นายวุฒิพงษ์ กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่า ในทางปฏิบัติจะเป็นไปได้หรือไม่ เพราะในทางความเป็นจริงข้อเสนอ อาจทำให้ต้องใช้งบประมาณอย่างมหาศาล แต่เมื่อดูจากมูลค่าถ่านหินในเหมืองเมืองก๊กที่มีกว่า 270,000 ล้านบาทและสัญญายาวนานกว่า 30 ปีก็อาจจะสามารถนำไปพิจารณาได้เช่นกัน

สำหรับบริษัท สระบุรีถ่านหิน จำกัด ได้สัมปทานขุดเหมืองถ่านหินลิกไนต์ในประเทศพม่าตั้งแต่ปี 2551 เป็นเวลายาวนานกว่า 30 ปี มีแผนจะนำเข้าถ่านหินลิกไนต์เข้ามาวันละกว่า 2,000-5,000 ตันหรือปีละ 1.5 ล้านตัน เนื่องจากมีปริมาณถ่านหินลิกไนต์ในเหมือง มีกว่า 110 ล้านตัน แต่เนื่องจากต้องขนผ่านชายแดน ป่าสงวนแห่งชาติ ชุมชน มีลานเก็บเพื่อขนส่งต่อ ฯลฯ

ล่าสุด บริษัทระบุจะมีการหารือกับรัฐบาลพม่าเพื่อขอนำเข้าผ่านทางสะพานข้ามลำน้ำสายแห่งที่ 2 พื้นที่ อ.แม่สาย ซึ่งต้องขนจากเมืองก๊ก-จ.ท่าขี้เหล็ก ไปยังสะพานระยะทางร่วม 80-90 กิโลเมตร หรืออาจจะขอขนส่งไปยังท่าเรือแม่น้ำโขงที่บ้านโป่ง จ.ท่าขี้เหล็ก เพื่อขนถ่านหินไปขายให้แก่ประเทศจีน

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9540000057295
__________________


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 10 พฤษภาคม 2011, 22:37:52
จังหวัดเชียงราย โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เดินหน้ายุทธศาสตร์เชียงรายเมืองศิลปกรรม ทยอยเปิดบ้านศิลปิน หวังเพิ่มจุดขายการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Activities) ทยอย “เปิดบ้านศิลปินเชียงราย ๑๓ ราย” เพื่อเชิดชูศิลปินเชียงรายที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัด- ล่าสุดเปิดบ้านศิลปิน “อภิรักษ์ ปันมูลศิลป์” เป็นหลังสุดท้าย เสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายทุนทางวัฒนธรรมด้านศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยในพื้นที่ ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวด้านศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

นายสุรชัย  ลิ้นทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า กิจกรรมเปิดบ้านศิลปินเชียงราย เป็นกิจกรรมภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และทุนทางสังคมของท้องถิ่นเชียงราย ของวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ที่ได้ตระหนักถึงความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงราย ที่มีศิลปินทั้งในระดับนานาชาติ ระดับชาติ และระดับท้องถิ่นมากมายร่วม ๒๐๐ คน  โดยเฉพาะศิลปินร่วมสมัย ยังคงสร้างสรรค์ผลงานและสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดเชียงรายอย่างต่อเนื่อง ทั้งงานจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม งานประยุกต์ศิลป์ เหล่านี้ล้วนเป็นทุนวัฒนธรรม และเป็นทรัพยากรบุคคลที่สำคัญ อันจะพัฒนานำไปสู่แนวทางเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ สร้างรายได้ทางด้านท่องเที่ยวหมุนเวียนภายในจังหวัดอีกด้วย

โดยได้กำหนดจัดกิจกรรมเปิดบ้านศิลปินเชียงรายขึ้น โดยทำการคัดเลือกบ้านศิลปินที่มีความพร้อม และผ่านเกณฑ์ตามที่คณะกรรมการกำหนด รวมถึงความพร้อมที่จะเปิดบ้านของศิลปินเจ้าของบ้านด้วย จำนวน ๑๓ หลัง ต่อยอดและขยายผลจากการที่กระทรวงวัฒนธรรมได้มาเปิดบ้านศิลปินแห่งชาติ ดร.ถวัลย์ ดัชนี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สำหรับกิจกรรมเปิดบ้านศิลปินเชียงรายจะจัดระหว่างระหว่างวันที่ ๘ เมษายน –  ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๔ และจะเปิดบ้านศิลปินอภิรักษ์  ปันมูลศิลป์ ในวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ณ บ้านเลขที่ ๗๙ หมู่ ๑๐ บ้านใหม่พัฒนา เทศบาลตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย

ศิลปินอภิรักษ์  ปันมูลศิลป์ ซึ่งเป็นศิลปินสาขาทัศนศิลป์ – จิตรกรรม ในรูปแบบ Impressionist ผลงานภาพส่วนใหญ่จะเป็นธรรมชาติรอบๆ ตัวที่ดูแล้วรู้สึกสดชื่น

นายสุรชัย กล่าวต่อไปว่า “ในขณะนี้ต้องถือได้ว่ากิจกรรมเปิดบ้านศิลปินนี้ เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเป็นที่เดียวในประเทศไทย นับว่าเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์  สมควรที่จะได้รับการสนับสนุนจากชาวจังหวัดเชียงราย เนื่องจากจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านศิลปกรรมและแหล่งศิลปกรรมให้แก่จังหวัดเชียงราย และเพื่อเพิ่มมูลค่าด้านการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม ประการสำคัญยังเป็นแหล่งเรียนรู้ทางด้านศิลปกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้แก่เยาวชน และศิลปินรุ่นหลังต่อไปอีกด้วย”

สำหรับความเป็นมาของกิจกรรม “เปิดบ้านศิลปินเชียงราย” นายนที เมืองมา วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่าเป็นการต่อยอดและขายผลจาก โครงการเปิดบ้านศิลปินแห่งชาติของกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งล่าสุดได้มาเปิดบ้านศิลปินแห่งชาติที่จังหวัดเชียงราย เป็นหลังที่ ๑๑ คือ บ้านดำนางแล บ้านศิลปินแห่งชาติ ดร. ถวัลย์  ดัชนี ซึ่งเปิดไปเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา เป็นโครงการที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าของศิลปิน ผู้สร้างสรรค์  ภูมิปัญญา และเป็นแหล่งสะสมองค์ความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรม รวมถึงเป็นการส่งเสริมให้คนในชุมชนท้องถิ่น ได้สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

ทั้งนี้ศิลปินที่เข้าร่วมกิจกรรม “เปิดบ้านศิลปิน” จำนวน ๑๓ คน ประกอบไปด้วย

            ๑)  ดร.ถวัลย์  ดัชนี    ศิลปินแห่งชาติ

            ๒)  อ.เฉลิมชัย  โฆษิตพิพัฒน์    ศิลปินศิลปาธร

            ๓)  อ.ฉลอง  พินิจสุวรรณ

            ๔)  นายชัยวิชิต  สิทธิวงค์

            ๕)  นายทรงเดช  ทิพย์ทอง

            ๖)  นายธีรยุทธ  นางอรพิน  สืบทิม

            ๗)  นายนริศ  รัตนวิมล

            ๘)  นางสาวนิตยา  ตามวงค์

            ๙)  นายพรมมา  อินยาศรี

            ๑๐) นายพานทอง  แสนจันทร์

            ๑๑) นายสมพล  ยารังษี

            ๑๒) นายสมลักษณ์  ปันติบุญ

            ๑๓) นายอภิรักษ์  ปันมูลศิลป์

 

โดยทางจังหวัดเชียงราย ได้สนับสนุนด้านการประชาสัมพันธ์ ได้แก่ ๑.) การจัดทำป้ายบอกทาง และป้ายหน้าบ้านศิลปิน บ้านละ ๓ ป้ายต่อ ๑ หลัง ๒.) การจัดทำแผนที่เพื่อการท่องเที่ยวบ้านศิลปิน จำนวน ๑๐,๐๐๐ ฉบับ และ ๓.) การจัดทำเอกสารองค์ความรู้บ้านศิลปินที่เข้าร่วมโครงการ ๑,๕๐๐ เล่ม ทั้งนี้เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์บ้านศิลปินเชียงราย ในการเป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม” นายนทีกล่าวในที่สุด

*****************************************

 
แหล่งข่าว : คุณวราภรณ์ แก้วชัยยา (ฝ่ายประสานงานพิธิเปิดบ้านฯ
นำเสนอโดย : เชียงรายโฟกัสดอทคอ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 พฤษภาคม 2011, 13:19:36
(http://pattayatoday.net/wp-content/uploads/2011/02/236376.jpg)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 พฤษภาคม 2011, 18:17:18
เตรียมระดม 79 ของดีชนเผ่าทั่วเชียงรายโชว์กลางเดือนนี้/หนุนท่องเที่ยว

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   11 พฤษภาคม 2554 13:29 น.


       เชียงราย - เมืองพ่อขุนฯระดม 79 ของดีชนเผ่าจาก 18 อำเภอทั่วจังหวัด ออกร้านโชว์กลางเดือนนี้ ส่งเสริมท่องเที่ยวเชียงราย
       
       นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย, นายสุเทพ ทิพรัตน์ เกษตรจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน "วันเกษตรปลอดภัยและอาหารชนเผ่า" ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้น ณ สนาม รด.เชิงสะพานแม่ฟ้าหลวง อ.เมือง จ.เชียงราย ระหว่างวันที่ 20-26 พ.ค.นี้ โดยในการแถลงมีการจัดแสดงของชนเผ่าต่างๆ อันสวยงาม และอาหารชนเผ่าจากเผ่าต่างๆ อย่างหลากหลายรวมทั้งเชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมได้ชิมด้วย
       
       นายสมชัย กล่าวว่า ปัจจุบันการบริโภคพืชผักผลไม้ปลอดภัยสารพิษกำลังเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นกิจกรรมครั้งนี้จึงเป็นการส่งเสริมความเชื่อมั่นในผลผลิตของเกษตรกรชาวเชียงราย รวมทั้งเผยแพร่ให้เห็นถึงความเป็นอัตลักษณ์ของเชียงราย โดยเฉพาะวิถีชนเผ่า ซึ่งมีอยู่หลากหลายเผ่า
       
       ซึ่งกรณีกิจกรรมครั้งนี้นอกจากจะเป็นด้านการแสดงและทั่วไปเหมือนที่ผ่านมา ยังมีการเผยแพร่ถึงอาหารชนเผ่าซึ่งเมื่อได้เข้าไปศึกษาแล้วพบว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก
       
       นายสมชัย กล่าวอีกว่า อาหารบางอย่างของชนเผ่ามีความเอร็ดอร่อยและเป็นเอกลักษณ์อย่างมาก หลายอย่างไม่เคยเป็นที่รับรู้ของคนภายนอกมาก่อน แต่เมื่อได้เข้าไปสัมผัสพบว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก โดยเฉพาะน้ำพริกชนิดต่างๆ เช่น น้ำพริกอาข่า ฯลฯ ที่มีความอร่อยและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะสูตร ดังนั้นในกิจกรรมนอกจากจะมีการจัดแสดง การแข่งขัน ฯลฯ จึงเปิดโอกาสให้ชมและชิมกันด้วย
       
       ด้านนายสุเทพ กล่าวว่า ภายในงานมีการจัดแสดงอาหารชนเผ่ากว่า 79 รายการจากชนเผ่าๆ ทั้ง 18 อำเภอของจังหวัด ภายในมีการจัดแสดงและให้ชิมรวมทั้งจัดแสดงรูปแบบต่างๆ เช่น ประกวดอาหารแปรรูปและอาหารชนเผ่า แข่งกินผลไม้ ประกวดลิ้นจี่และสับปะรด จัดเสวนาวิชาการพืชสวน ประกวดธิดาเกษตร มหกรรมโอท็อป และวิสาหกิจชุมชน ฯลฯ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมทั้งภาคการเกษตร เผยแพร่องค์ความรู้ของชุมชนต่างๆ และส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วย


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 14 พฤษภาคม 2011, 17:09:19
เส้นทางอาร์ 3

คอลัมน์ ถุงแดง


เส้นทางบกสายอาร์ 3A หรืออาร์ 3E เป็นเส้นทางผ่าน 3 ประเทศ จากไทย ผ่านลาว ก่อนเข้าประเทศจีน ถือเป็นเส้นทางสำหรับส่งออก และนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สาม

เส้นทางอาร์ 3 เริ่มจาก อ.เชียงของ จ.เชียงราย ประเทศไทย ผ่านเมืองห้วยทราย บ่อแก้ว หลวงน้ำทา บ่อเต็น ของลาว เข้าสู่เมืองโม่หาน จิ่งหง เชียงรุ้ง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน มีระยะทางประมาณ 1,104 กิโลเมตร ช่วยลดระยะเวลาในการขนส่งเหลือเพียง 2-3 วัน จากปกติทางเรือใช้เวลา 5-7 วัน

ทำให้ผลไม้ไทยมีความสดยาวนานขึ้นและกระจายผลไม้ไปยังตลาดเมืองยูนนานมณฑลตะวันตกเฉียงใต้ของจีนได้โดยตรง

ที่ผ่านมาจีนเป็นตลาดส่งออกผลไม้ที่สำคัญของไทย ซึ่งไทยสามารถส่งออกผลไม้คุณภาพดีไปจีนได้ปีละกว่า 5,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในช่วงปี"50-52 ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ส่งออกจำนวน 4,424, 4,967, 6,875 ล้านบาทตามลำดับ และช่วงเดือนม.ค.-ต.ค.53 ส่งออกรวม 5,988 ล้านบาท

ผลไม้ที่ส่งออกมากที่สุดได้แก่ ทุเรียน ลำไย มังคุด มะพร้าว มะม่วง และสำหรับผลไม้แห้งที่ไทยส่งออกมากที่สุด ได้แก่ ลำไยแห้ง มะขามแห้ง

จากสถิติดังกล่าวคาดการณ์ว่าจะมีการขยายตัวทางการค้าผลไม้ระหว่างกันเพิ่มมากขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% มูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท เนื่องจากมีการส่งออกผ่านเส้นทางบกที่กระทรวงเกษตรฯ เจรจาเปิดเส้นทางดังกล่าว

นับว่าเป็นโอกาสดีของผลไม้ไทย

หน้า 8


http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFkyOHlOVEUwTURVMU5BPT0=&sectionid=TURNd05RPT0=&day=TWpBeE1TMHdOUzB4TkE9PQ==


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 16 พฤษภาคม 2011, 01:33:12
หอการค้า17 จังหวัด ดันรถไฟความเร็วสูงสู่ภาคเหนือž

วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ที่โรงแรมท็อปแลนด์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก นายวิโรจน์ จิรัฐิติกาลโชติ กรรมการรองเลขาธิการ และประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคเหนือ หอการค้าไทย เป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารหอการค้าภาคเหนือ ซึ่งประกอบด้วย ประธานหอการค้า, เลขาธิการหอการค้า จาก 17 จังหวัดภาคเหนือ, ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส., นักวิชาการ, หัวหน้าส่วนราชการ, ประธานสภาอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการทั้งใน จ.พิษณุโลก และ 17 จังหวัดภาคเหนือ เข้าร่วมประชุมกว่า 70 คน เพื่อร่วมแสดงความคิดเห็นและนำเสนอเรื่องการขับเคลื่อนรถไฟความเร็วสูงสู่ภาคเหนือ

นายวิโรจน์กล่าวว่า จากการประชุมระดมความคิดเห็นจากประธานหอการค้า 17 จังหวัดภาคเหนือ รองประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคเหนือ ภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือรถไฟความเร็วสูงสู่ภาคเหนือ จากการรวบรวมเสียงทุกหอการค้าเห็นด้วยที่จะให้เกิดรถไฟความเร็วสูงในพื้นที่ภาคเหนือ เนื่องจากเศรษฐกิจพัฒนาใช้รถไฟอย่างรวดเร็ว เป็นความต้องการอย่างยิ่งของภาคเอกชน

ถ้าเกิดรถไฟความเร็วสูงไม่ได้ตอบสนองเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ แต่จะเป็นแก้ไขภาคสังคม จากการใช้รถยนต์ทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก ทั้งรถไฟความเร็วสูงจะช่วยลดต้นทุนทางด้านการขนส่งได้เป็นอย่างดี ส่วนการผลักดันเรื่องรถไฟรางคู่ ที่ประชุมเห็นว่าจากแผนการพัฒนาจะใช้เวลาอีก 20 ปี นานเกินไปไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ทั้งที่รถไฟรางคู่จำเป็นต่อระบบการขนส่งระบบโลจิสติคส์อย่างมาก ที่ประชุมได้เสนอให้รัฐบาลร่นระยะทางของแผนลงมาอย่างน้อย 10 ปีŽ

นายวิโรจน์กล่าวด้วยว่า ข้อสรุปจากแนวคิดครั้งนี้ จะเสนอไปยังพรรคการเมืองทุกพรรคและรัฐบาลใหม่ ให้ความสำคัญและเร่งรัดการดำเนินโครงการนี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งรถไฟรางคู่และรถไฟความเร็วสูง เนื่องจากเป็นโครงการที่เป็นความหวังของประชาชนทางภาคเหนือทั้งหมด

ด้านนายอธิภู จิตรานุเคราะห์ หัวหน้าศูนย์บริการข้อมูลระบบราง สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า จากการที่กระทรวงคมนาคม สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร และการรถไฟแห่งประเทศไทย มีแนวทางการพัฒนาระบบรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่ง และการจัดการโลจิสติคส์ (ระยะที่ 1) ใน 3 เส้นทาง ประกอบด้วย สายตะวันออกเฉียงเหนือ บากะเบา-ชุมทางถนนจิระ งบฯลงทุน 27,963 ล้านบาท สายเหนือ จากลพบุรี-ปากน้ำโพ จ.นครสวรรค์ ค่าลงทุน 19,322 ล้านบาท และสายใต้ จากนครปฐม-ชุมทางหนองปลาดุก-หัวหิน ค่าลงทุน 27,213 ล้านบาท ดำเนินการก่อสร้างระหว่างปี 2553-2557 จะส่งผลทำให้ จ.นครสวรรค์ มีรถไฟรางคู่ใช้ในอีก 5 ปีข้างหน้า

นายอธิภูกล่าวว่า ส่วนความคืบหน้าการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูง 5 เส้นทางหลัก คือ 1.สายเหนือ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ 2.สายอีสาน กรุงเทพฯ-หนองคาย 3.กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี 4.สายใต้ กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ และ 5.สายตะวันออก กรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา ระยะทางรวม 3,133 กิโลเมตร โดยร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับจีน แต่อีก 2 โครงการ คือ เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระยะทาง 754 กิโลเมตร มูลค่าการก่อสร้าง 232,409 ล้านบาท และเส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง ระยะทาง 221 กิโลเมตร มูลค่าการก่อสร้าง 74,865 ล้านบาท จำเป็นต้องนำรูปแบบของการร่วมทุนระหว่างเอกชนกับรัฐจึงเดินทางมาเสนอแนวคิดให้ทางหอการค้าทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ เพื่อหาเอกชนร่วมก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงดังกล่าว

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1305426820&grpid=03&catid=03&utm_source=MatichonOnline&utm_medium=MatichonOnline


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: chayrat ที่ วันที่ 16 พฤษภาคม 2011, 11:13:47
นาย ทวีป รอดสิน บริการรับจ้างทั่วไป  4-6 ล้อ ยินดีรับใช้ไว รวดเร็ว ราคาตกลงได้         สนติดต่อ 0840213086 มาตรพุตระยอง จ.ระยอง     

                                                            ยินดีรับใช้ครับ...


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กแว้น ฮ่องลี่ ที่ วันที่ 16 พฤษภาคม 2011, 13:46:39
เที่ยวเมืองเชียงราย ;D ;D ;D ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 พฤษภาคม 2011, 23:10:05

เชียงราย - กรมทางหลวง เปิดห้องรับฟังความคิดเห็น ก่อนเดินเครื่องตัดถนนสาย ชร.4049 เชื่อมท่าเรือเชียงแสน 2 ที่จะแล้วเสร็จปลายปีนี้

(http://pics.manager.co.th/Images/554000006580102.JPEG)
       
       วันนี้ (20 พ.ค.54) ที่ห้องเชียงรุ้ง โรงแรมเวียงอินทร์ อ.เมือง จ.เชียงราย กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม และบริษัทพรีดีเวลลอปเมนท์ คอนซัลแตนท์ จำกัด ได้จัดประชุมกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนครั้งที่ 3 โครงการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมถนนสาย ชร.4049 โดยมีนายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เป็นประธาน และนายเอนก นัฐโฆษิก ผู้อำนวยการสำนักงานทางหลวงชนบทนำคณะฝ่ายที่เกี่ยวข้องชี้แจงโครงการ รวมทั้งมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำชุมชน และภาคประชาชนที่เกี่ยวข้องกับโครงการเข้าร่วม
       
       นายสมชัย กล่าวว่า ทุกโครงการย่อมมีทั้งผลดีและผลกระทบกรณีการก่อสร้างถนนก็เช่นกัน ดังนั้นทุกฝ่ายต้องระดมสมองเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด เนื่องจากปัจจุบัน จ.เชียงราย มีความจำเป็นต้องมีการก่อสร้างถนนเพื่อเพิ่มเติมโครงข่ายคมนาคม เพราะสภาพถนนหลายเริ่มมีความแออัดโดยเฉพาะช่วงชั่วโมงเร่งด่วน
       
       ขณะที่ระบบสาธารณูปโภคบางอย่างถึงเวลาที่ต้องพัฒนา เช่น ล่าสุดตนเดินทางไปยังล่าเรือแม่น้ำโขง อ.เชียงของ พบรถบรรทุกพลิกคว่ำที่ท้ายท่าเรือทำให้รถติดกันหมด สาเหตุเพราะเรามีท่าเรือสำหรับคนและรถบรรทุกเข้าออกในที่เดียวกัน แตกต่างจากประเทศอื่นที่แยกท่าเรือคนและสินค้า เป็นต้น
       
       กรณีถนนสาย ชร.4049 จึงมีความสำคัญเพราะเชื่อมระหว่าง อ.ดอยหลวง-เมือง ไปยังถนนสายเชียงแสน-เชียงของ ใกล้กับท่าเรือแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 ซึ่งกำลังจะแออัดในอนาคตด้วย
       ด้านนายเอนก กล่าวว่า ปัจจุบันกระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างก่อสร้างท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 ที่ปากแม่น้ำกก บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าจากท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือระนองกับประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน โดยเฉพาะจีนตอนใต้
       
       ดังนั้น กรมทางหลวงจึงสนับสนุนด้วยการสร้างถนนโครงข่าย โดยปี 2552 ได้สำรวจออกแบบรายละเอียดและศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมบนถนนสายนี้ พบว่าเดิมเป็นถนนลาดยาง 2 ช่องจราจร กว้าง 6 เมตร ไหล่ทาง 1 เมตร สภาพปัจจุบันคับแคบจึงจำเป็นต้องสร้างถนนสายใหม่ ซึ่งต้องผ่านเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าสบกกฝั่งขวา พื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 2 ฯลฯ
       
       ทั้งนี้ มีกำหนดระยะเวลาศึกษาโครงการ 300 วัน ตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค.2553-30 ก.ค.2554 ระยะทาง 20.440 กิโลเมตร ซึ่งหลังศึกษาได้กำหนดลักษณะโครงการเอาไว้ 4 รูปแบบ คือ ช่วงต้นโครงการกำหนดให้จุดเริ่มต้นเป็น 4 ช่องจราจร เส้นทางทั่วไปให้เป็น 2 ช่องจราจร เส้นทางลาดชันเป็นลักษณะถนนทางไต่ลาดชัน และจุดสิ้นสุดโครงการเป็น 4 ช่องจราจร หลังการศึกษาเอกชนที่ปรึกษาจะได้นำเสนอต่อกรมทางหลวงและกระทรวงคมนาคมเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ก่อสร้าโดยกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ด้วยงบประมาณ 1,546.4 ล้านบาท เนื้อที่ 402.3 ไร่พื้นที่หมู่บ้านสบกก ต.บ้านแซว เพื่อใช้ทดแทนท่าเรือแห่งเก่าในตัวเมืองประวัติศาสตร์เชียงแสนซึ่งไม่สามารถขยายตัวได้ ซึ่งท่าเรือใหม่จะรองรับเรือได้มากกว่าและมีสิ่งอำนวยความสะดวกรวมทั้งกว้างขวางกว่า โดยมีกำหนดแล้วเสร็จปลายปี 2554

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000061862


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 พฤษภาคม 2011, 18:53:04
เชียงราย - ชาวสวนลิ้นจี่เมืองเชียงรายยิ้มรับราคาผลผลิตพุ่งจากปีกลายกว่าเท่าตัว ล่าสุดขน “ฮงฮวย” วางแผงงานในงานวันเกษตรปลอดภัยและอาหารชนเผ่าประจำปี ได้ราคาต่ำสุด 50 บาท/กก. แต่ถ้าส่งขายนอกพื้นที่ราคาพุ่งถึงโลละ 120 บาท พร้อมตั้งความหวัง “ลิ้นจี่จักรพรรดิ” ที่จะเริ่มออกเดือนหน้าทำราคาทะลุ 150 บาท/กก.

(http://pics.manager.co.th/Images/554000006614503.JPEG)
(http://pics.manager.co.th/Images/554000006614501.JPEG)


       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า ขณะนี้ลิ้นจี่ ผลไม้เศรษฐกิจสำคัญของเชียงราย ได้เริ่มถูกนำออกท้องตลาดแล้ว โดยเฉพาะพันธุ์ฮงฮวย ที่จะให้ผลผลิตก่อนพันธุ์อื่น ขณะที่พันธุ์จักรพรรดิ และอื่น ๆ จะเริ่มให้ผลผลิตในต้นเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป และปีนี้ถือว่าลิ้นจี่มีราคาแพงกว่าทุกปีอย่างมาก
       
       พันธุ์ฮงฮวย ที่ถูกนำมาวางจำหน่ายภายในงานวันเกษตรปลอดภัยและอาหารชนเผ่าประจำปี 2554 ในขณะนี้ ณ สนาม รด.เชิงสะพานแม่ฟ้าหลวง ริมฝั่งแม่น้ำกก อ.เมือง จ.เชียงราย มีราคาต่ำสุดกิโลกรัมละกว่า 50 บาท และถ้าเป็นเกรดดีขึ้นก็จะเพิ่มเป็น 60-80 บาท แตกต่างจากปีก่อนๆ ที่มีราคามาตรฐานอยู่ที่กิโลกรัมละเพียง 25-30 บาท จนเกิดปัญหาล้นตลาดหรือต้องมีโครงการช่วยเร่งระบายผลผลิตไปสู่จังหวัดต่างๆ
       
       นายสุเทพ ทิพย์รัตน์ เกษตร จ.เชียงราย เปิดเผยว่า เชียงรายมีการปลูกผลผลิตลิ้นจี่รวมกันทั้งหมดประมาณ 30,000 ไร่ ซึ่งลดลงจากเดิมที่มีกว่า 50,000 ไร่ เพราะเกษตรกรจำนวนมากหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นๆ เช่น ยางพารา ฯลฯ แทน จึงทำให้ผลผลิตลดลง ประกอบกับในปีนี้เกิดสภาพอากาศแปรปรวนอย่างหนัก ทั้งร้อน หนาวและพายุ จึงทำให้ดอกติดผลลดลงกว่าปีก่อนถึง 20% และให้ผลช้ากว่าเดิมกว่า 1 เดือน ด้วยเหตุนี้ผลผลิตที่ออกมาจึงมีน้อยเพียงประมาณ 11,000 ตันเท่านั้นส่งผลให้ราคาผลผลิตพุ่งสูงขึ้นดังกล่าว
       
       นายสุเทพ กล่าวว่าในปีนี้เกษตรกรที่สามารถรักษาผลผลิตจนออกสู่ตลาดได้จึงสามารถจำหน่ายผลผลิตลิ้นจี่ได้ในราคาที่แพง ทั้งตลาดใน-ต่างประเทศ แต่ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ได้รับงบประมาณในการดูแลเรื่องราคาและผลผลิตให้กับเกษตรกรใน จ.เชียงราย จำนวนประมาณ 40 ล้านบาท โดยเป็นโครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำผ่านสหกรณ์และวิสาหกิจชุมชนต่างๆ เพื่อเตรียมนำไปรับซื้อผลผลิตกรณีที่ยังมีเกษตรกรประสบปัญหาราคาตกต่ำอยู่
       
       นายสุเทพ กล่าวอีกว่าโครงการดังกล่าวถือว่า ได้จัดเตรียมดำเนินการมาตั้งแต่ก่อนที่ผลผลิตจะออกสู่ตลาด ดังนั้น แม้ว่าผลผลิตในปีนี้จะมีน้อยและราคาแพงแต่ก็ยังคงโครงการเอาไว้อยู่ โดยอาจจะเกือบไม่มีการกู้ยืมเพื่อนำไปดำเนินการดังกล่าวเลยก็ได้ ทั้งนี้ยืนยันว่าปีนี้ผลผลิตลิ้นจี่ของเกษตรกรถือว่าดีมากเพราะมีจำนวนน้อยและเป็นกลุ่มที่มีการดูแลรักษาไว้อย่างดี
       
       ด้านนางกาดแก้ว วงศ์แหวน เจ้าของสวนลิ้นจี่จันทร์สม อ.แม่จัน กล่าวว่า ปีนี้ราคาผลผลิตดีโดยจำหน่ายพันธุ์ฮงฮวยขั้นต่ำกิโลกรัมละ 50 บาท แต่เมื่อนำไปวางตามตลาดทั่วไปในจังหวัดจะสูงถึง 70-80 บาท และหากนำส่งออกไปต่างจังหวัดจะสูงถึงกิโลกรัมละ 120-150 บาท ส่วนพันธุ์จักรพรรดิที่มีผลขนาดใหญ่จะออกสู่ตลาดราวต้นเดือนหน้า คาดว่าจะมีราคาตั้งแต่กิโลกรัมละ 150 บาทขึ้นไป
       
       อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือภัยธรรมชาติโดยเฉพาะสภาพอากาศแปรปรวน จึงทำให้เกษตรกรหลายรายเลิกปลูกและหันไปปลูกพืชชนิดอื่นแทน ส่วนรายที่เหลืออยู่ก็ยังต้องดิ้นรน เพราะแม้จะมีราคาแพงแต่ก็ต้องพยายามรักษาผลผลิต ให้รอดพ้นผ่านวิกฤตอากาศแปรปรวนมาให้ได้ ซึ่งส่งผลทำให้มีต้นทุนสูงนั่นเอง.


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 พฤษภาคม 2011, 19:22:28

เชียงราย - กรมเจ้าท่าหยุนหนัน ร่อนหนังสือถึงภาคีสมาชิก JCCN ทั้งพม่า - ไทย - สปป.ลาว ช่วยดูแลการเดินเรือพาณิชย์ในน่านน้ำโขงตอนบน หลังโจรสลัดออกอาละวาดปล้นสะดม-จับคนเรียกค่าไถ่ถี่ยิบ

(http://pics.manager.co.th/Images/554000006613503.JPEG)

       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า หลังเรือหงซิ่ง ซึ่งเป็นเรือสินค้าสัญชาติจีนที่วิ่งขึ้นลงในแม่น้ำโขงระหว่างเชียงรุ่ง สิบสองปันนา - ท่าเรือเชียงแสน จ.เชียงราย ขนาด 300 ตันตันกรอส ถูกกลุ่มโจรสลัดแม่น้ำโขงพยายามเข้าปล้น และเมื่อเรือแล่นหนีได้ยิงปืนจากอาวุธสงครามใส่หลายนัดแต่ไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต เมื่อบ่ายวันที่ 17 พ.ค.54ที่ผ่านมา บริเวณใกล้เกาะกลางแม่น้ำโขงน่านน้ำพม่า-สปป.ลาว เหนือสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน ไปทางทิศเหนือประมาณ 7 กิโลเมตรนั้น
       
       ล่าสุด กรมเจ้าท่า มณฑลหยุนหนัน ประเทศจีน ในฐานะรองหัวหน้าคณะกรรมการประสานการดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง (The Joint Committee on Coordination of Commercial Navigation ;JCCN) ซึ่งมีสมาชิกเป็นกรมเจ้าท่าประเทศจากประเทศพม่า สปป.ลาว และไทย ได้ทำหนังสือแจ้งประเทศสมาชิกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว
       
       ทั้งนี้ ได้ย้ำให้ประเทศสมาชิกช่วยบริหารจัดการและเฝ้าระวังแก่การเดินเรือสินค้าในแม่น้ำโขง ตามเส้นทางจากจีนตอนใต้ผ่าน สปป.ลาว-พม่า จนมาถึงท่าเรือในแม่น้ำโขงของประเทศไทย เพื่อช่วยกันป้องกันปัญหาดังกล่าวอันจะเป็นการร่วมกันพัฒนาการเดินเรือในแม่น้ำโขงต่อไป
       
       รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ปัญหาโจรสลัดแม่น้ำโขงเกิดขึ้นมานาน โดยมีกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มเคลื่อนไหวในย่านเหนือสามเหลี่ยมทองคำขึ้นไป จนทำให้เรือสินค้าจีนถูกลอบยิงหรือปล้นจี้หลายครั้ง บางครั้งมีลูกเรือจีนถึงขั้นเสียชีวิตหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจจีน ที่ยกขบวนเรือลงมาสำรวจก็เคยถูกยิงจนเรือเสียหาย เจ้าหน้าที่ตำรวจจีนได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลใน อ.เมือง จ.เชียงราย
       
       ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ของพม่าและ สปป.ลาว ได้มีการจัดประชุมเรื่องการต่อต้านกลุ่มโจรสลัดลุ่มแม่น้ำโขงอย่างต่อเนื่องมาแล้วหลายครั้ง โดยส่วนใหญ่ระบุถึงกลุ่มนายหน่อคำ กองกำลังชาวไทใหญ่ อดีตแนวร่วมสำคัญของกลุ่ม MTA ของ “ขุนส่า” ราชายาเสพติดในอดีต ที่อาละวาดหนักในช่วงก่อน โดยถึงขั้นเคยมีการใช้เฮลิคอปเตอร์ลาดตระเวนจนเห็นบ้านดอนสามปูห่างจากบ้านโป่งไปทางทิศเหนือประมาณ 50 กิโลเมตร และร่วมกันใช้กำลังทหารทั้งพม่าและ สปป.ลาว ทั้งสองฝั่งบุกโจมตีจนยับยั้งการออกอาระวาดของกองกำลังกลุ่มนี้ได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถกวาดล้างกองกำลังกลุ่มนี้ได้อย่างเด็ดขาด


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2011, 10:41:24
วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7480 ข่าวสดรายวัน


รฟท.มั่นใจงบ1.2แสนล.ผ่านฉลุย



นายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า แม้ว่าขณะนี้จะอยู่ในช่วงของการเลือกตั้งเพื่อเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แต่ตนเห็นว่าจะไม่กระทบต่อวงเงินงบประมาณที่รัฐบาลได้อนุมัติให้รฟท.ใช้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจำนวน 1.76 แสนล้านบาท เพราะถือว่างบประมาณดังกล่าวจะนำมาใช้ในการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการให้บริการประชาชนของรฟท.

สำหรับโครงการที่ต้องรอให้รัฐบาลใหม่พิจารณาอนุมัติดำเนินการ เช่น โครงการรถไฟทางคู่สายลพบุรี-ปากน้ำโพ โครงการรถไฟทางคู่สายมาบกะเบา-ถนนจิระ โครงการรถไฟทางคู่สายนครปฐม-หนองปลาดุก-หัวหิน ฯลฯ รวมวงเงินลงทุนกว่า 6 หมื่นล้านบาท นอกจากนั้น ยังมีโครงการรถไฟทางคู่สายทางใหม่ ได้แก่ โครงการก่อสร้างรถไฟเส้นทางเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และโครงการก่อสร้างรถไฟเส้นทางบัวใหญ่-มุกดาหาร-นครพนม รวมวงเงินประมาณ 6 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันโครงการเหล่านี้อยู่ระหว่างการออกแบบ และจัดทำเอกสารประกวดราคา คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี หลังจากนั้นจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติเพื่อดำเนินการต่อไป

หน้า 8


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: เชียงรายพันธุ์แท้ ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2011, 23:09:33
10 เมืองจังหวัดต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2554 คณะกรรมการคัดเลือกเมืองจังหวัดต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้พิจารณาตัดสินเมืองต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์รอบสุดท้าย  และได้ประกาศรายชื่อ 10 เมืองจังหวัดต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ได้รับการตัดสิน เรียงตามลำดับอักษร ดังนี้

1. จังหวัดชัยนาท เมืองแหล่งเมล็ดพันธุ์ข้าว (นางลือ-ท่าชัย)
เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตพันธุ์ข้าวแหล่งใหญ่ของประเทศ ซึ่งวันนี้ที่นี่ได้กลายเป็นธุรกิจผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวส่งไปขายทั่วประเทศไทย และยังเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ชาวนาภาคอื่นๆ สามารถมาศึกษาเพื่อผลิตพันธุ์ข้าวไว้ใช้เองได้อีกด้วย นอกจากนี้พื้นที่นาที่นี่จะปราศจากวัชพืช ต้นข้าวที่ออกรวงจะมีรวงโตเหลืองอร่ามสวยงาม หากยังไม่ออกรวงจะมีสีเขียวขจีของต้นข้าวเท่านั้นไม่มีวัชพืชปะปน ที่สำคัญเกือบทุกบ้านในย่านสองตำบลจะมีโกดังเก็บสินค้าและป้ายที่บ่งบอกว่าเป็นแหล่งขายพันธุ์ข้าว เช่น "วรรณาพันธุ์ข้าวปลูก" "สัญญา 9 พันธุ์ข้าวปลูก" เป็นต้น เพราะที่นี่ชาวนาเขาทำนาขายข้าวสำหรับผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์ข้าว จะไม่ได้ขายให้กับโรงสีเหมือนกับจังหวัดอื่นๆ เขาจึงต้องดูแลคุณภาพข้าวอย่างดี

นอกจากนั้น กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวต.นางลือ-ท่าชัย นับได้ว่าเป็นกลุ่มผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวกลุ่มเดียวในประเทศไทยที่มีโรงงานปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์เป็นของตัวเอง โดยได้รับงบสนับสนุนจากแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชัยนาทแบบบูรณาการเมื่อปี 2548 วงเงิน 20 ล้านบาท

2. จังหวัดเชียงราย เมืองแห่งการพัฒนา (ดอยตุง)
เชียงราย อารยนครอายุกว่า 700 ปี มีมนต์เสน่ห์ล้ำลึกของวัฒนธรรมล้านนา กลมกลืนกันอยู่ในโอบล้อมของผืนป่า ที่เริ่มคืนความเขียวชะอุ่มภายหลังเกิดโครงการพัฒนาดอยตุงฯ กว่า 30 ปีที่ผ่านมาด้วยพระบารมีของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ชาวเขาและชาวพื้นราบในบริเวณรายรอบดอยตุง ยอดสูงสุดของดอยนางนอน พรมแดนไทย-พม่า ได้เปลี่ยนวิถีจากการปลูกและเสพฝิ่น ถางป่าตัดไม้ และทำไร่เลื่อนลอย หันมาทำเกษตร ปลูกพืชผักเมืองหนาว ทำไร่กาแฟและแมคคาเดเมีย สร้างผลงานเย็บปักถักทอที่เชื่อมต่อวัตถุดิบพื้นถิ่น และหัตถศิลป์พื้นเมืองสู่การใช้งานในชีวิตประจำวันแบบสากล ในขณะที่กลุ่มชน 30 ชาติพันธุ์ ยังคงอาศัยอยู่อย่างสงบ ตามไหล่เขาและบนดอยสูง แนบแน่นอยู่กับประเพณีดั้งเดิมของตน โดยไม่ถูกวัฒนธรรมเมืองกลืนกิน

3. จังหวัดเชียงใหม่ เมืองหัตถกรรมสร้างสรรค์
ในอดีตงานหัตถกรรม ถูกตีค่าเป็นเพียงสินค้าของที่ระลึกจำน่ายทั่วไปให้กับนักท่องเที่ยว แต่ใน ปัจจุบันนั้น ค่าของงานหัตถกรรมเชียงใหม่ได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้น จนกลายเป็นสินค้าส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ และสามารถทำรายได้กลับคืนสู่จังหวัดได้อย่างมหาศาล

เชียงใหม่จึงถือเป็นแหล่งผลิตสินค้าหัตถกรรมที่สำคัญและแหล่งใหญ่ของประเทศรวมถึงยังคงความเป็นเอกลักษณ์ในชิ้นงานและด้านฝีมือที่มีความชำนาญ เชี่ยวชาญ และความประณีตที่ถูกถ่ายทอดออกมาในชิ้นงานหัตถกรรมแต่ละชิ้น เช่น หัตถกรรมเครื่องเงิน ไม้แกะสลัก ผ้าทอตีนจก ผ้าไหมสันกำแพง เซรามิกศิลาดล ร่ม และกระดาษสา เป็นต้น จุดเด่นดังกล่าวจึงทำให้หัตถกรรมเชียงใหม่ มีโอกาสเติบโตสู่ตลาดโลกได้

4. จังหวัดน่าน น่านเมืองเก่าที่มีชีวิต
เนื่องจากประชาชนชาวจังหวัดน่านยังรักษาเอกลักษณ์ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีเดิมของตนเองได้อย่างมั่นคง ประกอบกับ คณะรัฐมนตรีได้มีมติการประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่าน่าน และเวียงพระธาตุแช่แห้งเป็นพื้นที่อนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เป็นลำดับที่ 2 ของประเทศ ต่อจากเกาะรัตน์โกสินทร์ เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2548 ซึ่งถือว่าจังหวัดน่านยังเป็นเมืองเก่าที่มีลักษณ์การเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างเหนียวแน่นที่อยู่ในการดำเนินชีวิตของประชาชนโดยส่วนใหญ่ lesสำหรับสัญลักษณ์ หรือ Brand Logoคือภาพเป็นภาพจิตรกรรมที่อยู่ในวัดภูมินทร์ เป็นภาพเขียนที่ ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครในประเทศไทย ประกอบกับมีแห่งเดียวในประเทศไทย ถือเป็นภาพเขียนฝาผนังที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนเมืองน่านได้อย่างชัดเจน

5. จังหวัดเพชรบุรี เมืองเพชร เมืองตาลโตนด
ตาลโตนดจัดเป็นไม้ตระกูลเก่าแก่ตระกูลหนึ่งของโลก ซึ่งมีมากกว่า 4,000 ชนิด (Species) เป็นต้นไม้ที่มีอายุยืนนับร้อยปี และอยู่กับจังหวัดเพชรบุรีมาตั้งแต่โบราณกาลและผลิตผลจากต้นตาล โดยเฉพาะน้ำตาลโตนดยังเป็นส่วนผสมที่สำคัญในการทำขนมหวานเมืองเพชร ซึ่งมีชื่อเสียงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดังคำสวดสุบินกุมารที่มีอายุมากกว่าร้อยปีกล่าวว่า “โตนดเต้าแลจาวตาล เป็นเครื่องหวานเพชรบุรี กินกับน้ำตาลปี ของมากมีมาช่วยกัน”

6. จังหวัดมหาสารคาม เมืองแห่งการเรียนรู้ สู่การพัฒนาชุมชน
"Learning City towards Community Development" หรือจะเรียกอีกอย่างว่า เมืองตักสิลา เมืองแห่งการศึกษา : เป็นจังหวัดที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นหลายประการ คน มหาสารคามเป็นคนที่มีความดีงามและเพียบพร้อมด้วยภูมิความรู้มากมาย วิวัฒนาการของบ้านเมือง และพัฒนาการของผู้คนและสังคมก้าวหน้า มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย รักสันติ เป็นสังคมแห่งภูมิปัญญา และเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ..มหาสารคาม เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่กึ่งกลางของภาคอีสานไม่มีภูเขา มีแม่น้ำชีไหลผ่าน การเป็นจังหวัดที่อยู่กึ่งกลางของภาคอีสาน ประกอบกับเป็นเมืองสงบจึงเหมาะกับการเป็นที่ตั้งสถานศึกษาต่างๆ ทุกระดับ จึงเป็นที่มา "เมืองแห่งการศึกษา" หรือ "ตักสิลานคร"

จุดเด่นความเป็น "ตักสิลานคร" จังหวัดมหาสารคามมีสถาบันการศึกษาระดับสูงสุดหลายแห่ง สามารถผลิตทรัพยากรแรงงานระดับคุณภาพที่จะตอบสนองความต้องการทางเทคโนโลยีและธุรกิจได้ ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการทางเศรษฐกิจและแนวทางการพัฒนาประเทศจึงเป็นจุดเด่นของมหาสารคาม

7. จังหวัดยะลา Bird City ศูนย์กลางเศรษฐกิจนก
จังหวัดยะลาได้เป็นเจ้าภาพการจัดมหกรรมแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียน ซึ่งสามารถพัฒนาสู่เมืองเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์(Creative Economy) แบบครบวงจรได้ ตั้งแต่การเพาะเลี้ยงนก วัสดุเพาะเลี้ยงอาหารนก กรงนก สินค้าพื้นเมือง และธุรกิจที่ได้รับผลประโยชน์จากการแข่งขันนกประเภทต่างๆ อีกทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยว เพราะในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น จากกิจกรรมเสริมที่จัดขึ้นเพื่อเพิ่มความหลากหลาย

8. จังหวัดลพบุรี เมืองนวัตกรรมแห่งพลังงานทดแทน
ประเทศไทยซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่แบบของพลังงานทดแทน ได้เปิดตัว “ลพบุรี โซลาร์” โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยกำลังการผลิต 73 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่ตำบลวังเพลิง อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือเอ็กโก กรุ๊ปผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่แห่งแรกของประเทศไทย บริษัท CLP Thailand Renewable Limited ในเครือซีแอลพี ผู้นำทางด้านธุรกิจพลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก และบริษัท Diamond Generating Asia Limited ในเครือมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ผู้ผลิตอุปกรณ์โรงไฟฟ้ารายใหญ่ของญี่ปุ่น ผ่านบริษัท พัฒนาพลังงานธรรมชาติ จำกัด หรือ Natural Energy Development Company Limited - NED

ลพบุรี โซลาร์ ได้นำเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์แบบฟิล์มบาง (Thin Film Solar Cell) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พึ่งพาวัตถุดิบอย่างซิลิคอนต่ำกว่าการผลิตแบบเดิม และมีความเหมาะสมกับอากาศร้อนของประเทศไทยเข้ามาใช้ที่สำคัญ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งนี้ ยังมีส่วนร่วมในการช่วยประเทศไทยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศได้มากกว่า 1.3 ล้านตันตลอดอายุการดำเนินโครงการ 25 ปี และช่วยลดการนำเข้าเชื้อเพลิงได้มากถึงปีละ 35,000 ตัน ซึ่งสอดคล้องกับที่ประเทศไทยได้ให้คำมั่นสัญญากับประชาคมโลกที่เมืองโคเปนเฮเกนในเรื่องของการร่วมกันดูแลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก นอกจากนี้ ผู้พัฒนาโครงการยังมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตอีก 11 เมกะวัตต์ ในบริเวณพื้นที่เดียวกัน รวมทั้งสิ้นเป็น 84 เมกะวัตต์ เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสปีมหามงคลแห่งการบรมราชาภิเษกปีที่ 60 และเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา ในปี 2554 และเตรียมสร้างศูนย์นวัตกรรมพลังงานทดแทนในพื้นที่โครงการ โดยเน้นพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลัก ซึ่งจังหวัดลพบุรีจะมีแหล่งเรียนรู้ และจุดท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากเขื่อนป่าศักดิ์ชลสิทธิ์และทุ่งดอกทานตะวัน รวมถึงชุมชนและพื้นที่รอบข้างจะมีรายได้เพิ่มเติมจากการเยี่ยมชมของนักท่องเที่ยวและผู้มาศึกษาดูงานโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พฤศจิกายน 2554 จึงนับเป็นช่วงเวลาที่คนไทยจะได้เห็นต้นแบบโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย ... ผู้ทรงเป็นทั้งนักคิด นักค้นคว้า และนักบุกเบิกด้านพลังงาน

9. จังหวัดลำปาง ลำปางเมืองเซรามิก
นอกจากจะนึกถึงรถม้าแล้ว ที่สำคัญเมืองนี้ยังมีของดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ เซรามิกลำปาง ซึ่งว่ากันว่า เดิมทีชาวจีนที่มีฝีมือการทำเซรามิกอพยพจากเมืองจีนมาอยู่ในเมืองไทย นิยมผลิตถ้วยข้าวต้มวาดลวดลายไก่โต้งลงไป หรือที่เรียกกันว่าชามไก่ ชนกลุ่มนี้ภายหลังโยกย้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่เมืองลำปาง จึงนำความรู้ความชำนาญในการทำชามไก่มาเผยแพร่ ประกอบกับเมืองนี้มีวัตถุดิบในการผลิตเซรามิกเป็นดินขาวจำนวนมากด้วย

10. จังหวัดอ่างทอง ชุมชนเอกราชหมู่บ้านทำกลอง
หมู่บ้านทำกลองก็เป็นแห่งหนึ่งที่เป็นแหล่งรวมมรดกล้ำค่าจากภูมิปัญญาชาวบ้านหาชมได้ยาก ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านแพ ต.เอกราช อ.ป่าโมก หลังตลาดป่าโมก ริมฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา การเดินทางใช้ถนนสายใน ผ่านหน้าที่ว่าการเทศบาลอำเภอป่าโมกซึ่งขนานไปกับลำคลองชลประทาน ระยะทางประมาณ 17 กม. ชาวบ้านแพเริ่มผลิตกลองมาตั้งแต่ พ.ศ.2470 เมื่อได้เข้ามาเยี่ยมชมหมู่บ้านแห่งนี้ท่านจะได้รับความคุ้มค่ายิ่ง นับว่าเป็นการร่วมกันอนุรักษ์และสืบทอดศิลปะเหล่านี้ไว้ โดยท่านจะได้เรียนรู้กรรมวิธีการทำกลองแต่ละขั้นตอนอย่างละเอียด โดยการนำวัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ งานที่ออกมาแต่ละชิ้นมีความประณีตงดงามสีสันมากมาย ที่สำคัญมีกลองรูปทรงขนาดใหญ่ยาวที่สุดในโลกตั้งอยู่หน้าบ้านกำนันหงษ์ฟ้า หยดย้อย กลองกว้าง 36 นิ้ว 92 เซนติเมตร ยาว 7.6 เมตร ทำจากไม้จามจุรีต่อกัน 6 ท่อน สร้างปี 2537 ใช้เวลาสร้างประมาณ 1 ปี ให้ท่านได้สัมผัสด้วย พร้อมด้วยกลองขนาดเล็กๆ ซึ่งเป็นของฝากสามารถพกพาได้สะดวกง่ายดาย รับรองท่านจะได้สินค้าดีมีคุณภาพราคาย่อมเยากลับไปแน่ กลองแห่งหมู่บ้านทำกลองแห่งนี้ที่มีคุณภาพ ประณีต สวยงามแห่งเดียวในประเทศ

ชุมชนตำบลเอกราช อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ได้รับการถ่ายทอดการทำกลองมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย โดยคนแรกที่คิดประดิษฐ์ขึ้นมาคือ คุณตาเพิ่ม ภู่ประดิฐ แกเป็นนักดนตรี คิดประดิษฐ์ทำขึ้นใช้ในวงของตนเอง อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง มีชื่อเสียงมาแต่โบราณว่าเป็นแหล่งผลิตกลองมีคุณภาพที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ปัจจุบันกลองดีตีดังจากป่าโมกยังบินไกลไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น อเมริกา ประเทศแถบยุโรป หรือกระทั่งแอฟริกา แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ผู้ผลิตต้องใช้เวลาไม่น้อยในการสั่งสมความชำนาญ เพื่อสามารถกุมโอกาสเหมาะด้านการตลาดที่มาถึงได้อยู่มือ

ที่มา
http://www.oknation.net/blog/akom/2011/05/09/entry-1


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 พฤษภาคม 2011, 00:06:23
(http://pics.manager.co.th/Images/554000006808502.JPEG)


พะเยา - จังหวัดพะเยา เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นโครงการ “รถไฟรางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ” ที่ค้างเติ่งมานานกว่าครึ่งศตวรรษ
       
       วันนี้ (25 พ.ค.) ที่ห้องประชุมศูนย์บัญชาการ ศาลากลางจังหวัดพะเยา นายกาจพล เอิบสุขสิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ได้เป็นประธานประชุมเพื่อชี้แจงและรับฟังความคิดเห็นโครงการก่อสร้างทางรถไฟรางคู่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ โดยมีผู้แทนจากส่วนราชการ ภาคเอกชน ประชาชน ใน จ.พะเยา เข้าร่วม
       
       โครงการดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 หรือ 50 กว่าปีที่แล้ว โดยได้มีการสำรวจเส้นทางเบื้องต้น ต่อมาในปี พ.ศ.2537-2538 ได้ทำการศึกษาเพิ่มเติม พบว่า โครงการมีความเหมาะสมดำเนินการ มีแนวเส้นทางผ่านเด่นชัย-แพร่-สอง-งาว-พะเยา-เชียงราย จนมาถึงในรัฐบาลปัจจุบันกระทรวงคมนาคม มีนโยบายในการพัฒนาโครงข่ายระบบรางและการให้บริการรถไฟ ซึ่งมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟฯ ระยะเร่งด่วน 176,808 ล้านบาท และ ร.ฟ.ท.ได้จ้างบริษัทที่ปรึกษา เพื่อทำการศึกษาและออกแบบ เพื่อเตรียมก่อสร้างทางรถไฟรางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ในปี 2554
       
       สำหรับแนวเส้นทางโครงการทางรถไฟรางคู่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ มีระยะทางรวมประมาณ 326 กม.ผ่านพื้นที่ทั้งหมด 4 จังหวัด ได้แก่ แพร่ ลำปาง พะเยา และ เชียงราย โดย จ.พะเยา มีระยะทางผ่านในพื้นที่ประมาณ 55 กม.ใน 3 อำเภอ ได้แก่ อ.เมือง, อ.ดอกคำใต้ และ อ.ภูกามยาว มีสถานี 5 แห่ง ได้แก่ สถานีบ้านหม้อแกงทอง อ.เมืองพะเยา, สถานีบ้านโทกหวากอ.เมืองพะเยา, สถานีพะเยา, สถานีบ้านร้อง อ.ดงเจน และสถานีบ้านใหม่ อ.เมืองพะเยา
       
       ทั้งนี้ คาดว่า โครงการดังกล่าวจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งด้านพลังงาน ลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน และประชาชนในพื้นที่มีทางเลือกในการใช้บริการด้านการขนส่ง

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000063840


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 27 พฤษภาคม 2011, 10:43:01
ทุนจีนทำยอดค้าเชียงรายพุ่ง

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน   26 พฤษภาคม 2554 22:52 น.


       เชียงราย - ยอดค้าชายแดนเชียงราย - ลาว พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวกว่า 162.32% หลังกลุ่ม “ดอกงิ้วคำ” ทุนยักษ์จีนสั่งปูนซีเมนต์เข้าก่อสร้างโครงการยักษ์บนสามเหลี่ยมทองคำฝั่งลาวมหาศาล ขณะที่การค้ากับพม่า-จีน ก็เติบโตต่อเนื่อง ทำยอดเพิ่มถึง 85.54%
       
       สำนักงานพาณิชย์ จ.เชียงราย แจ้งว่า สถิติการค้าชายแดนด้าน จ.เชียงราย ตั้งแต่เดือน ม.ค.-มี.ค.2554 ถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการค้ากับจีนตอนใต้ พม่า และ สปป.ลาว มีมูลค่ารวมสูงถึง 7,101.86 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 85.54% แยกเป็นการส่งออกมูลค่า 6,422.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 95.99% และนำเข้ามูลค่า 679.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.41%
       
       ภาคการส่งออกเป็นที่น่าสังเกตว่าในขณะที่การส่งออกไปยังประเทศจีนและพม่าเติบโตในอัตราปกติ แต่การส่งออกไปยัง สปป.ลาว กลับเพิ่มสูงขึ้นถึง 162.32% เป็น 2,248.44 ล้านบาท ซึ่งถือว่ารองจากประเทศพม่าที่ไทยส่งออกไปมูลค่า 3,366.23 ล้านบาท และจีน 807.37 ล้านบาท
       
       ส่วนการนำเข้าถือว่าอยู่ในอัตราเติบโตปกติคือมีการนำเข้าจากจีนเป็นอันดับ 1 เช่นเดิมโดยมีมูลค่า 464.13 ล้านบาท จาก สปป.ลาว มูลค่า 168.55 ล้านบาท และจากประเทศพม่ามูลค่า 47.14 ล้านบาท
       
       นายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์ จ.เชียงราย กล่าวว่า สปป.ลาว เคยมีการค้าชายแดนที่ไม่มากนักกับประเทศไทยด้าน จ.เชียงราย เพราะ สปป.ลาว มีประชากรทั้งประเทศเพียงประมาณ 6 ล้านคน ดังนั้น ที่ผ่านมาการค้าชายแดนของเชียงราย จึงเป็นการค้ากับพม่าและขยายตัวอย่างรวดเร็วกับประเทศจีน
       
       นายเฉลิมพล กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามในไตรมาสแรกของปีนี้ กลับพบการส่งออกไป สปป.ลาว เพิ่มมากขึ้นถึง 162.32% โดยสาเหตุมาจากการมีโครงการขนาดใหญ่ใน สปป.ลาว โดยเฉพาะการลงทุนของกลุ่มทุนจีน "ดอกงิ้วคำ" ที่เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ตรงกันข้าม อ.เชียงแสน ซึ่งมีการก่อสร้างขนานใหญ่จึงจำเป็นต้องนำเข้าวัสดุก่อสร้างจากประเทศไทยไปดำเนินการโดยเฉพาะประเภทปูซีเมนต์
       
       "ปัจจุบันด้านลาวฝั่งนี้มีการนำเข้าปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้น เพราะปูนใน สปป.ลาว เองสามารถป้อนความต้องการทั้งประเทศได้เพียง 80% ของความต้องการทั้งหมด เนื่องจากมีโรงงานผลิตอยู่เพียง 7 ราย และมีกำลังผลิตได้เพียงปีละประมาณ 1.55 ล้านตัน นอกจากนี้ สปป.ลาว ยังต้องการสินค้าที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อีกมาก เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง สินค้าเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนเพราะในลาวต้องสร้างถนนยางมะตอยหลายแห่ง" นายเฉลิมพล กล่าวในที่สุด

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000064604


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 พฤษภาคม 2011, 18:27:51
ศูนย์ข่าวภาคเหนือ - พรรคภูมิใจไทยของ “เสี่ยเน-หนู” งัดโปรเจกต์เก่าค้างมานานกว่าครึ่งศตวรรษ “รถไฟเด่นชัย-เชียงราย” ที่ศึกษาแล้ว ศึกษาอีกมาหลายรัฐบาล หวังเจาะฐานเสียงเสื้อแดงฝั่งล้านนาตะวันออก “โสภณ-รักษาการ รมว.คมนาคม” บอก “จะให้สานต่อต้องเลือกพรรคผม”

(http://pics.manager.co.th/Images/554000006973401.JPEG)

       
       ยกแรกของการเลือกตั้ง ส.ส.54 หลายพรรคการเมืองแข่งกันผุดนโยบาย “ซื้อ...ใจ” ผู้มีสิทธิ์รับเลือกตั้ง โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มคนรากหญ้า ทั้งเรื่องการจำนำ/ประกันราคา ผลผลิตทางการเกษตร, บัตรเครดิตเกษตรกร ฯลฯ
       
       แต่ดูเหมือนทั้งหมดเป็นเพียงนโยบาย “เฉพาะหน้า” ให้ได้คะแนนเสียงในวันเลือกตั้งเท่านั้น ยังไม่มีพรรคการเมืองใดขายแนวคิดในเชิงยุทธศาสตร์ ที่มีผลต่ออนาคตของประเทศชาติในระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรมเท่าใดนัก
       
       ขณะที่ในสนามเลือกตั้งโซนล้านนาตะวันออก ทั้ง เชียงราย พะเยา ลำปาง แพร่ น่าน ที่ได้ชื่อว่า เป็นถิ่นเสื้อแดงหนาแน่น ที่พรรคไทยรักไทย/พลังประชาชน ต่อเนื่องมาถึงเพื่อไทย ครองเก้าอี้ ส.ส.มาตลอดนั้น พรรคภูมิใจไทย ของ 2 เสี่ย “เน-หนู” เนวิน ชิดชอบ/อนุทิน ชาญวีรกุล ที่กุมกระทรวงเศรษฐกิจ-กระทรวงเกรด A ในยุครัฐบาลประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำ มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ ได้หยิบยกโปรเจกต์ยักษ์ใหญ่ ที่เป็นความฝันของคนในพื้นที่มานานกว่าครึ่งศตวรรษ มาหาเสียงอย่างจริงจัง
       
       โดย นายโสภณ ซารัมย์ แกนนำของพรรคภูมิใจไทย ที่ทำหน้าที่รักษาการ รมว.คมนาคม อยู่ ได้จั่วหัวหาเสียงตั้งแต่ก่อนรับสมัครเลือกตั้งเที่ยวนี้ เมื่อคราวเดินทางมาเป็นประธานการประชุมรับฟังความเห็นจากประชาชนเกี่ยวกับความคืบหน้าการก่อสร้างรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย ซึ่ง อบจ.เมืองพ่อขุนฯ ซึ่งมี นางรัตนา จงสุทธนามณี สามีของ นายวันชัย จงสุทธนามณี ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 ชร. พรรค ภท.เป็นนายกฯ จัดขึ้นที่จังหวัดเชียงราย ก่อนที่จะไปร่วมเปิดสำนักงานพรรค ภท.สาขาพะเยา เมื่อ 4 เม.ย.54 ว่า ตั้งแต่ปี 53 เขาบอกว่า จะปักธงโครงการนี้ ซึ่งขณะนี้ก็คืบหน้าแล้ว
       
       “แต่ถ้าจะให้โครงการสานต่อ ก็ต้องเลือกพรรคผม เพราะรัฐบาลชุดต่อๆ ไปก็ขึ้นอยู่กับความชอบของเขาว่าจะทำต่อไปหรือไม่”
       
       ทั้งนี้ การศึกษาเพื่อสร้างเส้นทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย มีมาตั้งแต่ปี 2503 และมีการสำรวจเบื้องต้นในปี 2512 จากเด่นชัย-แพร่-สอง-เชียงม่วน-ดอกคำใต้-พะเยา-ป่าแดด-เชียงราย ระยะทางรวม 273 กิโลเมตร ต่อมาปี 2537-2538 ร.ฟ.ท.ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทำการทบทวนผลการศึกษาเดิมได้ข้อสรุปให้ก่อสร้างตามแนวเด่นชัย-แพร่-สอง-งาว (ลำปาง)-พะเยา-เชียงราย ระยะทางรวม 246 กิโลเมตร กระทั่งปี 2539-2541 ร.ฟ.ท.ได้ว่าจ้างเอกชนให้สำรวจออกแบบรายละเอียดและศึกษาผลกระทบและปี 2547 ได้ว่าจ้างให้ศึกษาความเหมาะสมอีกครั้งเพื่อเชื่อมกับจีนตอนใต้ ซึ่งผลสรุปคือเส้นทางเดิมมีความเหมาะสมมากที่สุด
       
       ล่าสุด เมื่อ 17 พ.ย.52 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้พัฒนาโครงข่ายระบบรางและให้บริการรถไฟของ รฟท.และเห็นชอบแผนการลงทุนระยะเร่งด่วนในวันที่ 27 เม.ย.2553 โดยมีรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย เป็นหนึ่งในแผนดังกล่าวควบคู่กับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม สปป.ลาว-ไทย เข้าทาง จ.หนองคาย และเส้นทางอีสาน-มหาสารคาม-นครพนม มูลค่าทั้งหมด 176,808 แสนล้านบาท
       
       อย่างไรก็ตาม ในยุค นายโสภณ เป็น รมว.คมนาคม ก็ยังไม่มีการก่อสร้าง ในปี 2554 กระทรวงคมนาคมได้จัดสรรงบประมาณราว 200 ล้านบาท เพื่อศึกษารถไฟรางคู่ต่อไปจนถึง อ.เชียงของ ชายแดนไทย-สปป.ลาว ระยะทาง 326 กิโลเมตร โดย รฟท.พึ่งลงนามจ้างเอกชนให้ศึกษาเมื่อวันที่ 29 เม.ย.ที่ผ่านมา ระยะเวลาศึกษา 14 เดือน ขณะที่โครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ท่าเรือแม่น้ำโขงมูลค่า 1,500 ล้านบาท อนุมัติให้ก่อสร้างสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ถนนโครงข่ายสะพานแม่น้ำโขง สะพานแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชียงของ-ห้วยทราย ฯลฯ ล้วนเป็นโครงการที่อยู่ในแผนของรัฐบาลชุดก่อนๆ และพัฒนาการด้านงบประมาณมาตามลำดับจนถึงรัฐบาลปัจจุบัน



หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 30 พฤษภาคม 2011, 11:43:01
(http://pcoc.moc.go.th/wappPCOC/57/upload/File_IPD_IMAGE57151150.gif)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 02 มิถุนายน 2011, 18:42:16
ตาก - คณะกรรมการพิจารณากฎหมายกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่เทศบาล “นครแม่สอด” ติดตามผลการจัดตั้งและเปลี่ยนแปลงฐานะ อปท.รูปแบบพิเศษ ด้านนายก ส.ท.ท.ดัน “หาดใหญ่”ขึ้นชั้น “มหานครพิเศษ” พร้อมกับอีก 11 เมืองใหญ่ทั่ว ปท.
       
       นายสุดจิต นิมิตกุล อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณากฎหมายกระทรวงมหาดไทย คณะที่ 2 พร้อมคณะกรรมการและคณะทำงานฯ ได้เดินทางลงพื้นที่ตามโครงการตรวจนิเทศและติดตามผลการจัดตั้งและเปลี่ยนแปลงฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รูปแบบพิเศษ “นครแม่สอด” พร้อมประชุมร่วมกับผู้บริหารเทศบาลนครแม่สอด-สมาชิกสภาเทศบาลนครแม่สอดและหัวหน้าส่วนการงานรวมทั้งแกนนำชุมชน ที่ห้องประชุมโกเมน เทศบาลนครแม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 70 คน
       
       นายสุดจิต กล่าวว่า กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ได้จัดโครงการตรวจนิเทศและติดตามผลการจัดตั้งและเปลี่ยนแปลงฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รูปแบบพิเศษ “นครแม่สอด” โดยได้ส่งคณะกรรมการพิจารณากฎหมายและทีมเจ้าหน้าที่ กว่า 20 คน ลงพื้นที่เทศบาล “นครแม่สอด” เพื่อติดตามผลการจัดตั้งและเปลี่ยนแปลงฐานะ อปท.รูปแบบพิเศษ เพื่อตรวจความพร้อมของเทศบาลนครแม่สอด ที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองจากเทศบาลเป็นท้องถิ่นพิเศษ นอกจากนี้ยังเป็นการนำปัญหาที่พบไปสู่การแก้ไขรวมทั้งตรวจสภาพข้อเท็จจริงของพื้นที่ให้สอดคล้องกับการเตรียมยกฐานะ “นครแม่สอด”
       
       นายเทอดเกียรติ ชินสรนันท์ นายกเทศมนตรีนครแม่สอด ได้บรรยายสรุปขั้นตอนการดำเนินติดตามการยกฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ “นครแม่สอด” เริ่มตั้งแต่ปี 2550 จนถึงปัจจุบัน ได้ผ่านขั้นตอนของคณะกรรมการกฤษฎีกา - ครม.และเตรียมเสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่รวมทั้งสมาชิกวุฒิสภาแล้ว
       
       หลังการประชุมนายกเทศมนตรีนครแม่สอด ได้นำคณะกรรมการพิจารณากฎหมายกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่สำรวจข้อมูลด้านต่างๆ ทางเศรษฐกิจ-การค้าชายแดน-การส่งเสริมการลงทุน-การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “นครแม่สอด” ที่จะเป็นท้องถิ่นพิเศษ ด้านเมืองเศรษฐกิจ-การค้าชายแดน ฯลฯ
       
       ด้านนายไพร พัฒโน นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในฐานะนายกสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย (ส.ท.ท.) กล่าวถึงการสนับสนุนท้องถิ่นที่มีความพร้อมให้ยกฐานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษว่า ตนเองในฐานะนายก ส.ท.ท. เห็นด้วยที่จะให้ท้องถิ่นที่มีศักยภาพขึ้นเป็นท้องถิ่นรูปแบบพิเศษเช่นเดียวกับที่นครแม่สอด เนื่องจากขณะนี้มีความจำเป็นที่จะให้ท้องถิ่นได้แก้ไขปัญหาความต้องการของประชาชนให้ตรงจุดเป็นการกระจายอำนาจให้กับประชาชน ทั้งในด้านปัญหาสิ่งแวดล้อม สาธารณสุข จัดเก็บภาษีบำรุงท้องถิ่น การพัฒนาคุณภาพชีวิต การศึกษา รวมทั้งการพัฒนาอาชีพ การกระจายเศรษฐกิจและรายได้ของชุมชน
       
       โดยทาง ส.ท.ท. พร้อมให้ความร่วมมือทางด้านข้อมูลในเชิงวิชาการกับท้องถิ่นที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่การเป็นท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาท้องถิ่นรูปแบบพิเศษขึ้นอยู่กับความพร้อมของพื้นที่ ประชากร และความเห็นด้วยจากประชาชนส่วนใหญ่ในรูปแบบของการทำประชาคมด้วย
       
       “ขณะนี้เทศบาลนครหาดใหญ่ก็ถือว่ามีความพร้อมที่จะยกฐานะให้เป็นท้องถิ่นรูปแบบพิเศษมหานครหาดใหญ่ด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคและตลาดการค้ารวมทั้งเป็นประตูแห่งเอเชีย ซึ่งมหานครหาดใหญ่นั้น ได้มีการสำรวจข้อมูลในทางวิชาการ โดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราชไปแล้ว”
       
       นอกจากนี้ทาง ส.ท.ท. ก็ยังเห็นด้วยที่จะมีการผลักดันเมืองต่างๆที่สำคัญในประเทศให้เป็นท้องถิ่นพิเศษโดยแยกตามภาคดังนี้ 1.ภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่-เชียงราย (แม่สาย)-สุโขทัย(เมืองเก่า) 2.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดสระแก้ว (อรัญประเทศ)-จังหวัดมุกดาหาร-จังหวัดอุดรธานี 3.ภาคกลางที่จังหวัดอยุธยา 4.ภาคตะวันออกที่จังหวัดชลบุรี(แหลมฉบัง)5.ภาคใต้ที่จังหวัดภูเก็ต-สุราษฎ์ธานี(เกาะสมุย)-จังหวัดยะลา(เบตง)
       
       “เมืองเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นเมืองที่มีศักยภาพและพร้อมเพื่อที่จะยกฐานะเป็นท้องรูปแบบพิเศษโดยทั้งสิ้น”

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000066693


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 04 มิถุนายน 2011, 20:43:24
(http://www.ubonchamber.org/images/stories/0news-ftp/99998_1105/110514_ubcc/5405ct700.jpg)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 04 มิถุนายน 2011, 20:44:10
(http://www.ubonchamber.org/images/stories/0news-ftp/99998_1105/110514_ubcc/5405ct700.jpg)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 มิถุนายน 2011, 19:27:35
เล็งชงโปรเจ็กต์3.7แสนล.คมนาคมเสนอครม.ใหม่

คมนาคมเร่ง 4 หน่วยงานหลัก ทล-ทช.-รฟม.และร.ฟ.ท. เตรียมพร้อมเสนอโครงการเมกะโปรเจ็กต์ให้รัฐบาลใหม่พิจารณา หลังจากหลายโครงการหลุดโผเข้าพิจารณาครม.นัดสุดท้ายก่อนยุบสภา เผยปี 55 ทล.ลุ้นงบสร้างถนน 4 เลน ส่วนทช.เสนอถนนเพื่อการท่องเที่ยวและถนนเข้าโครงการหลวง รฟม.ลุ้นเห็นชอบประมูลรถไฟฟ้าสายสีเขียว สีชมพู สีม่วงและสีส้ม ส่วนร.ฟ.ท.ดันที่ดิน 3 แปลงหลักและแผนปรับปรุงทางตามโผ กว่า 30 แผน รวมงบทั้งสิ้น 379,710 ล้านบาท
 นายสุพจน์  ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าได้เร่งสั่งการให้ 4 หน่วยงานหลักของกระทรวง ประกอบด้วยกรมทางหลวง(ทล.) กรมทางหลวงชนบท(ทช.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.)เตรียมความพร้อมโครงการต่าง ๆ ทั้งโครงการระดับเมกะโปรเจ็กต์และโครงการสำคัญ ๆ ให้รัฐบาลใหม่พิจารณาโดยเฉพาะโครงการที่ไม่นำเข้าสู่การพิจารณาคราวการประชุมครั้งสุดท้ายของรัฐบาลชุดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็จะนำเข้าสู่การพิจารณาครั้งต่อไปเช่นกัน
 "กรณีโครงการต่าง ๆ ที่ไม่ได้รับการพิจารณาขณะนี้ยังไม่ได้รับเอกสารโครงการคืนกลับจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หากได้รับคืนมาก็อาจจะมีบางโครงการที่ต้องมาปรับเปลี่ยนใหม่บ้าง ส่วนโครงการใหม่ที่มีการเตรียมความพร้อมแล้ว ก็จะทยอยนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐบาลใหม่ต่อไป ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะมีมากกว่าปีที่ผ่านมาเนื่องจากมีผลการศึกษาแล้วเสร็จไปจำนวนมาก"
 ด้านนายวีระ เรืองสุขศรีวงศ์ อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวว่าในปี 2555 นี้กรมได้เตรียมนำเสนอให้รัฐบาลใหม่พิจารณาในโครงการหลัก ๆ ประมาณ 15 โครงการโดยได้ตั้งของบประมาณตามกรอบที่ตั้งไว้ 94,789 ล้านบาท แต่คาดว่าน่าจะได้รับงบประมาณปี 2555 ประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องนำมาจัดสรรพัฒนาโครงการต่าง ๆ ตามความเหมาะสมและความเร่งด่วนต่อไป แต่โดยส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การบำรุงรักษาเป็นหลัก การขยายเส้นทางใหม่มีน้อยมากยกเว้นการขยายช่องจราจรเพิ่มขึ้นในถนนเส้นทางเดิมที่มีอยู่แล้ว
 "ถนน 4 เลน เป็นถนนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดจนถนนชุมชนยังต้องผลักดันอีกหลาย ๆ เส้นทาง เช่นเดียวกับทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์ 4-5 เส้นทางโดยเฉพาะเส้นทางบางปะอิน-นครราชสีมา ต้องนำเข้าสู่การพิจารณาใหม่อีกครั้งเนื่องจากพร้อมดำเนินการได้ทันทีหากครม.อนุมัติ ส่วนโครงการอื่น ๆ ก็คงต้องขึ้นอยู่กับจำนวนงบประมาณที่จะได้รับการพิจารณาในปีหน้า แต่ที่น่าสนใจมีทางเลี่ยงเมืองอีก 8 โครงการในเขตพื้นที่เมืองนครสวรรค์,เชียงราย ,นครราชสีมาและชุมพรที่จะเริ่มในปี 2555 นี้"
 สำหรับโครงการของกรมทางหลวงที่จะเสนอรัฐบาลชุดใหม่ประกอบไปด้วย 1.โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น 4 ช่องจราจร จำนวน  22 โครงการ งบ 7,155 ล้านบาท 2.โครงการก่อสร้างทางหลวงสนับสนุนการขนส่งแบบต่อเนื่อง 2,616 ล้านบาท อาทิ เส้นทางจันทบุรี-สระแก้ว,เส้นทาง เชียงแสน-เชียงของ,เชียงราย-เชียงของ 3.โครงการแก้ไขปัญหาการจราจรกทม.-ปริมณฑลและเมืองหลักจำนวน  10 โครงการ งบ 1,966 ล้านบาท ที่สำคัญมีถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี(รวมสะพานข้ามแม่น้ำท่าจีน) ถนนพุทธมณฑลสาย 5 ถนนข้ามแยกทางหลวงหมายเลข 34 ช่วงถนนศรีนครินทร์ 4.โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง งบ 3,000 ล้านบาท 4.โครงการบูรณะทางหลวงสายหลัก งบ 6,000 ล้านบาท
  5.โครงข่ายทางหลวงได้รับการพัฒนา งบ 25,932 ล้านบาท ประกอบไปด้วยโครงการที่น่าสนใจ อาทิ การปรับปรุงทางหลวงผ่านย่านชุมชน  โครงการปรับปรุงทางหลวงเพื่อการท่องเที่ยว และการสร้างทางแยกต่างระดับ สะพาน และอุโมงค์  6. โครงข่ายทางหลวงได้รับการบำรุงรักษาทั้งการปรับภูมิทัศน์และการแก้ไขปัญหาจากกรณีภัยพิบัติ งบ 21,204 ล้านบาท และ 7.โครงข่ายทางหลวงมีความปลอดภัย งบ 6,580 ล้านบาทและ 8.โครงการถนนเลี่ยงเมือง 8 โครงการ งบประมาณ 744 ล้านบาท
 นายวิชาญ คุณากูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่าทช.ยังต้องเดินหน้าโครงการถนนไร้ฝุ่นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องรองบประมาณจากรัฐบาล โดยในปี 2555 จะเสนอรัฐบาลใหม่มี 7 โครงการหลัก ๆ คือ 1.งานยกระดับมาตรฐานทางงบรวม2,033 ล้านบาท ประกอบไปด้วยงานทางลาดยางทั่วประเทศ  การขยายผิวจราจร 5 สายทาง โครงการถนนเข้าสู่โครงการพระราชดำริ 15 สายทาง โครงการถนนสนับสนุนพื้นที่โครงการหลวง 13 สายทาง 2.โครงการพัฒนาโครงข่ายสะพาน จำนวน 68 แห่ง งบประมาณรวม 9,264 ล้านบาท 3. โครงการแก้ไขปัญหาจราจรในปริมณฑล-ภูมิภาค 6 โครงการ รวมงบประมาณ 47 ล้านบาท4.โครงการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ 30 โครงการ รวมงบ 107 ล้านบาท 5.โครงการถนนยุทธศาสตร์สนับสนุนการท่องเที่ยว 26 สายทางรวมงบ 229 ล้านบาท 6.โครงการถนนยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ 7 สายทาง งบประมาณ 57 ล้านบาท และ 7. งานบำรุงรักษาทาง-สะพาน เพื่อความปลอดภัย จุดตัดทางรถไฟ งบรวมทั้งสิ้น 49,034 ล้านบาท
 นายรณชิต แย้มสอาด รองผู้ว่าการ และในฐานะรักษาการผู้ว่าการการรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทย(รฟม.)กล่าวว่าได้เร่งให้เตรียมโครงการในส่วนของรฟม.ดังนี้คือรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ,ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ 64,538 ล้านบาท สายสีชมพู ช่วงปากเกร็ด-มีนบุรี งบประมาณ 34,000 ล้านบาท สายสีม่วงช่วงบางซื่อ-ราษฎร์บูรณะ งบ 66,820 ล้านบาท และสายสีส้ม ช่วงมีนบุรี-ตลิ่งชัน งบ 137,750 ล้านบาท
 "กรณีสายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการขณะนี้อยู่ระหว่างการเปิดซองสัญญาที่ 1 คาดว่าภายในเดือนกรกฎาคมจะเปิดครบหมดทั้ง 3 ซองก่อนที่จะนำเสนอสัญญาอื่น ๆ ต่อไป ส่วนช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-สะพานใหม่-คูคต คาดว่าจะเริ่มเปิดขายซองประกวดราคาใน 1-2 เดือนนี้และเปิดประมูลช่วงปลายปี 2554 นี้ สายสีชมพูอยู่ระหว่างการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนโครงการและจัดทำเอกสารประกวดราคา  สายสีม่วง ต้องว่าจ้างที่ปรึกษาใหม่เป็นรอบที่ 2 เนื่องจากรอบแรกมีเพียง 1 ราย คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคมนี้ภายใต้งบว่าจ่าง 140 ล้านบาทส่วน สายสีส้มอยู่ระหว่างการว่าจ้างออกแบบรายละเอียดและคัดเลือกที่ปรึกษาโดยจะก่อสร้างช่วงบางกะปิ-ศูนย์วัฒนธรรมก่อนช่วงอื่น ๆ ภายใต้งบว่าจ้าง 210 ล้านบาทซึ่งโดยส่วนใหญ่ในปี 2555 จะต้องเร่งให้มีการเปิดประมูลเกิดขึ้นเนื่องจากเป็นแผนเร่งรัดที่กระทรวงคมนาคมกำหนดไว้"
 แหล่งข่าวระดับสูงจากการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.)กล่าวว่าขณะนี้นอกจากจะนำที่ดินแปลงขนาดใหญ่ในทั้ง 3 ทำเลคือมักกะสัน สถานีแม่น้ำ ย่านพหลโยธินช่วงกิโลเมตรที่ 11 ออกเปิดประมูลแล้ว อีกหลาย ๆ โครงการยังนำเสนอโดยเฉพาะโครงการเงินกู้และโครงการที่อยู่ในงบประมาณ 1.7 แสนล้านบาทที่ครม.ได้อนุมัติกรอบวงเงินมาแล้วตั้งแต่ปี 2553
 โดยโครงการที่จะนำเสนอในปี 2555 นอกจากการขอเปิดประมูลพื้นที่ 3 แปลงหลักแล้วยังประกอบไปด้วยโครงหลัก ๆ คือ 1.โครงการไอซีดีแห่งที่ 2 งบประมาณ 6,066 ล้านบาท 2.โครงการจัดตั้งศูนย์ควบคุมระบบและจัดหาระบบโทรคมนาคม งบ 2,200 ล้านบาท 3.โครงการตามแผนปรับปรุงทาง งบ 24,000 ล้านบาท มีทั้งการปรับปรุงทางที่ไม่ปลอดภัย เปลี่ยนหมอนรองราง เปลี่ยนประแจ การจัดสร้างเครื่องกั้น 79 แห่ง
 "แม้ว่าล่าสุดในคราวประชุมครม.นัดสุดท้ายการรถไฟจะได้รับงบประมาณ 7,600 ล้านบาทในการจัดซื้อหัวรถจักร การปรับปรุงทาง การจัดสร้างเครื่องกั้น แต่ก็ยังมีอีกหลายโครงการต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการจัดหารายได้ด้วยการพัฒนาพื้นที่แปลงใหญ่ แปลงเล็กตามพื้นที่ต่าง ๆ และตามแผนการยกเครื่องการรถไฟภายใต้กรอบวงเงิน 1.7 แสนล้านบาท ซึ่งต้องเตรียมความพร้อมให้รัฐบาลชุดใหม่พิจารณาเห็นชอบหรืออนุมัติดำเนินการต่อไป"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,641 5-8  มิถุนายน พ.ศ. 2554


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 มิถุนายน 2011, 22:34:29
สรุปการสัมมนา  
“ยุทธศาสตร์รถไฟความเร็วสูงกับการขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีน”

ลองอ่านบทความนี้ดูครับ.

http://www.eastasiawatch.in.th/downloads/files/china%20influential.pdf


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 10:46:15
WHAT ??!!
โผล่มาได้ไงกระทู้นี้ นี่นักลงทุน จ้า  ;D


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 10:49:10
กำลัง ตามมาหลายๆกระทู้   ;D ;D รอท่าน WM ย้ายอยู่

อยากให้มาอยู่ ห้องนี้ ครับ..จะได้ตรงกับห้อง ส่วนมาก ห้องบอร์ดเชียงราย คุุยเรื่องทั่วไป หาคู่ มากกว่า..ครับ.. ;D


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: ....คนหน้าแหลม.... ที่ วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 10:56:38
กำลัง ตามมาหลายๆกระทู้   ;D ;D รอท่าน WM ย้ายอยู่

อยากให้มาอยู่ ห้องนี้ ครับ..จะได้ตรงกับห้อง ส่วนมาก ห้องบอร์ดเชียงราย คุุยเรื่องทั่วไป หาคู่ มากกว่า..ครับ.. ;D
WELCOME  ;D


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 10:58:50
ครับ..ขออาศัยห้องหน่อยนะครับ...

ตอนนี้ ว่าจะทำวิทยานิพนธ์ เรื่องนี้ครับ..ข่าวสารด้านการพัฒนาต่างๆ

ยังไงฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ.. ;D


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 11:08:24
กรมโยธาธิการและผังเมืองจัดประชุมเรื่องการพัฒนาเมืองในทศวรรตหน้า เพื่อเรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติอันอาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

กรมโยธาธิการและผังเมืองจัดประชุมเรื่องการพัฒนาเมืองในทศวรรษหน้า เพื่อเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
นายวรวิทย์ สายสุพัฒน์ผล รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเรื่องการพัฒนาเมืองในทศวรรษหน้า กรณีเมืองในเขตภัยพิบัติภาคเหนือ ที่โรงแรมเซ้นทารา ดวงตะวัน จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสถาบันพัฒนาบุคลากรด้านการเมืองร่วมกับคณะทำงาน อเจนดาที่ 13 กรมโยธาธิการและผังเมือง ได้จัดโครงการดังกล่าว มีตัวแทนภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง ร่วมสัมนาเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงกับการเกิดภัยพิบัติธรรมชาติ สร้างองค์ความรู้ด้านการพัฒนาเมืองในเขตภัยพิบัติน้ำท่วม ดินถล่ม และแผ่นดินไหว ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์พัฒนาเมืองในเขตภัยพิบัติ
ทั้งนี้ภัยพิบัติธรรมชาติอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนต่อมวลมนุษยชาติและมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมีความถี่ในการเกิดเพิ่มขึ้น ส่งผลเสียหายต่อทรัพย์สินอย่างมหาศาล โดยจะต้องเตรียมพร้อมทรัพยากรการทำงานทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่อย่างเป็นระบบ เครื่องมือการทำงานที่ถูกต้องแม่นยำ บุคลาการที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องประสานกับหน่วยงานอื่นเพื่อให้เกิดการปฏิบัติหน้าที่ที่มีประสิทธิผลสูงสุด
สำหรับความเสี่ยงต่อการเกิดภัยในประเทศมีหลายพื้นที่ ภาคเหนือมีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่าน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่ลุ่ม ระบบนิเวศถูกทำลาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย และเชียงใหม่มีวันที่อากาศหนาวเย็นเกิน 60 วันต่อปี ชายฝั่งทะเลถูกกัดเซาะ การตั้งถิ่นฐานและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวถูกทำลาย โดยเฉพาะชายฝั่งจังหวัดเพชรบุรีสมุทรสงครามและสมุทรปราการ รวมทั้งจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ระนอง พังงา ภูเก็ต ตราดและจันทบุรี ภาคใต้ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำจืดในจังหวัดพังงา ภูเก็ตและกระบี่ และภาวะเสี่ยงภัยน้ำท่วมฉับพลันดินถล่มโดยเฉพาะจังหวัดนครศรีธรรมราช ตรัง สตูล ยะลา และปัตตานี

(http://thainews.prd.go.th/54/thainews/images/logo1.jpg)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 18:13:23
เชียงราย - การก่อสร้างสะพานข้ามโขง 4 เชื่อมเส้นทางคุนหมิง-กรุงเทพฯ สะดุด หลังผู้รับเหมาเกี่ยงรับ “หยวน” จากฝ่ายจีน หวั่นขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน คาดกระทบกำหนดสร้างเสร็จต้องเลื่อนยาวถึงปี 56 นายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เปิดเผยว่า ขณะนี้ถนนสาย R3a ไทย-สปป.ลาว-จีน มีการก่อสร้างแล้วเสร็จเกือบสมบูรณ์แล้วและสามารถใช้งานได้ดี ซึ่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) พร้อมพัฒนาระบบสาธารณูปโภครองรับ เพื่อให้ไทย-สปป.ลาว-จีน สามารถเชื่อมต่อไปถึงนครคุนหมิง เมืองเอกของมณฑลหยุนหนัน ตามเส้นทางคุนหมิง-กรุงเทพฯ ได้ต่อไป อย่างไรก็ตาม ถนนสายดังกล่าวกำลังประสบปัญหาเรื่องการเชื่อมต่อตรงสะพานข้ามแม่น้ำโขง ที่เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว และ อ.เชียงของ จ.เชียงราย นายพินิจ กล่าวว่า การก่อสร้างสะพานดังกล่าวล่าช้า เพราะมีปัญหาเรื่องการจ่ายเงินเนื่องจากโครงการนี้เกิดจากความร่วมมือไทย-สปป.ลาว-จีน และทางประเทศไทย-จีน ตกลงจ่ายฝ่ายละ 50% ตามงบประมาณเต็มประมาณ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อถึงเวลาการก่อสร้างจริง ฝ่ายไทยได้เบิกจ่ายงบประมาณให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้างไปตามปกติ แต่ฝ่ายจีนยังไม่ได้จ่ายเงินให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้าง “จีนต้องการจ่ายเป็นหยวน แต่ผู้รับเหมาไม่อยากรับหยวน โดยให้เหตุผลว่าหากรับเป็นเงินหยวน จะประสบปัญหาเรื่องค่าเงินผันผวนช่วงที่นำไปแลกเปลี่ยน ซึ่งจนถึงปัจจุบันก็ยังตกลงกันไม่ได้ ทำให้เกิดความล่าช้ามาจนถึงปัจจุบัน” นายพินิจ บอกอีกว่า ปัจจุบันฝ่ายไทยได้จ่ายเงินก่อสร้างไปแล้วกว่า 20% และขณะนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูน้ำหลากทำให้การก่อสร้างในน้ำเริ่มชะงัก โดยการก่อสร้างส่วนของสะพานคืบหน้าไปได้เพียง 6 % คาดว่าหากยังเป็นเช่นนี้จะทำให้การก่อสร้างล่าช้า อาจต้องเลื่อนออกไปอีก 9 เดือน หรือราวปลายปี 2556 จึงจะแล้วเสร็จ ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อภาคขนส่ง และระบบลอจิสติกส์โดยรวมด้วย ด้านนายวิรัตน์ แสนอุดม ผู้อำนวยการแขวงการทางเชียงรายที่ 2 กล่าวว่า ตอนนี้การก่อสร้างยังคงเดินหน้าไปตามปกติ ส่วนกรณีที่อาจจะมีการเลื่อนไปนั้น ยังไม่มีรายละเอียดเป็นทางการ เป็นเพียงการนำเสนอเข้าไปของภาคเอกชน เพื่อขอเลื่อนเวลาออกไป เนื่องจากปัญหาการเบิกจ่ายค่าจ้างดังกล่าว แต่ผลสรุปว่าจะเลื่อนออกไปหรือไม่จะต้องมีการนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการก่อสร้างสะพานอีกครั้งหนึ่งก่อน สำหรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงไทย-สปป.ลาว ที่ อ.เชียงของ ถือเป็นสะพานเชื่อมสองประเทศแห่งที่ 4 เพื่อเชื่อมแนวเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ ของภูมิภาคนี้ ด้วยการใช้งบประมาณรวมระหว่างไทย-จีน ประมาณ 1,486.5 ล้านบาท โดยได้ว่าจ้างกลุ่มซีอาร์ 5-เคที จอยท์เวนเจอร์ ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทไชน่า เรลเวย์ โน.5 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด จากประเทศจีน และบริษัทกรุงธนเอ็นยิเนียร์ จำกัด ของประเทศไทย มีกำหนดก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2553 และสิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธ.ค.2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน แต่จากสภาพการก่อสร้างในปัจจุบันพบว่าไม่คืบหน้ามากนักทั้งๆ ที่เป็นช่วงกลางปี 2555 แล้ว เอกชนทั้งสองรายได้แบ่งงานกันทำด้วยการให้ฝ่ายไทยก่อสร้างถนนทั้งฝั่งไทยและ สปป.ลาว รวมทั้งอาคารด่านพรมแดนของทั้งสองฝั่ง เป็นถนนติดขอบฝั่งยาว 630 เมตร ถนนเป็นจุดสลับการจราจรในฝั่งไทย 5 กิโลเมตร และฝั่ง สปป.ลาว อีก 6 กิโลเมตร ส่วนเอกชนจีนก่อสร้างตัวสะพานกลางแม่น้ำโขง

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000069254


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 19:17:08
(http://i294.photobucket.com/albums/mm86/antkus35/OTP/PortAndMaritime/PortMaritime12.jpg)

 เอกสารประกอบแผนการพัฒนาระบบขนส่งและจราจร พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๖๓ โดยสนข. ซึ่งค.ร.ม.มีมติรับทราบเมื่อวันที่ ๑๒ เม.ย. ๒๕๕๔


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 19:21:14
ททท.รุกขยายตลาดสหรัฐ

07 มิถุนายน 2554 เวลา 18:00 น.
 
ททท. เดินหน้าขยายตลาดอเมริกา แนะผู้ประกอบการโฟกัสกลุ่มเกย์ คู่รักฮันนี่มูน ผ่านกลยุทธ์ออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง  4 เดือนโตแล้ว 13% ดันภาพรวมนักท่องเที่ยวทั้งปีทะลุเป้า 16.8 ล้านคน

นายอักกพล พฤกษะวัน ที่ปรึกษา11 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เพื่อขยายตลาดนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันหรือตลาดอเมริกา ททท. จึงเปิดโครงการสัมมนาการส่งเสริมตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพอเมริกาให้กับผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม บริษัทนำเที่ยว หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา แหล่งท่องเที่ยวนันทนาการ และโรงพยาบาล แนะนำแนวทางและกลยุทธ์ทางการตลาดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพ เช่น กลุ่มรักร่วมเพศ เกย์ กลุ่มคู่รักฮันนี่มูน กลุ่มเกษียณอายุ เป็นต้น

นางจุฑาพร  เริงรณอาษา  รองผู้ว่าการด้านตลาดต่างประเทศ   ดำรงตำแหน่ง   รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา กล่าวว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันที่มีแนวโน้มเติบโตในปัจจุบัน คือ กลุ่มเกย์ ซึ่งมีสัดส่วน 6 -7% ของประชากรในประเทศสหรัฐอเมริกา 310 ล้านคน และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย มีรายได้สูง ท่องเที่ยวมากกว่า 10 ครั้งต่อปี รสนิยมดีจึงมีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่อคนต่อวันสูง เช่น พักโรงแรมและใช้บริการสปาที่หรูหรา

“กลุ่มนักท่องเที่ยวเกย์จะตัดสินใจไปเที่ยวประเทศที่ให้การต้อนรับและยอมรับสถานะภาพของพวกเขา ประเทศไทยซึ่งเป็นเมืองพุทธจึงไม่มีกฎข้อห้ามหรือต่อต้านกลุ่มรักร่วมเพศ ในขณะเดียวกันประเทศที่เป็นคู่แข่งของไทย ซึ่งชาวอเมริกันนิยมไปเที่ยวมากที่สุดในทวีปเอเชีย คือ จีน อินเดีย และมาเลเซีย ไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ จึงเป็นโอกาสของไทยที่จะได้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้” นางจุฑาพร กล่าว

ในขณะเดียวกันกลุ่มคู่รักฮันนี่มูนชาวอเมริกัน เป็นอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญมาก เนื่องจากจะใช้จ่ายในการฮันนี่มูนมากกว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไปถึง 3 เท่า หรืออัตราการใช้จ่ายประมาณ 5,600 เหรียญสหรัฐต่อครั้ง หรือ 168,000 บาท (คิดที่ 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ)

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่จะเข้ามาใช้บริการทางการแพทย์และท่องเที่ยวไปพร้อมๆ กัน โดยคาดว่าในปีหน้าจะมีชาวอเมริกาเดินทางไปรับบริการในต่างประเทศประมาณ 1.6 ล้านคน แบ่งเป็น 8 แสนคนเดินทางไปรักษาในทวีปยุโรป และเอเชีย ซึ่งประเทศไทยมีส่วนแบ่งในตลาดดังกล่าว 1 – 5% หรือคิดเป็นประมาณ 8,000 – 4 หมื่นคน ทาง ททท. จึงเร่งหาทางขยายฐานลูกค้าในกลุ่มนี้ผ่านตัวแทนประกันสุขภาพ

ส่วนช่องทางการตลาดที่ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวเพื่อเป็นกลยุทธ์หลักในการขยายฐานนักท่องเที่ยว คือ ช่องทางออนไลน์ ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น เฟสบุ๊ก ทวิตเตอร์ ยูทูบ์ การแนะนำบอกต่อ โดยนักท่องเที่ยวที่มีประสบการณ์ผ่านบล็อก เวบไซต์ การจับมือกับเวบไซต์ที่ชาวอเมริกันนิยมเข้าไปซื้อตั๋วเครื่องบิน แพจเกจทัวร์ เพื่อให้สิทธิพิเศษ โปรโมชั่น เป็นต้น

สำหรับภาพรวมนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา เติบโตแล้ว 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในขณะที่ภาพรวมนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตแล้ว 18% โดยชาวมาเลเซียยังคงเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเป็นอันดับ 1 จากเป้านักท่องเที่ยวทั้งปีที่ 16.8 ล้านคน

นายอักกพล กล่าวต่อว่า ในขณะนี้ประเทศไทยมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน เช่น จีน เวียดนาม เป็นต้น เนื่องจากประเทศไทยเหล่านั้นมีรัฐบาลค่อยให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี และไม่มีปัญหาทางการเมือง อย่างไรก็ตามประเทศไทยจะต้องเร่งพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ให้มากขึ้น เนื่องจากแนวโน้มนักท่องเที่ยวในอนาคตจะเดินทางมาท่องเที่ยวเพื่อในเชิงอนุรักษ์มากขึ้น เช่น มาเที่ยวเพื่อปลูกป่า สร้างโรงเรียน เป็นต้น

“ส่วนปัญหาเร่งด่วนที่ ททท.และรัฐฯ ต้องร่วมมือกันเร่งทำ คือการจัดโซนนิ่งสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเลือกสถานที่ท่องเที่ยวได้ตามความต้องการ และยังเป็นการจัดระเบียนปริมาณโรงแรม สปา ที่พัก ที่ขณะนี้เกินความต้องของตลาดแล้ว และจะส่งผลให้เกิดสงครามราคาขึ้นได้ในอนาคต เช่น ปัจจุบันประเทศไทยมีห้องสำหรับทำสปา 4 แสนห้อง จากผู้ประกอบการกว่า 9,000 ราย ซึ่งนับว่ามากกว่าความต้องการ” นายอักกพล กล่าว

สถิตินักท่องเที่ยวชาวอเมริกันในปี 2553 พบว่ามีการเดินทางมาประเทศไทยเป็นจำนวน 611,792 คน สร้างรายได้กว่า 35,500 ล้านบาท นักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวมีระยะเวลาพักเฉลี่ย 14 – 15 วัน มีการใช้จ่าย 4,100 – 4,300 บาทต่อคนต่อวัน ส่วนใหญ่นิยมไปเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม เชิงอนุรักษ์ ผจญภัย โดยจังหวัดที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต พัทยา และมีแนวโน้มขยายตัวไปยังแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เช่น เกาะสมุย เชียงราย หัวหิน ชะอำ กาญจนบุรี อยุธยา เกาะช้าง และกระบี่ เป็นต้น

http://www.posttoday.com


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 22:00:54

เปิดเส้นทางสาย'R3'ส่งออกผลไม้ไปจีน...


วันจันทร์ ที่ 06 มิถุนายน 2554 เวลา 0:00 น

ประเทศจีนนับเป็นประเทศคู่ค้าในการส่งออกผลไม้ไทยอันดับต้น ๆ ซึ่งที่ผ่านมาไทยสามารถส่งออกผลไม้คุณภาพดีไปจีนได้ปีละกว่า 5,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในช่วงปี 2550-2552 ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้งส่งออกจำนวน 4,424, 4,967, 6,875 ล้านบาทตามลำดับ และช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2553 ส่งออกรวม 5,988 ล้านบาท ซึ่งผลไม้ที่ส่งออกมากที่สุดได้แก่ ทุเรียน ลำไย มังคุด มะพร้าว มะม่วง และสำหรับผลไม้แห้งที่ไทยส่งออกมากที่สุด ได้แก่ ลำไยแห้ง  มะขามแห้ง

ดังนั้นจึงนับเป็นนิมิตรหมายอันดียิ่งที่ วันนี้กระทรวงเกษตรฯ ได้ลงนามพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างไทยและจีน กับนายจือชู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงควบคุมคุณภาพและตรวจสอบกักกันโรคแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (AQSIQ) อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว

นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่าการลงนามพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างไทยและจีน จะส่งผลให้ไทยส่งออกผลไม้ไปจีนผ่านเส้นทางบกสาย R3A หรือ R3E โดยเริ่มจากอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ประเทศไทยผ่านเมืองห้วยทราย บ่อแก้ว หลวงน้ำทา บ่อเต็น ของลาว เข้าสู่เมืองโม่หาน จิ่งหง เชียงรุ้งมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีระยะทางประมาณ 1,104 กิโลเมตร ทำให้เส้นทางสายนี้จะเป็นเครื่องมือให้เกิดการขยายตัวทางการค้าผลไม้ระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับกล่าวคือ ลดระยะเวลาในการขนส่งเหลือเพียง 2-3 วัน จากปกติทางเรือใช้เวลา 5-7 วัน ทำให้ผลไม้ไทยมีความสดยาวนานขึ้นและกระจายผลไม้ไปยังตลาดเมืองยูนนานมณฑลตะวันตกเฉียงใต้ของจีนได้โดยตรง จากเดิมต้องผ่านฮ่องกง-เสิ่นเจิ้น หรือตลาดเจี้ยงหนาน กวางโจวแล้วจึงกระจายต่อไปมณฑลต่าง ๆ ของจีน นอกจากนี้ผลไม้ที่นำเข้าจากจีนผ่านเส้นทางนี้จะมีคุณภาพ มาตรฐานและความปลอดภัยต่อผู้บริโภคชาวไทยมากขึ้น เนื่องจากจะมีการควบคุมคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยจากต้นทางของทั้งสองประเทศ

การเปิดเส้นทางดังกล่าวในครั้งนี้ จะส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยสามารถส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีนได้สะดวก และไม่เสียเวลาโดยผ่านเส้นทางอำเภอเชียงของจังหวัดเชียงราย-ลาว-จีน เพื่อส่งผลไม้เข้าสู่มณฑลภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน โดยคาดว่าการขนส่งผลไม้ผ่านเส้นทาง R3 จะเพิ่มโอกาสการขยายปริมาณและมูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีนมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นตลาดส่งออกผลไม้ที่สำคัญของไทย

ทั้งนี้คาดการณ์ว่า จะมีการขยายตัวทางการค้าผลไม้ระหว่างกันเพิ่มมากขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% มูลค่าประมาณ 500 ล้านบาทเนื่องจากมีการส่งออกผ่านเส้นทางบกที่กระทรวง เกษตรฯ เจรจาเปิดเส้นทางทั้งสาย R9 และ R3 ขณะเดียวกัน ยังได้หารือกับ AQSIQ ในเรื่องการขนส่งทางเส้นทางบกสาย R8 และ R12 ที่ผ่านทางจังหวัดนครพนม (ไทย)-นาพาว (ลาว)-จาลอ-วิงห์-ฮานอย (เวียดนาม)-(จีน) มณฑลกวางสี ซึ่งเส้นทางดังกล่าวนี้จะลดระยะเวลาการขนส่งในช่วงถนนผ่านลาวเข้าเวียดนามเนื่องจากมีระยะทางสั้นโดยเส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางส่งออกผลไม้ไปยังมณฑลภาคตะวันออกของจีน รวมถึงหารือในการเปิดเส้นทางขนส่งทางแม่น้ำโขงเพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้ก่อนการเปิดเส้นทางสายต่าง ๆ ทั้งสองฝ่ายจะมีการตั้งคณะทำงานร่วมกันซึ่งกระทรวงเกษตรฯจะได้หารือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมและศึกษาถึงข้อดีข้อเสียต่าง ๆ ด้วย

“เส้นทาง R3 จะเป็นเครื่องมือสำคัญ ทำให้เกิดการขยายตัวทางการค้าผลไม้ระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น โดยประโยชน์ที่ไทยจะได้รับคือ เป็นการลดระยะเวลาในการขนส่งเหลือเพียง 2-3 วัน จากการขนส่งทางเรือซึ่งใช้เวลา 5-7 วัน ทำให้ผลไม้ไทยมีความสดยาวนานขึ้น และที่สำคัญจะเพิ่มโอกาสการขยายปริมาณและมูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีนมากขึ้น ซึ่งการลงนาม ในครั้งนี้ได้พยายามให้เกิดขึ้นทันกับช่วงระยะเวลาที่ประเทศไทยมีผลไม้ออกสู่ตลาดจำนวนมาก คือ ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม จะช่วยให้ราคาผลไม้ภายในประเทศไม่ตกต่ำ  อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ ไทยต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชและมาตรการที่ได้กำหนดไว้ในพิธีสารฯ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับจีนว่าผลไม้ไทยที่ส่งออกไปจีนมีคุณภาพ ปลอดจากโรคและศัตรูพืช และไม่มีการปลอมปนผลไม้จากประเทศอื่นระหว่างการขนส่ง โดยมีมาตรการกำกับดูแลก่อนการส่งออก เช่น การตรวจสอบและออกใบรับรองสุขอนามัยพืชก่อนส่งออก การระบุหมายเลขตู้สินค้า และหมายเลขกำกับการปิดผนึกตู้สินค้า โดยต้องไม่มีการเปิดตู้สินค้าระหว่างการขนส่งจนกว่าจะถึงด่านปลายทาง”

นับเป็นข่าวดียิ่งสำหรับพี่น้องเกษตรกรไทยและผู้ส่งออกนำเข้าผลไม้ไทยและจีนที่จะสามารถมีการขนส่งและนำเข้าผลไม้ระหว่างกันได้สะดวกและรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิตและลดปัญหาความเสียหายจากการขนส่งสินค้าที่ต้องการระยะเวลาที่รวดเร็ว ที่สำคัญคาดว่าเส้นทาง R3 จะทำให้มูลค่าส่งออกสินค้าผลไม้ไทยไปจีนสูงขึ้นในอนาคต.

http://www.dailynews.co.th/web/index.cfm?page=content&categoryId=676&contentID=143273


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 มิถุนายน 2011, 09:17:50
นกแอร์บ่ยั่นไทยวิงชิงลูกค้าโกย5.9พันล.         

ข่าวหน้า1    - ข่าวหน้า1

โดย กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ    
 
วันพุธที่ 08 มิถุนายน 2011 เวลา 09:00 น.
พาที สารสินแฉเบื้องหลังบินไทยส่ง"อภิพร ภาษวัธน์"กุมบังเหียนนกแอร์ หวังมีสิทธิ์มีเสียงผลักดันให้เกิดความร่วมมือ โดยมุ่งตั้งไทยวิงแทน หลังแผนซื้อหุ้นจากแบงก์กรุงไทยส่อแววดีลล่ม ด้าน"พาที สารสิน"ยันเปลี่ยนบอร์ดใหม่ ไม่กระทบย้ำไม่สนแผนตั้งไทยวิงแต่เล็งสยายปีกบินต่างประเทศทั้งเดินหน้ายกเครื่องฝูงบินใหม่ตั้งเป้าดันรายได้แตะ 5.9 พันล้านบาทสิ้นปีนี้ แต่กำไรวูบเหลือ 200 ล้านบาทเหตุน้ำมันแพง
 แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัทสายการบินนกแอร์ จำกัดเปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าการประชุมบอร์ดวันที่ 13 มิถุนายนนี้จะมีการขออนุมัติเปลี่ยนแปลงประธานบอร์ดและกรรมการของบริษัทใหม่หลังจากก่อนหน้านี้การบินไทยในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ได้แจ้งความจำนงที่จะเปลี่ยนแปลงประธานบอร์ดใหม่โดยเสนอนายอภิพร ภาษวัธน์ กรรมการบริษัทการบินไทยฯมาเป็นประธานบอร์ดนกแอร์แทน ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย ซึ่งขณะนี้ได้ลาออกเป็นที่เรียบร้อยแล้วตามมารยาทหลังจากนั่งเป็นประธานบอร์ดนกแอร์มาตลอด
 "ที่ผ่านมาฝ่ายบริหารการบินไทยไม่สามารถเข้าไปควบคุมให้นกแอร์ทำตามนโยบายได้เพราะมีถือหุ้นหลายบริษัทต้องมองถึงผลประโยชน์ของบริษัทต่างๆมากกว่าทำให้ผู้ถือหุ้นรายอื่นยกเว้นการบินไทยต่างเทอำนาจการบริหารไปให้ดร.วิชิต เป็นส่วนใหญ่ ทั้งที่การบินไทยถือหุ้นถึง 39%และการที่ดร.วิชิตได้เป็นบอร์ดนกแอร์ก็เพราะเคยเป็นบอร์ดการบินไทยมาก่อนเมื่อพ้นจากความเป็นบอร์ดการบินไทยมานานแล้วก็ควรจะลุกออกจากเก้าอี้ประธานบอร์ดนกแอร์เช่นกัน"
 แหล่งข่าวคนเดิมยังกล่าวอีกว่า  ทั้งนี้บอร์ดใหม่นกแอร์จะประกอบไปด้วยตัวแทนจากการบินไทย 4 คนได้แก่ นายอภิพร ภาษวัธน์ กรรมการบริษัท นายธีรพล โชติชนาภิบาล รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายผลิตภัณฑ์และบริการลูกค้า นายโชคชัย ปัญญายงค์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ และนายวีระวงค์ จิตต์มิตรภาพ กรรมการบริษัท ส่วนบอร์ดจากผู้ถือหุ้นอื่นๆ ได้แก่ นายสมใจนึก เองตระกูล ซึ่งเป็นตัวแทนจากบริษัททิพยประกันภัยฯ นางสาวโสภาวดี  เลิศมนัสชัย เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.)นายพงศธร สิริโยธิน รองกรรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานปฏิบัติการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และตัวแทนจากธนาคารไทยพาณิชย์กับบริษัททุนลดาวัลย์ฯ ที่ในขณะนี้ยังไม่ได้แจ้งว่าจะส่งใครมานั่งเป็นตัวแทนบอร์ด
 ทั้งนี้บอร์ดชุดใหม่จะเริ่มเข้ามาทำหน้าที่ในวันที่ 29 มิถุนายนนี้ การปรับเปลี่ยนประธานบอร์ดในครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของการบินไทยที่จะเข้าไปมีสิทธิ์มีเสียงในนกแอร์เพิ่มขึ้นเพื่อผลักดันให้เกิดความร่วมมือในการทำงานร่วมกันมากขึ้นแม้จะไม่ได้เข้าไปควบคุมการดำเนินการในนกแอร์ได้เต็มที่ก็ตาม  เนื่องจากการซื้อหุ้นของกรุงไทย 10% ในนกแอร์ มีแนวโน้มสูงว่าดีลจะล่ม เพราะหากขายต่ำกว่า 44 บาทต่อหุ้น ทางกรุงไทย ก็คงไม่ยอมขายแน่นอน เนื่องจากนกแอร์มีกำไรแล้ว โดยใน 2553 มีกำไร 634 ล้านบาท ขณะที่กรุงไทยลงทุนจัดตั้งนกแอร์ด้วยเงินเพียง 50 ล้านบาทเท่านั้น
 ขณะที่การบินไทยก็มองว่าราคาสูงเกินไปและต้องการซื้อในราคา 30 บาทต่อหุ้น เมื่อตกลงราคากันไม่ได้ทำให้การบินไทยเลิกที่จะเข้าไปควบคุมนกแอร์แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพียงแต่คุมการมีสิทธิ์มีเสียงของการบินไทยในบอร์ดนกแอร์เท่านั้น และมุ่งไปพัฒนาสายการบินใหม่อย่างไทยวิงที่การบินไทยเป็นเจ้าของ 100%มากกว่าเพื่อให้มาเสริมกลยุทธ์ เจาะฐานลูกค้าในระดับรองจากการบินไทย แม้ว่าตามความเป็นจริงแล้วการจัดตั้งไทยวิงก็เหมือนทำให้เกิดการขัดแย้งทางผลประโยชน์เกิดขึ้น

  เนื่องจากนกแอร์กับไทยวิงต่างเป็นสายการบินในแบบแวลูฟอร์มันนี่เหมือนกันและขณะนี้นกแอร์ก็เริ่มมองความเป็นไปได้ของการเปิดบินเส้นทางระหว่างประเทศแล้วในอนาคต เพราะจุดบินในประเทศที่เปิดบินอยู่กว่า 19 จุดบินด้วยความถี่ 70 เที่ยวบินต่อวัน ก็เกือบครบทุกจุดบินในประเทศแล้ว เหลือเพียงไม่กี่แห่งที่ยังไม่ได้บิน เช่น จังหวัดเชียงราย จังหวัดกระบี่ ซึ่งหากเครื่องบินใหม่ที่บริษัทเช่ามาได้รับมอบก็จะทยอยเปิดจุดบินใหม่ๆเพิ่มขึ้น

 ขณะที่นายพาที  สารสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด กล่าวว่า แม้จะมีการเปลี่ยนบอร์ดและประธานบอร์ดใหม่แต่นกแอร์ก็ยังมุ่งดำเนินงานตามแผนงานเดิมที่มีอยู่ ส่วนกรณีที่การบินไทยต้องการซื้อหุ้นนกแอร์จากกรุงไทยนั้นมองว่ากรุงไทยคงไม่อยากขายหุ้นไม่เช่นนั้นคงขายไปนานแล้ว และในกรณีที่การบินไทยจะตั้งไทยวิงขึ้นมานั้นก็เป็นเรื่องของการบินไทย

 "ส่วนการที่การบินไทยบอกว่านกแอร์ไม่สามารถดำเนินการตามที่สั่งได้ เพราะสิ่งที่นกแอร์วางแผนว่าจะทำอะไรนั่นคือสิ่งที่สามารถทำได้ถ้าเปลี่ยนไปมาจะเหนื่อยมากในที่สุดก็จะสะเปะสะปะ ฉะนั้นสิ่งที่นกแอร์ทำได้คือพยายามรักษาสิ่งที่ดีอยู่แล้วเดินหน้าตามแผนระยะยาวที่มีอยู่ถ้าเกิดมีคู่แข่งก็ต้องปรับตัวต้องยืดหยุ่นในการโอปอเรต หากการบินไทยมีสายการบินใหม่เกิดขึ้นจริงนกแอร์ยังมีตำแหน่งเป็นแบรนด์สำหรับคนไทยที่ยังคงคอนเซ็ปต์คุ้มค่าเงินหรือแวลูฟอร์มันนี่อยู่เช่นเดิมเพราะขณะนี้ประชาชนก็ยอมรับนกแอร์ในสิ่งที่ทำแล้ว เพราะมันดีอยู่แล้วและพยายามที่จะรักษาคุณภาพให้ดีที่สุด"
 สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้บอร์ดได้อนุมัติแผนเปลี่ยนแบบเครื่องบินรุ่น737-400 มาเป็นเครื่องบินรุ่น 737-800 จำนวน 7ลำ โดยจะเช่ากับหลายบริษัทโดยลำแรกจะได้รับมอบในเดือนพฤศจิกายนนี้การเปลี่ยนเครื่องบินจะทำให้มีกำไรที่ดีขึ้นเนื่องจากประหยัดน้ำมันได้ 20% และมีจำนวนที่นั่งโดยสารเพิ่มขึ้นจาก 150 ที่นั่งต่อเที่ยวบิน เป็น 190 ที่นั่ง รวมถึงราคาเฉลี่ยของต้นทุนอื่นๆ จะต่ำลง การใช้ประโยชน์จากเครื่องบินได้มากขึ้นโดยบินได้เต็มอัตรา 11 ชั่วโมงต่อวัน นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดบินในเส้นทางเชียงราย และกระบี่ ช่วงสิ้นปีนี้หลังจากทยอยรับมอบเครื่องบินแล้ว   
 
 "ขณะนี้ยังรอรับมอบเครื่องบินรุ่น ATR ขนาด 66 ที่นั่ง  4 ลำที่จะเข้ามาในปีนี้และมีแผนจะบินเพิ่มความถี่เข้าเมืองเล็กที่นกมินิบินอยู่รวมถึงเปิดเส้นทางบินใหม่ที่จังหวัดแพร่โดยให้เชียงใหม่เป็นฐานของนกมินิบินเป็นคอนเน็กติ้ง พอยต์ ออกจากเชียงใหม่และเมื่อรับมอบเครื่องบินเอทีอาร์ครบจะส่งผลให้มีฝูงบินทั้งหมด 16 ลำ ถือว่าเพียงพอสำหรับบินในประเทศและยังไม่มีแผนเปิดเส้นทางบินระหว่างประเทศในตอนนี้เพราะต้องการเรียนรู้ทุกอย่างให้สมบูรณ์และมีเส้นทางบินครอบคลุมไทยให้มากที่สุด"นายพาทีกล่าว

 ส่วนปัจจัยในการดำเนินธุรกิจในปีนี้ต้องคำนึงถึงคือราคาน้ำมันปี 2553 ถือเป็นอานิสงส์มากเฉลี่ยอยู่ที่ 60-70 % ต่อดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้นกแอร์ได้อานิสงส์มากมีกำไรสูงถึง 634 ล้านบาท แต่ปัจจุบันกลับมาที่ 90-100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล คาดว่าจะทำให้กำไรลดลงราว 1 ใน 3 หรือราว 190-200 ล้านบาท ตั้งเป้าอัตราการบรรทุกเฉลี่ย (Load Factor) 82-83% ขณะที่รายได้ปีที่แล้ว 3,900 ล้านบาทปีนี้คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มเป็น 5,900 ล้านบาท ที่ผ่านมาไม่ได้ทำ
 เฮดจิ้งน้ำมันแต่เพิ่มค่าตั๋วราว 100-150 บาทให้ครอบคลุมราคาน้ำมัน ส่วนอนาคตกำลังศึกษาแผนกับบริษัทเชลล์ ไทยแลนด์ฯ เพื่อจะซื้อน้ำมันล่วงหน้าราว 30% ในระยะสั้นแค่ 1 เดือน โดยส่วนที่เหลือก็ยังซื้อผ่านการบินไทยเช่นเดิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารนกแอร์กล่าวในที่สุด

 อนึ่งบริษัทร่วมทุนในนกแอร์ ประกอบด้วย บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 39% ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 10% บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 10% กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) ถือหุ้น 10% บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด (สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์) ถือหุ้น 6% ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 5% กองทุนเปิดไทยทวีทุน โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้น 5% บริษัท คิงเพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ป จำกัด ถือหุ้น 5% และผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่นๆ 10%

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,642 9-11  มิถุนายน พ.ศ. 2554
/////////

รอเครื่องใหม่:)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 มิถุนายน 2011, 18:46:14
เชียงราย - ทูตจีนนำทีมตัวแทนหลายหน่วยงานจากหยุนหนัน ออนทัวร์เส้นทาง R3a พร้อมนัดประชุมร่วมไทยที่เชียงแสน แต่เจอปมด่านฯเชียงแสน-ต้นผึ้ง สปป.ลาว ไร้ข้อตกลงข้ามแดน ทำเวทีหารือล่ม
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า จ.อ.อนิรุต จำรูญ หัวหน้าขนส่งทางน้ำที่ 1 สาขาเชียงราย ได้รับการประสานงานจากคณะของ Mr.Gao Wantuan อัคราชทูตฝ่ายเศรษฐกิจและการค้า สาธารณประชาชนจีน ประจำประเทศไทย เย็นวันที่ 8 มิ.ย.54 ขอเข้าประชุมหารือกับคณะ จ.เชียงราย ณ ท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 1 อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจและการค้า ซึ่ง จ.เชียงราย มีการค้ากับจีนตอนใต้ปีละจำนวนมหาศาล
       
       คณะจากประเทศจีนได้เดินทางมาทางรถยนต์ จากเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลหยุนหนัน จีนตอนใต้ มาตามถนน R3a ผ่านแขวงหลวงน้ำทา แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว จนถึงเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ตรงกันข้าม อ.เชียงของ โดยเข้าเยี่ยมโครงการของกลุ่มทุนดอกงิ้วคำ ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทจิน มู่ เหมิน จำกัด จากประเทศจีน ภายใต้ชื่อ Kings Romans of Laos Asian & Tourism Development Zone เพื่อสร้างโรงแรม บ่อนกาสิโน เขตการค้า ท่าเรือ เขตพาณิชยกรรม อุตสาหกรรมแปรรูป พื้นที่การเกษตร ฯลฯ ที่เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ก่อนที่จะข้ามมายังฝั่งตรงกันข้ามคือ อ.เชียงแสน
       
       กระทั่งช่วงเย็นคณะจากประเทศจีน ได้แจ้งจะข้ามฝั่งมายัง อ.เชียงแสน แต่ปรากฏว่าด่านสากลที่สามเหลี่ยมทองคำของ สปป.ลาว กับจุดผ่านแดนถาวร อ.เชียงแสน ไม่ได้มีการทำข้อตกลงในการข้ามแดนกันอย่างเป็นทางการ จึงทำให้คณะทั้งหมดต้องเดินทาง กลับไปเมืองห้วยทรายซึ่งห่างออกไปอีกประมาณ 58 กิโลเมตรอีกครั้งหนึ่ง ทำให้เสียเวลาจนถึงเย็น จึงมีการติดต่อประสานงานกับคณะของทาง จ.เชียงราย ซึ่งรออยู่ที่ท่าเรือแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 โดยมีนายสุรชัย ลิ้นทอง ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย นำคณะหัวหน้าส่วนราชการรออยู่ โดยขอเลื่อนการนัดประชุมออกไปก่อนทำให้การประชุมยกเลิกไปโดยปริยาย
       
       จ.อ.อนิรุต กล่าวว่า เราจำเป็นต้องขอเลื่อนการระชุมหารือกันไปก่อน เพราะเกิดปัญหาขัดข้องทางเทคนิค หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีการกำหนดเวลาการประชุมและแจ้งเชิญหน่วยงานส่วนราชการต่างๆ เอาไว้
       
       ทั้งนี้ กรมเจ้าท่าได้เตรียมรายความคืบหน้าด้านท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 แก่ที่ประชุมด้วย โดยเป็นท่าเรือแห่งใหม่ที่ใช้ทดแทนแห่งแรก ที่คับแคบและอยู่กลางใจเมืองเชียงแสน โดยปัจจุบันกรมเจ้าท่าได้ว่าจ้างเอกชนทำการก่อสร้างตรงปากแม่น้ำกก ซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่หมู่บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน เนื้อที่ 402 ไร่ 1 งาน 20 ตารางวา ด้วยงบประมาณ 1,546,400,000 ล้านบาท กำหนดก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.2552-28 ธ.ค.2554 ซึ่งหลังโครงการแล้วเสร็จหน่วยงานแดน เช่น ศุลกากร เจ้าท่า การท่าเรือ ฯลฯ จะย้ายไปยังท่าเรือใหม่ดังกล่าว
       
       สำหรับรูปแบบโครงการจะมีการสร้างท่าเทียบเรือ 5 จุด คือ ท่าเรือแบบทางลาด 2 ระดับ ด้านทิศเหนือยาว 300 เมตร และทิศใต้ยาว 300 เมตร ท่าเรือแนวดิ่งภายในแอ่งจอดเรือยาว 629 เมตร บริเวณต่อกับแอ่งจอดเรือด้านทิศเหนือยาว 554 เมตร บริเวณต่อกับแอ่งจอดเรือด้านทิศใต้ยาว 300 เมตร และท่าเรือสำหรับเรือตรวจการณ์ยาว 226 เมตร โครงการป้องกันตลิ่งเป็นเขื่อนกันตลิ่งยาวรวม 3,447 เมตร โดยแยกเป็นเขื่อนป้องกันตลิ่งในแม่น้ำโขงยาว 500 เมตร เขื่อนป้องกันตลิ่งเกาะช้างตายซึ่งเป็นเกาะกลางแม่น้ำโขงยาว 765 เมตร เขื่อนป้องกันตลิ่งสองฝั่งแม่น้ำกกด้านละ 660 เมตรและ 1,525 เมตรตามลำดับ
       
       นอกจากนี้ จะมีการขุดลอกร่องน้ำทางเดินเรือในแม่น้ำโขงกว้าง 40 เมตร ยาว 1.4 กิโลเมตร ลึก 1.5 เมตร จากระดับน้ำต่ำสุด และขุดลอกส่วนที่เป็นแอ่งจอดเรือ จึงทำให้จะมีการขุดลอกดินขึ้นมาทั้งสิ้น 1,050,000 ลูกบาศก์เมตร และจะมีการขุดลอกบำรุงรักษาประจำปีประมาณ 181,700 ลูกบาศก์เมตร
       
       ส่วนงานด้านอาคารมีทั้งอาคารสำนักงานท่าเรือและอาคารเอนกประสงค์ โรงพักสินค้า สำนักงานโรงพักสินค้าประตูทางเข้า ฯลฯ ลานจอดรถพักรอพื้นที่รวม 26,600 ตารางเมตร งานก่อสร้างถนนยาวรวม 4,036 เมตร นอกจากนี้ ยังมีโครงการอื่นๆ เพื่อสำรองเอาไว้และเก็บกองดินทรายที่ขุดลอกขึ้นมาใหม่โดยคำนวณปริมาณดินตะกอน ที่สามารถรองรับได้ 605,146.54 ลูกบาศก์เมตร
       
       ส่วนการค้าชายแดนผ่านทางท่าเรือแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงแสน ตั้งแต่เดือน ต.ค.2553 จนถึง เม.ย.ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นการค้ากับจีนตอนใต้ ยังมีพม่า และ สปป.ลาว โดยเป็นการการส่งออกสินค้าจำนวน 4,982 ล้านบาท คาดว่าเมื่อครบปีจะมีมูลค่ามากกว่าปีที่ผ่านมา เพราะตลอดทั้งปีงบประมาณ 2553 มีการส่งออกมูลค่า 5,630 ล้านบาท ส่วนนำเข้ามีมูลค่า 736 ล้านบาท

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000070363


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 มิถุนายน 2011, 21:10:04
ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย แน้น 3 สร้าง เป็นยุทธศาสตร์จังหวัดเชียงราย เพื่อพัฒนาการเศรษฐกิจการค้าด้านลงทุนและการท่องเที่ยวของ ประเทศไทยอย่างยั่งยืน

ที่ห้องดอยตุง โรงแรมดุสิตไฮส์แลน รีสอร์ท เชียงราย นายสมชัยหทยตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ให้การต้อนรับ นักศึกษาหลักสูตรนักบริหารระดับสูง: ผู้นำวิสัยทัศน์และคุณธรรม รุ่นที่ 73 จำนวน 140 คน ซึ่งสำนักงานข้าราชการพลเรือน ได้จัดศึกษาดูงานในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และได้เป็นวิทยากรพิเศษให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เรื่อง “ยุทธศาสตร์จังหวัดเชียงรายเพื่อพัฒนาการเศรษฐกิจการค้าด้านลงทุนและการท่องเที่ยวของ ประเทศไทยอย่างยั่งยืน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวว่า จังหวัดเชียงราย มีศักภาพทางด้านเศรษฐกิจสูงมาก และกำลังมีความเจริญเติบโต จากการค้าการลงทุนทั้งในประเทศ การค้าระหว่างประเทศ และการท่องเที่ยว ซึ่งเชียงรายมีจุดเด่นทางด้านการท่องเที่ยว ที่ไม่เหมือนจังหวัดใดในประเทศไทย คือมาเที่ยวเชียงรายแล้วสามารถท่องเที่ยวไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้อีก 3 ประเทศ ได้แก่ พม่า ลาวและ จีน โดยเฉพาะประเทศจีน ตอนใต้ในมณฑลยูนนาน ที่มีวิถีชีวิตที่คล้ายกับคนไทยในภาคเหนือ การเดินทางก็สามารถเดินทางได้ทั้งทางน้ำและทางบก การเดินทางทางน้ำไปตามลำน้ำโขงก็จะใช้เวลาประมาร 1 วัน ส่วนการเดินทางทางบกก็ใช้เส้นทาง R3a จากอำเภอเชียงของ ผ่านประเทศลาว ไปถึง สิบสองปันนาใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมงเศษ ขณะที่การก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขง กำหนดจะแล้วเสร็จในปีช่วงปลายปี 2555 ชึ่งจะทำให้จังหวัดเชียงรายมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม จังหวัดเชียงรายได้กำหนดแผนยุทธสาสตร์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ไว้แล้ว โดยกำหนดเป็นคำพุที่เข้าใจง่าย คือ 3 สร้าง ประกอบด้วย การสร้างคน โดยการสร้างองค์ความรู้ให้กับประชาชนในพื้นที่ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง การสร้างงาน โดยการเตรียมความพร้อมในการทำงานที่จะเปลี่ยนแปลงไปจากรูปแบบเดิม และการสร้างที่สีเขียว ที่มีความสวยงามให้เพิ่มมากขึ้น จากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ให้มีความสวยงาม รวมถึงวัฒนธรรมประเพณีที่สวยงามให้คงอยู่อย่างเดิม แม้สังคมจะเปลี่ยนไป ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นการดำเนินการ ยุทธศาสตร์จังหวัดเชียงรายเพื่อพัฒนาการเศรษฐกิจการค้าด้านลงทุนและการท่องเที่ยวของ จังหวัดเชียงราย และประเทศไทยอย่างยั่งยืน

แหล่งข่าว : สวท.เชียงราย
นำเสนอโดย : เชียงรายโฟกัสดอทคอม


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 12 มิถุนายน 2011, 20:32:14
ชี้โอกาสค้าปลีกไทยโตอีกมาก แนวโน้ม 10 ปีเปลี่ยนไม่หยุด

โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์   9 มิถุนายน 2554 08:52 น.


       SCB EIC ระบุ โอกาสในการขยายสาขาธุรกิจค้าปลีกของไทยยังมีอีกมาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ซึ่งหลายพื้นที่ยังมีศักยภาพเติบโตสูงทั้งในแง่จำนวนลูกค้าและความมั่งคั่งของคนในพื้นที่
       
       ปราณิดา ศยามานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโสของ SCB EIC ระบุว่า ธุรกิจค้าปลีกของไทยในอีก 10 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มเติบโตสูงและเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง ทั้งในแง่รูปแบบการดำเนินธุรกิจ และประเภทของสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาดในอนาคต ซึ่งจะขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่จะมีผู้บริโภคกลุ่มใหม่เป็นกำลังซื้อสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสอีกมากที่ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่จะขยายสาขาไปต่างจังหวัด ซึ่งหลายพื้นที่มีศักยภาพเติบโตสูง
       
       ช่องทางธุรกิจค้าปลีกที่ต้องจับตามองคือ การขายผ่านอินเทอร์เน็ตที่เติบโตเร็ว ตามการเพิ่มจำนวนของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ต่างหันมาให้ความสำคัญกับการขายสินค้าออนไลน์เป็นช่องทางเสริมจากการขายผ่านหน้าร้านมากขึ้น โดยคาดว่าการขายผ่านอินเทอร์เน็ตจะเติบโตราว 8% ต่อปี ในอีก 5 ปีข้างหน้า
       
       นอกจากนี้ การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของผู้ใช้บริการ social network โดยเฉพาะ facebook ที่ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกถึงกว่า 600 ล้านคนทั่วโลก ภายในเวลาไม่ถึง 10 ปี ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ๆ จึงเริ่มสนใจ หันมาทำการตลาดกับลูกค้าผ่าน fan page มากขึ้น โดยพบว่า ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ 7 ใน 10 อันดับแรกของโลกล้วนมีการใช้ facebook page เป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับผู้บริโภค
       
       แนวโน้มความต้องการสินค้าจะขึ้นกับผู้บริโภคกลุ่มใหม่ที่จะเป็นกำลังซื้อสำคัญ คือ 1.ผู้สูงวัย 2.ครัวเรือนขนาดเล็ก และ 3.ผู้มีรายได้ระดับปานกลางขึ้นไป (มากกว่า 15,000 บาทต่อเดือน) ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ครัวเรือนขนาดเล็กซึ่งเป็นผู้อยู่อาศัยคนเดียวหรือคู่สมรสที่ไม่มีบุตรมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นมาก กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง แม้ว่าจะมีสัดส่วนต่อประชากรทั้งหมดเพียง 15% แต่มีสัดส่วนการใช้จ่ายต่อการบริโภคทั้งประเทศสูงถึงราว 1 ใน 4 ของการบริโภคทั้งหมด
       
       ทั้งนี้ เมื่อดูโครงสร้างการใช้จ่าย พบว่าสัดส่วนการบริโภคสินค้าอุปโภคบริโภคในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาแทบไม่เปลี่ยนแปลง คืออยู่ที่ราว 40% ของการบริโภคทั้งหมด แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือ ประเภทของสินค้า โดยสินค้าที่ผู้บริโภคกลุ่มใหม่มีความต้องการซื้อสูงขึ้น ส่วนใหญ่อยู่ในหมวดสินค้าฟุ่มเฟือย ได้แก่ สินค้าจำพวกวิตามินและยาบำรุง สินค้าพักผ่อนหย่อนใจ ตลอดจนสินค้าบันเทิง
       
       สำหรับแนวโน้มการขยายสาขาของธุรกิจค้าปลีก เอกสิทธิ์ กาญจนาภิญโญกุล นักวิเคราะห์ของ SCB EIC กล่าวว่า ลักษณะของทำเลที่เหมาะสมของการตั้งสาขาธุรกิจค้าปลีก ต้องมีความพร้อมไม่เพียงแต่ความหนาแน่นของจำนวนลูกค้า แต่กำลังซื้อเป็นปัจจัยสำคัญ SCB EIC จึงสร้างดัชนีความมั่งคั่ง (SCB EIC Wealth Index) และนำมาวิเคราะห์ร่วมกับองค์ประกอบอื่นๆ เพื่อพัฒนาเป็นแบบจำลองสาขาของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ โดย Wealth Index อิงจาก 3 ปัจจัยหลักคือ 1.เงินฝาก 2.การครอบครองรถยนต์ และ 3.ราคาประเมินที่ดิน ซึ่งเป็นปัจจัยที่สะท้อนกำลังซื้อของประชากรแต่ละจังหวัดได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัว นอกจากนี้ ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ได้แก่ ความหนาแน่นของประชากร ซึ่งมีความสำคัญต่อการตั้งสาขาของธุรกิจค้าปลีกทุกประเภท โดยเฉพาะไฮเปอร์มาร์เกต ขณะที่จำนวนห้องพักของโรงแรมเป็นปัจจัยเสริมต่อการเติบโตของสาขาของธุรกิจห้างสรรพสินค้า
       
       ในรูปแบบการขยายสาขาของไฮเปอร์มาร์เกตมีแนวโน้มเป็นการเพิ่มจำนวนแห่งในจังหวัดที่มีอยู่แล้ว เนื่องจากสาขาของไฮเปอร์มาร์เกตค่อนข้างครอบคลุมเกือบทั่วประเทศ แต่ยังมีบางจังหวัดที่มีศักยภาพทั้งในแง่ความหนาแน่นของประชากรและความมั่งคั่งสูง จังหวัดที่มีโอกาสในการขยายสาขาไฮเปอร์มาร์เกตเพิ่มเติม คือ ภูเก็ต เชียงใหม่ ตรัง จันทบุรี ระยอง สงขลา ชลบุรี สตูล ขอนแก่น และอยุธยา
       
       แต่ธุรกิจค้าปลีกประเภทห้างสรรพสินค้าและร้านค้าวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านจะเป็นในลักษณะของการไปเปิดสาขาใหม่ในจังหวัดที่ยังไม่มี นอกจากปัจจัยด้านความหนาแน่นของประชากรและความมั่งคั่งแล้ว จำนวนห้องพักโรงแรม และการใช้ไฟฟ้าของภาคครัวเรือนยังเป็นปัจจัยเสริมที่มีผลต่อการเปิดสาขาของธุรกิจค้าปลีกประเภทเหล่านี้ จังหวัดที่มีโอกาสที่ห้างสรรพสินค้าจะไปเปิดสาขาคือ ระยอง สุราษฎร์ธานี กระบี่ ประจวบคีรีขันธ์ และพิษณุโลก สำหรับธุรกิจร้านค้าวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน ได้แก่ จันทบุรี ตรัง ลพบุรี ฉะเชิงเทรา และเชียงราย
       
       “นอกจากจำนวนลูกค้าและกำลังซื้อของประชากรแล้ว การพิจารณาทำเลเปิดสาขาธุรกิจค้าปลีกยังต้องดูปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย ทั้งในแง่ต้นทุนที่ดินและภูมิศาสตร์ ความพร้อมของสาธารณูปโภค เพื่อให้เกิดความสะดวกในการเข้าถึงบริการ รวมถึงการเจาะกลุ่มลูกค้าในจังหวัดใกล้เคียงได้ด้วย ตลอดจนทำเลที่เหมาะสมในการบริหารต้นทุนจัดการทั้งด้านขนส่งและสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การพิจารณาประเภทสินค้าที่จะนำมาวางขายในพื้นที่ต่างๆ เป็นอีกปัจจัยที่มีความสำคัญเพื่อตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมการบริโภคของคนในพื้นที่ต่างๆ ที่มีความแตกต่างกัน เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรอีกด้วย” ปราณิดา กล่าว


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 14 มิถุนายน 2011, 21:05:57
คุนหมิงแฟร์ ครั้งที่ 19

โดย แสงแดด   14 มิถุนายน 2554 15:48 น.



เมื่อปลายสัปดาห์ก่อนหน้านี้ “แสงแดด” ได้สบโอกาสเดินทางไปประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน เพื่อร่วมทั้งประชุมและสังเกตการณ์ “คุนหมิงแฟร์ ครั้งที่ 19 (Kunming Fair 19th )” ซึ่งคุนหมิงเป็นเจ้าภาพจัดทุกปี และปี 2011 เป็นปีที่ 19
       
       การจัดงานคุนหมิงแฟร์ครั้งที่ 19 นี้ เป็นการจัดการแสดงสินค้าที่ครอบคลุมกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน (Asean) บวกกับกลุ่มประเทศเอเชียใต้ (South Asia) ซึ่งหมู่มวลสมาชิกที่มาร่วมประชุมนั้น เริ่มตั้งแต่ระดับนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เกี่ยวกับการค้า การพาณิชย์ ที่หมายรวมถึง “เศรษฐกิจ” ตลอดจนรัฐมนตรีช่วยฯ ผู้ช่วยรัฐมนตรี จนมาถึงปลัดกระทรวงฯ อธิบดี และแม้กระทั่งที่ปรึกษาระดับอาวุโส
       
       ดังนั้น ผู้เข้าร่วมประชุมและเปิดงาน “คุนหมิงแฟร์ ครั้งที่ 19” จึงมีจำนวนมากถึง 40 กว่าคน ในกรณีเฉพาะระดับผู้นำ ส่วนระดับเจ้าหน้าที่และผู้ติดตามนั้น ขอเรียนว่าหลักหลายร้อยคนอย่างแน่นอน การประชุมกิจกรรมในครั้งนี้ จึงมีผู้เข้าร่วมนับหลายร้อยคน
       
       การประชุมกิจกรรมครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 6-10 มิถุนายน เพียงแต่วันเปิดนั้น เริ่มตั้งแต่ช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน และช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 6 โดยช่วงเย็นผู้ว่ามณฑลยูนนานเป็นเจ้าภาพเลี้ยงเฉพาะระดับผู้นำที่ร่วมกิจกรรมเท่านั้น
       
       แต่ในขณะเดียวกัน จะมีการเปิดบูท (Booth) ของสมาชิกจากกลุ่มประเทศอาเซียนและเอเชียใต้นับจำนวนหลายร้อยบูทเช่นเดียวกัน ซึ่งจะมีทั้งบรรดาเฟอร์นิเจอร์ไม้ ผลิตภัณฑ์ไม้แกะสลัก ผลไม้ อัญมณี สมุนไพร แม้กระทั่งผลิตภัณฑ์สิ่งทอ และผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน ตลอดจนสารพัดยาต่างๆ โดยเฉพาะยาหม่องที่ชาวจีนนิยมมาก
       
       “คุนหมิงแฟร์” หรือเรียกทางภาษาวิชาการเรียกว่า “งานแสดงสินค้า The 19th China Kunming Import + Export Commodities Fair 2011” และ “The 4th South Asian Countries Trade Fair 2011” โดยจัดที่ “หอประชุมขนาดใหญ่ (Convention Center)”
       
       ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา “การค้าการลงทุนระหว่างไทย-ยูนนาน” มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2011 ประเทศไทยส่งออกมายังมณฑลยูนนานมีมูลค่า 83.59 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,507 ล้านบาท) และไทยนำเข้าสินค้าจากมณฑลยูนนานมูลค่าประมาณ 102.27 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,068 ล้านบาท) โดยที่ไทยเราขาดดุลการค้ากับจีนมูลค่าประมาณ 18.68 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 560 ล้านบาท)
       
       อย่างไรก็ตาม การนำเข้าผลไม้ไทยสู่มณฑลยูนนานนั้น เพื่อให้เป็น “ประตู (Gate Way)” ศูนย์กลางกระจายสู่มณฑลอื่นๆ ในประเทศจีน เนื่องด้วยมณฑลยูนนานเป็นระยะทางที่สั้นที่สุด จะทำให้ผลไม้ไทยที่นำเข้ามีความสดใหม่ คุณภาพดี โดยเฉพาะทางบก ถนน R3 และทางน้ำ โดยแม่น้ำโขงซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการของฝั่งไทย แต่ส่วนของประเทศจีนนั้น ต้องเรียนว่า เขาได้สร้างถนนและท่าเรือมาจ่อที่ฝั่งไทยเรียบร้อยแล้ว และได้ทราบว่าทางฝั่งไทยกำลังเร่งดำเนินการก่อสร้างอยู่ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะแล้วเสร็จอีกไม่น่าจะเกิน 2-3 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ต้องยอมรับความจริงว่า ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะหันมาสนใจในกรณีนี้หรือไม่
       
       ภายในงานแสดงสินค้าผลไม้ไทย โดยเฉพาะมังคุดที่นำเข้าจากไทยเราจำนวน 500 ตัน หรือประมาณ 500,000 กิโลกรัม ปรากฏว่า “ขายหมดเกลี้ยง!” ภายในระยะเวลา 3 วันเท่านั้น จากกลุ่มผู้ประกอบการจากจังหวัดระยอง ส่วนทุเรียนและเงาะนั้นได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน
       
       จริงๆ แล้ว การค้าขายของไทยในมณฑลยูนนานนั้น เท่าที่สังเกตดูจากสภาพการณ์ช่วงที่อยู่นั้น ต้องยอมรับว่า สินค้าไทย ไม่ว่า ผลิตภัณฑ์ไม้ เฟอร์นิเจอร์ และผลไม้ไทย ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม ยกตัวอย่าง ตุ๊กตาผู้หญิงล้านนาไทยพนมมือไหว้สูงประมาณหนึ่งเมตร สนนราคาตกตัวละ 10,000 กว่าบาท ทั้งๆ ที่ราคาต้นทุนที่ อ.หางดง เชียงใหม่ น่าจะไม่เกิน 3,000-3,500 บาท บวกกับค่าขนส่งสูงสุดตัวละไม่เกิน 5,000 บาท เพราะฉะนั้น เราฟาดกำไรตัวละ 5,000-6,000 บาทอย่างแน่นอน ซึ่งขอย้ำว่า “ขายดีมาก!”
       
       การเดินทางไปครั้งนี้ ได้ร่วมประชุมและสังเกตการณ์ว่า “ดีมาก!” ทั้ง ความรู้สึก การค้าการขาย การลงทุนทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ที่มีแนวโน้มดีทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้สึกของชาวจีนมณฑลยูนนานนั้น ใกล้ชิดกับทางประเทศไทยมาก เนื่องด้วยชนกลุ่มน้อย “สิบสองปันนา” ที่ยังคงปักถิ่นฐานอยู่ที่มณฑลยูนนาน และภาษาไทยยังคงเป็นภาษาท้องถิ่นที่ใช้กันอยู่ ทั้งนี้ อาจจะเพี้ยนบ้าง แต่สามารถเจรจากันได้
       
       เศรษฐกิจประเทศจีนต้องนับว่า “สูงสุดเกือบ 12%” ของอัตราการเจริญเติบโตหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ หรือเรามักเรียกกันว่า “จีดีพี (GDP)” ที่สูงที่สุดในโลกขณะนี้ เพียงแต่ว่า “จีดีพี” ของจีนนั้น ค่อนข้างมั่นใจว่า “เชิงมหภาค (Macro)” ที่มุ่งเน้นทางด้านอุตสาหกรรมส่งออก อุตสาหกรรมการลงทุนขนาดใหญ่ อสังหาริมทรัพย์ และสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเชิงระบบขนส่ง และ/หรือโลจิสติกส์
       
       การเร่งสร้าง “นโยบายสร้างชนชั้นกลาง” ซึ่งน่าเชื่อว่า ทางรัฐบาลจีนมุ่งเน้นสร้าง “ประชากรระดับกลาง” ให้มีมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันตัวเลขประชากรระดับกลางกำลังเจริญเติบโตอย่างมาก จากประชาชนระดับรากหญ้า หรือพูดภาษาชาวบ้านว่า “จีนเร่งสร้างชนชั้นกลาง” เพื่อรองรับการเจริญเติบโตที่สอดคล้องกันระหว่างเศรษฐกิจมหภาค และเศรษฐกิจจุลภาค
       
       การเดินทางจากภาคเหนือไทยนั้น สะดวกที่สุด ถ้าเดินทางโดยทางรถยนต์ด้วยถนน R3 ผ่านเชียงของ และเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ส่วนท่าเรือก็เช่นเดียวกัน แต่ถ้าทางสายการบินนั้น มีเพียงการบินไทยเท่านั้น ซึ่งมิได้บินทุกวัน ต้องเรียกว่าน่าเสียดาย ทั้งนี้ ต้องขอชื่นชมกงสุลพาณิชย์ไทยร่วมประชุมอย่างแข่งขัน และเชื่อว่า “ไทยโชคดีแน่!”


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000072624


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 มิถุนายน 2011, 17:40:37

“ซาเล้ง” นำทีมขายฝันรถไฟเด่นชัย-ชร.ตีฐานเสียง พท.เชียงราย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   19 มิถุนายน 2554 13:11 น.



คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น





   
เชียงราย - ภูมิใจไทย เอาบ้าง ขายฝันรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย ตีฐานเสียงเพื่อไทยในเมืองพ่อขุนฯ
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า โค้งสุดท้ายศึกเลือกตั้งเชียงราย พรรคภูมิใจไทย ได้
       จัดเวทีปราศรัยหาเสียง ณ สนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ต.บ้านดู่ อ.เมือง เมื่อ 18 มิ.ย.54 โดยแกนนำของพรรคหลายคนไปร่วมปราศรัย เช่น นายโสภณ ซารัมย์ รมว.กระทรวงคมนาคม นายมงคล หรือ มณฑล สุทธาธนโชติ หรือ จงสุทธนามณี อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เชียงราย 7 สมัย แกนนำของพรรคในเชียงราย
       
       รวมทั้งมีผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเข้าร่วมหลายคน เช่น นายวันชัย จงสุทธนามณี น้องชายของนายมณฑล ซึ่งเป็นผู้สมัครเขต 1, น.ส.ชัญญา จงสุทธนามณี ลูกสาวของ นายมณฑล ซึ่งเป็นผู้สมัครเขต 2 รวมทั้ง นางรัตนา จงสุทธนามณี นายก อบจ.เชียงราย ภรรยาของนายวันชัย ขณะที่มีประชาชนไปรับฟังการปราศรัยประมาณ 5,000 คน ส่วนใหญ่มาจากพื้นที่เขต 1 และเขต 2
       
       นายโสภณ กล่าวหาเสียงตามนโยบายต่างๆ ของพรรคภูมิใจไทย เช่น ประกันราคาข้าวหอมมะลิ 20,000 บาท เพิ่มเบี้ยเลี้ยงผู้สูงอายุจากเดือนละ 600 บาท เป็น 1,000 บาท ฯลฯ รวมทั้งระบุว่า ก่อนยุบสภา รัฐบาลเคยมีงบประมาณมาพัฒนาเชียงรายกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่ามากรองจาก บุรีรัมย์ ขณะที่นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคนั้น รัฐบาลที่ผ่านมาก็ปรับเป็นรักษาพยาบาลฟรีด้วย
       
       นายโสภณ กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังได้จัดสรรงบประมาณ 400 ล้านบาท เพื่อออกแบบเส้นทางรถไฟจาก อ.เด่นชัย จ.แพร่-จ.เชียงราย ดังนั้น หากเลือกพรรคภูมิใจไทย ก็จะได้มีโอกาสกลับไปพัฒนาโครงการรถไฟสายนี้ให้สำเร็จ
       
       ด้าน นายวันชัย กล่าวว่า ตนเคยเป็นนายกเทศมนตรีเมืองเชียงราย ได้ผลักดันให้กลายเป็นเทศบาลนครเชียงราย ดังนั้นหากให้โอกาสตนได้เป็น ส.ส.ก็จะได้กลับไปช่วยพัฒนาเชียงรายต่อไป
       
       ขณะที่ นางรัตนา กล่าวว่า ขอให้พรรคภูมิใจไทยได้ทำงานเพื่อชาวเชียงราย โดยเฉพาะหากต้องการรถไฟ ซึ่งจะช่วยให้การขนส่งสินค้าด้วยต้นทุนต่ำ

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000074701


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 24 มิถุนายน 2011, 07:46:17
โดย กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน 2011 เวลา 10:31 น.

สิ่งที่นกแอร์ทำได้คือพยายามรักษาสิ่งที่ดีอยู่แล้ว และเดินหน้าตามแผนระยะยาวที่ท่ามกลางแผนการจัดตั้งแบรนด์ใหม่อย่าง "ไทยวิงส์" เพื่อมาเป็นSub-Brand ของการบินไทย จะส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของสายการบินลูก อย่างนกแอร์ หรือไม่ และการดำเนินธุรกิจของนกแอร์จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ และกว่า 7 ปีของนกแอร์ กับการถูกมองว่าเป็นลูกนอกคอก ต้องฝ่าฟันการทำงานมาได้อย่างไร อ่านได้จากสัมภาษณ์ นายพาที สารสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ฯ

++ยันไม่หวั่นไหวไทยวิงส์

การดำเนินธุรกิจแอร์ไลน์ไม่ใช่ของง่าย มี Price War หรือสงครามราคา ซึ่งพรีเมียมแอร์ไลน์ก็ฟาดฟันกับโลว์คอสต์มั่วไปหมด อย่างสิงคโปร์ก็จะเปิดตัวโลว์คอสต์แอร์ไลน์ที่บินระยะไกล ไม่รู้ว่าการบินไทยจะว่าอย่างไร แต่การบินไทยก็น่าพิจารณา ส่วนเรายังถือเป็นธุรกิจที่ยังใหม่ ควรจะทำก่อนที่คนอื่นจะมาทำให้เรา เช่น แอร์เอเชียเอ็กซ์ ขณะนี้ยังไม่มาโอเปอเรตในไทย แต่หากวันหนึ่งที่เข้ามา ธุรกิจมันมีตลาดอยู่แล้ว ขณะที่สายการบินเจ็ตสตาร์เปิดเส้นทางบิน เมลเบิร์น-ภูเก็ต แล้ว


สำหรับแอร์เอเชียเอ็กซ์ จะมาหรือไม่ ไม่รู้ แต่ถ้าผมเป็นการบินไทย ผมคิดในเชิงธุรกิจ ผมจะพิจารณาโลว์คอสต์ก่อนรีจินัล ผมคิดถึงมันตอนนี้เลย เนื่องจากสิงคโปร์ ออสเตรเลีย มาเลเซีย ทำสายการบินโลว์คอสต์แล้ว แล้วเราล่ะ แต่ตอนนี้การบินไทยยังไม่มีไอเดีย เดี๋ยวหลังเลือกตั้งก็เปลี่ยนอีก หากเปลี่ยนพรรค เช่นเพื่อไทยเข้ามาคุมคมนาคม ดีดีการบินไทยก็โดนอีก นี่ก็เป็นการเมืองแล้ว วุ่นวายมาก การบินไทยผมไม่ทำงานให้เด็ดขาด ดีดีการบินไทยก็ขอให้นกแอร์บินเส้นทางระหว่างประเทศ แต่เราบินไม่ไหว เนื่องจากเคยบินมาแล้ว ได้เรียนรู้ว่ายังบินไม่ได้ตอนนี้ เพราะต้องการเรียนรู้ทุกอย่างให้สมบูรณ์และมีเส้นทางบินครอบคลุมไทยให้มากที่สุด โดยต้องการให้บริการคนไทยให้เต็มที่ก่อน ดังนั้น ดีดีจึงมีกลยุทธ์จัดตั้งสายการบินไทยไทเกอร์ และไทยวิงส์ ออกมา
ที่ผ่านมานกแอร์ก็เจอปัญหาหลายหน ทั้งเรื่องที่การบินไทยบอกว่านกแอร์ไม่สามารถดำเนินการตามที่การบินไทยสั่งได้ ซึ่งเวลาทำธุรกิจพอมีข่าวแล้วตื่นตูมก็ไม่ใช่ ดังนั้นสิ่งที่นกแอร์วางแผนว่าจะทำอะไร นั่นคือสิ่งที่สามารถทำได้ ถ้าเปลี่ยนไปมาจะเหนื่อยมาก ในที่สุดก็จะสะเปะสะปะ เพราะฉะนั้น สิ่งที่นกแอร์ทำได้คือพยายามรักษาสิ่งที่ดีอยู่แล้ว และเดินหน้าตามแผนระยะยาวที่มีอยู่ ถ้าเกิดมีคู่แข่งก็ต้องปรับตัว รวมถึงต้องมีความยืดหยุ่นในการที่จะโอเปอเรต และหากการบินไทยมีสายการบินใหม่เกิดขึ้นจริง นกแอร์ไม่หวั่นไหว เพราะยังมีตำแหน่งเป็นแบรนด์สำหรับคนไทยที่ยังคงคอนเซ็ปต์คุ้มค่าเงินหรือแวลูฟอร์มันนี่อยู่เช่นเดิม เพราะขณะนี้ประชาชนก็ยอมรับนกแอร์ในสิ่งที่ทำแล้ว เพราะสิ่งที่ทำมาทั้งหมดมันดีอยู่แล้วและก็พยายามที่จะรักษาคุณภาพให้ดีที่สุดเช่นเดิม

++เดินหน้าเปิดรูตบินทั่วไทย

นกแอร์ให้บริการคนไทยมากว่า 7 ปีแล้ว และต้องการมุ่งให้บริการคนไทยอย่างเต็มที่ ปัจจุบันมีเส้นทางบิน 18 เส้นทาง รวมเส้นทางที่นกมินิบินอยู่ด้วย โดยนกแอร์ยังมุ่งดำเนินงานตามแผนที่มีอยู่ คือการเปิดบินในเส้นทางใหม่ๆ ตามแผน อย่าง เชียงราย และกระบี่ ภายในสิ้นปีนี้ และจะเดินตามแผนเดิมที่วางไว้ ซึ่งที่ผ่านมาได้รับผลตอบรับจากเส้นทางใหม่ดีมาก เช่น เส้นทางสกลนคร ร้อยเอ็ด น่าน แม่สอด ทุกที่ที่เข้าไปมีผลตอบรับดี โดยเฉพาะภาคอีสานที่ทำกำไรมาก แต่นกแอร์ก็ยังถามตัวเองอยู่เสมอว่าจะอยู่รอดหรือไม่ ซึ่งบางครั้งก็ต้องยอมขาดทุนบ้างในบางเส้นทาง เพื่อให้ชนะใจประชาชนให้ได้ ไม่ใช่ว่าเมื่อขาดทุนก็ต้องปิดเส้นทางบินนั้น
ทั้งล่าสุดนกแอร์ได้เปิดเส้นทางบินสู่นราธิวาส เพราะมองเห็นว่ามีศักยภาพ รวมถึงนราธิวาสอยู่ไกลสุดในไทยและเป็นหัวเมืองใหญ่ ทั้งนกแอร์ยังบินครอบคลุมภาคใต้เกือบหมดแล้ว ถึงเวลาที่นกแอร์จะต้องบินเข้านราธิวาส ซึ่งก็รอไลเซนส์เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ทั้งนี้นกแอร์จะเป็นทางเลือกที่สองให้แก่ผู้โดยสารนราธิวาส จากเดิมมีสายการบินไทยแอร์เอเชียที่บินอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งจะเป็นการสร้าง Perpect Competition Scenario หรือการแข่งขันที่สมบูรณ์ ทำให้ราคาลดลงทั้งนกแอร์และไทยแอร์เอเชีย ส่งผลให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์


โดยเป้าหมายหลักคือการเปิดจุดบินให้ครอบคลุมทั่วไทย โดยจะสนใจศักยภาพของเมืองเป็นหลักอย่างนราธิวาส ก็เป็นเมืองที่เชื่อมต่อกับมาเลเซีย โดยนักท่องเที่ยวของมาเลเซียก็เข้ามาได้ เป็นการช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การลงทุน และเศรษฐกิจด้วย โดยที่กลุ่มเป้าหมายของเส้นทางนี้คือข้าราชการ นักธุรกิจ และนักท่องเที่ยวของมาเลเซีย
อย่างไรก็ดี การเปิดบินเส้นทางใหม่ไม่ได้มีการเพิ่มทุนใดๆ เพราะมีเครื่องบินพร้อมอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องเพิ่มพนักงานในนราธิวาส ทั้งในเชิงของต้นทุนก็ไม่เพิ่มเพราะต้องการขยายให้มากที่สุด ทั้งตามหลักของการบินจะใช้ประโยชน์ของเครื่องบินให้มากที่สุด เพื่อลดต้นทุนคงที่ให้ได้ โดยเส้นทางนราธิวาสมีราคาเฉลี่ยราว 1,700-1,800 บาท
ส่วนการทำตลาดของสายการบิน นกแอร์จะร่วมกับพันธมิตรหลายแห่งในการโปรโมตตลาดร่วมกัน เช่น ธนาคาร โรงภาพยนตร์ ควิกซิลเวอร์ ภูเก็ต เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี รวมถึงฟุตบอลทีม ที่เชียงใหม่ พิจิตร ตลอดจนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ในภูมิภาคด้วย


++จัดทัพฝูงบินรับขยายเน็ตเวิร์ก


จากแผนการขยายเส้นทางบินใหม่ๆเพิ่มขึ้น บอร์ดนกแอร์ได้อนุมัติแผนเปลี่ยนแบบเครื่องบินรุ่น 737-400 มาเป็นเครื่องบินรุ่น 737-800 จำนวน 7 ลำ โดยจะเป็นการเช่ากับบริษัทให้เช่าหลายบริษัท โดยลำแรกจะได้รับมอบในเดือนพฤศจิกายนนี้ การเปลี่ยนเครื่องบินจะทำให้มีกำไรที่ดีขึ้น เนื่องจากจะประหยัดน้ำมันได้ 20% และมีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจากราว 150 ที่นั่งต่อเที่ยวบิน เป็น 190 ที่นั่งต่อเที่ยวบิน รวมถึงราคาเฉลี่ยของต้นทุนอื่นๆ จะต่ำลง และการเปลี่ยนเครื่องบินใหม่ก็ทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องบินได้มากขึ้น โดยใช้ได้เต็มอัตรา 11 ชั่วโมงต่อวัน ส่งผลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีแผนเปิดบินในเส้นทางเชียงราย และกระบี่ในช่วงสิ้นปีนี้ หลังจากทยอยรับมอบเครื่องบินแล้ว

รวมถึงขณะนี้ยังรอรับมอบเครื่องบินรุ่น ATR ขนาด 66 ที่นั่ง 4 ลำ ที่จะเข้ามาในปีนี้ ซึ่งได้ทำการเช่ากับบริษัทให้เช่าหลายบริษัทและขณะนี้อยู่ระหว่างการต่อรองราคา หากทยอยรับมอบแล้ว นกแอร์จะใช้เครื่องบิน ATR เพื่อเพิ่มความถี่เข้าเมืองเล็กที่นกมินิบินอยู่ รวมถึงเปิดเส้นทางบินใหม่ไปที่แพร่ และให้นกมินิมีฐานการบินอยู่ที่เชียงใหม่ เป็นคอนเนกติ้ง พอยต์ให้นกแอร์ โดยนกมินิจะบินออกจากเชียงใหม่อย่างเดียว ซึ่งเมื่อเครื่องบินรุ่น ATR เข้ามาแล้ว ส่งผลให้นกแอร์มีฝูงทั้งสิ้น 16 ลำ ซึ่งถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการบินในประเทศ


++ตั้งเป้ารายได้5.9 พันล้าน
ส่วนปัจจัยการดำเนินธุรกิจในปีนี้ต้องคำนึงถึงคือราคาน้ำมัน ซึ่งราคาน้ำมันในปี 2553 ถือเป็นอานิสงส์มาก เพราะราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 60-70 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล คือมีราคาที่ถูก แต่ปัจจุบันนี้ราคาน้ำมันเฉลี่ยกลับมาที่ 90-100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งมีผลกับกำไรของนกแอร์อย่างมหาศาล โดยปีที่ผ่านมานกแอร์มีกำไร 634 ล้านบาท แต่ปีนี้คาดว่าจะลดลงมาราว 1 ใน 3 จากราคาน้ำมันที่ขึ้นมาขนาดนี้ ตั้งเป้ามีกำไรในปีนี้อยู่ที่ราว 190-200 ล้านบาท ตั้งเป้ามีอัตราการบรรทุกเฉลี่ย (Load Factor) 82-83% ขณะที่รายได้ของนกแอร์ในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ราว 3,900 ล้านบาท แต่ปีนี้คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มเป็น 5,900 ล้านบาท
ทั้งนี้ ต้นทุนของน้ำมันอยู่ที่ราว 40% ของธุรกิจการบิน และนกแอร์ก็ไม่ได้มีการทำเฮดจิ้งน้ำมัน เนื่องจากไม่มีเงินเพียงพอ ดังนั้น ที่ผ่านมาสิ่งที่นกแอร์ทำคือการเพิ่มราคาบัตรโดยสารอีกราว 100-150 บาท เพื่อให้สามารถครอบคลุมราคาน้ำมันได้ รวมถึงในอนาคตจะทำการศึกษากับบริษัทเชลล์ ในประเทศไทยฯ เพื่อจะซื้อน้ำมันล่วงหน้าราว 30% ในระยะสั้นราว 1 เดือนเท่านั้น โดยส่วนที่เหลือก็ยังซื้อผ่านการบินไทยเช่นเดิม
++ไม่มีสิทธิประโยชน์ให้ใคร
สำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ ผมไม่ห่วงการเลือกตั้ง ชินแล้ว หลังเลือกตั้งก็อาจจะมีม็อบใหม่ แต่ไม่คิดว่าจะมีการปิดสนามบินและเผาตึกอีก คือทั้งสองอันเป็นบทเรียนกับสองฝ่าย เป็นความผิดพลาด และจะไม่เกิดขึ้นอีก อย่างไรก็ดี การปิดมัฆวานมันผ่านไปแล้ว น่าเบื่อ คนไม่สนใจ ทั้งนี้ หากการเมืองยืดเยื้อจะกระทบธุรกิจท่องเที่ยว แต่ก็ไม่เกี่ยวกับนกแอร์เท่าไหร่ เพราะเราบินในประเทศ การเมืองเราเฉยๆ ไม่ค่อยแคร์ เขาเผาตึกแต่นกแอร์กำไรเละ เพราะคนไทยกลัวกรุงเทพฯ จึงหนีไม่อยู่ที่อื่น นับว่าไม่กระทบธุรกิจ แต่สำหรับต่างชาติกระทบแน่นอน ซึ่งผมก็คิดว่าการเมืองยังไม่จบ แต่ไม่สามารถคาดการณ์ได้
รวมถึงช่วงนี้เป็นเลือกตั้ง อาจจะมีนักการเมืองที่ต้องบินบ้างในการไปหาเสียง แต่ผมไม่ได้รับรายงาน ทั้งนกแอร์ไม่เคยให้สิทธิพิเศษแก่ใครอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูง อย่างที่ผ่านมาก็มาผู้ใหญ่ท่านหนึ่งโทรศัพท์มาถึงผมและบอกว่าขอที่นั่งบนเครื่อง 10 ที่นั่ง ให้ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้เขาและผู้ติดตามได้บินเที่ยวบินนี้ เพราะตอนนี้ที่นั่งเต็มหมดแล้ว ผมก็บอกว่าได้ แต่คุณไปพูดเองนะ ผมจะให้คุณประกาศเองบนเครื่องขอ 10 ที่นั่ง แต่ในที่สุดเขาก็ไม่ทำ สำหรับผมผู้โดยสารทุกคนสำคัญเท่ากันหมด ไม่มีใครได้สิทธิพิเศษกว่าใคร
ทั้งหมดล้วนเป็นการดำเนินธุรกิจที่จะเกิดขึ้นภายใต้วิชันของซีอีโอนกแอร์

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,646 23-25 มิถุนายน พ.ศ. 2554


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 มิถุนายน 2011, 21:03:12
30 ปี‘ซีพีเอ็น’กับเส้นทางสู่...World Class Retail Property Development


 
เสียงเรียกร้องของสาวกนักช็อปฝั่งลาดพร้าวยังคงเซ็งแซ่ ยิ่งใกล้วันเปิดตัวมากเท่าไหร่ จำนวนผู้ตั้งตารอชมก็อุ่นหนาฝาคั่งมากขึ้นเท่านั้น
ด้วยกระแสเรียกร้องที่คับคั่ง ดังนั้น จึงคาดว่าการกลับมาของเซ็นทรัล ลาดพร้าวที่ปิดให้บริการตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาและจะเปิดให้บริการอีกครั้งในปลายเดือน สิงหาคมนี้ จะเป็นตัวหลักในการสร้างรายได้ให้กับซีพีเอ็น โดยปีนี้คาดการณ์การเติบโตที่ 10-15%
แม้จะปิดปรับปรุงเซ็นทรัล ลาด พร้าวไปแล้ว 5 เดือน แต่เป้าหมาย การเติบโตก็ยังเป็นอยู่เช่นนั้น เหตุจากในปีนี้ซีพีเอ็น มีการเปิดตัวเซ็นทรัลพลาซา เชียงรายเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พร้อมด้วยแผนการเปิด เซ็นทรัล พิษณุโลก ในวันที่ 20 ตุลาคม และการเปิดเซ็นทรัลพลาซา พระราม 9 ในเดือนธันวาคมนี้

ส่วนการปิดปรับปรุงห้างสรรพสินค้าเซน เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งจะเปิดพฤศจิกายนนี้
โดยในปีหน้า จะมีการเปิดศูนย์ การค้าใหม่ คือ เซ็นทรัลพลาซา สุราษฎร์ธานี และเซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ และมีโครงการปรับโฉม เซ็นทรัลพลาซา อุดรธานีอีกด้วย
ในปี 2554-2555 ซีพีเอ็นมีงบประมาณการลงทุนในโครงการพัฒนา อสังหาริมทรัพย์และค้าปลีก 2 หมื่นล้านบาท โดยขณะที่นี้ยังมีงบประมาณเหลืออีก 1 หมื่นล้านบาท
นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบ 30 ปีของ ซีพีเอ็น กับเส้นทางของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกระดับผู้นำของประเทศไทย ซีพีเอ็นยังคงเดินหน้าพัฒนาศูนย์การค้าเพื่อก้าวสู่เป้าหมายการเป็น World Class Retail Property Development ทั้งในประเทศไทยและระดับโลก
นอกจากนั้น ยังมีเป้าหมายผลักดัน ให้เซ็นทรัลทุกสาขา เป็นสถานที่จัดงานเคาต์ดาวน์ในแต่ละพื้นที่อีกด้วย
ส่วนแนวทางการออกแบบศูนย์ การค้าในปัจจุบัน นอกเหนือจากความสวยงามที่หลากสไตล์ตามพื้นที่ต่างๆแล้ว ยังคำนึงถึงด้านสิ่งแวดล้อม โดยสาขาที่เชียงราย มีการติดตั้งระบบประหยัดพลังงาน ซึ่งสามารถประหยัดไฟได้ถึง 1.4 ล้านหน่วยต่อปี หรือเปรียบเทียบเป็น การใช้กระแสไฟฟ้าโดยเฉลี่ย 200 ครัวเรือน รวมทั้งสามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 800 ตันต่อปี
ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย มีลักษณะการออกแบบที่นำเอกลักษณ์ท้องถิ่นมาประกอบ โดยเลือกใช้ดอกกาสะลอง (ดอกปีบ) มาใช้ และเน้นการปลูกต้นไม้รอบศูนย์ พร้อมเพิ่มพื้นที่ด้านหน้าให้กว้างขวาง เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนของลูกค้า
โดยแม็กเน็ตที่สำคัญของเซ็นทรัลเชียงราย คือ ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ล่าสุดในแนวโมเดิร์นคอนเทมโพรารี่ โดยมีพื้นที่ 12,000 ตารางเมตร ใช้งบลงทุน 475 ล้านบาท จากการเปิดให้บริการใน 2 เดือนแรก มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการแล้วประมาณ 100,000 คน โดยพบว่า เป็นสัดส่วนของ กลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,000 บาทต่อบิล
นายกอบชัย กล่าวว่า ซีพีเอ็นมีการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับการเติบโตใน 5-10 ปีข้างหน้า โดยพัฒนาระบบบริหารการจัดการภายในมา แล้ว 2 ปี และจะเพิ่มความเข้มข้นในส่วน ของการใช้เครื่องมือไอทีเข้ามาในการดำเนินงานมากขึ้น โดยจะเริ่มดำเนินการ ในปลายปีนี้
การนำระบบไอทีเข้ามาใช้ในการทำงาน จะช่วยลดขั้นตอนการปฏิบัติ งานได้เป็นอย่างดี หรือลดลง 50% เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้คนในการทำงาน
การเติบโตในอนาคตข้างหน้าที่ว่านี้ จะเป็นอัตราที่มากกว่าช่วงที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซีพีเอ็นมีการเติบโตเฉลี่ย 13% ต่อปี และนับจากนี้ ก็จะมีการเติบโตมากกว่า 15%


โดยในปี 2554-2558 ซีพีเอ็น จะใช้งบประมาณในการลงทุนต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 1 หมื่นล้านบาท โดยจะมีศูนย์การค้าเกิดขึ้นใหม่อีกประมาณ 10 สาขา
แนวโน้มที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจ ค้าปลีกในปัจจุบัน คือ พฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความใกล้ชิดกันมากขึ้น จากเทคโนโลยีของการสื่อสาร การแบ่งปันข้อมูลหรือตลาดแบบปาก ต่อปากมีอิทธิพลมากกว่าเก่า ส่วนธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบัน ก็หันมาพัฒนา รูปแบบการให้บริการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาทิ ในส่วนของป้ายบอก ราคา ที่มีความชัดเจนมากกว่าในอดีต หรือมีการรับประกันคืนสินค้า ฯลฯ
ขณะที่รูปแบบของศูนย์การ ค้า ได้ถูกพัฒนาให้มีรูปแบบมากกว่าการเข้ามาเพื่อซื้อขายสินค้า แต่ยังมีส่วนของบริการและบันเทิง เข้าเสริมมากขึ้น


http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413353966


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 30 มิถุนายน 2011, 12:32:22
ททท. 29 มิ.ย. - ททท.เปิดผลโหวต 100 Amazing Places in Thailand ในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ 68 ประเทศทั่วโลก กรุงเทพฯ ได้รับการโหวตสูงสุดในสถานที่ 20 แห่ง รองลงมาเชียงใหม่ 11 แห่ง สุราษฎร์ฯ 10 แห่ง ชลบุรี 10 แห่ง และภูเก็ต 9 แห่ง แต่หมู่เกาะพีพี-กระบี่ ได้รับโหวตสูงสุด รองลงมาคือเกาะเต่า-สุราษฎร์ฯ และหาดพัทยา-ชลบุรี 

นายประกิตติ์ พิริยะเกียรติ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) แถลงผลสำรวจความคิดเห็นการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมสูงสุด 100 อันดับของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เคยมาเที่ยวประเทศไทย ในโครงการ “100 Amazing Places in Thailand” พร้อมเปิดตัวกิจกรรมการแข่งขันในสื่อออนไลน์ Amazing 10 Days in Thailand ชิงรางวัลเที่ยวเมืองไทยฟรี 10 วัน พร้อมเพื่อนร่วม Amazing Thailand Trip อีก 1 คน โดยนายประกิตติ์ กล่าวว่า กิจกรรมทั้ง 2 กิจกรรม ถือเป็นกิจกรรมภายใต้กลยุทธ์สร้างการรับรู้แบรนด์ท่องเที่ยว AMAZING THAILAND : ALWAYS AMAZES YOU ผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อสร้างกระแสให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางมาประเทศไทย

นายประกิตติ์ กล่าวว่า จากการสำรวจความคิดเห็นนักท่องเที่ยวผ่านระบบออนไลน์ไปยังนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยจำนวน 3,389 คน จาก 68 ประเทศทั่วโลก ตั้งแต่เดือน ก.พ.-เม.ย.ที่ผ่านมา พบว่าอันดับ 1 คือหมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ 2.เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี 3.หาดพัทยา จ.ชลบุรี 4 .การแสดงโชว์ อัลคาซาร์ คาบาเรต์ จ.ชลบุรี 5.หาดป่าตอง จ.ภูเก็ต 6. เกาะเสม็ด จ.ระยอง 7. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา 8. ตลาดนัดจตุจักร กรุงเทพฯ 9. อ่าวมาหยา จ.กระบี่ 10. หาดจอมเทียน จ.ชลบุรี 11. เกาะนางยวน จ.สุราษฎร์ธานี 12. เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี 13.หาดหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 14.ถนนข้าวสาร กรุงเทพฯ 15.เกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี 16. สระมรกต จ.กระบี่ 17.ภูชี้ฟ้า จ.เชียงราย 18.พระบรมหาราชวัง กรุงเทพฯ 19.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ และ 20 อ่าวนาง จ.กระบี่ ฯลฯ

ทั้งนี้ จังหวัดที่มีจำนวนสถานที่ท่องเที่ยวที่ถูกโหวตมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ กรุงเทพฯ 20 แห่ง รองลงมาคือ จ.เชียงใหม่ 11 แห่ง จ.สุราษฎร์ธานี 10 แห่ง จ.ชลบุรี 10 แห่ง และ จ.ภูเก็ต 9 แห่ง

สำหรับการแข่งขัน Amazing 10 Days in Thailand เป็นกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้าร่วมแข่งขันทางสื่อออนไลน์โดยส่ง Interactive E-Card ชวนเพื่อนมาเที่ยวประเทศไทยให้มากที่สุด ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 สิงหาคมนี้ ชิงรางวัลพิเศษมากมาย เฉพาะรางวัลที่ 1 ผู้ชนะจะได้เที่ยวประเทศไทยฟรี 10 วัน และได้รับสิทธิชวนเพื่อนมาร่วมทริปด้วย โดยประกาศผลผู้ชนะรางวัลในวันที่ 2 กันยายนนี้ผ่านเว็บไซต์ www.amazing10daysinthailand.com

นายประกิตติ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงภาพรวมการท่องเที่ยวของประเทศไทยว่า ตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา พบการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 เฉพาะเดือนมิถุนายนอัตราเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 70 โดยสรุปตัวเลขเป้าหมายตลอดปีนี้ 17 ล้านคน ไม่น่าจะเกินความคาดหมาย และประมาณการว่าจะได้ตัวเลขสูงถึง 18.3 ล้านคน และปีหน้าตั้งเป้า 19 ล้านคน. -สำนักข่าวไทย

http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/230860.html


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 30 มิถุนายน 2011, 21:19:05
(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/326/2326/images/Highspeed/srthsrceiras.jpg)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 30 มิถุนายน 2011, 22:38:58
เชียงราย - คู่ชิงเก้าอี้ ส.ส.เขต 1 เชียงราย จากพรรคเพื่อไทย-ภูมิใจไทย แข่งชูกนโยบายผลักดันรถไฟเด่นชัย-เชียงราย ที่คาราคาซังมานานกว่าครึ่งศตวรรษ ชิงคะแนนเสียงโค้งสุดท้าย
       
       ในการหาเสียงช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ส.ส.เขต 1 เชียงราย ก่อนที่จะถึงวันเข้าคูหา-กาบัตรเลือกตั้ง 3 ก.ค.54 นี้ ปรากฏว่า คู่ชิง ส.ส.เขต 1 เชียงรายที่เบียดกันอย่างสูสีคือ นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย กับนายวันชัย จงสุทธนามณี ผู้สมัครจากพรรคภูมิใจไทย ต่างหยิบยกโครงการผลักดันรถไฟในฝันเด่นชัย-เชียงราย ที่ค้างคามานานกว่าครึ่งศตวรรษขึ้นมาหวังเพิ่มคะแนนเสียงให้กับตนเองอย่างเต็มที่
       
       โดยกลุ่มที่เปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา คือ กลุ่มการเมืองของนายวันชัย จงสุทธนามณี อดีตนายกเทศมนตรีนครเชียงราย ซึ่งเป็นผู้สมัคร ส.ส.จากพรรคภูมิใจไทย ที่ใกล้ชิดกับนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ในการโหมประชาสัมพันธ์เรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง
       
       นายวันชัย กล่าวว่า หากตนได้รับเลือกตั้งให้เป็น ส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งนี้จะเดินหน้าผลักดันโครงการรถไฟสาย อ.เด่นชัย จ.แพร่ - จ.เชียงราย ให้ประสบความสำเร็จให้ได้ หลังจากการผลักดันให้เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อครั้นนางรัตนา จงสุทธนามณี ซึ่งเป็นภรรยาของตนเคยดำรงตำแหน่งเป็น ส.ส.เมื่อหลายปีก่อน จนรัฐบาลขณะนั้นมีการศึกษาและออกแบบโครงการ แต่ต่อมาเมื่อนางรัตนา สอบตกไม่ได้เป็น ส.ส.ก็พบว่าโครงการได้หยุดเดินหน้าไปอย่างยาวนานเพราะรัฐบาลชุดต่อๆ มาก็ไม่มีการดำเนินการต่ออีก
       
       นายวันชัย กล่าวอีกว่า จ.เชียงราย มีความจำเป็นต้องมีเส้นทางรถไฟเนื่องจากเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ การเดินทางและขนส่งสินค้า ต้องใช้ระยะทางไม่ต่ำกว่า 800 กว่ากิโลเมตร ดังนั้น ต้นทุนต่างๆ อันเกิดจากการขนส่งที่เชียงรายจึงสูงกว่าจังหวัดอื่นๆ การขนส่งสินค้าทางการเกษตรไปจำหน่ายก็ต้องเสียค่าต้นทุนสูง ดังนั้น หากมีเส้นทางรถไฟก็จะลดต้นทุนต่างๆ เพราะรถไฟได้ชื่อว่าเป็นการขนส่งระบบรางที่ให้ค่าต้นทุนต่ำที่สุด รวมทั้งยังสามารถเชื่อมการค้าและการท่องเที่ยวไปถึงจีนตอนใต้ได้อีกด้วย
       
       ทั้งนี้ ในปัจจุบันกระทรวงคมนาคมยุคที่มีนายโสภณ ซารัมย์ เป็น รมว.คมนาคม ได้กลับมาทำการศึกษาเส้นทางเพื่อพัฒนาให้ทันสมัยอีกครั้งด้วยงบประมาณ 175 ล้านบาท เพื่อให้มีรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย ในอีก 5 ปีข้างหน้าต่อไป
       
       ด้านนายสามารถ กล่าวว่า ตนเห็นว่าเส้นทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของเชียงราย แต่แนวทางการพัฒนาเชียงรายของตนคือการมุ่งพัฒนาการท่องเที่ยวโดยเชื่อมกับจีนตอนใต้ โดยเฉพาะการสามารถดึงนักท่องเที่ยวจีนให้เข้ามาเชียงรายให้ได้ เพราะการท่องเที่ยวต้นทุนน้อยเนื่องจากเชียงรายมีความพร้อมด้านต่างๆ อยู่แล้ว
       
       อย่างไรก็ตาม กรณีการก่อสร้างเส้นทางรถไฟไปยัง จ.เชียงราย นั้นที่ผ่านมารัฐบาลสมัยพรรคไทยรักไทยจนถึงพรรคเพื่อไทย ไม่เคยละเลย โดยสมัยพรรคไทยรักไทย เป็นรัฐบาลเคยมีพระราชกฤษฎีกาออกเมื่อปี 2544 เวนคืนที่ดินเพื่อก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายนี้มาแล้วด้วย แต่ต่อมาไม่ได้มีการก่อสร้าง เพราะผลการศึกษาพบว่าไม่คุ้มทุนจึงต้องชะลอไปก่อนโดยแจ้งทางประเทศจีนซึ่งต้องการเชื่อมเส้นทางรถไฟกับ จ.เชียงราย ผ่าน สปป.ลาว ให้ก่อสร้างถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ให้แล้วเสร็จก่อน
       
       นายสามารถ กล่าวอีกว่า จากนั้นได้มีการวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะมีการก่อสร้างอีกครั้ง ด้วยการให้เอกชนจีนเข้ามาทำการก่อสร้างด้วยเส้นทางสายใหม่จาก จ.เชียงใหม่ เชื่อมไปยัง จ.เชียงราย โดยตรงโดยเป็นรถไฟความเร็วสูงที่ทันสมัย โดยครั้งนี้คงจะไม่มีปัญหาเรื่องความไม่คุ้มทุนอีก เพราะทางเอกชนจีนจะเป็นผู้เข้ามาก่อสร้างเองทั้งหมดโดยที่รัฐบาลไทยไม่ต้องไปกู้เงินจากต่างประเทศมาก่อสร้างด้วย
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า กรณีรถไฟเด่นชัย-เชียงราย เคยมีการศึกษาจากรัฐบาลไทยตั้งแต่ปี 2503 และสำรวจเบื้องต้นเมื่อปี 2512 โดยใช้เส้นทางเด่นชัย-แพร่-สอง-เชียงม่วน-ดอกคำใต้-พะเยา-ป่าแดด-เชียงราย ระยะทางรวม 273 กิโลเมตร ต่อมาก็พบว่าเส้นทางสายนี้กลายเป็นเส้นทางที่แต่ละรัฐบาลใช้เพื่อการศึกษามากที่สุดมากกว่าการดำเนินการอื่นๆ
       
       โดยปี 2537-2538 การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทำการทบทวนผลการศึกษาได้ข้อสรุปให้ก่อสร้างตามแนวเด่นชัย-แพร่-สอง-งาว (ลำปาง)-พะเยา-เชียงราย ย่นระยะทางเหลือประมาณ 246 กิโลเมตร กระทั่งปี 2539-2541 รฟท.ได้ว่าจ้างเอกชนให้สำรวจออกแบบรายละเอียดและศึกษาผลกระทบ จนมีพระราชกฤษฎีเวนคืนที่ดินในปี 2544 แต่ไม่มีการก่อสร้างจนถึงปัจจุบัน


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000079831


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: easyman ที่ วันที่ 01 กรกฎาคม 2011, 19:30:24
กำลัง ตามมาหลายๆกระทู้   ;D ;D รอท่าน WM ย้ายอยู่

อยากให้มาอยู่ ห้องนี้ ครับ..จะได้ตรงกับห้อง ส่วนมาก ห้องบอร์ดเชียงราย คุุยเรื่องทั่วไป หาคู่ มากกว่า..ครับ.. ;D
ตามหากระทู้ที่มีเนื้อหาอย่างนี้มานานเหมือนกัน ขอบคุณที่เจอ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 02 กรกฎาคม 2011, 10:47:21
 ไม่ว่าผู้นำรัฐบาลจะหน้าสวย-หล่อ ขนาดไหน ก็ขอให้นำพาประเทศนี้ไปด้วยดีแล้วกัน
อย่าให้ตามตูดกุมเป้าต้อยๆ ตามเขา ไม่ว่าพรรคไหนได้เป็นผมก็เชื่อว่าต้องมี รางคู่หรือ
รถไฟความเร็วสูง เพราะถ้ายังลูกไม้เดิมๆ รับลองล่มจมแน่ๆ ประเทศนี้ เพราะอย่างที่ผม
ได้กล่าวไปว่า ปี 58 นี้จะมี AEC +3 ด้วย ถ้าทั้ง 3G โลจิสติกส์ กฎหมาย  แรงงาน
คอร์รัปชั่น ฯลฯ ไม่พัฒนาไปในทางที่ดี ผมว่าถอยหลังลงคลองแสนแสบแน่ ๆ พี่ไทย
แล้วก็จะ ชิพ+หาย เค้าไปประเทศเพื่อนบ้านแน่ๆ แล้วใครมันจะมาเที่ยวมาลงทุนประเทศท่าน
ธุรกิจท่าน ๆ จะมีใครมาจับจ่าย ประชาชนท่านๆ จะทำมาหากินเช่นใด
...นักการเมืองหวังการเลือกตั้งสมัยหน้า รัฐบุรุษ หวังคนรุ่นหน้า...


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 04 กรกฎาคม 2011, 22:55:10
สหกรณ์ยางฯ พะเยา เดินหน้าขยายข่ายรับซื้อ-เชื่อมตลาดจีนตอนใต้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   4 กรกฎาคม 2554 10:19 น.


       พะเยา - สหกรณ์ยางฯ พะเยา ตะลุยตลาดหาพันธมิตรซื้อ-ขาย พร้อมวางแผนการตลาดเชื่อมโยงจีนตอนใต้
       
       นายเจตพร สังข์ทอง ผู้จัดการสหกรณ์ชาวสวนยางพะเยา จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้ถึงฤดูกาลเปิดกรีดหน้ายางแล้ว โดยเกษตรกรเริ่มเปิดกรีดหน้ายางกันตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน 2554 ที่ผ่านมา ทำให้เริ่มมีการซื้อขายยางในกลุ่มเกษตรกรและกลุ่มผู้ค้ามากขึ้น สำหรับสหกรณ์ ฯ ได้มีแผนงานด้านการตลาด โดยมุ่งขยายเครือข่ายของลูกค้าที่จะมาร่วมซื้อขายยางพารากับสหกรณ์ฯ มากขึ้น วัตถุประสงค์หลักคือเกษตรกรที่ได้กรีดยางแล้วมีความมั่นใจว่ามีแหล่งรับซื้อยางพาราในราคาใกล้เคียงกับตลาดกลางทางภาคใต้ พร้อมทั้งไม่หวั่นไหวต่อการถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง เพราะทางสหกรณ์ฯ ได้เปิดเผยราคาซื้อขายยางจากตลาดกลางที่ภาคใต้ให้ลูกค้าที่สนใจจะทำการซื้อขายทุกวันอย่างตรงไปตรงมา
       
       ผจก.สหกรณ์ฯ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ฝ่ายการตลาดของสหกรณ์ฯ ยังได้ออกพื้นที่ในจังหวัดใกล้เคียง เช่น เชียงราย ซึ่งพบว่ามีเจ้าของสวนยางหลายแห่งกรีดและเก็บยางพร้อมส่งขายครั้งละไม่ต่ำกว่า 1 ตัน หลายราย ตรงนี้สหกรณ์ฯ ได้มองแผนการสร้างเครือข่ายสวนยางที่จะมาเป็นพันธมิตรทางการค้า เพื่อนำไปสู่ยั่งยืนของชาวเกษตรกรชาวสวนยางไม่ถูกเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลางอีกต่อไป เพราะเกษตรกรทุกรายที่ต้องการจะขายยางสามารถสอบถามราคาได้ล่วงหน้า
       
       พร้อมกันนี้ยางที่สหกรณ์ฯ รับซื้อได้มีบริษัทกลุ่มทุนจากประเทศจีนทางตอนใต้เข้ามาร่วมทุนกับบริษัทเอกชนในพื้นที่และตั้งฐานการผลิตในพื้นที่ จ.เชียงราย และกำลังจะขยายมาในพื้นที่ จ.พะเยา ดังนั้น เกษตรกรชาวสวนยางจะได้รับความมั่นใจว่าไม่ถูกเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลางอีกต่อไป เพราะสามารถส่งขายตรงในรูปแบบของสหกรณ์ฯ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 กรกฎาคม 2011, 16:53:54
ทุนท้องถิ่นเมืองพ่อขุนผุดคอมเพล็กซ์100ล.บ.

(http://upic.me/i/19/b_1-300x289.jpg)


เมืองท้องถิ่น พ่อขุนผุดคอมเพล็ก100ล้านบาท สู้ยุคแข่งขันรุนแรง ปรับตัวหวังให้สามารถแข่งในยุคปัจจุบันที่มีกลุ่มทุนใหญ่ๆ มารุกถึงถิ่นเมื่อเร็วๆนี้นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์การค้า “สินธานีคอมเพล็กซ์” ตั้งอยู่เลขที่ 111 หมู่ 25 ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย บนพื้นที่กว่า 20 ไร่ โดยศูนย์การค้าดังกล่าวเป็นของกลุ่มทุนท้องถิ่นตระกูล “เลาหะวีร์” ที่ได้สืบทอดการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ของ จ.เชียงราย และพะเยา มายาวนานร่วม 30 ปี ซึ่งในพิธีเปิดทางผู้บริหารของเครือสินธานีนำโดยสังข์ เลาหะวีร์ ประธานในเครือสินธานี นายธีระศักดิ์ เลาหะวีร์ กรรมการผู้จัดการ นายวีระศักดิ์ เลาหะวีร์ รองกรรมการผู้จัดการ และนายภาคภูมิ เลาหะวีร์ ผู้จัดการทั่วไปบริษัทสินธานีอิเล็คทรอนิกค์ จำกัด นำคณะผู้บริหารเข้าร่วมโดยมีตัวแทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเดินทางไปร่วมแสดงความยินครบครันรายงานข่าวแจ้งอีกว่าสำหรับศูนย์การค้าสินธานีคอมเพล็กซ์ดังกล่าว เป็นศูนย์กลางของสินค้านานาชนิดที่อยู่ในเครือสินธานีโดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์ เนื่องจากเครือสินธานีมีบริษัทและโชว์รูมในเครืออยู่หลายแห่ง และได้สร้างขึ้นเพื่อทดแทนศูนย์การค้าแห่งเดิมซึ่งตั้งอยู่ในจุดเดียวกันแต่เกิดเหตุไฟไหม้จนเสียหายอย่างหนักเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา จนต้องมีการก่อสร้างใหม่ ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตุว่าศูนย์การค้าท้องถิ่นแห่งนี้ได้มีการปรับตัวให้มีรูปแบบอาคารและการตกแต่งภายในที่ทันสมัย ซึ่งทางผู้บริหารระบุว่ากลุ่มทุนท้องถิ่นจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถแข่งขันในยุคปัจจุบันที่มีกลุ่มทุนใหญ่ๆ ไปตั้งกิจการใน จ.เชียงราย แล้วหลายรายและมีหลากหลายสาขา เช่น บิ๊กซี โลตัส แมคโคร และล่าสุดคือเซ็นทรัลพลาซ่า โรบินสัน ฯลฯ

เชียงใหม่นิวส์


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 05 กรกฎาคม 2011, 17:01:55
...ครับ..ต้องปรับตัว ไม่งั้นได้หามกันไปฉีดเซรุ่มแน่...

อีก 3-4 ปี AEC+3 หนักกว่านี้... ;D ;D

เทรนต่อไป E-Comฯ OfficeMate จะมา ผมกำลังหาเงินสะสมหุ้นเค้าอยู่... ;D ;D


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 กรกฎาคม 2011, 21:16:43


หอฯ เชียงใหม่ระบุเอกชน-ต่างชาติเชื่อมั่น รบ.ใหม่ เตรียมผลักดันสร้างทางด่วนเชื่อมเชียงใหม่-เชียงราย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   5 กรกฎาคม 2554 17:11 น.


คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้นศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ชี้รัฐบาลใหม่มีเสียงสนับสนุนมากเป็นเรื่องที่ดี ระบุทำให้ภาคเอกชนเกิดความเชื่อมั่นและเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ พร้อมเชื่อ “ยิ่งลักษณ์” ว่าที่นายกฯ เป็นคนเชียงใหม่ เป็นผลดีต่อการพัฒนาเชียงใหม่และภาคเหนือ เพราะจะทราบถึงความต้องการของพื้นที่เป็นอย่างดี เผยเตรียมทำข้อเสนอรัฐบาลใหม่เร่งผลักดันโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ เป็นรูปธรรม พร้อมยกระดับ “กิ่วผาวอก” เป็นด่านถาวร และหนุนโครงการก่อสร้างทางด่วนเชื่อม เชียงใหม่-เชียงราย
       
       นายณรงค์ คองประเสริฐ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ แสดงความเห็นถึงการจัดตั้งรัฐบาลภายหลังทราบผลการเลือกตั้งที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งอย่างท้วมท้นและเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลว่า เบื้องต้นมองว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่รัฐบาลมีเสียงสนับสนุนจำนวนที่สูงมาก โดยขณะนี้ในส่วนของภาคเอกชนเองถือว่ามีความเชื่อมั่นในรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะจัดตั้งขึ้น รวมทั้งต่างประเทศก็ให้การยอมรับด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เหลือเพียงการคัดสรรผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำหน้าที่ในการบริหารเท่านั้น และคาดหวังว่าจะทำให้เกิดความปรองดองขึ้นในชาติบ้านเมืองด้วย
       
       ขณะเดียวกัน ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่กล่าวว่า การที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี เป็นชาวจังหวัดเชียงใหม่ ทำให้เชื่อว่าน่าจะเป็นผลดีต่อจังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนืออย่างมาก เพราะน่าจะทราบถึงความต้องการต่างๆ ในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี โดยในส่วนของภาคเอกชนจังหวัดเชียงใหม่ เตรียมข้อเสนอถึงรัฐบาลใหม่ให้ผลักดันโครงก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
       
       นอกจากนี้ยังเตรียมที่จะเสนอให้รัฐบาลใหม่พิจารณาเกี่ยวกับการยกระดับจุดผ่อนปรนชายแดนชั่วคราวกิ่วผาวอก อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เป็นด่านถาวร เพื่อเพิ่มโอกาสการค้าชายแดนไทย-พม่า ที่จะช่วยสร้างรายได้เพิ่มให้กับจังหวัดเชียงใหม่อีกปีละหลายพันล้านบาท ตลอดจนผลักดันโครงการก่อสร้างทางด่วนเชื่อมโยงจังหวัดเชียงใหม่-เชียงราย ที่เป็นเมืองศูนย์กลางธุรกิจ รองรับถนน R3a และการขยายตัวของการค้าการลงทุนในอนาคตด้วย


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000082473


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 กรกฎาคม 2011, 21:17:34
...ครับ..ต้องปรับตัว ไม่งั้นได้หามกันไปฉีดเซรุ่มแน่...

อีก 3-4 ปี AEC+3 หนักกว่านี้... ;D ;D

เทรนต่อไป E-Comฯ OfficeMate จะมา ผมกำลังหาเงินสะสมหุ้นเค้าอยู่... ;D ;D

 ;D ;D ;D  รวยแล้วอย่าลืมมาแบ่งปันกันนะครับ..


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 05 กรกฎาคม 2011, 22:18:55
...ครับ..ต้องปรับตัว ไม่งั้นได้หามกันไปฉีดเซรุ่มแน่...

อีก 3-4 ปี AEC+3 หนักกว่านี้... ;D ;D

เทรนต่อไป E-Comฯ OfficeMate จะมา ผมกำลังหาเงินสะสมหุ้นเค้าอยู่... ;D ;D

 ;D ;D ;D  รวยแล้วอย่าลืมมาแบ่งปันกันนะครับ..
กลัวรวยไม่รู้เรื่องอะดิ...ตอนนี้ถังจะแตกแล้ว...ค่าครองชีพพุ่ง..!. ;D ;D


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 กรกฎาคม 2011, 20:15:02
อุตรดิตถ์ -13 หอการค้าเหนือ เล็งชงรัฐบาลใหม่ ทำรถไฟฟ้าความเร็วสูงจากกรุงเทพฯยันเชียงใหม่-เชียงราย เผย 3 ประเทศทั้งจีน ญี่ปุ่น เยอรมนี สนใจลงทุน
       
       นายทวีศักดิ์ ปึงวงศานุรักษ์ ประธานหอการค้า จ.อุตรดิตถ์ กล่าวว่า หอการค้า 3 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 13 จังหวัด ประกอบด้วย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย พะเยา น่าน แพร่ ตาก สุโขทัย เพชรบูรณ์ พิษณุโลก และอุตรดิตถ์ เตรียมเสนอโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงให้กับรัฐบาลใหม่ ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย โดยเริ่มต้นโครงการจากกรุงเทพฯ-เด่นชัย แยกขวาไป พะเยา เชียงราย และแยกซ้ายไป ลำปาง ลำพูน เชียงใหม่
       
       นายทวีศักดิ์ กล่าวว่า โครงการนี้จะไม่พัฒนาจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ที่มีอยู่แล้ว เพราะติดขัดที่อิทธิพลภายใน ร.ฟ.ท.โดยเฉพาะสหภาพแรงงาน ร.ฟ.ท.จุดตัดถนนมีมากเกินไป แต่การลงทุนจะเป็นภาคเอกชนต่างประเทศเข้ามาไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น และเยอรมนี ที่มีความสนใจลงทุนอยู่แล้ว เพียงแต่รัฐบาลไทยจะต้องนำเข้าสู่โครงการพัฒนาประเทศรูปแบบเมกะโปรเจกต์ เพราะโครงการนี้มีความเป็นไปได้สูง เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของประเทศ
       
       “ร.ฟ.ท.คงทำไม่ได้ ส่วนการพัฒนาสนามบินให้เปิดใช้อีกครั้งก็ยิ่งไม่มีความเป็นไปได้เลย แต่การลงทุนโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง มีความปลอดภัยสูงเพราะไม่มีจุดตัด ลดความสูญเสียทางรถยนต์ เพราะการก่อสร้างเป็นทำเสายกสูง ใช้ไฟฟ้าลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง คนทุกระดับได้ใช้บริการ เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว เนื่องจากหากโครงการนี้สำเร็จประเทศจีนก็จะทำโครงการเชื่อมต่อกับประเทศไทยด้วย” นายทวีศักดิ์ กล่าว


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000082875



หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 กรกฎาคม 2011, 13:34:58


วันที่ 08 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7526 ข่าวสดรายวัน


เดินหน้าทางรถไฟ'เชียงของ'



ลำปาง - นายจเร รุ่งฐานีย วิศวกรใหญ่ฝ่ายโครงการพิเศษและก่อสร้าง ประธานกรรมการบริการโครงการ การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย มอบหมายให้กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา คือ บริษัท เอ็ม เอ เอ คอนซัลแตนท์ จำกัด บริษัทเอพซิลอน จำกัด Nippon Koei Co.,Ltd. และบริษัท เอ็นริช คอนซัลแตนท์ จำกัด เป็นผู้ดำเนินการศึกษาโครงการเพื่อศึกษาทบทวนผลการศึกษาความเหมาะสมฯ ของโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เพื่อสร้างความเข้าใจและเปิดโอกาสในการรับทราบข้อมูลข่าวสารที่ชัดเจนถูกต้อง รวมถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในการให้ข้อคิดเห็น เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาจัดทำโครงการในทุกๆ ด้านที่เกี่ยวข้อง และก่อประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและชุมชนท้องถิ่น การรถไฟแห่งประเทศไทย จึงขอเรียนเชิญผู้ที่สนใจเข้าร่วมการประชุมใหญ่การมีส่วนร่วมของประชาชนครั้งที่ 1 (ปฐมนิเทศโครงการ) โครงการเพื่อศึกษาทบทวนผลการศึกษาความเหมาะสมฯ ของโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ในวันอังคารที่ 12 ก.ค. เวลา 09.00-12.00 น. ณ ห้องประชุมที่ว่าการอ.งาว จ.ลำปาง

หน้า 29


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 กรกฎาคม 2011, 13:37:12
สะพานข้ามโขง 4 เลื่อนเปิด 1 ปี เจอปัญหาซ้ำน้ำหลาก-หินแข็งใต้น้ำโขง

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน   5 กรกฎาคม 2554 22:08 น.



รูปแบบสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่คาดว่าต้องเลื่อนออกไปอีก 1 ปี เพราะเจอปัญหาหลายอย่าง

       เชียงราย - แผนงานก่อสร้างสะพานข้ามน้ำโขง 4 เชื่อมเชียงของ - สปป.ลาว-จีน เจอปัญหาซ้ำ หลังเคยป่วนด้วยปัญหาจีนจ่ายค่าจ้างเป็นหยวนมาแล้ว ล่าสุดเจอหินแข็งท้องน้ำโขง-น้ำหลาก อาจต้องเลื่อนวันฉลอง 1 ปี
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า การก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ที่รัฐบาลไทยและจีน ตกลงจัดงบประมาณสนับสนุนฝ่ายละ 50% ต่อมามีการว่าจ้างกลุ่มซีอาร์ 5-เคที จอยท์เวนเจอร์ ประกอบไปด้วยบริษัทไชน่า เรลเวย์ โน.5 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด จากประเทศจีน และบริษัทกรุงธนเอ็นยิเนียร์ จำกัด ของประเทศไทย กำหนดตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2553 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธ.ค.2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน ด้วยงบประมาณ 1,486.5 ล้านบาท
       
       ล่าสุดพบว่า โครงการก่อสร้างยังคงเป็นไปด้วยความล่าช้า และปัจจุบันการตอกเสาเข็มเพื่อวางเสาตอม่อต้องยุติลงชั่วคราว เนื่องจากเข้าสู่ฤดูน้ำหลาก ทำให้น้ำโขงลึกมากขึ้น จึงเหลือเพียงงานก่อสร้างริมฝั่งและถนนเท่านั้น ขณะที่การก่อสร้างในภาพรวมคืบหน้าไปได้เพียงประมาณ 6%
       
       นายสุวัฒน์ ด้วงปั้น นายด่านศุลกากร อ.เชียงของ เปิดเผยว่า ทางศุลกากร ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกำกับโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ก็ได้เฝ้าติดตามความคืบหน้าของโครงการอย่างต่อเนื่อง เพราะในอนาคตจะมีความเกี่ยวข้องกับการนำเข้าและส่งออกสินค้าทางด้าน อ.เชียงของ เชื่อมกับ สปป.ลาว-จีนตอนใต้ บนถนน R 3a อย่างมาก
       
       ทั้งนี้ พบว่า การก่อสร้างสะพานได้ล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดเอาไว้ประมาณ 1.7% โดยเฉพาะการก่อสร้างสะพานที่ยังไม่สามารถตอกเสาเข็มลงเสาตอม่อได้และกำลังพบกับอุปสรรคของฤดูน้ำหลากพอดี ส่วนการก่อสร้างถนนและอาคารด่านพรมแดนในฝั่งไทยถือว่าเร็วกว่าที่กำหนดบวก 3% แต่ในฝั่ง สปป.ลาว ติดลบ 7%
       
       ดังนั้น จากการที่คาดการณ์กันว่าน่าจะทำให้โครงการล่าช้าออกไปประมาณ 9 เดือน สรุปได้ว่าจะมีความล่าช้าเพิ่มออกไปเป็น 1 ปี โดยปัญหาหลักเกิดจากการยังไม่ได้ก่อสร้างเสาตอม่อ หรือสร้างฐานรากของตัวสะพานให้ได้ และปัญหาเรื่องที่ทางการจีนจ่ายงบประมาณก่อสร้างเป็นเงินหยวน ซึ่งเมื่อเปลี่ยนเป็นเงินดอลลาร์และนำไปจ่ายให้เอกชนเกรงจะมีความผันผวน
       
       “แต่ถ้าลงเสาตอม่อแล้วเสร็จ จะทำให้งานคืบหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อมีฐานรากสิ่งก่อสร้างต่างๆ ด้านบนก็จะมีความสะดวกมากขึ้น และจากความล่าช้าออกไปเล็กน้อยดังกล่าวก็ได้ ทำให้กรมศุลกากรมีเวลาในการรอการส่งมอบที่ดินในการก่อสร้างด่านศุลกากรแห่งใหม่บริเวณห่างจากตัวสะพานประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งหากไม่มีสิ่งขัดข้องใดๆ คงจะสามารถก่อสร้างอาคารแห่งใหม่ได้ในเดือนพ.ย. 54 " นายสุวัฒน์ กล่าว
       
       ด้านนายสมพอน ปันยาดา ประธานสภาการค้าและอุตสาหกรรม แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว กล่าวว่า ความล่าช้าในการก่อสร้างสะพานเริ่มมีมาตั้งแต่การรอเรื่องพิธีวางศิลาฤกษ์ แต่จากนั้นเมื่อมีการลงมือก่อสร้าง เอกชนที่รับจ้างก่อสร้างก็ได้แบ่งงานกันโดยให้เอกชนจีนสร้างตัวสะพานและเอกชนไทยสร้างถนนและอาคารด่านพรมแดน แต่ปรากฏว่าเอกชนจีนเจอปัญหาเรื่องหัวเจาะใต้ท้องแม่น้ำโขง เพื่อจะวางเสาตอม่อ โดยเมื่อเจาะลงชั้นใต้ดินลงไปถึงหินประมาณ 151 เมตร พบสภาพเป็นหินที่แข็งมากจนทำให้หัวเจาะเสียหายไปหลายอัน เป็นผลทำให้ไม่สามารถวางเสาตอม่อได้และเกิดสภาพน้ำหลากมาเสียก่อน นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านการเงินดังกล่าวด้วย
       
       อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าท้ายที่สุดการก่อสร้างจะสามารถเดินหน้าไปได้ตามปกติ และทำให้สะพานแห่งนี้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ภูมิภาคนี้ต่อไป
       
       สำหรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ดังกล่าว ออกแบบให้มีเสาตอม่อ 4 ตอม่อ มีความกว้าง 14.70 เมตร โดยเป็นสะพานขนาดสองช่องจราจรๆ ละ 3.50 เมตร และไหล่ทางข้างละ 2 เมตร และทางเท้าข้างละ 1.25 เมตร ความยาว 480 เมตรเมื่อรวมกับถนนติดขอบฝั่งก็จะยาวประมาณ 630 เมตร และโครงการก่อสร้างถนนตัดแยกจากถนนหมายเลข 1020 หรือสายเชียงราย-เชียงของ ในฝั่งไทย เพื่อเป็นจุดสลับการจราจรในฝั่งไทยก่อนไปถึงตัวสะพานอีกประมาณ 5 กิโลเมตร และถนนในฝั่ง สปป.ลาว อีกประมาณ 6 กิโลเมตร สวนอาคารด่านพรมแดนทั้งฝั่งไทยและ สปป.ลาว รูปทรงล้านนาประยุกต์เพื่อใช้เป็นจุดตรวจปล่อยร่วมกัน ณ จุดเดียวตามหลักประตูเดียว (Single Stop Inspection) รวมเนื้อที่ฝั่งไทยทั้งหมดประมาณ 400 ไร่
       
       สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เคยประมาณการณ์ว่า สะพานแห่งนี้จะทำให้มูลค่าการค้าผ่านด่านศุลกากรเชียงของ เพิ่มมากขึ้นเป็นปีละกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าจะมีมูลค่ามหาศาล จากปัจจุบันก็มีอัตราการเพิ่มขึ้นของมูลค่านำเข้าและส่งออกเดือนต่อเดือน จนทำให้ตัวเลขการค้ารวมตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2554 ถึงเดือน มิ.ย.มีมูลค่าประมาณ 4,900 ล้านบาทแล้ว เท่ากับมูลค่าการค้าตลอดทั้งปีงบประมาณ 2553 ขณะที่ในปีงบประมาณนี้ยังเหลือเวลาอีกกว่า 3 เดือนหรือ 1 ไตรมาสถึงจะหมดปีงบประมาณ ดังนั้นมูลค่าการค้าตลอดปีงบประมาณนี้จะเพิ่มมากขึ้นกว่าปีก่อนจำนวนมากแน่นอน


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 08 กรกฎาคม 2011, 14:22:16
แห่งที่ 3 บ้านผมล่ะท่านบุญฯ ผมไม่ได้ติดตามเลย ว่าอะไร เป็นไง...?


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: N.wind ที่ วันที่ 10 กรกฎาคม 2011, 11:40:07

เรื่องเทคนิคการก่อสร้างก็ทำให้งานล่าช้าได้ เหมือนกัน
ผู้รับเหมาจะขาดทุนหรือเปล่า หรือสามารถจะ Claim ได้ เป็นเรื่องน่าติดตามครับ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 21:32:20
พาณิชย์ดัน “แม่สลอง” ทำ “ชาอินทรีย์”เชื่อราคาเพิ่ม 10 เท่ารับอาเซียน-จีน

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน   11 กรกฎาคม 2554 19:25 น.


       เชียงราย - พาณิชย์เดินหน้าดัน”ชา”เชียงราย เป็นผลิตภัณฑ์อินทรีย์รับตลาดจีนและอาเซียน เชื่อส่งผลให้ราคาเพิ่มอีกร่วม 10 เท่าตัว
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย ได้จัดการอบรมกลุ่มผู้ผลิตชาเชียงราย ตามโครงการส่งเสริมและพัฒนาการตลาดสินค้าและบริการของจังหวัด (One Province One Product) และโครงการส่งเสริมและพัฒนาย่านการค้าชาดอยแม่สลอง จ.เชียงราย (Doi Maesalong Tea Trade Chiang Rai Province) ณ แม่สลองวิลล่า อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย โดยมีกลุ่มผู้ผลิตชาจากดอยแม่สลอง ดอยตุง ดอยวาวี ประมาณ 50 คนเข้าร่วมการอบรม
       
       นายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า เชียงรายถือเป็นแหล่งผลิตชาที่มีคุณภาพดี มีชื่อเสียงทั้งตลาดใน-ต่างประเทศ เดิมผู้ผลิตชาจะทำการตลาดด้วยตนเองและการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ชา ขึ้นอยู่กับศักยภาพของผู้ผลิตแต่ละราย โดยชาที่มีคุณภาพดีจะสามารถจำหน่ายได้ราคาสูงแต่ยังมีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ต่อมาเมื่อจังหวัดเข้ามาส่งเสริมพัฒนาคุณภาพ-ส่งเสริมด้านการตลาด ทำให้ผลิตภัณฑ์ชาของเชียงรายมีศักยภาพพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์โดดเด่นมากขึ้น
       
       ดังนั้น สำนักงานพาณิชย์จึงได้จัดทำโครงการฯ นี้ขึ้น เพื่อให้ผู้ผลิตชาและผู้ประกอบการชา มีทักษะความรู้ พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันเชิงธุรกิจ สามารถเขียนแผนธุรกิจและบริหารด้านการตลาด ขณะเดียวกันยังเป็นการพัฒนาเครือข่ายผู้ประกอบการเพื่อสร้างความเข้มแข็งในด้านการตลาด รองรับกรณีปลายปี 2556 สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 อ.เชียงของ จะแล้วเสร็จสามารถเชื่อมถนนR 3 a ไทย-สปป.ลาวจีน และปี 2558 ซึ่งจะก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 10 ประเทศบวกจีน ซึ่งเชียงราย จะมีโอกาสและศักยภาพด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ดังนั้น ผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวเตรียมพร้อมรองรับการแข่งทางการค้าเสรีให้ได้ต่อไป
       
       ด้านนายสุทธิศักดิ์ เลาหชีวิน ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายพัฒนาคุณภาพชาเชียงรายสู่ระดับพรีเมียม สามารถทำตลาดได้ทั้งในระดับตลาดกลางและตลาดบนให้ได้ราคาสูง โดยกำหนดว่าจะต้องเป็นชาอินทรีย์และมีเอกลักษณ์โดดเด่นรวมทั้งบรรจุภัณฑ์น่าสนใจ เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า และจะผลักดันให้ชาเชียงรายเป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและประเทศที่ประชาชนนิยมดื่มชา เช่น จีน มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง
       
       ในปี 2556 จะส่งเสริมให้มีการประกวดชาเชียงราย เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านชาต่างประเทศเป็นกรรมการตัดสิน เพื่อยกระดับการประกวดเป็นระดับนานาชาติต่อไป รวมทั้งจะจัดโรดโชว์นำผู้ผลิตชาเชียงรายไปทำตลาดในต่างประเทศ พร้อมทั้งมีแผนพัฒนาย่านการค้าชาดอยแม่สลองให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมากยิ่งขึ้นด้วย
       
       ปัจจุบัน ไร่ชาบนดอยแม่สลองมีจำนวนทั้งหมดประมาณ 60,000 ไร่ แบ่งเป็นชาอูหลงประมาณ 18,000 ไร่ ชาพื้นเมืองหรือชาอัสสัม ประมาณ 32,000 ไร่ เกษตรกรมีต้นทุนในการปลูกไร่ละประมาณ 30,000-40,000 บาท เมื่อปลูกเสร็จก็มีค่าดูแลไร่ละ 3,000 บาทต่อเดือน ที่ผ่านมาใบชาอูหลงเบอร์ 12 มีราคากิโลกรัมละ 40-100 บาท หากพัฒนาเป็นชาอินทรีย์หรือไม่ใช้สารเคมีจะมีราคาที่สูงกว่าชาปกติทั่วไปกว่า 10 เท่าตัว โดยชาอินทรีย์อูหลงเบอร์ 12 มีราคาสูงถึงกว่า 2,000 บาทต่อกิโลกรัม และเบอร์ 17 กิโลกรัมละ 1,000-3,600 บาท


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 21:33:59
ฟท. เดินหน้าสร้างทางรถไฟ เส้นทาง เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของหาแนวทางและข้อเสนอคิดเห็นจากผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่

การรถไฟแห่งประเทศไทยเดินหน้าหาแนวทางและข้อเสนอคิดเห็น ต่อโครงการศึกษาและออกแบบก่อสร้างทางรถไฟเส้นทาง เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ จากผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่โครงการ คาดได้ข้อสรุปและสามารถเริ่มก่อสร้างได้ในอีก 2 ปี

นายอภิชาติ เทียวพานิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ เป็นประธานการประชุมใหญ่การมีส่วนร่วมของประชาชนครั้งที่ 1 โครงการเพื่อศึกษาทบทวนผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างทางรถไฟเส้นทางเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เพื่อนำเสนอและชี้แจงความเป็นมาของโครงการฯ รวมทั้งเหตุผลการพัฒนาโครงการ ตลอดจนรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่โครงการ ที่โรงแรมนครแพร่ทาวเวอร์ อำเภอเมืองแพร่

นายประชา ติยะธะ ผู้จัดการโครงการจัดสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ กล่าวว่า โครงการดังกล่าว เริ่มดำเนินการโดยการรถไฟแห่งประเทศไทยตั้งแต่ปี 2503 โดยได้เริ่มทำการสำรวจเส้นทางเบื้องต้น เมื่อปี พ.ศ. 2512 ระยะทางรวม 273 ก.ม.และได้ทำการศึกษา สำรวจ วิจัยหาผลกระทบ มายาวนานถึงปี พ.ศ.2547 จนมาถึงรัฐบาลปัจจุบัน มีนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม เป็นกำกับดูแล มีนโยบายในการพัฒนาโครงข่ายระบบรางและการให้บริการรถไฟ ซึ่งการรถไฟ ฯได้เสนอแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟ พ.ศ 2553-2557 ต่อคณะรัฐมนตรี และมีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 17 พ.ย.52 รวมทั้งเห็นชอบแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟฯ เมื่อวันที่ 27 เมษายน ระยะเร่งด่วน 176,808 ล้านบาท การรถไฟได้จัดจ้าง บริษัทที่ปรึกษาเพื่อเตรียมการจัดสร้าง ในปี 2554 ประกอบด้วย บริษัท เอ็มเอเอ คอนซัลแตนท์ จำกัด ,บริษัท เอพวิลอน จำกัด ,บริษัท เอ็นริช คอนซัลแตนท์ จำกัด ระยะการดำเนินการ 14 เดือน ตั้งแต่วันที่ 29 เม.ย 2554 -28 มิถุนายน 2555 ส่วนแนวเส้นทางโครงการมีระยะทางรวมประมาณ 326 กิโลเมตร สถานี 26 แห่ง ผ่านพื้นที่ทั้งหมด 4 จังหวัด คือ จังหวัดแพร่ จังหวัดลำปาง พะเยา และจังหวัดเชียงราย สำหรับแนวเส้นทางร่วมจังหวัดแพร่นั้น มีระยะทางประมาณ 82 กม. ผ่านพื้นที่ 5 อำเภอ 23 ตำบล จำนวน 6 สถานี คาดว่าโครงการดังกล่าวจะดำเนินการขั้นตอนต่าง ๆ แล้วเสร็จและได้ข้อสรุปเสนอขออนุมัติ ซึ่งสามารถเริ่มก่อสร้างได้ในอีก 2 ปี

โดยในที่ประชุมมีตัวแทนหน่วยงานต่าง ๆ ผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่โครงการ ต่างแสดงความเป็นห่วงในการดำเนินการหลายประเด็นเช่น ปัญหาทางรถไฟอาจจะสร้างปัญหาระบบชลประทาน ควรต้องหาปรึกษาหน่วยงานชลประทานในพื้นที่และผู้รับผิดชอบหลักในการประสานการแก้ปัญหา รวมทั้งปัญหาความปลอดภัยทางตัดผ่านถนนและพื้นที่การเกษตร นอกจากนี้การสร้างอุโมงผ่านภูเขายาวกว่า 8 กิโลเมตรจากอำเภอสองจังหวัดแพร่ ไปทะลุอำเภองาวจังหวัดลำปาง ซึ่งพื้นที่อยู่ในเขตป่าสงวน ต้องมีการสำรวจผลกระทบสิ่งแวดล้อมก่อนเพื่อจะได้ไม่เป็นปัญหาในอนาคต
    
ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : แพร่(สวท.) เอนก จินดาหลวง   Rewriter : ธิดารัตน์ แบบวา
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th


 วันที่ข่าว : 11 กรกฎาคม 2554


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 12 กรกฎาคม 2011, 19:08:51
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   12 กรกฎาคม 2554 14:16 น.


       เชียงราย - ประธานหอการค้าเมืองพ่อขุนฯ เตือนรัฐบาลใหม่เน้นแจก ทำอนาคตสังคมไทยล่มสลาย ขณะที่เมกะโปรเจกต์กลับกระจุกในส่วนกลาง เมินโครงการเชิงยุทธศาสตร์ในส่วนภูมิภาค ทำไทยเสียโอกาสจากกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาค
       
       หลังการเลือกตั้ง 3 ก.ค.54 ที่กำลังจะทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล จากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคเพื่อไทย ได้ทำให้บรรดานักธุรกิจต่างเฝ้าจับตาการดำเนินการนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่อย่างเต็มที่ เนื่องจากมีหลายโครงการเกี่ยวข้องกับภาคเศรษฐกิจ ทั้งในภาพรวมและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน มีผลต่อกำลังซื้อในตลาด อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะในหลายกรณี
       
       นายชวลิต ฉัตรอุทุมพร ประธานหอการค้า จ.เชียงราย เปิดเผยว่า รูปแบบการพัฒนาประเทศของไทยมักจะเน้นนโยบายที่มาจากส่วนกลางหรือโครงการใหญ่ที่ดำเนินการที่ส่วนกลางเป็นส่วนใหญ่ ส่วนประชาชนในส่วนภูมิภาคหรือท้องถิ่น มักจะเป็นผู้ที่ถูกอุ้มชูด้วยการลด แลก แจก แถม ซึ่งตนเกรงว่าสภาพเช่นนี้จะทำให้สังคมไทยเรามีปัญหาในอนาคต เพราะไม่ได้สะท้อนตัวปัญหาของประเทศไทยที่แท้จริง แต่เป็นการกระจุกความเจริญไว้ที่ส่วนกลางโดยไม่กระจายความเจริญไปสู่ส่วนภูมิภาค
       
       วิธีการพัฒนาประเทศเช่นนี้ จะทำให้เราไม่สามารถรองรับการทะลักเข้ามาของกลุ่มเศรษฐกิจต่างๆ เช่น ไทย-จีน อาฟตา (อาเซียน) ฯลฯ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยนโยบาย ยุทธศาสตร์และการปฏิบัติที่มุ่งไปสู่การพัฒนาส่วนภูมิภาคภายใน 3-5 ปีนับจากนี้ เพราะภูมิภาคเป็นประตูสู่กลุ่มเศรษฐกิจต่างๆ ในภูมิภาคนี้โดยเฉพาะ จ.เชียงราย ถือเป็นประตูสู่ทั้งกลุ่มอาเซียนและจีน หากรัฐบาลใหม่ไม่ปรับตรงนี้ตนเชื่อว่าจะทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสอย่างมาก
       
       นายชวลิต กล่าวว่า นอกจากนี้ ตนอยากให้รัฐบาลใหม่ได้เอาใจใส่เรื่องกลไกตลาดให้มากโดยเฉพาะการบิดเบือนกลไกตลาดการเกษตร และเม็ดเงินจากโครงการช่วยเหลือไม่ได้ถึงมือเกษตรกรอย่างแท้จริงด้วย ยกตัวอย่างเรื่องการจำนำข้าว ซึ่งมีการประกาศจะดำเนินการว่าที่ผ่านมามักจะมีการดำเนินการช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งถือว่าผิดหลัก เพราะข้าวได้หลุดออกจากมือเกษตรกรไปแล้วและกลายเป็นคนกลางได้ประโยชน์ ส่วนเม็ดเงินที่แท้จริงไม่ถึงมือเกษตรกร ทั้งนี้ตนไม่ได้หมายถึงว่า คนกลางไม่มีประโยชน์แต่ควรจะเน้นให้ถึงมือเกษตรกรให้เต็มที่ด้วย
       
       “ปัจจุบันประเทศไทยยังมีเกษตรกรเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ดังนั้น มาตรการต่างๆ ที่ประกาศกันไปแล้วควรให้ถึงมือเกษตรกรจริงๆ เพราะถ้าชาวบ้านมีรายได้แม้ต้นทุนจะสูงขึ้นก็จะมีกำลังซื้อและกระตุ้นภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ของประเทศได้ทั้งหมด แต่เท่าที่เห็นขณะนี้คือ กำลังจะมีการเทเมกะโปรเจกต์ใหญ่ๆ ที่ส่วนกลาง ซึ่งเห็นว่าไม่สะท้อนการพัฒนาที่แท้จริง” นายชวลิต กล่าว
       
       ประธานหอการค้าเชียงราย บอกอีกว่า สำหรับเรื่องใกล้ตัวของ จ.เชียงราย ที่น่าจับตามองอีกอย่างคือเรื่องโครงการผลักดันรถไฟผ่าน จ.เชียงราย ไปยังเชื่อมกับจีนตอนใต้ โครงการนี้รัฐบาลที่กำลังจะหมดวาระออกไปทุ่มงบประมาณ 175 ล้านบาท เพื่อการศึกษาเส้นทางสาย อ.เด่นชัย จ.แพร่-จ.เชียงราย แต่มีข่าวเรื่องรัฐบาลใหม่กำลังผลักดันรถไฟความเร็วสูงจาก จ.เชียงใหม่-เชียงราย โดยอ้างว่าที่ผ่านมาไม่ได้ดำเนินการ เพราะผลการศึกษาไม่คุ้มค่า
       ซึ่งตนอยากจะเสนอว่าควรมีการเปิดเผยผลศึกษาความคุ้มค่าของโครงการ เช่น การลดปริมาณการจราจรทางรถยนต์ จูงใจให้เกิดการลงทุน ความสะดวกสบาย การท่องเที่ยว ฯลฯด้วย
       
       เขาย้ำว่า โครงการรถไฟไป จ.เชียงราย ถือเป็นการกระจายความเจริญไปสู่ส่วนภูมิภาคอีกโครงการหนึ่ง เพราะเชียงรายเป็นประตูสู่กลุ่มอาเซียนและจีนตอนใต้ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทยในภาพรวมด้วย ไม่ใช่คนเชียงรายหรือภาคเหนือกลุ่มเดียว แต่สภาพปัจจุบันคือเราไม่มีการก่อสร้างทำให้ประเทศจีนมุ่งขยายเศรษฐกิจไปทางภาคตะวันออกผ่านมณฑลกวางสี-เวียดนาม-สปป.ลาว มากขึ้น ดังนั้น ตนอยากให้ผลการศึกษาครอบคลุมทุกด้านรวมถึงเรื่องการเปิดเผยว่า จะให้ความสำคัญกับระบบขนส่งสินค้า หรือการขนส่งมวลชนด้วย


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000085466


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 13 กรกฎาคม 2011, 17:59:21
พะเยา - การรถไฟแห่งประเทศไทย กางผังเส้นทางรถไฟเด่นชัย-เชียงราย ให้ชาวพะเยาร่วมแสดงความเห็น เผยแม้เริ่มโครงการมาตั้งแต่ปี 2503 และผ่านการศึกษามาแล้วหลายรอบยังแจ้งเกิดไม่ได้ แต่วันนี้หากไม่มีปัญหา คาดเริ่มวางแนวเส้นทางได้ปีหน้า (2555) ผู้ว่าฯมั่นใจ พะเยาได้ประโยชน์หลายด้าน

(http://pics.manager.co.th/Images/554000009172002.JPEG)
       
       วันนี้ (13 ก.ค.) ที่ห้องประชุมภูกามยาวชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดพะเยา การรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) ได้จัดประชุมใหญ่การมีส่วนร่วมของประชาชนครั้งที่ 1 (การปฏิรูปโครงการ) โครงการศึกษาทบทวนผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ มีนายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยาเป็นประธาน เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนถึงความเหมาะสมโครงการฯ โดยมีผู้เข้าร่วมประกอบด้วยหัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่กว่า 200 คน
       
       นายนันทชัย หวังเลี้ยงกลาง ผู้แทนการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เริ่มดำเนินการโดย ร.ฟ.ท.ตั้งแต่ปี 2503 สำรวจเส้นทางเบื้องต้น เมื่อปี 2512 จากสถานีเด่นชัย-แพร่-สอง-เชียงม่วน-ดอกคำใต้-พะเยา-ป่าแดด-เชียงราย ระยะทางรวม 273 กิโลเมตร และได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาทบทวนผลการศึกษาอีกหลายครั้งจนพบว่า ยังเป็นเส้นทางที่มีความเหมาะสมมากที่สุด พร้อมกันนี้ยังขยายเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศจีนตอนใต้ได้
       
       ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2553 เพื่อพัฒนาปรับปรุงโครงข่ายทางรถไฟทั้งระบบ ระยะเร่งด่วน 176,808 ล้านบาท ซึ่งรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนดังกล่าว จึงได้จ้างบริษัทที่ปรึกษาทำการศึกษาและออกแบบเพื่อเตรียมการก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ในปี 2554 ระยะทาง 326 กิโลเมตร ผ่าน 4 จังหวัด คือ แพร่ ลำปาง พะเยาและเชียงรายมี 28 สถานี
       
       ทั้งนี้ เพื่อศึกษาความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรม และผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำรวจและจัดทำแบบรายละเอียดเพื่อการก่อสร้าง ประมาณราคาค่าก่อสร้างและจัดทำเอกสารประกวดราคา
       
       สำหรับการจัดการประชุมใหญ่การมีส่วนร่วมของประชาชนในจังหวัดพะเยา ตามผลการศึกษาจะมีทางรถไฟผ่าน 3 อำเภอ ประกอบด้วย อ.ภูกามยาว เขต ต.ดงเจน ต.แม่อิง และ ต.ห้วยแก้ว อ.ดอกคำใต้ เขต ต.ห้วยลาน และ ต.ดอกคำใต้ และ อ.เมืองพะเยา เขต ต.แม่กา ต.จำป่าหวาย และ ต.ท่าวังทอง
       
       “ทั้งนี้หากไม่ติดปัญหาอะไร คาดว่าจะสามารถออกแบบทางรถไฟทั้งระบบได้ประมาณปี 2555 ที่จะถึงนี้”
       
       ด้าน นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา กล่าวว่า หากโครงดารดังกล่าวแล้วเสร็จ จังหวัดพะเยาจะได้รับประโยชน์หลายด้านด้วยกัน โดยเฉพาะด้านการขนส่ง ทั้งในเรื่องของสินค้าทางการเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตร รวมไปถึงการเดินทางของพี่น้องประชาชน ที่สะดวกรวดเร็วขึ้น
       
       นอกจากนี้ยังถือเป็นโอกาสทองของจังหวัดพะเยาที่จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ชื่นชอบการเดินทางด้วยรถไฟ และชมธรรมชาติ มายังจังหวัดพะเยาเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจของจังหวัดดีขึ้นตามไปด้วย ขณะที่ความเป็นอยู่ประชาชนก็ยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเช่นกัน


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000086056 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000086056)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 14 กรกฎาคม 2011, 18:14:36
เชียงราย - การรถไฟแห่งประเทศไทย ยกทีมบริษัทที่ปรึกษาขึ้นเชียงราย เปิดห้องรับฟังเสียงประชาชนในพื้นที่ รับแนวรถไฟเด่นชัย-เชียงราย เผยผลศึกษาล่าสุดต้องปรับอุตลุดเลี่ยงชุมชนเพิ่ม โยกศูนย์ไปสะพานน้ำโขง รวมระยะทาง 326 กม.คาดใช้งบก่อสร้าง 1 พันล้าน/กม.ลุ้นรัฐบาลใหม่หนุนก่อสร้างเสร็จใน 7 ปี

(http://pics.manager.co.th/Images/554000009242903.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/554000009242904.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/554000009242905.JPEG)
       
       วันนี้ (14 ก.ค.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) โดยบริษัทที่ปรึกษา คือ บริษัท เอ็ม เอ คอนซัลแตนท์ จำกัด บริษัท เอพซิลอน จำกัด บริษัท Noppon Koei Co.Ltd.และบริษัท เอนริช คอนซัลแตนท์ จำกัด ได้จัดประชุมใหญ่การมีส่วนร่วมของประชาชนครั้งที่ 1 (ปฐมนิเทศโครงการ) เพื่อศึกษาทบทวนผลการศึกษาความเหมาะสมโครงการก่อสร้างรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลาง จ.เชียงราย โดยมี นายพินิจ หายพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีเปิด และมีหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ผู้นำชุมชนและประชาชนเข้ารับฟังเป็นจำนวนมาก
       
       นายนันทชัย หวังเลี้ยงกลาง ตัวแทน ร.ฟ.ท.ได้ชี้แจงความเป็นมาของโครงการ ว่า มีมาตั้งแต่ปี 2503 ก่อนจะมีสำรวจเบื้องต้นในปี 2512 ซึ่งช่วงนั้นประเมินว่าต้องใช้งบประมาณก่อสร้างเพียงประมาณ 1,700 ล้านบาท แต่เนื่องจากไม่คุ้มทุนจึงยกเลิกไป แต่ในปี 2537-2538 ได้ศึกษาใหม่และพบประเทศจีนขยายเส้นทางรถไฟลงใต้ จึงศึกษาความเหมาะสมในระยะทาง 246 กิโลเมตร กระทั่งปี 2546-2547 ก็ได้ศึกษาซ้ำอีกครั้งจนพบแนวที่เหมาะสมด้วยวงเงินที่เพิ่มขึ้นประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท
       
       แต่เนื่องจากมีหลายเหตุผล เช่น สภาพที่เปลี่ยนไป ระบบรางเดี่ยว ฯลฯ ร.ฟ.ท.จึงได้ว่าจ้างเอกชนทั้ง 4 ราย ทำการศึกษาใหม่ตั้งแต่เดือน พ.ค.2554-มิ.ย.2555 เป็นระยะเวลา 14 เดือน โดยเมื่อสิ้นสุดโครงการจะมีแบบแปลนที่ชัดเจนและละเอียดจนไปถึงประมาณราคาและเอกสารประกวดราคาต่อไป
       
       ด้านนายนิรัตน์ ตันสวัสดิ์ รองผู้จัดการโครงการฯ กล่าวว่า การศึกษาได้นำแนวเส้นทางเดิมมาศึกษาและปรับตามความเหมาะสมจนมีระยะทางยาวเพิ่มขึ้นเป็น 326 กิโลเมตร โดยเปลี่ยนจากรถไฟรางเดี่ยวเป็นรางคู่ เพื่อสวนทางได้ ด้วยความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีการย้ายสถานีซ่อมบำรุงและเปลี่ยนถ่ายสินค้า (DOPOT&ICQ) จากสถานี อ.เมือง ไปยัง อ.เชียงของ ชายแดนไทย-สปป.ลาว รองรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่เชื่อมกับถนนR3a ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ซึ่งเปิดใช้งานแล้วต่อไป
       
       ทั้งนี้ ผลการศึกษาเบื้องต้นช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาพบสภาพพื้นที่เปลี่ยนแปลงไปจากผลการศึกษาครั้งก่อนมาก จึงต้องมีการปรับเส้นทาง เพิ่มและลดสถานีอีกหลายแห่ง โดยจะผ่าน จ.แพร่ 82 กิโลเมตร มีสถานี 6 แห่ง ลำปาง 54 กิโลเมตร 3 แห่ง พะเยา 55 กิโลเมตร มีสถานี 5 แห่ง และเชียงราย 135 กิโลเมตร มีสถานี 13 แห่ง
       
       “ถ้าได้รับการสนับสนุนตามแนวทางโดยเฉพาะด้านงบประมาณในการก่อสร้าง คาดว่าในปีที่ 6-7 หลังเสนอผลการศึกษาก็จะทำให้การก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายนี้แล้วเสร็จแน่นอน และในช่วง 6 เดือนแรกของการศึกษาเราก็จะได้แนวเส้นทางที่ชัดเจน หลังการร่วมกับท้องถิ่นและชุมชนในการช่วยแนะนำเรื่องเส้นทางทุกตำบลและเทศบาล จากนั้นก็จะชัดเจนเรื่องงบประมาณและนำเสนอผลการศึกษาให้พื้นที่ได้ทราบอีกครั้งราวเดือน พ.ค.2555” นายนิรัตน์ กล่าว
       
       เขาบอกว่า แนวเส้นทางใหม่ตั้งแต่ อ.เด่นชัย จ.แพร่ ผ่าน อ.งาว จ.ลำปาง และ จ.พะเยา ได้มีการปรับหลายจุด เช่น สถานี อ.เมืองแพร่ มีการย้ายแนวเพื่อเลี่ยงการขวางทางน้ำ อ.สอง จ.แพร่ ก็มีโครงการเขื่อนลุ่มน้ำยม ซึ่งจำเป็นต้องปรับแนวให้พ้นแนวระดับน้ำ รวมทั้งมีการขุดอุโมงค์ทะลุภูเขา ย่นระยะทางอีกประมาณ 6 กิโลเมตร ส่วน จ.พะเยา ก็ปรับให้ห่างจากแนวเดิมหน้ามหาวิทยาลัยพะเยา เพราะแนวเก่าเริ่มมีชุมชนหนาแน่น รวมทั้งเพิ่มสถานีดงเจน ตามข้อเรียกร้องของชุมชนเพื่อรองรับการขยายเมือง
       
       กระทั่งเข้าสู่ จ.เชียงราย พบมีการปรับที่สถานี เพราะเมื่อข้ามถนนสายเชียงราย-เทิง ในเขต อ.เมือง จะตัดผ่านบ้านจัดสรรจึงได้ย้ายให้พ้นแนวเดิมให้ห่างออกไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร แต่ก็มีบางส่วนที่ต้องการให้ย้ายออกไปไกลอีก ซึ่งทีมที่ปรึกษาก็ยังคงยืนตามแนวนี้ เพราะถือว่าห่างไกลชุมชนแล้ว และจะตั้งสถานีเชียงรายที่จุดเดิม เพราะจำเป็นต้องเชื่อมไปยังสถานีอื่นๆ เช่น เครื่องบิน สถานีขนส่งผู้โดยสารรถยนต์ ฯลฯ
       
       สำหรับเส้นทางต่อจาก อ.เมือง คือ มุ่งไปทาง อ.เวียงเชียงรุ้ง-ดอยหลวง ที่ ต.ป่าซาง อ.เวียงเชียงรุ้ง แทนสถานีสันยาวในรูปแบบเดิม เพื่อให้สามารถแยกไปสู่ท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่สองและสะพานแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ ได้พร้อมกัน แต่ครั้งนี้จะศึกษาไปถึงขั้นประมาณราคาและเอกสารประกวดราคาเฉพาะเส้นทางไป อ.เชียงของ เท่านั้น ส่วนเส้นทางไปท่าเรือจะเป็นเพียงการศึกษาเพื่อให้เป็นทางเลือกสำหรับอนาคต เพราะจากการศึกษาปริมาณ-ชนิดสินค้าพบว่าที่ อ.เชียงของ มีการขนสินค้าไทย-จีนตอนใต้ ด้วยตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งเหมาะสมกับรถไฟมากกว่า ส่วนท่าเรือเชียงแสนเป็นสินค้าทางเรือที่ยังไม่ระบบนี้
       
       อย่างไรก็ตาม เส้นทางบริเวณ อ.ดอยหลวง จะผ่านภูเขาจึงจะมีการเจาะอุโมงค์ทะลุเขาระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร และปรับแนวเส้นทางใหม่จากเดิมอยู่ฝั่งซ้ายของถนนสาย 1098 ซึ่งเป็นถนนไปยัง อ.เชียงของ ให้ไปอยู่ทางฝั่งขวาแทน เพราะเส้นเดิมตัดผ่านป่าเขาเสียเป็นส่วนใหญ่ส่วนฝั่งขวาจะเป็นทุ่งนา ซึ่งสะดวกกว่า
       
       ขณะเดียวกัน ได้ยกเลิกสถานีดอยท่าช้างเพราะออกแบบให้ตั้งอยู่บนยอดเขา ซึ่งไม่เหมาะสมกับการใช้งานจริง และสร้างสถานีแห่งใหม่ชื่อสถานีบ้านเกี๋ยง รองรับแทน กระทั่งถึงสถานีเชียงของ ห่างจากตัวเมืองเชียงของประมาณ 10 กิโลเมตร ใกล้จุดที่ออกแบบว่าเหมาะสมกับการสร้างนิคมอุตสาหกรรมที่ ต.สถานี และ ต.ศรีดอนชัย โดยที่เชียงของจะมี DOPOT&ICQ และตลอดรายทางออกแบบให้มีเส้นทางตัด ยกระดับ ขุดเจาะ ฯลฯ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและความไม่สะดวกอื่นๆ ซึ่งเกิดกับรถไฟไทยในปัจจุบัน
       
       สำหรับงบประมาณในการก่อสร้าง คาดว่า จะใกล้เคียงกับแอร์พอร์ตลิงก์ คือกิโลเมตรละประมาณ 1,000 ล้านบาท เพราะแม้จะไม่ยกสูงจากพื้นทั้งหมด แต่ก็ยังมีค่าเวนคืนที่ดิน ค่าขุดเจาะอุโมงค์ ฯลฯ จึงน่าจะใช้งบประมาณราว 30,000 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งจะสามารถสรุปผลอย่างชัดเจนได้อีกครั้งราวกลางปี 2555
       
       ด้าน นายมงคลชัย ดวงแสงทอง รองประธานอุตสาหกรรมภาคเหนือ กล่าวว่า ดูการปรับแนวเส้นทางใหม่ของทีมที่ปรึกษาแล้วถือว่าดีมาก เพราะมีการออกแบบให้เหมาะกับสภาพพื้นที่ อย่างไรก็ตามก็อยากจะเสนอกรณีมีการปรับสถานีและเส้นทางให้เพิ่มหรือลดลง ขอให้ยึดตามความเหมาะสมไม่เช่นนั้นจะไม่ได้ข้อสิ้นสุด และต้องศึกษาซ้ำกันอยู่ร่ำไป รวมทั้งให้ชี้แจงทุกฝ่ายว่ากรณีเส้นทางสายนี้คงจะมุ่งไปที่การขนส่งสินค้าเป็นหลัก ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเชียงราย และภาคเหนือ ที่มีสินค้าทางการเกษตรที่ต้องการขนส่งไปจำหน่าย โดยยังไม่ถึงขั้นเป็นรถไฟความเร็วสูงเพื่อการขนส่งมวลชน
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการศึกษาที่ค่อนข้างคึกคักและได้รับความสนใจ แต่หลายฝ่ายต่างวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับนโยบายภาคการเมือง เนื่องจากมีการผลัดเปลี่ยนรัฐบาลใหม่เป็นคนละขั้วการเมือง จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับการสนับสนุนหรือเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีชุดใหม่

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000086733


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 กรกฎาคม 2011, 22:27:17
“แม่สาย” ตั้งเป้าส่งออกทะลุหมื่นล้าน หลังพม่าเลิก 15 สินค้าต้องห้าม

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   18 กรกฎาคม 2554 13:27 น.



เชียงราย - ประธานหอการค้าแม่สอด เชื่อมั่นจากนี้ไปเป็นปีทองการค้าไทย-พม่า หลังพม่าสั่งยกเลิกคำสั่งห้ามนำเข้าสินค้า 15 รายการ ทำยอดการค้าเพิ่มทันตาเห็น คาดมูลค่าการส่งออกทะลุหมื่นล้านต่อปีแน่
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า หลังพม่าประกาศยกเลิกการห้ามนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยจำนวน 15 รายการ ประกอบด้วย ผงชูรส น้ำหวาน เครื่องดื่ม ขนมปังกรอบทุกชนิด หมากฝรั่ง ขนมเค้ก ขนมเวเฟอร์ ช็อกโกแลต อาหารกระป๋อง (เนื้อสัตว์ และผลไม้) เส้นหมี่ทุกชนิด เหล้า เบียร์ บุหรี่ ผลไม้ทุกชนิด ผลิตภัณฑ์พลาสติกสำหรับใช้ในครัวเรือนและใช้ส่วนตัวทุกชนิด สินค้าต้องห้ามอื่นฯ ที่มีกฎหมายปัจจุบันห้ามนำเข้านั้น ได้ทำให้บรรยากาศการค้าชายแดนด้าน อ.แม่สาย ติดต่อกับ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า มีความคึกคักอย่างมาก
       
       นายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ ประธานหอการค้า อ.แม่สาย จ.เชียงราย กล่าวว่า ในปี 54 นี้เป็นต้นไปเชื่อว่าจะเป็นปีทองของการส่งออกสินค้าผ่าน อ.แม่สาย เข้าไปยังประเทศพม่า โดยเหตุผลข้อแรกคือการยกเลิกข้อห้ามนำเข้าสินค้าจำนวน 15 รายการของประเทศพม่าดังกล่าว ซึ่งเป็นปัญหาที่ภาคธุรกิจได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยได้เจรจาหารือกับรัฐบาลพม่ามานานกว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งผลที่ปรากฏเชื่อว่ามาจากความสำเร็จด้านความร่วมมือดังกล่าว และทำให้การส่งออกเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมแล้ว โดยสินค้าเหล่านี้มีการส่งออกจากแม่สายไปพม่ามากยิ่งขึ้นทันตาเห็น
       
       นายบุญธรรมบอกว่า ข้อดีของการส่งออกเพิ่มมากขึ้นคือทำให้ผู้ประกอบการไทยมีรายได้ดีขึ้น ส่วนผู้ประกอบการพม่าก็สามารถนำสินค้าออกไปจำหน่ายได้ตามปกติ เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าแม้จะมีการห้ามสินค้า 15 รายการ แต่ก็มีการค้านอกระบบหรือใต้ดินซึ่งทำให้ต้องหลบๆ ซ่อนๆ กัน การยกเลิกจึงทำให้สามารถค้าขายกันได้อย่างเปิดเผย จึงเชื่อว่ามูลค่าการค้าด้าน อ.แม่สาย จะเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม 20-30% และะจากการหารือกับทางด่านศุลกากรระบุว่าในปีนี้มูลค่าการส่งออกฝ่ายเดียวจะทะลุสูงเกิน 1 หมื่นล้านบาทเป็นประจำทุกปี
       
       “มูลค่าที่จะเพิ่มมากขึ้นดังกล่าวยังเกิดจากการปิดด่านแม่สอด จ.ตาก ซึ่งทำให้สินค้าที่จะส่งออกเข้าไปยังพม่าทะลักออกทาง อ.แม่สาย มากขึ้น ซึ่งผมเชื่อว่านับจากนี้ความสัมพันธ์ทางการค้าไทย-พม่า จะดีมากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่สินค้าที่มีความต้องการค้าขายกันมาโดยตลอด” นายบุญธรรมกล่าว
       
       สำหรับมูลค่าการค้าชายแดนไทย-พม่า ด้าน จ.เชียงราย ทั้งด้าน อ.แม่สาย อ.เชียงแสน และ อ.เชียงของ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมามีมูลค่าการค้ารวมปีละประมาณปีละ 13,000-14,000 ล้านบาท โดยเป็นการส่งออกประมาณ 10,000 ล้านบาท และนำเข้าประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นเครื่องอุปโภคบริโภค น้ำมันเชื้อเพลิง ฯลฯ ส่วนสินค้านำเข้าเป็นสินค้าทางการเกษตร ไม้ซุง ฯลฯ


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000088137


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 กรกฎาคม 2011, 21:32:54
คสศ. ดันปลุกเส้นทาง R3B เชื่อมโยงแม่สาย – ตองยี

ชูยุทธศาสตร์วัฒนธรรม-กีฬาเชื่อมสัมพันธ์เพื่อนบ้าน

            คณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ ผลักดันฟื้นถนนสายเศรษฐกิจเชื่อมโยงการค้าการท่องเที่ยวผ่านเส้นทาง R3B จากอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย ไปยังเมืองตองยี สหภาพพม่า เนื่องจากเป็นเมืองที่มีศักยภาพมีกำลังการบริโภคสูง พร้อมเสนอยุทธศาสตร์นำวัฒนธรรมและกีฬาเชื่อมเพื่อนบ้าน และให้มีการติดตาม Single Visa ในเขตสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจผ่าน คณะกรรมการ กกร. และสภาพัฒน์ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภาคเหนือตอนบน รวมถึงเร่งรัดข้อตกลงการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน (CBTA) เพื่อแก้ไขการนำเข้าสินค้าระหว่างไทยและจีนเกิดผลอย่างแท้จริง
            นายพัฒนา  สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการ คสศ. ครั้งที่ 3/2554 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2554 ที่โรงแรม แม่โขงเดลต้า บูติค โฮเทล อ.แม่สาย  ว่าได้มีมติที่สำคัญ 3 ประเด็นด้วยกันคือ ประเด็นแรกได้เสนอให้ผลักดันส่งเสริมการเปิดเส้นทางเชื่อมโยงการค้าการท่องเที่ยวผ่านเส้นทาง R3B จากอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย ไปยังเมืองตองยี สหภาพพม่า เนื่องจากเป็นเมืองที่มีศักยภาพมีกำลังการบริโภคสูง ซึ่งหากทำได้จะทำให้ปริมาณสินค้าส่งออกทางด้านจังหวัดเชียงรายเพิ่มมากขึ้น
            โดยที่เส้นทางดังกล่าวยังสามารถพัฒนาเชื่อมต่อยอดไปยังประเทศอื่นๆ ในกลุ่มประเทศเอเชียใต้ทั้งอินเดีย ปากีสถาน เนปาลได้อีกด้วย โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเส้นทางระหว่างเชียงตุง-มัณฑะเลย์ที่มีอยู่แล้ว ให้เป็นถนนมาตรฐาน  อย่างไรก็ตาม การขนส่งสินค้าระหว่างไทย-จีนบนถนน R3B คงจะเป็นไปได้น้อยในทางปฏิบัติ เนื่องจาก การลงทุนต่างๆ ของจีนได้ทุ่มไปทาง R3A เป็นหลัก
            ดังนั้นทาง คสศ. จึงเสนอให้มีการผลักดันให้เกิดการสนับสนุนการพัฒนาถนนระหว่างเมืองเกิดขึ้น นอกจากนั้นต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านโดยการใช้วัฒนธรรมและกีฬาเข้าไปเชื่อมมิตรภาพมากขึ้น เช่นการเปิดถนนข้าวซอยที่เป็นเอกลักษณ์ของอำเภอแม่สายและเมืองท่าขี้เหล็ก สหภาพพม่า รวมถึงทางพม่าก็สนใจที่จะแข่งขันกีฬาฟุตบอลเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเมืองด้วย ซึ่ง คสศ. ก็จะผลักดันเรื่องนี้ต่อไป
            สำหรับประเด็นต่อมาเป็นเรื่องการอำนวยความสะดวกการข้ามแดน ด้านการท่องเที่ยว คสศ.จะได้ผลักดันเรื่อง Single Visa อย่างต่อเนื่องผ่านหอการค้าไทย คณะกรรมการ กกร. และสภาพัฒน์ เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวระหว่างจีนตอนใต้, สปป.ลาว และภาคเหนือตอนบน
            รวมถึงความคืบหน้าว่าด้วยการลงนามพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างไทยและจีน ที่จะส่งผลให้ไทยส่งออกผลไม้ไปจีนผ่านเส้นทางบกสาย R3A สู่จีนเพิ่มขึ้น ซึ่งหากดำเนินการได้จะใช้ระยะเวลาขนส่งเพียง 2-3 วัน จะเป็นโอกาสกระจายผลไม้ไปยังตลาดเมืองยูนนานมณฑลตะวันตกเฉียงใต้ของจีนได้โดยตรง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้จะต้องนำเสนอว่าจะต้องเร่งรัดในส่วนข้อตกลงการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน (CBTA) ด้วยจึงจะทำให้การส่งออกและการนำเข้าสินค้าระหว่างไทยและจีนเกิดผลอย่างแท้จริง

http://www.chiangmaichamber.com/newsdetail.php?id_news=213


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 กรกฎาคม 2011, 20:39:03
เตรียมจัดใหญ่งาน “ส้มโอเวียงแก่น 54” โชว์ของดีไร้สารเคมีตีตลาดอียู

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   21 กรกฎาคม 2554 10:41 น.



   
เชียงราย - เตรียมเปิดพื้นที่หน้าที่ว่าการอำเภอฯ จัดใหญ่งาน “ส้มโอเวียงแก่น” ปลายเดือนสิงหาคม 54 นี้ โชว์ส้มโอปลอดสาร ขายตลาด “อียู”
       
       นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย, นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ นายอำเภอเวียงแก่น ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงานเทศกาลส้มโอ และของดี อ.เวียงแก่น ประจำปี 2554 ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี สำหรับปีนี้มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-27 ส.ค.54 นี้ ณ บริเวณสนามหน้าที่ว่าการ อ.เวียงแก่น เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลผลิตส้มโอพืชทางการเกษตรและผลผลิตการเกษตรอื่นๆ ตลอดจนสินค้าและแหล่งท่องเที่ยวต่างใน อ.เวียงแก่น ให้เป็นที่รู้จักและแพร่หลายทั้งกับนักท่องเที่ยว
       
       นายสมชัยกล่าวว่า นับเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่งที่ อ.เวียงแก่น ได้จัดงานเทศกาลส้มโอและของดี อ.เวียงแก่น เพราะส้มโอเวียงแก่น เป็นที่รู้จักต่อคนทั่วโลกมากขึ้นเรื่อยๆ จากจำนวนและคุณภาพของที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี อีกทั้งเวียงแก่นยังเป็นอำเภอที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น การชมทะเลหมอกที่ภูชี้ฟ้า การชมดอกซากุระบานที่ผาตั้ง สถานที่ท่องเที่ยวผาได ฯลฯ การจัดงานครั้งนี้ยังจะเป็นการสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนได้อีกด้วย
       
       รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับ อ.เวียงแก่น มีเกษตรกรส้มโอชาวเวียงแก่นรวมกันประมาณ 500 ราย และได้ปลูกส้มโอรวมกันประมาณ 5,000 ไร่ โดยมีเกษตรกรส่วนใหญ่เข้าร่วมโครงการพัฒนาผลผลิตกับสหกรณ์ที่มีอยู่ 2 แห่ง ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับการพัฒนาส้มโอเพื่อให้ได้มาตรฐานที่อียูหรือกลุ่มประเทศเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี อิตาลีและฝรั่งเศส โดยต้องไม่มีสารเคมีตกค้างเกินที่กำหนดเอาไว้ และปราศจากโรคต้องห้ามต่างๆ โดยเฉพาะโรคแคงเกอร์-แบลคสปอต หรือราดำ ทำให้ที่ผ่านมาสหกรณ์ได้ใช้วิธีการให้เกษตรกรเลี้ยงเชื้อราเขียวไตรโคเดอร์มา เพื่อป้องกันเชื้อรา ซึ่งพบว่าที่ผ่านมาได้ผลเกินกว่า 80% จนทำให้ตลาดอียูยอมรับและสามารถส่งออกไปได้เป็นประจำทุกปี รวมทั้งเมื่อเกิดปัญหาด้านมาตรฐานและการส่งออกกับทางอียูยังสามารถจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปยังประเทศจีนได้อีกด้วย


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000089716


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 28 กรกฎาคม 2011, 08:22:00
วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7546 ข่าวสดรายวัน


การค้าชายแดน'ไทย-ลาว'ยังสดใส



เชียงราย - นายสุวัฒน์ ด้วงปั้น นายด่านศุลกากร อ.เชียงของ เปิดเผยว่า สถิติการนำเข้าและส่งออกสินค้าด้าน อ.เชียงของ เป็นไปในลักษณะก้าวกระโดดคือ เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นรายเดือน โดยพบว่ามูลค่าการค้ารวมตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2554 ถึงเดือนมิ.ย.นี้ ราว 5,700 ล้านบาท มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น 80% คาดว่ามูลค่าการค้าตลอดทั้งปีงบประมาณนี้จึงจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเป็นจำนวนมาก และแนวโน้มยังคงมีอัตราที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่ทราบจุดสิ้นสุด ภาคเอกชนโดยเฉพาะไทย-จีนมีการวางแผนกรณีการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแล้วเสร็จเอาไว้แล้ว

นายสุวัฒน์ กล่าวอีกว่า หลังทางการพม่าเปิดโอกาสให้สินค้าควบคุม 15 รายการสามารถส่งไปขายไปประเทศได้ แทนที่จากเดิมมีการนำออกจากด่านเชียงของส่งเข้าสปป.ลาวและส่งต่อไปยังพม่านั้น กลับพบว่าต่อไปสินค้าดังกล่าวจะถูกส่งออกตรงจากด่านศุลกากรแม่สายได้เลย ทำให้มูลค่าส่งออกไปสปป.ลาวหดหายไปราว 20 ล้านบาท แต่ก็ถือว่าไม่มากนักเพราะยังสามารถตั้งเป้าหมายส่งออกตลอดปี 2555 หลังสะพานแม่น้ำโขงแห่งที่ 5 สร้างเสร็จ ซึ่งตั้งไว้ราว 10,000 ล้านบาทได้อยู่

หน้า 29


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 31 กรกฎาคม 2011, 18:20:42
ชียงรายนำร่องแผนรับมือ"เออีซี" บูมฮับหกเหลี่ยมเศรษฐกิจส่งสินค้าจีนไปสิงคโปร์Share

ประชาชาติธุรกิจ 30 กรกฏาคม 2554

ผู้ว่าฯเชียงรายนำร่องจังหวัดแรกเปิดเวทีดึงภาครัฐ-เอกชนเตรียมความพร้อมรับมือ AEC ปี"58 ยกระดับ "คน-งาน-พื้นที่" ดันเป็นเมือง "ศูนย์ กลางแวะพักสินค้า" หกเหลี่ยมเศรษฐกิจ ขนส่งสินค้าจากจีนทะลุเข้าสิงคโปร์ และวอนทุกกระทรวงตื่นตัวหนุนทุกจังหวัดเร่งปรับตัว


นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า วางแผนระดมทั้งภาครัฐและเอกชนระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัด (cluster) ร่วมสัมมนาในเดือนกันยายนนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ปี 2558 โดยจะยกระดับเชียงรายเป็นศูนย์กลางจุดแวะพักสินค้าอาเซียน เนื่องจากเชียงรายเป็นจังหวัดติดแนวตะเข็บชายแดนที่สามารถเชื่อมการขนส่งสินค้าในพื้นที่หกเหลี่ยมเศรษฐกิจ จากจีนตอนใต้ ผ่านเข้า สปป.ลาว เวียดนาม ผ่านไปยังมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซียได้ โดยใช้ศักยภาพโลจิสติกส์ทางน้ำ คือท่าเรือเชียงแสนและท่าเรือเชียงของแห่งใหม่ขนาดใหญ่มาก และใช้การคมนคมทางบกถนนสาย R3A ซึ่งทะลุได้ถึงคุนหมิง มณฑลทางตอนใต้ของจีน ซึ่งมีตลาดนำเข้าและส่งออกสินค้ามูลค่ามหาศาล จึงเป็นโอกาสของเชียงรายและไทยในการสร้างรายได้ทางการค้า โดยให้ประเทศเหล่านี้มาใช้เป็นจุดแวะพักสินค้าและท่องเที่ยว

ส่วนการเตรียมความพร้อมที่จะเริ่มในเชียงรายมีอยู่ 3 ส่วน คือคน งาน และพื้นที่ โดยยึดหลักต้องคงความ เป็นธรรมชาติและวัฒนธรรมความเป็นเมืองล้านนาไว้ให้ได้เหมือนหลวง พระบางของ สปป.ลาว ควบคู่ไปกับการสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจหลังเปิดเออีซี ทุกประเทศจะค้าขายกันอย่างเสรีด้วยภาษี 0%

นายสมชัยกล่าวว่า เรื่องแรก การ เตรียมคนในพื้นที่ มุ่งเน้นยกระดับการศึกษา ขณะนี้หารือกับมหาวิทยาลัย แม่ฟ้าหลวงและสถาบันราชภัฏเพิ่มหลักสูตรภาษาลาวให้คนท้องถิ่นเรียนจนพูดอ่านเขียนได้ เพราะอนาคตเมื่อเปิดการค้าเป็นตลาดหนึ่งเดียวกันแล้ว อาจจำเป็นจะต้องร่างสัญญาเป็นภาษาลาว หรือภาษาอื่นด้วย เรื่องที่ 2 การเตรียมงานหรืออาชีพก็สำคัญมาก เนื่องจากเชียงรายมีชื่อเสียงเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิ ตอนนี้เริ่มมีนายทุนจากที่อื่นเข้ามาซื้อไปทำสวนยางแล้วกว่า 7-8 แสนไร่ สามารถส่งออกติดอันดับ 10

อีกทั้งยังทำไร่ชา กาแฟ ผลไม้ และไม้ตัดดอก ซึ่งพร้อมส่งออกไปยังตลาดขนาดใหญ่จีน เรื่องที่ 3 การเตรียมพื้นที่ ต้องประกาศโซนนิ่งพื้นที่อย่างน้อย 4 โซน คือ 1.โซนการขนส่งโลจิสติกส์ทางบกและทางน้ำ 2.โซนธรรมชาติเพื่อการพักผ่อนและสันทนาการ 3.โซนการค้าและอุตสาหกรรม 4.โซนเกษตรกรรม

"เชียงรายจะเป็นจังหวัดนำร่องที่ ลุกขึ้นมาเปิดเวทีสัมมนา เพื่อปลุกกระแสหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกกระทรวง ไม่ว่าจะเป็นคมนาคมที่รับผิดชอบการก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์กระทรวงอุตสาหกรรมดูแลด้านการลงทุนอุตสาหกรรมและธุรกิจต่าง ๆ กระทรวงมหาดไทยต้องเตรียมความพร้อมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับตำบล จังหวัดตื่นตัวที่จะพัฒนาร่วมกันกับตัวแทนธุรกิจภาคเอกชน ทั้งหอการค้า สภาอุตสาหกรรมแต่ละจังหวัด ถ้าวันนี้ประเทศยังไม่ได้เริ่มต้นอะไร แต่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 4 ปี จะเตรียมรับมือทันได้อย่างไร"


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 สิงหาคม 2011, 09:48:25
ชงแผน5ปี5ยุทธศาสตร์ เสนอรัฐมนตรีใหม่         

โดย กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ      
วันศุกร์ที่ 05 สิงหาคม 2011 เวลา 10:29 น.
คมนาคมตั้งแท่นชงแผน5 ยุทธศาสตร์ระยะ 5 ปี  วงเงินรวมกว่า 1.5 ล้านล้านบาท เสนอรัฐมนตรีคนใหม่ เผยยุทธศาสตร์ครอบคลุมทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

มุ่งเน้นวางรากฐานการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการยกระดับคุณภาพชีวิตในการเดินทางของประชาชนและการขนส่งสินค้า ชี้การพัฒนาระบบขนส่งเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตใช้งบสูงสุดกว่า 7 แสนล้าน โครงการเอ็นจีวี 4,000 คันยังติดอยู่ในแผนเช่นเคย
           นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ขณะนี้ได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์การดำเนินงานของกระทรวงคมนาคม เพื่อเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมคนใหม่พิจารณาเรียบร้อยแล้ว  โดยได้รวมโครงการในระดับเมกะโปรเจ็กต์และโครงการทั่วไปของทุกหน่วยงานในสังกัด ซึ่งมีแผนจะดำเนินการในช่วง 5 ปีนับตั้งแต่ปี  2554-2558  มีมูลค่าการลงทุนเบื้องต้นประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท ขณะนี้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.)ได้รวบรวมส่งมาให้กระทรวงเรียบร้อยแล้ว
           โดยโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์ 5  ด้าน ประกอบไปด้วย 1.ยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงโครงข่ายระบบขนส่งภายในประเทศ และพัฒนาจุดเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน 2.ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์การขนส่ง 3.ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบขนส่งให้ได้มาตรฐานความปลอดภัย 4.ยุทธศาสตร์การพัฒนาการให้บริการระบบขนส่งเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และ 5.ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการระบบขนส่งและการจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ วงเงิน 10,140.92 ล้านบาท
          "แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวครอบคลุมใน 3 มิติหลัก คือ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีแนวคิดหลักเพื่อการพัฒนา บำรุงรักษา และปรับปรุงการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานและบริหารระบบขนส่งมวลชนที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด  มุ่งเน้นวางรากฐานการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และการยกระดับคุณภาพชีวิตในการเดินทางของประชาชนและการขนส่งสินค้า นำไปสู่การพัฒนาระบบขนส่งและจราจรที่ยั่งยืนต่อไป"
          ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า สำหรับวงเงินลงทุนรวม 1.5 ล้านล้านบาทนั้น จะครอบคลุมทั้งการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาระบบรางรถไฟ ซึ่งรวมถึงโครงการตามแผนปฏิรูปการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) วงเงิน 1.7 แสนล้านบาท ในส่วนที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติวงเงินลงทุน และการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าตามแผนแม่บท ซึ่งกำหนดว่าจะก่อสร้างรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลรวม 12 เส้นทาง มูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาท การพัฒนารถไฟความเร็วสูงรวม 5 เส้นทาง โดยเส้นทางแรกที่จะดำเนินการ คือเส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะทาง 615 กิโลเมตร รวมทั้งโครงการก่อสร้างท่าเรือ งานก่อสร้างและซ่อมบำรุงถนน
             ด้านนางสร้อยทิพย์  ไตรสุทธิ์ ผู้อำนวยการ สนข. กล่าวว่า แต่ละยุทธศาสตร์อาจมีรายละเอียดที่ใกล้เคียงหรือเหมือนกันบ้าง เช่น โครงการระบบรางที่จะมีส่วนร่วมทั้งยุทธศาสตร์ระบบโลจิสติกส์ และยุทธศาสตร์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต อีกทั้งในแต่ละยุทธศาสตร์อาจจะต้องไปเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานด้วยเช่นกัน
          "เป็นแผน 5 ปี คือ ปี 2554-2558 เพราะตระหนักถึงการขนส่งและจราจรที่จะมีบทบาทสำคัญเพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้เศรษฐกิจสามารถพัฒนาได้อย่างยั่งยืน การส่งเสริมและพัฒนาระบบขนส่งให้มีประสิทธิภาพ มีต้นทุนที่เหมาะสม สะดวก รวดเร็ว ตลอดจนการให้บริการสังคมอย่างทั่วถึง มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีอัตราค่าบริการที่เหมาะสม เพื่อให้สังคมน่าอยู่ เข้มแข็งและเท่าเทียมกัน นอกจากนั้นยังช่วยประหยัดพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องการใช้เชื้อเพลิง"
              สำหรับรายละเอียดของแผนยุทธศาสตร์ที่ 1 เรื่องการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบขนส่งภายในประเทศ และพัฒนาจุดเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน วงเงินรวม 322,531 ล้านบาท จะครอบคลุมหน่วยงานกรมทางหลวง เสนอโครงการสำคัญ ๆ เช่น พัฒนาโครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศ โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น 4 ช่องจราจร(ระยะที่ 2) กรมทางหลวงชนบท เสนอโครงการก่อสร้างทางสนับสนุนโครงการพระราชดำริและโครงการหลวง โครงข่ายทางหลวงชนบทเพื่อการท่องเที่ยวบริษัทขนส่ง จำกัด(บขส.) เสนอโครงการก่อสร้างอาคารจุดพักรถสถานีเดินรถเชียงราย  งานจัดหาที่ทำการสถานีเดินรถเชียงของ
              การรถไฟแห่งประเทศไทยเสนอโครงการรถไฟความเร็วสูง 4 เส้นทาง ด้านการขนส่งทางอากาศของกรมการบินพลเรือน เสนอก่อสร้างปรับปรุงและขยายทางวิ่งสนามบินในภูมิภาค  และของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) เสนอสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพิ่มเติม และโครงการใช้ประโยชน์ท่าอากาศยานดอนเมือง และบริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด เสนอพัฒนางานระบบห้วงอากาศอาเซียนให้ครอบคลุมประเทศเพื่อนบ้านด้านการบริหารจราจรทางอากาศ
           ส่วนยุทธศาสตร์ที่ 2 เรื่องการพัฒนาระบบโลจิสติกส์การขนส่ง วงเงินรวม 318,587 ล้านบาท ครอบคลุมด้านการขนส่งทางบก ไม่ว่าจะเป็นกรมการขนส่งทางบกเสนอโครงการก่อสร้างสถานีขนส่งสินค้าในจังหวัดสำคัญ ๆ  โครงการสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า กรมทางหลวง เสนอโครงการทางหลวงสนับสนุนการขนส่งแบบต่อเนื่อง โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง 5 สายทาง กรมทางหลวงชนบท เสนอโครงการสร้างโครงข่ายทางหลวงชนบทเพื่อการเชื่อมต่อระบบขนส่ง บริษัทขนส่ง จำกัด เสนอโครงการปรับปรุงรถโดยสารเพื่อนำไปใช้ในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ด้านการขนส่งทางรางของการรถไฟแห่งประเทศไทย เสนอโครงการจัดหารถจักร โบกี้บรรทุกสินค้า การก่อสร้างทางคู่ การปรับปรุงทางรถไฟระยะที่ 5,6 การก่อสร้างไอซีดีแห่งที่ 2 ด้านการขนส่งทางน้ำของกรมเจ้าท่า เสนองานก่อสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จังหวัดตราด งานก่อสร้างสถานีขนส่งสินค้าทางลำน้ำเพื่อการประหยัดพลังงาน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และโครงการก่อสร้างทางเรือน้ำลึกปากบารา จังหวัดสตูล และท่าเรือน้ำลึกสงขลา แห่งที่ 2 โครงการเขื่อนยกระดับในแม่น้ำเจ้าพระยา และน่านเพื่อการเดินเรือ

           การท่าเรือแห่งประเทศไทยเสนอการพัฒนาศูนย์การขนส่งสินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 การขนส่งทางอากาศ ของบริษัทการบินไทย จำกัด(มหาชน) เสนอโครงการจัดหาเครื่องบิน โครงการจัดตั้งสายการบินต้นทุนต่ำ ไทย ไทเกอร์  ด้านนโยบายและแผน เสนอโครงการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบระบบรถไฟทางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร และโครงการศึกษาออกแบบทางรถไฟสายใหม่ เส้นทางช่องเม็ก-อุบลราชธานี


             ยุทธศาสตร์ที่ 3 เรื่องการพัฒนาระบบขนส่งให้ได้มาตรฐานความปลอดภัย วงเงินรวม 347,542 ล้านบาท ครอบคลุมงานของหน่วยงานกรมการขนส่งทางบก โดยกรมทางหลวงเสนอโครงการบำรุงรักษาทางหลวง งานบูรณะโครงข่ายทางหลวงสายหลัก สะพานข้ามจุดตัดทางรถไฟ และงานพัฒนาทางหลวงให้มีความปลอดภัย กรมทางหลวงชนบท เสนอโครงการก่อสร้างทางต่างระดับข้ามทางรถไฟ งานติดตั้งเครื่องกั้นพร้อมสัญญาณไฟวาบอัตโนมัติ บขส.เสนอโครงการจัดซื้อรถโดยสารทดแทนรถโดยสารของบขส.ที่ปลดระวางและโครงการปรับปรุงรถโดยสาร กรมการขนส่งทางบก เสนอโครงการปรับปรุงสนามทดสอบขับรถ ปรับปรุงการตรวจสภาพรถ ศูนย์ทดสอบยานยนต์ ศูนย์ฝึกและทดสอบขับรถมาตรฐาน

             ยุทธศาสตร์ที่ 4 เรื่องการพัฒนาการให้บริการระบบขนส่งเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต วงเงินรวม 770,006 ล้านบาท ครอบคลุมงานด้านการขนส่งทางบก เสนอโครงการก่อสร้างสถานีขนส่งผู้โดยสาร ศึกษาแผนแม่บทการเดินรถโดยสารประจำทางทั่วประเทศ กรมทางหลวงเสนอโครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง โครงการแก้ไขปัญหาจราจรในพื้นที่กทม.-ปริมณฑลและเมืองหลัก โครงการบูรณะและปรับปรุงสะพานทั่วประเทศ กรมทางหลวงชนบทเสนอโครงการ ยกระดับมาตรฐานทาง โครงการก่อสร้างถนนเชื่อมต่อถนนราชพฤกษ์-ถนนกาญจนาภิเษกแนวเหนือ-ใต้และตะวันออก-ตะวันตก

             การทางพิเศษแห่งประเทศไทย เสนอโครงการพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษ โครงการศึกษาความเหมาะสมระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ N1-N2-N3 โครงการก่อสร้างทางพิเศษสาย ศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกทม. องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)เสนอโครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใช้ก๊าซธรรมชาติเอ็นจีวี 4,000 คัน ด้านการขนส่งทางรางของการรถไฟแห่งประเทศไทย  เสนอโครงการก่อสร้างทางคู่ 5 เส้นทาง โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิตและบางซื่อ-ตลิ่งชัน โครงการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เสนอโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ

             ด้านการขนส่งทางน้ำ เสนอโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งพัง การกัดเซาะ การก่อสร้างท่าเรือสินค้า ท่องเที่ยวและท่าเรือโดยสาร(โป๊ะ) ด้านการขนส่งทางอากาศ เสนอโครงการ พัฒนาระบบควบคุมเครื่องกั้นทางผ่านเสมอระดับแบบคานอัตโนมัติ และด้านนโยบายและแผนเสนอโครงการศึกษาพัฒนาระบบการเชื่อมต่อการเดินทางบริเวณศูนย์คมนาคมพหลโยธิน

             และยุทธศาสตร์ที่ 5 เรื่องการบริหารจัดการระบบขนส่งและการจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ วงเงินรวม 10,140 ล้านบาท ครอบคลุมงานด้านการขนส่งทางบกที่เสนอโครงการก่อสร้างและปรับปรุงอาคารสำนักงานขนส่ง ด้านการขนส่งทางน้ำ เสนองานพัฒนาบุคลากรด้านการพาณิชยนาวี ด้านการขนส่งทางอากาศเสนองานพัฒนาระบบการเดินอากาศด้วย PBN ภายในเขตควบคุมจราจรทางอากาศ งานผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านการบิน  และด้านนโยบายและแผน ที่เสนอโครงการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมและโครงการศึกษาจัดทำแผนแม่บทและบูรณาการโครงข่ายถนน สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาและการจราจรในเขตกทม.-ปริมณฑล เป็นต้น

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,659  7 - 10  สิงหาคม พ.ศ. 2554ร


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 สิงหาคม 2011, 14:23:03
 ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ ระบุพอใจภาพรวม ครม.ชุดใหม่ ชี้ต้องเปิดโอกาสให้ทำงานระยะหนึ่งก่อนที่จะประเมินผล เชื่อได้รับโอกาสและการสนับสนุนโครงการพัฒนาต่างๆ มากขึ้นหลังมีคนเชียงใหม่นั่งเก้าอี้รัฐมนตรี 2 คน ขณะเดียวกันขอเสนอตัวให้เชียงใหม่จัดประชุม ครม.สัญจรเป็นจังหวัดแรกในภูมิภาคทันทีที่รัฐบาลใหม่พร้อม จ่อเสนอโครงการมอเตอร์เวย์เชียงใหม่-เชียงราย และระบบขนส่งมวลชนเมืองเชียงใหม่
       
       นายณรงค์ คองประเสริฐ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ และประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) จังหวัดเชียงใหม่ แสดงความเห็นเกี่ยวกับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า โดยส่วนตัวมองว่าภาพรวมของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ถือว่าเป็นที่ยอมรับได้ และควรจะเปิดโอกาสให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ได้ทำงานสักระยะหนึ่งก่อนที่จะมีการประเมินและตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง ว่าทำงานได้เป็นที่น่าพอใจหรือไม่ ทั้งนี้มองว่าคณะรัฐมนตรีน่าจะสามารถทำงานได้ดี เพราะน่าจะมีทีมงานที่ปรึกษาที่ดีและมีความรู้ความสามารถเข้ามาช่วยทำงานให้สามารถผ่านไปได้ด้วยดี
       
       สำหรับการที่ในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่นี้มีรัฐมนตรีที่เป็นชาวจังหวัดเชียงใหม่ 2 คน ได้แก่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายณรงค์ มีความเห็นว่า น่าจะเป็นผลดีต่อการพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่ในด้านต่างๆ ที่น่าจะได้รับการสนับสนุนด้านต่างๆ รวมทั้งงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการต่างๆ ในการพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่จากรัฐบาลมากขึ้น
       
       ทั้งนี้ โครงการที่ทางภาคเอกชนจังหวัดเชียงใหม่จะมีการผลักดันนำเสนอต่อรัฐบาลใหม่ เพื่อขอรับการสนับสนุนโครงการ ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางเชียงใหม่-กรุงเทพฯ โครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์เชื่อมต่อจังหวัดเชียงใหม่-เชียงราย เพื่อเชื่อมโยง 2 จังหวัดที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภาคเหนือ และรองรับถนน R3a โครงการระบบขนส่งมวลชนเมืองเชียงใหม่ และการบริหารจัดการ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ ที่ต้องการให้มีการเปิดโอกาสให้ตัวแทนจากท้องถิ่นเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการด้วย ไม่ใช่เป็นการบริหารจัดการโดยส่วนกลางหรือบริษัทเอกชนที่รับสัมปทาน
       
       ขณะเดียวกัน ในภาพรวมของทั้งประเทศสิ่งที่อยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการมากที่สุด คือ การเร่งสร้างบรรยากาศความปรองดองและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองให้จบสิ้นลงโดยเร็ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคเอกชน นักลงทุน ทั้งไทยและต่างประเทศ ที่จะได้มีความมั่นใจและกล้าที่จะตัดสินใจเข้ามาลงทุน ซึ่งมองว่าการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนนั้นเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมากในเวลานี้
       
       นอกจากนี้ นายณรงค์ กล่าวว่า ขณะนี้จังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะภาคเอกชนขอเสนอตัวพร้อมที่จะให้มีการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นจังหวัดแรกในภูมิภาค เพื่อให้รัฐบาลใหม่ได้มาพูดคุยและรับฟังความต้องการเรื่องต่างๆ จากทุกภาคส่วนในระดับพื้นที่ ซึ่งหากเป็นไปได้อยากให้มีการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถเป็นไปได้เมื่อรัฐบาลมีความพร้อม

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000100003


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 สิงหาคม 2011, 14:31:40
ฉลอง750ปีเมืองเชียงรายถกทุกฝ่าย-กระตุ้นท่องเที่ยว
เชียงราย-ภาครัฐและเอกชนเชียงราย ระดมสมองเพื่อเตรียมการจัดงาน "เฉลิมฉลองสมโภช 750 ปีเมืองเชียงราย" หวังผลกระตุ้นการท่องเที่ยวเมือง
          รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ประธานประชุมเสวนาร่วมหาแนวทาง "จัดงานเฉลิมฉลองสมโภช 750 ปีเมืองเชียงรายภาคประชาชน" ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง อ.เมืองเชียงราย เมื่อเร็วๆ นี้ มีตัวแทนภาครัฐ เอกชนเข้าร่วม โดย รศ.ดร.วันชัย กล่าวว่า ภาคเอกชนและสื่อมวลชนขอให้มหาวิทยาลัยช่วยจัดประชุมเพื่อให้การจัดงานขับเคลื่อนไปได้ เพราะเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนก็จะถึงวันที่พ่อขุนเม็งรายมหาราชหรือพญามังรายทรงสร้างเมืองเชียงรายครบ 750 ปีในวันที่ 26 มกราคม 2555 หลังจากที่จังหวัดได้ตั้งคณะกรรมการดำเนินการและคณะอนุกรรมการฝ่ายต่างๆ แล้ว
 
          รศ.ดร.วันชัย กล่าวอีกว่า อยากให้เปรียบเทียบการเฉลิมฉลอง จ.เชียงใหม่ ซึ่งดำเนินการแล้วได้สิ่งต่างๆ เป็นรูปธรรมที่ทำให้กลายเป็นสัญลักษณ์ เช่น สนามกีฬา 700 ปีเชียงใหม่ อีกประการจะทำอย่างไรให้เชียงรายเป็นที่รู้จักทั้งประเทศและโลก รวมทั้งให้งานสร้างประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดที่สร้างรายได้ให้ประชาชน
 
          ด้านนายอภิชา ตระสินธุ์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวว่า เชียงรายมีต้นทุนด้านการท่องเที่ยวทำให้มีนักท่องเที่ยวปีละ 1.4 ล้านคน สร้างรายได้เข้าจังหวัดประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เพื่อยกระดับเรื่องดังกล่าวภาคเอกชนได้ทำแผนเสนอจังหวัดไปแล้ว แต่ยังไม่เป็นรูปธรรมนัก ดังนั้นภาคเอกชนจึงมีแผนสองด้วยการประสานท้องถิ่น เพื่อหาสถานที่สร้างนิทรรศการเล่าขานเมืองเชียงราย การจัดโปรโมชั่นเกี่ยวกับที่พักและเส้นทางท่องเที่ยวต่างๆ ให้ตรงกับเลข 750 ปี และอื่นๆ กรณีที่จังหวัดไม่สามารถขับเคลื่อนได้แล้ว
 
          รายงานข่าวแจ้งว่าที่ประชุมมีมติให้ทุกฝ่ายนำรายละเอียดการดำเนินการเสนอ มฟล.รวบรวมและเรียบเรียงเป็นโครงการและวิเคราะห์ด้านงบประมาณ เพื่อเสนอจังหวัดและ ส.ส.เชียงราย จากระบบเขต 7 คนและบัญชีรายชื่อ 1 คน ช่วยผลักดันงบประมาณ โดยนัดประชุมที่ มฟล.อีกครั้งวันที่ 13 สิงหาคมนี้

http://www.komchadluek.net


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 15 สิงหาคม 2011, 19:36:43
ปัดฝุ่นโปรเจ็กต์ยุค'ทักษิณ'ผุดนิคมฯเชียงของ

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม 2011 เวลา 09:36 น.

กนอ. ปัดฝุ่นโปรเจ็กต์ยุครัฐบาลทักษิณ กดปุ่มสตาร์ตนิคมอุตสาหกรรมเชียงของอีกรอบ หลังถูกเบรกไปกว่า 4 ปี เตรียมตีปี๊บระดมทุนไทยผนึกทุนมังกร เร่งพัฒนาพื้นที่ 16,000 ไร่ ดันเชียงรายเป็นประตูเชื่อมอาเซียน-จีน บนเส้นทาง R3A รับเออีซี ตั้งธงเน้นอุตฯสะอาด อุตฯไฟฟ้าฯ ยาง แปรรูปเกษตรและยา เป็นเป้าหมายหลัก ภาคเอกชนขานรับแต่ยังห่วงทุนจีนไม่สนจริง

ดร.วีรพงษ์ ไชยเพิ่ม รองผู้ว่าการ (ยุทธศาสตร์และการเงิน) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ขณะนี้ กนอ. เตรียมที่จะผลักดันโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวจะเป็นฐานการผลิต การค้า และบริการขนส่ง รวมถึงเป็นประตูการค้า การลงทุนเชื่อมโยงไปสู่สหภาพพม่า สปป.ลาว และจีน (ยูนนาน)

โดยล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและจีน (ยูนนาน) ครั้งที่ 4 ได้มีการหารือถึงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวนี้และค่อนข้างได้รับความสนใจจากทางการจีน

ทั้งนี้นิคมอุตสาหกรรมเชียงของเป็นโครงการที่จะพัฒนาในลักษณะเอกชนร่วมดำเนินการ ที่ผ่านมาได้มีการศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมเรียบร้อยแล้วแต่ต้องหยุดหยุดชะงักไปกว่า 4 ปี เนื่องจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลก ประกอบกับความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ในมาตรา 67 วรรค 2

อย่างไรก็ตาม กนอ. จะเริ่มสตาร์ตโครงการนี้อีกครั้ง เนื่องจากเล็งเห็นว่าเป็นโครงการที่สอดรับกับการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ในปี 2558 ประกอบกับมีความพร้อมในเส้นทางคมนาคมคือเส้นทาง R3A ที่พัฒนาเป็นถนน 4 เลนเชื่อมถึงจีนเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังเป็นโครงการที่ได้รับความสนใจจากจีนด้วย โดย กนอ. จะดำเนินโครงการให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม และเชื่อว่ารัฐบาลจะให้ความสำคัญ

ดร.วีรพงษ์ กล่าวด้วยว่า โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอำเภอเชียงของดังกล่าวเป็นโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดนจังหวัดเชียงราย เพื่อรองรับเส้นทางสาย R3A และสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในปี 2555 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2549 ในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี รวมถึงเป็นหนึ่งในแผนงานพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่สำคัญของกรอบความร่วมมือ ทางเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Greater Mekong Sub-region: GMS) เพื่อเชื่อมโยงไทย-พม่า-สปป.ลาว-จีนด้วย

ทั้งนี้ นิคมอุตสาหกรรมเชียงของจะมีพื้นที่ประมาณ 16,000 ไร่ ครอบคลุมตำบลสถาน และตำบลศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย มีรูปแบบการพัฒนาโครงการเป็น 2 ส่วน คือ 1. พื้นที่สถานีขนส่งและกระจายสินค้า มีองค์ประกอบหลักคือ สำนักงานส่วนกลาง และพื้นที่สถานีขนส่งและกระจายสินค้า และ 2. พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม มีองค์ประกอบหลักคือ สำนักงานส่วนกลาง พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม พื้นที่พาณิชยกรรม พื้นที่สาธารณูปโภค และพื้นที่สีเขียว (Buffer)

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายนั้น จะมุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมสะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเบื้องต้นมองว่าอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเข้าไปลงทุนในพื้นที่ดังกล่าว ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร อุตสาหกรรมยาง และอุตสาหกรรมยา ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่จีนต้องการขยายการเติบโต ทั้งนี้การเข้ามาลงทุนของกลุ่มผู้ประกอบการจีน มี 2 รูปแบบ คือ การเข้ามาเป็นผู้ร่วมพัฒนานิคมอุตสาหกรรม หรือเข้ามาเป็นผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชียงของจะเป็นไปในลักษณะนิคมอุตสาหกรรมที่เอกชนเข้ามาร่วมดำเนินการ จึงอาจมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาตามความเหมาะสมด้านการลงทุนซึ่งอาจแตกต่างจากผังเดิมที่ กนอ. ได้ทำการศึกษาไว้ ทั้งนี้หากโครงการดังกล่าวนี้เดินหน้าไปได้และมีผู้สนใจเข้ามาลงทุนอย่างจริงจัง เชื่อว่าจะใช้เวลาในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมประมาณ 2 ปี

ด้าน นายทวิช เตชะนาวากุล รักษาการเลขาธิการสมาคมนิคมอุตสาหกรรมไทย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอินดัสเตรียล เอสเตท จำกัด ผู้บริหาร นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า(ไฮเทค) และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเทค นิทซู (ประเทศไทย)ฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมานิคมอุตสาหกรรมเชียงของซึ่งมีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กระจายสินค้าและบริการโลจิสติกส์ในภาคเหนือใช้เวลาผลักดันโครงการมาค่อนข้างนาน แต่เชื่อว่าหากมีทุนจีนเข้ามาลงทุนจะทำให้นิคมนี้เกิดขึ้นได้

นายยุทธพงศ์ จีรประภาพงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมภาคเหนือ กล่าวว่า การเปิดนิคมอุตสาหกรรมเชียงของนั้น ผู้ประกอบการเห็นด้วยกับโครงการและต้องการให้เกิด แต่ต้องวิเคราะห์ให้ดีว่าทุนจีนให้ความสำคัญมากน้อยเพียงใด เพราะมีข้อมูลจากสายงานเศรษฐกิจและโลจิสติกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ว่าจีนค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับเส้นทางขนส่งทางจังหวัดหนองคายมากกว่า เพราะสามารถแยกไปเวียดนามและกัมพูชาได้

นอกจากนี้จากที่มีกระแสต่อต้านกรณีจีนมีแผนจะเข้ามาลงทุนทำศูนย์กระจายสินค้าในจังหวัดเชียงใหม่ และกรุงเทพฯ ในเขตบางนา ประกอบกับไทยมีการบังคับใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 67 วรรค 2 ที่ทำให้การลงทุนจะต้องมีการทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และผลกระทบด้านสุขภาพ (เอชไอเอ) ยังส่งผลให้จีนต้องคิดถึงประเด็นนี้อย่างรอบคอบหากต้องการเข้ามาลงทุน

อย่างไรก็ตาม มองว่านิคมอุตสาหกรรมเชียงของมีศักยภาพในแง่เส้นทางการขนส่งที่มีทั้งถนนสาย R3A และเส้นทางรถไฟที่เชื่อมจากเด่นชัยถึงเชียงรายซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะขยายถึงเชียงของ เมื่อมีความพร้อมด้านโลจิสติกส์ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการทำนิคมอุตสาหกรรมก็เป็นไปได้ที่นิคมอุตสาหกรรมเชียงของจะเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอีกประการหนึ่งคือ เมื่อทุนจีนซึ่งเป็นทุนใหญ่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยแล้ว ผู้ประกอบการไทยจะสามารถขายอะไรให้กับจีนได้บ้าง เพราะการค้าการลงทุนควรได้ผลประโยชน์ทาง 2 ทาง

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,661 14 - 17 สิงหาคม พ.ศ. 2554


http://www.thanonline.com/index.php?...-45&Itemid=417


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 16 สิงหาคม 2011, 18:10:57
ชียงราย - การท่องเที่ยวฯ เตรียมเปิดห้องติวเข้มผู้ประกอบการทัวร์ รับการเปิดตลาดประชาคมอาเซียน
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า ระหว่างวันที่ 25-26 ส.ค.54 นี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยกองตลาดอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ ร่วมกับ ททท.8 สำนักงานภาคเหนือ มีกำหนดจัดโครงการให้ความรู้ด้านตลาดการท่องเที่ยวแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทย ภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำแม่โขง (Greater Mekong Sub-region: GMS) ในหัวข้อ “การทำตลาดท่องเที่ยวเชิงรุกในกลุ่มประเทศ GMS”ณ ห้องประชุมวนาสวรรค์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
       
       เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และเตรียมความพร้อมสำหรับโอกาสและการเปลี่ยนแปลงที่ประเทศไทยจะก้าวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ในปี 2558 ที่กำลังจะมาถึง
       
       นางอัจฉริกา มณีสิน ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท. สำนักงานเชียงราย กล่าวว่า การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในสาขาหลักที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาส่งเสริม เพิ่มขีดความสามารถและโอกาสในการแข่งขันของไทยในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งภายใต้ความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี รวมถึงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำแม่โขง ซึ่งมีสมาชิกประกอบด้วยไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม พม่า และจีนนตอนใต้ ล้วนมีการส่งเสริมให้อนุภูมิภาคลุ่มน้ำแม่โขง เป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยว
       
       แต่ด้วยสถานการณ์โลกและการตลาด มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ธุรกิจต้องแข่งขันที่คุณค่าของสินค้าหรือบริการที่เหนือความคาดหมาย เพื่อสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ดังนั้นผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยว จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ เข้าใจ และปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และการแข่งขันอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในอนาคตอันใกล้ที่กลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน จะก้าวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งจะทำให้อาเซียนเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว มีการเคลื่อนย้ายสินค้าบริการ การลงทุน เงินทุน และแรงงานมีฝีมือได้อย่างเสรี
       
       ททท.จึงเล็งเห็นความสำคัญในการส่งเสริมความรู้เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และเตรียมความพร้อมแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยในพื้นที่กรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มน้ำแม่โขง รับกับโอกาสและการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
       
       โดยครั้งนี้จะมีการจัดวิทยากรที่เชี่ยวชาญด้านการตลาดมาให้ความรู้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการ เช่น การตลาดท่องเที่ยว “ทันแนว ทันยุค แผนดีมีทั้งเชิงรุกและเตรียมรับ” ,“กลยุทธ์การตลาดดี มีชัยไปกว่าครึ่ง” โดย ผศ.ดร.จุฑา มาศ วิศาลสิงห์และอาจารย์ณฤดี คริสธานินทร์ การเสวนาเรื่อง “ศักยภาพผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยบนเวที GMS” แนวคิดแบบ Modern Marketing ประเด็น “ทำตลาดเชิงรุก บุกตลาดกับ ททท.” และ “จัดเตรียมสินค้าการท่องเที่ยวอย่างไร ให้ถูกใจตลาด” โดยผู้มีคุณวุฒิจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมโครงการประมาณ 100 คน และจะสามารถเพิ่มพูนความรู้ ทักษะ ไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 17 สิงหาคม 2011, 23:26:43
เชียงราย - โยธาธิการฯ กางผังเมืองใหม่ 4 พื้นที่ของเมืองพ่อขุนฯ แจงให้ ปชช.ก่อนเสนอให้ประกาศใช้ต่อไป พบวางแผนพัฒนา 54 โครงการ มุ่งแก้น้ำท่วม-ภัยแล้งเพียบ

(http://pics.manager.co.th/Images/554000010948202.JPEG)
       
       วันนี้ (17 ส.ค.) ที่ห้องประชุมพญาภิพักดิ์ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายสุรชัย ลิ้นทอง รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้เป็นประธานในการประชุมโครงการพัฒนาตามผังเมืองรวมจำนวน 4 แห่งใน จ.เชียงราย ซึ่งทางสำนักงานโยธาธิการและผังเมือง ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ และนำมาชี้แจงต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อนำเสนอและขอความเห็นสำหรับเตรียมเสนอเพื่อประกาศใช้ในอนาคตต่อไป
       
       โดยผังเมืองรวมดังกล่าวได้แก่ผังเมืองรวมชุมชนบุญเรือง อ.เชียงแสน ผังเมืองรวมชุมชนบ้านเหล่า อ.เวียงเชียงรุ้ง ผังเมืองรวมชุมชนเวียงชัย อ.เวียงชัย และผังเมืองรวมชุมชนจันจว้า อ.แม่จัน
       
       ในแต่ละพื้นที่ได้มีการจัดทำโครงการพัฒนาตามรูปแบบของการออกแบบวางและจัดทำผังเมือง โดยกำหนดพื้นที่หรือโซนต่างๆ ให้เหมาะกับการดำเนินการคือกำหนดพื้นที่สีเหลืองว่าเป็นประเภทที่มีที่อยู่อาศัยน้อย สีส้มอยู่อาศัยปานกลาง และสีแดงสำหรับเป็นย่านพาณิชยกรรม จากนั้นได้มีการกำหนดโครงการต่างๆ เพื่อการพัฒนาครอบคลุมผังเมืองรวมทั้ง 4 แห่งรวมจำนวนทั้งหมด 54 โครงการ
       
       ซึ่งมีหลายโครงการที่เกี่ยวข้องกับแหล่งน้ำขนาดใหญ่เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง เช่น โครงการขุดลำห้วยแม่สะกึ๋นในเขตผังเมืองรวมชุมชนเวียงชัยเพื่อป้องกันน้ำท่วม กำหนดให้มีการขุดลอกระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร, โครงการปรับภูมิทัศน์สวนสาธารณะหนองหลวง, โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งแม่น้ำลาว ลำน้ำห่าง, โครงการศึกษาระบบป้องกันน้ำท่วมลุ่มแม่น้ำลาว แม่น้ำห่ง และแม่น้ำสะกึ๋น, โครงการก่อสร้างระบบกักเก็บน้ำจากแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรในฤดูแล้งตามแหล่งน้ำธรรมชาติอื่นๆ
       
       ส่วนผังเมืองรวมชุมชนจันจว้า มีโครงการพัฒนาแหล่งน้ำและจัดหาระบบกักเก็บน้ำเพื่อการเกษตรในฤดูแล้ง, โครงการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำและพัฒนาพื้นที่สาธารณะเวียงหนองหล่ม, โครงการก่อสร้างระบบระบายน้ำ, โครงการศึกษาระบบป้องกันน้ำท่วม ฯลฯ
       
       ด้านผังเมืองรวมชุมชนบ้านเหล่ามีโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งน้ำแม่เผื่อ ,โครงการจัดระบบกักเก็บน้ำ เป็นต้น
       
       โดยโครงการทั้งหมดส่วนใหญ่กำหนดระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี 2555 และแล้วเสร็จในปี 2558
       
       นายเอกอดุลย์ ป้อมเสมา หัวหน้ากลุ่มวิชาการผังเมือง จ.เชียงราย กล่าวว่า ตอนนี้ได้จัดทำร่างโครงการต่างๆ แล้วเสร็จแล้ว และตามขั้นตอนก็จะต้องมีการนำเสนอไปยังหน่วยงานองค์กรต่างๆ เพื่อให้ได้รับทราบและเสนอความเห็นโดยพร้อมเพรียงกัน จากนั้นก็จะนำเสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประกาศใช้ต่อไป ซึ่งหากแล้วเสร็จจะเป็นประโยชน์ต่อพื้นที่ จ.เชียงราย อย่างมาก
       
       ทั้งนี้ นอกจากผังเมืองรวมทั้ง 4 แห่งที่แล้วเสร็จแล้ว ยังมีผังเมืองรวมเมืองเชียงรายมีการจัดระเบียบต่างๆ ให้เรียบร้อยมากขึ้นด้วยต่อไป

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000102942


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 สิงหาคม 2011, 11:00:30
นที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4341 ประชาชาติธุรกิจ


"บุญรอดฯ"ปัดฝุ่นธุรกิจเกษตร ปลูก"ชา-ยางพารา"เสริมเบียร์



เบียร์สิงห์ปัดฝุ่น "ไร่บุญรอด" ประกาศรุกธุรกิจเกษตรอีกรอบ ประเดิมปลูกชาอู่หลง-ยางพารา เดินหน้าลงทุนอาร์แอนด์ดีชา เล็งต่อยอดป้อนเข้าอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง-ยา พัฒนาโปรดักต์ ปั้นแบรนด์ขายทั้งในประเทศ-ต่างประเทศ



นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้บริษัทได้หันมาให้ความสำคัญและมีการลงทุนกับธุรกิจเกษตรอีกครั้ง จากในอดีตที่เคยปลูกข้าวบาร์เลย์เพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบ ในการผลิตเบียร์เมื่อสักกว่า 30-40 ปี ที่แล้ว เพื่อเป็นการเสริมธุรกิจหลักที่เป็น กลุ่มเครื่องดื่ม มีทั้งเบียร์ โซดา น้ำดื่ม รวมทั้งข้าวถุง เบื้องต้นเริ่มปลูกชา ยางพารา พืชเศรษฐกิจที่สำคัญมาระยะหนึ่ง นอกจากนี้ยังปลูกข้าว พุทรา เห็ด ข้าวโพด ฯลฯ แต่เป็นสเกลที่ไม่ใหญ่นัก

สำหรับชานอกจากส่งออกใบชาไปยังไต้หวันที่ทำมา 2-3 ปีแล้ว ยังมีแผนจะพัฒนาชาเป็นโปรดักต์ภายใต้แบรนด์ของบุญรอด ออกมาทำตลาดทั้งในประเทศและในภูมิภาค ควบคู่กันนี้บุญรอดยังได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ชา รวมทั้งมีการปลูกข้าวสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่ไร่บุญรอดด้วย

"มากกว่านั้นบุญรอดได้ให้ความสำคัญในเรื่องของอาร์แอนด์ดี หรือการวิจัยและพัฒนา เพื่อจะนำสารสกัดจากชาไปต่อยอดเป็นส่วนผสมสำคัญของเครื่องสำอางและยา ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา"

ส่วนยางพารา นายจุตินันท์กล่าวว่า อีกสัก 1-2 ปี ยางพาราที่ปลูกในเฟสแรกจะเริ่มกรีดน้ำยางได้ ซึ่งอย่างที่รู้กันปัจจุบันยางพาราเป็นสินค้าเกษตรที่มีความต้องการสูง โดยเฉพาะจีนที่มีความต้องการใช้ยางสูงมาก และการมีแหล่งปลูกอยู่ที่เชียงราย จึงมีความได้เปรียบ ในแง่ของโลจิสติกส์

"สิ่งที่คุณสันติ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ มีนโยบาย คือไม่ได้มองว่าจะปลูกยางแล้วกรีดน้ำยางขายอย่างเดียว คงไม่ได้อะไร น้ำยางสามารถที่จะนำไปทำอะไรอย่างอื่นได้อีกมาก เรามองดาวน์สตรีม (downstream) มาตลอดว่าจะมีอุตสาหกรรมอะไรมารองรับหรือเปล่า ก็กำลังดูอยู่ สมมติถ้าจะลงทุนทำแม่พิมพ์ หรือโมลด์ (mold) ผลิตยาง น้ำยางเราคงไม่พอ เราต้องไปดีลคนผลิตน้ำยาง ต้องเปลี่ยนสภาพจากการเป็นของเราเองก็ต้องเป็นพาร์ตเนอร์คนอื่น ซึ่งก็เป็นไปได้"

ควบคู่กันนี้ยังมองไปถึงการพัฒนาปรับปรุงไร่บุญรอดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ซึ่งตอนนี้ทำในลักษณะค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป เนื่องจากเชียงรายมีข้อจำกัดในเรื่องของโลจิสติกส์ มีเที่ยวบินไม่มาก และฤดูการท่องเที่ยวจะมีเพียง 4-5 เดือนในช่วงหน้าหนาว นอกจากไร่บุญรอดจะเป็นแหล่งผลิตพืชผลทางการเกษตรแล้ว บุญรอดยังมีการลงทุนและ

ใช้ไร่เป็นแหล่งอาร์แอนด์ดี รวมทั้งการทำเป็นโชว์เคสของบริษัท โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมด้วย ทั้งในเรื่องของการอนุรักษ์ป่า การรักษาแหล่งน้ำ

ส่วนผลิตผลต่าง ๆ จากไร่บุญรอด เบื้องต้นจะยังคงใช้แบรนด์ "ไร่บุญรอด" และจะยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในเชิงการตลาด ด้วยทีมมาร์เก็ตติ้งที่จะเข้ามาดูแลตั้งแต่แพ็กเกจจิ้ง การตั้งชื่อ สี ฟอนต์ตัวอักษร ฯลฯ รวมทั้งได้นำโนว์ฮาวจากกลุ่มบุญรอดมาใช้ โดยเฉพาะห้องแล็บที่นำมาใช้ตรวจสอบและควบคุมคุณภาพผลิตชา น้ำผลไม้ แยม ผักดอง ขณะเดียวกันก็จะประสานกับกลุ่มน็อนแอลกอฮอล์ในการหาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาทำตลาด โดยนำสิ่งที่ไร่บุญรอดมีไปต่อยอด

ทั้งนี้ ไร่บุญรอดที่เป็นโมเดลต้นแบบของบุญรอด ตั้งอยู่ที่อำเภอแม่กรณ์ จังหวัดเชียงราย มีพื้นที่รวมกว่า 8,000 ไร่ เบื้องต้นทดลองปลูกชาอู่หลงประมาณ 600 ไร่ ยางพาราประมาณ 2,600 ไร่ และเฟสแรกประมาณ 500 ไร่ จะเริ่มกรีดน้ำยางได้ในปี 2555/2556 นอกจากนี้ยังมีแปลงทดลองพันธุ์ยางพาราอยู่ที่อำเภอเวียงป่าเป้าด้วย

ผู้สื่อข่าวตั้งข้อสังเกตว่า ธุรกิจเกษตรถือเป็น 1 ในยุทธศาสตร์หลักของบุญรอด และเป็น 1 ในกลุ่มน็อนแอลกอฮอล์ที่จะช่วยบาลานซ์พอร์ตโฟลิโอ จากเดิมที่มีรายได้หลักมาจากกลุ่มแอลกอฮอล์ในสัดส่วน 70% และอีก 30% มาจากกลุ่มน็อนแอลกอฮอล์ อาทิ น้ำดื่มตราโซดา เครื่องดื่มบี-อิ้ง ฯลฯ

หน้า 1


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 สิงหาคม 2011, 21:43:09
ทีมไทยแลนด์ล้านนา กลุ่มภาคเหนือตอนบน 2 นำผู้ประกอบการร่วมกิจกรรม Road Show ที่สปป.ลาว ,เวียดนาม และจีนตอนใต้

นางเฟื่องฟ้า ตุลาธรรมกุล พาณิชย์จังหวัดพะเยา เปิดเผยว่า ในช่วงกลางเดือนสิงหาคมจนถึงต้นเดือนกันยายน กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วย จังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และจังหวัดน่าน กำหนดจัดกิจกรรมการส่งเสริมความร่วมมือทีมไทยแลนด์ล้านนา เพื่อเป็นการเชื่อมโยงทางการค้า และสร้างเครือข่ายความร่วมมือให้กับผู้ประกอบการในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 หรือล้านนาตะวันออก โดยจัด Road Show พร้อมทั้งร่วมเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการในประเทศ สปป.ลาว ,เวียดนาม และที่เมืองหนานหนิง ประเทศจีนตอนใต้ โดยในระหว่างวันที่ 19 – 22 สิงหาคม 2554 มีกำหนดการเดินทางไปที่ สปป.ลาว ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้จะนำผู้ประกอบการทั้ง 4 จังหวัด พบผู้ประกอบการของประเทศคู่ค้า โดยในส่วนของจังหวัดพะเยาได้นำผู้ประกอบการที่มีความพร้อมและเป็นจุดแข็งของจังหวัด นำผลิตภัณฑ์แปรรูปสินค้าเกษตร เช่น ไวน์ ข้าวหอมมะลิ รวมทั้งกลุ่มของผลิตภัณฑ์ผ้าและเครื่องประดับ กิจกรรมดังกล่าวนอกจากผู้ประกอบการจะพบปะกันเอง มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันแล้ว ยังจะนำไปสู่การติดต่อเจรจาทางการค้าเพื่อนำไปสู่ความเป็นพันธมิตรกันต่อไป
ภายหลังเดินทางเยือน สปป.ลาวแล้ว กลุ่มไทยแลนด์ล้านนา จะเดินทางไปที่โฮจิมินท์ ประเทศเวียดนาม ในระหว่างวันที่ 25 – 28 สิงหาคม 2554 โอกาสนี้จะนำสินค้าเกษตรแปรรูปครีมมะขาม ผลิตภัณฑ์ชาวเขาแปรรูป ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ร่วมแสดงด้วย ต่อจากนั้นในวันที่ 26 – 29 สิงหาคม 2554 ที่แขวงอุดมไช สปป.ลาว จังหวัดพะเยาจะนำเอากลุ่มผลิตภัณฑ์เสื้อผ้า กลุ่มผู้ผลิตข้าว เครื่องประดับ และกลุ่มผู้ผลิตไวน์ ร่วมงาน และในระหว่างวันที่ 8 – 11 กันยายน 2554 ที่เมืองหนานหนิง ประเทศจีน ในส่วนจังหวัดพะเยา จะนำเอากลุ่มผู้ผลิตข้าวหอมมะลิ ผู้ผลิตไวน์ เข้าร่วมแสดงสินค้าพร้อมร่วมเจรจาทางการค้ากับผู้ประกอบการที่ศูนย์ธุรกิจไทย – จีน เมืองหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน
    
ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : พะเยา(สวท.)   Rewriter : สุริยน ตันตราจิณ
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th


 วันที่ข่าว : 18 สิงหาคม 2554


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 สิงหาคม 2011, 21:46:09
เชียงราย - รองผู้ว่าฯนำทีมตัดริบบิ้นเปิด อาคารท้องฟ้าจำลองเมืองพ่อขุนฯ หลัง อบจ.จัดให้ 17 ล้านสร้างต่อจากอาคารคลังสมองฯ หวังกระตุ้นการเรียนรู้เด็ก-เยาวชนเชียงรายในอนาคต
       
(http://pics.manager.co.th/Images/554000011002501.JPEG)(http://pics.manager.co.th/Images/554000011002503.JPEG)

       วันนี้ (18 ส.ค.) นายสุรชัย ลิ้นทอง รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้เป็นประธานในการเปิดอาคารท้องฟ้าจำลอง บริเวณสี่แยกป่าแดง ต.ริมกก อ.เมือง ติดกับโรงเรียนเทศบาล 6 และศูนย์ราชการ จ.เชียงราย ซึ่งดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย โดยมีนางรัตนา จงสุทธนามณี นายก อบจ.เชียงราย นำคณะกล่าวรายงานก่อนที่จะมีการเปิดให้นักเรียนใน จ.เชียงราย ประมาณ 1,000 คน เข้าชมอาคารอย่างเป็นทางการ
       
       สำหรับอาคารท้องฟ้าจำลองเป็นอาคารที่สร้างต่อจากอาคารคลังสมองและอาคารโลกวิทยาศาสตร์ และพลังงาน โดยใช้งบประมาณจำนวน 17 ล้านบาท ภายนอกอาคารเป็นสื่อกลางแจ้งต่างๆ ที่สามารถอธิบายได้ถึงหลักวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์
       
       ส่วนตัวอาคารท้องฟ้าจำลองเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ภายในมีหอดูดาว กล้องโทรทัศน์ระบบสะท้อนแสงจำนวน 2 กล้อง สื่อให้ความรู้ด้านดาราศาสตร์ที่ทันสมัยต่างๆ มากมาย และห้องท้องฟ้าจำลอง เพื่อการให้ความรู้อย่างครบถ้วนด้วยระบบที่ทันสมัย สามารถนำเสนอเกี่ยวกับดาราศาสตร์ทั้งของโลกและของไทยอย่างครบถ้วน เช่น พระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ในฐานะที่ทรงเป็นบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย ลักษณะของกาแล็กซี ลักษณะของหลุมดำ ระบบสุริยจักรวาล ฯลฯ
       
       นายสุรชัยกล่าวว่า อาคารท้องฟ้าจำลองจะสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนอย่างมาก โดยเฉพาะต่อเด็กและเยาวชน ซึ่งในอดีตไม่สามารถหาดูท้องฟ้าจำลองในพื้นที่ และขณะนี้เชียงราย ถือได้ว่ามีท้องฟ้าจำลองเป็นแห่งแรกในจังหวัดภาคเหนือตอนบนกลุ่ม 2 ต่อไปนี้จะมีผู้เข้าชมและศึกษาหาความรู้ด้านดาราศาสตร์ได้โดยสะดวกต่อไป
       
       ทั้งนี้ อาคารท้องฟ้าจำลองจะเปิดให้บริการตั้งแต่เวลาประมาณ 10.00-19.00 น.และอาจจะขยายเป็น 19.30 น.ส่วนในอนาคตจะขยายเป็น 20.00 น.ต่อไป เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองจะได้สามารถพาบุตรหลานเข้าศึกษาและชมได้หลังเวลาเลิกเรียน


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Temujin ที่ วันที่ 19 สิงหาคม 2011, 13:04:10
จัดไปครับ อย่าให้ต้องลงไปกรุงเทพฯ สุพรรณฯ ผมว่าเชียงรายก็น่าจะทำได้.


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 สิงหาคม 2011, 15:30:06
เชียงราย - ทางการจีน เคลียร์เงินก่อสร้างสะพานข้ามน้ำโขงแห่งที่ 4 แล้ว หลังติดปัญหาผู้รับเหมาเกี่ยงสกุลเงินมาระยะหนึ่ง เชื่อทำงานก่อสร้างเร็วขึ้นตั้งแต่แล้งหน้า อธิบดีกรมศุลฯคาด หนุนการค้าไทย-เพื่อนบ้านอีกเพียบ
       
(http://pics.manager.co.th/Images/554000011365104.JPEG)


       นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผย ในโอกาส เดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ด่านศุลกากรแม่สาย จ.เชียงราย เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า ปัจจุบันกรมศุลกากรมีนโยบายให้ด่านการค้าทุกแห่งที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง โดยทางศุลกากรจะร่วมกับเจ้าหน้าที่ในฝั่งประเทศต่างๆ ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมาย ส่งเสริมเศรษฐกิจร่วมกัน เนื่องจากในปี 2558 กลุ่มอาเซียนก็จะเข้าสู่ข้อตกลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community :AEC)
       
       หากมีการกระทบกระทั่งกับประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็จะทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสทางการค้า เพราะประเทศที่เป็นคู่กรณีก็จะสามารถไปทำการค้า หรือนำเข้าสินค้าจากอีกประเทศหนึ่งได้อย่างเสรี จนทำให้สินค้าไทยเสียตลาดไปในที่สุด
       
       นายประสงค์ กล่าวว่า เมื่อประมาณ 3 เดือนก่อนตนได้ไปประชุมผู้บริหารเกี่ยวกับเศรษฐกิจในกลุ่มอาเซียนที่เมืองเนปิดอว์ เมืองหลวงของประเทศพม่า ซึ่งก็มีการหารือกันเพื่อวางแผนการร่วมกันในการเข้าสู่ข้อตกลง AEC โดยในปีนี้ประเทศพม่าถือว่าได้รับการยอมรับให้เป็นประธานกลุ่มอาเซียนต่อจากประเทศไทยซึ่งเป็นประธานในปีที่ผ่านมาแล้ว ดังนั้น เราจึงควรใช้เวลาดังกล่าวในการประสานความสัมพันธ์ระหว่างกัน
       
       โดยเฉพาะเชียงราย มีจุดการค้าเชื่อมโยงกับกลุ่ม AEC หลายจุดไม่ว่าจะเป็นด่านศุลกากรแม่สาย ด่านศุลกากรเชียงแสน และด่านศุลกากรเชียงของ รวมทั้งสามารถเชื่อมโยงการค้าไปถึงประเทศจีนด้วย
       
       ที่ผ่านมาถือว่ามูลค่าการค้าของทุกด่านเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น กรณีประเทศพม่ายกเลิกสินค้านำเข้า 15 รายการจากประเทศเมื่อประมาณ 1 เดือนก่อน ก็ทำให้มูลค่าการค้าเพิ่มขึ้น โดยก่อนสิ้นปีงบประมาณ 2554 จนถึงปัจจุบันมีมูลค่าการค้าตลอดทั้งปีแล้วประมาณ 8,900 ล้านบาท มากกว่าปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่าทั้งปี 6,800 ล้านบาทไปแล้ว รวมทั้งคาดว่าน่าจะทะลุถึง 10,000 ล้านบาทด้วย เช่นเดียวกับด่านอื่นๆ
       
       อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า นอกจากนี้กรมศุลกากร ยังได้ให้ความสำคัญกับการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เพื่อเชื่อมกับถนนR 3 aไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ซึ่งทราบว่า ก่อนหน้านี้มีปัญหาด้านเทคนิคจึงทำให้โครงการถูกคาดการณ์ว่าจะล่าช้าออกไปประมาณ 1 ปี เนื่องจากเดิมมีการตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและจีนที่จะร่วมกันใช้งบประมาณเพื่อการก่อสร้างประเทศละ 50% แต่มีความขัดข้องเกี่ยวกับการจ่ายเงินจากประเทศจีนทำให้มีเพียงประเทศไทยที่ออกงบประมาณในการก่อสร้างช่วงแรกๆ
       
       ล่าสุดการแก้ไขปัญหารวดเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิด โดยจีนได้ทำการจ่ายงบประมาณเพื่อการก่อสร้างงวดแรกออกมาแล้ว ทำให้เลื่อนระยะเวลาก่อนสร้างแล้วเสร็จจากเดิมเลื่อนไปประมาณ 1 ปีเหลือเพียงประมาณ 6 เดือนแล้ว และเมื่อสะพานแล้วเสร็จจะใช้เพื่อการค้าขายระหว่างไทย-สปป.ลาว-จีน ต่อไป ซึ่งก็ถือว่าการเลื่อนออกไปเพียงเล็กน้อยไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการค้าใดๆ เนื่องจากในปัจจุบันก็มีการค้าขายชายแดนด้าน อ.เชียงของ มีมูลค่าที่มากขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว
       
       รายงานข่าวแจงว่าสำหรับการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 มีกำหนดก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2553 สิ้นสุดสัญญากับเอกชนวันที่ 10 ธ.ค.2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน ด้วยงบประมาณ 1,486.5 ล้านบาท แต่ช่วงก่อสร้างที่ผ่านมาประสบปัญหาล่าช้า เพราะมีหินใต้ดินมากและปัญหาการจ่ายเงินค่าจ้างจากประเทศจีนที่ล่าช้า ทำให้เดือน ก.ค.ที่ผ่านมางานล่าช้ากว่ากำหนดประมาณ 1.7% ตรงกันข้ามกับงานก่อสร้างถนนและอาคารพรมแดนฝั่งไทยที่คืบหน้า 3%
       
       แต่ล่าสุดหลังการแก้ไขปัญหาทางการเงินจากประเทศจีนแล้วเสร็จ ทำให้เอกชนเริ่มมีการก่อสร้างอย่างคึกคักอีกครั้ง
       
       ทั้งนี้สะพานดังกล่าวออกแบบให้มีเสาตอม่อ 4 ตอม่อ มีความกว้าง 14.70 เมตร มีสองช่องจราจรๆ ละ 3.50 เมตร และไหล่ทางข้างละ 2 เมตร และทางเท้าข้างละ 1.25 เมตร ความยาว 480 เมตรเมื่อรวมกับถนนติดขอบฝั่งก็จะยาวประมาณ 630 เมตร มีการก่อสร้างถนนตัดแยกจากถนนหมายเลข 1020 หรือสายเชียงราย-เชียงของ ในฝั่งไทย เพื่อเป็นจุดสลับการจราจรในฝั่งไทยก่อนไปถึงตัวสะพานอีกประมาณ 5 กิโลเมตร และถนนในฝั่ง สปป.ลาว อีกประมาณ 6 กิโลเมตร
       
       ส่วนอาคารด่านพรมแดนทั้งฝั่งไทยและ สปป.ลาว จะสร้างในรูปทรงล้านนาประยุกต์เพื่อใช้เป็นจุดตรวจปล่อยร่วมกัน ณ จุดเดียวตามหลักประตูเดียว (Single Stop Inspection) รวมเนื้อที่ฝั่งไทยทั้งหมดประมาณ 400 ไร่
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000106936


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 สิงหาคม 2011, 21:38:10
พะเยา - กรมทางหลวง เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นคนพะเยา ก่อนลุยโครงการก่อสร้างทางหลวง เพื่อพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศ ผ่านดอกคำใต้ - อ.เทิง จ.เชียงราย รับสะพานข้ามโขง 4 พร้อมเชื่อม สปป.ลาว
     
 (http://pics.manager.co.th/Images/554000011392402.JPEG)
       วันนี้(25 ส.ค.54) ที่โรงแรมพะเยาเกทเวย์ อ.เมือง จ.พะเยา กรมทางหลวง ได้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 1 จากประชาชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน จ.พะเยา ที่เข้าร่วมกว่า 500 คน ตามโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 1021 ตอน อ.เทิง - อ.ดอกคำใต้ เพื่อพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศ
       
       โดยมีนายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เป็นประธานในพิธี เพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสารของโครงการ และสร้างความรู้ความเข้าใจกับกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียต่อการพัฒนาโครงการและเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียมีส่วนร่วมเสนอความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาโครงการ
       
       ตลอดจนสร้างความเข้าใจสัมพันธภาพที่ดีและความน่าเชื่อถือ จากการเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจน โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ในการดำเนินการ ซึ่งจะนำไปสู่ภาพลักษณ์ที่ดีของโครงการ กรมทางหลวง และคณะเจ้าหน้าที่ กลุ่มบริษัทที่ปรึกษาเพื่อขอความอนุเคราะห์ให้การประสานงานด้านต่างๆ ในระหว่างการศึกษา
       
       นายเกษม ศรีวรานันท์ วิศวกรใหญ่ด้านสำรวจ และออกแบบ กรมทางหลวง กล่าวว่า ทางหลวงหมายเลข 1021 ตอน อ.เทิง - อ.ดอกคำใต้ ตามโครงการของกรมทางหลวง แบ่งออกเป็น 2 ตอน รวม 90 กิโลเมตร มีจุดเริ่มต้นจาก กม.10+000 ถึง กม.100-019 เป็นเส้นทางที่สำคัญในการเชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่งทั้งในพื้นที่ อ.ดอกคำใต้ อ.จุน อ.เชียงคำ อ.ภูซาง จ.พะเยา และ อ.เทิง จ.เชียงราย
       
       รวมทั้งสามารถเชื่อมโยงต่อโครงการโครงข่ายทางหลวงที่รองรับการเดินทางจากสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 อ.เชียงของ จ.เชียงราย -ห้วยทราย ของ สปป.ลาว ซึ่งผู้ใช้ทางสามารถเดินทางมายังจังหวัดพะเยา ไปสู่ภาคกลางโดยไม่ต้องผ่านเข้า จ.เชียงราย ปัจจุบันเป็นทางหลวงขนาด 2 ช่องจราจร
       
       แต่จำเป็นต้องมีกาพัฒนา รองรับเศรษฐกิจ และการค้าระหว่างประเทศ ทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย - กลุ่มประเทศในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
       
       นายเกษม ระบุว่า เส้นทางดังกล่าวหากดำเนินการแล้วเสร็จ จะเพิ่มประสิทธิภาพของการคมนาคมขนส่งบนโครงข่ายทางหลวงที่สำคัญระหว่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้าน รองรับการเดินทางจากสะพานข้ามแม่น้ำโขง(เชียงของ-ห้วยทราย) เชื่อมกับถนน R3A ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ รวมทั้งรองรับการเดินทางทางจาก จุดผ่อนปรนบ้านฮวก จ.พะเยา -เมืองปากทา - เมืองปากคอบ -เมืองเชียงฮ่อน-เมืองคอบ (สปป.ลาว)


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000107205


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 31 สิงหาคม 2011, 20:59:46
ทูตมะกันโปรยยาหอมเชียงรายเมืองน่าลงทุน


ทูตสหรัฐฯโปรยยาหอมชาวเชียงราย ชี้มะกันสนใจลงทุนด้านสินค้าการเกษตร ชี้เป็นจังหวัดที่เป็นประตูสู่ประเทศจีน เชื่อมโยงไปสู่ประเทศสมาชิกอาเชียนนางคริสตี้ เคนนี่ย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้เดินทางลงพื้นที่ไร่แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย เพื่อพบปะกับหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการค้าและนักธุรกิจชาวสหรัฐอเมริกันที่ลงทุนใน จ.เชียงราย เพื่อเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีงามที่มีต่อกันมายาวนานระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา โดยมีนายพินิจ หาญพานิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หอการค้าจังหวัด ประธานอตสาหกรรมและผุ้เกี่ยวข้องกว่า 50 คนให้การต้อนรับ นางคริสตี้ กล่าวว่า ตนเองรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เดินทางมายัง จ.เชียงราย โดยการร่วมมือและการพบปะหน่วยงานต่างๆ ของจังหวัดถือเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนและผลักดันเศรษฐกิจของสหรัฐและไทย ทั้งเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างทั้ง 2 ประเทศ โดยสหรัฐอเมริกามองเห็นว่า จ.เชียงราย เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีความมีความสำคัญในภูมิภาคนี้ คือ เป็นประตูสู่ประเทศจีน เชื่อมโยงไปสู่ประเทศสมาชิกอาเชียน และมีวัฒนธรรมและธรรมชาติที่หลากหลายที่ทำให้นักลงทุนสหรัฐให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนอย่างยิ่ง ทำให้ในเดือนหน้าทางทีมเศรษฐกิจและทูตพาณิชย์ของสหรัฐอเมริการจะเดินทางมาจัดงาน Connect USA. ในประเทศไทย ซึ่งงานนี้จะเป็นการส่งเสริมในเรื่องการค้าทั้ง 2 ประเทศ

หนังสือพิมพ์เชียงใหม่นิวส์


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 31 สิงหาคม 2011, 21:45:55
กระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พัฒนาพื้นที่ใหม่ดึงทุนนอก-ส่งเสริมอุตฯประหยัดพลังงาน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มอบนโยบายแก่ข้าราชการในสังกัด เร่งเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมประหยัดพลังงาน เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยรองรับการเป็นประชาคมอาเซียน AEC
นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบนโยบายแก่ข้าราชการในสังกัด เพื่อผลักดันนโยบายรัฐบาลด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมไปสู่การปฏิบัติให้บรรลุผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม โดยให้ทุกหน่วยงานตั้งคณะทำงานเพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมเพื่อรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และให้พิจารณาจากปัจจัยเกื้อหนุนและปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ มาประกอบการดำเนินโครงการต่างๆ ในการขยายการลงทุน การสนับสนุนภาคการผลิต การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย โดยให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมประหยัดพลังงาน พิจารณาพื้นที่การลงทุนแห่งใหม่ในทุกภูมิภาค เช่น พื้นที่ชายแดน อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อรองรับการลงทุนใหม่ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมสีเขียว และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมรูปแบบใหม่ที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจ ได้แก่อุตสาหกรรมที่ต่อยอดจากวัฒนธรรมของชาติ อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) อุตสาหกรรมต้นน้ำที่จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมการเกษตรเพื่อยกระดับราคาพืชผลการเกษตร อุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าประหยัดพลังงาน และการเตรียมความพร้อมของภาคอุตสาหกรรมสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558

    
ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : ฑีฆะสุดา ภักดี   Rewriter : กัลยา คงยั่งยืน
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th


 วันที่ข่าว : 31 สิงหาคม 2554


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 03 กันยายน 2011, 19:56:22
การเมืองนิ่ง‘การบิน’เดือด‘จำปี’ฮึดสู้ศึกโลว์คอสต์ / ‘แอร์เอเชีย’โกยนิ่ม7 ล้านคน

กระบี่/สุวรรณภูมิ > ธุรกิจการบินรุ่งรับสถานการณ์การเมือง คาดช่วงไฮซีซั่นปีนี้โต 10-15% เหตุภาพรวมสายการบินปรับตัวโตต่อเนื่องการเมืองมีเสถียรภาพ ขณะที่ธุรกิจโลว์คอสต์ร้อนแรงสุดขีด เจ้าตลาดเดิม “แอร์เอเชีย” ใช้กลยุทธ์ ราคาสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง เขย่าตลาด
หวังเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ยืนยันปีนี้กวาดผู้โดยสาร 7 ล้านคน ด้านการบินไทยดิ้นทุกทางประกาศตั้ง “ไทยสไมล์” ชิงส่วนแบ่งโลว์คอสต์จากเจ้าเก่า “ปิยสวัสดิ์” มั่นใจปีที่ 2 มีกำไร

นายสมชาย จันทร์รอด อธิบดีกรมการบินพลเรือน (บพ.) เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ถึงภาพรวมการขนส่งทางอากาศของไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2554 ว่า ขณะนี้ธุรกิจการบินมีความคึกคักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้สายการบินต่างๆ ทยอยแจ้งขอเปิดเส้นทางบินและเพิ่มเที่ยวบินเข้ามาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงในไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งจะเริ่มสู่ช่วงฤดูการท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) นอกจากนี้ยังมีเที่ยวบินเช่าเหมาลำที่คาดว่าจะเพิ่มมากกว่าช่วงปีที่ผ่านมาด้วย โดยในเบื้องต้นคาดว่าอัตราการเติบโตในปีนี้มาน่าจะสูงกว่าช่วงเดียวกันในปี 2553 ประมาณ 10-15% ซึ่งในเดือนกันยายนนี้จะมีการสรุปตัวเลขในภาพรวมอีกครั้ง

ทั้งนี้เนื่องมาจาก 1.ภาพรวมเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แม้ว่าขณะนี้จะมีบางประเทศที่ยังมีปัญหาเศรษฐกิจอยู่ แต่ในภาพรวมนั้นดีขึ้น ซึ่งทำให้สายการบินที่ปรับตัวได้แล้ว มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และ2.การเมืองไทยมีเสถรียภาพทำให้นักท่องเที่ยวเริ่มมีความมั่นใจในการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งจะสังเกตได้ว่าในช่วงนี้ หน่วยงานที่ดูแลด้านความปลอดภัยของประเทศต่างๆ ในแถบยุโรป เอเชีย ได้เข้ามาดูงานในเรื่องความปลอดภัยของประเทศหลายคณะ ซึ่งนี่เป็นสัญญาณที่บอกได้ว่าช่วงไฮซีซั่นปีนี้ประชาชนของเขาจะเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยแน่นอน

เช่นเดียวกับ นายนิรันดร์ ธีรนาทสิน รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่และรักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)หรือ AOT ที่ระบุว่า ภาพรวมการขนส่งทางอากาศเติบโตเพิ่มขึ้น โดยผลการดำเนินงานรอบ 8 เดือน (ต.ค.53-พ.ค.54) มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 44.77 ล้านคน ขณะที่จำนวนเที่ยวบินอยู่ที่ 2.95 แสนเที่ยว ซึ่งเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นทั้งสิ้นหากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้คาดว่า ณ สิ้นปีงบประมาณ(ก.ย.54) คาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 65 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนถึง 13% ขณะที่จำนวนเที่ยวบินคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4.18 แสนเที่ยวบิน หรือ 8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

สำหรับสถานการณ์ของธุรกิจการบินโลว์คอสต์นั้น มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในปีนี้คาดการณ์กันอย่างผู้โดยสารในตลาดโลว์คอสต์จะทะลุ 10 ล้านคน นอกจากนี้ยังมีแข่งขันการอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในเรื่องของราคา โดยสายการบินโลว์คอสต์ต่างงัดกลยุทธ์ทางด้านราคามาต่อสู่กันอย่างเต็มที่ ซึ่งสายการบินที่เรียกตัวเองว่าสายการบินราคาประหยัด หรือโลว์คอสต์ มี 3 สายการบินคือ สายการบินแอร์เอเชีย นกแอร์ และโอเรียนท์ไทย

นายทัศพล เบเล็บเวล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบิน ไทยแอร์เอเชีย เจ้าตลาดโลว์คอสต์เมืองไทย เปิดเผย “สยามธุรกิจ”ว่า ตลาดโลว์คอสต์ในปีนี้เป็นไปในทิศทางที่ดี เนื่องจากการเมืองนิ่ง ทำให้ภาคธุรกิจเดินหน้าไปได้ ซึ่งคาดว่าการเติบโตจะเพิ่มจากปี 2553 ประมาณ 10% ส่วนเป้ายอดผู้โดยสารที่แอร์เอเชียได้ตั้งไว้ในปีนี้ที่ 7 ล้านคนนั้นมั่นใจว่าจะสามารถได้ตามที่ตั้งเป้าหมาย

“ตอนนี้ทุกอย่างกำลังไปได้ดี การเมืองนิ่งอย่างนี้กำลังดี นักท่องเที่ยวต้องการเดินทางมาเที่ยวเมืองไทย ส่วนในช่วงไฮซีซั่นปีนี้สายการบินยังคงเน้นกลยุทธ์ด้านราคาเป็นหลัก โดยในช่วงนี้เราได้ทยอยออกแคมเปญมาเรื่อยๆ ในทุกโซนที่เราทำการบิน ดังนั้นผู้โดยสารที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวก็สามารถติดตามกันได้”

นายทัศพล กล่าวว่า นอกจากกลยุทธ์ราคาแล้ว สายการบินยังเน้นกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ของไทยแอร์เอเชีย โดยใช้สปร์อต มาร์เก็ตติ้ง ควบคู่กับมิวสิค มาร์เก็ตติ้ง โดยในส่วนของสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งได้ร่วมเป็นผู้สนับสนุนฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกและดิวิชั่น 1 รวม 9 ทีม ในการเป็นสายการบินหลักที่ทีมจะใช้เดินทางไปแข่งขันทั่วประเทศ ซึ่งมั่นใจว่าจะเป็นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแฟนฟุตบอลของแต่ละทีมเฉลี่ย 2 - 3 แสนคน

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์แอร์เอเชีย คือ การเป็ผู้บุกเบิกเส้นทางใหม่มากกว่าการแข่งขันกับคู่แข่ง ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทพัฒนาให้ท่าอากาศยานภูเก็ตเป็นศูนย์กลางในการเปิดเส้นทางบินเชื่อม อุดรธานี อุบลราชธานี และการสร้างความนิยมในเส้นทางกรุงเทพฯ - มาเก๊า หรือกระทั่งการสร้างฐานลูกค้าใหม่ๆ ตลอดเวลา เช่น การเข้าไปสนับสนุนทีมฟุตบอลในครั้งนี้

ทั้งนี้ ในเดือนตุลาคม 2554 นี้บริษัทได้เตรียมเปิดเส้นทางใหม่กรุงเทพฯ - โคลอมโบ (ศรีลังกา) วันละ 1 เที่ยวบิน ซึ่งเป็นไปตามแผนการขยายเส้นทางบินไปยังเอเชียใต้ ส่วนอินเดียเตรียมเพิ่มเส้นทางไปยังเมืองเชนไน และบังคาลอร์ ภายในกลางปี 2555 ส่วนการขยายเส้นทางบินไปจีนตอนใต้นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ โดยเชียงใหม่เป็นฮับในการขยายเส้นทางบินไป ขณะที่เส้นทางในประเทศ เตรียมเพิ่มความถี่เส้นทางภูเก็ต กระบี่ อุดรธานี หาดใหญ่ อีก 1 เที่ยวต่อวัน

จากกระแสการเติบโตของธุรกิจโลว์คอสต์ ส่งผลให้การบินไทยไม่สามารถนิ่งเฉยต่อไปได้เพราะ นานวันนอกจากโลว์จะแย่งผู้โดยสารของการบินไปแล้ว ยังสามารถเก็บเกี่ยวผู้โดยสารในกลุ่มใหม่ๆ ไปด้วย ทำให้ล่าสุดบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ประกาศตั้งสายการบินใหม่ชื่อ “ไทย สไมล์” ซึ่งจะเป็นสายการบินโลว์คอสต์ ภายใต้สังกัดการบินไทย โดยแยกเป็นหน่วยธุรกิจของการบินไทย เพื่อรุกตลาดโลว์คอสต์แข่งกับแอร์เอเชีย

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ การบินไทย กล่าวว่า ไทย สไมล์ เป็นสายการบินที่มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ มีรูปแบบไลท์ พรีเมี่ยม เน้นราคาที่คุ้มค่าและการบริการที่เหมาะสม เช่น การบริการเครื่องดื่มและอาหาร รวมถึงสามารถสะสมไมล์ได้เช่นเดียวกับการใช้บริการสายการบินไทย ราคาค่าโดยสารของไทย สไมล์ จะมีราคาสูงกว่าโลว์คอสต์ แอร์ไลน์ แต่ถูกกว่าสายการบินไทย โดยเน้นราคาที่สมเหตุสมผล ไม่ใช่ราคาต้นทุนต่ำ เหมือนโลว์คอสต์เมื่อบวกค่าบริการอื่นๆ เช่น ค่าสัมภาระแล้วราคาไม่ได้ถูกตามที่โฆษณา

ทั้งนี้ไทย สไมล์ จะเปิดให้บริการในวันที่ 1 ก.ค.2555 เนื่องจากรอการส่งมอบเครื่องบิน แอร์บัส เอ 320 จำนวน 11 ลำ โดยทยอยรับมอบเครื่องบินแอร์บัส 320 ความจุ 174 ที่นั่ง จำนวน 11 ลำ โดยปีแรกจะรับมอบจำนวน 4 ลำ และครบตามจำนวนในปี 2558 โดยในปีแรกได้เตรียมเปิดให้บริการเส้นทางรอง 5 เส้นทางได้แก่ กรุงเทพ-อุบลราชธานี กรุงเทพ -อุดรธานี กรุงเทพ-ขอนแก่น กรุงเทพ -เชียงราย และกรุงเทพ-สุราษฎร์ธานี โดยสายการบินไทยจะยกเลิกให้บริการเส้นทางดังกล่าวทั้งหมด เพื่อให้เส้นทาง ไทย สไมล์ให้บริการ

ส่วนปีที่ 2 ไทย สไมล์จะขยายเส้นทางการบินไปยังเส้นทางระหว่างประเทศ โดยมุ่งเจาะตลาดอาเซีย ประเทศอินเดีย สาธารณรัฐประชาชนจีน เช่น มาเก๊า เสินเจิน ฯลฯ ซึ่งบริษัทเชื่อว่าในปีที่ 2 ไทย สไมล์ จะสามารถทำกำไรได้ และคาดว่าจะมีรายได้กว่า 5,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย5-6% ต่อปี


http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413355221


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 12 กันยายน 2011, 18:42:04
เชียงราย - ททท.6 จว.ตะวันออก นำทีมบริษัทนำเที่ยวทำตลาดภาคเหนือ ดึงคนเที่ยวทะเลปิดเทอม-ไฮซีซันที่จะถึงนี้ หวังยอดเพิ่มไม่น้อยกว่า 20%
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า นายพินิจ หาญพานิช รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้เปิดโครงการส่งเสริมการขายเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค “ภาคตะวันออกสู่ภาคเหนือ ทะเลแอ่วดอย” ตามโครงการของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงาน จ.ระยอง และ จ.จันทบุรี ร่วมกับ ททท.สำนักงาน จ.เชียงราย จัดขึ้นที่ห้องดอยตอง โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์รีสอร์ท จ.เชียงราย เมื่อเร็วๆ นี้
       
       ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยวของ 2 ภูมิภาค ที่มีความแตกต่างด้านภูมิประเทศมาแนะนำแหล่งท่องเที่ยว แก่ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวใน จ.เชียงราย
       
       ภายในงานมีผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวจาก 6 จังหวัดของภาคตะวันออก มาออกร้านและเปิดจองห้องพักและแพกเกจท่องเที่ยวในราคาถูก โดยมีผู้ประกอบการท่องเที่ยวและประชาชนชาวเชียงรายและข้างเคียงเดินทางไปร่วมงานเป็นจำนวนมาก
       
       นายชูชาติ อ่อนเจริญ ผู้อำนวยการการ ททท.สำนักงาน จ.ระยอง กล่าวว่า โครงการส่งเสริมการขายจากทะเลสู่ดอยในช่วงฤดูฝนเช่นนี้ ททท.มุ่งหวังในการพาผู้ประกอบการจากระยอง จันทบุรี ตราด ปราจีนบุรี สระแก้ว และ นครนายก มาออกร้านส่งเสริมการขายห้องพัก และแพกเกจท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งก็ไม่ได้คาดหวังยอดขายเต็ม 100% แต่เชื่อว่า จะเห็นผลภายใน 2 เดือนข้างหน้าที่เป็นช่วงปิดภาคเรียนและฤดูท่องเที่ยว คาดว่า จะทำให้การท่องเที่ยวในภาคตะวันออกโตขึ้นประมาณ 10-20% ต่อไป

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000115637


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 13 กันยายน 2011, 17:17:50
นที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7593 ข่าวสดรายวัน


เผยราคาที่ดิน'เชียงของ'เริ่มนิ่ง หลังพุ่งสูงเกินจริง-รอสร้างสะพานไทย-ลาว



เชียงราย - นายสุธิพงศ์ อินทจักร เจ้าพนักงานที่ดิน จ.เชียงราย สาขาเชียงของ เปิดเผยว่าในปัจจุบันราคาที่ดินบริเวณชายแดนไทย-สปป.ลาว ติดแม่น้ำโขงด้าน อ.เชียงของ พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกันมาหลายปีแล้ว โดยหลายจุดมีราคาซื้อขายที่เกินจริงหรือสูงกว่าราคาประเมินไม่น้อยกว่า 50% บางจุดเป็นการปั่นราคาของกลุ่มนายทุน ราคาแต่ละจุดแตกต่างกันออกไป เช่น ที่ดินริมแม่น้ำโขง ซื้อขายกันเกินไร่ละ 1,500,000 บาท ขณะที่ดินโดยทั่วไปต่างก็มีราคาพุ่งสูง สำหรับบริเวณก่อสร้างถนนเชื่อมกับตัวสะพานแม่น้ำโขงไปจนถึงบริเวณก่อสร้างสะพาน พบว่าเป็นที่ดิน ส.ป.ก.4-01 การซื้อขายกันมากคือบริเวณรอบนอก

นายสุธิพงศ์ กล่าวว่าอย่างไรก็ตามในปัจจุบันสภาพการซื้อขายโดยดูจากการทำนิติกรรม ผ่านสำนักงานที่ดิน ลดลงจนแทบไม่มีการซื้อขาย คาดว่าเป็นผลมาจากการกว้านซื้อขายกัน เข้มข้นของกลุ่มทุนตั้งแต่ก่อนปี 2552-2553 แล้ว ช่วงนั้นมีการทำธุรกิจซื้อขายหรือโอนที่ดินผ่านสำนักงานที่ดินกันอย่างคึกคัก ปีนี้การซื้อขายก็ไม่มีเกิดขึ้นเพิ่มเติมอีกและผู้ถือครองที่ดินยังคงอยู่นิ่งรวมทั้งเป็นเจ้าเดิมอยู่ อาจเป็นไปได้ว่ามีการเก็บที่ดินเอาไว้เพื่อรอประเมินราคากันใหม่เพื่อหวังจะขายต่อในราคาที่สูงกว่า นอกจากนี้อาจมีการปั่นราคากันเพื่อรออนาคตเมื่อสะพานแล้วเสร็จก็ได้ ทางสำนักงานที่ดินจะมีการใช้เกณฑ์ประเมินราคาใหม่ซึ่งจัดทำโดยกรมธนารักษ์ตั้งแต่ปี 2555-2558 ราคาประเมินใหม่คงจะสูงขึ้นตามสถานการณ์แน่นอน

สำหรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ เป็นสะพานเชื่อมไทย-สปป.ลาว แห่งที่ 4 เชื่อมกับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว รัฐบาลไทยและจีนตกลงใช้งบประมาณในการก่อสร้างฝ่ายละ 50% กำหนดตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2553 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธ.ค.2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน ด้วยงบประมาณ 1,486.5 ล้านบาท

หน้า 29


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 15 กันยายน 2011, 12:39:20
คมนาคมดันแผนพัฒนาราชบุรี-นครปฐม เป็นศูนย์กองเก็บสินค้าขนาดใหญ่เชื่อมโยงมอเตอร์เวย์และรถไฟทางคู่ป้อนสู่ท่าเรือปากบารา หวังเชื่อมถึงแหล่งผลิตสินค้าจากเหนือ-อีสานจดใต้ป้อนท่าเรือปากบารา-สงขลา 2 ยันเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนและบริหารจัดการ "สุพจน์" เผยพร้อมพัฒนา CY รองรับสินค้าที่มาจากพื้นที่ต่างๆ ล่าสุดจี้สนข.-ร.ฟ.ท.ปรับแก้แบบโครงการรถไฟทางคู่ 5 เส้นทางให้เร่งเสนอคลังชี้แหล่งทุนดำเนินโครงการ


นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า กระทรวงคมนาคมมีแผนเร่งผลักดันโครงการพัฒนาศูนย์กองเก็บสินค้าขนาดใหญ่ที่ราชบุรี-นครปฐม เพื่อป้อนสินค้าสู่ท่าเรือปากบารา-สงขลา 2 ในพื้นที่จังหวัดสตูล-สงขลา ซึ่งเน้นไปในเรื่องการขนส่งสินค้าป้อนสู่ทะเลให้เกิดการเชื่อมโยง 2 ฝั่งทะเลด้วยเส้นทางรถไฟ ขณะนี้ยังได้เร่งผลักดันแผนพัฒนาโครงข่ายเชื่อมโยงจากพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงแหล่งผลิตสินค้าหลักๆ ให้ป้อนสู่ท่าเรือปากบาราและสงขลา 2 ได้อย่างสะดวก เนื่องจากจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
"ปากบาราเป็นแผนการพัฒนาระดับประเทศ มีผลดีต่อสภาพเศรษฐกิจ ส่วนรวมของประเทศไทยให้สามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆได้ โดยมีทั้งแผนการเร่งผลักดันโครงการถนนและเส้นทางรถไฟที่มีผลการศึกษาเบื้องต้นรองรับไว้แล้ว เช่น โครงการทางพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์ที่ขึ้นตรงกับกรมทางหลวง เส้นทางจากนครราชสีมา-บางปะอิน เส้นทางนครสวรรค์-บางปะอิน เส้นทางบางปะอิน-บางใหญ่-ราชบุรี(บ้านโป่ง)มุ่งสู่ภาคใต้ นอกจากนั้นยังเร่งโครงข่ายรถไฟทางคู่จากเชียงแสนและเชียงของ จังหวัดเชียงรายที่เชื่อมจากจีนตอนใต้ ผ่านแนวทางคู่นครสวรรค์-ลพบุรีป้อนสู่เส้นทางนครปฐม-หนองปลาดุก-ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพรเชื่อมต่อไปยังสถานีหาดใหญ่ ซึ่งขณะนี้บางช่วงใกล้สรุปผลการศึกษา และส่วนหนึ่งอยู่ในระหว่างการขออนุมัติงบประมาณเพื่อว่าจ้างศึกษา ส่วนมอเตอร์เวย์เส้นทางที่พร้อมเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนมีอยู่จำนวน 2 เส้นทาง คือ บางปะอิน-นครราชสีมาและบางใหญ่-บ้านโป่งโดย พร้อมจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาอนุมัติได้แล้ว"


นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า มีแผนพัฒนาพื้นที่ราชบุรีและนครปฐมให้เป็นศูนย์กองถ่ายสินค้าขนาดใหญ่รองรับแผนการพัฒนาของกระทรวงคมนาคมที่จะเร่งผลักดันโครงการก่อสร้างท่าเรือปากบาราที่ภาคใต้ ซึ่งอยู่ในดินแดนไทย มากกว่าจะเน้นไปที่โครงการทะวายในประเทศพม่า ที่ยังไม่มีความชัดเจนในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะความคุ้มทุนที่ประเทศไทยจะได้รับ แต่ปัจจุบันการพัฒนาโครงข่ายในพื้นที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งถนนในความดูแลของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท
"พื้นที่บ้านโป่ง ราชบุรี และนครปฐม เหมาะสมที่จะพัฒนาให้เป็นคอนเทนเนอร์ยาร์ดหรือ CY เพื่อกองถ่ายสินค้าก่อนป้อนสู่ท่าเรือหลักทางรถไฟและรถยนต์ต่อไป ลงทุนไม่มากเพราะเป็นพื้นที่ของการรถไฟฯและเกิดการเชื่อมโยงได้ดีกว่า สิ่งสำคัญยังสามารถรองรับการขนส่งสินค้าจากทะวายและพื้นที่ต่าง ๆ ได้อีกทางหนึ่งด้วย โดยการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ที่จะสนับสนุนโครงการแลนด์บริดจ์และปากบาราคาดว่าจะมีปริมาณตู้คอนเทนเนอร์เข้ามาใช้ท่าเรือที่จังหวัดสตูลและจังหวัดสงขลาในปี 2558 จำนวน 468,500 ทีอียู โดยจะมีประมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ผ่านท่าเพิ่มขึ้น 1,540,500 ทีอียู ในปี 2578 โดยการเปิดใช้ท่าเรือในปีแรกคาดว่าจะมีปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ผ่านจำนวน 400,000-450,000 ทีอียู จึงสามารถดึงดูดให้สายการเดินเรือสำคัญๆในภูมิภาคนำเรือเข้ามาเทียบท่าได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น"


ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2554 ได้สั่งการให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.)ที่ได้รับงบเพื่อศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรถไฟทางคู่ 2 เส้นทาง คือ เส้นทางถนนจิระ-ขอนแก่นและเส้นทางประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร คาดจะเปิดขายซองประกวดราคาก่อสร้างได้ปลายปี 2554 นี้ และการรถไฟแห่งประเทศไทย อยู่ระหว่างการขออนุมัติงบประมาณ 355 ล้านบาทในปี 2555 เพื่อศึกษาใน 3 เส้นทางที่เหลือ คือ 1.ลพบุรี-ปากน้ำโพ 2.มาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ และ 3.นครปฐม-หนองปลาดุกไปปรับแก้แบบให้สอดคล้องกับแผนการพัฒนาโดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงที่จะผ่านในเส้นทางร่วมกันด้วยหากเส้นทางไหนมีความพร้อมให้รีบนำเสนอกระทรวงการคลังชี้แหล่งทุนและนำเสนอครม.อนุมัติสร้างต่อไป

โดยก่อนหน้านี้คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2552 เห็นชอบแผนพัฒนารถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง ระยะเร่งด่วน (2553-2557) วงเงิน 66,100 ล้านบาท ระยะทาง 767 กิโลเมตร ประกอบด้วย 1.ลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 118 กิโลเมตร วงเงิน 7,860 ล้านบาท 2.มาบกะเบา -ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กิโลเมตร วงเงิน 11,640 ล้านบาท 3.ชุมทางถนนจิระ- ขอนแก่น ระยะทาง 185กิโลเมตร วงเงิน 13,000 ล้านบาท 4.นครปฐม-หนองปลาดุก ระยะทาง 165 กิโลเมตร วงเงิน 16,600 ล้านบาท และ 5. ประจวบศีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กิโลเมตร วงเงิน 17,000 ล้านบาท

สำหรับโครงการท่าเรือปากบาราข้อมูลจากผลการศึกษาเบื้องต้นของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.)พบว่า ผลการศึกษาชี้ชัดเรื่องการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ของผู้ที่มีความเชี่ยวชาญพบว่าอยู่ในสัดส่วนที่ลงทุนได้ นั่นคือ มีอัตราผลตอบแทน EIRR ประมาณร้อยละ 17.36 ในขณะที่มูลค่าปัจจุบัน คิด ณ อัตราร้อยละ 8 เท่ากับ 28,261 ล้านบาท และร้อยละ 12 เท่ากับ 9,278 ล้านบาท โดยกรอบแนวคิดมี 4 ด้าน คือ การวิเคราะห์ต้นทุน ที่จำแนกเป็นค่าลงทุนและค่าบำรุงรักษา การวิเคราะห์ผลประโยชน์ของโครงการ การวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการ และการวิเคราะห์ความอ่อนไหวของโครงการซึ่งพบว่าค่าลงทุนด้านการเงิน มีมูลค่ารวม 37,479 ล้านบาท ในทางเศรษฐศาสตร์เท่ากับ 31,260 ล้านบาท อายุการดำเนินโครงการ 30 ปี
ส่วนรายได้ประมาณการจัดเก็บค่าธรรมเนียมตลอด 30 ปี ประมาณ 43,107 ล้านบาท จะช่วยการประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าในภาคใต้ได้ประมาณ 134 ล้านบาทในปีที่ 1 และเพิ่มเป็น 3,269 ล้านบาท ในปีที่ 30 ของการดำเนินโครงการ โดยโครงการปากบาราเป็นคนละโครงการสำหรับการเป็นประตูเศรษฐกิจของไทยกับทะวายที่รัฐบาลยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องการมีส่วนขับเคลื่อนในพื้นที่ภาคตะวันตกแถบกาญจนบุรี และราชบุรีที่ไม่ต้องไปพึ่งพาคนอื่นในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย สิ่งที่น่าจับตามองคือ เรื่องการเพิ่มมูลค่าของที่ดินซึ่งจากการวิเคราะห์(ปี 2549) พบว่าราคาที่ดินจะเพิ่มขึ้นจากราคาประเมิน 380,000 บาทต่อไร่อย่างแน่นอนโดยจะมีมูลค่าที่ดินเพิ่มขึ้นภายหลังมีท่าเรือแล้วประมาณ 104 ล้านบาท ในปีที่ 1 และ 3,165 ล้านบาทในปีที่ 30 ซึ่งเป็นการส่งผลดีต่อหลาย ๆ ส่วนในพื้นที่อย่างเห็นได้ชัด ไม่นับเรื่องการจ้างแรงงานในภาคใต้ที่ปัจจุบันว่างงานอยู่กว่า 800,000 คนจะได้มีงานทำในโครงการนี้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,670 15-17 กันยายน พ.ศ. 2554


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 กันยายน 2011, 16:54:17
   ผู้ว่าฯ เชียงรายจี้ทุกหน่วยเร่งเตรียม “คน-พื้นที่” รับจีนเชื่อมจีเอ็มเอส

 เชียงราย - พ่อเมืองเชียงราย นำทีมตั้งวงระดมความเห็น “มหัศจรรย์เมืองเชียงรายสู่การท่องเที่ยว 750 ปี” ผู้ว่าฯ ย้ำต้องเร่งเตรียมพร้อม “คน-พื้นที่-แรงงาน” รองรับการเชื่อมโยงจีน-จีเอ็มเอส
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้เป็นประธานการประชุมสัมมนาระดมความคิดเห็นภายใต้หัวข้อมหัศจรรย์เมืองเชียงรายสู่การท่องเที่ยวฉลอง 750 ปี ณ โรงแรมห้วยริน รีสอร์ท อ.แม่สาย จ.เชียงราย เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยมีตัวแทนจากส่วนราชการ ภาคเอกชน ประชาชนและนักศึกษาสถาบันต่างๆ เข้าร่วมประมาณ 100 คน เพื่อเก็บรวบรวมเป็นข้อมูลนำไปดำเนินการ ประกอบการเฉลิมฉลองเมืองเชียงรายมีอายุครบ 750 ปีในปี 2555 ต่อไป
       
       นายสมชัยกล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนบน หรือจีเอ็มเอส รวมถึงประเทศจีน กำลังถูกจับตามองจากนักลงทุน เนื่องจากกำลังมีการเจริญเติบโตทั้งด้านการค้าและการท่องเที่ยว ขณะที่ประตูหลักของไทยในการเชื่อมสู่จีเอ็มเอส คือ จ.เชียงราย แต่ตอนนี้ยอมรับว่าเชียงรายเองก็ยังไม่ได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนเพื่อรองรับ ดังนั้นจึงมีการระดมสมองกันในครั้งนี้
       
       นายสมชัยกล่าวว่า ตอนนี้จีนรุกคืบทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีการก่อตั้งเมืองใหม่เฉินกุง ขึ้นในมณฑลหยุนหนัน ห่างจากเมืองคุนหมิงประมาณ 20 กิโลเมตร โดยเป็นการรวมรวมภาคธุรกิจ ภาคการค้าและย่านธุรกิจไว้ด้วยกัน ทำให้อนาคตอาจเป็นศูนย์กลางของโลก นอกจากนี้ยังจัดโซนภูเขา รวบรวมมหาวิทยาลัย 11 แห่งไว้ด้วยกัน พร้อมกับสร้างเส้นทางรถไฟจากมณฑลหยุนหนัน ผ่าน สปป.ลาว เชื่อมต่อไปยังเวียดนาม เพื่อระบายสินค้าและคน
       
       ส่วนภาคเอกชนก็สร้างตลาดการค้าโหลซือหวัน เพื่อกระจายสินค้าทุกประเภท ขณะที่ไทยมีการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ เชื่อมกับเมืองห้วยทราย สปป.ลาว แล้วเสร็จปี 2556 สามารถเชื่อมโยงกับตลาดดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
       
       “วันนี้เราต้องรู้เขารู้เรา ด้วยการเตรียมพร้อมรับมือคือเตรียมคนว่าใครจะมีส่วนเกี่ยวข้อง มีความพร้อมแค่ไหน เตรียมพื้นที่จุดใดไว้รองรับ และแรงงานมีคุณภาพเพียงพอหรือไม่ ควรมีการฝึกอาชีพที่เกี่ยวให้ โดยอาศัยสถาบันการศึกษาหลักที่มีอยู่ 2 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ในการผลิตนักศึกษาที่มีคุณภาพออกสู่ตลาด ตลอดจนส่งคนไปศึกษาในประเทศคู่ค้าและส่งเสริมภาษาจีน เพราะขณะนี้ทั้งการค้าและการท่องเที่ยวจะต้องขายในตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะจีน” นายสมชัยกล่าว
       
       นายสมชัยยังย้ำอีกว่า นอกจากนี้ยังต้องเตรียมความพร้อมในการศึกษาเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้แต่ละอำเภอหาจุดเด่นของแต่ละพื้นที่ เช่น พื้นที่แรงงาน พื้นที่โรงงานอุตสาหกรรม พื้นที่การค้าและพื้นที่การท่องเที่ยว ฯลฯ

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000119003


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 กันยายน 2011, 21:11:37
ญี่ปุ่น-เอเชียแห่ลงทุนนิคมฯทะลุ 3 พันไร่

 
นางมณฑา ประณุทนรพาล ผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า ยอดขายพื้นที่ใน 47 นิคมอุตสาหกรรม ในรอบ 11 เดือนที่ผ่านมา มีสัดส่วนคิดเป็น 88.13% ยอดขายรวม 2,644 ไร่ จากเป้าหมายปีงบ 54 ตั้งเป้าไว้ ว่าจะมียอดขายรวม 3,000 ไร่ ยอดขายดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นยอดขายในนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานกับเอกชน ส่วน พื้นที่นิคมของ กนอ.ขายได้ 59 ไร่

ทั้งนี้ กนอ.มั่นใจว่าการย้ายฐานการ ลงทุนของนักลงทุนที่มีมาอย่างต่อเนื่องจะส่งผลดีต่อภาพรวมการลงทุนในปี 2555 และคาดว่าจะทำให้ยอดขายพื้นที่นิคมฯ มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนที่ซื้อพื้นที่ในนิคมฯส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น และประเทศใน เอเชีย ส่วนนักลงทุนยุโรปมีน้อยมาก โดยจะลงทุนเพื่อประกอบอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุปกรณ์ไฟฟ้า สาเหตุที่ยอดขาย พื้นที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากปัจจัยบวกทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ในประเทศไทย รวมทั้งการที่อาเซียนจะก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ประกอบกับมีปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ ของต่างประเทศ ทั้งภัยสึนามิที่ญี่ปุ่น และปัญหาเศรษฐกิจจากยุโรป โดยมั่นใจว่าภาย ในปีนี้ กนอ.จะมียอดขายพื้นที่นิคมฯได้ตามเป้าหมายที่ 3,000 ไร่

ส่วนรายได้ของกนอ.ปีนี้อยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 3,000 ล้านบาท ขณะที่มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการ บริหารอยู่ที่ประมาณ 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้อยู่ที่ประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่งค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากต้องพัฒนานิคมให้มีศูนย์ เฝ้าระวัง และการติดตั้งซีซีทีวีเพื่อดูแลความ ปลอดภัยต่างๆ ส่วนการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในปีงบประมาณ 2554 นั้น มีความคืบ หน้ามาก ปัจจุบันมีนิคมอุตสาหกรรมเข้าร่วม แผนงานทั้งหมด 3 นิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร นิคมอุตสาหกรรมหนองแค

ผู้ว่าการนิคมยังได้กล่าวว่า เพื่อเตรียม ความพร้อมเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียนในปี 2558 กนอ.มีแผนการเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดเสรีการค้า โดยการศึกษาพื้นที่ในแถบชายแดนเพื่อการเชื่อม โยงทางการลงทุนและมีความสะดวกในด้านคมนาคม จำนวน 4 แผนงาน ได้แก่ โครงการพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ โครงการนิคมอุตสาห กรรม อ.เชียงของ จ.เชียงราย โครงการนิคม อุตสาหกรรมในจังหวัดชายแดน พื้นที่ชาย แดนพุน้ำร้อน อ.เมือง จ.กาญจนบุรี โครงการสนับสนุนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด และโครงการศึกษาการพัฒนานิคม อุตสาหกรรม และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบ ตาพุดเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงระบบขนส่ง ทั้งนี้ระยะเวลาต่อโครงการคาดว่าน่าจะใช้เวลาดำเนินงานไม่ต่ำกว่า 3 ปี ส่วนความคืบหน้าการพัฒนานิคมศูนย์บริการเบ็ดเสร็จครบวงจร นิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล จังหวัดปัตตานี ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างเตรียมการก่อสร้าง โดยคาดว่าน่าจะแล้วเสร็จในปี 2556-2557 ซึ่งเหตุที่ล่าช้าเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้ขาดแคลนแรงงานที่มีความสามารถ ตลอดจนปัญหาข้อขัดแย้งของคนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม กนอ.จะเร่งดำเนินงานให้แล้วเสร็จตามกำหนดโครงการ

สำหรับการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในปีงบประมาณ 2554 ขณะ นี้มีความคืบหน้าโดย กนอ.เร่งผลักดันให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นและกำหนดให้มีคณะกรรมการทั้งในระดับชาติและในระดับพื้นที่มุ่งเน้นให้มีการปล่อยของเสียน้อยที่สุดด้วยการบริหารจัดการทรัพยากร และพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ตามหลักการ 3’R โดยการมีส่วนร่วมของชุม ชน ซึ่งอาจจะต้องมีการประสานความร่วม มือกับกระทรวงมหาดไทยในการพัฒนารองรับสนับสนุนซึ่งกันและกัน
 
http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413355594


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 27 กันยายน 2011, 17:57:03
วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7607 ข่าวสดรายวัน


กำแพงเมืองลาว

รุ้งตัดแวง
สปาย-กลาส


ในการเดินทางสำรวจเส้นทางการค้าสายกรุงเทพฯ-คุนหมิงซึ่งเชื่อมไทยผ่านลาวไปยังจีน กับคณะยุทธศาสตร์ภาคเหนือตอนบนของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สมชัย หทยะตันติ เมื่อกลางเดือน

มีโอกาสพบกับ จู เสี่ยวหยาง ผู้อำนวยการสำนักนำเข้า-ส่งออกสินค้าและรองอธิบดีกรมพาณิชย์มณฑลยูนนานของจีนซึ่งเล่าให้ฟังว่า เส้นทางนี้มีระยะทางอยู่ในยูนนาน 1,807 กิโลเมตร ในลาว 240 กิโลเมตรและในไทย 900 กิโลเมตร จากการประเมินสภาพโดยรวม ท่านชมว่าถนนในไทยดีที่สุด

ถนนดี มีด่านเก็บค่าผ่านทางที่กรุงเทพฯ เท่านั้น ที่เหลือก็ไม่มีด่านอีก ส่วนในเขต ยูนนานเอง ยอมรับว่า ยังไม่ดีพอในด้านการบริการผู้ขับขี่ แต่ถนนช่วงที่อยู่ในลาว พูดแล้วเหนื่อย

นอกจากจะไม่ได้คุณภาพและไม่มีการดูแลที่ดีแล้ว ยังเก็บค่าผ่านด่านจุกจิก ทำให้ต้นทุนในการขนส่งพุ่งทะยาน

พร้อมยกตัวอย่างว่า เมื่อเดือนเม.ย. รัฐบาลไทยกับจีนทำข้อตกลงทางการค้า หรือ เอ็มโอยู ด้านผักและผลไม้กัน

วางแผนว่าจะส่งสินค้าให้ไทยวันละ 50 โกดังและจากไทยมาจีน 30 โกดัง แต่มาเจอด่านลาว ทำให้ต้องลดจำนวนการขนส่งลงเรื่อยๆ จึงขอให้ไทยช่วยเจรจากับลาวให้หน่อย

ความจริงเรื่องนี้ไม่ได้กระทบเฉพาะจีน บริษัทต่างชาติที่ทำการค้ากับลาวต่างรู้ดี ปัญหาด่านเก็บค่าต๋งของเจ้าหน้าที่ลาวมีอยู่ยุ่บยั่บ

ไม่เท่านั้น รัฐบาลลาวยังแข็งเรื่องภาษี โดยกรมศุลกากรเพิ่งประกาศจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าตายตัวไปจนถึงปี 2556 อ้างว่าเป็นเงื่อนไขที่ต้องทำ เพื่อให้ได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก WTO

และภาษีตายตัวที่ว่า ลาวไม่ได้อิงจากราคาสินค้าจริงในตลาดโลก อย่างกรณีรถยนต์นำเข้า บริษัทคนไทยรายหนึ่งบ่นว่าลำบากใจเพราะลาวกำหนดของไทยไว้แพงกว่ารถจากจีนและเกาหลี ทำให้ไทยแข่งกับคนอื่นลำบาก

หน้า 7


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 02 ตุลาคม 2011, 20:04:44
อธิบดีกรมเจ้าท่ายันอุทกภัยไม่กระทบท่าเรือเชียงแสน#2

นายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ อธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยถึงความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการท่าเทียบเรือเชียงแสน 2 จ.เชียงราย ว่า ขณะนี้โครงการก่อสร้างมีความคืบหน้ากว่าร้อยละ 96 ทั้งนี้ จากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด รวมถึงภาคเหนือ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการก่อสร้างโครงการดังกล่าวแต่อย่างใด จึงมั่นใจว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จตามแผนที่กำหนด โดยจะสิ้นสุดในวันที่ 28 ธันวาคมนี้
สำหรับโครงการก่อสร้างท่าเรือเชียงแสน 2 มีวงเงินลงทุนก่อสร้างกว่า 1,546 ล้านบาท ได้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2552 และตามแผนงานจะสิ้นสุดในวันที่ 28 ธันวาคม 2554 รวมระยะเวลาก่อสร้าง 960 วัน ซึ่งหลังจากก่อสร้างเสร็จ จะมีขีดความสามารถในการรองรับจำนวนเรือขนาด 350 ตันกรอส ได้พร้อมกัน 10 ลำ โดยจะมีการก่อสร้างท่าเรือลาดต่ำ 2 ท่า รองรับเรือขนส่งสินค้าทั่วไปได้ 6 ลำ และท่าเรือแนวดิ่ง 1 ท่า รองรับเรือขนส่งสินค้าแบบคอนเทนเนอร์ได้ 4 ลำ ซึ่งคาดว่าปีแรกจะมีสินค้าผ่านท่ากว่า 710,000 ตัน และรองรับนักท่องเที่ยวสูงสุดปีละ 55,356 คน
ทั้งนี้ การขนส่งสินค้าท่าท่าเทียบเรือดังกล่าว คาดว่าจะมีประเทศที่ได้รับประโยชน์ด้านการขนส่งสินค้า ประกอบด้วย ประเทศไทย ลาว จีน โดยจะได้รับผลประโยชน์ทั้งการขนส่งสินค้า และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าประเภทปาล์มน้ำมัน รถยนต์ และยาง

http://www.manager.co.th/Home/ViewNe...=9540000125179


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 ตุลาคม 2011, 19:16:34
จีนเปลี่ยนเส้นรถไฟฟ้าเร็วสูง เป็นสายกรุงเทพฯ-เชียงของ

                แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการหารืออย่างไม่เป็นทางการกับเจ้าหน้าที่ของประเทศจีนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ว่า เบื้องต้นประเทศจีนมีแนวคิดที่จะเปลี่ยนเส้นทางรถไฟฟ้าความเร็วสูงในเส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย ไปเป็นเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงของ จังหวัดเชียงรายแทน ทั้งนี้ สาเหตุที่มีการปรับเปลี่ยนแผนเนื่องจากที่ผ่านมาเกิดปัญหาขึ้นระหว่างประเทศจีนกับประเทศลาว ซึ่งขณะนี้ประเทศจีนยังไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงจากจีนมายังเวียงจันทน์ได้เป็นที่เรียบร้อย

                "ตอนนี้การหารือระหว่างจีนกับลาวเกี่ยวกับการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงยังไม่มีความคืบหน้า เพราะทางการลาวยังไม่ยอมรับเงื่อนไขที่จีนต้องการ และไม่ยอมให้จีนสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงผ่านลาว ดังนั้นทางจีนจึงอาจจะตัดปัญหาดังกล่าวด้วยการเข้ามาดำเนินโครงการกับทางไทยก่อน โดยเปลี่ยนเส้นทางใหม่เพื่อย่นระยะทางจากไทยไปยังจีนให้สั้นลงด้วย สำหรับความคืบหน้าในโครงการดังกล่าวทางตัวแทนจากประเทศจีนยังไม่ได้เข้ามาหารือกับทางกระทรวงคมนาคมอย่างเป็นทางการ"

                รายงานข่าวแจ้งว่า โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงในเส้นทางกรุงเทพฯหนองคาย ระยะทาง 615 กิโลเมตร มูลค่าประมาณ 1.5 แสนล้านบาท มีปัญหาเนื่องจากรัฐบาลลาวเกรงว่าทางรัฐบาลจีนจะเข้ามาครอบครองประเทศลาวจากโครงการดังกล่าว เนื่องจากทางการจีนได้ปรับเพิ่มเงื่อนไขต่างๆ ขึ้นมาภายหลังได้ลงนามความเข้าใจร่วมกัน (เอ็มโอยู) กับรัฐบาลลาวแล้ว ทางรัฐบาลลาวจึงไม่ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว และส่งผลให้โครงการไม่สามารถวางศิลาฤกษ์ตามที่กำหนดไว้ในเดือนพฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมาให้เรียบร้อยได้

http://corehoononline.com/index.php/2010-01-28-21-20-42/2010-04-20-06-39-17/30098-2011-10-04-15-23-43 (http://corehoononline.com/index.php/2010-01-28-21-20-42/2010-04-20-06-39-17/30098-2011-10-04-15-23-43)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 ตุลาคม 2011, 09:21:35
เชียงรายนำร่องแผนรับมือ"เออีซี" บูมฮับหกเหลี่ยมเศรษฐกิจส่งสินค้าจีนไปสิงคโปร์


(http://image.free.in.th/z/ih/4it0y.gif) (http://image.free.in.th/show.php?id=2b987187564623eb999807be5b8eeb42)

ผู้ว่าฯเชียงรายนำร่องจังหวัดแรกเปิดเวทีดึงภาครัฐ-เอกชนเตรียมความพร้อมรับมือ AEC ปี"58 ยกระดับ "คน-งาน-พื้นที่" ดันเป็นเมือง "ศูนย์ กลางแวะพักสินค้า" หกเหลี่ยมเศรษฐกิจ ขนส่งสินค้าจากจีนทะลุเข้าสิงคโปร์ และวอนทุกกระทรวงตื่นตัวหนุนทุกจังหวัดเร่งปรับตัว

นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า วางแผนระดมทั้งภาครัฐและเอกชนระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัด (cluster) ร่วมสัมมนาในเดือนกันยายนนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ปี 2558 โดยจะยกระดับเชียงรายเป็นศูนย์กลางจุดแวะพักสินค้าอาเซียน เนื่องจากเชียงรายเป็นจังหวัดติดแนวตะเข็บชายแดนที่สามารถเชื่อมการขนส่งสินค้าในพื้นที่หกเหลี่ยมเศรษฐกิจ จากจีนตอนใต้ ผ่านเข้า สปป.ลาว เวียดนาม ผ่านไปยังมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซียได้ โดยใช้ศักยภาพโลจิสติกส์ทางน้ำ คือท่าเรือเชียงแสนและท่าเรือเชียงของแห่งใหม่ขนาดใหญ่มาก และใช้การคมนคมทางบกถนนสาย R3A ซึ่งทะลุได้ถึงคุนหมิง มณฑลทางตอนใต้ของจีน ซึ่งมีตลาดนำเข้าและส่งออกสินค้ามูลค่ามหาศาล จึงเป็นโอกาสของเชียงรายและไทยในการสร้างรายได้ทางการค้า โดยให้ประเทศเหล่านี้มาใช้เป็นจุดแวะพักสินค้าและท่องเที่ยว

ส่วนการเตรียมความพร้อมที่จะเริ่มในเชียงรายมีอยู่ 3 ส่วน คือคน งาน และพื้นที่ โดยยึดหลักต้องคงความ เป็นธรรมชาติและวัฒนธรรมความเป็นเมืองล้านนาไว้ให้ได้เหมือนหลวง พระบางของ สปป.ลาว ควบคู่ไปกับการสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจหลังเปิดเออีซี ทุกประเทศจะค้าขายกันอย่างเสรีด้วยภาษี 0%

นายสมชัยกล่าวว่า เรื่องแรก การ เตรียมคนในพื้นที่ มุ่งเน้นยกระดับการศึกษา ขณะนี้หารือกับมหาวิทยาลัย แม่ฟ้าหลวงและสถาบันราชภัฏเพิ่มหลักสูตรภาษาลาวให้คนท้องถิ่นเรียนจนพูดอ่านเขียนได้ เพราะอนาคตเมื่อเปิดการค้าเป็นตลาดหนึ่งเดียวกันแล้ว อาจจำเป็นจะต้องร่างสัญญาเป็นภาษาลาว หรือภาษาอื่นด้วย เรื่องที่ 2 การเตรียมงานหรืออาชีพก็สำคัญมาก เนื่องจากเชียงรายมีชื่อเสียงเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิ ตอนนี้เริ่มมีนายทุนจากที่อื่นเข้ามาซื้อไปทำสวนยางแล้วกว่า 7-8 แสนไร่ สามารถส่งออกติดอันดับ 10

อีกทั้งยังทำไร่ชา กาแฟ ผลไม้ และไม้ตัดดอก ซึ่งพร้อมส่งออกไปยังตลาดขนาดใหญ่จีน เรื่องที่ 3 การเตรียมพื้นที่ ต้องประกาศโซนนิ่งพื้นที่อย่างน้อย 4 โซน คือ 1.โซนการขนส่งโลจิสติกส์ทางบกและทางน้ำ 2.โซนธรรมชาติเพื่อการพักผ่อนและสันทนาการ 3.โซนการค้าและอุตสาหกรรม 4.โซนเกษตรกรรม

"เชียงรายจะเป็นจังหวัดนำร่องที่ ลุกขึ้นมาเปิดเวทีสัมมนา เพื่อปลุกกระแสหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกกระทรวง ไม่ว่าจะเป็นคมนาคมที่รับผิดชอบการก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์กระทรวงอุตสาหกรรมดูแลด้านการลงทุนอุตสาหกรรมและธุรกิจต่าง ๆ กระทรวงมหาดไทยต้องเตรียมความพร้อมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับตำบล จังหวัดตื่นตัวที่จะพัฒนาร่วมกันกับตัวแทนธุรกิจภาคเอกชน ทั้งหอการค้า สภาอุตสาหกรรมแต่ละจังหวัด ถ้าวันนี้ประเทศยังไม่ได้เริ่มต้นอะไร แต่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 4 ปี จะเตรียมรับมือทันได้อย่างไร"

แหล่งข่าว: ประชาชาติธุรกิจ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 ตุลาคม 2011, 23:44:46
สปป.ลาวขุมทรัพย์ ใหม่แห่งเอเชีย

 

 
ขณะที่โลกกำลังสะบักสะบอมจากพิษไข้เศรษฐกิจ อันเนื่องจาก ภาวะวิกฤติการเงินที่ลุกลามใหญ่โตจนยากจะแก้ไข แต่ประเทศหนึ่ง ซึ่งอยู่ปลายจมูกของเรานี่เอง กำลังร่ำรวยขึ้นอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครได้ทันสังเกต และใส่ใจ ประเทศที่พูดถึงนี้ ก็คือประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือที่เรียกย่อๆ ว่า “สปป.ลาว” ซึ่งมีประชากรเพียง 6 ล้านคน แต่มีทรัพยากร ธรรมชาติอย่างมหาศาล ทั้งบนดิน และใต้ดิน จนนักลงทุนจากทั่วโลกอดที่จะชายตามองไม่ได้

แม้สปป.ลาวจะมีผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจของโลกเช่นเดียวกับหลายประเทศ แต่ยังคงมีศักยภาพสูง เนื่องจากที่ผ่านมาระบบเศรษฐกิจของลาวค่อนข้างจะมีความมั่นคงมาโดยตลอด นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1992 เป็นต้นมา ที่มีระบบเศรษฐกิจที่เรียกว่า “จินตนา การใหม่” ซึ่งรัฐบาลเปิดโอกาสให้เอกชนเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ดินได้ มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ถือว่าสามารถดึงดูดนักลงทุนได้ดี ขณะเดียวกันค่าเงินกีบก็ค่อนข้างมีความมั่นคงเมื่อเทียบกับดอลลาร์และเงินบาทในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้แปรผันมาก อยู่ในเกณฑ์ประมาณ 240-250 กีบต่อ 1 บาท

ประเทศลาวกำลังมีนโยบายพัฒนาที่จะให้เป็นประเทศอุตสาหกรรม มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านถนนหนทาง รถไฟ สนามบิน เพื่ออำนวย ความสะดวกให้นักลงทุน และนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ บรรยากาศโดยรวม การค้า การลงทุน การท่องเที่ยวมี ความคึกคัก และขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

>> แผนส่งเสริมการลงทุน

ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ของ สปป.ลาว มีหลักการว่า ประการแรก จะต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรอง รับการพัฒนาประเทศในด้านอุตสาหกรรม ประการที่สอง คือให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 7% และประการที่ 3 ต้องให้ประเทศหลุดพ้นจากสถานะประเทศด้อยพัฒนา หลุดพ้นจากความเป็นประเทศยากจน ในปี ค.ศ. 2020 หรือ พ.ศ.2563 ให้ได้

สปป.ลาว ได้จัดแบ่งโซนส่งเสริมการลงทุนออกเป็น 3 เขต คือ เขตเมืองใหญ่ ต่างแขวง และพื้นที่ห่างไกลที่ยังทุรกันดาร ซึ่งนักลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ ทางภาษีและอื่นๆ แตกต่างกันไป โดยมีเป้าหมายกระจายการลงทุนที่กระจุกอยู่ในเขตที่เจริญแล้วออกไปสู่เขตที่ยังล้าหลังมากกว่า

ทางด้านการค้า สปป.ลาวมีนโยบาย ส่งเสริมการค้าเสรีอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการลงทุนการผลิตเพื่อการส่งออก เนื่อง จากตลาดลาวไม่ได้เป็นตลาดใหญ่ มีประชากรแค่ 6 ล้านคน ดังนั้น การผลิตจึงเป็นการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง มีการส่งเสริมการบริการการค้าต่างแดนมากขึ้น มีการพัฒนา บุคลากรที่จะมีบทบาททางด้านการค้า การสร้างกฎระเบียบต่างๆ ให้เอื้ออำนวยต่อภาคธุรกิจต่างๆ ทั้งทางด้านกฎหมาย ทางด้านการจัดการแสดงสินค้าภายในประเทศ และต่างประเทศ ก็เริ่มมีมากขึ้น

สินค้าส่งออกที่สำคัญของ สปป.ลาวที่เป็นหลักในขณะนี้ ได้แก่ พลังงานไฟฟ้า เหมืองแร่ ไม้ เฟอร์นิเจอร์ไม้ เสื้อผ้าสำเร็จ รูป และสิ่งทอ สำหรับไฟฟ้า สปป.ลาว ขายให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ประเทศไทย เวียดนาม กัมพูชา และจีนตอนใต้

>> แบตเตอรี่แห่งเอเชีย

สปป.ลาว กำหนดนโยบายเป็นแนวทางว่าจะให้ประเทศของตนเองเป็น “Battery of Asia” คือเป็นแหล่งพลังงาน ของเอเชีย โดยการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำให้มากที่สุด ไฟฟ้าที่ได้ใช้เองในประเทศจำนวนไม่มากนัก ส่วนใหญ่ส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น การลงทุนในด้านไฟฟ้าพลังน้ำก็ยังมีศักยภาพสูงอยู่มาก และรัฐบาลก็มีส่วนเกื้อหนุนเต็มที่ที่จะให้ต่างชาติเข้าไปลงทุน มีการก่อสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังงานน้ำ 10 โครงการตามแผนทำให้ลาวเป็น “แบตเตอรี่แห่งเอเชีย” และยังมีโครงการเขื่อนขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก ที่อยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้อีกประมาณ 144 โครงการ

>> เหมืองแร่ ขุมทรัพย์ใต้ดิน

ใต้ผืนดินของสปป.ลาว เป็นแหล่งแร่คุณภาพสูง มีปริมาณมหาศาลที่รอการขุดขึ้นมาใช้ ซึ่งจะเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญและมีบทบาทต่อเศรษฐกิจของสปป.ลาว ในอนาคตอันใกล้นี้ จากการสำรวจโดยกระทรวงพลังงานและเหมืองแร่ในปี 2549 ด้วยความร่วมมือช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญจีนได้พบแร่ที่มีมูลค่าสูงใน สปป.ลาว กว่า 570 แห่ง ทั้งทองแดง ทองคำ แร่เงิน เหล็ก ตะกั่ว สังกะสี ยิปซัมและถ่านหิน

ตามตัวเลขของทางการสปป.ลาว บริษัทเอกชนกว่า 90 แห่งกำลังสำรวจโครง การเหมืองแร่ในลาว 34 บริษัทเป็นของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งมีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เหมืองแร่ที่ใหญ่ที่สุดคือเหมือง ทองแดง และทองคำในแขวงสะหวันนะเขต เป็นของบริษัทของจีน ซึ่งเข้ามาซื้อกิจการจากบริษัทของออสเตรเลีย ชื่อบริษัทอ๊อกเซียนา ซึ่งประสบปัญหาทางด้านการเงิน ประกอบกับจีนก็แสวงหา ทรัพยากรธรรมชาติในประเทศใกล้เคียงอยู่แล้ว การผลิตส่วนใหญ่เป็นการผลิตเพื่อป้อนตลาดจีน ซึ่งมีความต้องการทองแดงค่อนข้างมาก

การสำรวจเบื้องต้นได้ข้อมูลว่ามีแหล่งแร่บ๊อกไซต์ ที่มีปริมาณอยู่ในเกณฑ์ดีมากอยู่ในแขวงจำปาสัก ซึ่งบริษัทของไทยกับจีนร่วมทุนกันที่จะทำการขุดเจาะและตั้งโรงงานถลุง เพื่อส่งออกไปยังตลาด โลก บ๊อกไซ้ต์ถลุงแล้วก็จะออกมาเป็นอะลูมิเนียม ซึ่งความต้องการในตลาดโลกยังสูงอยู่มาก ถือเป็นแหล่งรายได้ให้รัฐบาลลาวในระยะ 20-30 ปี ขณะเดียวกันผู้ที่เข้าไปลงทุนก็สามารถที่จะทำการตลาด ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้รับรู้กันมาก่อนว่าในลาวจะมีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย

>> นักลงทุนต่างชาติแข่งลงทุน

ถ้าย้อนหลังไปประมาณ 10 ปีประเทศ ไทยได้ชื่อว่าเป็นแชมป์การลงทุนในสปป. ลาวในแง่ของมูลค่าการลงทุน แต่ในระยะหลังเวียดนามมาเป็นอันดับหนึ่ง จีนเป็นอีกประเทศหนึ่งที่เข้าไปลงทุนเป็นอันดับสอง โดยเข้าไปลงทุนสร้างเมืองใหม่ที่แขวง บ่อแก้ว ซึ่งตรงข้ามกับจังหวัดเชียงราย เป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ขนาดใหญ่ ครบวงจร เงินลงทุนหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้แขวงบ่อแก้ว เป็นอีกแขวงหนึ่งที่น่าจะดึงดูดนักลงทุนได้

สำหรับธุรกิจของไทย คงจะถึงจุดอิ่ม ตัวเพราะเข้าไปค่อนข้างนานกว่าสิบปีแล้ว ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการก็เป็นรายใหญ่ๆ มีชื่อเสียง เป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อย่างบางโครงการลงทุนไปมากแล้วและสิ้น สุดโครงการ ในแง่ของมูลค่าจึงลดลงไปบ้าง แต่รัฐบาลลาว ก็เคยกล่าวว่าอยาก จะเชิญชวนให้ไทยเข้าไปลงทุนในลาวให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้รักษาอันดับหนึ่งไว้ให้ได้ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ดีของภาครัฐบาลของลาวที่จะตอบรับนักธุรกิจเอกชนไทยมากยิ่งขึ้น

>> ลาวจะพัฒนาให้ทัดเทียมกับเพื่อนบ้าน

รัฐบาลสปป.ลาว ตั้งเป้าหมายไว้ว่าในปีค.ศ.2020 หรือพ.ศ.2563 จะต้องหลุดพ้นจากการเป็นประเทศด้อยพัฒนา พ้นจากการเป็นประเทศยากจน ซึ่งภายในปีนั้นจะต้องไม่มีคนจน ทุกวันนี้ประเทศลาวเปรียบเสมือนแลนด์บริดจ์ของอนุภูมิภาค จะเป็นตัวเชื่อมระหว่างไทย-เวียดนาม-กัมพูชา-จีนตอนใต้ มีเส้นทาง East-West Corridor หรือระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก และเส้นทาง North-South Economic Corridor หรือระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ผ่าน ลาวจึงเหมือนเป็นศูนย์กลางการเชื่อม โยงเครือข่ายในภูมิภาค เพราะฉะนั้นในแง่ของการฉกฉวยประโยชน์การค้าการลงทุน ขนส่ง ท่องเที่ยวเป็นไปสูงมาก และนี่คือประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือสปป.ลาว “ขุมทรัพย์ใหม่แห่งเอเชีย” ที่รอคุณเข้าไปขุดค้น


http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413356289


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 ตุลาคม 2011, 18:33:04
ทุนจีนทุ่ม 5 พันล้านตั้งโรงงานแปรรูปยางพารา ชร.-ส่งกลับลาวขายจีน

เชียงราย - กลุ่มทุนใหญ่ สป.จีน ชิงปักธงก่อน AEC เกิด นำแผนตั้งบริษัทเครือข่ายในไทย ยกทีมพบผู้ว่าฯ-พาณิชย์จังหวัดฯ เล็งทุ่มทุน 5 พันล้านตั้งโรงงานแปรรูปยางพารา เชื่อมเครือข่ายใน สปป.ลาว - จีนตอนใต้ ผลิตสินค้าส่งกลับขายจีน และทั่วโลก

       
       ที่ศาลากลาง จ.เชียงราย สมาคมส่งเสริมเศรษฐกิจและความร่วมมือทางการค้าอาเซียน-จีน นำโดยนายลี โหยง เซ็ง ประธานบริษัทในเครือหยุนซิน กรุ๊ป ได้นำคณะนักธุรกิจจีนเข้าพบนายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย และนายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์ จ.เชียงราย เพื่อแจ้งให้ทราบถึงการเข้าไปลงทุนด้านกิจการแปรรูปยางพาราในพื้นที่ จ.เชียงราย และขอความช่วยเหลือด้านต่างๆ หลังจากที่เครือหยุนซิน กรุ๊ป ได้มีการจดทะเบียนประกอบการชื่อบริษัทซินซิง รับเบอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด เพื่อให้บริษัทไปตั้งกิจการแปรรูปผลผลิตยางพาราเชื่อมโยงกับบริษัทในเครือที่ดำเนินการอยู่ใน สปป.ลาว เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา และที่เมืองคุนหมิง มณฑลหยุนหนัน จีนตอนใต้
       
       นายลี โหยง เซ็ง กล่าวว่า หลังจากจดทะเบียนแล้วบริษัทได้วางแผนจะจัดหาที่ดินใน จ.เชียงราย เนื้อที่ประมาณ 500 ไร่ เพื่อลงทุนด้วยเม็ดเงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านหยวนหรือกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพาราครบวงจร ทั้งการรับซื้อน้ำยางจากเกษตรกรไทย การแปรรูป การกระจายสินค้า ฯลฯ โดยระยะหรือเฟสแรกจะลงทุนก่อนประมาณ 350 ล้านบาท จากนั้นจึงค่อยๆ ขยายกิจการ เมื่อเสร็จสมบูรณ์ก็จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนปีละประมาณ 12,000 ล้านบาท
       
       เขาบอกว่า เหตุที่เข้ามาลงทุนที่เชียงราย เพราะเล็งเห็นถึงศักยภาพด้านพื้นที่ปลูกยางพารา และยังมีเส้นทางคมนาคมที่อยู่ใกล้กับมณฑลหยุนหนัน อันเป็นแหล่งแปรรูปและตั้งกิจการกระจายสินค้าของบริษัท ที่มีอยู่หลายแห่งทั้งที่มณฑลหยุนหนันและจีนตอนใต้ ซึ่งจะทำให้การขนส่งเพื่อเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างบริษัทในเครือมีความสะดวก
       
       นายหลี โหยง เซ็ง กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ปัจจุบันถนน R3A เชื่อม อ.เชียงของ-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ก็แล้วเสร็จจนสามารถใช้งานได้แล้ว และการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเพื่อเชื่อมถนน R3A ก็กำลังจะแล้วเสร็จในปี 2556 รวมทั้งกลุ่มประเทศอาเซียนกำลังจะเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC (ASEAN Economic Community) ซึ่งจะทำให้ได้รับประโยชน์ด้านการลงทุนในกลุ่มประเทศ AEC ด้วย ดังนั้นบริษัทจึงถือโอกาสชิงเข้ามาลงทุนเอาไว้ก่อนตั้งแต่ช่วงต้น เพื่อความได้เปรียบทางธุรกิจ
       
       ส่วนสินค้าที่ผลิตมีหลากหลายโดยจะเน้นการเชื่อมโยงไปยังโรงงานต่างๆ ทั้งใน สปป.ลาว และมณฑลหยุนหนัน ทั้งยางรถยนต์และอื่นๆ เพื่อนำผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าที่สมบูรณ์และกระจายไปยังตลาดจีนและทั่วโลกผ่านศูนย์กลางเครือข่ายที่มณฑลหยุนหนันต่อไป
       
       ด้านนายสมชัย กล่าวว่า บริษัทในเครือหยุนซิน มีเครือข่ายธุรกิจแปรรูปยางพารารายใหญ่ที่จีนตอนใต้โดยเฉพาะการแปรรูปยางรถยนต์ ซึ่งส่งกระจายไปใช้ในประเทศจีน การให้ความสนใจเข้ามาเปิดกิจการในเชียงรายของกลุ่มนี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะจะทำให้เกิดจุดกระจายสินค้าสำหรับยางพาราที่มีการปลูกกันมากในภาคเหนือ และยังช่วยสร้างงานให้คนไทยด้วย จึงได้มอบหมายให้สำนักงานพาณิชย์ จ.เชียงราย ช่วยจัดหาเรื่องที่ดินและให้คำปรึกษาด้านกฎหมายการลงทุนต่างๆ แก่บริษัท
       
       อย่างไรก็ตาม ได้เน้นย้ำให้การลงทุนช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากบริษัทเป็นอย่างดี
       “คาดว่าหากไม่มีสิ่งใดผิดพลาดก็คาดหวังให้มีการวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างโรงงานได้ในปี 2555 เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเมืองเชียงราย 750 ปีไปพร้อมๆ กันด้วย”
       
       ขณะที่นายเฉลิมพล กล่าวว่า พื้นที่ที่บริษัทต้องการมีอยู่หลายจุด โดยที่เหมาะสมมีทั้งในพื้นที่ อ.เชียงของ อ.พญาเม็งราย ฯลฯ ซึ่งได้มีการกำหนดโซนพื้นที่เอาไว้คร่าวๆ เพื่อให้บริษัทได้เลือกดูตามความเหมาะสมแล้ว อย่างไรก็ตามการคัดจุดลงทุนของเอกชนจีนมักจะเกี่ยวข้องกับหลายเรื่องทั้งความเหมาะสมด้านการลงทุน และฮวงจุ้ยด้วย จึงจะมีการลงพื้นที่สำรวจร่วมกับเอกชนจีนรายนี้ต่อไป
       
       ปัจจุบันมีเกษตรกรปลูกยางพาราในพื้นที่ จ.เชียงราย รวมกันทั้งหมดประมาณ 350,000 ไร่ มีสวนยางที่ให้ผลผลิตน้ำยางตั้งแต่ปี 2553 แล้วประมาณ 20,000 ไร่แต่ที่ผ่านมามักจะจำหน่ายทั้งยางแผ่น และน้ำยางได้ในราคาที่ต่ำกว่าราคากลางที่ จ.สงขลา ประมาณ 7-10 บาท ด้วยปัญหาเรื่องต้นทุนค่าขนส่งและการไม่มีโรงงานรมควันในพื้นที่ดังกล่าว แต่ก็ยังถือว่าทำกำไรได้ดีกว่าพืชอื่นๆ และทำให้เกษตรกรทำการปลูกยางพาราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จึงมีผู้สนใจจะเข้าใจเข้าไปลงทุนในพื้นที่มานานหลายปีแล้ว

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000136035


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 ตุลาคม 2011, 18:39:57
นำเข้าผักจีนชะงักเหตุน้ำท่วมตลาดไท-สี่มุมเมือง แต่ด่านเชียงของยังคึก

เชียงราย - ตลาดไท-ตลาดสี่มุมเมือง แหล่งกระจายสินค้าใหญ่จมน้ำ แถมทางการจีนประกาศให้เรือจีนหยุดวิ่งขึ้นลงเชียงรุ่ง-เชียงแสน ทำการนำเข้าพืช ผักผลไม้จากจีนผ่านชายแดนเชียงรายชะงัก แต่การขนส่งสินค้าผ่านเส้นทาง R3a จากจีนตอนใต้-สปป.ลาว-เชียงของกลับคึกคัก

รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า หลังรัฐบาลจีนประกาศให้เรือสินค้าแม่น้ำโขงหยุดแล่นให้บริการตั้งแต่จีนตอนใต้ถึงท่าเรือ อ.เชียงแสน ระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร เพราะเกิดเหตุการณ์กลุ่มติดอาวุธปล้นและยิงคนบนเรือจีน จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 13 ศพ เมื่อ 5 ต.ค.54 ที่ผ่านมานั้น ได้ส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดนในเขตสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจไทย สปป.ลาว พม่า และจีนตอนใต้ อย่างมาก

ทั้งนี้ เนื่องจากเรือสินค้าส่วนใหญ่ในแม่น้ำโขงเป็นสัญชาติจีน ซึ่งมีความชำนาญด้านการเดินเรือแม่น้ำโขง โดยที่ผ่านมามีเรือขนสินค้าตั้งแต่ 100-300 ตันของจีนในแม่น้ำโขงประมาณ 100 ลำ ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นเรือ สปป.ลาว ซึ่งเป็นเรือบรรทุกโคกระบือ เรือท่องเที่ยวและขนสินค้าได้ครั้งละประมาณ 100 ตันเท่านั้น ทำให้ปัจจุบันมีเพียงเรือเหล่านี้แล่นไปมาในระยะใกล้ๆ ตั้งแต่ท่าเรือเชียงกก เมืองมอม ต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว มายังท่าเรือ อ.เชียงแสน และไปทาง อ.เชียงของ บ้างเล็กน้อยส่งผลให้บรรยากาศซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด

นายสุวัฒน์ ด้วงปั้น นายด่านศุลกากร อ.เชียงของ อ.เชียงของ ระบุว่า แต่หลังเกิดเหตุดังกล่าว การค้าชายแดนด้าน อ.เชียงของ กลับเพิ่มมูลค่ามากขึ้น จากเดิมในปีงบประมาณ 2553 ที่ผ่านมามีมูลค่าการค้ารวม 4,938,117,665.78 บาท ปรากฏว่าในปีงบประมาณ 2554 เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 8,199,454,154.55 บาท แยกเป็นการนำเข้ามูลค่า 2,268,311,388.94 บาท และส่งออก 5,931,142,765.61 บาท โดยสินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นพืชผัก ถ่านหินลิกไนต์ ผลไม้ ดอกไม้ ฯลฯ และสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค น้ำมันเชื้อเพลิง ฯลฯ

นอกจากนี้ หลังจากที่เรือสินค้าแม่น้ำโขงหยุดแล่นก็ได้ทำให้สินค้าส่วนใหญ่หันไปใช้ถนน R3a ระยะทางประมาณ 245 กิโลเมตร ผ่าน อ.เชียงของ ข้ามไปยังเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เพื่อไปยังจีนตอนใต้แทนการขนส่งทางเรือ

นายสุวัฒน์ กล่าวอีกว่า ช่วงที่เรือหยุดแล่นใหม่ๆ ตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค.54ที่ผ่านมา ก็ได้มีสินค้าส่วนหนึ่ง ซึ่งได้มีการตกลงซื้อขายกันแล้ว จำเป็นต้องขนส่งมาให้กับลูกค้า ได้หันไปใช้ถนน R3a ผ่านด่านศุลกากรเชียงของแทน จึงทำให้มูลค่าการค้าช่วงนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ก็ยังไม่ใช่ตัวเลขที่บ่งบอกความชัดเจนได้ เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นในการขนส่งในช่วงนั้นเท่านั้น แต่ความชัดเจนจริงๆ คงจะปรากฏให้เห็นตั้งแต่เดือน พ.ย. 54 นี้เป็นต้นไป

"ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องเรือสินค้าจีนหยุดแล่นก็ได้มีการคาดการณ์ว่าตัวเลขการค้าชายแดนด้าน อ.เชียงของ จะเพิ่มมากขึ้นเป็นกว่า 1 หมื่นล้านบาทเศษขึ้นไป แต่เมื่อเรือจีนแล่นไม่ได้ ก็ยิ่งทำให้ตัวเลขเพิ่มทะลุมากกว่า 1 หมื่นล้านบาทแน่นอน แต่จะถึงระดับใดนั้นคงต้องรอการวิเคราะห์ตัวเลขช่วงต่อไปอีกครั้ง เพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง เช่น ความจำเป็นในการขนส่ง ราคาค่าขนส่งทางบกซึ่งทราบว่าแพงกว่าทางเรือน้ำโขงมาก เป็นต้น" นายสุวัฒน์ กล่าว

ด้านนายสงวน ซ้อนกลิ่นสกุล รองเลขาธิการหอการค้า จ.เชียงราย และผู้ประกอบการค้าชายแดน อ.เชียงของ กล่าวว่า ปัจจุบันการค้าชายแดนด้าน อ.เชียงของ ผ่านทางถนน R3A คึกคักอย่างมากเพราะไม่มีเรือขนส่งสินค้าในแม่น้ำโขง ทำให้ที่ด่านเชียงของพบสินค้าตัวใหม่ๆ ที่เคยขนส่งทางเรือมากขึ้น เช่น แอปเปิล สาลี่ มันฝรั่ง ฯลฯ ซึ่งปกติจะขนส่งทางเรือก็หันมาบรรทุกกับรถบรรทุกบนถนน R3a มากขึ้น แต่ลักษณะการขนส่งจะแตกต่างออกไปเพราะไม่ต้องใช้รถคอนเทนเนอร์ตู้เย็นแบบพืชผัก แต่ใช้รถบรรทุกปกติทั่วไปเท่านั้น

การขนส่ง ก็ยังคงใช้รถบรรทุกแพขนานยนต์ ข้ามน้ำโขง ไปรับสินค้าที่ด่านจีน-สปป.ลาว ที่เมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา สปป.ลาว จากนั้นเดินทางกลับมาข้ามแพขนานยนต์ที่ อ.เชียงของ เพื่อนำไปกระจายยังตลาดในประเทศไทยต่อไป

สภาพเช่นนี้ทำให้ด่านพรมแดนเชียงของคึกคักด้วยรถยนต์บรรทุกจำนวนมากจากเดิมมีเพียงรถบรรทุกคอนเทนเนอร์ตู้เย็นก็กลายเป็นบรรทุกพ่วง แพขนานยนต์ในฝั่ง สปป.ลาว ที่มี 1 ลำ และฝั่งไทยอีก 4 ลำ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ชายแดนทั้งสองฝั่งต้องทำงานกันอย่างหนักไม่ได้หยุดหย่อน

นางจุรารัตน์ ชัยสวัสดิ์ ผู้ประกอบการชิปปิ้ง อ.เชียงของ กล่าวว่า แม้การค้าจะมีความคึกคักมากขึ้น แต่เนื่องจากเกิดปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย โดยเฉพาะตลาดไทและตลาดสี่มุมเมือง จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ที่สำคัญของพืชผักจากประเทศจีนก็ถูกน้ำท่วมไปด้วย ดังนั้นการนำเข้าสินค้าประเภทพืชผักจากจีนในช่วงนี้จึงชะลอลงมาก โดยมีการชะลอการนำเข้าไปหลายรายการและปริมาณก็ลดน้อยลง จากเดิมที่เคยมีการนำเข้าวันละ 10-15 ตู้คอนเทนเนอร์ๆ ละ 40 ฟุต ก็ลดจำนวนลงเหลือวันละเพียง 2-3 ตู้โดยพืชผักที่พอนำเข้ามาได้ถูกส่งไปยังตลาดแห่งอื่นๆ เช่น เชียงใหม่ ชลบุรี ราชบุรี ฯลฯ ซึ่งก็มีตลาดขนาดใหญ่รองรับเช่นกัน แต่คาดว่าเมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติการนำเข้าพืชผักก็คงจะคึกคักเหมือนเดิมต่อไป

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9540000136459


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 27 ตุลาคม 2011, 10:15:41
ฟื้นฟูท่องเที่ยวไทย พ้นวิกฤติอุทกภัย

ดร.สุวัตร สิทธิหล่อผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยส่งผลอย่างไรต่อการท่องเที่ยวไทยในขณะนี้ แผนการฟื้นฟูการท่องเที่ยวหลังน้ำลดจะทำอย่างไร และการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายใต้เป้าหมายการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 2 เท่า ในเวลา 5 ปีนี้

จะมีกลยุทธ์อย่างไร อ่านได้จากสัมภาษณ์ดร.สุวัตร สิทธิหล่อ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคนใหม่
++แจงผลกระทบ/แผนฟื้นฟู
         ผลกระทบของอุทกภัยต่อภาคการท่องเที่ยว จะแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน ส่วนแรก  คือ ความเสียหายของแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ประสบอุทกภัย ในจ.นครปฐม จ.สุพรรณบุรี จ.ชัยนาท จ.อ่างทอง จ.นนทบุรี จ.อยุธยา  ซึ่งเบื้องต้นคาดว่ามีไม่ต่ำกว่า 100 อาทิ ตลาดเก่าบางหลวง ร.ศ.122 จ.นครปฐม ตลาดน้ำและโฮมสเตย์ต่างๆ ยังไม่รวมกับความเสียหายของโบราณสถานต่างๆ ที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯต้องหารือร่วมกับกรมศิลปากร เพื่อเสนอแผนฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวหลังน้ำลด 
          ขณะที่ผลกระทบส่วนที่สอง จะเป็นผลกระทบต่อผู้ประกอบการ  จากยอดขายลดลงทั้งภาคโรงแรม บริการนำเที่ยว ร้านอาหารมีต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น บริษัทจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมเอาต์ดอร์แคมปิ้ง และการท่องเที่ยวเชิงผจญภัยยอดขายอุปกรณ์ตก แต่เสื้อชูชีพขายดี ผลิตไม่ทัน และส่วนที่สาม เป็นผลกระทบต่อนักท่องเที่ยว ที่ในขณะนี้กระทรวงยังอยู่ระหว่างการประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะที่กระทบมาก คือ กลุ่มการเดินทางเที่ยวในประเทศของคนไทย รวมถึงกลุ่มโดเมสติกไมซ์ ที่ยกเลิกหรือเลื่อนการเดินทางและการจัดงานออกไป
           สำหรับผลกระทบของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะเป็นเรื่องของนักท่องเที่ยวขาดความเชื่อมั่นในการเดินทางมาเที่ยวไทย ภาพข่าวที่ออกไปดูรุนแรงและตอกย้ำเฉพาะพื้นที่น้ำท่วม ทำให้กว่า 21 ประเทศมีการออกคำเตือนการเดินทางมายังไทย โดย 19 ประเทศ ได้ประกาศให้หลีกเลี่ยงการเดินทางมาไทยรวมถึงการใช้ความระมัดระวังในประเทศไทย ขณะที่ 3 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สเปน ประกาศเตือนขั้นสูงสุดให้นักท่องเที่ยวระงับการเดินทางมาประเทศไทย จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งที่ภาคอื่นๆยังสามารถรองรับนักท่องเที่ยว ทำให้ทางกระทรวงจะเร่งประชาสัมพันธ์สร้างความเชื่อมั่นกับต่างประเทศ โดยโปรโมตให้เดินทางมาเที่ยวในพื้นที่ที่ไม่มีน้ำท่วม เช่น จ.เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต กระบี่ เป็นต้น
          แต่อย่างไรก็ตามจากผลกระทบที่เกิดขึ้นส่งผลให้คาดว่าภายในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวไทยลดลง0.5 ล้านคนจากประมาณการเดิม ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวน่าจะลดลงราว17,000 ล้านบาท ดังนั้นคาดว่าในปี2554 จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวไทย19 ล้านคน เพิ่มขึ้น19.2% (ตารางประกอบ)
      ส่วนแผนการฟื้นฟูและมาตรการพัฒนาการท่องเที่ยวหลังน้ำลด จะดำเนินการทั้งการช่วยเหลือเฉพาะหน้า โดยจัดคาราวานเพื่อนำเครื่องอุปโภคบริโภคไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในจังหวัดต่างๆ และมองถึงการดำเนินการหลังน้ำลด ที่มีทั้งการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว การสำรวจพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวที่จำเป็นต้องบูรณะ การตั้งงบประมาณ 1 พันล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการท่องเที่ยวให้กู้ดอกเบี้ยต่ำ และกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยว โดยจะเสนอกระทรวงการคลังพิจารณามาตรการให้ประชาชนนำค่าใช้จ่ายจากการท่องเที่ยวหลังภาวะน้ำลดในพื้นที่ประสบอุทกภัยมาหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่เกิน 15,000 บาท         
++กางแผนดันรายได้ 2 เท่า
           ขณะที่นโยบายในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ภายใต้การบริหารงานของผมนั้น จะเน้นนโยบายสร้างรายได้ ในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพทั้งการท่องเที่ยวภายในและต่างประเทศ อาทิ กลุ่มการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การท่องเที่ยวเชิงกีฬา และเป้าหมายการเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว 2 เท่าในเวลา 5 ปี โดยคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 30 ล้านคนสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว1.4 ล้านล้านบาท
       โดยจะมีแผนดำเนินการใน 3 ระยะ โดยแผนระยะสั้น ได้แก่ 1.จะดำเนินการฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม 2.การผลักดันมิราเคิล ไทยแลนด์ เยียร์ ภายใต้โครงการต่างๆ ได้แก่โครงการสร้างกระแสการรับรู้ปีมหัศจรรย์ไทยแลนด์ เช่น แข่งฟอร์มูล่า วัน "amazing Thailand : Always Amazes you" โครงการกระตุ้นกระแสการเดินทางทั่วไทย โครงการสร้างเอกลักษณ์ไทยเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว โครงการแสงสีสว่างไสวส่องไฟแหล่งท่องเที่ยว โครงการสีสันสดใสเมืองไทยน่าเที่ยว ท่องเที่ยวปลอดภัยประทับใจไทยแลนด์ 3.ปีแห่งการท่องเที่ยวและกีฬาตามรอยพระบาทวิถีเศรษฐกิจพอเพียง  ที่จะมีโครงการเฉลิมพระเกียรติพระชนมพรรษา 84 พรรษา  โครงการนันทนาการเพื่อการท่องเที่ยว ในกลุ่มนักเรียน เยาวชน ผู้สูงอายุ กลุ่มคนพิการ
            ขณะที่แผนระยะปานกลาง จะเน้นพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวใน 8 คลัสเตอร์ การสร้างความตระหนักถึงผลกระทบและแนวทางการรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือAEC แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมนานาชาติขนาดใหญ่ การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และเคร่งครัดกับการบังคับใช้กฎหมาย การส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน สนับสนุนการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างชาติในประเทศไทย เป็นต้น
         สำหรับแผนระยะยาว จะทำให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องที่ยวระดับโลก ส่งเสริมผู้ประกอบการสร้างและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว(Man maid)ขนาดใหญ่เพื่อสร้างความหลากหลายทางการท่องเที่ยว เป็นต้น
++ รองรับการเปิดเออีซี
             ขณะที่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ในส่วนของประเด็นการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือเสรี ถ้าเข้าสู่AEC จะมีผลให้แรงงานจากทั้ง 10 ประเทศมีโอกาสในการแข่งขันและเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศสูง ประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนาแรงงานให้มีสมรรถนะที่สูงสุดตามที่อาเซียนกำหนดไว้ร่วมกัน ซึ่งมี 32 ตำแหน่งงานในสาขาที่พักและการเดินทาง อาทิ บริษัทนำเที่ยว ,Front office, House Keeping, Food&Beverage Service  ที่จะเปิดการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี
         ดังนั้นกระทรวงการท่องเที่ยวฯจะประสานงานกับกระทรวงแรงงานเพื่อพัฒนาบุคลากรใน 32 ตำแหน่งงาน ภายใต้ข้อตกลงอาเซียน ซึ่งในปี2554 ได้ทำแผนฝึกอบรมสื่อประสมประกอบการฝึกอบรมไปแล้ว สาขาHouse Keeping ตำแหน่งFloor Supervisor และ Room Attendant ขณะที่ในปี2555 จะจัดทำแผนการฝึกอบรมและสื่อประสมประกอบการฝึกอบรมหลักสูตรHouse Keeping ให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์อาเซียนด้านการท่องเที่ยว ปี2554-2558 รวมถึงหลักสูตรที่กลุ่มสาขาการโรงแรมที่เร่งด่วนจำนวน 21 หลักสูตร และทำระบบประเมินตามหลักสูตรมาตรฐานAsian-MRA ของบุคลากรท่องเที่ยว 23 ตำแหน่ง เพื่อให้ทราบถึงระดับความรู้และความสามารถของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวของไทย
        ทั้งหมดล้วนเป็นภารกิจของปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคนใหม่ที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,682   27 - 29  ตุลาคม พ.ศ. 2554


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 28 ตุลาคม 2011, 18:44:49
ท่าอากาศยานไทย เสริมพนังดินสูงกว่า 3.50 เมตร รับมือน้ำท่วม ขณะประชาชนเดินทางไปใช้บริการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 50

ในวันนี้(28 ต.ค. 54) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ขาออกทั้งในและต่างประเทศ เต็มไปด้วยประชาชนที่เดินทางมารอขึ้นเครื่องเพื่อโดยสารไปยังจังหวัดต่างๆ ส่งผลให้บริเวณเคาท์เตอร์เช็คอินน์ มีประชาชนต่อแถวยาวออกมานอกบริเวณ ทั้งนี้จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของท่าอากาศยานพบว่าในช่วงที่เกิดปัญหาอุทกภัย จนมีการประกาศเตือนให้ประชาชนโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร เดินทางไปพักอาศัยกับญาติในต่างจังหวัดนั้น มีประชาชนไปใช้บริการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพิ่มขึ้นจากปกติกว่าร้อยละ 50 ส่งผลให้ทุกเที่ยวบินในประเทศเต็มหมด และบางวันส่งผลให้มีผู้โดยสารเช็คอินน์ไม่ทันจนไม่สามารถเดินทางได้ ซึ่งส่วนใหญ่เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และภูเก็ต
ขณะที่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้สร้างพนังดิน ความสูง 3.50 เมตร รอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีความยาวกว่า 23.5 กิโลเมตร เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมที่อาจจะไหลเข้าสู่ภายใน อีกทั้งภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิยังมีคลองเชื่อมต่อกันจำนวน 6 สาย ซึ่งระดับน้ำยังไม่น่าเป็นห่วง นอกจากนี้ภายในลานจอดรถระยะยาวของท่าอากาศยานยังเต็มไปด้วยรถที่ประชาชนนำมาจอดจนเต็มพื้นที่
อย่างไรก็ตามจากการนั่งรถสำรวจตามถนนพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ได้มีการเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาน้ำท่วมทั้งการนำกระสอบทรายมาเสริมทั้งหน้าบ้านและบริษัทห้างร้านต่างๆ ส่วนทางด่วนพิเศษ โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พบว่ามีประชาชนนำรถยนต์ขึ้นไปจอดบนทางด่วนจำนวนมาก

ส่วนการจราจรบริเวณถนนพระราม 9 ขาออก มุ่งหน้าไปสู่สนามบินสุวรรณภูมิ มีรถค่อนข้างมาก ทำให้การจราจรเคลื่อนตัวช้า เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่มุ่งหน้าออกต่างจังหวัด และบางส่วนมุ่งหน้าสู่สนามบิน

http://thainews.prd.go.th/th/ (http://thainews.prd.go.th/th/)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 04 พฤศจิกายน 2011, 19:44:47
นักท่องเที่ยวแห่ขึ้นเหนือสัมผัสอากาศหนาว

ภูมิภาค 4 พ.ย. - สภาพอากาศที่หนาวเย็น ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปสัมผัสอากาศหนาวเย็นในพื้นที่ภาคเหนือเป็นจำนวนมาก

ประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้าเที่ยวชมโคมไฟนานาชาติ บริเวณอนุสาวรีย์ 3 กษัตริย์ ภายในตัวเมืองเชียงใหม่ โดยมี 7 ประเทศส่งโคมไฟเข้าร่วมแสดง สร้างสีสันในยามค่ำคืน โคมไฟมังกรทองยักษ์ สูงเกือบเท่าตึก 2 ชั้น ยาวกว่า 40 เมตร ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้รับความสนใจจากประชาชนและนักท่องเที่ยวเป็นพิเศษ 

ส่วนที่ จ.เชียงราย อากาศเริ่มหนาวเย็นอย่างต่อเนื่อง อุณหภูมิลดลงต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส ทำให้บรรยากาศตามร้านขายเสื้อกันหนาวเป็นไปอย่างคึกคัก บางคนซื้อเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเกรงว่า หากอากาศหนาวเย็นขึ้นอีก จะทำให้เสื้อกันหนาวขาดตลาดและราคาแพงขึ้น

เช่นเดียวกับที่ จ.พิษณุโลก แหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่สำคัญ เช่น อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า เริ่มมีนักท่องเที่ยวทยอยไปสัมผัสอากาศหนาวยามค่ำคืน และมีการก่อไฟผิงคลายความหนาวเย็น โดยอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า มีบ้านพักและเต็นท์ไว้บริการนักท่องเที่ยวกว่า 200 หลัง คาดว่าช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้จะมีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก. - สำนักข่าวไทย


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 พฤศจิกายน 2011, 08:14:13
เทศบาลเชียงราย'จัดงานเทศกาล ลอยกระทงล้านนา



นายสมพงษ์ กูลวงศ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงราย แถลงว่า เทศบาลนครเชียงรายจะจัดงานส่งเสริมเทศกาลลอยกระทง ประจำปี 2554 เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีและศิลปวัฒนธรรมของชาวล้านนา และเฉลิมฉลองสมโภชเมืองเชียงราย 750 ปี ณ บริเวณสวนสาธารณะฉลองสิริราชสมบัติ 50 ปี เชิงสะพานแม่ฟ้าหลวง ระหว่างวันที่ 10-11 พ.ย. โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน ชุมชน ในการแสดงออกถึงการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมและประเพณีล้านนา ด้วยกิจกรรมการแต่งขบวนแห่กระทงประดิษฐ์ที่งดงามอย่างอลังการ การประกวดขบวนแห่กระทงบนแคร่หาม ขบวนประกวดกระทงประเภทสวยงาม และการประกวดหนูน้อยและเทพีนพมาศ

สำหรับพิธีเปิดงานกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 10 พ.ย. มีการประกวดกระทงประดิษฐ์ใบตองประเภทสวยงาม ประกวดหนูน้อยนพมาศ การแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา การแสดงของเหล่าดารานักร้องนักแสดง โดยได้รับเกียรติจากนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย มาเป็นประธานในพิธีเปิด ณ เวทีกลางสวนสาธารณะฉลองสิริราชฯ 50 ปี พร้อมกิจกรรมการลอยโคมไฟล้านนา และลอยกระทงสาย ณ ริมฝั่งแม่น้ำกก ในวันศุกร์ที่ 11 พ.ย. จัดให้มีการประกวดเทพีนพมาศ ขบวนแห่กระทงประดิษฐ์ของชุมชน และกระทงประเภทสวยงาม ตั้งแต่เวลา 16.00 น. ส่วนการประกวดโคมแขวนทำด้วยผ้าจะจัดให้มีขึ้นในคืนวันที่ 9 พ.ย.

หน้า 31

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNekExTVRFMU5BPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1TMHhNUzB3TlE9PQ==


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Yim sri ที่ วันที่ 05 พฤศจิกายน 2011, 13:16:51
เรื่องการท่องเที่ยว น่าจะอยู่ในห้องท่องเที่ยวนะคะ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 พฤศจิกายน 2011, 08:33:37
"เฉลิม" เปิดงานครบรอบ3ปีถนนคนเดิน ชู "เชียงราย" เป็นโมเดลท่องเที่ยว

วันที่ 06 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 18:57:00 น.

 
วันที่6พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เดินทางเป็นประธานเปิดงาน "ครบรอบ 3 ปี ถนนคนเดิน กาดเจียงฮายรำลึก" และเทศกาลท่องเที่ยวปี 254-2555 ที่จัดขึ้นตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา บริเวณสวนตุงและโคมเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนธนาลัย เขตเทศบาลนครเชียงราย โดยมีนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.เชียงราย พร้อมด้วย นายสมพงษ์ กูลวงค์ นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และหน่วยงานจากภาครัฐ ภาตประชาชนนับหมื่นคนเข้าร่วมงาน
 

ในการนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศที่มีการส่งเสริมการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น ประเทศเดนมาร์ค, ฮังการี, ฝรั่งเศส  ต่างก็มีถนนคนเดิน หรือ วอล์กกิ้งสตรีท ทำให้มีนักท่องเที่ยวมาก ซึ่งการที่มีถนนคนเดินกาดเจียงฮายรำลึกก็มีลักษณะคล้ายกัน หากมีต่างชาติมาเที่ยวไทย 1 คน จะทำให้คนไทยมีงานทำ 5 คน และมีรายได้มากมาย จึงอยากให้ประเทศไทยมีการทำกิจกรรมแบบนี้ และจัดให้เป็น "เชียงรายโมเดล" ด้านถนนคนเดิน และวัฒนธรรมล้านนา เพื่อสร้างงานและเศรษฐกิจ
 
 
ภายในงานได้จัดให้มีการปิดถนนธนาลัยระยะทางยาวกว่า 1 กิโลเมตร เพื่อให้กลุ่มพ่อค้าแม่ค้านำสินค้าท้องถิ่นทั้งของกินและของใช้มาวางจำหน่าย ตลอดจนนำสินค้าของกลุ่มชาวไทยภูเขามาขายด้วย ทั้งนี้ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองสมโภช 750 ปีเมืองเชียงราย และเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ในหัวฯ ในวโรกาสพระชนมายุ 84 พรรษา

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1320580522


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2011, 18:19:49

เชียงราย - คนหนีน้ำท่วมแห่ขึ้นเชียงราย ทำบรรยากาศคึกคัก ขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มหลักหาย ทำกำลังซื้อลดลง คาดเดือนหน้าหลังน้ำลดนักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะหวนคืนแน่
       
       ช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่กรุงเทพฯ และภาคกลาง พบว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และจากกรุงเทพฯ ได้หายไปจากตลาด โดยบางส่วนได้พากันยกเลิกทัวร์กับเอกชนและยกเลิกห้องพักกับโรงแรมต่างๆ แทนที่บรรยากาศจะดูซบเซาโดยเฉพาะช่วงต้นฤดูหนาว ซึ่งสภาพอากาศเริ่มหนาวเย็น กลับปรากฏว่ามีการเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ อย่างคึกคักเช่นเดิม จนบางช่วงการจราจรตัดขัด โดยเฉพาะบนถนนพหลโยธินสายเชียงราย-แม่สาย ซึ่งเป็นถนนสายการท่องเที่ยวสายหลัก
       
       นายอภิชา ตระสินธุ์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวว่า แม้จะมีผลกระทบจากการท่องเที่ยวแต่ในภาพรวมเชียงรายยังอยู่ในสถานการณ์ที่ดีอยู่ โดยเฉพาะช่วงวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ ซึ่งพบว่าสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เช่น ตลาดชายแดนแม่สาย ฯลฯ โดยปริมาณนักท่องเที่ยวเริ่มคึกคักขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง
       
       ขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติก็พบว่ายังมีคงมีหลายกลุ่มที่ไม่ได้ยกเลิกทัวร์แต่หันมาเปลี่ยนเส้นทาง จากเดิมจะไปทางภาคกลางหรือกรุงเทพฯ ก็หันขึ้นสู่ภาคเหนือแทน
       
       “ปัจจุบันการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับสมาคมได้จัดโครงการลดราคาห้องพักสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเยือน จ.เชียงราย ในช่วงเหตุการณ์น้ำท่วม โดยมีการกำหนดสถานที่เข้าพักราว 7-8 แห่ง ให้ลดราคาประมาณ 20-30% เพื่อแบ่งเบาภาระของนักท่องเที่ยวลงด้วย” นายอภิชากล่าว
       
       ด้านนายสมเกียรติ ชื่นธีระวงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จ.เชียงราย กล่าวว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเยือน จ.เชียงราย เป็นจำนวนมากในช่วงนี้คือ คนต่างจังหวัดหรือคนที่มีภูมิลำเนาในพื้นที่เอง ซึ่งไปทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ-ภาคกลาง และได้เดินทางกลับบ้านเพื่อหนีปัญหาน้ำท่วม ถือโอกาสออกเดินทางไปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ โดยเฉพาะตลาดชายแดนแม่สาย ดอยตุง วัดร่องขุ่น ภูชี้ฟ้า ผาตั้ง ฯลฯ ซึ่งถือว่าชดเชยจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหรือกรุงเทพฯ ที่หายไป
       
       อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ก็มีความแตกต่างกัน เพราะมีกำลังซื้อที่น้อยกว่ากลุ่มหลักคือชาวต่างชาติ และกรุงเทพฯ ลงราวๆ 50%
       
       นายสมเกียรติกล่าวอีกว่า ธุรกิจที่ได้รับผลกระโยชน์ในช่วงนี้มากที่สุด คือ ร้านอาหาร ร้านค้าโดยเฉพาะชายแดน สถานที่ท่องเที่ยว ฯลฯ เพราะรองรับกำลังซื้อกลุ่มนี้ได้ แต่ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบคือ โรงแรมห้องพักต่างๆ รวมทั้งรถเช่า เนื่องจากนักท่องเที่ยวท้องถิ่นเหล่านี้ส่วนใหญ่จะนำรถไปเอง เพราะหนีน้ำท่วมออกมาจากกรุงเทพฯ หรือภาคกลาง รวมทั้งมีบ้านพักอยู่ในพื้นที่หรือไปพักตามบ้านญาติทำให้ลดการใช้โรงแรมห้องพักลง
       
       ทั้งนี้ คาดว่าผลกระทบนี้จะลดลงหลังเหตุการณ์น้ำท่วมหมดไป หรือตั้งแต่เดือน ธ.ค.นี้เป็นต้นไป โดยจะมีกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางไปเป็นจำนวนมากเช่นเดิมต่อไป


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000145162


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2011, 18:51:35
อดีตรองนายกฯ แนะจับตาดุลอำนาจจีน-อเมริกาในอาเซียน เกาะติดจีน-GMS

เชียงราย - มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดเวทีถกนโยบายเศรษฐกิจจีนที่มีผลต่อไทย ดึง “กร ทัพพะรังสี” ขึ้นเวที ชี้วันนี้ต้องจับตาอเมริกาบุกอาเซียน เกาะติดปมพม่าทิ้งจีน สั่งรื้อโครงการท่อน้ำมัน-ก๊าซ 1,500 กม.จากอ่าวเมาะตะมะ-หยุนหนัน ทั้งที่จีนทุ่มทุนไปแล้วหลายพันล้าน หวั่นคดียิงเรือจีนกลางน้ำโขงกระทบสัมพันธ์ไทยในระยะยาว
       
       วันนี้ (22 พ.ย.) ที่ห้องเชียงแสน อาคารสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) อ.เมือง จ.เชียงราย ศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร และสถาบันขงจื้อ มฟล.ได้จัดปาฐกถาพิเศษ “นโยบายเศรษฐกิจจีนที่มีผลกระทบต่อธุรกิจไทย” เนื่องในโอกาสครบรอบการสถาปนา 13 ปี มฟล. ในปี 2554 โดยมีนายกร ทัพพะรังสี อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายกสมาคมมิตรภาพไทย-จีน ร่วมบรรยายพิเศษ มีประชาชนทั่วไป และนักศึกษาเข้ารับฟังประมาณ 100 คน
       
       นายกรได้เล่าถึงความสัมพันธ์ไทย-จีน ว่า มีมาเกือบพันปีและพัฒนาเรื่อยมาจนปัจจุบันมีช่องทางติดต่อทั้งที่เป็นทางการ และผ่านทางองค์กรสมาคม โดยเฉพาะสมาคมมิตรภายไทย-จีน ซึ่งความสัมพันธ์ไทย-จีน ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยมากที่สุดมีมาตั้งแต่ข้อตกลงการค้าเสรีไทย-จีน หรือเอฟทีเอ เมื่อปี 2546 เป็นต้นมาและขยายไปยังกลุ่มประเทศต่างๆ ทั้งอินเดีย สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ฯลฯ กระทั่งเป็นกลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ
       
       เฉพาะกลุ่มประเทศที่เกี่ยวข้องคือไทย-จีน ก็มีประชากรกว่า 1,400 ล้านคน และไทย-อินเดีย มีประชากร 1,300 ล้านคน ส่วน 10 ประเทศอาเซียนมีประชากรกว่า 400 ล้านคน จึงถือเป็นกลุ่มเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลกที่มีตลาดรวมกันกว่า 3,000 ล้านคน เกือบครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งโลก
       
       ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมา จีนมีอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจปีละประมาณ 10% และในปี 2555 นี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงคณะผู้บริหารประเทศจากชุดที่มีนายหู จิ่น เทา เป็นประธานาธิบดีและนายเหวิน เจีย เป่า เป็นนายกรัฐมนตรี ไปสู่คนยุคใหม่ ซึ่งกำหนดให้นายฉี่ จิ้น ผิง และนายหลี่ เก้อ เจียง เป็นคณะผู้บริหารใหม่
       
       นายกร บอกว่า สิ่งเหล่านี้ประเทศไทยต้องศึกษาและรู้ข้อมูล เพื่อให้สามารถร่วมมือทางเศรษฐกิจกับจีน ที่มีรูปแบบการบริหารจากบนลงล่างดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
       
       นายกรบอกว่า จีนเน้นนโยบายทางการเมืองเป็นตัวตั้ง และบริหารแบบบนลงล่าง โดยมีตัวอย่างเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน เมื่อตนได้ติดตาม พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ขณะนั้นเป็นรองนายกรัฐมนตรี ไปเจรจาขอซื้อน้ำมันดีเซลจากจีน 200,000 ตันในราคามิตรภาพ เพราะประเทศไทยขาดแคลนอย่างหนัก ซึ่งนายโจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีจีน ได้ตอบตกลงและหารือกับที่ปรึกษาเกี่ยวกับราคามิตรภาพดังกล่าว เมื่อไม่ได้ข้อยุติโดยเร็วนายกรัฐมนตรีจีน ก็ยุติเรื่องด้วยการตอบตกลงขายให้ โดยให้ประเทศไทยไปกำหนดราคาเอาเองด้วย ซึ่งระบบการบริหารงานแตกต่างจากไทย ที่จะนำเสนอผ่านหน่วยงานย่อยต่างๆ ขึ้นไปจนถึงระดับรัฐมนตรีตามขั้นตอน



       แตกต่างจากประเทศไทย ซึ่งยังมีปัญหาเรื่องความมั่นคงของคณะผู้บริหารประเทศที่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ล่าสุดรัฐบาลที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี พบประสบปัญหาน้ำท่วมอย่างหนัก เมื่อมีคนมาถามตนว่ากรณีผลกระทบต่อเศรษฐกิจเช่นนี้จะไปถามข้อมูลจากใคร เมื่อตนตอบให้ไปถามรัฐบาล เขาก็ถามกลับในทำนองไม่แน่ใจว่า รัฐบาลจะมีอายุอยู่เกินต้นปีหน้าหรือไม่
       
       “ล่าสุดมีข่าวนักธุรกิจญี่ปุ่นจะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเวียดนาม หลัง 7 นิคมอุตสาหกรรมถูกน้ำท่วมหนัก เพื่อนของตนที่เป็นนักธุรกิจญี่ปุ่นระบุหากเขาย้ายฐานการผลิตไปยังเวียดนามเขามีความมั่นใจว่าปีหน้าจะมีคณะผู้บริหารประเทศชุดเดิมแน่นอน”
       
       อย่างไรก็ตาม ในส่วนของภาคเอกชนไทย-จีน ก็ยังคงมีการลงทุนย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีกลุ่มทุนไทยที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนในจีนหลายกลุ่ม เช่น กระทิงแดงของกลุ่มนายเหยียน ปิน คนสองสัญชาติไทย-จีน ซึ่งรวยเป็นอันดับ 4 ในประเทศจีน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ และกลุ่มน้ำตาลมิตรผล
       
       นายกร ระบุว่า อนาคตตนอยากให้ประเทศไทยมุ่งให้ความสำคัญกับกลุ่ม GMS (Mekong Greater Sub region) มากกว่ากลุ่มอาเซียน 10 ประเทศ เพราะกลุ่ม GMS ประกอบด้วยจีน ไทย พม่า สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งจีนมีสิทธิ์ในการเข้าประชุมได้โดยตรงไม่ต้องรับเชิญ ส่วนกลุ่มอาเซียน ซึ่งแม้จะมีอาเซียนบวก 1 คือบวกจีน แต่จีนก็เป็นเพียงประเทศที่ได้รับเชิญเท่านั้น จึงควรให้ความสำคัญ GMS มากที่สุด เพราะจะช่วยสร้างประโยชน์ให้ไทยได้มาก
       
       สำหรับข้อสังเกตในภูมิภาคที่เกี่ยวข้องกับไทย-จีน คือ การกลับมามีบทบาทของประเทศสหรัฐอเมริกา ในภูมิภาคอาเซียน - ทะเลจีนใต้อีกครั้ง และประเทศต่างๆ ในภูมิภาคก็เริ่มมีความสัมพันธ์กับจีนผิดแผกไปจากเดิม โดยเมื่อเดือนตุลาคม 54 ที่ผ่านมา ประเทศพม่าซึ่งมีการเลือกตั้งและมีประธานาธิบดีปกครองประเทศแล้ว ได้ยกเลิกโครงการท่อน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ 2 ท่อจากอ่าวเมาะตะมะผ่านพม่าไปยังมณฑลหยุนหนัน จีนตอนใต้ ระยะทาง 1,500 กิโลเมตร หลังจากที่จีนลงทุนกับโครงการนี้ไปแล้วประมาณ 2 ใน 3 ส่วนของโครงการด้วยเงินทุนหลายพันล้านบาท
       
       เหตุการณ์นี้ทำให้ทางการจีนต้องตกตะลึงในเรื่องนี้ เพราะจีนคอยอุ้มชูพม่ามาโดยตลอด ในช่วงที่ถูกประเทศตะวันตกคว่ำบาตร แต่ล่าสุดพม่ากลับจะเชิญนางฮิลลาลี คลินตัน รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาไปเยือนด้วย
       
       ในส่วนของประเทศไทย ก็พบมีเหตุการณ์ยิงลูกเรือจีน 2 ลำในแม่น้ำโขงจนเสียชีวิต 13 ศพ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับทางการจีนมาก จึงทวงถามหาเหตุผลว่า เหตุใดจึงมีการฆ่าลูกเรือจีนและใครเป็นผู้สั่งการ ซึ่งเรื่องนี้ตนคงจะถูกถามไถ่ในเวลาต่างๆ จากทางการจีนในเร็วๆ นี้ และตนก็ยังไม่ทราบว่าจะตอบอย่างไรดีด้วย
       ในด้านกลุ่มทุนไทยคือกลุ่มอิตัลไทย ที่ไปลงทุนสร้างท่าเรือน้ำลึกที่เมืองทวาย ประเทศพม่า ก็กำลังจับตามองสถานการณ์เพราะโครงการนี้เป็นท่าเรือใหญ่ที่มีถนนเชื่อมกับ จ.กาญจนบุรี ที่อยู่ห่างกันประมาณ 150 กิโลเมตร ซึ่งหากสำเร็จจะย่นระยะทางการขนส่งสินค้าไทยทางฝั่งมหาสมุทรอินเดียได้มากขึ้น แทนการขนส่งอ้อมไปทางท่าเรือประเทศสิงคโปร์


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000148847


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2011, 22:23:35
ผลบวกต่อไทยหลัง'พม่า'ก้าวรับบทบาทประธานอาเซียนปี 2557

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2011 เวลา 17:59 น.


บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ "การเป็นประธานอาเซียนปี 2557 : ก้าวสำคัญของพม่า และนัยยะต่อไทย" ระบุว่า  การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 19 ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ที่ปิดฉากลงไปเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2554 มีข้อสรุปที่สำคัญประการหนึ่งคือ การตกลงรับรองพม่าเป็นประธานอาเซียนประจำปี 2557 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พม่าได้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวหลังจากที่เคยสละสิทธิ์การเป็นประธานอาเซียนเมื่อปี 2549 ทั้งนี้ การเป็นประธานอาเซียนปี 2557 ถือว่าเป็นวาระที่เร็วกว่ากำหนดเดิม 2 ปี  และยังเป็นปีที่มีนัยสำคัญต่ออาเซียนค่อนข้างมาก คือ เป็นปีก่อนการก้าวสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558  ขณะที่พม่ายังมีประเด็นอ่อนไหวในด้านการเมืองซึ่งหลายประเทศกำลังจับตามองพัฒนาการปฏิรูปทางการเมืองของพม่า

อย่างไรก็ดี ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา พม่ามีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาเป็นลำดับ ตั้งแต่การจัดการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2553 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งครั้งแรก ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของพม่าที่ประกาศใช้เมื่อปี 2551 หลังจากนั้นมีการปล่อยตัวนางออง ซาน ซูจี เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2553  การปล่อยนักโทษการเมืองราว 200 รายเมื่อเดือนตุลาคม 2554 และล่าสุดในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2554 รัฐสภาพม่าได้ผ่านร่างกฎหมาย “Peaceful Assembly and Procession Bill” ซึ่งมีสาระสำคัญในการอนุญาตให้พลเมืองชุมนุมประท้วงอย่างสงบได้โดยต้องแจ้งทางการพม่าอย่างน้อย 5 วันก่อนการชุมนุม และอยู่ระหว่างรอการลงนามจากประธานาธิบดีของพม่า สะท้อนถึงก้าวย่างในการปฏิรูปการเมืองของพม่าที่เริ่มมีน้ำหนักมากขึ้น ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯและองค์การสหประชาชาติที่มีกำหนดเยือนพม่าในเร็ววันนี้ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ มีกำหนดเยือนวันที่ 1 ธันวาคม 2554 นี้) บ่งบอกความสนใจของประเทศมหาอำนาจของโลกต่อการปรับตัวของพม่า ซึ่งไทยในฐานะที่เป็นสมาชิกอาเซียนและประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนกับพม่าอย่างต่อเนื่อง ควรจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมุมมองต่อพัฒนาการของพม่าและนัยยะต่อประเทศไทย ดังนี้


• บทบาทประธานอาเซียน...เอื้อโอกาสแสดงศักยภาพทางเศรษฐกิจของพม่า
การที่พม่าจะเป็นประธานอาเซียนในปี 2557 นั้น ก็เป็นเสมือนบททดสอบความพร้อมในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนของประเทศสมาชิกอาเซียนไปในตัว ซึ่งน่าจะมีส่วนช่วยเกื้อหนุนศักยภาพทางเศรษฐกิจของพม่าที่มีอยู่แล้วให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น ด้วยศักยภาพด้านแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งสินแร่ อัญมณีมีค่า รวมทั้งแหล่งพลังงานที่สำคัญอย่างก๊าซธรรมชาติ  รวมทั้งข้อได้เปรียบด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของพม่า ซึ่งเป็นประเทศอาเซียนแห่งเดียวที่มีพรมแดนเชื่อมต่อกับภูมิภาคเอเชียใต้ โดยมีอาณาเขตทางทิศตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือติดกับประเทศอินเดีย (ระยะทาง 1,463 กิโลเมตร) บังกลาเทศ (ราว 200 กิโลเมตร) และมีทางออกสู่ทะเลทางอ่าวเบงกอล น่าจะช่วยเกื้อหนุนบทบาทพม่าเป็นเสมือนประตูการค้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สู่ภูมิภาคเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และยุโรป โดยไม่ต้องอ้อมผ่านช่องแคบมะละกาที่กำลังเกิดปัญหาการจราจรแออัดในปัจจุบัน นอกจากนี้ พม่ายังมีศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนในธุรกิจหลายสาขา อาทิ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจเหมืองแร่ ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เป็นต้น

 

 ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 2532 จนถึงเดือนสิงหาคม 2554 การลงทุนจากต่างประเทศในพม่ามีมูลค่ารวม 36,117.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของประเทศอาเซียนด้วยมูลค่าลงทุน 13,560.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณร้อยละ 38 ของการลงทุนจากต่างประเทศในพม่า โดยไทยเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่สุดจากอาเซียนด้วยสัดส่วนประมาณร้อยละ 77 ของมูลค่าการลงทุนจากอาเซียน (รองลงมาได้แก่ สิงคโปร์ ร้อยละ 13 และมาเลเซีย ร้อยละ 7)

อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า จีนเข้ามามีบทบาทด้านการลงทุนในพม่าเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2550-2551 และมีบทบาทเหนือการลงทุนของประเทศอาเซียนในพม่าอย่างเห็นได้ชัด ผ่านโครงการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ด้านพลังงานและการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในพม่า จนมีสัดส่วนการลงทุนในพม่าเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3 ของการลงทุนทั้งหมดในพม่าในปี 2550 เป็นร้อยละ 26 ในเวลาเพียง 3 ปี บ่งชี้ได้ว่า จีนกำลังมีบทบาททางเศรษฐกิจในพม่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายปัจจัยที่สะท้อนอิทธิพลของจีนในภูมิภาคอาเซียนที่เพิ่มมากขึ้นด้วย
• นัยยะต่อไทย:
 ไทยมีโอกาสขยายการส่งออกสินค้าไปพม่าเพิ่มขึ้น รองรับการเตรียมความพร้อมเป็นประธานอาเซียน แม้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไทยจะมีสถานะขาดดุลการค้ากับพม่าอย่างต่อเนื่อง  แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าในระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมา ไทยมีแนวโน้มขาดดุลการค้ากับพม่าลดลงเป็นลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ไทยสามารถขยายมูลค่าส่งออกไปพม่าได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การค้าระหว่างไทยกับพม่าส่วนใหญ่เป็นการค้าผ่านชายแดนซึ่งมีสัดส่วนราวร้อยละ 86 ของมูลค่าการค้าโดยรวมของไทยกับพม่า ล่าสุด มูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทยกับพม่าในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2554 อยู่ที่ 131,438.6 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.0 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยไทยส่งออกผ่านชายแดนเป็นมูลค่า 50,558.1 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.7 (YoY) และนำเข้าผ่านชายแดนเป็นมูลค่า 80,880.4 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.2 (YoY) ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าผ่านชายแดนราว 30,322.3 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในระยะสั้นไทยน่าจะมีโอกาสขยายมูลค่าส่งออกไปยังพม่าได้เพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยหนุนจากการเตรียมความพร้อมในการจัดการประชุมอาเซียนในปี 2557 นอกจากนี้ พม่ามีกำหนดจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 27 ในปี 2556 ด้วย นับเป็นช่วงเวลาที่สอดคล้องกันในการเร่งดำเนินโครงการพัฒนาประเทศหลายด้านเพื่อแสดงศักยภาพของพม่าในเวทีนานาชาติ โดยคาดว่ากิจกรรมเศรษฐกิจของพม่าที่น่าจะขยายตัวนับจากนี้ อาทิ การก่อสร้างสาธารณูปโภค อาคารสิ่งปลูกสร้าง  รวมถึงการปรับทัศนียภาพโดยรอบของนครเนปิดอว์ เมืองหลวงของพม่า อันเป็นสถานที่หลักจัดงานสำคัญดังกล่าว สำหรับสินค้าที่มีศักยภาพในการขยายการส่งออกไปพม่าในระยะข้างหน้า ครอบคลุมทั้งสินค้าเพื่อรองรับกิจกรรมก่อสร้างต่างๆ อาทิ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง ตลอดจนยานพาหนะในการเดินทางและขนส่ง เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งสินค้าไทยยังได้รับความนิยมค่อนข้างมากและมีแนวโน้มขยายตัวดีในตลาดผู้บริโภคพม่า ดังนั้น ผู้ส่งออกไทยจึงควรเสาะหาโอกาสในการขยายความสัมพันธ์ทางการค้ากับคู่ค้าเดิมและคู่ค้ารายใหม่เพื่อเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงตลาดพม่า

 อย่างไรก็ดี การขยายการส่งออกไปพม่าอาจต้องเผชิญคู่แข่งทางการค้าจากจีน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นแหล่งนำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรกของพม่า ทั้งนี้ แม้ว่าไทยจะเป็นแหล่งนำเข้าที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 2 ของพม่า แต่ด้วยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับพม่าที่มีแนวโน้มใกล้ชิดยิ่งขึ้น ประกอบกับสถานการณ์ปิดด่านชายแดนไทย-พม่าด้านจังหวัดตากของไทย นอกจากนี้ สินค้าที่พม่านำเข้าจากจีนส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มสินค้าส่งออกหลักของไทยด้วยเช่นกัน  อาทิ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ยานพาหนะ เครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ สะท้อนให้เห็นว่า สินค้าไทยในพม่ากำลังเผชิญโจทย์ท้าทายมากขึ้นในการครองส่วนแบ่งตลาดในพม่า ซึ่งผู้ประกอบการไทยควรติดตามความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจของพม่าและคู่ค้าอื่นอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์และหาแนวทางรับมือกับคู่แข่งที่อาจจะเข้ามาในตลาดพม่ามากขึ้นในอนาคตด้วย ซึ่งในระยะยาวคงต้องจับตานโยบายทางการค้าและการลงทุนของพม่าซึ่งอาจเอื้อให้การส่งออกของไทยไปพม่ามีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

 

 ไทยและพม่ามีโอกาสขยายความสัมพันธ์ทางด้านการลงทุนระหว่างกัน โดยแนวโน้มน่าจะยังเป็นรูปแบบการลงทุนจากไทยในพม่าเป็นหลัก เพื่ออาศัยศักยภาพด้านวัตถุดิบของพม่าและน่าจะสอดรับกับความต้องการในการพัฒนาเศรษฐกิจอีกหลายด้านของพม่า โดยเฉพาะการขับเคลื่อนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ระหว่างไทยกับพม่า ที่สำคัญ อาทิ โครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย ซึ่งได้บรรจุอยู่ภายใต้กรอบการพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง-อินเดีย และเป็นส่วนเพิ่มเติมจากเส้นทางตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก  (EWEC) ที่เป็นหนึ่งในเส้นทางการเชื่อมโยงระหว่างกันภายในอาเซียน (ASEAN Connectivity) โดยโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายมีมูลค่าโครงการราว 58,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นการลงทุนก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมราว 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และท่าเรือน้ำลึกพร้อมสาธารณูปโภคพื้นฐาน (อาทิ ถนน รางรถไฟ โรงไฟฟ้า) เป็นมูลค่าราว 8,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ ไทยยังมีโอกาสได้รับอานิสงส์ขยายการลงทุนในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของไทยที่มีพรมแดนใกล้เคียงกับพม่ามากขึ้น โดยธุรกิจที่มีศักยภาพ อาทิ ธุรกิจค้าปลีก การลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคต่างๆ  ธุรกิจด้านการเกษตรและเกษตรแปรรูป ธุรกิจประมง และธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เป็นต้น
ทั้งนี้ หากพม่ามีพัฒนาการทางการเมืองที่เป็นรูปธรรมชัดเจนในอนาคต และมีความชัดเจนในการปรับปรุงนโยบายการส่งเสริมการลงทุน  ก็น่าจะเอื้อให้พม่ามีศักยภาพโดดเด่นมากขึ้นในฐานะประเทศฐานการผลิตที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน จากพื้นฐานความพร้อมด้านปัจจัยการผลิตที่มีอยู่ ทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลายและอุดมสมบูรณ์ ปัจจัยแรงงานที่มีอยู่จำนวนมากและค่าจ้างแรงงานยังอยู่ในระดับต่ำ และความได้เปรียบด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เปรียบเสมือนประตูสู่ประเทศตะวันตกอีกด้วย  ขณะที่นโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ชัดเจนและเสรียิ่งขึ้นน่าจะดึงดูดให้นักลงทุนจากหลายประเทศเข้าไปลงทุนมากขึ้น จากที่เคยถูกจำกัดโอกาสขยายการลงทุนในพม่าอันเนื่องมาจากมาตรการคว่ำบาตรของบางประเทศต่อพม่า

 เศรษฐกิจบริเวณชาย

แดนไทย-พม่ามีโอกาสกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยไทยอาจได้อานิสงส์จากการบรรเทาของปัญหาทางการเมืองในพม่า ในแง่ที่เกี่ยวโยงกับสถานการณ์บริเวณชายแดน ซึ่งน่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ในพื้นที่ และกระตุ้นเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย-พม่า รวม 7 จังหวัด คือ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี ระนอง และประจวบคีรีขันธ์  ซึ่งจังหวัดชายแดนที่น่าจะได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจในพม่า ได้แก่ จังหวัดตาก อันเป็นช่องทางสำคัญในการส่งออกสินค้าของไทยที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการปิดด่านเมียววดี-แม่สอด ในจังหวัดตาก ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2553  สะท้อนจากการส่งออกผ่านชายแดนจังหวัดตากในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2554 ที่หดตัวลงราวร้อยละ 77 จากช่วงเดียวกันในปีก่อน  นอกจากนี้ จังหวัดระนอง ยังเป็นอีกจังหวัดชายแดนสำคัญที่มีการส่งออกสินค้าออกไปพม่าค่อนข้างมาก  (โดยเฉพาะในช่วงที่ด่านชายแดนที่ด่านเมียววดี-แม่สอดถูกปิด ทำให้ผู้ประกอบการเลี่ยงมาขนส่งสินค้าผ่านระนองเข้าสู่พม่ามากขึ้น) ด้วยความสามารถในการรองรับการขนส่งสินค้าและเป็นจุดเชื่อมต่อทางยุทธศาสตร์ของไทยกับพื้นที่ตอนใต้สุดของพม่า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่สำคัญ จึงเป็นโอกาสขยายการส่งออกสินค้าของไทย โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอุปโภคบริโภค

 

• ประเด็นที่น่าติดตาม:
 การปฎิรูปทางการเมืองของพม่า อาจต้องอาศัยระยะเวลาในการดำเนินการให้เกิดความคืบหน้าในระดับที่ชัดเจน รวมถึงปัญหาชนกลุ่มน้อยในพม่าที่ยังสร้างความกังวลแก่นักลงทุนต่อสถานการณ์ความไม่สงบที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ ด้วยข้อจำกัดที่การเมืองพม่าได้รับอิทธิพลจากผู้นำทางทหารมาเป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน อาจส่งผลให้การปรับเปลี่ยนวิถีทางการเมืองต้องดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไปทั้งในด้านกระบวนการและแนวคิด  อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของพม่าที่ดำเนินมาก่อนหน้านี้อาจก่อให้เกิดความหวังจากนานาประเทศต่อการปฏิรูปทางการเมืองที่เด่นชัดจากพม่า นอกจากนี้ การได้รับการรับรองให้เป็นประธานอาเซียนในปี 2557 อาจมีผลช่วยกดดันพม่าให้ต้องเร่งปฏิรูปการเมืองให้เป็นที่ยอมรับของเพื่อนสมาชิกอาเซียนและนานาชาติมากขึ้นได้
 ท่าทีของจีนและสหรัฐฯ ที่มีต่อพม่า อาจส่งผลต่อแนวทางนโยบายทางการเมืองของพม่าได้ หลังจากที่ในช่วงที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับพม่าเป็นไปอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นผ่านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการลงทุนเป็นจำนวนมากของจีนในพม่า ขณะที่ท่าทีสหรัฐฯที่เริ่มมีสัญญาณของการเจรจาเชิงการทูตกับพม่าจากที่จะมีการส่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยือนพม่าเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปีของสหรัฐฯ อาจบ่งชี้ได้ว่าสหรัฐฯมีท่าทีสนใจพม่ามากขึ้น และนับเป็นทางเลือกสำหรับพม่าในการใช้โอกาสนี้เป็นจุดเริ่มต้นสร้างสัมพันธ์กับมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อท่าทีของจีนที่กำลังงัดข้อกับสหรัฐฯในหลายด้านได้ จึงควรติดตามความเคลื่อนไหวและท่าทีของจีนและสหรัฐฯต่อพม่าที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมอาเซียนและไทยได้

 โดยสรุป ที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 19 ได้การรับรองข้อเสนอการเป็นประธานอาเซียนของพม่า ในปี 2557 เป็นประเด็นที่น่าจับตามองถึงการเตรียมความพร้อมของพม่า เนื่องจากพม่ายังมีประเด็นอ่อนไหวทางการเมืองอยู่พอสมควร  แม้ว่าพม่าจะได้ทยอยเปลี่ยนแปลงการเมืองให้มีความเป็นเสรีและก้าวสู่ระบอบการปกครองประชาธิปไตยมากขึ้น แต่หลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ  ยังมองว่าพม่าจำเป็นต้องปฏิรูปการเมืองให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งการที่รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ มีกำหนดเยือนพม่าในวันที่ 1 ธันวาคม 2554 นี้ อาจจะเป็นการสะท้อนถึงความสนใจของสหรัฐฯที่มีต่อพม่าในเชิงการทูต จากเดิมที่มีการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรมาเป็นระยะเวลานาน แต่ขณะเดียวกันควรต้องติดตามท่าทีของจีนที่มีต่อสหรัฐฯในพม่าด้วยเช่นกัน เพราะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาจีนมีความสัมพันธ์กับพม่าในทิศทางที่ใกล้ชิดผ่านกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน ส่วนจีนกับสหรัฐฯนั้นก็ยังมีประเด็นงัดข้อทางเศรษฐกิจระหว่างกัน จึงยากที่จะคาดเดาท่าทีของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯและจีนที่อาจมีผลต่อพม่าและอาเซียน

 

ทั้งนี้ การก้าวเข้ารับบทบาทประธานอาเซียนของพม่า อาจกล่าวได้ว่าส่งผลเชิงบวกต่อไทยในหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนในระยะยาว เนื่องจากไทยเป็นสมาชิกอาเซียนที่มีความสัมพันธ์ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านกับพม่า และน่าจะได้อานิสงส์จากการปฎิรูปทางการเมืองของพม่าซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อพม่าและอาเซียน ขณะที่การขยายตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจในพม่าเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเป็นประธานอาเซียนน่าจะช่วยเอื้อโอกาสการขยายตัวทางการค้า-การลงทุนระหว่างไทยกับพม่า โดยอย่างน้อยในระยะสั้น น่าจะเป็นผลดีกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานและการก่อสร้าง สำหรับในระยะยาว คงต้องจับตาบทพิสูจน์ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในพม่า รวมถึงการปรับปรุงนโยบายการค้าการลงทุนของพม่าอย่างใกล้ชิด อันจะเป็นตัวสะท้อนบทบาทพม่าในเวทีอาเซียนและเวทีโลกต่อไป


 


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2011, 20:23:18
สะพานข้ามโขงแห่งที่ 3 นครพนมเปิดวันที่11:11:11

สะพานข้ามโขงแห่งที่ 4 เชียงราย เปิดวันที่ 12:12:12

(https://fbcdn-sphotos-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/380486_291629717540428_100000802064434_689704_786417879_n.jpg)
ภาพ วันที่ 29 /11/11


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2011, 20:19:00
ชียงราย - กรรมาธิการต่างประเทศ ยกทีมลงพื้นที่เมืองพ่อขุนฯ ตามคดีฆ่าหมู่ลูกเรือจีนกลางแม่น้ำโขง รวม 13 ศพ ด้านรอง ผบก.ภ.เชียงราย รับวันเกิดเหตุมีเรือปริศนา 4 ลำประกบ 2 เรือจีนเข้ามาด้วย ขณะที่ปลอกกระสุนทหารไทยบนเรือต้องรอผลพิสูจน์ก่อน
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงรายแจ้งว่า นายสุนัย จุลพงศธร ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะได้เดินทางไปรับทราบข้อมูลเพื่อติดตามความคืบหน้าในคดีปล้นเรือจีนแม่น้ำโขงจำนวน 2 ลำ เป็นเหตุให้กัปตันและลูกเรือชาวจีนเสียชีวิตจำนวน 13 ศพ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 ต.ค.54 ที่ผ่านมา และพบเรือทั้ง 2 ลำติดริมตลิ่งใกล้ถนนสายเชียงแสน-แม่สาย ม.1 ต.เวียง อ.เชียงแสน บนเรือพบยาบ้าจำนวน 920,000 เม็ด โดยครั้งนี้มีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายปกครอง ทหาร หน่วยรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง (นรข.) เขตเชียงราย ตำรวจ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ด่านศุลกากรเชียงแสน พาณิชย์จังหวัด หอการค้า ผู้ประกอบการค้าชายแดน เข้าร่วมประชุมด้วย
       
       นายสุนัยระบุว่า จากการรับทราบข้อมูลพบว่าคดีนี้ได้สร้างผลกระทบต่อการค้าการลงทุนระหว่างประเทศไทยและจีนอย่างมาก เพราะทางการจีนได้ระงับการเดินเรือสินค้าที่ขนส่งสินค้าระหว่างเมืองเชียงรุ่งหรือจิ่งหง เขตปกครองสิบสองปันนา มาที่ท่าเรือเชียงแสน 1 อ.เชียงแสน จ.เชียงราย มาเป็นระยะเวลากว่า 1 เดือนแล้ว ทำให้ผู้ประกอบการได้รับความเดือดร้อน ไม่สามารถขนส่งสินค้าไป-มา ได้ ในส่วนของคดีก็ทราบว่าได้มีทหารจากกองกำลังผาเมือง 9 นาย เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาตามกระบวนการยุติธรรม ทำให้ประเทศจีนมีความพอใจที่ทางการไทยให้ความสำคัญในคดีนี้
       
       “ที่ผ่านมาก็มีการประชุมร่วมกันหลายครั้งทั้งที่ประเทศจีนและในประเทศไทยของเราเอง ซึ่งในการลงพื้นที่ครั้งนี้ เพื่อมาหาข้อมูลเพิ่มเติมทั้งจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการ ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ และตรวจที่เกิดเหตุ พบปะพูดคุยกับชาวบ้านหรือผู้ประกอบการในพื้นที่ นำข้อมูลไปประกอบการพิจารณาในคณะกรรมาธิการ เพื่อร่วมกันคลี่คลายปัญหานี้ร่วมกันต่อไป” นายสุนัยกล่าว
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ในที่ประชุมทาง พ.ต.อ.ทวีชัย ประทีปอุษานนท์ รอง ผบก.ภ.จว.เชียงราย ในฐานะหัวหน้าคณะกรรมการสอบสวนในระดับจังหวัด กล่าวยอมรับว่า แนวทางสืบสวนสอบสวนมีเสียงปืนยิงบริเวณที่เกิดเหตุ และมีเรือกองกำลังไม่ทราบฝ่ายจำนวน 4 ลำบังคับเรือสินค้าจีนทั้ง 2 ลำ ล้ำเข้ามายังเขตแดนไทย แต่ไม่แน่ชัดว่าขณะนั้นมีผู้เสียชีวิตแล้วหรือไม่ แต่มีศพอยู่ในห้องบังคับเรือ 1 ศพ ส่วนอีก 12 ศพที่ลอยมาเกยตื้นริมฝั่งแม่น้ำโขงในเขต อ.เชียงแสน ก็อยู่ระหว่างตรวจสอบว่ามีการยิงกันมาก่อนแล้วหรือไม่
       
       ด้านการสอบสวนนายทหารทั้ง 9 นายซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เบื้องต้นให้การยืนยันว่า ปลอกกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเรือเป็นเพียงการยิงขู่เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ได้ทำการนำอาวุธปืน ปลอกกระสุนและหัวกระสุนในที่เกิดเหตุส่งให้หน่วยพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบ ว่าเป็นชนิดเดียวกันหรือไม่ ซึ่งกำลังรอการตรวจพิสูจน์อยู่
       
       ขณะที่ พ.อ.ถนัดพล โกศัยเสวี ผบ.ฉก.ม.3 กองกำลังผาเมือง ยืนยันว่า นายทหารทั้ง 9 นายที่ถูกทางตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาเป็นชุดปฏิบัติงานที่มาเสริมในพื้นที่ เพื่อดูแลสถานการณ์ด้านความมั่นคงและสกัดกั้นยาเสพติด เนื่องจากระยะหลังตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย.54 เป็นต้นมา มีเหตุปล้นสะดมเรือสินค้าในแม่น้ำโขง เกิดการปะทะกันจนมีข่าวการแก้แค้นและพยายามลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในเขตไทยบ่อยครั้ง ซึ่งมีบันทึกหลักฐานจาก ป.ป.ส.ให้เฝ้าระวัง ส่วนการยิงปะทะกันนั้นไม่ทราบแน่ชัด ซึ่งเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่เกี่ยวกับกองทัพ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 ธันวาคม 2011, 21:05:21
ลมหนาว-น้ำลด คนแห่เที่ยวเชียงราย ขณะท้องถิ่นทยอยจัดงานรับ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   7 ธันวาคม 2554

เชียงราย - สภาพอากาศที่หนาวเย็นลงต่อเนื่อง ขณะที่น้ำท่วมกรุงเริ่มทุเลา ทำคนแห่ขึ้นเหนือท้าลมหนาวที่เชียงรายหนาตามากขึ้น เชื่อ ปีนี้ไม่ซบเซาแน่ เม็ดเงินกระจายลงผู้ประกอบการขนาดเล็ก-กลาง มากขึ้น ด้านองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ทยอยจัดงานรับหลายพื้นที่
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า ขณะนี้การท่องเที่ยวของ จ.เชียงราย คึกคักขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากสภาพอากาศหนาวเย็น และสถานการณ์น้ำท่วมที่ภาคกลางและกรุงเทพฯ ทุเลาลงได้ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเริ่มมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหนาตามากขึ้นด้วย ลดความกังวลของหลายฝ่ายที่มองว่าการท่องเที่ยวจะซบเซาลง เพราะเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในประเทศไทยและปัญหาทางการเมือง
       
       นายอภิชา ตระสินธุ์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย เปิดเผยว่า สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มีนักท่องเที่ยวไปเยือนเป็นจำนวนมาก ทั้งแม่สาย ดอยตุง ภูชี้ฟ้า วัดร่องขุ่น ฯลฯ ขณะที่โรงแรมห้องพักมีการเข้าพักและจองกันเกือบเต็ม โดยเฉพาะช่วงวันหยุดยาว ส่วนหนึ่งเพราะสถานการณ์น้ำท่วมทุเลาลงไปมากแล้ว ประกอบกับมีวันหยุดยาว และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่เคยจองทัวร์ไปยังกรุงเทพฯ และภาคกลาง ได้ยกเลิก แล้วหันมาเดินทางขึ้นภาคเหนือแทน
       
       “คาดว่า ในภาพรวมสถานการณ์ไม่น่าจะซบเซา แต่คงจะดีขึ้นตามลำดับ โดยมีงานกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นประจำปีช่วยส่งเสริมได้มาก เช่น งานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามครั้งที่ 8 เป็นต้น”
       
       นายอภิชา กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม จากสถิติปี 2553 หน่วยงานภาครัฐรายงานว่า มีนักท่องเที่ยวและผู้ไปเยือน จ.เชียงราย รวมประมาณ 2.2 ล้านคน และสร้างรายได้เข้าจังหวัดมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท แต่ไม่มีความชัดเจน ว่า เม็ดเงินดังกล่าวได้กระจายไปยังภาคเอกชนขนาดกลางและเล็ก หรือไม่ ดังนั้น ปีนี้ทางภาคเอกชนจึงจะทำการตรวจสอบลงไปถึงภาคเอกชนขนาดกลางและเล็ก รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ฯลฯ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการประกอบการพัฒนาการท่องเที่ยวต่อไป
       
       ในปีนี้ทางจังหวัดกำลังได้รับการพิจารณางบประมาณเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวจำนวนประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งภาคเอกชนคงจะมีการนำเสนอไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดคนใหม่ ให้ช่วยใช้งบประมาณมาพัฒนาภาคการท่องเที่ยวให้ได้ตลอดทั้งปี และกระจายให้ได้ทั่วถึงต่อไป เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเมืองเชียงรายมีอายุครบ 750 ปี ในปี 2555 ต่อไป
       
       ทั้งนี้ ในห้วงฤดูหนาวเชียงราย ซึ่งคาบเกี่ยวเทศกาลส่งท้ายปีเก่า 2554 ต้อนรับปีใหม่ 2555 พบว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งได้มีการจัดกิจกรรมกันอย่างคึกคัก
       
       นางรัตนา จงสุทธนามณี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย กล่าวว่าเชียงรายเป็นจังหวัดเหนือสุดของประเทศ ที่มีภูมิประเทศ และภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการทำการปลูกดอกไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูหนาว ซึ่งอากาศเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของไม้ดอกไม้ประดับ ที่มีความสวยงาม ทั้งสีสันและชนิดพันธุ์ที่แตกต่างจากพื้นที่อื่นๆ ซึ่งจังหวัดได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองแห่งดอกไม้งามมาโดยตลอด
       
       ดังนั้น ปีนี้จึงมีการจัดงานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามครั้งที่ 8 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 ธ.ค.2554-วันที่ 3 ม.ค.2555 ณ บริเวณสวนไม้งามริมน้ำกก เชิงสะพานเฉลิมพระเกียรติ 1 ต.ริมกก อ.เมือง ทั้งนี้ เพื่อให้งานเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองครบรอบ 750 ปี เมืองเชียงรายด้วย
       
       ภายในงานจะมีการจัดอุทยานไม้ดอกเมืองหนาว ดอกทิวลิป ลิลลี่ อุทยานกล้วยไม้ การประกวดนางสาวถิ่นไทยงาม จัดข่วงวัฒนธรรมล้านนา และชนเผ่า การจัดจำหน่ายสินค้าท้องถิ่น สำหรับพิธีเปิดงานในวันเสาร์ที่ 24 ธ.ค.2554 โดยจะจัดขบวนแห่รถบุปผาชาติและพิธีเปิดงานที่ยิ่งใหญ่
       
       ด้านนายวุฒิพงศ์ สุวรรณโชติ นายก อบต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า อบต.แม่สลองนอก ร่วมกับ อ.แม่ฟ้าหลวง และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมีกำหนดจัดเทศกาลชิมชา ซากุระบาน อาหารชนเผ่า ดอยแม่สลอง ครั้งที่ 16 ณ สนามกีฬาโรงเรียนบ้านสันติคีรี ต.แม่สลองนอก ระหว่างวันที่ 28 ธ.ค.2554-2 ม.ค.2555 โดยมีกิจกรรมลานบ้านชนเผ่า เช่น โล้ชิงช้า ชิงช้าชนเผ่า ฯลฯ รวมทั้งมีการออกร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะผลไม้อบ ชา กาแฟ การแสดงศิลปวัฒนธรรมชนเผ่า 7 ชนเผ่า คือ ลาหู่ จีนยูนนาน อาข่า ลัวะ เมี้ยน ไทยใหญ่ และ ลีซู
       
       ขณะที่ นายกนก จินดายก ปลัด อบต.วาวี อ.แม่สรวย กล่าวว่า อบต.วาวี ร่วมกับ อ.แม่สรวย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีกำหนดจัดงานเทศกาลชิมชาวาวี รสดีกาแฟดอยช้าง โดยกำหนดจัดงานขึ้นในวันที่ 31 ธ.ค.2554-3 ม.ค.2555 ณ เวทีกลางบ้านวาวี หมู่ที่ 1 ต.วาวี อ.แม่สรวย เพื่อร่วมฉลองสมโภช 750 ปีเมืองเชียงราย และส่งเสริมผลิตผลการเกษตร ส่งเสริมการท่องเที่ยว และสืบสานวัฒนธรรม 7 ชนเผ่า การแสดงมินิไลท์แอนด์ซาวด์ตำนานชาววาวี การแสดงวิถีชีวิตวัฒนธรรมชนเผ่า การแข่งขันกีฬาชนเผ่า จัดประกวดธิดาชา-กาแฟ จัดประกวดอาหารชนเผ่า และการแข่งขันวาวีมินิมาราธอน ครั้งที่ 1
       
       การแข่งขันวาวีมินิมาราธอน ครั้งที่ 1 จะจัดขึ้นวันที่ 31 ธ.ค.2554 ณ ลานกีฬาบ้านวาวี เวลา 06.00 น.โดยแบ่งเป็นประเภทการแข่งขันเป็นชาย รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี รุ่นอายุ 16-19 ปี รุ่นอายุ 20-29 ปี รุ่นอายุ 30-39 ปี รุ่นอายุ 40-49 ปี รุ่นอายุ 50-59 ปี รุ่นอายุ 60 ปีขึ้นไป ส่วนประเภทหญิง รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี รุ่นอายุ 16-39 ปี และรุ่นอายุ 40 ปีขึ้นไป มีรางวัล เป็นรางวัลชนะเลิศที่ 1 ได้รับเงิน 500 บาทพร้อมถ้วยรางวัล
       
       ส่วนรางวัลที่ 2 ได้รับเงิน 300 บาท พร้อมถ้วยรางวัลและรางวัลที่ 3 ได้รับเงิน 200 บาท พร้อมถ้วยรางวัล ผู้สนใจให้สมัครตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2554 ก่อนการแข่งขัน ค่าสมัครคนละ 100 บาท ผู้สนใจให้สมัครและติดต่อสอบถามได้ที่ อบต.วาวี โทรศัพท์ 053- 605950

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000155674


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 15 ธันวาคม 2011, 19:55:38
ชมทิวลิปบานที่ลานริมกก ในงาน “เทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม”



เชียงรายจัดงาน “เทศกาลเชียงรายดอกไม้งามครั้งที่ 8” ตั้งแต่วันที่ 24 ธ.ค. 54 - 3 ม.ค. 55 ณ บริเวณสวนไม้งามริมน้ำกก อ.เมือง จ.เชียงราย ใกล้สนามบินแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ชมดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์ และร่วมเฉลิมฉลองสมโภช 750 ปี เมืองเชียงราย

นางรัตนา จงสุทธนามณี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า เชียงรายมีภูมิประเทศสวยงาม มีความโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ของชาวล้านนา ผสมผสานกับศิลปวัฒนธรรมอันหลากหลายของชาติพันธุ์ต่างๆ อีกทั้งยังมีภูมิอากาศที่เหมาะสมแก่การเพาะปลูกไม้ดอกเมืองหนาว องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายจึงได้จัดงาน “เทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม” ในช่วงฤดูหนาวเป็นประจำทุกปีต่อเนื่องเรื่อยมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 จนถึงปัจจุบัน โดยการจัดงานครั้งนี้เป็นครั้งที่ 8 เพื่อร่วมเฉลิมฉลองสมโภช 750 ปี เมืองเชียงรายอีกด้วย โดยได้กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่วันที่ 24 ธันวาคม 2554 - 3 มกราคม 2555 ณ บริเวณสวนไม้งามริมน้ำกก (ใกล้สนามบินแม่ฟ้าหลวง)

วัตถุประสงค์ในการจัดงานเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของจังหวัดเชียงราย เสริมสร้างรายได้แก่ประชาชนและส่งเสริมพัฒนาให้จังหวัดเชียงรายเป็นแหล่งผลิตไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาวที่มีคุณภาพ โดยการจัดแสดงดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์ และนำดอกทิวลิปที่เพาะปลูกในจังหวัดเชียงรายมาเป็นจุดเด่นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาชมโดยไม่ต้องเสียเดินทางไปไกลถึงต่างประเทศ

ภายในงานจัดให้มีสวนเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นอุทยานไม้ดอกไม้ประดับที่แสดงถึงความจงรักภักดีของเหล่าพสกนิกรชาวเชียงราย และชาวไทยทุกหมู่เหล่า อุทยานไม้ดอกเมืองหนาวนานาพันธุ์ ดอกลิลลี่และทิวลิปหลากสีหลายสายพันธุ์ รวมทั้งประติมากรรมดอกไม้รูปทรงต่างๆ เช่น อุโมงค์ดอกไม้ พร้อมไม้ยืนต้นลีลานานาชนิด อุทยานกล้วยไม้หลากหลายสายพันธุ์ ที่เป็นผลผลิตจากเกษตรกรผู้เลี้ยงกล้วยไม้ในจังหวัดเชียงราย การประกวดขบวนรถบุปผชาติ การแสดงงานฝีมือและการประดิษฐ์ดอกไม้ใบตอง การประกวดนางสาวถิ่นไทยงาม ศึกษาวิถีชีวิตในข่วงวัฒนธรรมล้านนาและชนเผ่า โดยการจำลองวิถีชีวิตชนชาติพันธุ์ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนาและวัฒนธรรมที่มีการหล่อหลอมรวมกันเป็นอารยะทางวัฒนธรรมได้อย่างผสมกลมกลืนในรูปแบบนิทรรศการมีชีวิต นอกจากนี้ภายในงานยังได้นำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของดีเมืองเชียงรายมาจัดจำนวนหลายร้อยร้านค้า ทั้งชาและกาแฟจากยอดดอย และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย

และในวันที่ 24 ธันวาคม 2554 ตั้งแต่เวลา 15.00 น. เป็นต้นไปเชิญชมขบวนรถบุปผาชาติที่ตกแต่งด้วยดอกไม้นานาพันธุ์จากส่วนราชการ สถาบันการศึกษา องค์กรเอกชน กว่า 20 แห่งโดยเริ่มขบวนที่หน้าโรงเรียนสามัคคีวิทยาคมเคลื่อนไปตามถนนบรรพปราการถึงห้าแยกพ่อขุนเม็งรายมหาราชในเวลา 18.00 น. ชมพิธิเปิดงานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามที่ยิ่งใหญ่อลังการกับการแสดงมินิไลน์ แอนด์ ซาวนด์ ณ บริเวณสวนไม้งามริมน้ำกก และวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ขอเชิญร่วม Countdown ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นและดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์ในบรรยากาศแห่งล้านนา


http://www.manager.co.th/Travel/View...=9540000159015


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 15 ธันวาคม 2011, 19:55:52
ปิดดอยแม่สลอง ชวนนักท่องเที่ยวดื่มชา-ดูซากุระ-ชมวิถี 7 ชนเผ่าสิ้นปีนี้

เชียงราย - เมืองพ่อขุนฯ เปิดดอยแม่สลอง จัดเทศกาลชิมชา ซากุระบาน อาหารชนเผ่า ครั้งที่ 16 ระหว่าง 28 ธ.ค.54-2 ม.ค.55 พร้อมจัดโชว์เต็มการแสดงจาก 7 ชนเผ่า ดึงนักท่องเที่ยวขึ้นดอย เชื่อหน้าหนาวปีนี้ ทำเงินสะพัดกว่า 100 ล้าน วันนี้ (15 ธ.ค.) นายประพันธ์ จันทร์ชุ่ม นายอำเภอแม่ฟ้าหลวง, นายชาญณรงค์ สุหงษา ท่องเที่ยวและกีฬา จ.เชียงราย, นางจิรารัตน์ มีงาม ผู้ช่วยผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงาน จ.เชียงราย และ นายวุฒิพงษ์ สวรรค์โชติ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงาน “เทศกาลชิมชา ซากุระบาน อาหารชนเผ่า ดอยแม่สลอง” ครั้งที่ 16 ประจำปี 2554 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 28 ธ.ค.นี้ไปจนถึงวันที่ 2 ม.ค.2555 ณ บริเวณสนามกีฬาโรงเรียนสันติคีรี บนดอยแม่สลอง ต.แม่สลองนอก เช่นเคย นายประพันธ์ กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ถือเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายให้กับดอยแม่สลอง เพราะบนดอยแม่สลองนอกจากจะมีภาคธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต ธุรกิจใบชา ห้างร้านต่างๆ แล้วยังมีเกษตรกรที่ทำอาชีพที่เกี่ยวข้องกันอีกด้วย ซึ่งเมื่อมีผู้คนขึ้นไปเยือนก็จับจ่ายใช้สอยทำให้เกิดเงินสะพัดในพื้นที่ คาดว่าในฤดูหนาวปีนี้จะมีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท นอกจากนี้ การจัดงานยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและประเพณีของท้องถิ่นด้วย เพราะบนดอยแม่สลองมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์มากทั้งชาวจีน ไทใหญ่ อาข่า ฯลฯ ต่างอาศัยอยู่ร่วมกัน ขณะเดียวกัน ยังเป็นส่วนหนึ่งของ จ.เชียงราย ในการร่วมเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ด้วย เพราะการจัดงานคาบเกี่ยวช่วงเทศกาลพอดี ซึ่งวันที่ 1 ม.ค.ก็จะมีการนำนักท่องเที่ยวตักบาตรใบชาแห่งเดียวบนดอยแม่สลองเพื่อทำบุญร่วมกันด้วย ด้าน นายวุฒิพงษ์ กล่าวว่า งานเทศกาลดังกล่าวเคยจัดให้มีขึ้นมาแล้ว 15 ครั้ง ซึ่งพบว่าแต่ละครั้งล้วนได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไปเที่ยวชมปีละเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ปีนี้จึงได้กำหนดให้มีกิจกรรมที่หลากหลายขึ้น เช่น การแสดงของชนเผ่าจำนวน 7 เผ่า เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียนให้นักท่องเที่ยวได้ชมตลอดทั้งการจัดงาน นอกจากนี้ มีกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจมากมาย ได้แก่ การประกวดร้านชา การแสดงวัฒนธรรมและดนตรีชนเผ่า ประกวดร้องเพลงไทยลูกทุ่ง รวมถึงการจำหน่ายสินค้าในพื้นที่ ฯลฯ ขณะเดียวกันปีนี้ มีการจัดกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจมากมาย ได้แก่ การประกวดร้านชา การแสดงวัฒนธรรมและดนตรีชนเผ่า ประกวดร้องเพลงไทยลูกทุ่ง รวมถึงการจำหน่ายสินค้าในพื้นที่ ฯลฯ กิจกรรมที่พิเศษกว่าทุกปี คือ การจัดประกวดไก่ดำ พันธุ์ไก่พื้นเมืองของเชียงราย ซึ่งถือเป็นสัตว์เลี้ยงเศรษฐกิจบนดอยแม่สลอง โดยจะมีการนำมาปรุงอาหารให้กับนักท่องเที่ยวได้ชิมด้วย

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9540000159620
__________________


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 15 ธันวาคม 2011, 19:56:05
ะดมศิลปินลุ่มน้ำโขง-ตะวันตก วาดภาพฉลอง 750 ปี ชร.-ฝรั่งรัก “ในหลวง” วาดภาพแสดงตลอดปี

เชียงราย - ม.ราชภัฏเชียงราย เปิดพื้นที่หอประชุมกาสะลองคำ รับศิลปินลุ่มน้ำโขง และนานาชาติ แสดงฝีมือวาดภาพร่วมฉลอง 750 ปีเมืองพ่อขุนฯ เผย มีศิลปินจากหลายประเทศทั้งจีน-ตะวันตก เข้าร่วมนับ 100 คน ก่อนนำผลงานตั้งโชว์ตลอดปี 55 พบฝรั่งรัก “ในหลวง” บรรจงวาดพระบรมฉายาลักษณ์สุดฝีมือ

วันนี้ (13 ธ.ค.) ที่หอประชุมกาสะลองคำ ม.ราชภัฏเชียงราย รศ.ดร.มาณพ ภาษิตวิไลธรรม อธิการบดี ม.ราชภัฏเชียงราย ได้เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการนิทรรศการศิลปกรรม “ร้อยศิลปินลุ่มน้ำโขง:750 ปีเมืองเชียงราย” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-15 ธ.ค.นี้โดยมีศิลปินด้านจิตรกรรมจากเชียงราย, จีน และประเทศต่างๆ รวมประมาณ 100 คน เข้าร่วมเป็นศิลปินจีนจากคุนหมิง ฝู่เอ๋อ ต้าลี วีซี มณฑลหยุนหนัน และเมืองหนานหนิง มณฑลกวางสี 17 คน, ศิลปินชาวเชียงรายชื่อดังหลายคน เช่น อ.ฉลอง พินิจสุวรรณ, อ.กนก วิศวกุล ฯลฯ และศิลปินจากตะวันตกอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งทางมหาวิทยาลัยจัดให้ศิลปินแต่ละคนได้วาดภาพแสดงผลงานของตนเองบนผืนภาพขนาดเท่ากันภายในหอประชุม

รศ.ดร.มาณพ กล่าวว่า วัตถุประสงค์หลักในการจัดการแสดงผลงานของศิลปินในครั้งนี้ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสเมืองเชียงราย มีอายุครบ 750 ปี ในปี 2555 นี้ และยังเป็นการจัดประชุมบรรดาศิลปินในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและนานาชาติ โดยเฉพาะเชียงราย-ลุ่มน้ำโขง ซึ่งมีศิลปินจำนวนมากและหลากหลาย ที่ล้วนแล้วแต่มีฝีมือ แต่การจะจัดประชุมศิลปิน จะให้มานั่งประชุมกันไม่ได้จึงให้จัดการแสดงผลงานแทน

ทั้งนี้ หลังการวาดภาพซึ่งบรรดาศิลปินคงจะใช้เวลา 2 วันแล้ว ม.ราชภัฏเชียงราย จะนำผลงานพร้อมภาพวาดที่ศิลปินมอบให้ท่านละ 1-3 ใบ ไปจัดแสดงที่หอศิลปของมหาวิทยาลัย ริมหนองบัว ม.ราชภัฏเชียงราย ซึ่งคาดว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 200 ภาพ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ชื่นชมไปตลอดการเฉลิมฉลอง 750 ปีเมืองเชียงราย

รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติม ว่า ขณะนี้บรรดาศิลปินต่างแสดงฝีมือในการวาดภาพด้วยการใช้เทคนิคต่างๆ โดยบางคนนำผืนภาพวาดกับพื้นราบโดยไม่วางบนโต๊ะและตวัดพู่กันอย่างงดงามโดยเฉพาะจากศิลปินชาวจีน บางคนใช้สีอะคริลิกวาดแล้ววางทับด้วยแผ่นพลาสติกใส ฯลฯ สร้างความสนใจให้กับบรรดาคณาจารย์ สื่อมวลชน และนักศึกษาที่ไปเข้าชมเป็นอย่างมาก

ขณะที่หลายคนวาดภาพที่เกี่ยวข้องกับเมืองเชียงราย 750 ปีอย่างงดงาม และบางคนวาดภาพในหลวงจากแรงบังดาลใจที่น่าชื่นชม

Mis.Lisa Moses ศิลปินชาวอเมริกัน ซึ่งร่วมวาดภาพในโครงการนี้ด้วย ได้วาดภาพในหลวงประกอบข้อความเฉลิมพระเกียรติ โดยได้ระบุว่า อาศัยอยู่ในประเทศไทยมาได้ประมาณ 4 ปีแล้ว รู้สึกเคารพและรักในหลวงของประเทศไทยมาก รวมทั้งรู้ว่าคนไทยก็รักและเคารพในหลวงเช่นกัน ดังนั้น จึงต้องการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นผลงานทางศิลปะตามที่ตนเองถนัดอย่างเต็มความสามารถ

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9540000158351


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 ธันวาคม 2011, 15:37:14
18 ธันวาคม 2554 11:20 น.

เชียงราย - กรรมาธิการการเงินฯ ยกคณะขึ้นเหนือ ติดตามผลกระทบเหตุปล้น-ฆ่าลูกเรือจีนตายยกลำกลางน้ำโขง ประเมินเบื้องต้นทำการค้า-การลงทุน ชะลอยาวกว่า 2 ปีแน่ แม้วันนี้ สป.จีน จะปล่อยเรือลงอีกรอบ แต่บรรยากาศไม่เอื้อ ชี้ไม่มีที่ไหนในโลกที่ใช้กองเรือติดอาวุธคุ้มกัน ขณะที่ตัวแทนรัฐ-เอกชน เสนอดันถนนไทย-ลาว-จีน รับแทน พร้อมตัดงบเกินดุลช่วยงานคุ้มกันเรือจีน
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า นายไชยา พรหมา ประธานคณะกรรมาธิการการเงิน การธนาคาร และสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ได้นำคณะเดินทางไปรับทราบข้อมูลด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อชายแดนด้าน จ.เชียงราย ต่อกรณีการปล้น-ฆ่า ลูกเรือสินค้าจีน 2 ลำ เสียชีวิตรวม 13 ศพ ที่ห้องประชุมที่ว่าการ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เมื่อสุดสัปดาห์นี้ โดยมีผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจ้งสถานการณ์และการดำเนินการต่างๆ
       
       พ.ต.อ.ภพกร คูณเจริญสุข ผกก.สภ.เชียงแสน ได้สรุปสถานการณ์ปล้นฆ่าลูกเรือจีน ว่า เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ต.ค.54 ตำรวจได้รับแจ้งว่ามีการปล้นเรือนอกราชอาณาจักรไทย และเรือได้ถูกควบคุมเข้ามาริมฝั่งหมู่บ้านสบรวก ก่อนเกิดเสียงปืนดังขึ้น เมื่อขึ้นไปตรวจเรือพบผู้เสียชีวิต 1 คน จากนั้นค่อยๆ ทยอยพบผู้เสียชีวิตคนอื่นๆ ลอยมาติดริมฝั่งแม่น้ำโขง ต่อมาได้มีการดำเนินคดีกับทหาร 9 นาย ปัจจุบันได้สอบปากคำพยานไปแล้วกว่า 100 ปาก ขณะนี้เรื่องอยู่ในการดูแลของอัยการสูงสุดแล้ว รวมทั้ง 4 ประเทศลุ่มน้ำโขงคือไทย สปป.ลาว พม่า จีน ได้ตั้งศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดในแม่น้ำโขง (ศปปข.) ขึ้นมาดูแลกองเรือสินค้าที่เดินทางไปมา
       
       แต่กรณีในเขตน่านน้ำ หรือเข้าฝั่งไทย ทางจีนจะไม่ส่งกำลังเข้ามา โดยจะส่งมอบให้ทาง ศปปข.ส่วนหน้าของไทยดูแล
       
       นายประธาน อินทรียงค์ ที่ปรึกษาหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่า ชายแดนเชียงราย มีการลงทุนเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนหลายอย่าง เช่น ท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ฯลฯ ขณะที่จีนก็ขยายการค้าการลงทุนลงมา ทำให้[COLOR="Red"]แม้แต่กลุ่มทุนญี่ปุ่นก็สนใจจะเข้าไปลงทุนในกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะลอจิสติกส์[/COLOR] แต่เหตุการณ์รุนแรงครั้งนี้ทำให้การลงทุนอาจต้องชะลอไปกว่า 2 ปี แต่เชื่อว่าในอนาคตทุกอย่างจะดีขึ้น ดังนั้นช่วงฟื้นตัวขอเสนอให้มีการพัฒนาด้านอื่นๆ เพื่อรองรับอนาคต ทั้งระบบการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศให้เป็นสากล เพราะปัจจุบันยังไม่มีระบบธนาคารที่มาตรฐาน
       
       ด้านนายเฉลิมพล พงษ์ฉบับนภา พาณิชย์ จ.เชียงราย กล่าวว่า การค้าชายแดนเชียงราย เป็นการค้ากับจีนตอนใต้กว่า 22% และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากช่วง 2-3 ปีก่อนที่อยู่ในอัตรา 10% กว่าเท่าตัว และหากแยกเป็นรายด่านพบว่า เป็นการค้าที่เกิดขึ้นด้าน อ.เชียงแสน กว่า 70% และที่เชียงของผ่านถนน R3A ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ จำนวน 30% โดยเป็นที่น่าสังเกตว่ามูลค่าการค้าทั้งหมดเป็นการส่งออกสินค้าของไทยที่ท่าเรือ อ.เชียงแสน เสียกว่า 96% และมีการส่งออกที่เชียงของน้อยกว่ามาก ทำให้ที่เชียงแสนมีการค้ากันวันละเฉลี่ยกว่า 500 ล้านบาท แยกเป็นการส่งออกเฉลี่ยวันละกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามหาศาล
       
       ผลกระทบจากเหตุการณ์รุนแรงได้ทำให้มูลค่าการค้าลดฮวบลงกว่า 50-60% เพราะยังมีการบรรทุกทางเรือสินค้าลาว แต่ระวางบรรทุกน้อยกว่ามากแค่ 150 ตัน ส่วนเรือจีนมีระวางบรรทุกกว่า 250-300 ตัน และเกรงว่าจะกระทบยาวไปจนถึงเดือน พ.ค.55 เพราะตามปกติน้ำโขงจะแห้งจนไม่สามารถเดินเรือสินค้าได้ในช่วงฤดูแล้งด้วย
       
       นายเฉลิมพล กล่าวว่า ดังนั้น จึงควรหันมาผลักดันพัฒนาถนน R3A เพื่อพลิกวิกฤตินี้ให้เป็นโอกาส รองรับกรณีเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นมาอีกในอนาคต เพราะจากมูลค่าการส่งออกของไทยที่ อ.เชียงของ พบว่ามีอัตราแค่ 4% ของการส่งออกไปจีนทั้งหมด สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะรถบรรทุกไทย ไปได้แค่ชายแดนลาว-จีน ที่เมืองบ่อเต็น-บ่อหาน ไม่สามารถเข้าไปในจีนได้ และความชำนาญในการขนส่งอาจจะไม่เท่ารถบรรทุกของจีนที่เหมาะสมกับเส้นทางคดเคี้ยวตามไหล่เขาของถนน R3A และเชื่อว่าเมื่อสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ กับ สปป.ลาว แล้วเสร็จในปี 2556 จะทำให้การขนส่งด้าน R3A คึกคักอย่างมาก จึงควรจะเตรียมการในช่วงนี้ไว้เพื่อรองรับด้วย โดยเฉพาะกรณีข้อตกลงขนส่งรถบรรทุกประเทศละ 500 ลำ ที่เงียบหายไป และตนยังไม่ทราบว่าอยู่ในขั้นตอนไหนด้วย
       
       "อย่างไรก็ตามกรณีเรือสินค้าแม่น้ำโขงนั้นผมเห็นว่าจีนอย่างไรเสียก็มีพลเมืองกว่า 1,300 คน และมีที่ราบเพื่อเพาะปลูกแค่ 20% การขนส่งเสบียงอาหารต้องกระจายไปทั่ว ซึ่งถ้าลงใต้ก็ต้องผ่านประเทศไทยโดย จ.เชียงราย เขาจึงจะต้องรักษาเส้นทางนี้เอาไว้ ดังนั้น จึงควรหันไปผลักดันเรื่อง R3A ให้มาก เพราะปัจจุบันจีนส่งสินค้าลงมากว่า 1,900 ล้านบาท แต่ไทยส่งขึ้นไปบนถนนสายเดียวกันแค่ 100 กว่าล้านบาทเท่านั้น" นายเฉลิมพล กล่าว
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่าทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงโดยตำรวจน้ำ ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่าปัจจุบันประเทศจีน ได้มอบเรือเพื่อการคุ้มกันเรือขนส่งสินค้าในแม่น้ำโขงให้พม่า 1 ลำ และ สปป.ลาว 1 ลำ ส่วนของจีน มีเรืออาวุธและกองกำลัง เป็นเรือใหญ่ 3-5 ลำ และเรือเล็ก 8 ลำ ซึ่งถือว่าทางการจีนเตรียมพร้อม และทุ่มทุนในเรื่องนี้มาก
       
       ขณะที่ทางประเทศไทยหลังจากตั้ง ศปปข.ส่วนหน้าแล้วเจ้าหน้าที่หน่วยต่างๆ เช่น ตำรวจน้ำ มีเรือดีเซล 2 ลำ เบนซิน 2 ลำ ต้องเสียค่าน้ำมันเชื้อเพลิงเที่ยวจากท่าเรือไปสามเหลี่ยมทองคำไปกลับ 360 ลิตร ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่ลาดตระเวนตามกำหนดเวลาและความจำเป็น แต่ปัจจุบันต้องคุ้มกันคาราวานเรือสินค้าจีนเป็นประจำตามข้อตกลง ซึ่งเรือจีนจะเดินทางไปเป็นกลุ่มๆ ละ 3-5 ลำก่อนที่เจ้าหน้าที่ไทยจะส่งมอบให้กองกำลังของจีนคุ้มกันต่อเมื่อถึงบริเวณเหนือสามเหลี่ยมทองคำขึ้นไป เมื่อมองจากปริมาณเรือที่มีกว่า 100 ลำของกองเรือสินค้าจีนถือว่าเป็นงานหนักและสิ้นเปลืองด้านงบประมาณดำเนินการอย่างมาก
       
       ขณะที่ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งเป็นแม่งานก็เบิกจ่ายงบประมาณด้านการคุ้มกันดูแลของเจ้าหน้าที่ไทยล่าช้า จึงเสนอให้มีการนำงบประมาณดุลการค้าที่เป็นบวกอย่างมากมายจากการค้าชายแดนราว 5-10% มาสนับสนุนการคุ้มกันกองเรือสินค้าดังกล่าว
       
       นายไชยา พรหมา ประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า ทางประเทศจีนยืนยันว่าเรือสินค้าที่เกิดเหตุทั้ง 2 ลำไม่ได้ขนยาเสพติดแน่นอน เรื่องนี้จึงถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องเร่งสะสางเพื่อให้บรรยากาศการค้าดีขึ้น เพราะไม่มีที่แห่งใดในโลกที่การค้าขายมีการนำกองกำลังติดอาวุธคอยคุ้มกันกองเรือไปตลอดเส้นทางเช่นนี้ ซึ่งแม้จะปลอดภัยแต่บรรยากาศไม่เหมาะ และกรณีของแม่น้ำโขงก็เหมาะสมกับการเป็นเส้นทางท่องเที่ยวด้วย โดยที่ผ่านมาเคยมีการเดินเรือท่องเที่ยวอย่างคึกคักแต่กลับได้รับผลกระทบหนัก
       
       ดังนั้นคณะกรรมาธิการฯ จะนำเสนอไปยังรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แก้ไขปัญหารวมทั้งกรณีข้อเสนอต่างๆ ด้วย เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่เกินศักยภาพของหน่วยงานในพื้นที่จะดำเนินการเองได้ โดยมีเป้าหมายสูงสุดของการดำเนินการคือบรรยากาศการค้าการลงทุนดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้กองกำลังติดอาวุธคุ้มกันเช่นนี้อีก
       
       ส่วนกรณีถนน R3A ก็จะประสานงานเพื่อดำเนินการให้เกิดการเจรจา การใช้เงื่อนไขทางการค้า ฯลฯ ให้เอื้อกับการส่งออกสินค้าของไทยให้มากขึ้น เช่นเดียวกับการผลักดันเรื่องกฎหมายการเงินเพื่อการค้าชายแดนด้านนี้ให้ได้มาตรฐานต่อไป
       
       ด้านนายนิพนธ์ วิสิษฐยุทธศาสตร์ กรรมาธิการที่ปรึกษาฯ กล่าวว่า ตนได้พูดคุยกับผู้ใหญ่ในประเทศจีนแล้ว เขาให้ความสำคัญมากและเชื่อว่าเรือสินค้าของจีนไม่ได้ขนยาเสพติด ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมแน่นอน ตนจึงเชื่อว่าการค้าการลงทุนจะไม่ล่าช้าไปแค่ 2 ปีแต่คงจะมากกว่านั้น และแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการขนส่งสินค้ากันบ้างแล้ว แต่ก็มีกองกำลังติดอาวุธคอยคุ้มกันตลอดแนวซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีที่ไหนในโลกมาก่อน แม้แต่จีนก็ถือเป็นครั้งแรกที่นำกองกำลังติดอาวุธออกนอกประเทศเช่นนี้ด้วย ตนจึงเกรงจะเกิดปัญหาในอนาคตกรณีต้องการกดดันทางการค้าและมีสินค้าไทยขนส่งขึ้นไปยังจีนหรือผลกระทบอื่นๆ อันเกิดจากการติดอาวุธที่อาจเกิดขึ้นได้
       
      รายงานข่าวแจ้งอีกว่าการค้าชายแดนด้าน จ.เชียงราย ตั้งแต่เดือน ม.ค.-ต.ค.ที่ผ่านมามีการค้ากับจีนรวม 5,680.53 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้า 2,319.13 ล้านบาท และส่งออก 914.05 ล้านบาท การค้ากับ สปป.ลาว มีมูลค่ารวม 2,908.37 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้า 439.53 ล้านบาท และส่งออก 7,830.02 ล้านบาท การค้ากับพม่ามีมูลค่าการค้ารวม 10,189.35 ล้านบาท ส่งออก 10,201.93 ล้านบาท


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000160428

///////////////////////////////////

ว่าแต่ญี่ปุ่น จะทำโครงการอะไร นะ...:)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 ธันวาคม 2011, 20:25:28
ท่าเรือเชียงแสน อัพเดต  4 ธันวาคม 54

(https://fbcdn-sphotos-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/384755_10151017932280271_753430270_22222945_240665945_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/387613_10151017933015271_753430270_22222954_1069568011_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-a.akamaihd.net/hphotos-ak-snc7/374332_10151017933240271_753430270_22222957_852601037_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/376415_10151017932785271_753430270_22222949_1974713418_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/382673_10151017930090271_753430270_22222930_794336520_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-a.akamaihd.net/hphotos-ak-snc7/376271_10151017929560271_753430270_22222926_1839854575_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/374367_10151017929005271_753430270_22222922_2142394629_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/387851_10151017928350271_753430270_22222916_465101697_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-a.akamaihd.net/hphotos-ak-snc7/381296_10151017927850271_753430270_22222914_191950771_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/385373_10151017924355271_753430270_22222895_1451593510_n.jpg)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 ธันวาคม 2011, 20:36:54
ราชการ-เอกชนประสานเสียง ชงเมกะโปรเจกต์เสนอ ครม.สัญจรเชียงใหม่

 ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ภาครัฐ-เอกชนเชียงใหม่ ระดมสมอง เตรียมรับ ครม.สัญจรที่เชียงใหม่ 15-16 ม.ค.55 เล็งจัด รมต.ลงพื้นที่ทุกอำเภอ พร้อมชงสารพัดเมกะโปรเจกต์เสนอ ครม.ทั้งสร้างถนน-ขยายสนามบิน-รถไฟความเร็วสูง เชื่อ โครงการฉลุยจังหวัดได้ประโยชน์เพียบ ด้านภาคเอกชนเผยเตรียมเสนอรัฐหนุนภาคเศรษฐกิจ หอการค้าหวังรัฐหนุนรถไฟความเร็วสูง-เปิดด่านชายแดน ส่วนสภาอุตสาหกรรมฯ หวังรัฐแก้ปัญหาน้ำทั้งระบบ
       
       วันนี้ (20 ธ.ค.) ที่ห้องประชุม 5 ชั้น 5 อาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นายชูชาติ กีฬาแปง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในการประชุมการเตรียมความพร้อมการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการและตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วม
       
       การประชุมดังกล่าวมีขึ้นเพื่อหารือถึงการเตรียมการรองรับการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้กำหนดจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 15-16 ม.ค.2555
       
       ในที่ประชุมได้มีการหารือ ถึงการตั้งคณะทำงานและมอบหมายภารกิจให้กับฝ่ายต่างๆ เพื่อเตรียมการรองรับการประชุมที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งการเตรียมการสำหรับการปฏิบัติงานในพื้นที่ของคณะรัฐมนตรี ซึ่งในที่ประชุมได้มีการเสนอแนวคิดสำหรับการลงพื้นที่ของรัฐมนตรีไว้เป็น 2 รูปแบบ
       
       แบบแรก ได้แก่ การจัดให้รัฐมนตรีลงพื้นที่ระดับอำเภอเป็นรายอำเภอทั้ง 25 อำเภอ โดยแต่ละอำเภอจะมีข้อมูลประกอบการปฏิบัติราชการ ที่สอดคล้องกับภาระงานของรัฐมนตรีตามกระทรวงต่างๆ ที่จะลงพื้นที่
       
       ส่วนแบบที่สอง คือ การจัดกลุ่มอำเภอต่างๆ ที่มีลักษณะปัญหาหรือแนวทางการดำเนินการพัฒนาใกล้เคียงกันในลักษณะคลัสเตอร์ แล้วให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายลงพื้นที่ตามกลุ่มคลัสเตอร์ต่างๆ ต่อไป
       
       นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือถึงการจัดทำโครงการสำคัญๆ ที่จะนำเสนอขอรับการสนับสนุนจากคณะรัฐมนตรี โดยในเบื้องต้นโครงการที่จังหวัดเชียงใหม่เตรียมที่จะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีประกอบด้วยโครงการ Medical Hub, โครงการวางระบบไฟฟ้าใต้ดิน, โครงการพัฒนาโครงข่ายคมนาคม, โครงการขยายสนามบิน, โครงการรถไฟความเร็วสูง, โครงการอนุรักษ์พื้นที่รอบคูเมืองเชียงใหม่, โครงการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะเมืองเชียงใหม่, โครงการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้วยระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) และโครงการบริหารจัดการน้ำด้วยการก่อสร้างแก้มลิง
       
       ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้มีการให้ข้อมูลและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการต่างๆ ที่เตรียมจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีกันอย่างแพร่หลาย โดยโครงการบางส่วนเป็นโครงการที่หน่วยงานที่รับผิดชอบเตรียมที่จะดำเนินการอยู่แล้ว อาทิเช่นโครงการขยายสนามบินซึ่งบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เตรียมที่จะใช้งบประมาณของตนเองในการดำเนินงาน หรือโครงการอนุรักษ์พื้นที่รอบคูเมืองซึ่งเป็นการต่อยอดจากการที่จังหวัดเชียงใหม่ได้รับการประกาศให้เป็นจังหวัดที่เป็นที่สุดแห่งความสง่างามทางวัฒนธรรม เป็นต้น เช่นเดียวกับการสร้างระบบป้องกันปัญหาอุทกภัยซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐบาลเตรียมจะดำเนินการอย่างแน่นอน
       
       ขณะเดียวกัน โครงการที่มีมูลค่าการลงทุนสูง อย่างโครงการรถไฟความเร็วสูง และโครงการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมถือเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะผลักดันให้คณะรัฐมนตรีรับทราบและพิจารณา เนื่องจากจะเกิดประโยชน์ต่อจังหวัดเชียงใหม่ในระยะยาว โดยในส่วนของโครงการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมนั้น
       
       นอกจากจะมีการเสนอเรื่องการพัฒนาถนนเส้นทางหลวงที่เชื่อมโยงกับจังหวัดอื่นๆ ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ อย่างกการพัฒนาเส้นทางเชียงใหม่-เชียงรายหรือเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอนแล้ว ที่ประชุมยังได้เน้นย้ำถึงการเสนอให้ขยายเส้นทางถนนวงแหวนรอบนอกหรือวงแหวนรอบที่ 3 จากถนน 2 เลน เป็นถนน 4 เลน การเสนอให้คณะรัฐมนตรีศึกษาการสร้างเส้นทางถนนวงแหวนรอบที่ 4 เพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง รวมไปถึงการพัฒนาเส้นทางเพื่อรองรับศูนย์ประชุมและศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ บริเวณถนนเลียบคลองชลประทานซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2555 อีกด้วย
       
       นายณรงค์ คองประเสริฐ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยถึงการที่คณะรัฐมนตรีเตรียมที่จะเดินทางมาจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดเชียงใหม่ช่วงวันที่ 15-16 ม.ค.55 ว่า ในส่วนของหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ เตรียมโครงการที่จะนำเสนอผลักดันต่อคณะรัฐมนตรี 2 โครงการสำคัญ ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และการเปิดด่านการค้าชายแดนกิ่วผาวอก อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
       
       นอกจากนี้ ยังจะมีการติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับรูปแบบการบริหารจัดการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ ที่กำลังก่อสร้างใกล้จะเสร็จแล้วด้วย ตลอดจนอยากเรียกร้องให้รัฐบาลมีการประกาศให้ปี 2555 เป็นปีแห่ง MICE หรือการประชุมสัมมนาเพื่อให้มีคนเดินทางมามาจัดการประชุมสัมมนาที่จังหวัดเชียงใหม่มากๆ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้กับจังหวัดเชียงใหม่
       
       ด้าน นายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดเชียงใหม่ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ เตรียมที่จะเสนอให้รัฐบาลดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพให้กับจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้สามารถทำการเกษตรกรรมได้ตลอดทั้งปี เป็นการแก้ไขปัญหาเรื่องรายได้ของเกษตรกร รวมทั้งเป็นการแก้ไขปัญหาน้ำแล้งและน้ำท่วมไปพร้อมกันด้วย ซึ่งมองว่าการลงทุนในโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพนี้ ดีกว่าการที่รัฐต้องสิ้นเปลืองงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะเหมือนที่ผ่านมา


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000161810


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 ธันวาคม 2011, 17:36:03
ภาคธุรกิจชายแดนตั้งตารอ-หลังประชุมผู้นำGMSเขตเศรษฐกิจรอบพรมแดนเกิด

เชียงราย - นักธุรกิจชายแดนคาดหวังหลัง “ปู” ร่วมประชุมสุดยอดผู้นำ GMS หนุนแจ้งเกิดเขตเศรษฐกิจพิเศษไทย-พม่า และไทยกับเพื่อนบ้านตลอดแนว
       
       หลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางไปประชุมสุดยอดผู้นำ 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง หรือ GMS (Grater Mekong Sub-region) ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 19-20 ธ.ค.54 ที่ประเทศพม่านั้น ทำให้บรรดานักธุรกิจต่างๆ ตามชายแดน มองว่า จะทำให้บรรยากาศทางการค้าดีขึ้น
       
       โดยนายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ บอกว่า ในเวทีนี้นอกจากจะมีการประชุมสุดยอดผู้นำ 6 ประเทศลุ่มน้ำโขงแล้ว ยังการเปิดตัวนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยต่อประเทศลุ่มน้ำโขงหลังบริหารงานมาได้ 3 เดือนและการไปพบปะกับนางอองซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้านในพม่าด้วย ซึ่งจะทำให้บรรยากาศระหว่างสองประเทศดีขึ้นในทุกมิติ เพราะไทยกับพม่ามีอาณาเขตติดต่อกันหลายพันกิโลเมตรจึงมีความสัมพันธ์กันในหลายด้าน
       
       ทั้งนี้ ทราบว่าจากการเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำ GMS ครั้งนี้ ทำให้เกิดข้อตกลงร่วมกัน 10 ข้อ เช่น การใช้ทรัพยากรร่วมกัน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน ฯลฯ โดยมีเป้าหมายให้มีส่วนร่วมกันมากขึ้น
       
       นายพัฒนา กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามจากการศึกษาของธนาคารพัฒนาเอเชียหรือเอดีบี ระบุว่าการที่มีด่านพรมแดนเพื่อการค้าการลงทุนระหว่างกันนั้น หากว่าไม่มีเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนก็ไม่ถือว่ามีความสมบูรณ์แบบ ดังนั้นคาดหวังว่าไทยและพม่าจะตกลงหารือกันเพื่อผลักดันให้เกิดเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนระหว่างกันต่อไป หลังจากเกิดขึ้นที่ชายแดนด้าน อ.แม่สอด จ.ตาก กับเมืองเมียวดีของพม่าแล้ว ก็ยังมีด่านพรมแดนด้านอื่นๆ ที่มีศักยภาพ
       
       เช่น ด้าน จ.เชียงราย กับท่าขี้เหล็ก ซึ่งมีถนนอาร์สามบีเชื่อมไทย-พม่า-จีนตอนใต้ ผ่าน อ.แม่สาย-เชียงตุง-เมืองลา ,ด้านท่าเรือเมืองทวายไปยังชายแดนด้าน จ.กาญจนบุรี ของไทย เป็นต้น
       
       ขณะเดียวกันอยากให้มีความร่วมมือด้านที่เกี่ยวข้องกับการจะเป็นประชาคมอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558 โดยหารือเรื่องการใช้แรงงานชาวพม่า ซึ่งมีอยู่มากในประเทศไทยด้วย
       
       ด้านนายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ ประธานหอการค้า อ.แม่สาย กล่าวว่า ปัจจุบันบรรยากาศการค้าชายแดนไทย-พม่า ดีอยู่แล้ว ทั้งด้านการเมืองภายในพม่าและการกระจายสินค้าไทยเข้าไปทางภาคเหนือของพม่า ซึ่งแม้ว่าที่ผ่านจะมีสินค้าหลากหลายทั้งจากไทย จีน หรือแม้แต่อินเดีย เข้าไปในภูมิภาคนี้ แต่สินค้าไทยก็ยังคงครองตลาดในโซนภาคเหนือของพม่าอยู่ ดังนั้นจึงเชื่อว่าความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้บริหารประเทศจะทำให้บรรยากาศดีขึ้น
       
      รายงานข่าวแจ้งว่าสำหรับการค้าชายแดนไทย-พม่า ด้าน จ.เชียงราย พบว่ามีมุลค่าการค้ารวมตั้งแต่เดือน ม.ค.-ต.ค.2554 อยู่ที่ 10,302.24 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้า 100.31 ล้านบาท และส่งออก 10,201.93 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามีอัตราที่เพิ่มขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 30.32% โดยแม้จะมีช่วงที่ปิดด่านแม่สอด-เมียวดี อยู่พักใหญ่แต่ผู้ประกอบการก็หันนำเข้าสินค้าผ่านด่านอื่นๆ
       
       เช่น แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก ฯลฯ แทน ทั้งนี้สินค้าไทยที่ส่งเข้าไปในพม่าส่วนใหญ่เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง สินค้าอุปโภคบริโภคเกือบทุกชนิด ฯลฯ ส่วนสินค้านำเข้าจากพม่าเป็นสุราต่างประเทศ เสื้อผ้า ฯลฯ


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000162111

//////////////////////

ด่านนี้ไทยเกินดุลมาก ได้ดุลเกือบ 10000ล้าน


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 ธันวาคม 2011, 13:13:08
การประชุมจีเอ็มเอส

คอลัมน์ที่ 13


การประชุมสุดยอดผู้นำ 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง หรือ จีเอ็มเอส ซัมมิท เป็นการประชุมเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์และข้อตกลงการพัฒนาประเทศในการเชื่อมโยงชาติสมาชิก ได้แก่ ไทย กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม และจีน (เฉพาะมณฑลยูนนานและกวางสี) ในแง่ของเศรษฐกิจและระบบโครงข่ายคมนาคม

เพื่อเปิดประตูการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออก และเอเชียใต้ ที่มีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ โดยขอบเขตการพัฒนานั้นกินพื้นที่รวมกว่า 2,300,000 ตารางกิโลเมตร

อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงได้รับการก่อตั้งในปี 2535 มีสาขาความร่วมมือ 9 สาขา ได้แก่ คมนาคม โทร คมนาคม พลังงาน การค้า การลงทุน เกษตร สิ่งแวด ล้อม การท่องเที่ยว และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งกำหนดแผนงานลำดับความสำคัญสูง 11 แผนงาน ได้แก่ ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก(East-West Economic Corridor : EWEC) ระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้(North-South Economic Corridor : NSEC) และระเบียงเศรษฐกิจทิศใต้(South Economic Corridor : SEC)

มีกลไกการทำงานโดยจัดประชุม 4 ระดับ ได้แก่ ระดับกลุ่มแผนงาน 9 สาขา ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสปีละ 1-2 ครั้ง ระดับรัฐมนตรีปีละ 1 ครั้ง และระดับผู้นำทุก 3 ปี

ล่าสุด ในช่วงวันที่ 19-20 ธ.ค. ถือเป็นการประชุมสุดยอดผู้นำ 6 ประเทศ ครั้งที่ 4 จัดขึ้นที่กรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงใหม่ของพม่า มีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย รองนายกฯรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวม 9 หน่วยงาน พร้อมผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศเพื่อช่วยในการประสานงานเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของไทย

ประเด็นสำคัญที่ฝ่ายไทยต้องติดตามผลักดันคือ การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตกในพม่า ซึ่งการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่เมืองทวาย นั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนดังกล่าว รวมไปถึงการหารือปัญหาแม่น้ำแห้งขอดและโครงการก่อสร้างเขื่อนเหนือลุ่มน้ำโขงของจีน ตลอดจนกรอบความร่วมมือด้านอื่นๆ เช่น ธุรกิจการค้าการลงทุน และความมั่นคงทางพลัง งานซึ่งกำลังกลายเป็นเรื่องเร่งด่วนของไทย

นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่ไทยยังให้ความช่วยเหลือแก่เพื่อนบ้านด้วย อาทิ สะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 2 อ.แม่สาย จ.เชียงราย ผ่านจุดผ่านแดนถาวรแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก และเส้นทางอาร์-3 สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 หรือสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แม่สอด-เมียวดี ที่ทางการพม่าเปิดให้ผ่านได้แล้ว เมื่อ 5 ธ.ค.เป็นต้นมา

ในการประชุมครั้งนี้ คณะรัฐมนตรีของไทยมีมติเมื่อวันที่ 29 พ.ย.ให้รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอแต่งตั้งนายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีประจำแผนงานความร่วมมือการพัฒนาเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย หรือไอเอ็มที-จีที แผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ หรือ จีเอ็มเอส และกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม

สำหรับประเด็นสำคัญอยู่ที่การเห็นชอบกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาแผนงานจีเอ็มเอสใหม่ ระยะเวลา 10 ปี (2555-2565) ซึ่งเป็นการกำหนดทิศทางการพัฒนาความร่วมมือภายใต้แผนงานจีเอ็มเอสที่บูรณาการและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แทนแผนพัฒนาเก่าที่สิ้นสุดระยะเวลาลงในปีนี้ (2544-2554)

เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทในอนาคตที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

หน้า 6

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hNakl5TVRJMU5BPT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1TMHhNaTB5TWc9PQ==


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 ธันวาคม 2011, 22:31:24
ททท.จัดอันดับ10แหล่งท่องเที่ยวที่นักเดินทางสอบถามมากที่สุด

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2011


นายธวัชชัย อรัญญิก รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. กล่าวว่า ททท.จัดอันดับ 10 แหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจจากนักเดินทาง พบว่าจังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่ได้รับการสอบถามและค้นหามากที่สุด


สาเหตุที่คนไทยสอบถามการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่เข้ามามากสุด เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็น และเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว สำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่มีเสียงสอบถามเข้ามามากที่สุดได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ 120 สาย โดยแหล่งท่องเที่ยวที่ถามถึง คือ ดอยอ่างขาง, ดอยอินทนนท์, ดอยสุเทพ-ดอยปุย, ออบหลวง, ห้วยน้ำดัง และดอยม่อนแจ่ม เป็นต้น

รองลงมาคือ กรุงเทพมหานคร , ชลบุรี , นครราชสีมา , เชียงราย และประจวบคีรีขันธ์ ด้านสถิติการจัดเก็บจำนวนคนที่เข้าชมเว็บไซต์ ททท. tourismthailand.org ภาษาไทย ปีนี้ พบว่า จังหวัดที่ได้รับความสนใจจากประชาชนและเข้าดูข้อมูลมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่ เชียงใหม่, ภูเก็ต, กระบี่, ชลบุรี, กาญจนบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, เชียงราย, เพชรบุรี, ราชบุรี และจันทบุรี โดยในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่นั้น เป็นจังหวัดที่ติดอันดับมีคนเข้ามาดูข้อมูลผ่านเว็บไซต์ ททท. มากที่สุดเกือบทุกเดือน

นายธวัชชัย กล่าวด้วยว่า ปี 2555 ได้สั่งการให้ ททท.สำนักงานในประเทศ ทั้ง 37 แห่ง ศึกษาและรวบรวมแหล่งท่องเที่ยวที่มีความโดดเด่น ในแต่ละช่วงตั้งแต่เดือน มกราคม-ธันวาคม เพื่อจัดเก็บเป็นข้อมูล ในการโปรโมทให้คนไทยเกิดการกระจายตัวในการเดินทาง ซึ่งนักท่องเที่ยวจะสามารถเดินทางได้ตลอดทั้งปี และจะเป็นการกระจายรายได้ให้ผู้ประกอบการในพื้นที่นั้นๆ ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถรวบรวมแล้วเสร็จและดำเนินการได้ในต้นปี 2555

http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=99055:10&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524 (http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=99055:10&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 ธันวาคม 2011, 20:48:53
เปิดแล้ว “งานดอกไม้เชียงราย” - 54 นักท่องเที่ยวทะลุล้านแล้ว


เชียงราย - “คุณชายดิศนัดดา” ตัดริบบิ้นเปิดงานดอกไม้งามครั้งที่ 8 ย้ำปีนี้เป็นปีมหามงคล ทั้งฉลอง 750 ปีเมืองเชียงราย และที่สำคัญเป็นมีที่พระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนพรรษาครบ 7 รอบ ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวทะลักเข้าเมืองพ่อขุนฯ ต่อเนื่อง จากต้นปีถึงวันนี้ทะลุหลักล้านแล้ว
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า หม่อมราชวงศ์ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง และผู้อำนวยการโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้เป็นประธานในพิธีเปิดงานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามครั้งที่ 8 ณ ข่วงวัฒนธรรม สวนไม้งามริมน้ำกก ต.ริมกก อ.เมือง จ.เชียงราย ซึ่งเป็นสถานที่ในการจัดงานเทศกาลตั้งวันที่ 24 ธ.ค. 2544 - วันที่ 3 ม.ค. 2555 เมื่อค่ำวันที่ 24 ธ.ค.54 ที่ผ่านมา โดยท่าน ว.วชิรเมธี พระนักคิดชื่อดังเดินทางไปร่วมด้วย ขณะที่ประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากต่างเดินทางไปร่วมงาน ทั้งภาคกลางวันและต่อเนื่องไปจนถึงกลางคืนเป็นจำนวนมาก
       
       นางรัตนา จงสุทธนามณี นายก อบจ.เชียงราย ได้กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงานว่า เพื่อส่งเสริมให้เชียงรายเป็นแหล่งผลิตไม้ดอกไม้ประดับที่มีคุณภาพ และเปิดโอกาสให้เกษตรกรโดยเฉพาะกลุ่มแม่บ้านได้นำสินค้าพื้นบ้านที่มีคุณภาพไปจำหน่าย รวมทั้งเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับไม้ดอกไม้ประดับ ส่งเสริมการท่องเที่ยว วัฒนธรรม ประเพณีล้านนา
       
       กิจกรรมภายในงานมีหลากหลาย ทั้งการจัดแสดงไม้ดอกไม้ประดับต่างๆ สวนเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อุทยานไม้ดอกเมืองหนาว ทุ่งทิวลิป ประติมากรรมอุโมงค์ดอกไม้ ซึ่งท่าน ว.วชิรเมธี เมตตาตั้งชื่อว่าอุโมงค์ดอกไม้มงคล เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เดินลอดผ่าน นอกจากนี้มีการประกวดวาดภาพ ถ่ายภาพ จัดไม้ดอกไม้ประดับ ประกวดนางสาวถิ่นไทยงาม ฯลฯ
       
       หม่อมราชวงศ์ดิศนัดากล่าวว่า ในปีนี้ถือเป็นปีมหามงคลเพราะในการจัดงานสอดคล้องกับช่วงที่เมืองเชียงรายมีอายุครบ 750 ปี และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุครบ 7 รอบ 84 พรรษา ขณะเดียวกัน เชียงรายเป็นเมืองแห่งธรรมชาติและวัฒนธรรมล้านนา ดังนั้นการจัดงานครั้งนี้จึงไม่ใช่เป็นเพียงการนำไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาวไปจัดแสดง แต่เป็นปีแห่งมหามงคล ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องและร่วมงานได้สิริมงคลไปด้วย
       
       ด้าน นายอภิชา ตระสินธุ์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวว่า งานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามได้ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือนเชียงรายเป็นจำนวนมาก ซึ่งตนได้ไปตรวจสอบตัวเลขจากตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) อ.แม่สาย ชายแดนไทย-พม่า เพราะเห็นว่านักท่องเที่ยวที่ไปเยือนเชียงรายมักจะข้ามไปยังฝั่ง จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า พบว่าตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวทำบัตรผ่านแดนชั่วคราวหรือบอเดอร์พาสจากฝั่งไทยไปยังฝั่งพม่าแล้วกว่า 1 ล้านคน
       
       “ตัวเลขดังกล่าวยังไม่รวมนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้ข้ามไป จึงถือว่านักท่องเที่ยวมีจำนวนมาก และขณะนี้ห้องพักโรงแรมต่างๆ ถูกจองจนแน่น และเกือบจะเต็มหมดตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค.54 ไปจนถึงต้นปี 2555 สถานที่ท่องเที่ยวที่มีคนไปเยือนมากยังคงเป็นเส้นทางเดิมคือวัดร่องขุ่น เมืองเชียงราย ดอยตุง แม่สาย สามเหลี่ยมทองคำ เชียงแสน ภูชี้ฟ้า ผาตั้ง งานเชียงรายดอกไม้งาม ฯลฯ” นายอภิชากล่าว


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000163946


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 มกราคม 2012, 01:05:43
เชียงราย - พ่อเมืองคนใหม่ของเชียงราย เล็งเสนอ ครม.สัญจรที่เชียงใหม่กลางเดือนนี้ ขอไฟเขียวตัดถนนบายพาส-อุโมงค์ลอดทางแยกสำคัญทั่วเมืองพ่อขุนฯ รับจรจาแออัด การค้าการลงทุนโตตามประชาคมอาเซียน
       
       นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวขณะเข้ารับตำแหน่งใหม่ว่า ตนเป็นคนเก่าคนแก่ของเชียงราย โดยเคยทำงานครั้งแรกที่จังหวัดนี้ตั้งแต่ปี 2542 ที่ อ.แม่ลาว จากนั้นตระเวนเป็นนายอำเภอต่างๆ มาแล้วทั้งหมด 7 อำเภอ ดังนั้นเชียงรายจึงเป็นบ้านที่สองของตน
       
       ในการมารับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ครั้งนี้ นอกเหนือจากงานเร่งด่วนที่ตนต้องรีบทำคืองานเฉลิมฉลองเมืองเชียงรายครบ 750 ปี ในปี 2555 ด้วยการจัดกิจกรรมและสร้างหอประวัติศาสตร์เมืองเชียงราย ที่เล่าถึงประวัติการสร้างเมืองขององค์พ่อขุนเม็งราย ตั้งแต่ปี 1805 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ก็คือเรื่องปัญหาการจราจรที่กำลังพลุกพล่าน
       
       นายธานินทร์ กล่าวอีกว่า นอกจากสภาพการจราจรที่เป็นอยู่ในปัจจุบันในอนาคตเมื่อสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ เชื่อมกับ สปป.ลาว แล้วเสร็จและเชื่อมกับถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ก็จะยิ่งทำให้การจราจรบนถนนเส้นนี้แออัดมากขึ้นด้วย ดังนั้น ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรที่ จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 15 ม.ค.55 นี้ ตนจะนำเรื่องยุทธศาสตร์ของจังหวัดไปแถลง และจะนำปัญหารถติดและการแก้ไขปัญหาไม่ว่าสร้างถนนบายพาสและอุโมงค์ลอดแยกสำคัญๆ ในเขตเทศบาล เช่น ห้าแยกพ่อขุนฯ สี่แยกศรีทรายมูล ฯลฯ ไปเสนอด้วย
       
       โดยถือว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นการรองรับการที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 นี้ และรองรับการขยายตัวทางการค้าการลงทุนในภูมิภาคนี้อีกด้วย ซึ่งเชื่อว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขและถนนหนทางจะได้รับการพัฒนาต่อไป

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000001959


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 มกราคม 2012, 01:06:04
รัฐเล็งคลอดนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ตามแนวชายแดนใน 3 จังหวัด “กาญจนบุรี-เชียงราย-ตาก” ส.อ.ท. หนุนเต็มที่เชื่อลดความกังวลจากปัญหาภัยธรรมชาติได้ แนะให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม…

นายสุภาพ คลี่ขจาย ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวในงานเสวนา พลิกฟื้นนิคมอุตสาหกรรมไทยหลังมหาอุทกภัย 2554 ว่า ขณะนี้นิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยมีพื้นที่รองรับโครงการลงทุนค่อนข้างเต็มศักยภาพแล้ว ดังนั้นรัฐบาลจึงเห็นความจำเป็นในการตั้งนิคมอุตสาหกรรมตามแนวชายแดนขึ้นมา เพื่อเป็นจุดรองรับการลงทุนเพิ่มเติม โดยมีความเป็นไปได้ 3 นิคม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างนิคมอุตสาหกรรมในไทยกันนิคมอุตสาหกรรมทวาย ของสหภาพพม่า ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมาได้อนุมัติเงิน 25 ล้านบาท เพื่อทำการศึกษาความเป็นไปได้ และสำรวจพื้นที่แล้ว และภายในสัปดาห์หน้าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจะลงพื้นที่เพื่อสำรวจพื้นที่อีกครั้ง

ส่วนอีกนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ระหว่างการศึกษาจัดตั้งอยู่ในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เพื่อเชื่อมต่อกับมลฑลยูนนานของจีน และแห่งที่ 3 ที่จะจัดตั้งในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก นอกจากนี้รัฐบาลกำลังจะพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการตั้งนิคมอุตสาหกรรมที่ จังหวัดขอนแก่นอีกด้วย ทั้งนี้การเดินหน้าตั้งนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ รัฐบาลจัดให้มีคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง 13 ชุด เพื่อทำงานที่สอดประสานกัน

ขณะที่นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. ระบุว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลปัญหาภัยธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ส.อ.ท. จึงสนับสนุนให้รัฐบาลจัดหานิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่เพื่อรองรับการลงทุนใหม่ ๆ อีกทั้งยังเป็นการรองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 แต่การพัฒนาอุตสาหกรรมในอนาคตจะต้องมีระบบบริหารจัดการที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งสู่อุตสาหกรรมเชิงนิเวศ หรือ อีโคทาวน์.

ไทยรัฐออนไลน์

http://www.thairath.co.th/content/eco/228446


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 มกราคม 2012, 17:53:33
ค้าชายแดน 3 ชาติ ดันตัวเลขศก.เชียงรายพุ่งพรวด


เมื่อวันที่ 8 ม.ค.นายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ในปี 2554 ที่ผ่านมา จ. เชียงราย ซึ่งมีการค้าชายแดนกับ 3 ประเทศ คือ จีน พม่าและส.ป.ป.ลาว โครงสร้างการค้าชายแดนมีมูลค่าการค้าสองฝ่ายกับประเทศพม่ามากที่สุด โดยคิดเป็นร้อยละ 42 รองลงมาเป็นส.ป.ป.ลาว ร้อยละ 36 และจีนตอนใต้ ร้อยละ 22 ตามลำดับ ซึ่งการค้ารวมกับ 3 ประเทศในรอบ 11 เดือน ของปี 2554 (ม.ค.-พ.ย.) มีมูลค่าทั้งสิ้น 26,540.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2553 ร้อยละ 45.24 สิ้นปี 2554 จึงมียอดการค้ารวมทั้งสิ้นประมาณ 28,956.20 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 นับว่าเป็นมูลค่าการค้า ที่เกินกว่าเป้าหมาย โดยเพิ่มขึ้น ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15

สำหรับตัวแปรที่สำคัญได้แก่ การเปิดใช้ถนนสายอาร์ 3 เอ ที่สร้างแล้วเสร็จในพื้นที่ของ สปป.ลาว ตั้งแต่ปี 2551 ทำให้การพัฒนาพื้นที่ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ - ใต้ (NSEC) เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง อย่างในจีนตอนใต้แถบสิบสองปันนา และในลาวตอนเหนือ โดยเฉพาะในแขวงหลวงน้ำทา และแขวงบ่อแก้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในภาคเกษตรกรรม ในส่วนของภาคเหนือตอนบน เช่น เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน มีสินค้าที่ถ่ายเทระหว่าง 3 ประเทศกันมากขึ้น เพราะการเดินทางที่สะดวกกว่าในอดีต

นายเฉลิมพล กล่าวว่า การส่งออกในรอบ 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย. 2554) มีมูลค่าทั้งสิ้น 23,349.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ร้อยละ 50.55 มีส่งออกไปยังประเทศพม่ามากที่สุด มูลค่า 10,997.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.74 รองลงมาเป็นการส่งออกไปยังส.ป.ป.ลาว มูลค่า 8,959.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 135.64 และส่งออกไปยังจีนตอนใต้ มูลค่า 3,392.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.57

ส่วนการส่งออกด้านชายแดน จ. เชียงราย ที่ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เป็นผลมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งพม่า ลาว และจีนตอนใต้ มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น และประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ ได้รับผลกระทบจากวิกฤตทางเศรษฐกิจ จากปัจจัยภายนอกน้อยมาก เพราะอยู่แบบเศรษฐกิจพอเพียงมาก่อน ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมหาศาลของจีน มายังมณฑลทางตะวันตกและทางตอนใต้ ก็ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคนี้อย่างเห็นได้ชัด ประกอบกับทิศทางทางการเมืองของพม่า ซึ่งต้องยอมรับว่ามีการเปิดประเทศมากขึ้น ในช่วงกลางปี 2554 มีการประกาศยกเลิกมาตรการห้ามนำเข้าสินค้า 15 รายการของพม่า ซึ่งก็เป็นผลทำให้การค้าชายแดนระหว่างด่านแม่สาย กับพม่าดีขึ้นเป็นลำดับ อีกทั้งบรรยากาศทางการเมืองในพม่าที่เริ่มดีขึ้นตามลำดับ คาดว่าต่อไปอาจจะมีการใช้เส้นทางอาร์3 บี เป็นเส้นทางการค้าสำคัญ หลังจากที่เคยชะงักมานาน ซึ่งจะเป็นโอกาสต่อการส่งออกสินค้าไทย ผ่านทางพม่า ไปยังจีนตอนใต้ เพื่อขยายตลาดอีกเส้นทางหนึ่ง

ในส่วนของตลาด ส.ป.ป.ลาว เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ประชากรจะน้อย ทั้งประเทศมีเพียง 6 ล้านคน ในส่วนนี้เป็นลาวตอนเหนือ ประมาณ 2 ล้านคน แต่ปรากฏว่าการส่งออกไปยัง สปป.ลาว มีอัตราการเพิ่มมากที่สุด ถึงร้อยละ 135.64 ส่วนหนึ่งเพื่อการบริโภคในลาว แต่อีกส่วนหนึ่ง เพื่อผ่านสินค้าในนามลาวไปยังจีนตอนใต้ เพราะลาวและจีนเป็นประเทศสังคมนิยม ที่มีข้อผูกพันให้สิทธิพิเศษทางการค้าแบบทวิภาคีบางรายการ กันมาก่อน และสินค้าขาออกที่ส่งไปยังจีนตอนใต้ ส่วนใหญ่ยังนิยมส่งทางเรือ เพราะเป็นการขนส่งที่ต้นทุนต่ำที่สุด

ในด้านการนำเข้าในรอบ 11 เดือนของปี 2554 (ม.ค. - พ.ย.) มีมูลค่าการนำเข้าทั้งสิ้น 3,190.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ร้อยละ 15.46 ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากจีนตอนใต้ มีมูลค่า 2,587.93 ล้านบาท รองลงมาเป็นการนำเข้าจาก สปป.ลาว มูลค่า 488.39 ล้านบาท และนำเข้าจากพม่า ประมาณ 114.21 ล้านบาท สินค้าที่นำเข้าได้แก่ พืชผักผลไม้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ลูกเต๋า ลูกเดือย ถ่านหินลิกไนต์ แร่แมงกานีส เคมีที่ใช้ในการผลิตยาสีฟัน แก๊สอาร์ก้อน และไม้แปรรูป

พาณิชย์จังหวัดเชียงราย กล่าวด้วยว่า ด่านชายแดนที่ จ. เชียงราย เป็นด่านที่เกินดุลการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน(พม่าและลาว) และจีนตอนใต้มาโดยตลอด ซึ่งต่อไปเมื่อภาษีนำเข้ามีอัตรา 0 % บริบทของด่านก็จะเปลี่ยนไป และจะกลายเป็นกลไกที่สำคัญ ต่อการผลักดันการส่งออก นั่นหมายถึงที่ด่านชายแดน จะต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือ และการบริหารจัดการที่ดีมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดความสะดวกและการลื่นไหลทางการค้า

http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=547438


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 มกราคม 2012, 19:24:33
กกร.เสนอรัฐพัฒนาระบบขนส่ง-จัดการน้ำ

09 มกราคม 2555 เวลา 16:53 น
  
กกร.เตรียมเสนอรัฐบาลพัฒนาระบบโลจิสติกส์ การค้าชายแดน ท่องเที่ยว และบริหารจัดการน้ำ ในการประชุมกรอ.นัดแรก ที่เชียงใหม่

นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการภาคเอกชนร่วม 3 สถาบัน (กกร.) ว่า ที่ประชุมได้หารือเรื่องการเตรียมการไปประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ที่มีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 14 ม.ค. 2555 โดยภาคเอกชนจะนำเสนอ 4 หัวข้อหลัก ได้แก่ โครงข่ายคมนาคมระบบโลจิสติกส์ การส่งเสริมการลงทุน การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ

ทั้งนี้ ในส่วนของโครงข่ายคมนาคมระบบโลจิสติกส์ ภาคเอกชนต้องการเห็นโครงการ ได้แก่ รถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ และเส้นทางรถไฟรางคู่ โดยตามแผนของรัฐบาลโครงการดังกล่าวจะแล้วเสร็จในปี 2568 ซึ่งเอกชนเห็นว่าล่าช้าเกินไป ต้องดำเนินการให้เร็วกว่า[นี้ ขณะเดียวกันให้พิจารณาเส้นทางรถไฟเด่นชัย - เชียงใหม่ – เชียงราย และสร้างมอเตอร์เวย์เชื่อมเชียงใหม่ – เชียงราย เพื่อเชื่อมต่อระบบการขนส่งกับประเทศเพื่อนบ้าน และจะอำนวยการสะดวกในการส่งทั้งคนและสินค้า จะเป็นผลดีต่อการท่องเที่ยวB][/B]

ส่งเสริมการค้าชายแดน มีการเปิดจุดผ่อนปรน และด่านถาวร ที่เป็นด่านการค้าระหว่างไทย- ลาว และไทย –พม่า เช่น ด่านกิ่วผาวอก จังหวัดเชียงใหม่ ด่านบ้านห้วยต้นนุ่น จังหวัดแม่ฮ่องสอน  เป็นต้น ให้มีด่านการค้าที่อำนวยความสะดวกในด้านการค้าชายแดนให้มากที่สุด รวมทั้งส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สาย ให้เป็นพื้นที่นำร่องในการสร้างเชตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน

ขณะเดียวกัน รัฐบาลจำเป็นต้องพัฒนาการใช้ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่อย่างเป็นรูปธรรม ว่าจะมีใครเป็นเจ้าภาพและดูแล เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมการประชุม และการจัดนิทรรศการ (ไมซ์) ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือให้มากที่สุด ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการท่องเที่ยวด้วย

ส่วนเรื่องการบริหารจัดการน้ำต้องมีการดูแลทั้งปัญหาน้ำท่วม และน้ำแล้ง เพื่ออำนวยความสะดวกต่อภาคเกษตรกรในภาคเหนือ

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า หากระบบการขนส่งของไทยเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านได้เป็นอย่างดี จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าภายในภูมิภาค


http://www.posttoday.com


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 มกราคม 2012, 19:25:49
นายกฯ สั่งคมนาคมเดินหน้าพัฒนาระบบขนส่งฯเน้นลดต้นทุน

วันนี้ (9 ม.ค.) ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  เดินทางตรวจเยี่ยมและประชุมกับผู้บริหารกระทรวงคมนาคม ตามคำเชิญของกระทรวง เพื่อรับทราบความคืบหน้าในการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคม โครงการต่าง ๆ รวมถึงผลการดำเนินงานตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภา และโครงการต่างๆ ที่อาคารสโมสร และหอประชุมกระทรวงคมนาคม โดยพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบเสื้อแจ็กเก็ต 100 ปี กระทรวงคมนาคม ให้กับนายกรัฐมนตรี และนำชมนิทรรศการตลอดระเบียงทางเดินจากห้องโถงกลางและอาคารสโมสร

         
จากนั้นนายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมประชุมร่วมกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรับฟังแนวทางการดำเนินงาน ทั้งนี้กระทรวงคมนาคม ได้เสนอการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมในด้านต่างๆ ให้ นายกฯได้รับทราบ พร้อมกันนี้นายกฯ ได้ให้คำแนะนำการบริหารราชการตามนโยบายรัฐบาล พร้อมกับแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

 

พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า นายกฯกำชับให้กระทรวงคมนาคมเดินหน้าระบบการขนส่ง โดยเน้นเรื่องลดต้นทุนการขนส่ง ทั้งขนส่งสินค้า และผู้โดยสาร รองรับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 เพื่อให้ราคาค่าโดยสารสอดคล้องกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงการเดินหน้าระบบตั๋วร่วม ซึ่งคาดว่าระบบตั๋วร่วมจะแล้วเสร็จในปี 2557 และในปี 2558 จะสามารถให้บริการรถไฟฟ้าในอัตรา 20 บาทตลอดสายได้ แม้ว่าโครงข่ายรถไฟฟ้าทั้ง 10 สายทาง ที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2562 ก็ตาม และการพัฒนารถไฟความเร็วสูงไปยังฝั่งตะวันออก โดยใช้ระบบรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ไปยัง จ.ระยอง เพื่อให้เป็นทางเลือกในการเดินทางให้กับประชาชน
       
 ส่วนการจัดซื้อรถโดยสาร NGV ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ฯกำลังจัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้

ในส่วนของการเข้ามาบริหารตลาดนัดจตุจักร ของการรถไฟแห่งประเทศไทย รมว.คมนาคม กล่าวว่า จะให้ผู้ค้าเก่ามาทำสัญญาก่อน ส่วนที่เหลือค่อยหารือกัน นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพส 2 และท่าอากาศยานภูเก็ต การเปิดให้บริการท่าเทียบเรือเชียงแสน แห่งที่ 2 จังหวัดเชียงราย ที่จะเปิดให้บริการในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งจะใช้โอกาสจากการเดินทางไปประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดเชียงใหม่เดินทางไปดูท่าเรือเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเปิดให้บริการ


http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=101426:2012-01-09-08-12-06&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524 (http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=101426:2012-01-09-08-12-06&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 มกราคม 2012, 19:29:11
นายกฯปูนั่งหัวโต๊ะเวทีกรอ.นัดแรก



นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า วันที่ 9 ม.ค.นี้ ที่ประชุมคณะกรรมการภาคเอกชนร่วม 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย จะหารือเพื่อเตรียมการเรื่องการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเตรียมนำข้อเสนอภาคเอกชนต่อรัฐบาลในประชุมกรอ.ในการวันที่ 15 ม.ค. นี้

ในส่วนของส.อ.ท.จะนำเสนอเรื่องระบบการขนส่ง และระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพมหานครและภาคเหนือ เช่น การสร้างรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และรถไฟเชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพฯ-เชียงราย เป็นต้น เพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องการขนส่ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งด้านการท่องเที่ยว และการขนส่งสินค้า

"การประชุมระหว่างภาครัฐและเอกชน ในครั้งนี้ จะเป็นการประชุมกรอ.นัดแรกของรัฐบาลชุดนี้ หลังจากที่เอกชนรอมานาน จึงเป็นเรื่องที่ดี ที่ภาครัฐให้ความสนใจที่จะทำงานร่วมกับภาคเอกชน เพื่อจะได้เข้าใจถึงอุปสรรค ปัญหา และข้อคิดเห็นจากภาคเอกชนจากทุกหน่วยงาน และจะหารือถึงแนวทางการฟื้นฟูธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมด้วย" นายธนิตกล่าว

หน้า 9


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 มกราคม 2012, 21:02:06
เชียงราย - นายกฯปู เตรียมขึ้นเชียงรายก่อนเข้าประชุม ครม.สัญจรที่เชียงใหม่ วางกำหนดดูโครงการดอยตุงฯ ศึกษาแนวทางปลูกป่าตามแนวพระราชดำริ “สมเด็จย่า” หวังปรับใช้ฟื้นป่าไทย ขณะที่เมืองพ่อขุนฯ เล็งชงของบดัน 3 โครงการใหญ่

วันนี้ (11 ม.ค.) นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ในวันที่ 14 ม.ค.นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีกำหนดจะเดินทางไปปฏิบัติราชการในพื้นที่ จ.เชียงราย เป็นเวลา 1 วันโดยไม่นอนพัก โดยในเวลาตั้งแต่ 13.00 น.จะเดินทางไปเยือนโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ หลังจากก่อนหน้านี้รัฐบาลได้มีการแต่งตั้ง ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ให้เป็นประธานกรรมการอนุรักษ์และฟื้นฟูธรรมชาติป่าไม้ เพื่อดูพื้นที่โครงการ ศึกษาและนำแนวทางของโครงการในการปลูกป่าตามแนวพระราชดำริของสมเด็จย่า มาปรับใช้ในการฟื้นฟูสภาพธรรมชาติป่าไม้ของประเทศไทย

จากนั้นจึงเดินทางไปประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร ณ จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 15 ม.ค.55 ซึ่งจังหวัดเชียงราย จะเสนอแผนการพัฒนาเข้าไปยัง ครม.สัญจร 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ การพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบก โดยเฉพาะเส้นทางเลี่ยงเมืองเชียงราย เพื่อเชื่อมกับโครงข่ายถนนไปสู่สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่ อ.เชียงของ ชายแดนไทย-สปป.ลาว เชื่อมกับถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-จีน และท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ซึ่งแต่ละโครงการกำลังจะแล้วเสร็จ ขณะที่การคมนาคมในปัจจุบันแออัดมากขึ้นโดยเฉพาะบนถนนพหลโยธิน ดังนั้นจะใช้ถนนพหลโยธินเพื่อการคมนาคมเป็นหลักไม่ได้อีกต่อไป แต่ต้องขยายไปยังถนนเลี่ยงเมืองและพัฒนาตามทางร่วมทางแยกสำคัญๆ ทั้งนี้ได้มอบหมายให้แขวงการทาง จ.เชียงราย ไปรวบรวมข้อมูลทั้งโครงการเก่าที่เคยอยู่ในแผนและยังไม่ดำเนินการ และแนวทางการพัฒนาอื่นๆ เพื่อเสนอต่อ ครม.เพื่อของบประมาณดำเนินการอย่างเร่งด่วนต่อไป

นอกจากนี้ยังมีโครงการพัฒนาสายน้ำวัฒนธรรมหรือ The river of art โดยจะทำการพัฒนาภูมิทัศน์และด้านอื่นๆ ของแม่น้ำกก ในเขต อ.เมือง เพื่อส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ วัฒนธรรมล้านนา ฯลฯ โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณราว 3,600 ล้านบาท

และโครงการสุดท้าย คือ การพัฒนาลุ่มแม่น้ำอิงเขต อ.เทิง เพราะแม่น้ำอิงไหลมาจากกว๊านพะเยา ผ่าน อ.เทิง ก่อนไปลงแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ แต่ที่ผ่านมามักจะไหลเจิ่งนองในฤดูฝน จนทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม แต่ในฤดูแล้งกลับแห้งแล้งจนทำให้ประชาชนเดือดร้อนกันทั้งสองฤดู ดังนั้นจึงจะมีการพัฒนาแหล่งน้ำในเขต ต.เวียง อ.เทิง เพื่อกักเก็บเก็บน้ำป้องกันน้ำท่วมและไว้ใช้ในฤดูแล้งต่อไป ซึ่งโครงการนี้ก็ใช้งบประมาณจำนวนมากเช่นกัน

นายธานินทร์บอกว่า โครงการต่างๆ นี้ถือว่าอยู่ในแผนการพัฒนาของจังหวัดอยู่แล้ว และที่ผ่านๆ มาหลายผู้บริหารก็พยายามแก้ไขปัญหาและพัฒนาให้ก้าวหน้า แต่การรอการจัดสรรงบประมาณตามปกติอาจจะทำให้การดำเนินการล่าช้าไม่ทันต่อเหตุการณ์ ดังนั้นจึงจะมีการนำเสนอเข้าไปยังการประชุม ครม.สัญจร เพื่อผลักดันให้มีการจัดสรรงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนายุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด และท้องที่แต่ละจังหวัดได้อย่างรวดเร็วต่อไป

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9550000004260


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 14 มกราคม 2012, 21:04:19
ล่อง R3A เชื่อมการค้า ไทย-ลาว-จีน

(http://oohho.com/imgfeedreq/2012/01/13/230326/hr1667/630.jpg)

นาย Zhu Xiaoyang รองอธิบดีกรมพาณิชย์มณฑลยูนนาน และนาย Li Yong Sheng ซีอีโอ Yonmong Group ร่วมต้อนรับและให้ข้อมูลแก่คณะของนายสมชัย หทยะตันติ ที่ CAFTA Business Portal Operation Center.

สาวหมวย ในชุดกี่เพ้าสีแดงเสิร์ฟอาหารพื้นเมืองสารพัด เสิร์ฟพร้อม ชาจีนชั้นดี ขณะที่ นายหลี เสี่ยว พิง ผู้ว่าการเมืองผู่เออร์ มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวถ้อยแถลงต้อนรับคณะผู้แทนการค้ากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน นำโดย นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ในโอกาสมาสำรวจเส้นทางการค้าตามเส้นทางสาย R3A

บรรยากาศการต้อนรับดู จริงใจและเป็นมิตรต่อกันทั้ง 2 ฝ่าย ภารกิจหลักในครั้งนี้ คือ การนำหัวหน้าส่วนราชการ กลุ่มยุทธศาสตร์จังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 และภาคเอกชนจาก จ.เชียงราย, พะเยา, แพร่, น่าน เดินทางสำรวจเพื่อเก็บข้อมูลนำมาจัดการให้เป็นรูปธรรม

(http://oohho.com/imgfeedreq/2012/01/13/230326/o2/420.jpg)

ต้นยางพาราปลูกเรียงรายไปตามทิวเขา.

ย้อน ภาพกลับไปเริ่มต้นการเดินทางจากด่าน ตม.เชียงของ คณะใหญ่ 50 กว่าชีวิตข้ามแม่น้ำโขงไปขึ้นรถตู้ที่เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อไปผ่านด่านเมืองบ่อหาน ก่อนจะเข้าประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน

ตลอดเส้นทางในลาวดูคดเคี้ยว เลี้ยวลดไปตามแนวเขาที่ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ ที่ดินบางแปลงปลูกต้นยางพาราสุดลูกหูลูกตา มีนายทุนเป็นชาวจีน รวมไปถึงทางภาคเหนือของไทยบางแห่งด้วย

หลับๆตื่นๆ เด้งไปเด้งมาหลายงีบกว่าจะถึง “บ่อหาน” สุดเขตประเทศลาว เข้าสู่เขตจีน ถนนหนทางเปลี่ยนเป็นถนนลาดยางสี่เลน อุโมงค์หลายสิบแห่งเจาะทะลุภูเขา โดยมีสะพานสูงบ้าง ต่ำบ้าง เชื่อมต่อเส้นทาง ไม่ต้องเสียเวลาอ้อมภูเขา ส่วนไฟส่องในอุโมงค์นั้นใช้พลังงานโซลาร์เซล หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เปิดปิดอัตโนมัติ

ด่านบ่หาน หรือบ่อหาน เชื่อมเส้นทางลาว-จีน.

ที่ราบ น้อยใหญ่และบนภูเขาสูงส่วนใหญ่ปลูกยางพาราเป็นแนวทึบทะมึน ไกด์สาวชาวสิบสองปันนาเฉลยให้ฟังว่า ยางพาราที่ปลูกในจีนและลาว ยังไม่พอใช้สำหรับ 1 มณฑลในจีน

ช่วงลับสมองประลองคณิตศาสตร์บนรถ สมชัย หทยะตันติ หัวหน้าคณะ เท้าความให้ฟังว่า กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 นั้น มีรายได้หลักจากการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจากการท่องเที่ยว เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์มีที่ตั้งในพื้นที่สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจที่สามารถ เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอนุภาคลุ่มน้ำโขง หรือ GMS

(http://oohho.com/imgfeedreq/2012/01/13/230326/o4/420.jpg)

อุโมงค์ลอดทะลุภูเขาย่นระยะทาง.

ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐประชาชนจีน ในมณฑลยูนนาน และสิบสองปันนา สหภาพพม่า และเวียดนาม จึงเป็นโอกาสที่จะพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชื่อมโยงประเทศทางตอนเหนือ สู่ตอนใต้ และภาคตะวันออกสู่ภาคตะวันตก

โอกาสนำนักท่องเที่ยวเข้าสู่ ประเทศไทยและท่องเที่ยวไปยังกลุ่มประเทศต่างๆในลุ่มน้ำโขงมีอีกมาก  เป็นการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยว  เป็นช่องทางในการเพิ่มรายได้ และกระจายรายได้ไปสู่ชุมชนต่างๆ ด้วยการมีจุดแข็งทางประวัติศาสตร์ เส้นทางคมนาคม สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ประเพณี วัฒนธรรม

(http://oohho.com/imgfeedreq/2012/01/13/230326/o5/420.jpg)

เยี่ยมศูนย์วิจัยชาผู่เออร์.

นึก ภาพ โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายของที่ระลึก ผุดขึ้นตามแหล่งท่องเที่ยว เม็ดเงินมหาศาลที่ตามมา ถ้าไม่รีบสำรวจเส้นทาง ประสานงานเพื่อเชื่อมโยง และค้นหาสภาพแวดล้อมที่เป็นโอกาสในการพัฒนา โดยมีผลประโยชน์ร่วมกันเป็นที่ตั้ง นอกจากนี้ ยังส่งผลดีต่อการวางกลยุทธ์ก่อนที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นสมาชิกประชาคม เศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558

ระหว่างทางจากเมืองซือเหมาเข้าสู่เขต ปกครองตนเองเมืองหล้า สิบสองปันนา คณะเยี่ยมชมแหล่งผลิต “ชาผู่เออร์” ของดีและเป็น 1 ในชาชั้นดีของจีน โดยในเมืองนี้มีพื้นที่ปลูก 1,354,166 ล้านไร่ รองลงมาคือ กาแฟ สมุนไพร เนื่องด้วยมีแหล่งน้ำ รวมทั้งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์หลากหลาย

(http://oohho.com/imgfeedreq/2012/01/13/230326/o6/420.jpg)

ไร่ชาผู่เออร์.

และ จากการร่วมประชุมกับ คณะผู้บริหาร Yonmong Group และ รองอธิบดีกรมพาณิชย์มณฑลยูนนาน มีการหารือด้านการส่งเสริมความร่วมมือด้านการขนส่งและกระจายสินค้า การปลูกยางพารา ทำให้รู้ว่าขณะนี้ภาคเอกชนจีนได้รุกหนักด้วยทุนมหาศาล ทั้งยังมีแผนที่จะตั้งโรงงานแปรรูปยางในเมืองไทยแล้วด้วย

ต้องอึ้ง กับศูนย์โลจิสติกส์ของยูนนานที่สามารถกระจายสินค้าได้อย่างรวดเร็ว ครองตลาดการค้ามูลค่ามหาศาล จึงต้องหันมาทบทวนว่า หากคนไทยยังไม่ลงมือทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน ย่อมจะสูญเสียประโยชน์มหาศาล

โดย เฉพาะหากภาคการเมืองยังรุนแรง โยกย้ายบุคลากรที่มีส่วนในการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าบ่อยๆจนต้องมานั่ง นับ 1 กันแทบทุกครั้ง เป็นที่น่าเบื่อหน่ายของนักลงทุนต่างชาติ



(http://oohho.com/imgfeedreq/2012/01/13/230326/o7/420.jpg)
สภาพถนนลาดยางอย่างดีในจีน.
(http://oohho.com/imgfeedreq/2012/01/13/230326/o8/420.jpg)
สะพานเชื่อมต่ออุโมงค์ระหว่างภูเขาย่นระยะการเดินทาง.

ทันที ที่ถนนสาย R3A สร้างเสร็จ จะกลายเป็นเส้นทางทางบกสายหลักในการขนส่งสินค้าทดแทนการขนส่งสินค้าทางเรือ ในแม่น้ำโขงที่มีปัญหา มูลค่าการค้าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจะเพิ่มแบบทวีคูณในฤดูแล้ง

ไม่เริ่มตอนนี้ เราจะเสียโอกาสขนาดไหน... ไม่อยากคิดเลย.

http://www.thairath.co.th/content/life/230326


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 16 มกราคม 2012, 09:14:36
ครม.ไฟเขียวลงทุนระบบการขนส่งภาคเหนือ4แสนล. "ไฮ สปีด เทรน"เชียงใหม่ฉลุย



 ที่ประชุมครม.สัญจร รับลูก "กรอ." ทุ่มงบ 230,000 ล้านบาท สร้างรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ พร้อมเห็นชอบข้อเสนอ โครงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนภาคเหนือทั้งระบบรวมงบแล้วเกือบ 4 แสน ล้านบาท

 คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) มีการประชุม เมื่อวันที่ 15 มกราคม ที่ผ่านมา ที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งที่ประชุมได้นำมติที่ได้จากที่ประชุมเสนอ คณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรซึ่งจัดขึ้นที่เชียงใหม่ ในวันเดียวกัน

 ขณะที่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ แถลงว่า ที่ประชุมกรอ. ได้เสนอให้รัฐบาลเร่งพิจารณาในการพัฒนาระบบการขนส่งในพื้นที่เขตภาคเหนือ ให้มีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น เพื่อพัฒนาระบบเศรษฐกิจ โดยการประชุมหารือร่วมกันดังกล่าวนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี ที่การทำงานระหว่างภาครัฐและเอกชน มีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ขณะที่ที่ประชุมครม.สัญจร ได้เห็นชอบหลักการ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาคเหนือ ทั้งรถไฟฟ้าความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) กรุงเทพฯ- เชียงใหม่ ระบบขนส่งสาธารณะ รวมถึงระบบป้องกันน้ำท่วมภาคเหนือ รวม 128 โครงการ เงินลงทุนเกือบ 4 แสนล้านบาท แล้ว ซึ่งเป็นไปตามข้อเสนอของ กรอ.

 ขั้นตอนต่อไป ครม. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนองบผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองและคณะกรรมการ กยอ.เพื่อกลั่นกรองงบให้เหมาะสม เนื่องจากโครงการลงทุนทั้งประเทศระยะยาว ต้องใช้เงินลงทุนถึง 2 ล้านล้านบาท

 นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มอบหมายให้ กระทรวงการคลัง เร่งจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 ให้เสร็จในสิ้นเดือนมกราคมนี้ เพื่อให้ทุกหน่วยงาน จัดทำงบประมาณให้สอดคล้องกับการป้องกันน้ำท่วม และโครงการก่อสร้างระยะยาวของรัฐบาล โดยยังเป็นงบประมาณแบบขาดดุล แต่มีแนวโน้มลดลง

 ด้าน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) กล่าวว่า ที่ประชุมกรอ. ภาคเอกชนยังอยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ- เชียงใหม่ วงเงินกว่า 230,000 ล้านบาท รวมถึงการสร้างรถไฟสายใหม่ เชียงใหม่ -เชียงราย และ เชียงของ เพิ่มเติม นอกจากนี้ ยังอยากให้ที่ประชุมให้มีการพิจารณาการเปิดจุดผ่านแดนเพิ่มเติมจากเดิมที่มีอยู่ เพื่อเป็นการพัฒนาระบบเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้

 ด้านนางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้เร่งดำเนินการฝายชะลอน้ำ การสร้างประตูระบายน้ำและการซ่อมตลิ่ง ซึ่งเป็นการลงทุนระยะสั้นป้องกันปัญหาน้ำท่วมในภาคเหนือ

 มีรายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ในการประชุมครม.สัญจร ครั้งนี้ นายก รัฐมนตรีได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบ ว่า รัฐบาลจะมีการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรทุกเดือน โดยครั้งต่อไปในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 จะจัดประชุมที่จังหวัดขอนแก่น

 ส่วนที่ประชุมกรอ. ที่มี นายกรัฐมนตรี เป็นประธานนั้นได้มีการประชุมในช่วงเช้าหรือการที่จะมีการประชุม ครม.สัญจร โดยที่ประชุมเห็นชอบ ร่วมกันใน โครงการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคเหนือ 8 จังหวัด ซึ่งนอกจากนี้โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงแล้วยังมี โครงการมอเตอร์เวย์เชียงใหม่-เชียงราย โครงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนเมืองเชียงใหม่ โครงการก่อสร้างทางรถไฟเด่นชัย จ.แพร่ เชียงของ เชียงราย

 พร้อมกันนี้ที่ประชุมยังเสนอให้มีการผลักดัน อ.แม่สาย จ.เชียงราย เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน และการเปิดด่านการค้าชายแดนถาวรอีก 3 จุด คือที่กิ่วผาวอก อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน และบ้านฮวก จ.พะเยา

 มีรายงานข่าวจาก กระทรวงคมนาคม แจ้งว่า สำหรับการสร้างรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ นั้น การลงทุนก็เพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องการขนส่ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งด้านการท่องเที่ยว และการขนส่งสินค้า และก่อนหน้านี้ นายสี จิ้น ผิง รองประธานาธิบดีจีน ได้เดินทางมาเยือนไทย ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ใน โครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่-ลาว ก่อนเชื่อมต่อไปยังประเทศอาเซียน เรียบร้อยแล้ว

 ทั้งนี้รูปแบบการลงทุนร่วมกับจีนนั้น ก่อนหน้านี้ กระทรวงคมนาคม มีแนวคิดที่จะเสนอนายกรัฐมนตรี ที่ให้ใช้วิธีการลงทุนแบบการค้าแลกเปลี่ยน (บาร์เตอร์เทรด) เพื่อประหยัดเงินลงทุนในการก่อสร้างด้วย
วันที่ 16/1/2012

http://www.naewna.com/news.asp?ID=296624


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 16 มกราคม 2012, 18:04:06
คมนาคมรุดดูท่าเรือเชียงแสน-หลังพ้นสัญญาสร้างเร่งให้เปิด 1 เมษาฯนี้

เชียงราย - รองปลัดฯคมนาคม ยกทีมดูงานก่อสร้างท่าเรือเชียงแสน 2 หลังสิ้นสุดสัญญาจ้างตั้งแต่ปลายปี 54 ล่าสุด ใจชื้นงานเดินหน้า 98.03% เชื่อ เปิดทัน 1 เมษาฯนี้แน่ เผยมีเอกชนจีนสนใจลงทุนเปิดห้องเย็น รับการค้าปีละกว่าหมื่นล้านแล้ว

(http://pics.manager.co.th/Images/555000000705702.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/555000000705703.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/555000000705704.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/555000000705705.JPEG)
       
       วันนี้ (16 ม.ค.) นายศรศักดิ์ แสนสมบัติ รองปลัดกระทรวงคมนาคม พร้อมคณะจากกระทรวงคมนาคม เช่น นายถวัลย์ อ่อนศิละ อธิบดีกรมเจ้าท่า, นายวันชัย ภาคลักษณ์ อธิบดีกรมทางหลวง ฯลฯ ได้เดินทางไปตรวจสอบความคืบหน้าการก่อสร้างท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ปากแม่น้ำกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เนื้อที่ประมาณ 387 ไร่ 1 งาน 44 ตารางวา ชายแดนติดกับแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว
       
       หลังสิ้นสุดสัญญาก่อสร้างไปแล้วตั้งแต่ 28 ธ.ค.54 (เริ่มสัญญา 12 พ.ค.52 รวมระยะเวลาก่อสร้าง 960 วัน วงเงิน 1,546.4 ล้านบาท) แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่แล้วเสร็จ
       
       กรมเจ้าท่าประกาศว่า การก่อสร้างคืบหน้าได้กว่า 98.03% แล้ว และมีกำหนดจะเปิดใช้งานได้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.55 นี้เป็นต้นไป จากนั้นการท่าเรือแห่งประเทศไทยจะเป็นหน่วยงานที่เข้าไปบริหารดูแลท่าเรือต่อไป
       
       นายเฉลิมชัย มีคุณเอี่ยม ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ได้รายงานความคืบหน้าว่า ปัจจุบันท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 1 ซึ่งอยู่ในเขตเทศบาล ต.เวียงเชียงแสน รองรับสินค้าได้ปีละ 300,000 ตัน แต่ในอนาคตปริมาณการค้าโดยเฉพาะกับจีนเพิ่มมากขึ้นจึงทำให้ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 มีความจำเป็น เพราะรองรับสินค้าได้ปีละมากกว่า 6 ล้านตัน
       
       ทั้งนี้ ปัจจุบันโครงการคืบหน้าไปมาก จะเปิดได้ทันวันที่ 1 เม.ย.55 นี้แน่นอน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 9 หน่วยงาน เช่น ด่านตรวจคนเข้าเมือง ด่านศุลกากร องค์การอาหารและยา กรมเจ้าท่า ฯลฯ จะย้ายไปอยู่ในท่าเรือทั้งหมด ปัจจุบันจัดเตรียมสถานที่และมีระบบการเชื่อมโยงการทำงานร่วมกันเอาไว้แล้ว ทั้งนี้ก่อนการเปิดใช้งานจริงจะทดลองรับเรือในเดือน มี.ค.55 นี้ก่อน
       
       อย่างไรก็ตาม มีข้อเสนอ 2 เรื่อง คือ ขอให้ท่าเรือเป็นศูนย์กลางการเทียบท่าเรือแม่น้ำโขงของไทย เพราะปัจจุบันมีท่าเรืออื่นๆ ที่ไม่ใช่ของรัฐอยู่ และขอให้มีการพัฒนาเส้นทางคมนาคมเพื่อเชื่อมโยงไปยังท่าเรืออย่างมีประสิทธิภาพ
       
       “ตอนนี้มีเอกชนจีนให้ความสนใจจะก่อสร้างห้องเย็นเก็บสินค้าที่ท่าเรือด้วย ซึ่งภายในท่าเรือ ที่กว้างขวางก็จัดเตรียมสถานที่รองรับเอาไว้อยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้พิจารณาตัดสินใจ เพราะถือเป็นเรื่องไม่เร่งด่วน แต่หากว่าจีนไม่ทำ ทางการท่าเรือฯก็มีแผนที่จะทำเองได้ในอนาคต โดยจะเสนอของบประมาณลงทุนเรื่องห้องเย็นเองได้เช่นกัน” นายเฉลิมชัย กล่าว
       
       นายทรงกลด ดวงหาคลัง หัวหน้าสำนักงานเจ้าท่า จ.เชียงราย กล่าวว่า จากเหตุการณ์รุนแรงในแม่น้ำโขงช่วงปลายปีที่ผ่านมา จนทำให้เรือสินค้าแม่น้ำโขงหยุดแล่น ปรากฏว่าผู้ประกอบการหันไปขนส่งทางรถยนต์ผ่านถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ที่ อ.เชียงของ กันมากขึ้น แต่ต้นทุนการขนส่งสูงกว่าทางเรือถึงกว่า 5 เท่าตัว ดังนั้น การขนส่งทางเรือ ยังคงจำเป็นและท่าเรือแห่งนี้ก็ห่างจากท่าเรือแห่งเดิมแค่ 6 กิโลเมตร
       
       ส่วนความกังวลเรื่องระดับน้ำแห้งนั้น ได้มีการศึกษาแล้วพบว่า ในปีที่ผ่านมาระดับน้ำแห้งสุดช่วงเดือน เม.ย.อยู่ที่ 2 เมตร แต่เรือใช้ระวางได้ 1.8 เมตรขึ้นไป จึงไม่มีปัญหาเรื่องน้ำแห้งแน่นอน ขณะเดียวกัน หากเรือจีนแล่นลงมาทางประเทศจีนมักมีการเปิดน้ำในเขื่อนรองรับเสมอด้วย
       
       นายสมควร สุตะวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บ้านแซว กล่าวว่า เมื่อโครงการแล้วเสร็จก็อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคำนึงถึงข้อตกลงร่วมหรือเอ็มโอยู ที่เคยทำร่วมกับชาวบ้าน ได้แก่ การจ้างงานต้องใช้คนในพื้นที่ การจัดเก็บรายได้ควรแบ่งให้ท้องถิ่น การจัดระเบียบพื้นที่หรือโซนนิ่งโดยเฉพาะปัญหาขยะที่กำลังกังวลกันอยู่ เมื่อเปิดใช้ท่าเรือ ซึ่งบางเงื่อนไขก็อาจติดข้อกฎหมายจึงขอให้มีการนำไปศึกษาและแจ้งให้ชาวบ้านทราบด้วย
       
       นายศรศักดิ์ แสนสมบัติ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเพิ่มเติมว่า ท่าเรือใหม่น่าจะเปิดใช้งานทันวันที่ 1 เม.ย.55 นี้แน่นอน เพราะเตรียมแผนล่วงหน้ามาแล้วร่วม 1 ปี โดยจะถือเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี กระทรวงคมนาคมพอดีด้วย
       
       สำหรับสาเหตุที่การก่อสร้างไม่ตรงตามสัญญาก่อสร้าง คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้เลื่อนการก่อสร้างออกมาได้เพราะสาเหตุเรื่องอุทกภัย ส่วนปัญหาเรื่องท่าเรือริมแม่น้ำโขงอื่นๆ ที่จะต้องขอให้หยุดให้บริการเพื่อไปใช้ที่ท่าเรือแห่งนี้ทั้งหมดนั้น คงต้องอาศัยทางฝ่ายปกครองอำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าไปช่วยเจรจา ซึ่งคงจะมีปัญหาบ้างแต่เชื่อว่าสามารถทำได้
       
       อย่างไรก็ตาม แผนการเปิดใช้งานท่าเรือเชียงแสน 2 ในวันที่ 1 เม.ย.55 แม้ว่า ขณะนี้หลายฝ่ายยืนยันว่า ทันตามกำหนดแน่นอนก็ตาม แต่ก็มีหลายหน่วยงานกังวลเช่นกันว่า อาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ เนื่องจากหน่วยงานต่างๆ ที่จะเข้าไปประจำอยู่ในท่าเรือได้แจ้งการทำงานที่สำนักงานแห่งเดิมถึงวันที่ 31 มี.ค.55 นี้เท่านั้น
       
       นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องทางเชื่อมจากถนนสายเชียงแสน-เชียงของ ด้านหน้าท่าเรือซึ่งยังไม่มีมีการก่อสร้างเพราะอยู่นอกเขตท่าเรือ ทำให้ทางรองปลัดคมนาคม ได้ฝากไปยังกรมทางหลวง นำงบประมาณ 10 ล้านบาทไปก่อสร้างชั่วคราว จากเดิมกรมทางหลวง วางแผนใช้งบประมาณ 330 ล้านบาทพัฒนาถนนเชียงแสน-เชียงของ อยู่แล้ว แต่เป็นงบประมาณปี 2556 ซึ่งต้องนำผ่านสภาผู้แทนราษฎรในเดือน ก.พ.ซึ่งอาจไม่ทันการณ์
       
       สำหรับท่าเรือเชียงแสนมีมูลค่าการค้าชายแดน รวมปีละกว่า 11,000 ล้านบาท แยกเป็นการส่งออกประมาณ 9,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนไก่แช่แข็ง น้ำมันปาล์ม เครื่องดื่ม ฯลฯ นำเข้าประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลไม้และพืชผัก และสินค้าผ่านแดนประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยการค้าส่วนใหญ่เป็นการค้ากับจีน และใช้เรือสินค้าสัญชาติจีนเป็นหลัก
       
       ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ก็พบว่า มีการส่งออกแล้วกว่า 892,277,892.57 บาท และนำเข้า 39,999,775.67 บาท แม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องเรือสินค้าจีน 2 ลำถูกปล้นและลูกเรือชาวจีนถูกฆ่ารวม 13 ศพ เมื่อวันที่ 5 ต.ค.54 ที่ผ่านมาก็ตาม


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000006748 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000006748)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 มกราคม 2012, 19:41:07
ททท.ระดมความคิดจัดสัมมนาด้านการตลาด รับมือภาวะวิกฤติกระตุ้นท่องเที่ยวเชิงรุกเน้น 6 หัวข้อเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืน

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ระดมความคิดจัดสัมมนาด้านการตลาด รับมือภาวะวิกฤติกระตุ้นท่องเที่ยวเชิงรุกเน้น 6 หัวข้อเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืน
นางปานจิตร สันทัดกลการ ผู้อำนวยการกองเผยแพร่ความรู้ด้านการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. กล่าวถึงการประชุมเพื่อระดมความคิดเห็นการจัดอมรมสัมมนาการท่องเที่ยว ว่า สำหรับแผนการดำเนินการจัดอบรมสัมมนาในปี 2555 กองเผยแพร่ความรู้ด้านการท่องเที่ยว ใน 6 ตลาด ได้แก่ การอบรมตลาดท่องเที่ยวออนไลน์สมัยใหม่สำหรับธุรกิจท่องเที่ยว โดยการเพิ่มช่องทางการสื่อสาร การแนะนำ หรือเพิ่มแอฟพลิเคชั่น ให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวไว้เป็นตัวเลือกในการตัดสินใจ ,การอบรมสัมมนาการส่งเสริมตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพสำหรับตลาดต่างประเทศ โดยการโฟกัสประเทศในกลุ่มอาเซียน เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 หรือ AEC ,การอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการการจัดการการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ,การอบรมสัมมนาการส่งเสริมการตลาดท่องเที่ยวอย่างยั่งยื่น ทั้งนี้ข้อที่ 3 และ 4 จะเร่งดำเนินการใน 4 พื้นที่ ได้แก่ เชียงคาน ปาย น่าน และ สมุย ภายใต้แนวคิด 7 กรีน ,การอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการสื่อสารความหมายแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ เช่น การเรียนรู้เส้นทางไดโนเสาร์ การศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และชมงานประติมากรรมแกะสลักเทียนเข้าพรรษา ที่จังหวัดอุบลราชธานี และ การบูรณาการการจัดอบรมสัมมนาด้านการตลาดท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานภายในประเทศและภายนอกประเทศ ซึ่งจะทำในรูปแบบการเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยว เช่น เส้นทางเชียงราย-ลาว-จีน
นางปานจิตร กล่าวอีกว่า แผนการจัดอบรมสัมมนาในปี 2556 เบื้องต้นคาดว่าจะสานต่อใน 3 เรื่อง ได้แก่ การท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ,การส่งเสริมการตลาดท่องเที่ยวอย่างยั่งยื่น และ การท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้


   
ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : สุภาภรณ์ สุขันทอง   Rewriter : กัลยา คงยั่งยืน
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th


 วันที่ข่าว : 18 มกราคม 2555



หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 มกราคม 2012, 11:34:16
เชียงราย - เมืองพ่อขุนฯ เร่งมือเตรียมงานฉลอง 750 ปีเมืองเชียงรายก่อนตัดริบบิ้นเปิดงาน 26 มกราฯนี้ ดึง “ชายจืด” เปิดงานเลี้ยงภาคค่ำ พร้อมจัดกิจกรรมต่อเนื่องตลอดปี
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า นายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เป็นประธานในการแถลงข่าวความพร้อมในการจัดงานเฉลิมสมโภชเมืองเชียงราย 750 ปี ที่ห้องราชพฤกษ์ โรงแรมทีคการ์เด้นท์ สปา รีสอร์ท อ.เมืองเชียงราย โดยมีฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมครบครัน
       
       เช่น อาจารย์นคร พงษ์น้อย ผู้อำนวยการอุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง ,นายพูนศักดิ์ มหาคำ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานปฏิบัติการภูมิภาค บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด, นายชวลิต สุธรรมวงศ์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย ,นายวิรุฬ คำภิโล ประธานคณะกรรมการฝ่ายสิทธิประโยชน์งานฉลองสมโภช 750 ปีเมืองเชียงราย และนายสมพงษ์ กูลวงค์ นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ฯลฯ
       
       โดยแจ้งว่า ขณะนี้การเตรียมความพร้อมยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องได้แก่ งานพุทธมณฑลสมโภช 750 ปี การก่อสร้างระฆังหลวงสมโภช 750 ปีเมืองเชียงราย และการก่อสร้างพระประธาน พระสิงห์หนึ่ง รวมทั้งการสร้างหอวัฒนธรรมนิทัศน์วัดฝั่งหมิ่น กิจกรรมบ้านศิลปิน นิทรรศการศิลปกรรมศิลปินเชียงราย การเสวนาร้องรอยแห่งกาลเวลา ร่วมรับรู้ถิ่นเชียงราย 750 ปี การจัดค่ายเยาวชนสำนึกรักเชียงราย การจัดทำหนังสือสมโภช
       
       การจัดทำหนังสือที่ระลึก โครงการธรรมยาตราฉ กิจกรรมจัดบ้านแต่งเมือง การจัดทำสัญลักษณ์ การจัดทำดวงตราไปรษณียากร การจัดแสง สี เสียงประกอบในงานเลี้ยงรับรองบุคคลสำคัญ การแกะสลักไม้เล่าเรื่องเมืองเชียงรายของมูลนิธิอุทยานประวัติศาสตร์เชียงราย การจัดบรรยายธรรมะ มงกุฎทองของประเทศ โดยท่านมหาวุฒิชัย วชิรเมธี การจัดทอดผ้าป่าการกุศล การจัดสร้างก้อนชาแบบผู่เอ๋อ โดยสมาคมชาไทยร่วมกับจังหวัดเชียงราย ฯลฯ
       
       กิจกรรมทั้งหมดจะเปิดสู่สาธารณะพร้อมกันตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค.55 ซึ่งเป็นวันที่พ่อขุนเม็งรายมหาราชทรงสถาปนาเมืองเชียงรายเมื่อวันที่ 26 ม.ค.1805 และในช่วงเช้าวันเดียวกันจะเริ่มทำพิธีถวายสักการะพระบรมอัฐิพญามังรายมหาราช ณ วัดดอยงำเมือง ถนนวินิจฉัยกุล เทศบาลนครเชียงราย โดยนายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานจุดธูปเทียนสักการะพระบรมอัฐิพญามังรายมหาราชและห่มผ้าพระสถูป
       
       จากนั้นช่วงสายจะประกอบมหาพิธีบวงสรวงทำบุญเมือง และถวายเครื่องราชสักการะพญามังรายมหาราช ณ ลานอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ต่อด้วยพิธีสืบชะตาทำบุญเมืองเชียงราย และพิธีถวายเครื่องราชสักการะพญามังรายมหาราช
       
       ภาคบ่ายจะมีการพิธีเปิดงานพ่อขุนเม็งราชมหาราชและงานกาชาด ณ สนามบินฝูงบิน 416 โดยงานจะมีไปจนถึงวันที่ 3 ก.พ.55 จากนั้นช่วงเย็น มีพิธีจัดเลี้ยงรับรอง ณ อุทยานศิลปะแม่ฟ้าหลวง และภาคค่ำเป็นพิธีเปิดงานฉลอง ณ สวนตุงและโคมเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนธนาลัย อ.เมือง
       
       ทั้งนี้ ได้มีการเชิญนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ไปเป็นประธานในพิธีเปิดงานเฉลิมฉลองในช่วงค่ำ โดยจะมีการแสดงตีกลองล้านนา การแสดงฟ้อนเล็บ ฟ้อนผางประทีป โดยช่างฟ้อน 750 คน และการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนาและการแสดงวัฒนธรรมชนเผ่า
       
       ในส่วนของกิจกรรมของการฉลองสมโภช จะมีอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อให้ประชาชนได้แสดงออก ซึ่งความสามัคคีและเป็นศูนย์รวมใจ ให้ประชาชนได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพญามังรายมหาราช องค์ปฐมกษัตริย์ผู้สร้างและสถาปนาเมืองเชียงรายขึ้นในอาณาจักรล้านนาเป็นแห่งแรก
       
       รวมทั้งเพื่อส่งเสริมเกิดการอนุรักษ์และสืบสานประเพณี วิถีชีวิต วัฒนธรรม ศิลปะ และภูมิปัญญาของประชาชนและจังหวัดเชียงราย โดยจะมีกิจกรรมเสริมอื่นๆ ในรอบปีนอกเหนือจากนี้อีกด้วย เช่น การแข่งกีฬา เป็นต้น


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000008170 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000008170)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 มกราคม 2012, 20:10:01
ผู้ว่าฯ 3 กลุ่มเอกชนเชียงรายตั้งวงถกรับ AEC เชื่อทำ ชร.เปลี่ยนเร็ว-แรง


เชียงราย - รัฐ-เอกชนเมืองพ่อขุนฯ ตั้งโต๊ะเสวนา “ก้าวย่างใหม่ของเชียงรายสู่สากล” ระดมพลังเตรียมพร้อมรับเออีซี-เขตเศรษฐกิจพิเศษฯ ผู้ว่าฯส่งสัญญาณเอกชนต้องเร่งปรับตัว พัฒนาบุคลากรรองรับการเปลี่ยนแปลง พร้อมวางยุทธศาสตร์ชร. ตามรอยสมเด็จย่า-รับประชาคมอาเซียน เผย จีนยังเดินหน้าลงทุนอีกร่วม 8 หมื่นล้านหยวน

รายงานข่าวแจ้งว่า สมาคมท่องเที่ยวเชียงราย ร่วมกับหอการค้าฯ-สภาอุตสาหกรรม จ.เชียงราย จัดกิจกรรมเสวนาในหัวข้อ “ก้าวย่างใหม่ของเชียงรายสู่สากล” ขึ้นเมื่อค่ำวันที่ 19 ม.ค.55 ที่ห้องดอยตอง โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์รีสอร์ท อ.เมืองเชียงราย โดยมีผู้ประกอบการและตัวแทนภาครัฐเข้าร่วมครบครัน

ด้าน นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย คนใหม่ได้แสดงวิสัยทัศน์และร่วมเสวนาว่า เชียงรายมีความเป็นมายาวนานร่วม 750 ปี แต่ละยุคสมัยผ่านพัฒนาการมา จนพบว่าแต่ละเมืองมีความเป็นเอกลักษณ์ สำหรับเชียงรายนั้นตนกำลังมีแผนให้ข้าราชการได้มีจิตสำนึกความเป็นคนเหนือหรือคนเมือง ด้วยการให้พูดภาษาเหนือ สวมใส่เสื้อผ้า และรับประทานอาหารเหนือ ฯลฯ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วัน

ขณะเดียวกัน ก็จะส่งเสริมให้มีการใช้ต้นทุนที่มีอยู่ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของประชาคมโลก โดยเฉพาะกระแสโลกาภิวัตน์ และการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558 เป็นต้นไป รวมทั้งความร่วมมือกับกลุ่มประเทศอื่นๆ เช่น จีน กลุ่มBEMSTEC ฯลฯ ซึ่งจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ตนขอเรียกว่า “รวดเร็วและรุนแรง” โดยที่ไม่สามารถหนีพ้นได้ นอกจากต้องปรับตัวให้ได้

การปรับตัวดังกล่าว คือ การติดตามสถานการณ์ และเพิ่มศักยภาพให้กับตัวเองโดยใช้ต้นทุนที่มีอยู่แล้ว และพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม เช่น ที่ผ่านมาเราเคยได้ยินระเบียงเหนือ-ใต้ ของภูมิภาค ผ่านประเทศไทย แต่ปัจจุบันพบว่าจีนให้ความสำคัญกับชายแดนพม่า-จีน ด้านเมืองมูเช-รุ่ยลี่ หรือ ยุ่ยลี่ ซึ่งเป็นชุมชน 5 แห่ง ที่ถือเป็นแหล่งกระจายสินค้าขนาดใหญ่ที่มีรถบรรทุกเข้าออกอย่างน้อยวันละกว่า 500 คัน มีการพัฒนารางรถไฟรางคู่จากจีนตอนใต้ผ่านพม่าไปสู่ชิตเว หรืออ่าวเบงกอล เพื่อเชื่อมจีนกับมหาสมุทรอินเดีย เป็นต้น

ขณะที่เชียงรายมีต้นทุนสูงหลายเรื่อง โดยเรื่องแรกคือ การที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี “สมเด็จย่า” ได้ทรงพัฒนาเชียงรายและก่อให้เกิดโครงการที่เป็นประโยชน์มากมายทั้งโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ฯลฯ ซึ่งจังหวัดกำลังจะเดินตามรอย โดยเฉพาะการปลูกป่าสร้างคนเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและยาเสพติดให้ครบทั้ง 18 อำเภอ หลังจากที่โครงการพัฒนาดอยตุงฯ ประสบความสำเร็จและทำให้ประชากร 27,000 คนได้ประโยชน์

ต้นทุนอีกอัน คือ การที่มีกลุ่มทุนใหญ่ๆ เข้าไปลงทุนที่ จ.เชียงราย อย่างต่อเนื่อง เช่น ไร่บุญรอด สนามกอล์ฟ ฯลฯ ทำให้เกิดการจ้างงาน และต้นทุนเรื่องสถานศึกษา ที่มีมากมายหลายมหาวิทยาลัย ซึ่งทั้งหมดไม่รวมต้นทุนทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี ฯลฯ ที่อยู่คู่เชียงรายอยู่แล้ว

“สิ่งที่เชียงรายต้องทำคือ นำต้นทุนดังกล่าวมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้เราต้องปรับตัว โดยปรับเรื่องภาษาโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ และจีน ไม่เช่นนั้นเสียเปรียบประเทศอื่นๆ หลังเข้าเออีซี และปรับธุรกิจ เช่น ลูกจ้างต้องพูดได้หลายภาษา เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้เอกชนทำได้เลยโดยไม่ต้องรอภาคราชการ และสุดท้ายคือปรับด้านการศึกษา” นายธานินทร์ กล่าว

ผู้ว่าฯเชียงราย ยังระบุอีกว่า นอกจากนี้ ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร ที่เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 15 ม.ค.55 ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบในหลักการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน 3 อำเภอคือแม่สาย เชียงแสน และ เชียงของ โดยอยู่ระหว่างให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปจัดทำแผนเสนอขึ้นไปอยู่

ด้าน นายอภิชา ตระสินธุ์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวว่า สถิติการท่องเที่ยวของเชียงรายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2550 มีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศเข้ามา 1,436,435 คน สร้างรายได้เข้าจังหวัดประมาณ 9,818.95 ล้านบาท ปรากฏว่า ปี 2553 แม้จะมีปัญหาทางการเมืองในประเทศกลับมีนักท่องเที่ยวมากขึ้นถึง 2,288,218 คน สร้างรายได้เข้าจังหวัดกว่า 15,024.64 ล้านบาท

แต่ปัญหาคือ ตั้งแต่เดือน มี.ค.-ธ.ค.นักท่องเที่ยวจะมีไม่มาก รวม 8 เดือน ดังนั้น จึงจะร่วมกับจังหวัดเพื่อลดช่วงโลว์ซีซันลงให้ได้ จึงมีข้อเสนอในการเพิ่มศักยภาพแหล่งท่องเที่ยว เพิ่มรูปแบบและกิจกรรมหรือเทศกาลมากขึ้น ส่งเสริมตลาดและการขยาย ส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวอาร์สามเอ รวมทั้งบูรณาการภาครัฐและเอกชน

นายชวลิต สุธรรมวงศ์ ประธานหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่า ผลของการเปลี่ยนแปลงในอนาคตทำให้การพัฒนาไม่สามารถยึดกับภาพเก่าๆ ได้อีกต่อไป จึงต้องปรับตัวโดยหอการค้าพร้อมทำงานกับทุกฝ่าย ในส่วนของการท่องเที่ยวก็พร้อมให้การสนับสนุนเต็ม 100% และทุกฝ่ายก็ควรบูรณาการโดยไม่ยึดติดเฉพาะหน้าที่ของตัวเอง เพราะปัจจุบันประเทศจีนพร้อมลงทุนอีก 8 หมื่นล้านหยวน เพื่อพัฒนาการลงทุนของจีนตอนใต้ ดังนั้น ภาพที่เราเห็นในปัจจุบันจึงจะเปลี่ยนแปลงไปกว่านี้อีกมาก

นายเกรียงไกร วีระฤทธิพันธ์ ประธานสภาอุตสาหกรรม จ.เชียงราย กล่าวว่า เชียงรายเป็นเมืองที่มีภาระเรื่องต้นทุนด้านการผลิตสูง เพราะอยู่ไกลจึงทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและอื่นๆ สูงโดยคำนวณแล้วน้ำมันดีเซลราคาสูงกว่ายะลา ที่อยู่ใต้สุดลิตรละประมาณ 25 สตางค์ จึงอยากให้ทางจังหวัดและรัฐบาลสนับสนุนโครงการรถไฟเพื่อลดต้นทุน เพราะอดีตที่ผ่านมารัฐบาลสนับสนุนแต่ยังไม่มีการจัดสรรงบประมาณ

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9550000008814


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 27 มกราคม 2012, 22:43:23
ส.ส.เพื่อไทยเชียงราย ชักธงค้านแผนตัดถนนเชื่อมสะพานข้ามโขง 4

เชียงราย - กรรมาธิการคมนาคม-ส.ส.เพื่อไทย ตั้งธงค้านสร้างถนนเชื่อมเมืองเชียงราย-สะพานข้ามโขง 4 บอกไม่ตรงแนวปฏิบัติผู้ค้าชายแดน แถมเลี่ยงเขตชุมชนทั้งที่ชาวบ้านต้องการให้ตัดถนนเข้าพื้นที่ ถึงขั้นพร้อมยกที่วัดให้ ขณะที่นักวิชาการ ม.ราชภัฏเชียงราย ร่วมซักค้านกระทบ “หนองหลวง” เผยพบทุนรับเหมาอิงรัฐบาลก่อนเอี่ยวงานก่อสร้าง

(http://pics.manager.co.th/Images/555000001288301.JPEG)(http://pics.manager.co.th/Images/555000001288303.JPEG)


       
       วันนี้ (27 ม.ค.) ที่ห้องประชุมทรัพย์ล้อม สำนักงานแขวงการทาง จ.เชียงราย คณะกรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร ได้เดินทางไปศึกษาข้อเท็จจริง โครงการก่อสร้างเส้นทางหลวงสาย อ.เมือง-อ.เชียงของ เพื่อเชื่อมต่อโครงข่ายถนนในประเทศกับสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 และถนน R3a ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้
       
       นายเจือ ราชสีห์ ประธานคณะกรรมาธิการฯ พร้อมคณะได้เชิญกรมทางหลวง สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาชน นักวิชาการ ร่วมรับทราบความคืบหน้าโครงการก่อสร้าง มี นายธีรพัฒน์ รัติธรรมกุล ผู้จัดการโครงการก่อสร้าง และ นายธีรพจน์ วราชิต ตัวแทนจากบริษัทที่ปรึกษาโครงการ ให้ข้อมูล
       
       นายธีรพจน์ กล่าวว่า หลังไทย จีน สปป.ลาว ได้ร่วมกันก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย เชื่อมกับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว-ถนน R3a นั้น กรมทางหลวง ได้ศึกษาแนวก่อสร้างถนนภายในประเทศที่รองรับ โดยเฉพาะถนนสาย อ.เมือง-เชียงของ ซึ่งถนนเดิมคับแคบ ระยะทางไกลกว่า 110 กิโลเมตร ดังนั้น จึงได้ทำการศึกษารูปแบบเอาไว้หลายแบบ
       
       แต่ล่าสุดได้คัดเลือกแบบที่เหมาะสมที่สุดได้แล้วโดยสามารถย่นระยะทางเหลือเพียง 92 กิโลเมตร มีจุดเริ่มต้นที่บริเวณบ้านหัวดอย ต.ท่าสาย อ.เมือง ผ่านหนองหลวง อ.เวียงชัย ซึ่งจะมีการก่อสร้างสะพนข้ามหนองน้ำขนาดใหญ่ และเลี่ยงเขตชุมชนใน ต.บ้านต้าตลาด อ.ขุนตาล เพื่อไปเชื่อมกับถนนสาย อ.เทิง-เชียงของ ที่บ้านใหม่พัฒนา ต.ยางฮอม อ.ขุนตาล ที่เป็นถนนสายหลัก 4 ช่องจราจรรอเอาไว้อยู่แล้ว รวมทั้งกำลังศึกษาเพื่อก่อสร้างถนนไปทาง อ.ขุนตาล
       
       รูปแบบถนนสายใหม่จะเป็น 4 ช่องจราจรเขตทางกว้าง 30-60 เมตร ความกว้างช่องจราจร 3.50 เมตร ไหล่ทาง 2.50 เมตร แบ่งเป็น 3 ช่วง รวมงบประมาณทั้งหมดประมาณ 1,000 ล้านบาท
       
       ทั้งนี้ ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา โครงการได้ศึกษา และพบปะประชาชนจนออกแบบให้เส้นทางเลี่ยงเขตชุมชนหลายพื้นที่ของ อ.ขุนตาล และ อ.พญาเม็งราย ซึ่งหลายแห่งต้องการให้ถนนผ่านหมู่บ้านเพื่อความเจริญแต่หลายแห่งไม่ต้องการ ซึ่งทางโครงการฯ ต้องดูความเหมาะสมเพราะต้องใช้เขตทางกว้าง ขณะที่หลายแห่งกว้างแค่ 10-20 เมตร
       
       ด้าน น.ส.ศิริรัตน์ อิฐรัตน์ ตัวแทนจาก สนข.กล่าวว่า สนข.รับผิดชอบศึกษาความเหมาะสมเรื่องความจำเป็นเรื่องโครงข่ายที่เชื่อมโยงถนน R3a และสะพานแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ซึ่งมีแผนที่จะเสนอของบประมาณก่อสร้างในปี 2556-2557 นี้ เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าของถนนอาร์สามเอเป็นสำคัญ
       
       อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมนายรังสรรค์ วันไชยธนวงศ์ โฆษกคณะกรรมาธิการฯ และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เชียงราย พรรคเพื่อไทย ได้นำทีมคัดค้านในหลายเรื่องทั้งความคุ้มค่า ผลกระทบ ความต้องการชุมชน ฯลฯ โดยระบุว่า ไม่เข้าใจเรื่องแนวคิดการก่อสร้าง ซึ่งเน้นใช้เพื่อประโยชน์ในการขนส่งสินค้าเป็นสำคัญ
       
       ทั้งที่ปัจจุบันผู้ประกอบการค้าชายแดนใช้เส้นทางขนส่งสินค้าจาก อ.เชียงของ-เทิง ไปทาง อ.จุน-ดอกคำใต้ จ.พะเยา เพื่อเชื่อมกับถนนพหลโยธินไปยังกรุงเทพฯ แต่กรมทางหลวงกลับสร้างถนนสายใหม่เชื่อมกับ อ.เมือง เป็นการดึงการจราจรสู่ตัวเมืองเชียงราย ที่เริ่มคับคั่งมากขึ้น
       
       “ที่น่าตกใจเมื่อทราบว่า ถนนสายนี้เป็นเพียงสายรอง แต่กลับจะมีการเสนอเพื่อการก่อสร้างก่อน ดังนั้น มีแนวคิดว่าสร้างถนนสายนี้เพื่อการขนส่งถือว่าผิด 100%”
       
       นายรังสรรค์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ หากก่อสร้างถนนจะต้องสร้างสะพานข้ามหนองหลวงใน อ.เวียงชัย ซึ่งจะกระทบต่อวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน แนวของเส้นทางยังตัดเลี่ยงชุมชนหลายพื้นที่ เช่น อ.พญาเม็งราย ซึ่งตนได้พบปะชาวบ้านพบว่าชาวบ้านต้องการให้ถนนผ่านชุมชนพวกเขามาก วัดบางวัดถึงขั้นสามารถให้พังกำแพงวัดเพื่อใช้เป็นถนนได้เลยด้วย ดังนั้น จึงขอให้มีการทบทวนพิจารณาเรื่องนี้ให้ละเอียดด้วย
       
       นายชัยยา นาสมทรง นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย กล่าวว่า หนองหลวงมีเนื้อที่ประมาณ 10,000 ไร่ เป็นแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร การท่องเที่ยว มีปลาและนกอพยพ ชาวบ้านใช้เพื่อการประมง รวมทั้งคณะรัฐมนตรีมีมติให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำอันดับ 2 ของประเทศไทย ต่อมาจึงมีมติให้ทบทวนโครงการกอสร้างทุกอย่างในหนองหลวง โดยมีข้อห้ามต่างๆ มากมาย จึงเห็นว่าโครงการก่อสร้างฯ ไม่น่าจะทำได้เพราะจะกระทบหลายเรื่อง เช่น สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต รบกวนนกอพยพ ฯลฯ
       
       ด้านคณะจากบริษัทที่ปรึกษาโครงการก่อสร้าง ได้ชี้แจงว่า สาเหตุที่ไม่ก่อสร้างผ่านเส้นทางชุมชน เพราะคับแคบเพียง 5-20 เมตร และหากผ่านเขตวัด แม้จะบริจาคที่ดินเพื่อการก่อสร้างแต่ต้องใช้พระราชบัญญัติในการยกมอบให้ เพราะเป็นที่ดินของสงฆ์ ซึ่งอาจใช้เวลาร่วม 4-5 ปีจึงจะได้ข้อยุติ
       
       ส่วนกรณีของหนองหลวงถือเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่นั้น จะมีการก่อสร้างถนนตลอดแนวความยาวเพียงประมาณ 560 เมตร และตัวสะพานที่อยู่เหนือหนองน้ำจริงๆ จะยาวเพียงประมาณ 30 เมตร และบนบกด้านข้างอีกข้างละ 20 เมตรเท่านั้น จึงจะมีเสาตอม่อไม่กี่เสา รวมทั้งจะมีจุดชมวิวตรงขอบสะพานให้ด้วยจึงส่งเสริมการท่องเที่ยวไปในตัว
       
       กรณีมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับพื้นที่ชุ่มน้ำดังกล่าว ทางโครงการรับทราบแล้ว แต่ยืนยันว่า กรณีนี้มีข้อกำหนดให้ใช้การศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือ อีไอเอ โดยไม่ต้องเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ก็สามารถก่อสร้างได้ นอกจากนี้ โครงการได้ศึกษาความคุ้มทุนพบว่าคุ้มทุนเพราะจะมีการจราจรขนส่งผ่านเส้นทางวันละกว่า 2,000-6,000 คัน
       
       หลังจากถกประเด็นกันได้ระยะหนึ่ง นายเจือ ราชสีห์ ประธานคณะกรรมาธิการ ได้แจ้งให้มีการรวบรวมประเด็นปัญหาทุกอย่างเอาไว้ เพื่อทำการศึกษา และเสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ ก่อนจะนำคณะสำรวจเส้นทางเพื่อศึกษาข้อเท็จจริงตามขั้นตอนต่อไป
       
       ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างถนนหลายสายดำเนินการในช่วงรัฐบาลชุดที่ผ่านมา โดยมีเอกชนที่รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งใกล้ชิดกับนักการเมืองในรัฐบาลก่อน เข้าไปก่อสร้างเส้นทางบางส่วนด้วย


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000012275 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000012275)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 มกราคม 2012, 20:14:28
ปธ.ประเทศลาว เปิดงาน “ดอกงิ้วบาน” สนั่นสามเหลี่ยมทองคำ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   29 มกราคม 2555 15:25 น.   

(http://pics.manager.co.th/Images/555000001358601.JPEG)(http://pics.manager.co.th/Images/555000001358604.JPEG)(http://pics.manager.co.th/Images/555000001358606.JPEG)(http://pics.manager.co.th/Images/555000001358605.JPEG)


เชียงราย – ประธาน สปป.ลาว ตัดริบบิ้นเปิดงาน “ดอกงิ้วบานครั้งที่ 12” ที่สามเหลี่ยมทองคำ หลังคิงส์โรมันฯ ร่วมจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมมอบบ้านให้ชาวลาวที่ต้องอพยพออกนอกพื้นที่สัมปทานและสิทธิ์พัฒนาพื้นที่ 7,500 ไร่ ยาว 99 ปี
       
       สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มดอกงิ้วคำ โดยโครงการ Kings Romans of Laos Asian & Tourism Development Zone ร่วมกับรัฐบาล สปป.ลาว ได้จัดพิธีเปิดงานดอกงิ้วบานครั้งที่ 12 ขึ้น ณ เกาะดอนซาว หรือเกาะกระปุก เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ตรงกันข้ามบ้านสบรวก ม.1 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ที่จะจัดไปจนถึงวันที่ 30 ม.ค.55 พร้อมกับเชิญตัวแทนจากจีน สปปป.ลาว ไทย ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
       
       งานนี้มีท่านจูมมาลี ไชยะสอน ประธาน สปป.ลาว เดินทางมาเป็นประธานเปิดงาน และมีบุคคลสำคัญเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เช่น นายทองสิง ทำมะวง นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว, นายสมสะหวาด เล่งสะหวัด รองนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ส่วนฝ่ายไทยมีนายพุทธิคุณ ไชยสาน เลขาธิการสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย เป็นตัวแทนเอกชนเข้าร่วม และมีจ้าวเหว่ย ประธานบริหารบริษัท จิ่นมูเหมิน จำกัด ในฐานะผู้ดำเนินโครงการฯ นำคณะให้การต้อนรับ
       
       จ้าวเหว่ยกล่าวว่า นับตั้งแต่กลุ่มดอกงิ้วคำได้ลงทุนเช่าพื้นที่ 7,500 ไร่ ด้วยการทำสัญญาเช่าเป็นเวลา 99 ปี ก็ได้เร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมีการก่อสร้างเป็นอภิมหาคอมเพล็กซ์ที่แบ่งการพัฒนาพื้นที่ออกเป็น 5 โซน คือ โซน A เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เน้นด้านการค้า พาณิชยกรรม กาสิโน การเงิน-การธนาคาร, โซน B เป็นกิจการท่าเรือ, โซน C เป็นกิจการด้านวัฒนธรรม, โซน D เป็นกิจการด้านโบราณสถาน และโซน E เป็นเขตการท่องเที่ยวธรรมชาติ ด้วยเงินลงทุนนับหมื่นล้านบาท โดยมีเป้าหมายที่วางไว้เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและเชื่อมกับถนนเชื่อมต่อถนน R3A ที่ อ.เชียงของ ด้วย
       
       จ้าวเหว่ยบอกว่า ที่ผ่านมาประสบปัญหามากมายในการดำเนินการ ไม่ว่าเรื่องการพัฒนาพื้นที่ ที่ต้องมีการอนุรักษ์ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป ซึ่งงบประมาณการก่อสร้างโดยเฉพาะค่าวัสดุก่อสร้าง มีราคาสูงขึ้น จึงทำให้ค่าใช้จ่ายมากกว่าที่ประมาณการกันไว้เสียอีก
       
       นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องภาพลักษณ์ที่ถูกมองว่าสถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นมาเพียงเพื่อเป็นกาสิโนอย่างเดียวด้วย ซึ่งขอชี้แจงว่า หลังดำเนินงานก่อสร้างมาได้ 3 ปี หลายสิ่งที่เคยสัญญาไว้ได้เป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น แหล่งท่องเที่ยว ทั้งพระราชวังที่มีการจำลองพระราชวังของฮ่องเต้จีน การส่งเสริมวัฒนธรรม โดยได้มีการสนับสนุนการจัดงานเทศกาลดอกงิ้วบานที่เกาะดอนซาว เป็นต้น
       
       งานครั้งนี้ยังคงดำรงไว้เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีต่อกันของประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน สืบสานวัฒนธรรม ส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนเป็นการสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนทั้งสามประเทศ โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น ชกมวยคาดเชือกไทย-ลาว-พม่า การแสดงนาฏศิลป์จีน การแสดงนาฏศิลป์ สปป.ลาว การการแสดงจากดารา นักร้อง นักแสดงบนเวที การจำหน่ายสินค้า ท่ามกลางดอกงิ้วที่เบ่งบานเต็มเกาะดอนซาวด้วย
       
       ทั้งนี้ ภายในงานนอกจากท่านจูมมาลี ไชยะสอน ประธาน สปป.ลาว จะตัดริบบิ้นเปิดงานอย่างเป็นทางการแล้ว ยังได้ร่วมกันทำพิธีเปิดบ้านสามเหลี่ยมคำ ที่อยู่ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ติดภูเขา ห่างจากริมแม่น้ำโขงออกไปเล็กน้อย เนื่องจากเดิมมีชาวบ้านอาศัยอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ และเกาะดอนซาว ทางโครงการจึงได้ลงทุนด้วยงบประมาณราว 13 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อสร้างบ้านพักพร้อมสาธารณูปโภค สวนสาธารณะยกให้เป็นกรรมสิทธิ์รัฐบาล สปป.ลาว เพื่อนไปมอบให้ชาวบ้านที่ต้องอพยพออกไป

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000012921 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000012921)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 30 มกราคม 2012, 15:27:32
แลนด์ลุยอสังหาฯ16โปรเจ็กต์3.2หมื่นล.

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2012 เวลา 13:39 น.

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ลุยตลาดอสังหาฯ ปี 2555 อีก 16 โปรเจ็กต์มูลค่ากว่า 3.2 หมื่นล้าน พร้อมขยายตลาดอสังหาฯ ต่างจังหวัดเพิ่ม เชื่อมีดีมานด์และกำลังซื้อเติบโตสูง ผลจากการขยายตัวของเศรษฐกิจและราคาสินค้าเกษตรเพิ่มสูง รอลุ้นอีก 1-2 เดือนผลประมูลที่ดินย่านสามย่าน หวังผุดโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสหมื่นล้าน
นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนในปี 2555 ว่า มีแผนการเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 16 โครงการ ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว 8 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 2 โครงการ และคอนโดมิเนียม 6 โครงการ โดยเป็นโครงการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 12 โครงการ และต่างจังหวัด 4 โครงการ มูลค่ารวมทั้งหมด 32,620 ล้านบาท โดยปีที่ผ่านมาเปิดโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่ารวม 24,430 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะเปิด 18 โครงการ เนื่องจากประสบปัญหาน้ำท่วมทำให้ต้องเลื่อนการเปิดโครงการใหม่มาในปีนี้ 4-5 โครงการ

สำหรับปีนี้บริษัทยังให้ความสำคัญกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัด ที่มีโอกาสการพัฒนาที่อยู่อาศัยโดยไม่จำเป็นต้องเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักก็ได้ โดยปีนี้จะมีการพัฒนาในจังหวัดอุดรธานี เชียงใหม่ ขอนแก่น และอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในจังหวัดเชียงรายเพิ่มเติมด้วย ซึ่งตลาดในต่างจังหวัดแม้ว่าจะมีความต้องการที่จำกัด แต่การเติบโตค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในจังหวัดภาคอีสาน เนื่องจากมีเศรษฐกิจที่ดีจากการเกษตรโดยเฉพาะการปลูกยางพารา และการเข้าไปลงทุนพัฒนาธุรกิจค้าปลีก ทั้งคอมมิวนิตีมอลล์และไลฟ์สไตล์มอลล์ ส่งผลให้เศรษฐกิจมีการเติบโตสูง
นายนพร กล่าวว่า ปีที่ผ่านมารายได้จากการพัฒนาโครงการในตลาดต่างจังหวัดมีสัดส่วนประมาณ 10-12% เติบโตจากปี 2553 ที่มีสัดส่วนประมาณ 6-7% ของรายได้ ในปีนี้คาดว่าสัดส่วนคงใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ส่วนตลาดต่างประเทศบริษัทเห็นว่า ภายหลังจากประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเปิดแล้วคงจะต้องออกไปพัฒนาโครงการในต่างประเทศ แต่คงต้องดูความพร้อมและช่วงเวลาที่เหมาะสมด้วย แต่คงไม่ใช่ในระยะเวลาอันสั้นช่วง 2-3 ปีนี้ ยกเว้นว่าบริษัทจะมีพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพมาร่วมทุนได้
ส่วนงบประมาณการซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทตั้งไว้ 5,000 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมาที่ใช้งบประมาณซื้อที่ดินไป 5,100-5,200 ล้านบาท ซึ่งบริษัทยังมีกระแสเงินสดอีก 900 ล้านบาทในการใช้หมุนเวียนสำหรับการลงทุนในปีนี้ และยังมีแผนที่จะออกหุ้นกู้มูลค่า 6,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยประมาณ 4% ระยะเวลาประมาณ 3 ปี ซึ่งในปีนี้มีหุ้นกู้ครบกำหนดชำระมูลค่า 3,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าอีก 880 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถนำเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ จำนวน 3 แห่ง มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท มาจัดตั้งเป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเสนอขายให้แก่นักลงทุนได้ภายในครึ่งปีแรกของ ปี 2555 ได้ด้วย
นายนพร กล่าวอีกว่า บริษัทกำลังอยู่ระหว่างรอผลการประมูลเช่าที่ดินบริเวณสามย่านจำนวน 13 ไร่ จากสำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยหากบริษัทชนะการประมูลมีแผนการพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูส ที่มีทั้งโรงแรม ศูนย์การค้า คอนโดฯ เป็นต้น คาดว่าจะใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท คาดว่าจะรู้ผลใน 1-2 เดือนนี้
"สิ่งที่อยากได้จากภาครัฐ คือ การประกาศแผนการป้องกันน้ำท่วมที่ชัดเจน ระยะ 3-5 ปีว่าจะดำเนินการอย่างไร ถ้ารัฐบาลส่งสารที่ชัดเจนว่าจะป้องกันอย่างไร จะแก้ไขปัญหาอย่างไร ก็ดีเกินพอแล้ว เพราะจะทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ รวมถึงนักลงทุนต่างชาติด้วย หากมีความชัดเจนเศรษฐกิจก็จะดีขึ้นเอง ส่วนเรื่องต้นทุนการก่อสร้างน่าจะเพิ่มขึ้นใกล้เคียงปีที่ผ่านมาในอัตรา 8-10% ปัจจุบันวัตถุดิบหลายรายการกำลังการผลิตยังไม่กลับมา และมีปัญหาด้านการขนส่ง ทำให้ต้องหาสินค้าทดแทนมาใช้ ซึ่งบางรายการก็มีราคาที่แพงกว่า โดยภาพรวมแล้วคาดว่าราคาบ้านจะขยับ 3-5% แต่บริษัทคงไม่ได้ปรับขึ้นทันทีหรือได้มากนัก เพราะคงต้องดูตลาดและการแข่งขันด้วย" นายนพร กล่าว
ด้านนายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ส่วนรายได้และกำไรสุทธิในปีนี้คาดว่าจะเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักจากปีที่ผ่านมา ซึ่งยอดรับรู้รายได้จากการขายบ้านและคอนโดมิเนียมในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตราว 8%ปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) ประมาณ 4,600 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ปีนี้ประมาณ 4,000 ล้านบาท และที่เหลือ 600 ล้านบาท จะรับรู้รายได้ในปี 2556 ส่วนรายได้จากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ในปีนี้น่าจะทำได้ 1,590 ล้านบาท หรือเติบโต 150% จากปี 2554 ที่มีรายได้ค่าเช่า 637 ล้านบาท ขณะที่มีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทย่อยเข้ามาอีก 1,100-1,300 ล้านบาท หรือเติบโต 30% โดยสัดส่วนกำไรปีนี้คาดว่า จะมาจากธุรกิจหลัก 70% และอีก 30% เป็นส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทย่อย ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมมูลค่า 22,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.7% จากปี 2554 ที่มียอดขายรวมอยู่ที่ 19,185 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,709
29 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 31 มกราคม 2012, 20:35:43
 ศูนย์ข่าวขอนแก่น -คณะทำงานตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวขอนแก่น เล็งชงเรื่องเข้า ครม.สัญจร ที่ จ.อุดรธานี 21-22 ก.พ.นี้ หวังของบศึกษาและจัดทำพิมพ์เขียว เบื้องต้น 50 ล้านบาท พร้อมโฟกัสพื้นที่ตั้งนิคมฯโซนทิศใต้และทิศตะวันตกของเมืองขอนแก่น เผยเปิดให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นนำเสนอพื้นที่เหมาะสม มั่นใจโอกาสเกิดนิคมอุตสาหกรรมที่ขอนแก่นกว่า 70% แม้มีคู่แข่งหลายจังหวัด
       
       นายวิฑูรย์ กมลนฤเมธ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น ในฐานะคณะกรรมการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว เปิดเผยว่า คณะทำงานจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวจังหวัดขอนแก่น ที่มี นายสมบัติ ตรีวัฒน์สุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เป็นประธาน มีมติที่จะนำแผนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวจังหวัดขอนแก่น เข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุม คณะรัฐมนตรีสัญจรครั้งที่ 2 ที่ จ.อุดรธานี ระหว่างวันที่ 21-22 กุมภาพันธ์นี้
       
       คณะทำงานจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวขอนแก่น จะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีสัญจร พิจารณาเรื่องจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว ขึ้นในพื้นที่ จ.ขอนแก่น โดยจะมีการขอจัดสรรงบประมาณศึกษาในทุกๆด้าน พร้อมกับจัดทำพิมพ์เขียว ซึ่งต้องใช้งบดำเนินการไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท
       
       สำหรับพื้นที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวขอนแก่น คณะทำงานได้ข้อสรุปเบื้องต้น จะเลือกใช้พื้นที่โซนด้านทิศตะวันตก และทิศใต้ จากตัวอำเภอเมืองขอนแก่นเท่านั้น เป็นที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว โดยด้านทิศตะวันตกตั้งแต่อำเภอเมืองไปตามถนนหลวงหมายเลข 12 ไปจนถึงอำเภอภูเวียง มีความเหมาะสมเป็นเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจ EWEC มีการขยายเส้นทางเป็น 4 เลนไปจนถึง อ.แม่สอด จ.ตาก
       
       ส่วนด้านทิศใต้ ตามเส้นทางมิตรภาพฝั่งซ้าย ตั้งแต่อำเภอเมือง อำเภอบ้านแฮด ลงไปจนถึงอำเภอบ้านไผ่ เป็นพื้นที่น้ำท่วมไม่ถึง ซึ่งมีความเหมาะสมด้านการคมนาคมขนส่ง เป็นถนนสายหลักมุ่งสู่พื้นที่ภาคกลาง ในอนาคตจะมีการพัฒนาเส้นทางรถไฟรางคู่ มีคอนเทนเนอร์ ยาร์ด ที่ท่าพระ อำเภอเมืองขอนแก่น
       
       นายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ไม่เลือกพื้นที่โซนทิศเหนือ ด้านอำเภอน้ำพอง อำเภอกระนวน เพราะเคยมีการผลักดันจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมมาก่อนหน้าแล้ว ซึ่งเกิดปัญหามวลชนในพื้นที่ต่อต้านมาก ขณะที่โซนด้านทิศตะวันออกของอำเภอเมืองขอนแก่น มีพื้นที่จำกัดจะเข้าไปในเขตจังหวัดมหาสารคาม จึงเป็นพื้นที่ไม่เหมาะสม
       
       สำหรับพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการจัดตั้งเป็นนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว จังหวัดขอนแก่น จะต้องเป็นพื้นที่ผืนใหญ่ไม่ต่ำกว่า 1,500 ไร่ จนถึง 2,000 ไร่ เป็นพื้นที่น้ำท่วมไม่ถึง ไม่ใช่พื้นที่การเกษตรที่สำคัญ และการคมนาคมเข้าถึงพื้นที่สะดวก ไม่ห่างจากถนนสายหลัก โดยคณะทำงานจะเปิดรับพิจารณาพื้นที่จากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้ง อบต.เทศบาล สามารถนำเสนอพื้นที่ที่เหมาะสมต่อคณะทำงานพิจารณาได้
       
       พื้นที่ผืนใหญ่ที่จะมาตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวนั้น ไม่จำเป็นว่าต้องพื้นที่ของรัฐ สามารถจัดซื้อพื้นที่เอกชนผืนใหญ่ได้ เพราะการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมจะเป็นการร่วมลงทุนระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กับนักลงทุนที่สนใจ
       
       นายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า โอกาสที่จะเกิดนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว จังหวัดมีความเป็นไปได้สูงมากกว่า 60-70% เพราะขณะนี้โรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ถูกน้ำท่วม มีความต้องการจะย้ายโรงงานออกมายังภาคอีสานที่ปลอดภัยจากปัญหาน้ำท่วม มีจำนวนสูงมาก ขณะเดียวกันจังหวัดขอนแก่น ถูกเลือกจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้เป็นหนึ่งในสี่จังหวัดที่เหมาะต่อการตั้งนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งประกอบด้วย ขอนแก่น กาญจนบุรี เชียงราย และ อ.แม่สอด จ.ตาก
       
       อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ภาคอีสาน ณ ขณะนี้มี 4 จังหวัดที่มีโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมขึ้น ประกอบด้วย ขอนแก่น อุดรธานี มหาสารคาม และนครราชสีมา โดยแผนการดำเนินการผลักดันของจังหวัดขอนแก่น มีความคืบหน้ามากที่สุดเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นในภาคอีสาน ซึ่งมั่นใจว่า นิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคอีสาน น่าจะเกิดขึ้นไม่น้อยกว่า 1 จังหวัด

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000013968


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 02 กุมภาพันธ์ 2012, 23:03:57
ค้าชายแดนเชียงรายโตก้าวกระโดด6เท่าตัวสูงสุดในรอบ10ปี


วันพฤหัสบดีที่  2 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 22:59 น


นายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดเผยกับ"กรุงเทพธุรกิจ"ว่า การค้าชายแดนด้านจังหวัดเชียงรายในปี 2554 ที่ผ่านมา มีมูลค่ารวมกว่า 2.9 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2553 ที่มีมูลค่ารวม 2.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 41.25% แบ่งเป็นการส่งออก 2.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2553 ที่มีมูลค่ารวม 1.8 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 45.73% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 3.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2553 ที่มีมูลค่ารวม 3 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14.97% มูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้เดิม 15% ซึ่งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาการค้าชายแดนด้านจ.เชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีด่านชายแดนมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ คือ มีด่านถาวร 3 ด่าน และจุดผ่อนปรนชั่วคราวอีกประมาณ 10 จุด เพิ่มขึ้นจาก 5 พันล้านบาทเป็น 2 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 6 เท่าตัว และทุกด่านการค้าเกินดุลการค้าทั้งสิ้น

ทั้งนี้ การค้าชายแดนผ่านด่านการค้าที่จังหวัดเชียงรายเป็นการค้าระหว่าง 2 ประเทศ คือ ไทย-พม่า ไทย-ลาว และการค้าข้ามพรมแดนกับจีน โดยทุกแดนมีมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากตั้งแต่ปี 2552 ที่มีการเปิดใช้เส้นทางอาร์ 3 เอ เชื่อมไทย-ลาว-จีน ผ่าน อ.เชียงของ-ห้วยทราย-หลวงน้ำทา-บ่อเต็น-บ่อหาน -สิบสองปันนา-คุนหมิง อย่างเป็นทางการ และคาดว่าในปี 2556 เมื่อการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อมไทย-ลาว ผ่านอ.เชียงของ ก่อสร้างเสร็จมูลค่าการค้ายิ่งขยายตัวเพิ่มขึ้น

นายเฉลิมพล กล่าวว่า แม้มูลค่าการค้าจะเพิ่มขึ้นทุกปีแต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้ประกอบการยังนิยมใช้เส้นทางการขนส่งทางน้ำผ่านแม่น้ำโขงจากจีนมายังอ.เชียงแสน เพราะมีต้นทุนต่ำกว่าทางบก ขณะเดียวกันจากข้อมูลตัวเลขมูลค่าการค้าผ่านเส้นทางอาร์ 3 เอ เป็นผู้ประกอบการจีนที่นิยมใช้มากกว่าไทย สินค้าผ่านเส้นทางดังกล่าวจึงเป็นสินค้าที่นำเข้าจากจีนมากกว่าสินค้าไทยส่งออกไป

"ผมพยายามเรียกร้องให้ผู้ประกอบการไทยหันมาใช้เส้นทางอาร์ 3 เอในการขนส่งสินค้ามากขึ้นแทนการใช้เส้นทางน้ำ แม้มีต้นทุนถูกกว่าแต่ยังมีอุปสรรคหลายด้าน ทั้งการขนส่งที่ต้องวิ่งทวนกระแสน้ำขึ้นไป ร่องน้ำ ฤดูกาลของน้ำ ฯลฯ แต่ยอมรับว่าปัจจุบันเส้นทางอาร์3 เอยังมีอุปสรรคที่ผู้ประกอบการไทยบ่นกันอยู่ เช่น ต้องขนถ่ายสินค้าหลายทอด และระบบโลจิสติกส์ที่ยังไม่มีการทำข้อตกลง หรือ เอ็มโอยู่ กันอย่างชัดเจนระหว่าง 3 ประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการมองว่าการขนส่งผ่านเส้นทางนี้ยังมีความยุ่งยาก"นายเฉลิมพล กล่าว

ส่วนแนวโน้มการค้าในปี 2555 นี้ คาดว่ายังขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกับพม่าที่กำลังเดินหน้าเปิดตัวเพื่อรับการค้าและการลงทุน โดยปัจจุบันพบว่าที่จังหวัดตองอีของพม่ามีนักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนแล้วจำนวนมาก เพราะเมืองจังหวัดตองอีมีชายแดนติดกับจีน

นอกจากนี้ปัจจัยที่คาดว่าจะผลักดันให้มูลค่าการค้าขายแดนเพิ่มขึ้น คือ ผู้บริโภคในประเทศเพื่อนบ้านยังนิยมสินค้าโดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค ที่มีคุณภาพ ขณะเดียวกันแนวโน้มการค้ากับลาวก็มีแนวโน้นเพิ่มขึ้นจากการส่งออกเป็นหลัก เนื่องจากตัวเลขการส่งออกในรอบปีที่ผ่านมากับลาวเพิ่มขึ้นถึง 100% เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรที่มีเพียง 6 ล้านคน เป็นไปได้ว่าการส่งออกสินค้าไปลาวบางส่วนถูกส่งต่อไปจีนในนามของลาว ตามสิทธิการค้าที่มีพรมแดนติดกัน

http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=550888 (http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=550888)


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 03 กุมภาพันธ์ 2012, 22:38:58
LOGISTIC CORNER กรมเจ้าท่ากับ 4 นโยบายสำคัญปี 55

  ฉบับที่ 1272 ประจำวันที่ 4-2-2012  ถึง 7-2-2012 ]
 
“กรมเจ้าท่า” ได้จัดทำนโยบายเร่งด่วน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยมีนโยบายที่สำคัญ 4 นโยบาย ในปี 2555 ดังนี้

1.นโยบายด้านการส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและเร่งรัดขยายเขตพื้นที่ชลประทาน โดยเร่งให้มีการบริหารจัดการน้ำในระดับประเทศอย่างมีประสิทธิภาพให้สามารถป้องกันปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งได้ ฟื้นฟูการขุดลอกคูคลอง และแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีอยู่เดิม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำและการผลิต ได้แก่ งานขุดลอกฟื้นฟูแม่น้ำสายหลัก และแม่น้ำสาขาเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง เพื่อฟื้นฟูสภาพแม่น้ำสายหลักและแม่น้ำสาขา ให้เป็นพื้นที่ที่มีความ สามารถในการรองรับปริมาณน้ำ และระบายน้ำตามธรรมชาติได้สะดวกและรวดเร็วดียิ่งขึ้น

2.นโยบายเร่งนำสันติสุขในชีวิตและ ทรัพย์สินของประชาชนกลับมาสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม ได้แก่ การจ้างเหมาขุดลอกร่องน้ำชายฝั่งทะเลที่บริเวณต่างๆ (ร่องน้ำปัตตานี, ร่องน้ำนราธิวาส, สายบุรี, ร่องน้ำปานาเระ, บางมะรวด, บางพารา และไม้แก่น จ.ปัตตานี)

3.นโยบายเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อน บ้านและนานาประเทศ ตลอดจนการเชื่อม โยงเส้นทางคมนาคมขนส่งภายในและภายนอกภูมิภาค ได้แก่ การจัดสร้างท่าเรือ อเนกประสงค์คลองใหญ่ (ปี 2552-2555 วงเงินรวม 1,295.10 ลบ.) ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ, ท่าเรือเชียงแสนที่ 2 จ.เชียงราย (ปี 2552-2555 วงเงินรวม 1,546.40 ลบ.) ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนิน การ, จัดหาระบบติดตามเรือสินค้าและเรือ โดยสารในเขตท่าเรือเชียงแสน จ.เชียงราย ขอตั้งงบประมาณปี 2555 แล้ว แต่ไม่ได้รับจัดสรร ซึ่งจะได้ขอตั้งงบประมาณปี 2556 มาดำเนินการต่อไป

4.นโยบายด้านการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง ระบบประปา และระบบไฟฟ้าให้กระจายไปสู่ภูมิภาคอย่างทั่วถึงเพียงพอ รวมทั้งส่งเสริมการประหยัดพลังงานและลดต้นทุนการขนส่งเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อม ทั้งสร้างโอกาสการกระจายรายได้ กระจาย เศรษฐกิจ และกระจายการลงทุนสู่ชนบท รวมทั้งกำกับดูแลอัตราค่าบริการที่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่และกลุ่มผู้ได้รับ ประโยชน์และการคุ้มครองผู้บริโภค ได้แก่

(1) การพัฒนาท่าเรือลอจิสติกส์ ได้แก่ งานก่อสร้างเขื่อนยกระดับในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน่านเพื่อการเดินเรือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการเดินเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน่าน, งานก่อสร้างท่าเรือที่จังหวัดชุมพร เพื่อการขนส่งเชื่อมโยงระหว่างภาคใต้ตอนบนและภาคตะวันออกเชื่อมไปสู่ฝั่งตะวันตก, งานก่อสร้างสถานีขนส่งสินค้าทางลำน้ำเพื่อการประหยัดพลังงาน จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้ดำเนินการแล้วเสร็จ อบต.ศาลาลอยอยู่ระหว่างการพิจารณาเข้าเป็นผู้บริหาร และการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกบริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนล่าง (ท่าเรือน้ำลึกสงขลา แห่งที่ 2 เพื่อรองรับการค้าระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น)

(2) งานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ เช่น การสร้างเขื่อน ท่าเรือ ขุดลอกร่องน้ำ และการกำกับดูแลการขนส่งทางน้ำ รวมทั้งการผลิตบุคลากรพาณิชยนาวี

ทั้งหมดนี้ เพื่อเจตนารมย์อันมุ่งมั่น ดังสโลแกนที่ว่า “เสริมสร้างความปลอดภัย พัฒนาทางน้ำก้าวไกล นำ พาณิชยนาวีไทยสู่สากล”

http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413357710


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 กุมภาพันธ์ 2012, 22:42:46
พาณิชย์หนุน 3 อำเภอเชียงรายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน


นายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่าจากการประชุมครม.สัญจร ที่จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2555 ซึ่งครม.มีมติเห็นชอบให้จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนแม่สาย เชียงแสน และเชียงของ ของจ.เชียงราย โดยศักยภาพพื้นที่ทั้ง 3 อำเภอชายแดนมีจุดเด่นและลักษณะพิเศษที่แตกต่างกัน โดยอำเภอแม่สาย มีศักยภาพด้านการค้า บริการ การท่องเที่ยว และแรงงานข้ามชาติ อำเภอเชียงแสน มีศักยภาพดเานการลงทุนในอุตสาหกรรมเกษตร และการท่องเที่ยวทางน้ำ และอำเภอเชียงของ มีศักยภาพด้านโลจิสติกส์ และอุตสาหกรรมการเกษตร การลงทุนเน้นทำในรูปคอนเทร็กฟาร์มมิ่งใน สปป.ลาว และนำกลับมาบริหารจัดการ หรือ ส่งออกไปยังจีนในลักษณะการค้าข้ามแดน

ทั้งนี้จังหวัดเชียงรายมีอำเภอชายแดนที่มีศักยภาพถึง 3 พื้นที่ซึ่งสามารถผลักดันและยกระดับให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนได้ เพราะมีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านถึง 2 ประเทศ คือ พม่า และ สปป.ลาว รวมทั้งยังมีการค้าข้ามพรมแดนกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ผ่านแม่น้ำโขงและเส้นทางอาร์ 3 เอ ที่เชื่อมระหว่าง ไทย-ลาว-จีน ผ่าน เชียงของ-ห้วยทราย-หลวงน้ำทา-บ่อเต็น-บ่อหาน-สิบสองปันนา-คุนหมิง

นายเฉลิมพล กล่าวว่า จ.เชียงราย เป็นส่วนสำคัญของระเบียบเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และส่งผลต่อจังหวัดต่างๆในภาคเหนือทั้ง 13 จังหวัด ที่อยู่ในแนวเส้นทางเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ หรือ นอร์ทเซ้าท์ อีโคโนมิก คอรีดอร์ ซึ่งข้อดีของเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแเดน คือ ทำให้ระบบการค้ามีความเป็นสากลและโปร่งใสมากขึ้น และยังแก้ไขปัญหาแรงงานเถื่อน รวมทั้งยังทำให้ต้นทุนของการลงทุนลดลงด้วย

อย่างไรก็ตามการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ระบบโลจิสติกส์มีความสำคัญมากพอสมควร โดยเฉพาะเส้นทางบกจากจ.เชียงรายเชื่อมไปยังพื้นที่ต่างๆในภูมิภาค การพัฒนาระบบโลจิกสติกส์ไม่ควรล่าช้าเนื่องจากขณะนี้ประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะจีนได้รุกเข้ามาแล้ว ซึ่งจีนมีความต้องการสินค้าจากไทยมาก และต้องการขยายเส้นทางออกไปสู่ทะเล เพราะจีนมีพื้นที่ที่สามารถเพาะปลูกได้เพียง 20%

http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=551428


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2012, 21:43:06
จากเวทีการประชุม กรอ.ภูมิภาค เชียงใหม่ ถึงกรอ.ภูมิภาค อุดรธานี

รัฐบาลในทุกยุคทุกสมัยต่างใช้กลไกของคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ในการพัฒนาและบริหารประเทศ ดังนั้น กรอ. ได้ถูกคาดหวังให้เป็นองค์กรที่มีหน้าที่ในการเสนอแนะนโยบายแนวทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางเศรษฐกิจ ซึ่งต่อมาได้ขยายออกไปสู่ภูมิภาคจังหวัดต่างๆ (กรอ.ภูมิภาค) เพื่อเสนอแนะนโยบาย แนวทางและมาตรการทั้งในด้านการแก้ไขปัญหาและพัฒนาเศรษฐกิจในจังหวัด
สำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ก็ได้ให้ความสำคัญต่อเวทีการประชุม กรอ.ภูมิภาค โดยผลของการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่1 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการนำเสนอสาระสำคัญ 5 ประเด็น ดังนี้
1.การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ (เสนอโดย กกร.) เช่นเสนอโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ การพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง เส้นทาง เชียงใหม่-เชียงราย การเร่วรัดแผนการพัฒนารถไฟทางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและการเพิ่มเส้นทางรถไฟ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ
2.การส่งเสริมการค้าและการลงทุน (เสนอโดย กกร.) มีการนำเสนอการยกระดับจุดผ่อนปรน 3 จุด (จุดผ่อนปรนกิ่วผาวอก เชียงใหม่ จุดผ่อนปรนห้วยต้นนุ่น แม่ฮ่องสอน และจุดผ่อนปรนบ้านฮวก พะเยา )เป็นจุดผ่านแดนถาวร นอกจากนี้มีการนำเสนอเร่งรัดการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อเป็นศูนย์การค้าบริการและการท่องเที่ยวและเป็นประตูสู่เพื่อนบ้าน
3.การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ (เสนอโดย กกร. และสทท.) เช่น โครงการ Year of MiCE ในปี 2556 โครงการจัดการศูนย์ประชุมและการแสดงสินค้านานาชาติ จ.เชียงใหม่ แนวทางการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในเขตผังเมืองรวมจังหวัดเชียงใหม่ โครงการฝึกอบรมภาษาต่างประเทศที่มีความจำเป็นให้กับมัคคุเทศก์อย่างต่อเนื่อง
4. การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (เสนอโดย กกร.) การเสนอโครงการสร้างฝายชะลอน้ำแบบบูรณาการ เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มน้ำยม และโครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรและป้องกันน้ำท่วมอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นเอกภาพ ทั้งนี้ที่ประชุมมีมติให้ กยน.รับข้อเสนอไปพิจารณาต่อไป
5.การพัฒนาตลาดทุนไทย (เสนอโดย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย) ได้นำเสนอเพิ่มข้อกำหนดเรื่องการยกเว้นภาษี ณ ที่จ่าย เงินปันผล ดอกเบี้ยให้กับบริษัทและกองทุนที่ลงทุนข้ามชาติ, โครงการการเงินขั้นพื้นฐานเพื่อผู้ประกอบการและประชาชนภาคเหนือตอนบน ,การส่งเสริมให้ตลาดทุนเป็นกลไกหลักในการระดมเงินทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ
สำหรับข้อเสนอของ กรอ. ทั้ง 5 ประเด็นในที่ประชุมได้รับข้อเสนอตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้ง1/2555 จังหวัดเชียงใหม่ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติที่ประชุมและรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ส่วนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งที่ 2 ณ จังหวัดอุดรธานี ในระหว่างวันที่ 21-22 กุมภาพันธ์ 2555 มีประเด็นที่ทาง กรอ.จะเสนอ ได้แก่ การพัฒนาโครงข่ายโลจิสติกส์ใน 4 เรื่อง โดยจะขอให้เร่งรัดโครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่กรุงเทพฯ – หนองคาย ให้เสร็จในปี 2562 สนับสนุนการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ - หนองคาย ปรับปรุงเส้นทางเลียบแม่น้ำโขง เส้นทางหมายเลข 211 และ 212 ก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายบ้านไผ่ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด และนครพนม เพื่อให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสอดรับกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งให้มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดนที่จังหวัดมุกดาหารและนครพนม พัฒนาอุตสาหกรรมเมือง ที่จังหวัดอุดรธานีและขอนแก่น โดยให้มีสิทธิเศษเท่ากับ 3 จังหวัดภาคใต้ พร้อมนำอีโคทาวน์เข้ามาประยุกต์ใช้
นอกจากนี้ต้องการให้ภาครัฐขยายการเปิดด่านสากลด้านนครพนม ท่าแขก จากเดิมปิดเวลา 18.00 น. เป็นเวลา 22.00 น. บริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรตามลุ่มน้ำโขง เลย ชี และมูล เพื่อใช้ความได้เปรียบด้านแรงโน้มถ่วงของภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้เป็นประโยชน์ ส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ โดยสนับสนุนการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง จังหวัดเลย การส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรบุคคล โดยเร่งรัดจัดตั้งมหาวิทยาลัยเฉลิมพระเกียรติที่จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาสครบรอบ 90 พรรษา ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยก่อสร้างให้เสร็จในปี 2556
เป็นที่น่าจับตามองถึงการนำเสนอและผลการประชุมครั้งนี้จะเป็นไปในทิศทางใด ซึ่งหากผลการประชุมออกมา ก็จะนำเสนอในโอกาสต่อไป

    
ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : วันวิศาข์ ภาคสุวรรณ์ / ส่วนผลิต   Rewriter : วันวิศาข์ ภาคสุวรรณ์ / ส่วนผลิต
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th


 วันที่ข่าว : 10 กุมภาพันธ์ 2555


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2012, 13:50:07
ผุดทางด่วนเชื่อมเมืองหลักกทพ.เตรียมของบฯ
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2012 เวลา 10:44 น.    กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ    อสังหา REAL


การทางพิเศษฯ เบนเข็มสร้างทางด่วนเชื่อมโยงหัวเมืองหลัก รองรับการแก้ไขปัญหาจราจรระยะยาว เตรียมชงของบศึกษา นำร่องทางด่วนเชียงใหม่เชื่อมลำปาง-เชียงราย-ลำพูน หลังแนวโน้มการจราจร วงแหวนรอบที่ 2 และ 3 เริ่มหนาแน่น   เล็งเก็บค่าผ่านทาง 20 บาทตลอดสาย  ชี้เปิดทางเอกชนร่วมลงทุน พื้นที่ภาคเหนือ ขณะที่ขอนแก่นก็เป็นจุดตั้งเชื่อมจังหวัดรอบข้าง  ส่วนเส้นทางลงสู่ภาคใต้ยืนยันเอาแน่ เตรียมว่าจ้างศึกษาช่วงพระราม 2-สมุทรสาครเร็วๆนี้
             นายอัยยณัฐ  ถินอภัย ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า กทพ.ได้หันไปรุกโครงการก่อสร้างทางด่วนพิเศษในพื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้น โดยเฉพาะตามพื้นที่หัวเมืองหลัก เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต นครสวรรค์ และพิษณุโลก ซึ่งจะต้องนำเสนอเพื่อของบประมาณเพื่อการศึกษาความเหมาะสมในปีต่อไป  ทั้งนี้เพราะเล็งเห็นว่าปัจจุบันสภาพการจราจรในแต่ละพื้นที่เริ่มหนาแน่นมากยิ่งขึ้น ประกอบกับสภาพถนนที่มีอยู่ปัจจุบันไม่สามารถขยายออกไปได้อีก ยกตัวอย่างเช่น พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่แม้ว่าจะมีการก่อสร้างถนนวงแหวนรอบที่ 1 รอบที่ 2 ไปแล้ว แต่ก็มีแนวโน้มว่าเริ่มที่จะรับมือสภาพการจราจรไม่ไหว ส่งผลให้การเดินทางจากเขตพื้นที่ชั้นในออกสู่นอกเมืองประสบปัญหาโดยเฉพาะการเชื่อมโยงไปสู่จังหวัดโดยรอบ เช่น ลำปาง เชียงราย และลำพูน ทั้ง ๆ ที่ห่างกันไม่มาก
             ประการสำคัญโครงการดังกล่าว ยังพร้อมเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศร่วมลงทุนเนื่องจากแต่ละเส้นทางต้องใช้งบลงทุนจำนวนมาก อีกทั้งยังคาดว่าจะมีนักลงทุนจากจีน เกาหลีและญี่ปุ่นให้ความสนใจเนื่องจากพบว่ามีประชากรของทั้ง 3 ประเทศอยู่อาศัยจำนวนมากในพื้นที่ภาคเหนือ นอกจากนั้นในเร็วๆ นี้ยังจะมีเส้นทางเชื่อมโยงต่างๆ ออกไปสู่จีนและประเทศอื่นๆ จากภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะหลังจากเปิดการค้าเสรีนับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป ดังนั้นจึงวางแผนรองรับไว้เนิ่น ๆ
             "ต้องการให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการเดินทางเข้า-ออกเมืองรวดเร็วขึ้น โดยไม่จำเป็นจะต้องไปสิ้นสุดในกลางใจเมือง  เพราะสามารถขยับพิกัดออกมาไว้ที่วงแหวนรอบใดรอบหนึ่งก็ได้ อีกทั้งปัจจุบันเส้นทางเข้าสู่เมืองถนนแต่ละสายที่มาจากเชียงราย ลำปาง หรือลำพูนมีความกว้างพอที่จะสร้างทางด่วนไว้ช่วงเลนกลางได้ น่าจะชักชวนให้ผู้ใช้รถใช้ถนนหันมาเลือกใช้ทางด่วนกันมากขึ้น เพราะจะจัดเก็บค่าผ่านทางราคาถูกเพียง 20 บาทตลอดสาย"
             นายอัยยณัฐ ยังกล่าวถึงจังหวัดขอนแก่นว่า ปัจจุบันสภาพการจราจรหนาแน่นไม่น้อยไปกว่าจังหวัดอื่น ๆ ที่เป็นหัวเมืองหลัก ดังนั้นจึงเตรียมศึกษาโครงการสร้างทางด่วนไปเชื่อมโยงกับจังหวัดในพื้นที่โดยรอบ เช่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ อุดรธานี และนครราชสีมา ปัจจุบันแม้จะมีถนนมิตรภาพเป็นเส้นทางหลักผ่านเมืองและยังมีจุดตัดแยกหลายแห่ง แต่ก็ยังพบว่ามีปัญหาจราจรหนาแน่น โดยเฉพาะรถบรรทุกในช่วงเวลาเร่งด่วนจึงต้องรีบแก้ไขปัญหาตั้งแต่วันนี้ วัตถุประสงค์ในเบื้องต้นจะก่อสร้างให้ผ่านในจุดที่มีชุมชนหนาแน่นเพื่อลดปัญหาจราจรในพื้นที่ดังกล่าว
             "เช่นเดียวกับอีกหลายๆพื้นที่ก็มีสภาพไม่แตกต่างกันในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นภูเก็ต นครสวรรค์หรือจังหวัดหลัก ๆ ทางภาคตะวันออกที่เป็นเมืองศูนย์กลางทางธุรกิจ มีรถบรรทุกขนาดใหญ่ใช้เส้นทางจำนวนมาก สมควรที่จะมีทางเลือกการเดินทางสำหรับผู้ที่ต้องการความรวดเร็ว ประหยัดเวลาและพลังงานให้เลือกใช้มากขึ้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเส้นทางยาวโดยจะต้องมีการศึกษาความเหมาะสมอีกครั้งพร้อมกับการเปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่ว่ามีความต้องการมากน้อยเพียงใด"
             นายอัยยณัฐ กล่าวเสริมถึงแผนโครงการก่อสร้างของกทพ.ในอนาคตอีกว่า ในพื้นที่โซนใต้ช่วงถนนพระราม 2  กทพ.ยังมีแผนที่จะก่อสร้างทางด่วนช่วงดาวคะนอง-บางขุนเทียน-สมุทรสาคร โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ 1.แนวสายทางเริ่มต้นที่จุดเชื่อมต่อทางพิเศษเฉลิมมหานครบริเวณดาวคะนองไปตามถนนพระราม 2 จนถึงถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก (ถนนกาญจนาภิเษก) ระยะทาง 8.8 กิโลเมตร ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมว่าจ้างที่ปรึกษารอบใหม่เพื่อทบทวนความเหมาะสมภายใต้งบประมาณ 30 ล้านบาท ส่วนช่วงที่ 2 นับตั้งแต่ถนนกาญจนาภิเษกถึงจังหวัดสมุทรสาครจะอยู่ในลำดับถัดไป
             นอกจากนั้นกทพ.ยังเตรียมปัดฝุ่นโครงการที่เคยศึกษาไว้มาเป็นโครงการลงทุนใหม่ เพื่อให้การเชื่อมโยงกรุงเทพฯ ไปสู่เส้นทางภาคต่างๆ มีความเป็นไปได้มากขึ้นโดยเฉพาะสร้างเส้นทางจากดาวคะนองไปสิ้นสุดเส้นทางที่อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ระยะทางประมาณ 28 กิโลเมตร โดยจากผลการศึกษาที่ กทพ.เคยมีการศึกษาไว้มีวงเงินลงทุนเบื้องต้น 13,700 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้าง(ไม่รวมกับเงินที่จะใช้ในการเวนคืน) 5,000 ล้านบาท ค่าออกแบบ 144 ล้านบาท และค่าควบคุมงานก่อสร้างอีก 344 ล้านบาท
             นายอัยยณัฐ กล่าวต่อไปว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้กทพ.ยังนำเสนอแผนแม่บทแก่คณะทำงานโครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม และพลังงานให้กับสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ได้เข้าพบหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาโครงข่ายทางพิเศษ เพื่อรองรับการคมนาคมขนส่งของประเทศ และยืนยันว่ากทพ.มีความมุ่งมั่นและความพยายามที่จะอำนวยความสะดวกและแก้ไขปัญหาการเจรจาให้กับประชาชนทั่วประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรและเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
             โดยนำเสนอแผนการดำเนินงานโครงการทางพิเศษในอนาคตจำนวน 2 แผนแม่บท คือ แผนแม่บททางพิเศษในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และแผนแม่บททางพิเศษระหว่างจังหวัด โดยแผนแม่บททางพิเศษในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล นั้นมีระยะเวลาดำเนินการในช่วงปี 2553-2563 จำนวน 4 โครงการ คือ 1.โครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันตก 2.โครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N1+N2+N3, E-W Corridor ด้านตะวันออก 3.โครงการทางพิเศษสายดาวคะนองวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันตก และ 4.โครงการทางพิเศษสายศรีรัช-ดาวคะนอง
             สำหรับแผนแม่บททางพิเศษระหว่างจังหวัดมีทั้งสิ้น 5 โครงการ คือ 1.โครงการทางพิเศษสายบูรพาวิถี-พัทยา 2. โครงการทางพิเศษสายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันออก-สระบุรี 3.โครงการทางพิเศษสายบางปะอิน-ป่าโมก-นครสวรรค์ 4.โครงการทางพิเศษสายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันตก-นครปฐม และ 5.โครงการทางพิเศษสายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันตก-ปราณบุรี-ประจวบคีรีขันธ์

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,713   12-15  กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

 


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2012, 14:06:41
ก.ท่องเที่ยวเพิ่งตื่น เปิดเวทีปูพื้นฐาน AEC จับมือ 6 มหาวิทยาลัยปั้นบุคลากร

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   19 กุมภาพันธ์ 2555


กระทรวงการท่องเที่ยว เพิ่งตื่น จัดสัมมนา ให้ความรู้และทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการ ข้าราชการ พร้อมรับมือศึกเปิดเสรีอาเซียน ยัน 32 ตำแหน่งงานด้านท่องเที่ยว ไทยจะเปิดก็เมื่อพร้อม ล่าสุด จับมือกระทรวงศึกษา วาง 6 มหาวิทยาลัย เป็นเครือข่าย ปั้นบุคลากร คลุมทุกภาคทั่วประเทศ

นางธนิฎฐา เศวตศิลา มณีโชติ รองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในเดือนมีนาคมนี้ กระทรวงจะมีการจัดสัมมนา การจัดทำข้อตกลงร่วมกันด้านคุณสมบัติที่เป็นมาตรฐานกลางของผู้ประกอบวิชาชีพ (Mutual Recognition Arrangements -MRAs) เพื่อปูพื้นฐานความรู้ให้แก่ข้าราชการและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ในการเตรียมพร้อมเข้าสู่การเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 ซึ่งถือเป็นการจัดสัมมนาเชิงวิชาการเรื่องAEC ครั้งแรก ของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ

“ เราควรจะจัดสัมมนาให้ความรู้ผู้ประกอบการ ข้าราชการมานานแล้ว แต่ยังขาดเรื่องงบประมาณ ปีนี้กระทรวงพอมีงบประมาณ เพื่อเตรียมตัว เรื่อง AEC จึงเป็นความสำคัญของการให้ความรู้แก่ผู้ที่อยู่ในวงการอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จึงถือเป็นสัมมนาครั้งใหญ่ที่กระทรวงจะจัดให้มีขึ้น เป้าหมายเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจ และตกลงยอมรับร่วมกัน ในเงื่อนไขของการเปิดเสรีอาเซียน ที่จะมีขึ้นในปี 2558 นี้ โดยมีผู้ที่เกี่ยวข้องหรือสเต็คโฮลเอดร์ มาร่วมรับฟัง ซึ่งในธุรกิจท่องเที่ยว มี 32 ตำแหน่งงาน ที่จะต้องเปิดเสรีเช่น พนักงานโรงแรม พนักงานต้อนรับ พนักงานซักรีด แม่บ้าน มัคคุเทศก์ ฯลฯ แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องเปิดในคราวเดียวกันทั้งหมด แต่ควรจะเปิดเมื่อเรามีความพร้อม ที่จะแข่งขันอย่างเต็มที่ และสามารถหาประโยชน์จากการเปิดเสรีนี้ได้จริง เพราะขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของกลุ่มประเทศอาเซียน”

รูปแบบการสัมมนา จะมีวิทยากร จากหลายสาขาที่เกี่ยวข้อง ทั้งนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญจากกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงานฯและกระทรวงศึกษา มาร่วมบรรยายให้ความรู้แก่ข้าราชการและผู้ประกอบการ จุดประสงค์หลัก เพื่อต้องการให้คนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรู้ว่า การเปิดเสรีอาเซียน ของ 32 ตำแหน่งงานด้านการท่องเที่ยว มีกระบวนการอย่างไร พร้อมอัพเดทการทำงานของเครือข่าย คือ มหาวิทยาลัยต่างๆ ทำงานด้านการให้ความรู้แก่บุคคลากรไปมากแค่ไหนแล้ว

ล่าสุด กระทรวงการท่องเที่ยว ยังได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ จัดหลักสูตรการเรียนการสอน บรรจุไว้ในมหาวิทยาลัย ซึ่ง มีการเซ็นสัญญาความร่วมมือไปแล้ว กับมหาวิทยาลัย 6 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ได้แก่ วิทยาลัยดุสิตธานี กรุงเทพ, มหาวิทยาลัยบูรพา ครอบคลุมภาคตะวันออก, มหาวิทยาลัย ราชภัฏพะเยา ครอบคลุมภาคเหนือ, มหาวิทยาลัย ราชภัฏมหาสารคาม ครอบคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมหาวิทยาลัยสงขลา ครอบคลุมภาคใต้ ทั้ง 6 มหาวิทยาลัย ดังกล่าว จะเป็นเครือข่ายของกระทรวงการท่องเที่ยว ในการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร

นางธนิฎฐา กล่าวอีกว่า นอกจากนั้น ในวันที่ 11-14 มิถุนายน 55 กระทรวงฯ เตรียมเป็นเจ้าภาพ จัดประชุมแม่โขวทัวร์ริสซึ่ม ฟอร์รัม เป็นการประชุมระดับผู้ปฎิบัติการ เช่น คณะทำงานและอธิบดี ในกลุ่มความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ที่จังหวัดเชียงราย สาระการประชุม จะเป็นเรื่องการเตรียมความพร้อม เปิดเสรีอาเซียน ควบคู่ไปกับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ในกลุ่ม GMSเพื่อให้ได้ประโยชน์จากการเปิดเสรีนี้ด้วย

http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9550000022806


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: SK ที่ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2012, 12:09:28
มีเนื้อหา สาระดีน่าติดตามทั้งนั้นเลยค่ะ ขอให้โครงการสำเร็จเร็วค่ะ


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2012, 19:13:19
เชียงราย - เริ่มแล้วงานชาติพันธุ์สีสันโลก เมืองพ่อขุนฯ เปิดข่วงวัฒนธรรมจัดเต็มถึง 25 กุมภาฯนี้ ระดมกลุ่มชาติพันธุ์ทั่วโลกขึ้นเวทีโชว์วิถีวัฒนธรรม - ดนตรี ร่วมเฉลิมฉลอง 750 ปีเมืองเชียงราย

(http://pics.manager.co.th/Images/555000002632702.JPEG)


       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา (23 ก.พ.55) นายสุรชัย ลิ้นทอง รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้เป็นประธานเปิดงานเทศกาลชาติพันธุ์สีสันโลก ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย บริษัทสิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด นายทอดด์ ทองดี ลาเลลล์ ศิลปินชื่อดัง ฯลฯ ร่วมกันจัดขึ้น ณ ข่วงวัฒนธรรม สวนไม้งามริมกก ต.ริมกก อ.เมืองเชียงราย ระหว่างวันที่ 23-26 ก.พ.55
       
       การเปิดงานและกิจกรรมในค่ำคืนแรก มีกลุ่มศิลปวัฒนธรรมและศิลปินชั้นนำของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในประเทศไทยเข้าร่วมทั้ง 16 ชนเผ่า เช่น อาข่า มูเซอ กะเหรี่ยง ซาไกจาก จ.พัทลุง
       
       นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์จาก 4 ทวีปของโลก ซึ่งประสานงานโดยทอดด์ ทองดำ ลาเลล์ เดินทางไปร่วมและแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชมครบครัน เช่น เผ่าอะบอลิจิ้นจากประเทศออสเตรเลีย เผ่าอาข่าจากประเทศจีน เผ่าลาหู่จากประเทศเมียนมาร์ ศิลปินไทยลื้อจากเมืองสิบสองปันนา ประเทศจีน ศิลปินจากประเทศอินเดีย ดนตรีจากคองโก-แอฟริกา และชนเผ่าอินเดียแดงและคณะดนตรีชาติพันธุ์จากสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
       
       โดยแต่ละชนเผ่าต่างมีการจัดแสดงเรื่องวิถีชีวิต เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ทางข่วงวัฒนธรรมมีสถานที่สำหรับตั้งเป็นบ้านอยู่โดยรอบ เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมวิถีวิชีวิตชนเผ่าต่างๆ อย่างพร้อมเพรียงอยู่แล้ว สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์จากต่างประเทศ ก็มีการจัดเป็นที่พักชั่วคราว เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ซึ่งดูมีสีสันแปลกตาสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างมาก
       
       ขณะที่บนเวที ก็มีกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ สลับการแสดงดนตรีกับคณะนักเรียนใน จ.เชียงราย เช่น กลุ่มศิลปินชื่อจาก 4 ภาค นำโดยหงา คาราวาน ,ลานนา คัมมินส์ ,หลวงไก่ คณะจำอวดหน้าม่าน ฯลฯ
       
       นอกจากนี้ มีการจัดสัมมนาเรื่องสีสันเชียงรายกับทอดด์ ทองดี ลาเลล์ และ Kevin Locke ศิลปินอินเดียแดง- การแสดงจากหลากหลายทั้งจากนักเรียนใน จ.เชียงราย -Panjabi Academy จากประเทศอินเดีย -เผ่ามี่ซู ลัวะ เมี่ยน ม้ง ในชุด World Colors - การแสดงดนตรีจาก Ngoma Za Kongo ทวีปแอฟริกา - สุดยอดศิลปินชาวลาหู่ -การแสดงดนตรีจากวงคาราวาน
       
       และในคืนวันนี้ (24 ก.พ.55) จะมีการสัมมนาสีสันไทยสีสันโลกกับอเมริกา การแสดงดนตรีจากนักเรียนใน จ.เชียงราย ชนเผ่าไทลื้อ ลีซู ไตหย่า ปกาเกอญอ สีสันโลก ณ อีสาน เผ่า New Aborigine ประเทศออสเตรเลีย สุดยอดศิลปินไทลื้อจากเขตสิบสองปันนา ประเทศจีน และ Los Pleneros de la 21 (LP21) 1จากประเทศสหรัฐอเมริกา และดนตรีจากหลวงไก่
       
       ส่วนวันสุดท้าย (25 ก.พ.55) เป็นการแสดง Acoustic World การแสดงจากโรงเรียนต่างๆ และ Kevin Locke ศิลปินอินเดียแดง การแสดงชนเผ่าอาข่าจากประเทศจีน การแสดง "รุ้ง ล้านนาโลก" จากทอดด์ ทองดี การแสดงจากไทเขิน อาข่า ไทใหญ่ ไทยยวน และดนตรีจากศิลปินชาวเหนือชื่อดัง ลานนา คัมมินส์ และ Anfro-Aussie Chiangrai Jam การแสดงจากเผ่าลาหู่ ดาราอั้ง ภูไท เผ่าขมุ การแสดงตีกลอง สุดยอดศิลปินชาวม้ง Panjabi Academy จากประเทศอินเดีย ดวลกับชาติพันธุ์เชียงราย จำอวดหน้าม่าน และ LP 21& World Colors Super Jam ฯลฯ
       
       นางรัตนา จงสุทธนามณี นายก อบจ.เชียงราย กล่าวว่า งานนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและอนุรักษ์เผยแพร่ศิลปะวัฒนธรรมของชนเผ่าต่าง ๆ ให้ปรากฏต่อสายตาผู้คนไปทั่วโลก ขณะเดียวกันยังเป็นการเฉลิมฉลองการก่อตั้งเมืองเชียงรายครบ 750 ปี ในปี ซึ่งนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปสามารถเดินทางไปเข้าชมโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000025046


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2012, 17:25:00
รัฐบาลจีนให้"เอ็กซิมแบงก์"ปล่อยกู้ไทย สร้าง"ไฮสปีด เทรน"2.5แสนล.



 รัฐบาลไทย-จีน หารือแผนลงทุนโครงการ รถไฟความเร็วสูง พร้อมตั้งคณะกรรมการ ร่วมเพื่อมาเจรจาในกรอบความร่วมมือ ขณะที่ ธนาคารเพื่อการลงทุนและส่งออก เสนอตัวปล่อยกู้ ขณะที่ไทยยังไม่รับปาก ที่จะขอความช่วยเหลือ เผยเส้นทาง "เชียงใหม่-กรุงเทพฯ" เป็นแบบยกระดับ ใช้เงินลงทุน 2.5 แสนล้าน ขอเวลาศึกษาอีกไม่เกิน 3 เดือน คาดเริ่มก่อสร้าง ได้ในปีหน้า จะแล้วเสร็จภายใน 4 ปี ที่กระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นายเฉิน เจี๊ยน รมช.คมนาคม สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้เดินทางเข้าเยี่ยมคารวะ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.คมนาคม พร้อมหารือถึงแนวทางการร่วมมือการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง(ไฮสปีด เทรน) ในประเทศไทย ซึ่งทางจีนมีความสนใจที่จะเข้าร่วมในการ พัฒนา 2 เส้นทาง คือ เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ-หนองคาย

 ขณะที่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมช.คมนาคม กล่าวว่า การหารือร่วมกับ ทางรัฐบาลจีนในครั้งนี้เน้นในเรื่องเทคนิคการก่อสร้าง และมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็น การก่อสร้างในรูปแบบยกระดับทั้งหมด เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม และหากก่อสร้างในระดับผิวดินนั้นอาจจะติดขัดใน เรื่องของจุดตัดต่างๆ ที่จะต้องยกระดับถนนที่ตัดผ่านให้เป็นสะพานข้าม รวมถึง การก่อสร้างระดับผิวดินจะเป็นการทำลาย วิถีชีวิตท้องถิ่นและระบบนิเวศน์ในพื้นที่ เนื่องจากการก่อสร้างนั้นจะต้องเป็นระบบปิดทั้งหมด ทำให้ผู้คนที่อยู่ทั้ง 2 ฝั่งไม่สามารถ ไปมาหาสู่กันได้เหมือนเดิม แต่การก่อสร้างในรูปแบบยกระดับนั้นจะทำให้มูลค่าการก่อสร้างนั้นสูงขึ้น โดยฝ่ายจีนได้คำนวณว่าการก่อสร้างดังกล่าวจะต้องใช้เงิน 750 ล้านบาทต่อกิโลเมตร ซึ่งทางการไทยมองราคาดังกล่าวสูงเกินไป

 สำหรับการก่อสร้างเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ซึ่งในเส้นทางดังกล่าว จีนเสนอให้ขนส่งผู้โดยสารอย่างเดียว และจะมีความเร็วสูงถึง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งจีนจะสามารถโชว์ศักยภาพของรถไฟได้เต็มที่ ซึ่งมูลค่าการก่อสร้างในโครงการดังกล่าวคาดว่าจะใช้งบประมาณ 2.5 แสนล้านบาท โดยภายหลังจาก คณะผู้แทนจากจีนเข้าพบ รมว.คมนาคม ในวันเดียวกันนี้แล้ว ทางจีนจะลงพื้นที่สำรวจแนวรถไฟของประเทศไทย โดยจะลงพื้นที่ในเส้นทางรถไฟกรุงเทพฯ-อยุธยา

 รมช.คมนาคม กล่าวว่า ที่ประชุม ทางรมช.พาณิชย์ของประเทศจีน ได้เชิญ ธนาคารเพื่อการลงทุนและการส่งออก หรือธนาคารเอ็กซิมแบงก์ของประเทศจีน เพื่อมาพูดคุยถึงกรอบเงินกู้ที่จะให้ไทย กู้ยืมเงินจากจีนในการก่อสร้างด้วย ซึ่งทางการไทยโดยกระทรวงคมนาคม ขอให้ มีการหารือเฉพาะในกรอบความร่วมมือการก่อสร้างด้านเทคนิคเท่านั้น

 "ทางการไทยมองว่าหากมีการเจรจาถึงเรื่องเงินทุนแล้วจะเป็นการผูกมัด ให้ไทยต้องมีการก่อสร้างร่วมกับจีนเท่านั้น แต่ไทยเห็นว่าควรเปิดกว้างให้กับประเทศ อื่นๆ ที่มีความสนใจที่จะลงทุนสามารถ เข้ามาเจรจาได้ด้วย"

 ด้าน พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช. คมนาคม กล่าวว่า รัฐบาลจีนมีความสนใจที่จะสร้างเส้นทางเชื่อมต่อกับไทย โดยจะเชื่อมต่อจากคุนหมิงของประเทศจีนมายังกรุงเทพฯ 3 เส้นทาง คือ

 1.เส้นทางคุนหมิง ผ่านประเทศพม่า และเข้ามาทางประเทศไทยทางจังหวัดเชียงราย ซึ่งเส้นทางดังกล่าว มีความเสี่ยง เนื่องจากประเทศพม่า มีปัญหาชนกลุ่มน้อยอยู่บริเวณดังกล่าว อาจก่อให้เกิดความไม่สงบ

 เส้นทางที่ 2 คือ เส้นทางจากประเทศไทยผ่านทางจังหวัดตากผ่านอำเภอแม่สอด ออกไปยังประเทศพม่า ผ่านประเทศปากีสถาน เข้าไปยังประเทศจีน เส้นทางดังกล่าวมีระยะทางที่ยาวมาก จึงมีความเป็นไปได้ยาก

 ส่วนเส้นทางที่ 3 หนองคาย ผ่านประเทศลาว สิ้นสุดที่ คุนหมิง ซึ่งเส้นทางนี้มีความเป็นไปได้และมีความเหมาะสมมากที่สุด

 ส่วนความคืบหน้าของการเจรจานั้น ไทยกับจีน ได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อ มาเจรจาในกรอบความร่วมมือในระดับเจ้าหน้าที่เพื่อทำงานร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย โดยฝ่ายไทยนั้นมีนายศิลปชัย จารุเกษม รักษาการปลัดกระทรวงคมนาคม และฝ่ายจีนมีอธิบดีกรมการรถไฟของจีนเป็นหัวหน้าคณะ โดยทั้ง 2 ฝ่าย จะร่วมกันศึกษาแนวทางความเป็นไปได้ในการก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูง ซึ่งตาม ปกติแล้วการศึกษารูปแบบนี้จะใช้เวลาในการศึกษาประมาณ 6 เดือน แต่ที่ผ่านมาทั้ง 2 ฝ่าย ได้ทำการศึกษาไว้บ้างแล้ว จึงคาดว่าจะสามารถลดระยะเวลาในการศึกษาไม่เกิน 3 เดือน

 ในการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง นั้นถือว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนของรัฐบาลและเป็นนโยบายหลัก ซึ่งทางรัฐบาลจะเร่งดำเนินการให้มีการเซ็นสัญญาก่อสร้างให้ได้ภายในปีนี้ ซึ่งหากเซ็นสัญญาก่อสร้างได้สำเร็จจะสามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จได้ ภายใน 4 ปี ทั้งนี้หากแบ่งสัญญาก่อสร้าง ออกเป็นหลายๆ สัญญาจะช่วยร่นเวลา การก่อสร้างให้สามารถก่อสร้างแล้วเสร็จภายในเวลา 2 ปี 6 เดือนเท่านั้น

http://www.naewna.com/news.asp?ID=302582


หัวข้อ: Re: รวมกระทู้ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 มีนาคม 2012, 09:45:55
AREA ชี้วิกฤติผังเมืองไทย 160 ผังหมดอายุไป 91ผังแล้ว แสดงถึงภาครัฐขาดการวางแผนใช้ที่ดิน



ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร AREA (ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส) ระบุว่า ผังเมืองที่ออกมาทั่วประเทศ 160 ผัง หมดอายุไปถึง 91 ผัง เท่ากับขาดการวางแผนการใช้ที่ดิน ทำให้เมืองขาดการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ
โดย AREA ได้รวบรวมข้อมูลพบว่า ขณะนี้ผังเมืองไทยหมดอายุไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว เท่ากับประเทศไทยขาดการวางผังเมือง จะสร้างความปั่นป่วนในการใช้ที่ดินในอนาคต พื้นที่ที่ครอบคลุมอยู่ในผังเมืองเป็นพื้นที่เพียงน้อยนิดในประเทศไทย และครอบคลุมเพียงส่วนน้อยของเขตเมืองทั่วประเทศ แต่ก็ยังหมดอายุไปเป็นจำนวนมาก
 
ถ้าในอนาคตกรมโยธาธิการและผังเมืองปล่อยให้ผังเมืองหมดอายุไปจนเกือบหมด อาจเกิดคำถามว่าบทบาทของกรมโยธาธิการและผังเมืองจะทำอะไรต่อไปในอนาคต
หากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่าผังเมืองหมดอายุไปเกิน 2 ปีจนไม่มีผลบังคับใช้แล้ว มีถึง 71 ผัง  ตามกฎหมายผังเมือง หากผังเมืองหมดอายุลง และร่างผังเมืองใหม่ยังจัดทำไม่เสร็จ  ทางราชการยังสามารถต่ออายุได้ครั้งละ 1 ปี 2 ครั้ง  หากเกินกำหนดนี้แล้ว ก็เท่ากับไม่มีผังเมืองในท้องที่ดังกล่าว ยกเว้นท้องถิ่นต่าง ๆ ออกข้อกำหนดของตนเองให้มีลักษณะคล้ายผังเมืองเดิมไว้ก่อน ซึ่งคงมีเพียงเมืองพัทยาที่ดำเนินการดังกล่าว แต่ผังเมืองพัทยาก็ครอบคลุมเกินพื้นที่เมืองพัทยา ดังนั้นองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่ผังเมืองพัทยาหมดอายุลง ก็ไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เช่นเมืองพัทยา
ผังเมืองที่หมดอายุไป 1 ปี มี 10 ผัง และหมดอายุไปเกือบ 2 ปีอีก 10 ผัง  หากไม่มีการดำเนินการใด ๆ โอกาสที่ผังเมืองเหล่านี้จะหมดอายุไปถาวรก็จะเกิดขึ้น
 
เมื่อผังเมืองหมดอายุ ก็จะกลายสภาพเป็นการไม่มีการบังคับใช้กฎหมาย  ท้องถิ่นส่วนใหญ่คงไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ทำให้ไม่มีการวางแผนการใช้ที่ดินใด ๆ และทำให้เกิดปัญหาการใช้ที่ดินที่ขาดประสิทธิภาพในอนาคต
ที่ผ่านมากรมโยธาธิการและผังเมืองให้ข้อมูลว่ากรมมีนโยบายให้ท้องถิ่นจัดทำผังเมืองเอง  แต่ท้องถิ่นบางแห่งก็ให้ข้อมูลว่า หากให้ท้องถิ่นดำเนินการเอง ท้องถิ่นก็ขาดบุคลากรและงบประมาณในการดำเนินงาน ส่วนเจ้าหน้าที่ผังเมืองในแต่ละจังหวัดก็มีจำนวนน้อย ไม่สามารถดำเนินการได้เช่นกัน   อาจมีพียงกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยาที่มีความพร้อมในการดำเนินการมากกว่า  ด้วยเหตุนี้ ผังเมืองจึงจะเป็นปัญหาที่บานปลายต่อไปในอนาคต
รายละเอียดพบว่า ผังเมืองที่หมดอายุ 9 ปี (2546) จำนวน 2 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองบ้านบึง  ผังเมืองรวมเมืองราชบุรี
ผังเมืองที่หมดอายุ 8 ปี (2547) จำนวน 5 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมชุมชนพิกุลทอง  ผังเมืองรวมเมืองหัวหิน  ผังเมืองรวมเมืองปัตตานี  ผังเมืองรวมเมืองบ้านโป่ง  ผังเมืองรวมเมืองลำพูน 
ผังเมืองที่หมดอายุ 7 ปี (2548) จำนวน 3 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองพล  ผังเมือง บริเวณอุตสาหกรรมและชุมชนแหลมฉบัง  ผังเมืองรวมเมืองชุมพร 
ผังเมืองที่หมดอายุ  6 ปี (2549) จำนวน 13 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองขอนแก่น  ผังเมืองรวมเมืองบ้านไผ่  ผังเมืองรวมเมืองเชียงใหม่    ผังเมืองรวมเมืองแม่สอด  ผังเมืองรวมเมืองปากพนัง  ผังเมือง ชุมชนจุฬาภรณ์  ผังเมืองรวมชุมชนคูคต  ผังเมืองรวมเมืองปราจีนบุรี  ผังเมืองรวมเมืองบางมูลนาก  ผังเมืองรวมเมืองหล่มสัก  ผังเมืองรวมเมืองแม่ฮ่องสอน  ผังเมืองรวมเมืองโพธาราม  ผังเมืองรวมเมืองสุพรรณบุรี 
ผังเมืองที่หมดอายุ 5 ปี (2550) จำนวน 15 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองท่าเรือพระแท่น  ผังเมืองรวมเมืองกาญจนบุรี  ผังเมืองรวมเมืองสุไหงโก-ลก  ผังเมืองรวมเมืองนราธิวาส  ผังเมืองรวมชุมชนตากใบ  ผังเมืองรวมเมืองน่าน  ผังเมืองรวมเมืองกบินทร์บุรี  ผังเมืองรวมเมืองชะอำ  ผังเมืองรวมเมืองลำปาง  ผังเมืองรวมเมืองอรัญประเทศ  ผังเมืองรวมเมืองหนองแค  ผังเมืองรวมเมืองสองพี่น้อง  ผังเมืองรวมเมืองอ่างทอง  ผังเมืองรวมเมืองป่าโมก  ผังเมืองรวมเมืองอำนาจเจริญ 
ผังเมืองที่หมดอายุ 4 ปี (2551) จำนวน 12 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองท่าใหม่  ผังเมืองรวมเมืองนครปฐม  ผังเมืองรวมเมืองนครพนม  ผังเมืองรวมเมืองนางรอง  ผังเมืองรวมเมืองแกลง  ผังเมืองรวมจังหวัดเลย  ผังเมือง ผังเมืองรวมสมุทรปราการ  ผังเมืองรวมเมืองกระทุ่มแบน  ผังเมืองรวมเมืองบ้านนาสาร  ผังเมืองรวมชุมชนเกาะพะงัน  ผังเมืองรวมเมืองหนองบัวฯ  ผังเมืองรวมเมืองลับแล 
ผังเมืองที่หมดอายุ 3 ปี (2552) จำนวน 21 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองกาฬสินธ์  ผังเมืองรวมเมืองจันทบุรี  ผังเมืองรวมเมืองสิงห์(ชัยนาท)-เมืองท่าซุง(อุทัยธานี)  ผังเมืองรวมชุมชนปากน้ำหลังสวน  ผังเมืองรวมเมืองหลังสวน  ผังเมืองรวมเมืองตราด  ผังเมืองรวมเมืองตาก  ผังเมืองรวมเมืองนครศรีฯ  ผังเมืองรวมเมืองบุรีรัมย์  ผังเมืองรวมเมืองสายบุรี  ผังเมืองรวมเมืองตะกั่วป่า  ผังเมืองรวมเมืองตะพานหิน  ผังเมืองรวมเมืองมหาสารคาม  ผังเมืองรวมชุมชนตะพง  ผังเมืองรวมเมืองบ้านหมี่  ผังเมืองรวมเมืองสงขลา  ผังเมืองรวมเมืองสมุทรสงคราม  ผังเมืองรวมเมืองอัมพวา  ผังเมืองรวมเมืองสุราษฎร์ธานี       
 
ผังเมืองที่หมดอายุ 2 ปี (2553) จำนวน 10 ผัง ได้แก่  ผังเมือง เมืองพัทยา  ผังเมืองรวมเมืองบัวใหญ่  ผังเมืองรวมเมืองทุ่งสง  ผังเมืองรวมเมืองปทุมธานี  ผังเมืองรวมชุมชนบางสะพาน  ผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมและชุมชน  ผังเมืองรวมเมืองลพบุรี  ผังเมืองรวมเมืองสะเดา  ผังเมืองรวมเมืองหาดใหญ่  ผังเมืองรวมชุมชนช่องแม็ก
 
ผังเมืองที่หมดอายุ 1 ปี 2554 จำนวน 10 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองกำแพงเพชร  ผังเมืองรวมเมืองชุมแพ  ผังเมืองรวมเมืองบางคล้า  ผังเมืองรวมเมืองตรัง  ผังเมืองรวมเมืองนครราชสีมา  ผังเมืองรวมเมืองสตูล  ผังเมืองรวมเมืองแก่งคอย  ผังเมืองรวมเมืองอุทัย  ผังเมืองรวมเมืองพิบูลมังสาหาร  ผังเมืองรวมเมืองอุบลราชธานี 

ผังเมืองที่จะหมดอายุปี 2555 จำนวน 20 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองขลุง  ผังเมืองรวมเมืองพนัสนิคม  ผังเมืองรวมเมืองชัยภูมิ  ผังเมืองรวมเมืองเชียงราย  ผังเมืองรวมเมืองโนนสูง  ผังเมืองรวมเมืองนนทบุรี  ผังเมืองรวมชุมชนบ้านแพรก-โรงช้าง-มหาราช  ผังเมืองรวมเมืองพะเยา  ผังเมืองรวมเมืองพังงา  ผังเมืองรวมเมืองพัทลุง  ผังเมืองรวมเมืองพิจิตร  ผังเมืองรวมเมืองเพชรบุรี  ผังเมืองรวมเมืองเพชรบูรณ์  ผังเมืองรวมเมืองยโสธร  ผังเมืองรวมเมืองร้อยเอ็ด  ผังเมืองรวมเมืองโคกสำโรง  ผังเมืองรวมชุมชนท่าเรือน้ำลึกสงขลา  ผังเมืองรวมเมืองสมุทรสาคร  ผังเมืองรวมชุมชนท่าลาน  ผังเมืองรวมเมืองสระบุรี 

ผังเมืองที่จะหมดอายุปี 2556 จำนวน 12 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองเสนา  ผังเมืองรวมเมืองมุกดาหาร  ผังเมืองรวมเมืองระยอง  ผังเมืองรวมเกาะสมุย  ผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร  ผังเมืองรวมเมืองฉะเชิงเทรา  ผังเมืองรวมเมืองนครนายก  ผังเมืองรวมชุมชนอ้อมใหญ่  ผังเมืองรวมเมืองหนองเสือ-คลองหลวง-ธัญญบุรี  ผังเมืองรวมชุมชนหินกอง-โคกแย้  ผังเมืองรวมชุมชนทับกวาง  ผังเมืองรวมเมืองสุรินทร์ 
ผังเมืองที่จะหมดอายุปี 2557 จำนวน 7 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองชุมแสง  ผังเมืองรวมเมืองท่าโขลง-คลองหลวง-รังสิต  ผังเมืองรวมเมืองพระนครศรีอยุธยา  ผังเมืองรวมเมืองสระแก้ว  ผังเมืองรวมเมืองพระพุทธบาท  ผังเมืองรวมเมืองสวรรคโลก  ผังเมืองรวมเมืองอุตรดิตถ์ 
ผังเมืองที่จะหมดอายุปี 2558 จำนวน 8 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองชลบุรี  ผังเมืองรวมเมืองชัยนาท  ผังเมืองรวมชุมชนโคกกลอย-ท้ายเหมือง  ผังเมืองรวมเมืองพิษณุโลก  ผังเมืองรวมเมืองระนอง  ผังเมืองรวมชุมชนเกาะแตน  ผังเมืองรวมเมืองอุดรธานี 
ผังเมืองที่หมดอายุปี 2559 จำนวน 18 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองกระบี่  ผังเมืองรวมชุมชนบางปะกง  ผังเมืองรวมเมืองห้วยยอด  ผังเมืองรวมชุมชนแหลมงอบ  ผังเมืองรวมเมืองตาคลี  ผังเมืองรวมเมืองนครสวรรค์  ผังเมืองรวมเมืองประจวบคีรีขันธ์  ผังเมืองรวมชุมชน กม.5  ผังเมืองรวมขุมชนท่าเรือ  ผังเมืองรวมเมืองแพร่  ผังเมืองรวมเกาะภูเก็ต  ผังเมืองรวมเมืองเบตง  ผังเมืองรวมเมืองยะลา  ผังเมืองรวมชุมชนบ้านเพ  ผังเมืองรวมเมืองศรีสะเกษ  ผังเมืองรวมเมืองสกลนคร  ผังเมืองรวมจังหวัดสิงห์บุรี  ผังเมืองรวมเมืองหนองคาย 
ผังเมืองที่หมดอายุปี 2560 จำนวน 4 ผัง ได้แก่  ผังเมือง ชุมชนบ้านเหล่า  ผังเมืองรวมเมืองกันตัง  ผังเมือง จังหวัดสระบุรี  ผังเมือง ชุมชนวิหารแดง

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1330685218&grpid=&catid=07&subcatid=0700


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 10:16:06
กรมศุลกากรติดเทอร์โบ รับมือค้าเสรี

วันอังคารที่ 06 มีนาคม 2012 เวลา 18:39 น.    กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ    การเงิน FINANCIAL    - การ
สมชาย พูนสวัสดิ์ผลพวงจากการเปิดเขตการค้าเสรีระหว่างภูมิภาคอาเซียน (AFTA) ต่อด้วยประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่ทำให้ประเทศสมาชิกต้องทยอยลดภาษีสินค้าเป็น 0% มากขึ้น ส่งผลต่ออัตราการจัดเก็บภาษีสินค้าเข้า-ออกของกรมศุลกากรซึ่งเป็นด่านหน้าของการค้าขายระหว่างไทยกับคู่ค้าทั่วโลกหดตัวลงเป็นมูลค่ามหาศาล
 เมื่อบทบาทการจัดหารายได้เข้าประเทศถูกบั่นทอน ทำให้กรมศุลกากรต้องจัดทัพใหม่เพื่อทำหน้าที่เป็นกองหนุนคอยควบคุมและป้องปรามสิ่งผิดกฎหมายที่จะลักลอบเข้ามา ควบคู่กับการอำนวยความสะดวกและส่งเสริมการขยายตัวทางการค้า หนุนให้ไทยสามารถคว้าโอกาสทองจากการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน แรงงานที่มีทักษะ รวมถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุนภายใต้ความเสรีทางการแข่งขันที่มีมากขึ้น
โดยนายสมชาย พูนสวัสดิ์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 กรมศุลกากรได้เตรียมความพร้อมใน 3 ด้าน คือ 1.การพัฒนาคุณภาพบุคลากร ทั้งการเสริมสร้างความรู้ ทักษะ ทัศนคติ และภาษา 2.การอำนวยความสะดวกตามแนวการค้าชายแดน ในแง่การปรับปรุงกฎหมายให้มีความทันสมัย สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับอาเซียน และ 3. การพัฒนาระบบไอทีให้มีความทันสมัยมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่อง National Single Window หรือ NSW ซึ่งเป็นระบบบูรณาการ การนำเข้า-ส่งออก และโลจิสติกส์ ณ จุดเดียว ผ่านการเชื่อมโยงข้อมูลออนไลน์ต่างๆ ได้แก่ ใบรับรอง ใบอนุญาตและข้อมูลการอนุญาตยกเว้นภาษีกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดขั้นตอนการปฏิบัติ
 "ยอมรับว่าการเข้าร่วม AEC และ AFTA อาจส่งผลกระทบทำให้การจัดเก็บภาษีของกรมศุลกากรลดลง แต่ยังยืนยันว่าการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2555 จะยังคงเป็นไปตามเป้าที่กำหนดไว้ที่ 105,000 ล้านบาท แม้ว่าในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ (ต.ค.54-ม.ค.55) การจัดเก็บรายได้อาจได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบการขนส่ง แต่ภายหลังสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย รวมถึงภาวะเศรษฐกิจเริ่มมีการฟื้นตัว จึงเชื่อมั่นจะสามารถจัดเก็บภาษีได้ตามเป้าหมาย"
++ทิศทางการค้าชายแดนยังสดใส
 ขณะเดียวกันเพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจการค้าของประเทศมีความก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนและเพิ่มความอยู่ดีกินดีของคนทั้งประเทศ กรมศุลกากรยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาช่องทางการค้าชายแดนมากขึ้น โดยจากข้อมูลในปีงบประมาณ 2554 มูลค่าการค้าชายแดนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีสัดส่วน 9.26% หรือคิดเป็นมูลค่า 1,270,722 ล้านบาท ของมูลค่าการค้ารวม 13,717,103.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2553 และ 2552 ที่มีมูลค่า 11,789,077.43 ล้านบาท และ 9,721,870.59 ล้านบาท ตามลำดับ แยกเป็นการส่งออก 785,324 ล้านบาท การนำเข้า 485,398 ล้านบาท แบ่งเป็นการค้าไทย-มาเลเซีย มีมูลค่า 897,852 ล้านบาท หรือ 70.7% การค้าไทย-พม่า มีมูลค่า 151,100 ล้านบาท หรือ 11.9% การค้าไทย-กัมพูชา มีมูลค่า 62,849 ล้านบาท หรือ 4.9% การค้าไทย-สปป.ลาว  มีมูลค่า 158,922 ล้านบาท หรือ 12.5%
 ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 2-4 มีนาคมที่ผ่านมา กรมศุลกากรได้นำคณะสื่อมวลชนไปศึกษาดูงานการอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างพรมแดนไทย-พม่า-ลาว ณ จ.เชียงราย โดยระบุถึงมูลค่าการค้าชายแดนภาคเหนือ ในปีงบประมาณ 2554 มีมูลค่า 72,228 ล้านบาท คิดเป็น 21.7% ของมูลค่าการค้าเขตชายแดนรวม โดยสินค้าส่งออกและนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า น้ำมัน ปิโตรเลียม และยานยนต์และส่วนประกอบ ขณะที่แนวโน้มการค้าชายแดนภาคเหนือในปี 2555 มองว่ายังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการค้าชายแดนในภาคอื่นๆ
++เร่งดำเนินโครงการต่อยอด
 อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นต่อยอดการค้าชายแดนที่ผ่านมารัฐบาลมีการดำเนินโครงการในการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนในแถบลุ่มน้ำโขง ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศและยุทธศาสตร์การค้าชายแดน เช่น ความร่วมมือโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน และไทย-จีน ความร่วมมือในการมุ่งสู่การเปิดเออีซี รวมถึงการปรับแผนภายในเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาคเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
 ส่วนโครงการที่เอื้ออำนวยต่อการค้าชายแดนทางลำน้ำโขง คือ1.โครงการก่อสร้างท่าเรือเชียงแสน 2 (ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน) ที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ซึ่งขณะนี้แล้วเสร็จกว่า 99% โดยกระทรวงคมนาคมคาดว่าจะเปิดให้บริการในวันที่ 1 เมษายนนี้ 2.โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงข่ายและระบบขนส่งทางรถไฟที่ช่วยลดต้นทุนด้านโลจิส ติกส์ อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการเชื่อมโยงระบบคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขงและประเทศจีน ซึ่งจะนำไปสู่การขยายตัวด้านการค้าชายแดนของประเทศ
 ขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างการสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) ซึ่งจะเชื่อมโยงจ.เชียงราย-บ่อแก้ว-คุนหมิง (ไทย-ลาว-จีน) ตามเส้นทางแนว R3A คาดแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนปี 2556
นอกจากนี้โครงการลงทุนของประเทศเพื่อนบ้าน เช่นรัฐบาล สปป.ลาว ได้ให้สัมปทานกับนักลงทุนจีนในนามบริษัท คิงโรมันฯ ซึ่งให้บริการบ่อนกาสิโน เป็นเวลา 99 ปี ซึ่งได้มีแผนพัฒนาพื้นที่ 28 ตารางกิโลเมตร เพื่อทำเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยมีทั้งการสร้างสนามบิน ศูนย์กระจายสินค้า ทำให้ทั้งด่านเชียงแสนและด่านเชียงของจะได้รับประโยชน์จากการส่งผ่านสินค้าจำนวนมากขึ้น ดังนั้น กรมศุลกากรจึงเร่งปรับปรุงด่านศุลกากรรองรับแผนดังกล่าว พร้อมกันนี้การเปิดประเทศพม่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ยังทำให้การค้าชายแดนในแถบ อ.แม่สอด จ.ตาก และอ.แม่สาย จ.เชียงราย มีความคึกคักมากขึ้นด้วยเช่นกัน
++อีกหน้าที่ป้องปรามสิ่งผิดกฎหมาย
 นายสมชาย กล่าวว่า กรมศุลกากรยังทำหน้าที่ดูแลการนำเข้าและส่งออกสินค้าโดยสิ่งผิดกฎหมาย โดยได้สั่งการให้ด่านศุลกากรในพื้นที่ภาคเหนือให้ความร่วมมือในการปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง เนื่องจากค่อนข้างมีความเสี่ยงต่อการลักลอบนำเข้าสิ่งเสพติดมากที่สุด โดยเฉพาะด่านศุลกากรแม่สาย จ.เชียงราย ที่มีพรมแดนติดกับพม่า ซึ่งให้ปรับเปลี่ยนวิธีการตรวจสอบสินค้าอย่างเข้มงวด 100% แทนการสุ่มตรวจ ด้วยการใช้เครื่องเอกซเรย์ตรวจทั้งสินค้าและบุคคลเข้าออก
 "แม้ที่ผ่านมาจะมีการเอกซเรย์สินค้าทุกรายการ แต่การลักลอบการนำเข้ายาเสพติดมักจะลักลอบตามตะเข็บชายแดนมากกว่าช่องทางผ่านด่านศุลกากร ดังนั้นจึงได้ปรับกลยุทธ์ด้วยการนำรถเอกซเรย์เคลื่อนที่ไปติดตั้งตามเส้นทางลำเลียงสินค้าลงภาคกลางที่จังหวัดลำพูนและลำปาง ด้วยการนำรถโมบายเครื่องเอกซเรย์ไปร่วมตรวจตามด่านสกัดของตำรวจทางหลวงโดยตรง เพื่อให้รถวิ่งผ่านเครื่องเอกซเรย์เน้นตรวจรถต้องสงสัยหรือที่มีสายรายงานมาและใช้เวลาตรวจไม่นานเพียง 3-4 นาทีเท่านั้น"

http://www.thanonline.com


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 10:54:20
ดีเดย์ 1 เม.ย. เปิดบริการท่าเรือเชียงแสน 2

กทท.พร้อมเปิดบริการ "ท่าเรือเชียงแสน 2" 1 เม.ย.นี้  เชื่อว่าหากเปิดท่าเรือแห่งใหม่แล้ว จะมีเรือมาใช้บริการเพิ่มขึ้น และมีมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน...

เมื่อวันที่ 8 มี.ค. นายเฉลิมชัย มีคุณเอี่ยม ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยถึงความพร้อมในการเปิดให้บริการท่าเรือแม่น้ำโขง เชียงแสน แห่งที่ 2 บริเวณปากแม่น้ำกก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงรายว่า ในวันที่ 1 เม.ย. นี้ ท่าเรือเชียงแสน 2 พร้อมเปิดให้บริการอย่างแน่นอน โดยขณะนี้มีปัญหาบ้างเล็กน้อย เช่น กรมเจ้าท่า ขุดลอกแม่น้ำ พบหินทำให้การขุดลอกลำบากขึ้น โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น กรมเจ้าท่า ด่านตรวจคนเข้าเมือง ด่านศุลกากร องค์การอาหารและยา จะย้ายไปอยู่ในท่าเรือแห่งใหม่ทั้งหมด และในวันที่ 20 -21 มี.ค. ผู้บริหารกระทรวงคมนาคม จะมาตรวจความพร้อมอีกครั้ง

"ตอนนี้รอกรมเจ้าท่า ประกาศที่จะให้เรือทุกลำต้องจอดในท่าเรือเชียงแสน 2 เท่านั้น ห้ามมีการจอดเรือตามชายฝั่งเหมือนตอนสมัยใช้ท่าเรือเชียงแสน 1 เพราะตอนนั้นท่าเรือเชียงแสน 1 มีพื้นที่จำกัด ทำให้แออัด แต่ท่าเรือแห่งใหม่ มีพื้นที่กว้างถึง 387 ไร่ 1 งาน 44 ตารางวา และเชื่อว่าหากเปิดท่าเรือแห่งใหม่แล้ว จะมีเรือมาใช้บริการเพิ่มขึ้น และมีมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน" นายเฉลิมชัย กล่าว

นายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า ขณะนี้กรมเจ้าท่าอยู่ระหว่างขุดลอกร่องน้ำบริเวณท่าเรือเชียงแสน 2 เพื่ออำนวยความสะดวกแก่เรือขนส่งสินค้าที่จะเข้ามาใช้บริการในท่าเรือเชียงแสน 2 คาดว่าจะสามารถดำเนินการทุกอย่างให้แล้วเสร็จ 100% ในวันที่ 20 มี.ค.นี้อย่างแน่นอน ส่วนการประชาสัมพันธ์เพื่อเชิญชวนเจ้าของเรือขนส่งสินค้า ขณะนี้กรมเจ้าท่ามีแผนการดำเนินงานอยู่แล้ว คาดว่าเมื่อทุกอย่างพร้อมจะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการเรือทั้งหมดรับทราบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ท่าเรือเชียงแสนมีมูลค่าการค้าชายแดน รวมปีละกว่า 11,000 ล้านบาท แยกเป็นการส่งออกประมาณ 9,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนไก่แช่แข็ง น้ำมันปาล์ม เครื่องดื่ม ฯลฯ นำเข้าประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลไม้และพืชผัก และสินค้าผ่านแดนประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยการค้าส่วนใหญ่เป็นการค้ากับจีน และใช้เรือสินค้าสัญชาติจีนเป็นหลัก ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ก็พบว่า มีการส่งออกแล้วกว่า 892,277,892.57 บาท และนำเข้า 39,999,775.67 บาท.

http://www.thairath.co.th/content/eco/243903


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 มีนาคม 2012, 11:46:54
เปิดเมกะโปรเจค"คมนาคม"ปี 55 เดินหน้าซื้อรถเมล์NGV 3 พันคัน ก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา-รถไฟฟ้า 10 สาย-รถไฟความเร็วสูงและรถไฟฟ้ารับเออีซี

วันที่ 9 มีนาคม 2555

เปิดโครงการเมกะโปรเจคแสนล้าน'คมนาคม'ปี55

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคณะกรรมาธิการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎรได้สรุปรายงานการชี้แจงแผนการดำเนินงานโครงการในปี พ.ศ. 2555 ของกระทรวงคมนาคม ระบุว่าในปี 2555 กระทรวงคมนาคมมีแผนการดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สำคัญด้านการขนส่งทางบก การขนส่งทางน้ำ การขนส่งทางอากาศ และการขนส่งทางราง ดังนี้

1. ด้านการขนส่งทางบก จะดำเนินโครงการจัดซื้อรถโดยสาร NGV จำนวน 3,183คัน ใช้วงเงินประมาณ 13,162 ล้านบาท คาดว่าหลังคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการแล้ว จะสามารถส่งมอบครั้งแรกได้ 1,000 คันภายในปี 2555 ส่วนรถประจำทางที่มีอยู่อีก 323 คัน จะนำมาปรับปรุงเครื่องยนต์

2. ด้านการขนส่งทางน้ำ จะดำเนินโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบาราจังหวัดสตูล ระยะที่ 1 วงเงินลงทุนประมาณ 12,434 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงคมนาคมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติโครงการ

ส่วนโครงการก่อสร้างเขื่อนยกระดับน้ำในแม่น้าเจ้าพระยาและแม่น้ำน่าน 2 แห่ง ที่อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ และอำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ใช้วงเงินประมาณ 14,442 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาเสนอครม.ให้ความเห็นชอบ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2559

3. ด้านการขนส่งทางอากาศ จะพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านคน/ปี เป็น 60 ล้านคน/ปี ใช้งบประมาณในการลงทุนประมาณ 62,503 ล้านบาท

โครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต เพื่อขยายขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารเป็น 12.5 ล้านคน/ปีใช้งบประมาณในการดำเนินการ 5,791 ล้านบาท

4. ด้านการขนส่งทางราง จะพัฒนารถไฟฟ้า 10 สายทาง โดยจัดให้มีการประกวดราคาให้แล้วเสร็จทุกโครงการในปี 2557 เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม(หมอชิต-สะพานใหม่) สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) สายสีแดง (บางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน/บางซื่อ-หัวลำโพง) , (รังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต) สายสีม่วง(บางซื่อ-ราษฎร์บูรณะ) สายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-บางกะปิ-มีนบุรี)

โครงการระบบรถไฟความเร็วสูงอยู่ระหว่างดำเนินการของบประมาณเพื่อศึกษาความเหมาะสมและออกแบบ 4 เส้นทาง คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2560 ได้แก่ สายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ , สายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา , สายกรุงเทพฯ-ระยอง ,สายกรุงเทพฯ-หัวหิน

โครงการรถไฟฟ้าสายใหม่เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)ดำเนินการศึกษา 2โครงการ คาดว่า จะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2556 คือ โครงการศึกษาและออกแบบเพื่อเตรียมการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย และโครงการศึกษาทบทวนผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายบัวใหญ่-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม

โครงการระบบรถไฟทางคู่ระยะทาง 873 กิโลเมตร จำนวน 6 เส้นทาง อยู่ระหว่างเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA)1 โครงการ คือ ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย โคงการที่อยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสมและออกแบบ 2 โครงการ ระยะทาง 352 กิโลเมตรช่วงชุมทางจิระขอนแก่น และช่วงประจวบคีรีขันธ์- ชุมพร ในปี 2555 จะได้งบประมาณเพื่อศึกษารายละเอียด 3โครงการระยะทาง 415 กิโลเมตร เส้นทางช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ

http://www.bangkokbiznews.com


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 มีนาคม 2012, 13:37:16
เรือจีนขึ้นราคาขนสินค้าผ่านน้ำโขง หลังน้ำแห้ง-ความปลอดภัยลด

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   9 มีนาคม 2555 13:26 น.   



       เชียงราย - เรือขนสินค้าจีนในแม่น้ำโขง ดาหน้าขึ้นค่าระวางสินค้าจากราคาเริ่มต้น 200 หยวน/ตัน ปรับเพิ่มเป็น 250 หยวน/ตัน หลังน้ำโขงแห้ง ต้องลดระวางสินค้า แถมความเชื่อมมั่นเรื่องความปลอดภัยลด ตั้งแต่เกิดเหตุสังหารหมู่ลูกเรือจีนปลายปี 54 ขณะที่นักธุรกิจจีนยันกลางวงสัมมนา หากจีนสร้างเขื่อนยักษ์กั้นโขงเสร็จ คุมน้ำได้ 100%หมดปัญหาน้ำโขงแห้งแน่
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย วันนี้ (9 มี.ค.55) ว่า สถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำโขงถือว่าเหือดแห้งลงอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้การขนส่งสินค้าทางเรือซบเซาลงถนัดตา ซึ่งถือเป็นปกติของทุกฤดูแล้ง แต่ปีนี้ได้รับผลกระทบเพิ่มจากความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยหลังเกิดเหตุการณ์กองกำลังติดอาวุธบริเวณสามเหลี่ยมทองคำโจมตีและยิงเรือสินค้าจีน 2 ลำทำให้ลูกเรือเสียชีวิต 13 ศพเมื่อวันที่ 5 ต.ค.54 ที่ผ่านมา และยังเคยเกิดเหตุการณ์รุนแรงตามมาอีกหลายครั้ง
       
       ทำให้มีเรือสินค้าจีนที่แล่นมาจากจีนตอนใต้-เชียงแสนระยะทาง 264 กิโลเมตร เข้าเทียบท่าเรือเชียงแสนน้อยมากโดยนานๆ ครั้งจะมีเรือแล่นเข้าออก แต่ก็มีระวางบรรทุกน้อยอย่างเห็นได้ชัด และมีเพียงเรือสินค้าเล็กสัญชาติ สปป.ลาว และเรือท่องเที่ยว ที่พอจะแล่นผ่านไปมาได้บ้างเท่านั้น
       
       ซึ่งผิดกับการขนส่งสินค้าทางบกที่ท่าเรือ อ.เชียงของ ที่อยู่ห่างจากเชียงแสนประมาณ 58 กิโลเมตร ที่มีการใช้แพขนานยนต์และเชื่อมกับท่าเรือในฝั่งเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ไปยังถนนอาร์สามเอไทย-แขวงบ่อแก้ว-แขวงหลวงน้ำทา-จีนตอนใต้ (ระยะทาง 254 กิโลเมตร) ที่คึกคักมากขึ้น เพราะผู้ประกอบการหันไปใช้บริการขนส่งสินค้าบางชนิดที่จำเป็นเร่งด่วนแต่ก็ต้องเสียต้นทุนค่าขนส่งสูงขึ้น



       นายพรเลิศ พรหมปัญญา ผู้ประกอบการท่าเรือเหนือสยามรุ่งเรือง บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน กล่าวว่า ปัจจุบันการเดินเรือในแม่น้ำโขงระหว่างไทย-สปป.ลาว ตั้งแต่สามเหลี่ยมทองคำ ไปจนถึงท่าเรือเชียงแสนในเขตเทศบาล ต.เวียงเชียงแสน เป็นไปด้วยความยากลำบาก บางแห่งน้ำลึกไม่ถึง 1-1.50 เมตร และโดยเฉพาะบริเวณเกาะดอนซาว สปป.ลาว ตรงกันข้ามบ้านสบรวก ต.เวียง เหลือร่องน้ำเดินเรือแค่ร่องเดียว ให้เรือทั้งขาขึ้นและล่องใช้ในการเดินเรือ
       
       ขณะที่เรือสินค้าไม่มีการแล่นเรือในช่วงนี้ เพราะปริมาณน้ำเหือดแห้ง ส่งผลต่อเนื่องทำให้ไม่มีใบพัดเรือขนาดใหญ่คอยตีทรายใต้น้ำให้กว้างขึ้น ทำให้เรือท่องเที่ยวก็ประสบความเดือดร้อนด้วยเช่นกัน
       
       ประกอบกับโครงการระเบิดเกาะแก่งในแม่น้ำโขงเมื่อหลายปีก่อน ได้ทำให้แก่งหินหักลงไม่โผล่เหนือน้ำให้เห็น เมื่อเรือเข้าไปแล่นก็ทำให้ไม่เห็นก้อนหินด้านบนแต่ใบพัดเรือไปถูกใส่หินที่ถูกระเบิดหักใต้น้ำทำให้เสี่ยงต่อความเสียหายด้วย
       
       ด้านนายประธาน อินทรียงค์ กรรมการผู้จัดการบริษัทสยามเช้าท์ไชน่า ลอจิสติกส์ จำกัด กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้วที่ในช่วงฤดูแล้งน้ำในแม่น้ำโขงจะเหือดแห้งลง และทำให้การขนส่งสินค้าทางเรือทำได้ไม่สะดวกเหมือนเดิมจนเป็นผลทำให้ปริมาณสินค้าลดลงและค่ารับจ้างขนส่งสินค้าของคนเดินเรือจีนเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมประมาณตันละ 50 หยวน
       
       โดยตามปกติเรือสินค้าจะเก็บค่าบรรทุกสินค้าจากผู้ประกอบการค้าขายตันละ 200-250 หยวน แต่หากเป็นช่วงนี้ก็จะเก็บเพิ่มขึ้นเป็นตันละ 250 หยวนขึ้นไป ขณะที่เรือสินค้าก็มีระวางบรรทุกน้อยลงจากเดิมเคยบรรทุกเที่ยวละ 200-300 ตันเต็มพิกัดก็ลดเหลือไม่ถึง 100 ตันเพื่อป้องกันความเสี่ยงในการเกยหาดทรายที่ตื้นเขิน
       
       "ก็ยังดีที่ช่วงฤดูแล้ง สินค้าจากจีนหมดฤดูเก็บเกี่ยวพอดี”



       โดยเฉพาะผลไม้ที่มีในช่วงนี้ โดยจะเหลือเพียงประเภทพืชผักที่นำเข้ามาเหมือนเดิม ส่วนสินค้าไทยก็ไม่มีมากเช่นกันโดยสินค้าใหญ่ๆ ก็จะมียางพาราซึ่งจำเป็นต้องใช้การบรรทุกครั้งมากๆ จึงจะคุ้มค่า ช่วงนี้ผู้ประกอบการส่งออกของไทยจึงถือโอกาสหยุดพักไปในตัว เพราะสินค้าขาล่องจากจีนก็น้อยอยู่แล้ว
       
       แต่สำหรับสินค้าเร่งด่วนก็จะส่งออกและนำเข้าทางถนนอาร์สามเอที่ อ.เชียงของ แทน ส่วนสินค้าอื่นต้องรอถึงฤดูน้ำหลาก เพราะไม่กล้าเสี่ยงกับต้นทุนขนส่งทางบกที่สูงกว่า เพราะการค้าขายนั้นค่าขนส่งโลจิสติกส์กินต้นทุนเข้าไปกว่า 10-20% แล้ว
       
       นายประธาน กล่าวอีกว่า ปัญหาอีกประการที่ทำให้การขนส่งทางแม่น้ำโขงไม่คึกคักเหมือนเดิมคือความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย หลังเกิดคดียิงลูกเรือสินค้าจีน 2 ลำ เสียชีวิต 13 ศพเมื่อวันที่ 5 ต.ค.54 ที่ผ่านมา แม้จะมีศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดในแม่น้ำโขง (ศปปข.) คอยดูแล แต่กองกำลังของไทยก็ดูแลได้เฉพาะในน่านน้ำไทยเท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่ไทย จีน พม่า และ สปป.ลาว จะหารือร่วมกันเพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาวต่อไป
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการจัดเสวนาเรื่อง "เปิดประตูเศรษฐกิจ...ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนเชื่อมการค้า GMS" ณ โรงแรมสยาม ไทรแองเกิ้ล อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ซึ่งมีนายพินิจ หาญพาณิชย์รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เช่น นายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า สถานเอกอัครราชทูต สาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ผู้บริหารส่วนราชการ องค์กรธุรกิจ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ฯลฯ เพื่อรองรับการเปิดใช้ท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ซึ่งจะเปิดใช้งานตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2555 เป็นต้นไป ณ ปากแม่น้ำกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน นั้น มีการหารือเกี่ยวกับระดับแม่น้ำโขงที่แห้งจนหลายฝ่ายเกรงว่าท่าเรือแห่งใหม่ที่รัฐบาลใช้งบประมาณกว่า 1,546.4 ล้านบาท ก่อสร้างมาตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค.2552 บนเนื้อที่ประมาณ 387 ไร่ 1 งาน 44 ตารางวาจะไม่สามารถใช้งานในฤดูแล้งได้ด้วย



       โดยนายพงษ์วรรณ จารุเดชา รองอธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวยืนยันว่า ก่อนการก่อสร้างท่าเรือแห่งใหม่ได้มีการศึกษาวิจัยในช่วงนั้นแล้วว่า ระดับน้ำในแม่น้ำโขงระหว่างท่าเรือแห่งที่ 1 ในเขตเทศบาลตำบลเวียงเชียงแสน กับท่าเรือแห่งที่ 2 จะมีระดับความลึกไม่น้อยกว่า 2-3 เมตร ณ วันที่ระดับน้ำต่ำสุด ซึ่งสามารถใช้เพื่อการขนส่งสินค้าทางเรือได้อย่างแน่นอน โดยท่าเรือแห่งใหม่จะมีระบบต่างๆ รองรับการขนส่งทางน้ำได้อย่างสมบูรณ์มากกว่าเดิมด้วย
       
       ขณะที่ตัวแทนนักธุรกิจจีนที่เข้าร่วมในการเสวนาระบุว่า ในอนาคตเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาเรื่องปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงอีก หากว่าทางประเทศจีนได้ก่อสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงแห่งใหม่คือเขื่อนเชี่ยววานแล้วเสร็จ เพราะเขื่อนแห่งนี้จะกักเก็บน้ำให้ได้มากพอที่จะควบคุมปริมาณน้ำ โดยจะทำให้น้ำขึ้นลงได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีปริมาณน้ำมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เรือสินค้าขนาด 300 ตันจะสามารถแล่นขนส่งสินค้าได้ตลอดทั้งปี จากเดิมที่ในฤดูแล้งจะมีเพียงเรือขนาด 50-100 ตันเท่านั้นที่แล่นในแม่น้ำโขงได้
       
       ทั้งนี้ ปัจจุบันการค้าชายแดนไทย-จีน-สปป.ลาว-พม่า ในแม่น้ำโขงผ่านศุลกากรเชียงแสนมีมูลค่าการค้ารวมประมาณ 11,000 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้าประมาณ 1,000 ล้านบาท และส่งออกประมาณ 9,000 ล้านบาท และสินค้าผ่านแดนประมาณ 1,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละประมาณ 200-300 ล้านบาท ซึ่งช่วงแม่น้ำโขงแห้งก็จะหันไปขนส่งสินค้าบางส่วนผ่านด่านศุลกากรเชียงของ ทำให้ในปีงบประมาณ 2554 มีมูลค่าการค้าที่เชียงของเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 8,199.5 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้ามูลค่า 2,268.3 ล้านบาท และส่งออก 5,931.1 ล้านบาท



       รายงานข่าวแจ้งอีกว่าในปัจจุบันปริมาณน้ำในแม่น้ำโขง ถูกระบุว่า ไหลมาจากจีนคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 16-20% ของปริมาณน้ำของแม่น้ำโขงทั้งหมด โดยจีนมีการสร้างเขื่อนหลายแห่งได้แก่ เขื่อนมันวาน สูง 126 เมตร กำลังผลิตไฟฟ้า 1,500 เมกกะวัตต์ แล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1996
       
       เขื่อนต้าเฉาชาน สูง 110 เมตร กำลังผลิตไฟฟ้า 1,350 เมกะวัตต์ กำลังก่อสร้างตั้งแต่ปี 2003 เขื่อนจิ่งหง สูง 118 เมตร กำลังผลิตไฟฟ้า 1,500 เมกะวัตต์ แล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ.2009 ตั้งอยู่ในเขตสิบสองปันนาอยู่ใกล้ประเทศไทยมากที่สุดประมาณ 345 กิโลเมตร และเขื่อนเชี่ยววาน สูง 300 เมตร กำลังผลิตไฟฟ้า 4,200 เมกะวัตต์ ความจุอ่างน้ำกว่า 145,560 ล้านลูกบาศก์เมตร เริ่มกักเก็บน้ำแล้วและจะใช้งาน ก.ย.ปี ค.ศ.2012 นี้
       
       รวมทั้งยังมีเขื่อนกอนเกาเคียว สูง 105 เมตร กำลังผลิตไฟฟ้า 750 เมกะวัตต์ ก่อสร้างแล้วเมื่อกลางปี 2552 โดยเป็นเขื่อนนี้ตั้งอยู่ตอนเหนือสุดในบรรดาเขื่อนต่างๆ
       
       นอกจากนี้มีโครงการจะสร้างเขื่อนอื่นๆ อีก คือ เขื่อนเนาซาตู สูง 254 เมตร กำลังผลิตไฟฟ้า 5,000 เมกะวัตต์ กำลังอยู่ในช่วงการศึกษาความเป็นไปได้คาดว่าจะสร้างปี ค.ศ.2017 เขื่อนกงกว่อเฉียว มีความสูง 130 เมตร กำลังผลิตไฟฟ้า 750 เมกะวัตต์ เขื่อนกันลันปา กำลังผลิตไฟฟ้า 150 เมกะวัตต์ และเขื่อนเมงซอง กำลังผลิตไฟฟ้า 600 เมกะวัตต์


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000031048 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000031048)


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 มีนาคม 2012, 11:54:11

แนวโน้มสถานการณ์ห้องพักและสถานภาพในแหล่งท่องเที่ยวหลักของประเทศไทยเมื่อพิจารณาลงรายจังหวัด/แหล่งท่องเที่ยวหลักของประเทศไทยทั้ง 10 แห่งซึ่งครองส่วนแบ่งห้องพักร้อยละ 65 ของห้องพักทั้งหมดในประเทศไทย คือ กรุงเทพฯชลบุรี (พัทยา) ภูเก็ต เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี (สมุย) ประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน) สงขลา(หาดใหญ่) เชียงราย ระยอง และ นครราชสีมา พบว่า ในปี 2553 อัตราการเข้าพักแรมเฉลี่ยทุกแห่งต่ำกว่าร้อยละ 50 และในแต่ละจังหวัด/แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ส่วนใหญ่มีลักษณะการเข้าพักเป็นไปตามฤดูกาล (Seasonal) โดยเฉพาะจังหวัดทางภาคเหนือ และภาคใต้

(https://fbcdn-sphotos-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/425781_3172624068848_1062923213_32635446_1809441135_n.jpg)

เมื่อตรวจสอบสถานภาพของแหล่งท่องเที่ยวหลักลงในตาราง BCG 2x2 Matrixเพื่อตรวจสอบความสมดุลระหว่างอัตราการขยายตัวเฉลี่ยของจำนวนผู้เข้าพัก (อุปสงค์)และอัตราการขยายตัวเฉลี่ยของจำนวนห้องพัก (อุปทาน) ของสถานที่พักแรมไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยใช้อัตราการเติบโตค่าเฉลี่ยกลางเป็นตัวแบ่งเกณฑ์ พบว่า
1) แหล่งท่องเที่ยวที่มีการสร้างสมดุลได้ดีระหว่างอุปสงค์และอุปทาน
คือ ภูเก็ต ชลบุรี (พัทยา)
2) แหล่งท่องเที่ยวที่มีการหดตัวทางด้านอุปสงค์ในขณะที่อุปทานขยายตัวเล็กน้อย
คือ สุราษฎร์ธานี (สมุย) และสงขลา (หาดใหญ่)
3) แหล่งท่องเที่ยวที่มีการขยายตัวดีทางด้านอุปสงค์ แต่ไม่รวดเร็วเท่ากับทางด้าน
อุปทาน คือ กรุงเทพฯ และ เชียงราย
4) แหล่งท่องเที่ยวที่มีการขยายตัวได้ต่ำทางด้านอุปสงค์ แต่มีการขยายตัวทางด้าน
อุปทานสูง คือ ประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน) เชียงใหม่ ระยอง และนครราชสีมา

(https://fbcdn-sphotos-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/430248_3172622988821_1062923213_32635445_886206816_n.jpg)

ข้อมูลจาก นิตยสาร eTAT ฉบับที่ 1/2555  (http://"http://ebooks.in.th/download/4555/eTAT_Tourism_Journal_1_2555")[/QUOTE]


อ้างอิงจากคุณ pana193


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 12 มีนาคม 2012, 18:42:22
เมืองใหญ่อันดับ 2 อินโดฯดึง “เชียงราย” เป็นบ้านพี่เมืองน้อง ร่วมพัฒนาก่อน AEC

(http://pics.manager.co.th/Images/555000003379801.JPEG)

เชียงราย - หัวหน้าคณะกรรมการส่วนการส่งเสริมการลงทุน “เวสต์จาวา” เมืองใหญ่อันดับ 2 ของอินโดฯ มีประชากรกว่า 40 ล้านคน ยกคณะร่วมสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้องกับ “เชียงราย” เดินหน้าประสานความร่วมมือ 5 ด้านก่อนเกิด AEC ชูภูมิศาสตร์เมืองพ่อขุนฯ เป็นข้อได้เปรียบมากสุด
       
       วันนี้ (12 มี.ค.55) ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ได้ให้การต้อนรับนายอากูส กูสแทร์ หัวหน้าคณะกรรมการส่วนการส่งเสริมการลงทุน จังหวัดเวสต์จาวา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และคณะซึ่งได้เดินทางไปร่วมหารือเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง ระหว่างจังหวัดเวสต์จาวา กับจังหวัดเชียงราย
       
       นายอากูส กูสแทร์ กล่าวว่า จังหวัดเวสต์จาวา เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของอินโดนีเซีย มีประชากรกว่า 40 ล้านคน เศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการทำการเกษตร การทำเหมืองแร่ และการท่องเที่ยว เป็นหลัก การที่เลือก จังหวัดเชียงราย เป็นจังหวัดที่จะสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง เพราะถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพในด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ที่สามารถเชื่อมโยงกับประเทศอาเซียนด้วยกันถึง 2 ประเทศ คือประเทศพม่า และ สปป.ลาว รวมทั้งยังสามารถเชื่อมต่อไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน ทางตอนใต้ได้อีกด้วย
       
       ซึ่งเขามาครั้งนี้ก็เพื่อหารือความร่วมมือและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ร่วมกันใน 5 ประเด็นหลัก คือ ความร่วมมือทางด้านเกษตรกรรม ความร่วมมือทางด้านอุสาหกรรมสร้างสรรค์ ความร่วมมือทางด้านการศึกษา ความร่วมมือทางการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ความร่วมมือทางด้านการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการลงทุนของทั้ง 2 ประเทศ
       
       “ทั้งหมดนี้จะมีการเริ่มต้นขึ้นก่อนที่จะเกิดเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558 ที่จะถึงนี้”
       
       ด้านนายธานินทร์ กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะความร่วมมือแบบบ้านพี่เมืองน้องดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ก่อนปี 2558 โดยเฉพาะความร่วมมือทางด้านการศึกษา ซึ่งเชียงรายได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ส่วนความร่วมมือ ทั้งด้านการเกษตร เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือต่อไปด้วย

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000032157


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 14 มีนาคม 2012, 05:20:33
จังหวัดเชียงราย จัดประชุมสัมมนาระดมความคิดเห็นการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนา จังหวัดเชียงราย ปี 2557 -2560

วันนี้(13 มีนาคม 2555)ที่โรงแรมลิตเติ้ลดั๊ก เชียงราย นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เป็นประธานในการประชุมสัมมนาระดมความคิดเห็น การจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดเชียงราย ปี พ.ศ. 2557 – พ.ศ. 2560 เพื่อเป็นกรอบการทำงานของการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ในอนาคต โดยการประชุมสัมมนาในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วม ประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย ผู้แทนส่วนราชการประจำจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม องค์กรธุรกิจเอกชน และปราชญ์ชาวบ้านในสาขาต่างๆ กว่า 800 คน ร่วมแสดงความคิดเห็นร่วมหารือและวางแนวทางการพัฒนาจังหวัดเชียงรายร่วมกัน
นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงการสัมมนาในครั้งนี้ว่า เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภาคเอกชนและประชาสังคม ได้บูรณาการร่วมกันดำเนินการให้แผนพัฒนาจังหวัดมีความสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ทิศทางการพัฒนาระดับต่างๆ ที่สอดคล้องกับสถานการณ์และความต้องการของประชาชนในพื้นที่ และสามารถแปลงไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
โดยการประชุมสัมมนาในครั้งนี้ มีวิทยากรที่ทรงคุณวุฒิ จากกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคเหนือ คอยให้คำปรึกษาแนะนำ แนวทางการจัดทำแผน ซึ่งการสัมมนา มีกำหนด 2 วันในวันที่ 13 – 14 มีนาคม 2555
ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวถึงการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ของจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ว่า แนวทางการพัฒนาจังหวัดเชียงราย น่าจะมีการกำหนดเป็นพื้นที่ในการพัฒนา หรือการกำหนดโซนในการพัฒนาว่าพื้นที่ไหนควรพัฒนาไปในด้านใด ทั้งนี้เพื่อความมั่นคงและความพร้อม ของทุกๆ ด้านในอนาคต ต่อไปด้วย

    
ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : เชียงราย (ส.ปชส.) /สุธรรม เกื้อบุญส่ง   Rewriter : นายธนพิชฌน์ แก้วกา / สนข.
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: สบายแมน ที่ วันที่ 19 มีนาคม 2012, 16:28:15
ขอรับ!!!!! ;D


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: MooMoo11 ที่ วันที่ 20 มีนาคม 2012, 12:52:30
 ;D ;D,มาเก็บข้อมูลดีดีคร้า


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 มีนาคม 2012, 22:00:06
ที่ประชุมเจชีไทย-ลาว ครั้งที่ 17 ที่นครหลวงเวียงจันทน์ เห็นพ้องร่วมกันปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ

ที่ประชุมเจชีไทย-ลาว ครั้งที่ 17 ที่นครหลวงเวียงจันทน์ เห็นพ้องร่วมกันปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ สนับสนุนการเปิดจุดผ่านแดนไทย-ลาวเพิ่มเติม พร้อมจะหยิบยกปัญหาหมอกควันบริเวณชายแดนภาคเหนือติดกับฝั่งลาว เข้าหารือในเวทีอาเซียน
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือ หรือ เจซี ไทย-ลาว ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 17 ที่นครหลวงเวียงจันทน์ โดยสาระสำคัญประกอบด้วยการกล่าวรายงานผลความตกลงในการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ของการประชุมเจซี เมื่อวานนี้ (20 มี.ค.55) ซึ่งแบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการเมืองความมั่นคง ด้านสังคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ อาทิ การตกลงแลกเปลี่ยนข้อมูลและความร่วมมือการปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ การยกระดับจุดผ่านแดนต่างๆ เช่น จุดผ่อนปรนบ้านฮวก จ.พะเยา ซึ่งตรงกับด่านท้องถิ่นบ้านปางมอน เมืองคอบ แขวงไซยะบุลี และจุดผ่านแดนภูดู่ จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งตรงกับด่านท้องถิ่นบ้านผาแก้ว เมืองปากลาย แขวงไซยะบุลี สืบเนื่องจากการเรียกร้องของนักธุรกิจและผลการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ที่จังหวัดภูเก็ต นอกจากนี้ ยังมีความคืบหน้าเรื่องการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) ที่กำหนดเสร็จสิ้นในปลายปีนี้ และคาดว่าจะเปิดใช้ได้ในกลางปี 2556 ตลอดจนแนวคิดการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการจัดทำเอกสารความร่วมมืออย่างเป็นทางการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การประชุมได้ผลสำเร็จเป็นอย่างดียิ่ง ทั้งไทยและลาวมีความเข้าอกเข้าใจกัน ซึ่งถือเป็นนิมิตรหมายอันดีต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ ทางการลาวยังได้ร้องขอให้ทางการไทยสนับสนุนการตั้งจุดผ่านแดนถาวร บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ เนื่องจากลาวจะมีการก่อสร้างสนามบินสากล และเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวจาก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย โดยทางการไทยจะเร่งนำเรื่องดังกล่าวไปดำเนิน การ ส่วนประเด็นเรื่องปัญหาหมอกควันนั้น ทางการลาวได้รับปากจะจริงจังกับเรื่องนี้ รวมทั้งยังเห็นพ้องร่วมกันในการหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นหารือในเวทีการประชุมอาเซียนด้วย

    
ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : อรวรรณ เผือกไธสง / สนข.   Rewriter : ธนวัต วงศ์วิริยะวณิช / สวท.
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 มีนาคม 2012, 13:10:07
บิ๊กอสังหาฯตอมทำเลทองบสก.
วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2012

วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2012

ที่ดินบสก. บิ๊กอสังหาฯ ยังรุมซื้อไปพัฒนาโครงการขายต่อ ช่วง 2 เดือนทำยอดขายได้กว่า 500 ล้าน ขณะที่ดินต่างจังหวัดนักลงทุนซื้อขึ้นสวนเกษตรรองรับการเปิดการค้าชายแดนทั้งภาคอีสานและภาคเหนือ คาดปีนี้บสก.ทำผลประกอบการได้ 6,000 ล้าน พร้อมจัดกิจกรรมต่อเนื่องออกบูธ 100 ครั้ง
นายสุเมธ เมธีวัฒนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ที่ดินของบสก.ปัจจุบันได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา สามารถขายที่ดินแปลงใหญ่ให้ผู้ประกอบการไปประมาณ 200-300 ไร่ มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท และปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการอีกหลายราย และบสก.ก็มีทรัพย์สินรอการขายในส่วนของที่ดินเปล่าอีกหลายแปลง เช่น บริเวณถนนบางนา-ตราด กม.39 จำนวน 400 ไร่ เป็นต้น
"ที่ดินของบสก.ดีเวลอปเปอร์ให้ความสนใจซื้อเพื่อนำไปพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง อย่างปีที่ผ่านมามีกลุ่มพฤกษา กลุ่มทีซีซี แลนด์ เข้ามาซื้อ ซึ่งตลอดทั้งปีบสก.สามารถขายที่ดินแปลงใหญ่ได้มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท นอกจากกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่แล้ว บริษัทพัฒนารายเล็กๆ ก็เข้ามาซื้อที่ดินของบสก. ขนาด 30-50 ไร่ ก็มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน ปัจจุบันทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ของบสก.มี 40,000 ล้านบาท เป็นที่ดินเปล่าสัดส่วนมากถึง 60%"นายสุเมธ กล่าวและว่า
นอกจากที่ดินที่ผู้ประกอบการนำไปพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแล้ว ยังมีกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อที่ดินเพื่อนำไปปลูกพืชเศรษฐกิจ อาทิ สวนยาง ปาล์ม ในต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน ทั้งในพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือ เช่น จังหวัดขอนแก่น เชียงราย อุดรธานี นครราชสีมา ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลจากการเปิดเขตการค้าชายแดน ที่ทำให้นักลงทุนเห็นโอกาสที่จะซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการรองรับด้วยเช่นกัน
นายสุเมธ กล่าวว่า ช่วง 2 เดือนกว่าบสก.สามารถทำยอดขายทรัพย์สินรอการขายประเภทต่างๆ ได้กว่า 800 ล้านบาท จากเป้าหมายตลอดทั้งปีที่น่าจะทำได้ 6,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยอดขายที่มาจากภูมิภาคเป็นหลัก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ประชาชนต้องการซื้อทรัพย์เพื่อการลงทุน และเพื่อเลี่ยงพื้นที่น้ำท่วมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในส่วนของการทำการตลาดปีนี้บสก.ใช้งบประมาณ 35 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยจะมีการจัดกิจกรรมการออกบูธทั่วประเทศ 100 ครั้ง รวมถึงการออกหาลูกค้าโดยตรงด้วย
นอกจากนี้บสก. ยังร่วมมือกับสถาบันการเงินและพันธมิตรต่างๆ ในการทำตลาดอย่างต่อเนื่องด้วย ทั้งในส่วนของธนาคารต่างๆ ที่ให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และบริษัทรับสร้างบ้าน ขณะเดียวกันในปีนี้บสก.ยังจะทำโครงการที่ดิน 1 ไร่ ทำได้ 1 แสนต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาด้วย ซึ่งในปีนี้จะร่วมมือกับสภาหอการค้าฯและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดตัวโครงการดังกล่าวในอีก 1-2 เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งทางบสก.จะช่วยหาที่ดินทั่วประเทศที่เหมาะสมเพื่อให้กับสมาชิกสภาหอการค้าฯและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยไปดำเนินโครงการดังกล่าว
นายสุเมธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้ทางบสก.ยังมีแผนที่จะซื้อทรัพย์สินรอการขายเข้ามาเพิ่มด้วย โดยจะทำการซื้อจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) อีก 5,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา รวมถึงการซื้อทรัพย์จากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) อีกจำนวนหนึ่งด้วย นอกจากนี้ในปีนี้บสก.ยังมีการจัดทำโครงการพิเศษ โดยการนำเอาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ มาขายในราคาพิเศษ ซึ่งคาดว่าปีนี้จะสามารถทำยอดขายในส่วนโครงการพิเศษได้ 400 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,724 22-24 มีนาคม พ.ศ. 2555


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 มีนาคม 2012, 13:12:36
หนุนกทท.สร้างท่าเรือฝั่งลาว
วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2012

หนุนกทท.ลงทุนสร้างท่าเรือฝั่งสปป.ลาวตามแนวลำน้ำโขงในจุดสำคัญทางเศรษฐกิจเพื่อเชื่อมโยงการค้าชายแดนให้คึกคัก รูปแบบบาร์เตอร์เทรดสินค้า อาจนำร่องที่เชียงราย พร้อมเล็งก่อสร้างท่าเรือชายฝั่งเพิ่มจากเหนือจดใต้ เพื่อบรรเทาปัญหาจราจรทางบกและลดต้นทุนการขนส่ง ยันแผนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ขอตรวจสอบรายละเอียดก่อนชงครม.ไฟเขียว
 พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้มอบนโยบายการท่าเรือแห่งประเทศไทย(กทท.)นำไปปฏิบัติให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงคมนาคมและรัฐบาลดังนี้  1.การให้ความสำคัญต่อการขนส่งทางน้ำให้ได้รับความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้นโดยมีนายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ อธิบดีกรมเจ้าท่าและในฐานะประธานคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นผู้ขับเคลื่อนต่อไป 2.มุ่งให้กทท.คอยอำนวยความสะดวกต่อการขนถ่ายสินค้าในท่าเรือต่างๆ ที่มีอยู่แล้วและที่กำลังจะเปิดให้บริการต่อไปไม่ว่าจะเป็นที่เชียงแสน 2  หรือที่ระนอง โดยจะเปิดเพิ่มอีกจำนวน 3 ท่าตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป                 
 3.เน้นให้เกิดการเชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ  เช่น รถไฟทางคู่ที่เชื่อมโยงกับท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งทราบว่าขาดระยะทางอีกประมาณ 3 กิโลเมตรที่จะเข้าสู่พื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ที่ต้องการให้การรถไฟฯต้องลงทุนพร้อมกับการพัฒนาพื้นที่โดยรอบ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี 8 เดือนจะแล้วเสร็จ 4.ต้องการให้ต่อยอดแนวคิดในการพัฒนาท่าเรือเพิ่มในโซนพื้นที่อ่าวไทยฝั่งตะวันตกรูปแบบท่าเรือชายฝั่งให้มากขึ้น อีกทั้งยังสนับสนุนให้กทท.ไปลงทุนสร้างท่าเรือในฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว)ให้เชื่อมโยงกับท่าเรือในฝั่งไทยเช่นที่อำเภอเชียงแสนและอำเภอเชียงของที่ไทยเตรียมจะเปิดให้บริการในเร็ว ๆ นี้หรือจุดอื่น ๆ ตามแนวลำน้ำโขง 5.นโยบายการปฏิบัติงานให้ดำเนินการตามนโยบายขององค์กรโดยไม่ต้องไปอิงกระแสการเมืองขอให้ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ และ 6.ในการดำเนินงานต้องยึดมั่นความถูกต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ หวงแหนองค์กรและร่วมกันสร้างความเป็นปึกแผ่นอย่างแท้จริง
 "ท่าเรือแหลมฉบังต้องมีระบบโครงข่ายป้อนสินค้าให้มากกว่านี้ เพื่อให้เกิดศักยภาพมากขึ้น พร้อมกับการเสริมอุปกรณ์ให้เพียงพอ ประการสำคัญท่าเรือชายฝั่งต้องมีการก่อสร้างเพิ่มขึ้นให้เกิดการเชื่อมโยง โดยเฉพาะจุดที่เป็นท่าเรือน้ำลึก ส่วนตามแนวลำน้ำโขงหากตกลงแลกเปลี่ยนสินค้าต่อกันได้ก็จะเกิดประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย นอกเหนือจะสร้างรายได้เพิ่มให้กทท. ซึ่งควรพิจารณาในจุดสำคัญ ๆ ก่อนโดยจะนำร่องที่เชียงรายฝั่งตรงข้ามไทยเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเนื่องจากการค้าชายแดนจะได้รับความนิยมมากขึ้นแน่ ๆ นับต่อจากนี้ไปและที่กำลังจะเปิดประตูการค้าเสรีในปี 2558 เนื่องจากไทยมีจุดผ่านแดนจำนวนมาก น่าจะเกิดประโยชน์ได้อย่างเต็มที่จึงต้องเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานรองรับอย่างเพียงพอ"
  พล.ต.ท.ชัจจ์ กล่าวอีกว่า ยังต้องการให้มีการก่อสร้างท่าเรือชายฝั่งเพิ่มขึ้นอีกทั้งฝั่งอ่าวไทยโซนตะวันตกหรือครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือจดภาคใต้เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาจราจรและช่วยลดต้นทุนการขนส่งทางบกมาเป็นการขนส่งทางน้ำให้มากขึ้น โดยสามารถไปเชื่อมโยงกับการขนส่งคอนเทนเนอร์ในจุดต่าง ๆ ที่สามารถขยายพื้นที่รองรับได้
 ส่วนความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ทั้ง 4 แปลงของกทท. ต้องขอดูรายละเอียดที่ชัดเจนก่อน เมื่อแล้วเสร็จจะให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.)ไปดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆ ให้พร้อมนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.)ต่อไป
 "ทราบว่ามีจุดที่ต้องเกี่ยวข้องกับชุมชนแออัดจึงต้องไปสอบถามหากจะย้ายไปอยู่ที่อื่นมีกี่รายโดยต้องสร้างที่อยู่อาศัยรูปแบบอาคารชุดไว้รองรับซึ่งคงต้องร่วมกับการเคหะแห่งชาติรับไปดำเนินการ จัดเก็บค่าเช่าราคาไม่แพง หรืออาจจะใช้พื้นที่สร้างโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่อาจร่วมกับรัฐวิสาหกิจของกระทรวงคมนาคมเพื่อลงทุนร่วมกัน เพราะเชื่อว่าในท้ายที่สุดจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้ทรัพย์สินกทท.ในท้ายที่สุด"
 ด้านนายถวัลย์รัฐ  อ่อนศิระ  อธิบดีกรมเจ้าท่าในฐานะประธานบอร์ดกทท.กล่าวว่ากรมเจ้าท่าได้ดำเนินการศึกษาแผนการพัฒนาท่าเรือชายฝั่งรองรับไว้แล้วที่ชุมพร  สุราษฎร์ธานีและ มหาชัย ซึ่งจุดท่าที่ชุมพรจะต้องเร่งดำเนินการให้เกิดขึ้นโดยเร็วต่อไป
 "ช่วงที่ผ่านมาพบว่าท่าที่ชุมพรมีปัญหาในเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ต้องกลับมาศึกษาผลกระทบใหม่อีกครั้งตามคำแนะนำของคณะกรรมการด้านสิ่งแวดล้อม หากแล้วเสร็จก็จะเร่งก่อสร้างโดยเร็วต่อไปคาดว่าจะใช้งบกว่า 100 ล้านบาท ส่วนท่าเรือที่สุราษฎร์ธานีพบว่าเอกชนเข้มแข็งมากในการดำเนินงาน เช่นเดียวกับท่าเรือมหาชัยที่เอกชนลงทุนสร้างขึ้นเองก็มีแนวโน้มที่ดีโดยทั้งหมดเป็นรูปแบบท่าเรือชายฝั่งทั้งหมด"นายถวัลย์กล่าว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,724    22-24 มีนาคม  พ.ศ. 2555


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 27 มีนาคม 2012, 15:35:48
100 เส้นทางถนนปลอดภัยและสวยงาม


วันอังคารที่ 27 มีนาคม 2012 เวลา 09:50 น.    กอง บก.ออนไลน์    ข่าวรายวัน    - ข่าว


นายวันชัย ภาคลักษณ์ อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ในโอกาสที่กรมทางหลวง จะครบรอบวันคล้ายวันสถาปนาปีที่ 100 ในวันที่ 1 เมษายน 2555 นี้ กรมทางหลวงได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งกิจกรรมภายใน และกิจกรรมภายนอก โดยเฉพาะกิจกรรมภายนอกที่เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน การดำเนินงานเพื่อสังคม และการรักษามาตรฐานงานทาง รวมทั้ง การยกระดับการให้บริการของกรมทางหลวง โดยมุ่งเน้นความสะดวก ปลอดภัย สนองตอบความต้องการของประชาชน และผู้ใช้ทาง ดังคำขวัญเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี กรมทางหลวง ที่ว่า “ร้อยปีร่วมสร้าง เส้นทางปลอดภัย ทางหลวงทั่วไทย สุขใจผู้ใช้ทาง”

โครงการ 100 ปีกรมทางหลวง 100 ปีกระทรวงคมนาคม 100 เส้นทาง ถนนปลอดภัยและสวยงาม เป็นหนึ่งในกิจกรรม/โครงการที่กรมทางหลวงดำเนินการขึ้น โดยปรับปรุงสายทางที่เคยเข้าร่วมโครงการถนนสีขาว จำนวน 100 สายทางทั่วประเทศ มาเข้าโครงการฯ เพื่อเป็นต้นแบบในการดูแลบำรุงรักษาทางหลวงทั่วประเทศ ให้มีการดำเนินการดูแลอย่างรอบด้าน และใส่ใจกับการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยมีแนวทางดำเนินการงาน 6 ด้าน คือ

1. ด้านวิศวกรรม (ENGINEERING) : ตรวจสอบ ปรับปรุง แก้ไข และบำรุงรักษา ผิวทาง ไหล่ทาง เกาะกลาง และพื้นที่สองข้างทาง อุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย สิ่งปลูกสร้าง และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อการใช้งานอย่างปลอดภัย ครบถ้วน และถูกต้องตามมาตรฐานที่กรมทางหลวงกำหนด
2. ด้านความสวยงาม (Esthetic) : ตกแต่งและดูแลผิวทาง ไหล่ทาง เกาะกลาง และพื้นที่สองข้างทาง อุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย สิ่งปลูกสร้าง และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้สวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อย
3. ด้านการให้ความรู้ (Education) : จัดการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้ทางหลวง รวมทั้งบทบาทและความสำคัญของทางหลวง เน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาทางหลวงซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนรวม
4. ด้านการบังคับใช้กฎหมาย (ENFORCEMENT) : ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรณรงค์และกวดขันให้ผู้ขับขี่ใส่ใจในความปลอดภัย และปฏิบัติตามกฎจราจร
5. ด้านการให้ความช่วยเหลือกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน (EMERGENCY MEDICAL SERVICE) : จัดเตรียมหน่วยเคลื่อนที่เร็วในการให้บริการและหน่วยกู้ภัยฉุกเฉิน และให้ความร่วมมืออาสาสมัคร มูลนิธิต่าง ๆ ในการช่วยเหลือประชาชนในกรณีเกิดอุบัติเหตุหรือภัยพิบัติต่าง ๆ
6. ด้านการติดตามประเมินผล (EVALUATION) : มีการติดตามประเมินผล ทั้งในด้านความก้าวหน้าของการดำเนินงาน สถิติการเกิดอุบัติเหตุ และความพึงพอใจของผู้ใช้ทาง

ตัวอย่างสายทางในโครงการฯ

- ทางหลวงหมายเลข 1 ตอน อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งราย – แม่จัน จังหวัดเชียงราย ระยะทาง 7 กิโลเมตร (พื้นที่รับผิดชอบสำนักทางหลวงที่ 2 (แพร่))
- ทางหลวงหมายเลข 2 ตอน ท่าพระ – ขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ระยะทาง 6.41 กิโลเมตร (พื้นที่รับผิดชอบสำนักทางหลวงที่ 5 (ขอนแก่น))
- ทางหลวงหมายเลข 3 ตอน สี่แยกเข้าจันทบุรี – พลิ้ว จังหวัดจันทบุรี ระยะทาง 11.5 กิโลเมตร (พื้นที่รับผิดชอบสำนักทางหลวงที่ 12 (ชลบุรี))
- ทางหลวงหมายเลข 4 ตอน ตรัง – เขาพับผ้า จังหวัดตรัง ระยะทาง 2 กิโลเมตร (พื้นที่รับผิดชอบสำนักทางหลวงที่ 14 (นครศรีธรรมราช))
- ทางหลวงหมายเลข 12 ตอน สุโขทัย – บ้านกร่าง จังหวัดสุโขทัย ระยะทาง 10.975 กิโลเมตร (พื้นที่รับผิดชอบสำนักทางหลวงที่ 4 (พิษณุโลก))
- ทางหลวงหมายเลข 21 ตอน หนองไผ่ – จุดเริ่มทางเลี่ยงเมืองวังชมภู – ทางเลี่ยงเมืองวังชมภู จังหวัดเพชรบูรณ์ ระยะทาง 5 กิโลเมตร (พื้นที่รับผิดชอบสำนักทางหลวงที่ 6 (เพชรบูรณ์))
- ทางหลวงหมายเลข 33 ตอน ทางแยกไปจันทบุรี (สระแก้ว) – ทางแยกไปวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว ระยะทาง 7 กิโลเมตร (พื้นที่รับผิดชอบสำนักทางหลวงที่ 8 (นครราชสีมา))
- ทางหลวงหมายเลข 340 ตอน แยกทางเข้าท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งที่ 2 (สุวรรณภูมิ) ด้านใต้ จังหวัดสมุทรปราการ ระยะทาง 2.742 กิโลเมตร (พื้นที่รับผิดชอบสำนักทางหลวงที่ 11 (กรุงเทพ))
- ทางหลวงหมายเลข 1039 ตอน ต่อเขตเทศบาลนครลำปาง – บรรจบทางหลวงหมายเลข 11 จังหวัดลำปาง ระยะทาง 16 กิโลเมตร (พื้นที่รับผิดชอบสำนักทางหลวงที่ 1 (เชียงใหม่))
- ทางหลวงหมายเลข 4024 ตอน ห้าแยกฉลอง – ราไวย์ จังหวัดภูเก็ต ระยะทาง 5.461 กิโลเมตร (พื้นที่รับผิดชอบสำนักงานทางหลวงกระบี่ (สุราษฎร์ธานี))
อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวต่ออีกว่า โครงการ 100 ปีกรมทางหลวง 100 ปีกระทรวงคมนาคม 100 เส้นทาง ถนนปลอดภัยและสวยงาม ยังเป็นหนึ่งในสามโครงการที่กรมทางหลวงดำเนินการตามแนวนโยบายการปรับปรุงการให้บริการประชาชน ตาม “โครงการขันน็อต 100 ปี ของกระทรวงคมนาคม” ที่ให้กรมทางหลวง และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม จัดทำโครงการที่สนองตอบต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง สามารถเห็นได้เป็นรูปธรรม และดำเนินการได้ทันที

http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=114277:100-&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524 (http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=114277:100-&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524)


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 มีนาคม 2012, 12:53:14
คสศ.-หอ 10 จว.เหนือเชื่อปี 56 ค้ารอบพรมแดนโต 20% รับพม่าเปลี่ยน

ลำปาง - คสศ.-หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือเชื่อปี 56 เศรษฐกิจดี หลังพม่าเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทำการค้ารอบพรมแดนภาคเหนือขยายตัวเพิ่มไม่น้อยกว่า 20% พร้อมเร่งผลักดันเปิดด่านเพิ่มอีก 5 แห่ง - แจ้งเกิดมอเตอร์เวย์เชียงใหม่-เชียงราย และจี้รัฐเร่งพิจารณากูหมายศุลกากรที่ยังค้างเติ่งในสภาฯโดยเร็ว
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดลำปางแจ้งว่า คณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือเพื่อปรึกษาหารือและเสนอโครงการเพื่อผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรมในด้านเศรษฐกิจที่ห้องเวียงแก้ว โรงแรมลำปางเวียงทอง ตลอดบ่าย-เย็นวานนี้ (28 มี.ค.55)
       
       นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธาน คสศ.กล่าวภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมว่า การประชุมครั้งนี้ทางคณะกรรมการได้มีการหยิบยกหลายประเด็นมาหรือ โดยสิ่งที่จะต้องเร่งผลักดันเพื่อให้รัฐบาลดำเนินการมี 3 เรื่อง คือ
       
       1.การผลักดันกฎหมายศุลกากร ที่ยังค้างอยู่ในสภาฯ เพื่อให้การค้าข้ามแดนเกิดขึ้นได้จริง ซึ่งจะเกิดประโยชน์กับทุกส่วนไม่เฉพาะจังหวัดเชียงรายเพียงจังหวัดเดียว
       
       2.ผลักดันให้เกิดมอเตอร์เวย์เชื่อมระหว่างเชียงใหม่-เชียงราย เพื่อส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว และเพื่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว ลดต้นทุนในการขนส่งเมื่อเทียบกับปัจจุบัน
       
       และ 3.ผลักดันให้มีการเปิดด่านชายแดนรวม 5 แห่ง อาทิ เร่งผลักดันให้เปิดด่านที่อำเภอภูซาง บ้านฮวก จ.พะเยา ซึ่งทางลาวก็ต้องการให้ประเทศไทยเปิดด่านที่เชียงแสนตอบแทนกัน
       
       นอกจากนี้ ทางกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ยังจะเร่งผลักดันให้เกิดเขตเศรษฐกิจชายแดนขึ้นที่อำเภอแม่สาย ซึ่งจะเน้นด้านการท่องเที่ยวและในอนาคต ก็จะขยายไปยังอำเภอเชียงแสน ที่จะมุ่งเรื่องการขนถ่ายสินค้าทางน้ำ และเป็นเขตอุตสาหกรรมได้
       
       นายพัฒนา บอกว่า คาดว่าในปี 2556 จะเห็นอะไรที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะด้านการค้าชายแดนจะขยายตัวมากขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งปัจจุบันการค้าที่อำเภอแม่สอด จะมีเงินหมุนเวียนประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ส่วนที่จังหวัดเชียงราย ที่อำเภอแม่สายประมาณ 5 พันล้านบาท ในปี2556 จะต้องเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย20% แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการเมืองในประเทศพม่าด้วย
       
       ส่วนกรณีที่ทางรัฐบาลจะมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นเป็นวันละ300 บาทนั้นทางหอการค้าให้การสนับสนุนเพราะเห็นว่าเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะหากมีรายได้มากขึ้นก็จะมีกำลังซื้อมากขึ้นตามไปด้วย แต่ในระยะแรกอาจจะมีปัญหาด้านการปรับตัว แต่ก็มีข้อกังวลอยู่บ้างสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยในช่วงปรับตัวจะทำอย่างไร ซึ่งจะต้องฝากถึงรัฐบาลด้วย เพราะแม้ในภาพรวมเห็นด้วย เนื่องจากจะมีกำลังซื้อมากขึ้นผ่านแรงงานหรือผู้ที่ทำงานในด้านอุตสาหกรรม หรือในส่วนงานด้านบริการ แต่ทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการรายย่อยมีกำลังในการที่จะจ้างกลุ่มคนเหล่าให้มีงานโดยสามารถจ่ายค่าจ้างวันละ300 ด้วย

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000039795 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000039795)


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: VALUE ที่ วันที่ 29 มีนาคม 2012, 16:55:48
วาวๆขอบคุณจ้าวขอมูลและขอฮื้อโครงกานนี้สำเร็จเร็วๆจ้าว :)
::) ::) ::) ::)  ข้อมูล เย๊อะจ๊าดดดดดดดด      โอ้ววววววววววววว    สุดดดย๊อดดดดด


(http://www.sportzeed.net/webboard/Smileys/default/fw20.gif) (http://www.sbothailand.net)(http://www.sportzeed.net/webboard/Smileys/default/fw20.gif) (http://www.sportzeed.net)(http://www.sportzeed.net/webboard/Smileys/default/fw20.gif) (http://www.newsportpro.net)sports


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 01 เมษายน 2012, 20:52:11

เปิดแล้ววันแรก ท่าเรือเชียงแสน 2 รับกองเรือสินค้า จีน ลาว พม่า

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 1 เม.ย. 55  นายกร จาติกวนิช กรรมการที่ปรึกษากรรมาธิการการเงิน การคลัง และสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร นำคณะกรรมาธิการตรวจเยี่ยมโครงการท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ตั้งอยู่ปากแม่น้ำกก บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ที่เปิดใช้งานเป็นวันแรกหลังจากก่อสร้างมานานตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค.2552 ที่ผ่านมาเป็นเวลาร่วมสองปีกว่า โดยมีผู้บริหารเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้ง 9 หน่วยงานให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการ เช่น การท่าเรือแห่งประเทศไทยซึ่งเข้าไปบริหารงานกิจการทั้งหมด กรมเจ้าท่า กรมศุลกากร ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่เพิ่งเข้าไปประจำการในวันนี้เป็นวันแรกเช่นกัน หลังจากได้ย้ายจากการปฏิบัติงานที่ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 1 ภายในเขตเทศบาล ต.เชียงแสน

 
          ขณะที่บรรยากาศท่าเรือทั่วไปกลับยังคงเงียบเหงาโดยยังไม่มีเรือสินค้าไปใช้บริการ ไม่ว่าเป็นเรือสัญชาติจีนหรือ สปป.ลาว ที่มีอยู่จำนวนมากในแม่น้ำโขง โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่าเพราะเป็นวันหยุด และผู้ประกอบการอาจรอดูท่าทีก่อน ขณะที่ยังคงมีการก่อสร้างในบางส่วนของโครงการอยู่ทำให้ยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์มากนัก
          จากนั้นคณะได้รับฟังบรรยายสรุปทราบว่าท่าเรือดังกล่าวตั้งอยุ่บนเนื้อที่ประมาณ 387 ไร่  1 งาน 44 ตารางวา ติดชายแดนไทย-สปป.ลาว ว่าจ้างเอกชนให้ทำการก่อสร้างโดยใช้งบประมาณ 1,546.4 ล้านบาท สัญญาตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค.2552 ถึงวันที่ 28 ธ.ค.2554 และกำหนดเปิดใช้งานได้ทันตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.นี้ตามมติคณะรัฐมนตรี สำหรับที่มาของโครงการเพราะท่าเรือแห่งปัจจุบันอยู่กลางเมืองโบราณและชุมชน มีความคับแคบและมีศักยภาพรองรับสินค้าได้เพียงปีละประมาณ 3 แสนตันขณะที่มูลค่าการค้าและปริมาณเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะไทย-จีน แต่ท่าเรือแห่งใหม่สามารถรองรับสินค้าได้ปีละกว่า 6 ล้านตัน เพราะมีแอ่งขนาดใหญ่ขนาด 200 คูณ 800 เมตร มีท่าเรือย่อยอยู่ภายในหลายจุด มีระยะทางไกลจากท่าเรือกวยเหล่ยซึ่งเป็นเมืองท่าหน้าด่านของจีนประมาณ 265 กิโลเมตร ระดับน้ำในแม่น้ำโขงเฉลี่ย 1.70-7 เมตร ซึ่งสามารถใช้เพื่อการเดินเรือได้ตลอดทั้งปี
          นายทรงกลด ดวงหาคลัง ผู้อำนวยการ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 1 สาขาเชียงราย กล่าวว่า ในปัจจุบันมีเรือสินค้าที่อยู่ในระบบเป็นเรือสัญชาติจีนประมาณ 90 ลำ ส่วนสัญชาติ สปป.ลาว เดิมมีจำนวน 70 ลำ แต่หลังจากเหตุการณ์เรือสินค้าจีนถูกยิงจนเสียชีวิต 13 ศพเมื่อเดือน ต.ค.2554 ทำให้เรือสินค้าลาวถูกนำมาใช้บริการทดแทนเรือจีนที่หายไปมากขึ้นเป็นกว่า 140 ลำแล้ว และเรือพม่ามี 25 ลำ เรือไทย 3 ลำ ซึ่งจากการเฝ้าติดตามระดับน้ำในแม่น้ำโขงพบว่าในช่วง 2 ปีหลังๆ จากจีนก่อสร้างเขื่อนแล้วเสร็จพบว่าน้ำไม่แห้งจนเดินเรือไม่ได้ โดยช่วง 2 เดือนมานี้ตนได้เฝ้าติดตามสถานการณ์พบน้ำตื้นสุด 1.50-2 เมตรซึ่งเรือขนาด 100-150 ตันสามารถเดินเรือได้ โดยเดือน มี.ค.นี้พบมีเรือจีนเข้าใช้บริการที่ท่าเรือเชียงแสนแห่งเดิมกว่า 65 เที่ยว เรือลาว 448 เที่ยว เรือพม่า 33 เที่ยวและเรือไทย 10 เที่ยว
          นายทรงกลด กล่าวอีกว่า หลังจากเที่ยงคืนวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยก็ย้ายไปอยู่ท่าเรือแห่งใหม่กันหมด ส่วนท่าเรือแห่งเดิมได้มอบให้กับเทศบาล ต.เวียงเชียงแสน เข้าไปบริหารงานแล้วโดยจะใช้เพื่อการท่องเที่ยว ส่วนท่าเรือใหม่คาดว่าจะมีเรือไปใช้บริการวันละกว่า 20 ลำ โดยท่าเรือจะเป็นระบบ Sigle window ให้บริการจากหน่วยงานต่างๆ พร้อมกันให้แล้วเสร็จ ณ ที่เดียวซึ่งสะดวกสบาย กระนั้นก็จะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการคาดว่าราวเดือน พ.ค.นี้ต่อไป สำหรับกรณีอาจจะมีร่องแม่น้ำโขงติ้นเขินจนเดินเรือไม่สะดวกเป็นบางช่วงนั้นมีคณะกรรมการประสานการดําเนินการตามความตกลงว่าด้วยการเดินเรือพาณิชย์แม่น้ำโขง 4 ชาติ (The Joint Committee on Coordination of Commercial Navigation on the Lancang-Mekong Riveramong China, Laos, Myanmar and Thailand) คอยแก้ไขปัญหาเป็นจุดๆ ต่อไป ทั้งนี้เชื่อว่าอนาคตในการเดินเรือยังคงเติบโตเพราะมีต้นทุนต่ำกว่าการขนส่งด้านอื่นกว่า 5 เท่า
          ด้านนายบัวสอน ประชามอญ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และอยู่ในผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนมีข้อสงสัยเรื่องน้ำมันเชื้อเพลิงที่ส่งออกในแม่น้ำโขงว่ามีการตรวจสอบกันอย่างถี่ถ้วนหรือไม่ เพราะทราบว่าอาจมีการลักลอบส่งน้ำมันออกอ้างว่าไปจีน แต่กลับนำกลับมาขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT 7% กัน โดยอยากทราบเรื่องการขอคืนภาษีดังกล่าวว่าแท้ที่จริงมีมากน้อยเพียงใด และระบบตรวจสอบเป็นอย่างไร เนื่องจากทราบว่ามีปัญหาเม็ดเงินที่หายไปกับการกระทำผิดดังกล่าวหลายพันล้านบาท
          นายอรรถภัณฑ์ รังษี ประธานชมรมผู้ค้าชายแดน อ.เชียงแสน กล่าวว่า ท่าเรือแห่งเดิมมีการเก็บค่าธรรมเนียมสินค้าที่เข้าไปใช้บริการท่าเรือเป็นเมกตริกตันๆ ละประมาณ 400 บาทไม่รวมค่าใช้อื่นๆ ทำให้ผู้ประกอบการเสียค่าใช้จ่ายมาก ดังนั้นในโอกาสที่ท่าเรือเปิดให้บริการใหม่และมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ ครบครัน ก็อยากให้มีการลดราคาในช่วงแรกด้วยเพื่อไม่ให้กระทบกับผู้ประกอบการมากเกินไป
          ขณะที่นางเกศสุดา สังขกร รองประธานหอการค้า จ.เชียงราย ฝ่ายการค้าชายแดน อ.เชียงแสน กล่าวว่า ช่วงเดือน ม.ค.เป็นไปจนถึงฤดุฝนของทุกปีจะเป็นช่วงที่แม่น้ำโขงเหือดแห้ง ทำให้ในบางจุดเรือสินค้าไม่สามารถแล่นลงมาได้โดยมักจะไปติดสันดอนทรายตามเขตแดนพม่า-สปป.ลาว แถวป่าแลวหรือเกาะดอนซาว โดยเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมามีเรือจะเข้ามาแต่ก็ติดสันดอนทรายดังกล่าวจนเข้ามายังท่าเรือเชียแสนไม่ได้จนถึงปัจจุบัน จึงขอให้มีการประสานกับจีนเพื่อให้มีการปรับร่องน้ำให้ได้อย่างน้อย 2 เมตรด้วย
          รายงานข่าวจากด่านศุลกากรเชียงแสนระบุว่าปี 2554 ที่ผ่านมามีมูลค่าการค้าผ่านท่าเรือแม่น้ำโขงที่ อ.เชีงยแสน เป็นการส่งออก 8,992.65 ล้านบาท ส่งออก 1,100.12 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2555 ตั้งแต่เดือน ต.ค.2554-ก.พ.2555 มีการส่งออกแล้ว 4,480.40 ล้านบาท และนำเข้า 180.08 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการค้ากับจีนและ สปป.ลาว โดยสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนไก่แช่แข็ง น้ำมันปาล์ม ส่วนน้ำมันดีเซลมีการส่งออก 354.78 ล้านบาท ฯลฯ ส่วนสินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นผลไม้ เมล็ดทานตะวัน กระเทียม ดอกไม้เพลิง เห็ดหอม ฯลฯ
 
 
http://www.komchadluek.net/


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 02 เมษายน 2012, 14:47:54
“ยุทธ ตู้เย็น”โผล่ขึ้นโพเดียม กมธ.การเงินฯ-หนุนตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ชร.

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   2 เมษายน 2555 14:17 น.   



เชียงราย - กรรมาธิการการเงิน การคลังฯ เปิดห้องดุสิตไอส์แลนด์ฯ จัดสัมมนาเตรียมพร้อมตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษเมืองพ่อขุนฯ วางไกลถึงขั้นไม่ใช้ผู้ว่าฯจาก มท.พร้อมเชิญ “ยงยุทธ ติยะไพรัตน์” นักการเมืองใหญ่เชียงราย ขึ้นเวทีครั้งแรก หลังติดโทษแบนทางการ ร่วมหนุนด้วย ขณะที่ ส.ส.เพื่อไทย ชร.ฟันธงปลายปี 55 เกิดแน่
       
       วันนี้ (2 เม.ย.55) ที่ห้องประชุมดอยตุง โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์รีสอร์ท อ.เมืองเชียงราย นายไชยา พรหมา ประธานคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานเปิดการสัมมนา "การเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษของ จ.เชียงราย เพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" โดยมีภาคธุรกิจเอกชน ผู้บริหารส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฯลฯ เข้าร่วมประมาณ 500 คน
       
       นายไชยา กล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯต้องการมารับทราบข้อมูลและปัญหาจากคนในพื้นที่รวมทั้งดูสภาพพื้นที่โดยตรง เบื้องต้นที่ทราบคือ เชียงราย มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชายแดนสูง โดยมีการเชื่อมโยงการค้ากับพม่า สปป.ลาว และจีนตอนใต้ ได้ทั้งทางบกและทางเรือแม่น้ำโขง มีสนามบินภายในจังหวัด แต่ในอดีตการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจเกิดจากนักธุรกิจมากกว่าการที่รัฐบาลให้การสนับสนุน ต่อมาภาครัฐจึงค่อยเข้าไปสร้างระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ให้ เช่น ท่าเรือแม่น้ำโขง อ.เชียงแสน สะพานแม่น้ำโขง อ.เชียงของ ฯลฯ
       
       อย่างไรก็ตามขณะนี้ภาคธุรกิจก็ยังมีความเสี่ยงในหลายเรื่อง เช่น การซื้อขายสินค้าชายแดนด้วยเม็ดเงินมีมูลค่ามหาศาล ซึ่งยังไม่มีระบบธนาคารรองรับ ฯลฯ
       
       ดังนั้น เขตเศรษฐกิจพิเศษจึงเป็นคำตอบในการจะทำให้การขับเคลื่อนไปได้สะดวกและรองรับการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาค โดยเฉพาะการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนปี 2558 เพราะเราจะเป็นตัวถ่วงความเจริญของภูมิภาคนี้ไม่ได้อีกต่อไป โดยเฉพาะเราเป็นประตูหรือ Gate way ของภูมิภาค หากล่าช้าไปก็จะเสียโอกาสทั้งเรื่องการเคลื่อนย้ายทุน การลงทุน ฯลฯ
       
       นายไชยา กล่าวอีกว่า จะมีการผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนใน 3 จังหวัดก่อนคือ จ.เชียงราย ,อ.แม่สอด จ.ตาก และ จ.กาญจนบุรี โดยกรณีกาญจนบุรี สามารถเชื่อมโยงไปยังท่าเรือทวาย ของพม่า เพียง 146 กิโลเมตร ขณะที่ประเทศไทยไม่ได้มีแผนรองรับใดๆ ไว้เลย ส่วน จ.เชียงราย และ อ.แม่สอด ก็มีความพร้อมอยู่แล้ว
       
       “ต่อไปนี้เราจะให้ความเห็นต่างทางการเมืองมาเป็นตัวถ่วงเรื่องนี้อีกไม่ได้เป็นอันขาด”
       
       นายไชยา บอกว่า แนวทางก็คือ การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษโดยการยกกฎหมายและประกาศใช้กฎหมายออกมารองรับกิจกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งยืนยันว่ากฎหมายจะไม่กระทบกับการปกครอง โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และไม่เกี่ยวกับการเมือง ซึ่งทางกรรมาธิการฯ จะผลักดันกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษให้แล้วเสร็จโดยเร็ว คาดว่าจะเป็นรูปธรรมได้ภายในรัฐบาลชุดนี้
       
       นายไชยา ยังย้ำกับสื่อมวลชนว่า รูปแบบของเขตเศรษฐกิจพิเศษ ทางคณะกรรมาธิการอาศัยคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบ เพราะเคยมีการนำเสนอเรื่องนี้ในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ต้องมีการนำมาปรับปรุงใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยกฎหมายก็จะมีการปรับให้ท้องถิ่นมีลักษณะพิเศษ หลีกเลี่ยงความหมายเรื่องผลกระทบต่อความมั่นคง และสามารถครอบคลุมในทุกมิติของเขตดังกล่าวในลักษณะ One Stop Service ทั้งเรื่องการอนุมัติ การดำเนินการ ฯลฯ โดยแต่ละพื้นที่คือ เชียงราย แม่สอด และกาญจนบุรี อาจจะมีการปรับแตกต่างกันออกไป ส่วนผู้บริหารอาจจะเทียบเท่าอธิบดีเข้าไปประจำพื้นที่ด้วย
       
       นายไชยา ยังบอกอีกว่า ตัวอย่างปัญหากรณีไม่มีเขตเศรษฐกิจพิเศษคือการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ซึ่งฝั่งลาวมีความร่วมมือกับจีนตั้งเขตเศรษฐกิจ แต่ฝั่งไทยยังไม่รู้ว่าหน่วยงานใดจะเป็นเจ้าภาพ และยังต้องหาทางเวนคืนที่ดินกันอีก ซึ่งกรณีนี้เขตเศรษฐกิจพิเศษสามารถแก้ไขปัญหาให้ได้
       
       "เป้าหมายความสำเร็จคืออยากเห็นเชียงรายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ครอบคลุมทุกมิติที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจชายแดน เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัดอาจไม่ได้มาจากกระทรวงมหาดไทยอาจเป็นนักธุรกิจ นายธนาคาร ข้าราชการหน่วยอื่นๆ เพื่อความเหมาะสม" นายไชยา กล่าว
       
       ซึ่งการสัมมนาครั้งนี้มีการเชิญนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ซึ่งถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมือง 5 ปีในคดียุบพรรคพลังประชาชน ขึ้นกล่าวปราศรัยเรื่อง "ความพร้อมของเชียงราย ในการเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดชายแดนของประเทศไทยมองภาพในฐานะประชาชน จ.เชียงราย" ด้วย
       
       โดยนายยงยุทธ ระบุว่า ไม่เคยขึ้นเวทีปราศรัย ณ ที่แห่งใดมานานกว่า 6 ปีแล้ว ส่วนในปัจจุบันอยู่ในช่วงการปรองดอง ซึ่งต้องมีคนยอมเจ็บ เพราะเราจะหนีจากกันไปไหนไม่ได้ ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป กรณีเขตเศรษฐกิจพิเศษนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่มีการสัมมนากัน เพราะในนานาชาติก็มีความร่วมมือกันของกลุ่มประเทศต่างๆ เช่น อเมริกา-แม็กซิโก หรือยุโรป ฯลฯ ส่วนประเทศไทยก็มีมูลค่าการค้าชายแดนมหาศาล และมีความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ดังนั้นจึงต้องมีการพัฒนาภายในด้วย
       
       นายยงยุทธ กล่าวอีกว่า จ.เชียงราย อยู่ไม่ไกลจากจีนตอนใต้ ที่มณฑลหยุนหนัน มีประชากรประมาณ 40 ล้านคน จากทั้งประเทศประมาณ 1,300 ล้านคน ขณะที่เชียงรายเป็นเมืองท่องเที่ยวและ Gate way หากสามารถดึงคนจีนลงมาเที่ยวได้สมมติประมาณ 5 ล้านคนต่อปีก็จะมากกว่าประชากรของจังหวัดที่มีอยู่ราว 1.3 ล้านคนเสียอีก
       
       แต่จุดอ่อนคือเราต้องพัฒนาภายในประเทศเรา ซึ่งลำพังภาคข้าราชการปกติทำไม่ได้ ต้องอาศัยความเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ในการขับเคลื่อน จึงอยากให้ทุกฝ่ายแสดงความเห็น
       
       “ภาพที่เคยมองว่าพูดกันมานานกว่า 5-10 ปีแล้วไม่มีสิ่งใดดีขึ้นนั้นจะได้หมดไป”
       
       นายยงยุทธ กล่าวยกตัวอย่างการพัฒนาว่า กรณีการท่องเที่ยวเชียงรายมีห้องพักไม่น่าเกิน 7,000 ห้อง ปัญหาคือหากจะสร้างห้องพักมากก็เสี่ยงต่อการขาดทุน หากสร้างน้อยก็ไม่พอรองรับในฤดูท่องเที่ยว ซึ่งตนเคยสนับสนุนเรื่องกองทุนสร้างโฮมสเตย์ ให้ชาวบ้านสร้างห้องพักที่มีห้องน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวก เรื่องรับนักท่องเที่ยวและขายวิถีชีวิตไปพร้อมๆ กันมาแล้ว นอกจากนี้ ยังเคยส่งเสริมการท่องเที่ยวน้ำพุร้อนที่ ต.ป่าตึง อ.แม่จัน แต่มีการปฏิวัติยึดอำนาจรัฐบาลเสียก่อนจึงทำไม่เสร็จ แต่ปัจจุบัน อบต.ป่าตึง ก็สามารถทำได้แล้ว เป็นต้น
       
       ด้านนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คาดหวังว่าอย่างช้าในปี 2555 ราวปลายปีนี้จะสามารถเปิดใช้เขตเศรษฐกิจพิเศษได้อย่างแน่นอน


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000041506


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 02 เมษายน 2012, 21:02:10
สนข.เร่งศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า รับมือ AEC ผ่านสะพานมิตรภา

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   2 เมษายน 2555 19:14 น.   


    


       ASTVผู้จัดการรายวัน - สนข.ผุดศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า (CCA) สะพานมิตรภาพทุกแห่ง ชูบริการแบบ One-Stop Service หวังรับมือเปิด AEC เตรียมชงคมนาคมเสนอ ครม.นำร่องที่ สะพานแห่งที่ 4 มูลค่า 1.5 พันล้านบาท ชี้ เป็นโครงการเร่งด่วน เหตุชักช้า ต้นทุนก่อสร้างพุ่ง โดยเฉพาะราคาที่ดิน ขณะที่ ปตท.สนลงทุนตั้งสถานีน้ำมันบริการด้วย
       
       นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า สนข.ได้มีการสำรวจเส้นทางคมนาคม ซึ่งเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โดยในส่วนของสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 ไทย-ลาว (นครพนม-คำมวน) ซึ่งเปิดใช้งานตั้งแต่วันที่ 1 ควรมีการศึกษาโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายการขนส่งสินค้า (Command Control Area : CCA) โครงการซึ่งจะเป็นศูนย์รวมและกระจายการขนส่งสินค้าเปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งระหว่างประเทศ โดยมีศูนย์ดำเนินการด้านพิธีการศุลกากร และพิธีการเกี่ยวกับการนำเข้าส่งออกครบวงจรในจุดเดียว (One-Stop Service) ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายการขนส่งที่ เชียงของ จ.เชียงราย ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อรองรับปริมาณสินค้าจำนวนมากจากประเทศจีน ผ่านทางสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
       
       โดยขณะนี้ สนข.ได้นำเสนอโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายการขนส่ง ที่ เชียงของต่อ กระทรวงคมนาคม พิจารณาเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขออนุมัติในหลักการโดยให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เป็นผู้ดำเนินการวงเงิน 1,522.275 ล้านบาท ดำเนินการ 3 ปี (55-57)
       
       นางสร้อยทิพย์ กล่าวว่า สาเหตุที่ต้องเริ่มวางแผนเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวเพื่อเตรียมความพร้อมรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 58 ด้วย ซึ่งเห็นว่าการมีสะพานมิตรภาพเกิดขึ้น ทำให้ราคาที่ดินบริเวณใกล้สะพานเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น หากมีการตัดสินใจเรื่องศูนย์เปลี่ยนถ่ายล่าช้า ก็จะมีต้นทุนในการดำเนินการสูงขึ้น นอกจากนี้ ล่าสุดทางบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้แสดงความสนใจในการเข้ามาลงทุนสถานีบริการเชื้อเพลิงในพื้นที่ใกล้กับศูนย์เปลี่ยนถ่าย ซึ่งก็จะต้องจัดหาที่ดินเพิ่มเช่นกัน ดังนั้น หากมีการดำเนินการที่สะพานอื่น จะต้องวางแผนเพื่อเตรียมความพร้อมของพื้นที่อย่างเป็นระบบด้วย
          
       นายธงไชย วีระสมัย รองผู้อำนวยการสำนักก่อสร้างสะพาน กรมทางหลวง กล่าวว่า ปริมาณรถที่ใช้สะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 (นครพนม-คำม่วน) เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เปิดใช้ในเดือน พ.ย.54 โดยมีรถรวมทุกประเภทจำนวน 2,156 คัน เดือน ธ.ค.54 จำนวน 3,030 คัน เดือน ม.ค. 55 จำนวน 3,319 คัน เดือน ก.พ.55 จำนวน 3,748 คัน และจากสถิติปริมาณจราจร พบว่า การเปิดใช้สะพานแห่งที่ 3 ไม่ส่งผลกระทบ หรือทำให้ปริมาณจราจรที่สะพานแห่งที่ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต) ลดลงแต่อย่างใด เนื่องจากสะพานแห่งที่ 2 จะเชื่อมต่อกับเวียดนามตอนใต้ ไปยังดานัง ส่วนสะพานแห่งที่ 3 จะเชื่อมกับเมืองวินห์ ทางด้านเหนือของเวียดนาม

http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9550000041746


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: แชทซาโนย่า กอยุ่ง~*-. ที่ วันที่ 03 เมษายน 2012, 10:38:25
เหลือไม่กี่ไอดีแล้วนะคะ ที่ยังเผลอๆ เพลินๆ  แชทกันอยู่
เจ้าของกระทู้เค้าตั้งกระทู้มา เค้าก็อยากได้คำตอบ อยากได้ความคิดเห็นตามที่ตั้งไว้ 
ยังไงก็เกรงใจเค้านิดนึงเนาะ    :-* :-*


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 03 เมษายน 2012, 17:08:35
ธุรกิจรับสร้างบ้านตจว.ไร้ปัญหาค่าแรง 300 เหตุแรงงานมีเพียงพอ "พีดีเฮ้าส์"สบช่องเร่งขยายแฟรนไชน์เพิ่ม

วันที่ 03 เมษายน พ.ศ. 2555 เวลา 16:19:53 น.

พีดีเฮ้าส์ เผยไตรมาสแรกยอดขายสาขาต่างจังหวัด ส่งสัญญาณฟื้นตัวช่วงท้ายไตรมาสชัดเจน ขณะที่ยอดขายกกทม.และปริมณฑลพลาดเป้า ส่งผลยอดขายรวมจาก 26 สาขาทั่วประเทศทำได้แค่ 267 ล้านบาทต่ำกว่าเป้า 11% แต่ยังมองบวกเติบโตกว่าไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เล็งเปิด "ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์" กทม.และเชียงรายอีก 2 แห่ง พร้อมเตรียมเปิด "เอคิวโฮม" แบรนด์น้องใหม่ 2 สาขารวดไตรมาสสอง ชี้ปัญหาแรงงานเป็นอุปสรรคสำคัญ หากส่งมอบงานช้าอาจกระทบรายได้ปี 55 นี้

นายพิศาล ธรรมวิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีดีเฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้าน "พีดีเฮ้าส์" และ "เอคิวโฮม" เปิดเผยว่า ตลาดรับสร้างบ้านและยอดขายของกลุ่มบริษัทฯ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลช่วงไตรมาสแรก พบว่าความต้องการสร้างบ้านและกำลังซื้อยังไม่คึกคักนัก ทำให้ยอดขายในช่วง 3 เดือนแรกต่ำกว่าเป้าที่วางไว้
 
ขณะที่กำลังซื้อจากสาขาในต่างจังหวัดกลับฟื้นตัวชัดเจน ส่งผลให้สาขาในพื้นที่ภาคอีสานได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี สุรินทร์ สกลนคร และสาขาในภาคเหนือ เช่น นครสวรรค์ พิษณุโลก ต่างมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นทุกแห่ง
 
โดยปัจจัยสำคัญๆ ที่ผู้บริโภคเลือกใช้บริการกับพีดีเฮ้าส์ เป็นเพราะ 1.ภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพ และ 2.ความต้องการสร้างบ้านอนุรักษ์พลังงานหรือบ้านที่ก่อสร้างด้วยวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
 
สำหรับแผนการขยายสาขาในไตรมาสสองนี้ บริษัทฯ จะเปิดสาขาพีดีเฮ้าส์เพิ่มอีก 2 แห่งได้แก่ สาขาถนนพระราม 2 และสาขาจังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นการขยายพื้นที่ให้บริการสร้างบ้านให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น
 
รวมทั้งเตรียมเปิดศูนย์รับสร้างบ้านเอคิวโฮม พร้อมๆ กันอีก 2 สาขาคือ สาขานครปฐมและนครราชสีมา เพื่อรองรับลูกค้าที่ต้องการสร้างบ้านระดับราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท คาดว่าการขยายสาขาจะช่วยเพิ่มยอดขายให้เติบโต ตามแผนการตลาดที่บริษัทฯ วางไว้ปี 2555 นี้
 
"ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อธุรกิจรับสร้างบ้านในปีนี้คือ ปัญหาขาดแคลนแรงงานฝีมือ ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา บริษัทรับสร้างบ้านทั้งรายเล็กรายใหญ่ที่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ต่างเผชิญกับปัญหาดังกล่าวเหมือนๆ กัน
 
ในส่วนของบริษัทฯ เองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่ยังสามารถแก้ไขสถานการณ์เอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง โดยนำระบบเสาคานสำเร็จรูปที่เรียกว่า Multi-Joint Lock System ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีแรงงานจำนวนมาก มาใช้แทนวิธีก่อสร้างบ้านแบบเดิมๆ
 
รวมทั้งปีนี้ลูกค้าของบริษัทฯ กว่าร้อยละ 70% สร้างบ้านในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งยังสามารถหาแรงงานก่อสร้างฝีมือเข้ามาร่วมงานได้เพียงพอ กับปริมาณงานสร้างบ้านที่มีอยู่ในปัจจุบัน"
 
นายพิศาล กล่าวว่า ไตรมาสแรกที่ผ่านมาตั้งเป้ายอดขายไว้ 300 ล้านบาท ในขณะทุกสาขาของ พีดีเฮ้าส์ ทั่วประเทศสามารถทำยอดขายรวมได้เพียง 267 ล้านบาท หรือต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 11% แต่เมื่อพิจารณาจากตลาดรวมรับสร้างบ้านที่เพิ่งจะเริ่มฟื้นตัวก็ถือว่ายอมรับได้
 
อย่างไรก็ดีในช่วงไตรมาสสองนี้ บริษัทฯ ประเมินว่าความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าไตรมาสแรก เนื่องเพราะความกังวลเรื่องปัญหาน้ำท่วมคลายลงมากแล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำยอดขายเพิ่มได้อีก
ทั้งนี้บริษัทฯ เตรียมใช้งบการตลาดจำนวน 5 ล้านบาท ผ่านสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์และกิจกรรมต่างๆ เช่น โฆษณาหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ป้ายบิลบอร์ด เวบไซต์ เคเบิ้ลทีวี และร่วมออกบูธในงาน Build Tech′ 12 ระหว่างวันที่ 5-8 เมษายนนี้ ณ ศูนย์ประชุมไบเทคบางนา
 
โดยไตรมาสสองนี้ตั้งเป้ายอดขายไว้ 340-360 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนประมาณ 30% จากเป้ายอดขายตลอดทั้งปีตั้งไว้ 1,400 ล้านบาท

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1333445068&grpid=&catid=07&subcatid=0700


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 04 เมษายน 2012, 16:27:10
เชียงรายปรับถนนคนเดินเป็นปิดถนนคนม่วนเล่นน้ำสงกรานต์

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   4 เมษายน 2555 11:46 น.   

   

เชียงรายปรับถนนคนเดินเป็นปิดถนนคนม่วนเล่นน้ำสงกรานต์
       เชียงราย - สมาพันธ์การท่องเที่ยวเชียงราย ร่วมกับ ททท.สำนักงานสาขาเชียงราย จัดกิจกรรมปี๋ใหม่เมืองถนนคนม่วน (ปีใหม่เมืองถนนคนสนุก) เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลประเพณีมหาสงกรานต์ ในระหว่างวันที่ 12-15 เมษายน โดยเฉพาะในปีนี้เมืองเชียงรายมีอายุครบรอบ 750 ปี
       
       นายกิตติ ทิศสกุล นายกสมาพันธ์การท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวว่า เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ของปีนี้ จังหวัดเชียงรายจะมีการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมประเพณีและการท่องเที่ยว ซึ่งจะมีการปิดถนนชุมชนสันโค้งเพื่อไม่ให้รถทุกชนิดผ่านในวันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน ตั้งแต่เวลา 14.00 น.เป็นต้นไป โดยสานต่อจากโครงการถนนคนม่วนที่ทางชุมชนมีการปิดถนนทุกเย็นวันอาทิตย์อยู่แล้ว
       
       ทั้งนี้ กิจกรรมจะมีมากกว่าเดิม โดยมีขบวนแห่ประเพณีสงกรานต์ การแสดงของชาวต่างชาติที่มาพำนักระยะยาวอยู่ใน จ.เชียงราย เช่น ชาวจีน ญี่ปุ่น ยุโรป ฯลฯ การจัดประเพณีการขอพรรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ เพื่อให้ผู้ใหญ่อวยพรในปีใหม่ไทยเพื่อความสุข ความเจริญ ตามประเพณีชาวล้านนา
       
       “นอกจากนี้ มีการตั้งจุดบริการน้ำสะอาด เพื่อให้คนไทยและชาวต่างชาติได้ร่วมสนุกเล่นน้ำสงกรานต์กัน มีรำวงย้อนยุค การจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ที่สำคัญในกิจกรรมไม่มีการจำหน่ายเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ทุกชนิด รวมทั้งไม่ให้มีการตั้งวงดื่มสุราบนถนนคนม่วนด้วย โดยมีการขอกำลังสารวัตรทหารจากจังหวัดทหารบกเชียงราย และชุด ฉก.ม.2 รวมทั้งตำรวจ มาดูแลรักษาความสงบสุขจำนวน 50 นายด้วย” นายกิตติกล่าว
       
       ด้านนางจิรารัตน์ มีงาม ผู้ช่วย ผอ.ททท.เชียงราย กล่าวว่า ททท.ได้ให้การสนับสนุนช่วยประชาสัมพันธ์ไปตามสื่อต่างๆ เกี่ยวกับกิจกรรมดังกล่าว โดยต้องการให้จัดเป็นประเพณีเช่นนี้ขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เพื่อจะได้บรรจุในปฏิทินการท่องเที่ยว เหมือนกับกิจกรรมสงกรานต์ของ จ.เชียงใหม่ และ จ.สุโขทัย ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น ทั้งนี้ คาดหวังว่ากิจกรรมนี้จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว และทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างชาติหลั่งไหลไปเที่ยวจังหวัดเชียงรายในช่วงเทศกาลสงกรานต์มากขึ้น

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000042484


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 เมษายน 2012, 10:34:39
ผุด13นิคมหนีค่าแรง300

วันที่ 05 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7798 ข่าวสดรายวัน

ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ผลกระทบ จากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน ทำให้ผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งที่ใช้แรงงานเป็นหลักได้รับผลกระทบ ประกอบกับเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าร่วมการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 2558 ได้สั่งการให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เร่งจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมชายแดนรองรับการลงทุนในพื้นที่ชายแดนที่จำเป็น อาทิ กัมพูชา พม่า เพราะไม่สามารถรับค่าแรงที่ปรับขึ้นได้ นักลงทุนจึงควรย้ายฐานการผลิตไปหาแรงงานถูก และจำนวนมากพอ

นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่าง จัดทำรายละเอียดการจัดตั้งนิคมฯใหม่ชายแดนในจังหวัดต่างๆ ทาง ภาคอีสาน และที่ขอขยายพื้นที่รองรับการลงทุนในอนาคตรวม 13 แห่ง เสนอคณะกรรมการบริหาร กนอ. ได้แก่ นิคมฯชายแดนด่านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี นิคมฯ อ.เชียงของ จ.เชียงราย นิคมฯล้านนา จ.ลำพูน นิคมฯ ซี.พี. จ.ระยอง นิคมฯ เหมราชชลบุรี(โครงการ 2) จ.ชลบุรี นิคมฯชัยโย อินดัสเตรียล ปาร์ค จ.ชลบุรี นิคมฯปิ่นทอง(โครงการ 3) จ.ชลบุรี นิคมฯ อีสเทิร์นซีบอร์ด จ.ระยอง นิคมฯจ.ขอนแก่น นิคมฯจ.อุดรธานี นิคมฯผลิตสื่อบันเทิง จ.เพชรบุรี นิคมฯจ.นครพนม และนิคมฯจ.นครราชสีมา คาดว่าทั้งหมดจะสร้างเสร็จภายใน 2 ปีนับจากนี้

หน้า 8


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 เมษายน 2012, 23:26:16
เชียงรายปัดฝุ่น"เขตศก.พิเศษ"ชูธงแม่สาย-เชียงแสน-เชียงของ



นายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงรายได้จัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อร่วมกำหนดทิศทางและวางแผน การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ประกอบด้วยตัวแทน

จากหน่วยงานภาครัฐและ ภาคเอกชน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ด้านการค้าและการลงทุน ด้านการท่องเที่ยว ด้านโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน กำหนดศึกษาพื้นที่ 3 อำเภอชายแดน คืออำเภอแม่สาย เชียงแสน และเชียงของ มุ่งให้เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงกับอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือจีเอ็มเอส โดยเฉพาะพม่า สปป.ลาว จีนตอนใต้ ซึ่งขณะนี้มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับกลุ่มประเทศต่าง ๆ เหล่านี้อยู่แล้ว

ปัจจุบัน มีจุดผ่านแดนถาวรที่จังหวัดเชียงราย 4 จุด ใน 3 อำเภอดังกล่าว และมีจุดผ่อนปรน 10 จุด ซึ่งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมามีปริมาณการค้ามูลค่า 29,771.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.25% นอกจากนี้ ศักยภาพของจังหวัดเชียงราย ถือว่าเป็นเมืองหน้าด่านประตูเศรษฐกิจของประเทศไทยไปสู่กลุ่มจีเอ็มเอส กลุ่มบิมสเทค (อินเดีย บังกลาเทศ) ได้อีกด้วย

เบื้องต้นมีการกำหนด ให้อำเภอแม่สาย เป็นเขตการค้า การลงทุน เพราะมีความได้เปรียบทางด้านแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ อ.เชียงแสน มุ่งไปที่การค้า การลงทุน รวมถึงการท่องเที่ยว โดยมีความได้เปรียบด้านช่องทางการขนส่งทางน้ำผ่านแม่น้ำโขง ไปยังจีนตอนใต้ และ อ.เชียงของ มีปัจจัยการสนับสนุนจากการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขง แห่งที่ 4 เชื่อม สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ซึ่งจะมีการเปิดใช้อย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2556 นี้ เส้นทางดังกล่าวยังเป็นเส้นทางใหม่ และเป็นทางบก เหมาะกับระบบการขนส่งที่ต้องการความรวดเร็ว ผ่านไปยังเส้นทางใน สปป.ลาว และเข้าสู่จีนตอนใต้ของมณฑลหยุนหนาน

ด้านนายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ รองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย และประธานหอการค้าอำเภอแม่สาย กล่าวว่า ภาคเอกชนจะนำเสนอรูปแบบเขตเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าวให้สอดคล้องกับเอกลักษณ์ของ พื้นที่โดยไม่ปล่อยให้กลุ่มทุนใหญ่ ๆ เข้าไปถือครองทั้งหมด โดยอำเภอแม่สาย มุ่งพัฒนาให้เป็นเขตการค้าระหว่างประเทศและชายแดน ส่วนอำเภอเชียงแสน จะมีการผลักดันให้เป็นเมืองท่าเรือ และอำเภอเชียงของ เป็นเขตพาณิชยกรรมและการท่องเที่ยว โดยแต่ละแห่งต้องมีการบังคับใช้กฎหมายและอำนวยความสะดวก เพื่อการค้าการลงทุนในเขตนั้น ๆ ที่มีความเป็นพิเศษกว่าพื้นที่โดยทั่วไป

"แนว โน้มการประกาศเขตและการใช้กฎหมายจะแตกต่างจากการผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษใน รูปแบบพระราชกำหนดในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ใช้กฎหมายประกาศครอบคลุมพื้นที่และให้ผู้ว่าการเขตเข้าไปบริหารงานขึ้น ตรงต่อนายกรัฐมนตรีโดยตรง โดยหันมาใช้พระราชบัญญัติบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 11 (8) ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการเข้าไปบริหารพื้นที่เศรษฐกิจได้ในบางพื้นที่"

นาย บุญธรรมกล่าวอีกว่า เป้าหมายของการพัฒนาชายแดนจะเป็นการค้าระหว่างประเทศ ไม่ใช่ตั้งเขตอุตสาหกรรม และควรส่งเสริมจุดแข็งของภูมิภาคลุ่มน้ำโขงคือ การท่องเที่ยว โดยการดึงนักท่องเที่ยวชาวจีนตอนใต้กว่า 200 ล้านคนลงมาท่องเที่ยว และมุ่งสู่พม่าอีก 60 ล้านคน

โดยเฉพาะปัจจุบันมีถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-พม่า ที่สะดวก รวมทั้งสามารถเชื่อมต่อไปยังเดียนเบียนฟู เวียดนามได้อีกด้วย

ขณะ ที่พม่าและ สปป.ลาว ก็กำลังร่วมมือกันสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขง อย่างไรก็ตาม การผลักดันคงต้องใช้เวลาอีกนาน เพราะยังอยู่ในขั้นการระดมสมองก่อนที่คณะกรรมาธิการจะนำไปสรุปผลและนำเสนอ รัฐบาล และสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1333712333&grpid=03&catid=&subcatid= (http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1333712333&grpid=03&catid=&subcatid=)


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 เมษายน 2012, 21:08:41
รมว.คมนาคมตรวจท่าเรือเชียงแสนใหม่ เล็งเพิ่มเรือสินค้าไทยในแม่น้ำโขงรับเออีซี

(http://pics.manager.co.th/Images/555000004655001.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/555000004655002.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/555000004655003.JPEG)


เชียงราย - รมว.คมนาคมตรวจท่าเรือเชียงแสนหลังเริ่มดำเนินการแล้ว พอใจท่าเรือมีความพร้อม แต่ติงต้องหาที่ให้เอกชนเพิ่ม ส่วนสถานการณ์เดินเรือลำน้ำโขงช่วงหน้าแล้ง พบเรือลาวให้บริการคึกคักหลังเรือจีนหาย เตรียมหารือเอกชนเพิ่มเรือไทยรับเออีซี
       
       วันนี้ (8 เม.ย.) นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เดินทางไปตรวจการดำเนินการของท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ตั้งอยู่ปากแม่น้ำกก บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย หลังจากท่าเรือดังกล่าวก่อสร้างแล้วเสร็จแล้วตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อรองรับการขนส่งทางน้ำในเขตสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจไทย สปป.ลาว พม่า และจีนตอนใต้ ตามข้อตกลงเดินเรือพาณิชย์แม่น้ำโขงตอนบน
       
       ทั้งนี้ผลการตรวจสอบพบว่า มีเรือพาณิชย์เข้าใช้บริการไม่มากนัก ซึ่งเป็นไปตามปกติของฤดูแล้ง โดยเรือส่วนใหญ่ให้บริการเป็นเรือสินค้าของ สปป.ลาว ขนาด 100-150 ตัน ที่แล่นให้บริการขนส่งสินค้าในแม่น้ำโขงมากขึ้น เพื่อทดแทนเรือสินค้าจากจีนที่มีขนาดกว่า 200-300 ตัน ซึ่งไม่เหมาะกับฤดูแล้งที่น้ำในแม่น้ำโขงแห้งขอดลง รวมทั้งยังคงอยู่ในความหวาดกลัวจากเหตุการณ์ยิงลูกเรือจีน 13 ศพ เมื่อเดือน ต.ค. 2554 บริเวณสามเหลี่ยมทองคำชายแดนพม่า-สปป.ลาว ด้วย



       นายจารุพงศ์กล่าวว่า ท่าเรือแห่งใหม่นี้มีความพร้อมอย่างเต็มที่แล้ว โดยความสามารถรองรับสินค้านำเข้า และส่งออกได้ปีละกว่า 6 แสนตัน ส่วนปัญหาที่พบตอนนี้คือ ความไม่สะดวกของผู้ประกอบการ เนื่องจากยังไม่ได้มีการย้ายสำนักงานดำเนินการ จากเดิมที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้ท่าเรือแห่งเก่า ในเขตเทศบาล ต.เวียงเชียงแสน มายังท่าเรือแห่งใหม่ ขณะเดียวกัน ภายในท่าเรือแห่งใหม่เองก็ยังไม่มีพื้นที่ให้ภาคเอกชนตั้งสำนักงาน เพราะออกแบบให้เฉพาะหน่วยงานภาครัฐเข้ามาตั้งสำนักงานเท่านั้น
       
       “ทางท่าเรือคงจะต้องเร่งจัดสรรพื้นที่สำหรับตั้งสำนักงาน หรือโกดัง เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการต่อไป ส่วนเรื่องน้ำโขงแห้งถือเป็นเรื่องธรรมชาติที่มีเป็นประจำทุกปี และยังไม่เป็นปัญหาต่อการเดินเรือสินค้าแต่อย่างใด แต่ปัญหาที่น่าห่วงก็คือ ขณะนี้ ไม่มีเรือไทยวิ่งขนส่งสินค้ามากกว่า ต่อจากนี้คงต้องพูดคุยกันเรื่องให้ผู้ประกอบการไทยจัดหา หรือซื้อเรือบรรทุกสินค้าของคนไทยเอง เพื่อรองรับประชาคมอาเซียน หรือเออีซีในปี 2558 ซึ่งคาดว่าการค้าการนำเข้าส่งออกจะมีมูลค่าสูงขึ้น” นายจารุพงษ์กล่าว
       
       รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ตั้งอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 387 ไร่ 1 งาน 44 ตารางวา ติดชายแดนไทย-สปป.ลาว ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้ว่าจ้างเอกชนให้ทำการก่อสร้าง โดยใช้งบประมาณ 1,546.4 ล้านบาท โดยเริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค. 2552 ถึงวันที่ 28 ธ.ค.2554 และเปิดใช้งานตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา ตามมติคณะรัฐมนตรี โดยที่มาของโครงการนี้ สืบเนื่องจากท่าเรือแห่งแรกตั้งอยู่กลางเมืองโบราณ และชุมชน อีกทั้งมีความคับแคบ และมีศักยภาพรองรับสินค้าได้เพียงปีละประมาณ 3 แสนตันเท่านั้น



       อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจการขนส่งทางเรือในแม่น้ำโขงในปัจจุบัน พบว่า มีเรือสินค้าไทยน้อยมาก โดยปัจจุบัน มีมีเรือสัญชาติจีนที่ทำการขนส่งในแม่น้ำโขงประมาณ 90 ลำ แต่ได้ลดปริมาณลงหลังเกิดเหตุการณ์ยิงลูกเรือจนเสียชีวิต 13 ศพ เมื่อเดือน ต.ค. 2554 ทำให้เรือสินค้าลาวเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 140 ลำแล้ว จากเดิมที่มีเพียงเรือลำเล็กๆ ประมาณ 70 ลำ โดยมีเรือของลาวจากแหล่งอื่นๆ เช่น หลวงพระบาง เข้ามาให้บริการเพิ่มมากขึ้น
       
       ขณะที่เรือของพม่าพบว่ามีทั้งสิ้น 25 ลำ ส่วนเรือไทยมีเพียง 3 ลำเท่านั้น โดยผู้ประกอบการระบุว่า สาเหตุที่ไม่มีเรือสินค้าไทยนั้น เป็นเพราะเอกชนไทยเลือกที่จะเข้าไปถือหุ้นกับเอกชนจีน หรือประเทศอื่นๆ มากกว่า ประกอบกับการเดินเรือแม่น้ำโขงยังมีความเสี่ยง เพราะไม่มีมาตรฐานเรื่องการประกันภัย อีกทั้งยังไม่มีการจ่ายเงินค่าขายสินค้าผ่านธนาคาร ทำให้ต้องใช้เงินสด หรือแลกสินค้ากัน นอกจากนี้ การเดินเรือแม่น้ำโขงต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะซึ่งทางจีนมีมากกว่า และยังมีเหตุผลในเรื่องอิทธิพลแถบลุ่มแม่น้ำโขงอีกด้วย
       
       สำหรับการค้าชายแดนผ่านท่าเรือเชียงแสนถือว่ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปี โดยปี 2554 มีการส่งออก 8,992.65 ล้านบาท นำเข้า 1,100.12 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2555 ตั้งแต่เดือน ต.ค.2554-ก.พ.2555 มีการส่งออกแล้ว 4,480.40 ล้านบาท นำเข้า 180.08 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการค้ากับจีน โดยสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นส่วนน้ำมันดีเซล ไก่แช่แข็ง น้ำมันปาล์ม ส่วนสินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นผลไม้ เมล็ดทานตะวัน กระเทียม ดอกไม้เพลิง เห็ดหอม เป็นต้น


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000044204


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 12 เมษายน 2012, 19:41:25
ทูตสหรัฐเชื่อมั่นไทยพร้อมหนุนธุรกิจอเมริกันลงทุนในไทยต่อเนื่อง

วันพฤหัสบดี ที่ 12 เม.ย. 2555 
   
กรุงเทพฯ 12 เม.ย.- ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวภายหลังนางคริสตี้ เคนนี เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยเข้าพบว่า นางคริสตี้ให้ความสนใจสอบถามความคืบหน้ามาตรการดูแลนิคมอุตสาหกรรมหลังประสบอุทกภัย

ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมแจ้งให้ทราบว่า โรงงานอุตสาหกรรมไทยฟื้นตัวแล้วร้อยละ 60 ด้านการก่อสร้างเขื่อนป้องกันน้ำมีคืบหน้าต่อเนื่องบางแห่งสร้างแล้วร้อยละ 25 ขณะที่บางแห่งเริ่มได้ร้อยละ 10 แล้ว และรัฐบาลไทย คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย หรือ กบอ.ซึ่งมีนายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นประธานเห็นชอบในหลักการ ที่จะให้ความช่วยเหลืองบประมาณในการก่อสร้างเขื่อนป้องกันน้ำ 2 ใน 3 ของวงเงินก่อสร้างของนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้รอเพียงราคากลางเท่านั้น โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กอน.) มีการประชุมเรื่องการกำหนดราคากลางและจะเสร็จเดือนเมษายนนี้ ขณะที่นางคริสตี้ ยังให้ความสนใจภาพรวมการลงทุนในประเทศไทย พร้อมยืนยันว่า นักลงทุนสหรัฐมีความเชื่อมั่นประเทศไทยที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีทั้งถนน ท่าอากาศยาน อีกทั้งประเทศไทยคนไทยมีความเป็นมิตรกับนักลงทุนต่างชาติ

ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐจะช่วยอธิบายความคืบหน้าพร้อมของไทยในการเป็นศูนย์กลางอาเซียนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้กับอุตสาหกรรมไทยที่กำลังก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยนางคริสตี้ ยืนยันว่านักลงทุนสหรัฐจะลงทุนในประเทศไทยต่อภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลสหรัฐและหอการค้าสหรัฐในไทย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า นักลงทุนสหรัฐลงทุนในไทยมากเป็นอันดับ 3 ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2555 โดยมีการลงทุนในไทยเพิ่มอีก 9,000 ล้านบาท ซึ่งเวสเทริน์ดิจิตอลยืนยันยังคงใช้ไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญต่อไป ]สหรัฐยังเห็นว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมีความแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ยังได้ชี้แจงให้ทราบถึงนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมที่จะให้มีการลงทุนพัฒนานิคมอุตสาหกรรมชายแดน ซึ่ง กนอ.จะศึกษาเสร็จในเดือนกันยายนนี้ และให้เกิดขึ้นก่อนการเกิดขึ้นของ AEC เพื่อให้โครงการลงทุนภาคอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก เช่น เฟอร์นิเจอร์ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ได้ใช้ประโยชน์จากแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย

นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้มีการลงทุนในอุตสาหกรรมยางพาราในชายแดนไทยกับลาว เนื่องจากที่อุดรธานี มีการปลูกยางพารามากและยังมีการปลูกในลาวด้วย จึงสามารถลงทุนโครงการที่ใช้ยางพาราได้ตั้งแต่ระดับต้นน้ำถึงปลายน้ำได้ อีกทั้งการจะเกิดขึ้นของนิคมอุตสาหกรรมที่ทวายของพม่าก็จะมีการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่อำเภอน้ำพุ จังหวัดกาญจนบุรี ให้เป็นแหล่งที่ป้อนชิ้นส่วนจำเป็นให้แก่โรงงานที่ลงทุนในนิคมที่ทวายด้วย ซึ่งนางคริสตี้ตอบรับที่จะแจ้งโครงการดังกล่าวให้นักลงทุนสหรัฐทราบโอกาสการลงทุนนิคมอุตสาหกรรมตามแนวชายแดนด้วย.-สำนักข่าวไทย

http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/352846.html


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 16 เมษายน 2012, 12:22:47
เชียงราย - ธุรกิจที่ดินเมืองพ่อขุนฯ เริ่มขยายตัวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทุนใหญ่ไทย-เทศเข้ายึดจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ขณะที่การซื้อขาย-โอนกรรมสิทธิ์รายย่อยเกิดขึ้นต่อเนื่อง
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงรายแจ้งว่า ขณะนี้การซื้อขายที่ดิน-โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในพื้นที่ จ.เชียงรายยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลายแห่งยังมีอัตราการเพิ่มขึ้น
       
       ทั้งนี้ มีรายงานจากสำนักงานที่ดิน จ.เชียงรายว่า ในปี 2554 พบมีการทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินรูปแบบต่างๆ รวมจำนวน 6,917 แปลง มูลค่าทรัพย์สินกว่า 6,021 ล้านบาท และในปี 2555 ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม หรือไตรมาสแรกพบมีการทำนิติกรรมแล้วจำนวน 1,894 แปลง มูลค่าทรัพย์สินประมาณ 1,488 ล้านบาท
       
       นายวุฒิสิทธิ์ จันทสูตร เจ้าพนักงานที่ดิน จ.เชียงราย กล่าวว่า การซื้อขายถ่ายโอนที่ดินในพื้นที่ จ.เชียงรายมีความคึกคักมากขึ้นกว่าในอดีตมาก สาเหตุเกิดจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ตลอดจนโครงการพัฒนาสาธารณูปโภคเชื่อมโยงกับเพื่อนบ้าน
       
       เช่น มีการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ที่ อ.เชียงของ ฯลฯ จนทำให้บางบริเวณ เช่น อ.เชียงของ ฯลฯ มีการซื้อขายที่ดินกันอย่างมากมาย หรือเกิดจากการส่งเสริมด้านการปลูกยางพารา ทำให้มีการหาซื้อที่ดินหรือเข้าไปจับจองที่ดินเพื่อการเกษตรด้านนี้มากขึ้นจนเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันพบว่ามีประชาชนบางส่วนหันมาจับจองที่ดินเพื่ออยู่อาศัยที่ จ.เชียงรายมากขึ้นด้วย



       อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบการเปลี่ยนการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินยังพบว่าส่วนใหญ่เป็นการเปลี่ยนสิทธิเพื่อการอยู่อาศัยเป็นสำคัญ โดยยังไม่มีตัวเลขที่ผิดปกติหรือแตกต่างจากอดีตมากนัก แต่ก็ถือว่ากระเตื้องเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านๆ มาราว 5-10%
       
       โดยยังไม่พบการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ทางการเกษตรไปเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมทั้งของไทยและต่างชาติ และมีเพียงกลุ่มทุนจีนบางส่วน และกลุ่มเครือสหฟาร์มไม่กี่รายที่เข้าไปซื้อที่ดินที่ อ.เชียงของประมาณ 500 ไร่ และ อ.พญาเม็งรายประมาณ 800 ไร่ เพื่อเปิดกิจการโรงงานอุตสาหกรรม
       
       ขณะเดียวกัน พบว่ากลุ่มบริษัท ซี.พี. กลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กลุ่มเบียร์ช้าง ฯลฯ ได้เข้าไปหาที่ดินในพื้นที่เช่นกัน เพียงแต่ที่ดินจำนวนมากที่ถูกระบุว่าเข้าไปดำเนินการก็ยังไม่มีการทำนิติกรรมต่อสำนักงานที่ดินเชียงรายแต่อย่างใด คาดว่าคงอยู่ระหว่างดำเนินการกันอยู่
       
       นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ กล่าวว่า ปัจจุบันมีกลุ่มทุนใหญ่เข้าไปจับจองพื้นที่เพื่อประกอบธุรกิจใหญ่ๆ อย่างหลากหลาย ตามความเหมาะสมของพื้นที่ที่สามารถเชื่อมโยงกับประเทศในกลุ่มจีเอ็มเอสได้หลายประเทศ ทั้งพม่า สปป.ลาว และจีนตอนใต้
       
       ในอดีตเราไม่ค่อยเห็นการเข้าไปลงทุนในลักษณะนี้มากนัก พบเพียงกลุ่มทุนจีนที่เข้ามาค้าขาย นำเข้าและส่งออก แต่ปัจจุบันกลุ่มทุนใหญ่ของไทยตัวจริงได้ทยอยไปลงทุน โดยเห็นได้ชัดเจนที่สุดในขณะนี้คือ เครือสหฟาร์ม ที่ไปซื้อที่ดินจำนวนมากที่ อ.เชียงแสน และ อ.เชียงของเพื่อผลิตไก่ส่งออก จึงคาดว่าในอนาคตกลุ่มทุนที่ได้เข้าไปหาที่ดินจะทยอยลงทุนกันมากขึ้นเรื่อยๆ
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับราคาประเมินที่ดินประจำปี 2551-2554 โดยกรมธนารักษ์ระบุว่า ราคาที่ดินในเขต อ.เชียงของ ชายแดนไทย-สปป.ลาว ซึ่งกำลังมีการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อมไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ผ่านถนน R3a และมีกำหนดแล้วเสร็จราวปลายปี 2556 มีความแตกต่างจากราคาซื้อขายจริงในพื้นที่อย่างมาก
       
       ราคาประเมินตามจุดสำคัญๆ คือ ที่ดินติดทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1129 สายเชียงของ-เชียงแสน ราคาไร่ละ 100,000 บาท ราคาติดถนนริมโขงและติดแม่น้ำโขงราคา 1,500,000-2,000,000 บาท
       
       ขณะที่ที่ดินติดทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1020 สายเทิง-เชียงของ อยู่ที่ไร่ละ 2,500,000 บาท แต่เชื่อกันว่าราคาซื้อขายจริงจะเกินกว่าราคาประเมินไม่ต่ำกว่า 50% ขึ้นไป

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000047228


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 17 เมษายน 2012, 11:06:30
วาระครม. มท.เสนอโยกย้ายซี 10- กห.ชงบกลาง 952 ลบ.ปรับเงินเดือนทหาร

วันอังคารที่ 17 เมษายน 2012

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการประชุมคณะรัฐมนตรี ( ครม.) ในวันนี้ ( 17 เมษายน ) นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะทำหน้าที่ประธานการประชุมแทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน สำหรับการประชุมวันนี้ มีวาระที่น่าสนใจคือ กระทรวงมหาดไทยจะเสนอรายชื่อโยกย้ายข้าราชการ ประเภทตำแหน่งบริหารระดับสูง(ระดับ 10) ประมาณ 7 ตำแหน่ง คาดว่าจะมีการเสนอย้าย นายอนุวัฒน์ เมธีวิบูลย์วุฒิ อธิบดีกรมที่ดินไปดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย และแต่งตั้งนายบุญเชิด คิดเห็น ผู้ว่าราชการจังหวัด (ผวจ.)ลำพูน ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมที่ดินแทน  ทั้งนี้ก่อนหน้าที่นายบุญเชิด จะไปเป็นผู้ว่าฯนายบุญเชิด เคยดำรงคำแหน่งรองอธิบดีกรมที่ดินมาก่อน  พร้อมกันนี้จะเสนอย้ายผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยออกไปเป็นผวจ. ประกอบด้วย นายเชิดศักดิ์ ชูศรี ผู้ตรวจฯ ไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯสุราษฎร์ธานี และย้ายนายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล ผวจ.สุราษฎร์ธานี ไปเป็นผู้ตรวจ นายวันชาติ วงษ์ชัยชนะ ผู้ตรวจฯ ไปดำรงตำแหน่งผวจ.ร้อยเอ็ด และย้ายนายสมศักดิ์ ขำทวีพรหม ผวจ.ร้อยเอ็ด ไปเป็นผู้ตรวจฯ รวมทั้งจะมีการย้าย นายเสนีย์ จิตตเกษม ผวจ.ตรัง ไปดำรงตำแหน่งผวจ.ระยอง แทนนายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย ผวจ.ระยอง และคาดว่าจะมีการย้าย นายธวัชชัย ไปดำรงตำแหน่ง ผวจ.ลำปาง หรือผวจ.ตรัง

 

กระทรวงมหาดไทยชงปรับเงินเดือนทหารตามขรก. โดยคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอครม. คณะที่ 1 (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้าง) ที่มีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ เป็นประธาน เสนอเรื่อง การปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุและการเลื่อนชั้นเงินเดือนเพื่อชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของกระทรวงกลาโหม โดยกห.ขออนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง 3 ฉบับ เพื่อปรับปรุงกำหนดอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของข้าราชการทหารทหารทุกคุณวุฒิให้เท่ากันหรือใกล้เคียงกับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของข้าราชการพลเรือนสามัญในคุณวุฒิเดียวกัน รวมทั้งการชดเชยแก่ทหารที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุ เพื่อแก้ปัญหาเงินเดือนทหารกับข้าราชการพลเรือนสามัญเหลื่อมลำกัน

ได้แก่ 1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหาร และการให้ได้รับเงินเดือน พ.ศ. …. 2. ร่างคำสั่งกระทรวงกลาโหม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการให้ได้รับเงินเดือนแรกบรรจุสำหรับข้าราชการทหารที่มีคุณสมบัติตามปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ราชการของกระทรวงกลาโหม 3. ร่างคำสั่งกระทรวงกลาโหม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเลื่อนชั้นเงินเดือนเพื่อชดเชยแก่ข้าราชการทหารที่ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุ
 
ทั้งนี้กห.จะขออนุมัติงบประมาณในส่วนงบกลาง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุและการเลื่อนชั้นเงินเดือนเพื่อชดเชยแก่ข้าราชการทหารผู้ได้รับผลกระทบโดยจัดสรรให้แก่ส่วนราชการสังกัดกระทรวงกลาโหม จำนวนเงิน 952,454,020 บาท โดยจัดสรรให้แก่ส่วนราชการสังกัดกห.กลาโหม ดังนี้ 1. สำนักงานรัฐมนตรี และสำนักงานปลัดกระทรวงกระทรวงกลาโหม 18,045,120 บาท 2. กรมราชองครักษ์ 1,985,040บาท 3. กองบัญชาการกองทัพไทย 86,779,830บาท 4.กองทัพบก 584,341,030 บาท 5. กองทัพเรือ 182,182,280 บาท 6. กองทัพอากาศ 79,120,720บาท

โดยจะมีการปรับกำหนดอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของข้าราชการทหารทุกคุณวุฒิให้เท่ากันหรือใกล้เคียงกับเงินเดือนแรกบรรจุของพลเรือนสามัญในคุณวุฒิเดียวกัน กรณีที่มีคุณวุฒิต่างกันให้ปรับอัตราเงินเดือนโยคงค่าความต่างของอัตราเงินเดือนเเดิมกับคุณวุฒิหลักที่ใช้อ้างอิง โดยให้ดำเนินการเป็น 2 ระยะ คือ ณ 1 ต.ค. 2553 ปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของทหารทุกคุณวุฒิตามแนวทางของข้าราชการพลเรือนสามัญตามติครม.เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2553 และ ณ 1 ม.ค. 2555 ปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของทหารตามแนวทางของข้าราชการพลเรือนสามัญ ตามติครม.วันที่ 31 ม.ค. 2555 ตัวอย่างเช่น บุคคลที่มีวุฒิปริญญาตรีหรือประกาศนียบัตรเทียบได้ไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี หลักสูตรกำหนดเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า4 ปี ประเภทนายทหารชั้นสัญญาบัตร ณ 1 ต.ค.53 รับเงินเดือนอัตรา น.1 ชั้น 8 ณ 1 ม.ค.55 ผู้มีคุณวุฒิการศึกษาตรงตามบัญชีแนวท้ายกฎกระทรวง รับอัตรา น.1 ชั้น 12.5 ขณะที่บุคคลคุณวุฒิการศึกษาตรงตามบัญชีและมีคุณสมบัติตามปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพ การปฎิบัติหน้าที่ราชการที่กห.กำหนดได้รับอัตรา น.1ชั้น13.5
 
ด้านสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในพ.ร.บ.กำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงและสะพาน พ.ศ. 2497 ที่กำหนดให้ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร – บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงหมายเลข 34 (บางวัว) ทางแยกเข้าชลบุรี ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง และทางแยกเข้าพัทยา ตอนกรุงเทพมหานคร – เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงหมายเลข 34 (บางวัว) ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง และทางแยกเข้าพัทยาและทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ตอนบางปะอิน – บางพลี เป็นทางหลวงที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวง (ร่างข้อ 1 แก้ไขเพิ่มเติมข้อ 1 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 19 (พ.ศ. 2540)
 
ขณะที่กระทรวงคมนาคมเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการขอเก็บค่าบริการผู้โดยสารขาออก พ.ศ. ….กำหนดให้เจ้าของหรือผู้ดำเนินการสนามบินอนุญาตที่ประสงค์จะเรียกเก็บค่าบริการผู้โดยสารขาออก ต้องยื่นคำขอต่ออธิบดีตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนดพร้อมด้วยเอกสารหรือหลักฐาน เช่น ใบอนุญาต เอกสารแสดงอัตราค่าบริการที่จะเรียกเก็บรายงานการเงิน แผนการพัฒนาสนามบินห้าปี เป็นต้น และเมื่ออธิบดีได้รับคำขอพร้อมเอกสารและหลักฐานแล้วให้ดำเนินการ เช่น ตรวจสอบความถูกต้องและความสมบูรณ์ของเอกสารและหลักฐาน จัดทำความเห็นและส่งคำขอพร้อมเอกสารหลักฐานให้แก่คณะกรรมการการบินพลเรือน เป็นต้น รวมทั้งให้คณะกรรมการการบินพลเรือนพิจารณา และจัดทำความเห็นและคำแนะนำต่อรัฐมนตรีและให้รัฐมนตรีพิจารณาภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับความเห็นและเอกสา
 
กระทรวงคมนาคม ขออนุมัติในหลักการให้กรมการขนส่งทางบกดำเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จ.เชียงราย วงเงินรวม 1,522.275 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี (พ.ศ. 2555-2557) เพื่อให้สามารถขอรับจัดสรรงบกลาง ปีงบฯ 2555 เป็นค่าจ้างที่ปรึกษาเกี่ยวกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน ค่าจ้างที่ปรึกษา เพื่อจัดทำผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ และค่าเวนคืนที่ดินและค่าชดเชยในราษฎรที่ใช้ประโยชน์จากที่ดินในครอบครองของสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม วงเงินรวม 264.300 ล้านบาท
 
นอกจากนี้กระทรวงคมนาคมยังขอควาเห็นชอบร่างกฎกระทวงว่าด้วยการงดรับจดทะเบียนรถที่ประกอบจากจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้ว สาระสำคัญเป็นการกำหนดให้งดรับจะทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนอุปกรณ์ของรถที่ใช้แล้วทั่วประเทศ ครอบคลุม 4 ประเภท คือ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน7 คน แต่ไม่เกิน 12 คน รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลและรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล เนื่องจากปัจจุบันมีการนำเข้าชิ้นส่วนและโครงสร้างรถที่ใช้แล้วจากต่างประเทศเข้ามาประกอบหรือดัดแปลงเป็นรถใหม่ เพื่อเลี่ยงไต้องชำระภาษี
 
ด้านกระทรวงพาณิชย์ เสนอขอความเห็นชอบร่างกฎกระทรวงเรื่องกำหนดให้ตัวถังรถยนต์นั่งและโครงรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว เป็นสินค้าต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยขณะนี้้มีประกาศกระทรวงพาณิชย์ควบคุมการนำเข้ารถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว แต่ไม่ครอบคลุมถึงการนำเข้าโครงรถรถยนต์และรถจักรยานต์ที่ใช้แล้ว จึงต้องมีร่างประกาศนี้มารองรับการการควบคุมดังกล่าว แต่จะควบคุมเฉพาะตัวถังรถยนต์นั่งและโครงรถรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้วเท่านั้น ไม่รวมการนำเข้าการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์และชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว เพราะอาจจะกระทบต่อผู้ใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ต้องการนำชิ้นส่วนมาทดแทนส่วนที่ชำรุดเสียหาย

ส่วนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)เสนอ ร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การอนุรักษ์และการฟื้นฟู รวมทั้งให้ประชาชนในท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วม โดยให้มีคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกฯมอบหมายเป็นประธาน กรรมการ16 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งครม.แต่งตั้งไม่เกิน 8 คน กำหนดโทษสำหรับกรณีที่ผู้กระทำผิดเป็นนิติบุคคล โดยให้กรรมการผู้จัดการ หุ้นส่วนผู้จัดการ ผู้จัดการ หรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น ต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดนั้น ทั้งนี้ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งอธิบดีที่ให้ระงับการกระทำหรือกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อทรัพยากรทางทะเลฯเป็นการชั่วคราวตามความเหมาะสม และผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลฯ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
 
กระทรวงสาธารณสุข ขอความเห็นชอบร่างพ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. ….โดยให้ยกเลิกพ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 ให้รมต.มีอำนาจประกาศกำหนดเกี่ยวกับอาหารเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค และให้มีคณะกรรมการอาหาร ที่มีปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานกรรมการ ทำหน้าที่พิจารณาสั่งเพิกถอนทะเบียนตำรับอาหาร โดยมีบทกำหนดโทษกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพ.ร.บ.นี้ ซึ่งมีโทษจำคุก หรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ เช่น ผู้ฝ่าฝืนผลิตอาหารปลอม ต้องระวางโทษจำคุก1-10ปี ปรับ1ล้านหรือทั้งจำทั้งปรับ


http://www.thanonline.com


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 17 เมษายน 2012, 22:05:10
'ปู'ถกเต็มคณะกับนายกฯจีน

'ยิ่งลักษณ์' หารือเต็มคณะ กับ 'นายกฯจีน' พร้อมยกระดับความสัมพันธ์ สู่หุ้นส่วนความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ ตั้งเป้าเพิ่มการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว เตรียมสถาปนาบ้านพี่เมืองน้อง กับมณฑลต่าง ๆ วอนไทยทำตามกม.ลุ่มน้ำโขงสร้างความปลอดภัย

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มวิเทศสัมพันธ์ สำนักโฆษก  ทำเนียบรัฐบาลส่งอีเมลถึงสื่อมวลชนใจความว่า  เมื่อเวลา 17.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและคณะ ได้เดินทางถึงมหาศาลาประชาชน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีนายเวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน รอให้การต้อนรับ ก่อนนำนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ซึ่งประกอบด้วยการขึ้นแท่นทำความเคารพ เดินตรวจแถว กองทหารเกียรติยศ ณ ลานหน้ามหาศาลาประชาชน ด้านทิศตะวันออก

 
          จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินทางเข้าสู่อาคารมหาศาลาประชาชน  เพื่อหารือข้อราชการแบบเต็มคณะกับนายเวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยผู้เข้าร่วมฝ่ายไทยประกอบด้วย ประกอบด้วย นายสุรพงษ์  โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ  นางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ  นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.คมนาคม นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  น.อ. อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ  มรว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รมว.อุตสาหกรรม  สรุปดังนี้
          นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาเยือนจีนครั้งนี้  ซึ่งเป็นครั้งแรกในฐานะนายกรัฐมนตรี พร้อมขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและสมเกียรติ และเชื่อมั่นว่าการเยือนครั้งนี้จะประสบความสำเร็จในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ พร้อมถือโอกาสนี้ แสดงความขอบคุณในความห่วงใยและความช่วยเหลือที่จีนให้แก่ไทย เมื่อครั้งไทยประสบอุทกภัยครั้งร้ายแรง ซึ่งเป็นกำลังใจให้ไทยเอาชนะปัญหาเหล่านี้ได้
          โดยในการหารือ ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้อง ที่จะยกระดับความสัมพันธ์ไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนของสองประเทศ โดยเฉพาะโครงการความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในสาขาที่ยั่งยืนของไทย 4 สาขา
          ได้แก่ การจัดหาคอมพิวเตอร์แบบพกพา (แท็บเล็ต) แก่นักเรียนไทย  ความร่วมมือด้านรถไฟ พลังงานสะอาด และการบริหารจัดการน้ำ  ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เสนอให้มีการใช้กลไกต่างๆ  ที่มีอยู่ในการเจรจาหารืออย่างต่อเนื่อง โดยขอให้มีการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศสองฝ่ายเป็นลักษณะยุทธศาสตร์โดยเร็ว เพื่อขยายผลความร่วมมือให้เกิดประโยชน์สูงสุด
          นอกจากนี้ ผู้นำทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะกำหนดทิศทางและตั้งเป้าความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย- จีน ใน 3 สาขาหลัก ดังนี้ การเพิ่มการค้าร้อยละ 20 ต่อปี การลงทุนให้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 15 ในอีก 5 ปีข้างหน้า และการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า เสนอให้มีการจัดประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการค้า การลงทุนและเศรษฐกิจไทย-จีน ครั้งที่ 3 เพื่อผลักดันความร่วมมือใน 3 สาขาหลักดังกล่าว  เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ 
          ไทยและจีนยังได้เน้นกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือเป็นรายมณฑลของจีนกับไทย โดยไทยได้จัดตั้งคณะทำงานร่วมกับ 3 มณฑลของจีนแล้ว คือ ยูนนาน กวางตุ้ง และเซียะเหมิน  ซึ่งไทยจะตั้งคณะทำงานร่วมกับมณฑลเสฉวนต่อไป รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการสถาปนาบ้านพี่เมืองน้อง ระหว่างจังหวัดของไทยกับมณฑลต่าง ๆ ของจีน
          สำหรับความร่วมมือด้านการเกษตร ทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะทำงานด้านการค้าสินค้าเกษตรไทย-จีน ซึ่งเป็นกลไกในการเจรจาเพื่อเพิ่มพูนปริมาณการค้าสินค้าเกษตรที่สำคัญ คือ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลังและผลไม้ รวมทั้งเสนอให้มีการร่วมกันแก้ไขปัญหาอุปสรรคการค้าต่างๆ ระหว่างกัน อาทิ การจำกัดโควต้าการนำเข้า และการปลอมปนข้าวไทยในจีน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้แสวงหาความร่วมมือใหม่ๆ เช่น ความร่วมมือในการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันในประเทศที่สาม โดยรัฐบาลของสองประเทศจะสนับสนุนความร่วมมือระหว่างทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งระหว่างภาคเอกชนกับเอกชน

          นายกรัฐมนตรี ยังได้ใช้โอกาสนี้ขอบคุณรัฐบาลจีนที่ให้การดูแลนักลงทุนไทยในจีน และขอให้ช่วยดูแลนักลงทุนไทยให้ได้รับความเป็นธรรมในการดำเนินธุรกิจในจีน  โดยนายกรัฐมนตรีได้เสนอให้จีนจัดตั้งศูนย์ประสานงานช่วยเหลือ SMEs ที่เข้าไปลงทุนในจีนแบบครบวงจรในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ซึ่งเป็นประตูสู่อาเซียนของจีน

          พร้อมใช้โอกาสนี้ เชิญชวนให้นักธุรกิจจีนไปลงทุนในสาขาที่ไทยส่งเสริมการลงทุน อาทิ ผลิตภัณฑ์ยางพารา ชิ้นส่วน ยานยนต์ เครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึง อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและพลังงานทดแทน  อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ พลังงานลมและพลังงานชีวภาพ ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ

          นายกรัฐมนตรียังเสนอให้ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวและเน้นการท่องเที่ยวในเชิงคุณภาพมากขี้น  โดยตั้งเป้าให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ต่อปีในช่วง 5 ปีข้างหน้า  และขอให้รัฐบาลจีนอนุมัติการตั้งสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่นครกวางโจว เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวจีนได้ดีขึ้น  พร้อมย้ำนโยบายของไทยในการกระชับความสัมพันธ์กับจีนในรายมณฑล โดยไทยประสงค์จะจัดตั้งคณะทำงานไทย-เสฉวน เพิ่มเติมจากที่มีคณะทำงานมณฑลยูนนาน กวางตุ้งและเมืองเซียะเหมิน
          นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญต่อความร่วมมือด้านการศึกษาและวัฒนธรรม โดยเห็นด้วยกับข้อเสนอของรองประธานาธิบดีสี  จิ้นผิง ของจีนในการแลกเปลี่ยนนักศึกษา 100 คน  และขณะนี้ทราบว่ามีนักศึกษาจีนจำนวนมากที่สนใจเรียนภาษาไทย และนักศึกษาไทยก็สนใจเรียนภาษาจีนมากขึ้นเช่นกัน  จึงขอให้รัฐบาลจีนสนับสนุนส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาไทยในจีน  และขอให้จีนสนับสนุนการส่งครูอาสาสมัครจีนไปสอนในไทยเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 คน  ซึ่งในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีจีนตอบรับตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ

          สำหรับประเด็นเกี่ยวกับความร่วมมือในภูมิภาคที่ผ่านมาไทยและจีนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเครือข่ายการเชื่อมโยงคมนาคมในภูมิภาค อาทิ การเปิดเส้นทาง R3A ที่เชื่อมโยงจากนครคุนหมิง ยูนนาน ผ่านลาว และเข้าสู่ไทยที่ อ.เชียงของ จังหวัดเชียงราย และมาถึงกรุงเทพฯ และสะพานเชื่อมแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) ซึ่งกำหนดจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปลายปีนี้

          ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอให้จีนเร่งรัดการก่อสร้างสะพานดังกล่าวให้แล้วเสร็จตามกำหนด  ซึ่งจะช่วยเกื้อกูลต่อการไปมาหาสู่ของประชาชนและการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนในอนาคตอันใกล้

          นอกจากนี้ ยังมีการหารือเกี่ยวกับความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เสนอให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับระดับน้ำไทย-จีนในฤดูแล้งอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกปีด้วย พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรียังได้เชิญนายเวิน เจียเป่า เข้าร่วมการประชุม WEF ครั้งที่ 21 ระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม -  1 มิถุนายน 2555 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ที่กรุงเทพฯ เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกับผู้นำจากประเทศเอเชียตะวันออก ซึ่งไทยยินดีที่จะประสานกับ WEF เพื่อจัดกำหนดการพิเศษในลักษณะการสนทนาพิเศษร่วมกับศาสตราจารย์ ดร.เคล้าส์ ชวับ ประธานบริหารและผู้ก่อตั้ง WEF

          ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจีนได้แสดงความสนับสนุนอย่างยิ่งต่อความร่วมมือระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-จีน และแผนพัฒนาระยะ 5 ปี ทางด้านเศรษฐกิจและการค้า โดยให้สองประเทศตั้งใจปฏิบัติตามแผนดังกล่าวอย่างจริงจัง

          ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการค้าการลงทุนระหว่างกัน  ซึ่งจีนยินดีอำนวยความสะดวกให้นักธุรกิจทั้งสองฝ่าย  โดยขอให้ไทยอำนวยความสะดวกด้านข้อกฎหมายต่าง ๆ พร้อมทั้งขอให้สนับสนุนบริษัทจีนเข้าไปพัฒนาแร่โปแตสเซียมในไทยด้วย  นอกจากนี้จะร่วมกันสนับสนุนความร่วมมือด้านการเงิน เช่น การขยายสาขาธนาคารในสองประเทศ   การชำระเงินโดยใช้เงินตราของไทยและจีนในการค้าการลงทุน

          พร้อมกันนี้ จีนยินดีสนับสนุนการสร้างระบบรถไฟ และมอบหมายให้หน่วยงานทั้งสองประเทศไปร่วมกันดำเนินงานอย่างรวดเร็วและราบรื่น รวมทั้งการสนับสนุนวิสาหกิจด้านอวกาศและไอทีระหว่างกัน  และจีนยินดีสนับสนุนด้านชลประทานตามที่ได้มีการลงนามร่วมกันไปแล้ว   ที่สำคัญจีนขอให้ไทยส่งเสริมการปฏิบัติตามกฎหมายตามลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อความปลอดภัยและการพัฒนาพื้นที่โดยรอบ 
          อย่างไรก็ตาม ทั้งไทยและจีนจะร่วมกันพัฒนาการเชื่อมโยงภูมิภาค เช่น โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึก และนิคมอุตสาหกรรมทวายในเมียนมาร์  ซึ่งไทยพร้อมร่วมมือกับจีนเพื่อให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ประเทศในอนุภูมิภาค รวมทั้งเมียนมาร์โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้เสร็จสมบูรณ์  เพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่โดยรอบด้วย

          นอกจากนี้ ไทยและจีนจะร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งในกรอบอาเซียน เพื่อรองรับความท้าทายจากปัญหาสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป
 
ลงนาม 8 ฉบับ แสดงถึงความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน
          ภายหลังการหารือข้อราชการเต็มคณะ ในเวลา 17.15 น. นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและนายเวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมการเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน  จำนวน 8 ฉบับ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

          1) แผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-จีน ระหว่างปี 2555-2559 (Joint Action Plan on Thailand-China Strategic Cooperation Between the Government of the People’s Republic of China 2012-2016) ซึ่งถือเป็นแผนปฏิบัติการร่วมฯ ฉบับที่ 2 สำหรับการดำเนินความร่วมมือระหว่างไทย-จีน ในสาขาต่างๆ กว่า 17 สาขา ที่จัดทำโดยกระทรวงการต่างประเทศทั้งสองฝ่าย ได้แก่ การเมือง การทหาร ความมั่นคง การค้า การลงทุน การเงินและธนาคาร เกษตรกรรม อุตสาหกรรม คมนาคม พลังงาน การท่องเที่ยว วัฒนธรรม การศึกษาและการอบรม สาธารณสุขและวิทยาศาสตร์-การแพทย์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ความร่วมมือในระดับภูมิภาคและพหุภาคี โดยมีผู้ลงนามฝ่ายไทย คือ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายจีน คือ นายหยาง เจี๋ยฉือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน   

          2) แผนพัฒนาระยะ 5 ปี ไทย-จีน ระหว่างปี 2555-2559 ภายใต้ความตกลงการขยายความร่วมมือทวิภาคีทางเศรษฐกิจและการค้าเชิงกว้างและเชิงลึก (Five-Year Development Plan on Trade and Economic Cooperation between the People’s Republic of China and the Kingdom of Thailand) ที่มุ่งเน้นความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทยกับจีนในระยะ 5 ปี ระหว่างปี 2555 – 2559 ภายใต้ความตกลงการขยายความร่วมมือทวิภาคีทางเศรษฐกิจและการค้าในเชิงกว้างและเชิงลึกไทย-จีน อาทิ การอำนวยความสะดวกและลดอุปสรรคทางการค้า นวัตกรรมและเทคโนโลยีสีเขียว และโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น มีผู้ลงนามฝ่ายไทย คือ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และฝ่ายจีน คือ นายเฉิน เต๋อหมิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จีน

          3) บันทึกความเข้าใจร่วมว่าด้วยความร่วมมือเรื่องการค้าสินค้าเกษตรระหว่างกระทรวงพาณิชย์ไทยและจีน (Memorandum of Understanding Between the Ministry of Commerce of the People’s Republic of China and the Ministry of Commerce  of the Kingdom of Thailand on Agricultural Trade Cooperation) ซึ่งเป็นข้อเสนอของฝ่ายจีนที่จะจัดตั้งคณะทำงานเรื่องการค้าสินค้าเกษตร เพื่อหารือประดฺนที่ไทยและจีนมีผลประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงการพัฒนา ส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตร และการแก้ไขปัญหาและป้องกันหรือกำจัดอุปสรรคทางด้านสินค้าเกษตร มีผู้ลงนามฝ่ายไทย คือ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และฝ่ายจีน คือ นายเฉิน เต๋อหมิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จีน

          4) บันทึกความเข้าใจร่วมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์ไทย และ State Administration for Industry and Commerce ของจีน (Memorandum of Understanding for Cooperation Between the Ministry of Commerce of the Kingdom of Thailand and the State Administration for Industry and Commerce of the People’s Republic of China) เป็นบันทึกความเข้าใจที่เน้นึความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา นโยบายและกฎหมายเกี่ยวกับการแข่งขันทางธุรกิจ การคุ้มครองผู้บริโภค การลงทะเบียนกิจการบริษัท และเครื่องหมายการค้า มีผู้ลงนามฝ่ายไทย คือ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และฝ่ายจีน คือ นายเฉิน เต๋อหมิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จีน

          5) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านรถไฟ (Memorandum of Understanding Concerning Feasibility Study for Cooperation on railway Development Between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s Republic of China) ที่ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะกรรมการร่วมระดับรัฐมนตรี เพื่อเป็นกลไกในการประสานงานสำหรับการขยายผลความร่วมมือด้านรถไฟ โดยเฉพาะ สาย กทม. – เชียงใหม่ มีผู้ลงนามฝ่ายไทย คือ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และฝ่ายจีน คือ นายเซิ่ง กวางจู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงรถไฟจีน

          6) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดการน้ำ (Memorandum of Understanding Concerning Feasibility Study for Cooperation on railway Development Between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s Republic of China) ที่ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะทำงานร่วมระดับรัฐมนตรี เพื่อประสานงานให้เกิดความร่วมมือด้านนี้ต่อไป โดยฝ่ายจีนจะมีการจัดทำรายงานด้านต่างๆ อาทิ ความร่วมมือด้านระบบการจัดการน้ำแบบบูรณาดการ ระบบการบัญชาการเดี่ยว โครงสร้างพื้นฐานของการป้องกันอุทกภัย เป็นต้น

          7) ข้อตกลงว่าด้วยการจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมด้านสภาพภูมิอากาศและระบบนิเวศน์ทางทะเล (Agreement on Establishment of Thailand – China Joint Laboratory for Climate and Marine Ecosystem between Ministry of Natural Resource and Environment, Kingdom of Thailand and State Oceanic Administration, People’s Republic of China) เป็นข้อตกลงย่อยของบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางด้านทะเลระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับทบวงกิจการมหาสมุทรแห่งชาติจีน เพื่อร่วมมือกันในด้านต่างๆ อาทิ การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างนักเทดนิคและนักวิทยาศาสตร์ การประชุมเชิงปฏิบัติการระหว่างกัน และการค้นคว้าวิจัย มีผู้ลงนามฝ่ายไทย คือ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และฝ่ายจีน คือ นายหลิวชื่อกุ้ย ผู้บริหารทบวงกิจการมหาสมุทร (ระดับ รมช.)

          8) ถ้อยแถลงร่วมระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและราชอาณาจักรไทยเพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน (Joint Statement Between the People’s Republic of China and the Kingdom of Thailand on Establishing a Comprehensive Strategic Cooperative Partnership) เป็นเอกสารผลลัพธ์การเยือนจีนของนายกรัฐมนตรี ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์และความร่วมมือไทย-จีนที่มีพัฒนาการที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ การศึกษาและวัฒนธรรม รวมถึงความพร้อมในการร่วมมือกันทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคีอย่างรอบด้านในอนาคต

          ภายหลังการร่วมเป็นสักขีพยาน นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า ได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวัน เพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีและคณะ  ณ ห้องโถงตะวันตก ชั้น 1 มหาศาลาประชาชน


http://www.komchadluek.net


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: MaMoRu ที่ วันที่ 18 เมษายน 2012, 12:21:34
 ;) ;)ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ๆ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 เมษายน 2012, 00:18:59
ทุนค้ารถหรูปักธงเปิดสาขาเชียงราย-เล็งตลาดพม่า ลาว จีนตอนใต้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   18 เมษายน 2555


เชียงราย - กลุ่มทุนนำเข้ารถหรูจากยุโรปดีเดย์เปิดโชว์รูมเชียงรายต้นเดือนหน้า เดินหน้าทำตลาดพม่า ลาว จีนตอนใต้ รับเออีซี.-เมียนมาร์เปิดประเทศ เชื่อมมั่นตลาดโตอีกมาก พร้อมเตรียมเปิดโชว์รูมในประเทศเพิ่มทุกภาคภายใน 3 ปี

นายประชา รุ่งเพ็ชรวิภาวดี ประธานกรรมการบริษัทฯ นำคณะผู้บริหารฝ่ายต่างๆ กลุ่มบริษัทในเครือซีเอ็นวายกรุ๊ป แถลงข่าวการเปิดโชว์รูมซีเอ็นวายกรุ๊ป ที่สำนักงานเลขที่ 730/1 สี่แยกแม่กรณ์ ถนนพหลโยธิน ต.เวียง อ.เมืองจ.เชียงรายว่า บริษัทซึ่งนำเข้ารถหรูจากยุโรป จะเปิดโชว์รูมเชียงราย อย่างเป็นทางการในวันที่ 5 พ.ค.55 นี้ภายใต้ชื่องาน "Grand Opening New Showroom And Service Center In Chiangrai Thailand 555"

ภายในงานจะมีการเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่ครั้งแรกของโชว์รูปรถนำเข้าจากทั่วโลก การเปิดตัวรถพิเศษจำนวน 5 คัน และการรวมตัวครั้งสำคัญของรถชั้นนำจากทั่วโลกมากกว่า 30 คัน รวมทั้งการแสดงพิเศษจากศิลปินชั้นนำ

นายประชา กล่าวว่า เครือซีเอ็นวาย มีประสบการณ์ด้านการจำหน่ายรถยนต์ยุโรปมานานกว่า 16 ปีแล้ว ปัจจุบันมีบริษัทในเครือหลายแห่ง เช่น หจก.ชนะยนต์อิมพอร์ตเอ็กซ์พอร์ต จำกัด , บริษัทซีเอ็นวาย อิมพอร์ตเอ็กซ์พอร์ต จำกัด ,บริษัทซีเอ็นวายออโต้อิมพอร์ต จำกัด ,บริษัทหมิงทรานสปอร์ต จำกัด (หมิงเทเลอร์) และบริษัทหมิงทรานสปอร์ต จำกัด (หมิงออนทัวร์)

นายประชา บอกว่า หลังจากได้มีการเปิดตัวการนำเข้าและส่งออกรถยนต์ยุโรปมาได้แล้ว 1 ปีในปัจจุบันได้มีการตั้งโชว์รูมอยู่ที่เชียงราย และที่ย่านอ่อนนุช กรุงเทพฯ แล้ว ซึ่งผลประกอบการถือว่าก้าวหน้าไปได้ดีอย่างมาก โดยเฉพาะการนำรถตระกูลชื่อดัง เช่น เมอร์เซเดสเบนซ์ บีเอ็มดับบริว เลคซัส ฯลฯ ไปจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้านทั้งเมียนมาร์ สปป.ลาว จีนตอนใต้ ฯลฯ

“โดยเฉพาะเมียนมาร์ ถือว่า รถยุโรปกว่า 90% มาจากทางซีเอ็นวายแทบทั้งสิ้น”

ล่าสุดบริษัทได้ไปเปิดบริษัทในเครือคือบริษัทเมียนมาร์ซีเอ็นวาย จำกัด ที่กรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์ด้วย เนื่องจากเมียนมาร์มีการเปิดประเทศมากขึ้น โดยนำเข้ารถยนต์ไปแล้วกว่า 4,000-5,000 คัน และในอนาคตเมื่อมีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีเต็มตัว ก็จะทำให้บริษัทได้เปรียบด้านธุรกิจในนำรถยนต์ชั้นนำมาจำหน่ายกลุ่มอาเซียนต่อไปด้วย

นายประชา กล่าวอีกว่า ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มต้นเปิดโชว์รูปอย่างยิ่งใหญ่ที่ จ.เชียงราย ก่อนจากนั้นจะค่อยๆเปิดเพิ่มเติมจุดอื่น ๆ ทั่วประเทศอีก คือ โชว์รูม ในกรุงเทพฯ อีก 2-3 แห่ง โดยอยู่ระหว่างตกลงเรื่องที่ดิน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ จ.อุบลราชธานี และขอนแก่น และภาคใต้ที่ จ.ภูเก็ต และเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี โดยโชว์รูมที่เหลือทั้งหมดจะพร้อมให้บริการภายใน 3 ปีนี้ โดยจะนำรถยนต์ชั้นนำมาจำหน่ายและเปิดเป็นศูนย์บริการลูกค้า 24 ชั่วโมงด้วย

ด้านนางสลินดา ชมพูศรี รองประธานกรรมการเครือซีเอ็นวาย กล่าวว่า ความจริงบริษัทนำเข้ารถยนต์ชั้นนำเข้าไปในเมียนมาร์นานแล้ว โดยนำเข้าไปทางเรือแม่น้ำโขงจากท่าเรือ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ไปยังท่าเรือเมืองสบหรวย ประเทศเมียนมาร์ และสามารถกระจายเข้าไปยังพื้นที่ชั้นในของเมียนมาร์ และจีนตอนใต้ได้ รวมทั้งส่งออกไปทางด่าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ด่านแม่สอด จ.ตาก ฯลฯ แต่ล่าสุดทางการเมียนมาร์ได้พัฒนาการนำเข้าและส่งออกโดยปิดจุดนำเข้ารถยนต์ต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด แต่เปิดให้มีการนำเข้าที่ท่าเรือทางทะเลแทน ซึ่งบริษัทก็ได้ใบอนุญาตจากรัฐบาลเมียนมาร์ในการนำเข้าที่ท่าเรือเมืองย่างกุ้งโดยตรงแล้ว

นางสลินดา กล่าวอีกว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาถือว่าตลาดเมียนมาร์ดีมาก โดยมียอดนำเข้าในเดือนละกว่า 2,000-3,000 คัน นอกจากนี้ยังมีการนำรถยนต์มือสองเข้าไปจำหน่ายเฉพาะปี 2554 ที่ผ่านมา แล้วกว่า 5,000 คันแล้ว


http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9550000048141


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 เมษายน 2012, 14:04:47
ททท.จัดงาน 750 ปี ชร.ดึงคนเที่ยวหลังสงกรานต์

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   19 เมษายน 2555

เชียงราย - เตรียมเปิดสวนตุงและโคมเฉลิมพระเกียรติฯ และพื้นที่ชั้น 2 เซ็นทรัลเชียงราย จัดใหญ่ “750 ปีเชียงรายรำลึก” 20-22 เมษายนนี้ ดึงคนเที่ยวเมืองพ่อขุนฯ หลังสงกรานต์ 55
       
       นายพงศธร เกษสําลี รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงาน “750 ปี เชียงรายรำลึก” ระหว่างวันที่ 20-22 เมษายน 55 นี้ ณ บริเวณสวนตุงและโคมเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนธนาลัย อ.เมือง จ.เชียงราย และบริเวณโดยรอบ ว่า งาน 750 ปี เชียงรายรำลึก จัดขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสที่เมืองเชียงรายมีอายุครบ 750 ปีในปีนี้ และส่งเสริมให้คนมาเที่ยวเชียงรายหลังสงกรานต์ด้วย
       
       โดยกิจกรรมจะมีขึ้นอย่างหลากหลายตั้งแต่เวลา 17.00 น.เป็นต้นไป เช่น ถนนสายศิลปวัฒนธรรม การออกร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง สินค้าชุมชน อาหารและเครื่องดื่มในลักษณะกาดมั่ว การแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา การแสดงพื้นเมือง การจำลองวิถีชีวิตชนเผ่า การประกวดร้องเพลง “เชียงรายรำลึก” การแสดงจากศิลปินชั้นนำ
       
       ส่วนพิธีเปิดจะมีขึ้นในเย็นวันที่ 20 เมษายน 55 โดยมีการแสดงชุดราตรีมังรายมิ่งเมืองแก้ว ส่วนวันที่ 21 เมษายน 55 จะมีการจัดขบวนแห่เทิดพระเกียรติพญามังรายมหาราช
       
       และงานดังกล่าวนี้จะเชื่อมโยงกับศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา โดยจะมีรถปรับอากาศและมัคคุเทศก์หรือไกด์นำเที่ยวจากศูนย์การค้าไปยังบริเวณจัดงานวันละ 5 รอบ ตั้งแต่เวลา 12.00-16.00 น.ฟรีทุกต้นชั่วโมง
       
       ส่วนภายในศูนย์การค้าชั้น 2 ก็จะมีการจัดนิทรรศการ 750 ปีเมืองเชียงราย ณ โซนแฟชั่น พลัส และโซนด้านหน้าห้างโรบินสัน ชั้น 2 และวันที่ 22 เมษายน 55 ก็จะมีการประกวดวาดภาพของเยาวชนในหัวข้อ “750 ปีเมืองเชียงราย” ชิงทุนการศึกษาและรางวัลต่างๆ ด้วย
       
       นายธานินทร์กล่าวว่า การจัดกิจกรรมดังกล่าวถือเป็นผลดีต่อจังหวัดอย่างมาก โดยนอกจากจะสืบสานประเพณีวัฒนธรรมล้านนาแล้ว ยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวให้จังหวัด เพราะที่ผ่านมากำลังคิดวางแผนกันเรื่องการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวหลังเทศกาลสงกรานต์ซึ่งเป็นฤดูฝนไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว จึงต้องมีกิจกรรมเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
       
       สำหรับเมืองเชียงรายและพญามังรายมหาราชถือว่ามีความเป็นมาที่น่าสนใจอย่างมาก โดยพญามังรายมหาราชมีพระปรีชาสามารถอย่างมาก โดยนอกจากจะสร้างเมืองเชียงราย ยังสร้างเมืองฝาง เมืองกุมกาม เมืองเชียงใหม่ ฯลฯ เป็นกษัตริย์นักรบที่เก่งกาจมากและยังเป็นนักค้าขายเศรษฐกิจ โดยปรากฏหลักฐาน เช่น การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ เงินโบราณ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรจีนในยุคเดียวกันเพราะมีการส่งเสริมการค้าผ่านทางเรือแม่น้ำโขงมาแล้วตั้งแต่อดีต


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: nuypond ที่ วันที่ 19 เมษายน 2012, 20:00:46
...........


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: Mosterbirdx ที่ วันที่ 20 เมษายน 2012, 10:04:59
สวดๆ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 เมษายน 2012, 20:53:21

   
เชียงราย - จังหวัดทหารบกเชียงรายเปิดบ้าน “จอมพล ป.” ทำศูนย์การเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ แจงประวัติละเอียดยิบ พร้อมขนอาวุธปืนโบราณยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ร่วมโชว์เพียบ
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงรายแจ้งว่า ขณะนี้จังหวัดทหารบกเชียงรายได้เปิดศูนย์การเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์บ้านจอมพล ป.พิบูลสงคราม บนดอยทอง เขตเทศบาลนครเชียงรายแล้ว โดย พล.ต.ธันยวัตร ปัญญา ผู้บังคับการ จทบ.เชียงราย นำคณะทหาร พร้อมด้วยนายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย, อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินชื่อดังชาวเชียงราย และผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ-เอกชนเข้าร่วมงานเปิดตั้งแต่วานนี้ (19 เม.ย.)
       
       ในโอกาสนี้ พล.ต.ธันยวัตร และคณะได้เชิญชวนให้คณะผู้ไปร่วมกิจกรรมได้ชมบริเวณบ้านจอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่สร้างเมื่อปี 2484 เพื่อเป็นบ้านพักรับรองให้จอมพล ป.ที่ไปตรวจราชการและเป็นศูนย์บัญชาการของกองทัพภาคพายัพ จนกระทั่งถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2489 จึงให้อยู่ในความดูแลของจังหวัดทหารบกเชียงราย แต่ที่ผ่านมาถูกปล่อยทิ้งร้างสภาพจึงทรุดโทรมไปตามกาลเวลา
       
       พล.ต.ธันยวัตรกล่าวว่า ดังนั้นจึงได้ทำการบูรณะขึ้นมาใหม่ให้มีสภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงเหมือนเดิม และบริหารจัดการให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ในหน่วยทหาร เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงรายอย่างมีส่วนร่วม
       
       ซึ่งการบูรณะก็ไม่ได้ใช้งบประมาณจากกองทัพบก แต่เกิดจากการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ เช่น เทศบาลนครเชียงราย หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 บกก.สส.ที่จัดทหารช่างมาช่วยสนับสนุน ฯลฯ นอกจากนี้ มีภาคเอกชนให้การสนับสนุนอีกหลากหลาย เช่น เชียงรายแลนด์ หาญเจริญ ฯลฯ โดยใช้เวลาในการบูรณะประมาณ 1 ปีจึงแล้วเสร็จในปัจจุบัน และเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมและศึกษาได้
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับบ้านจอมพล ป.พิบูลสงคราม แห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาที่มีภูมิประเทศสงบร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ อาณาบริเวณกว้างขวาง และรูปแบบบ้านเป็นอาคารสองชั้น กว้าง 19.25 เมตร คูณ 29.25 เมตร พื้นชั้นล่างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก พื้นชั้นบนเป็นไม้เนื้อแข็ง ฝาชั้นบนและล่างก่ออิฐฉาบปูนเรียบ ห้องชั้นบนและล่างมีชั้นละ 3 ห้อง โดยมีเตาผิงไว้ใช้ในฤดูหนาวด้วย ปัจจุบันทางจังหวัดทหารบกเชียงรายได้นำอาวุธปืนโบราณที่ใช้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งฝ่ายญี่ปุ่นและสัมพันธมิตรไปจัดแสดง พร้อมมีรูปถ่ายจอมพล ป.และนิทรรศการที่เกี่ยวข้องให้ผู้เข้าชมได้ดู และศึกษา
       
       สำหรับบทบาทของกองทัพภาคพายัพที่เกี่ยวข้องกับบ้านพักจอมพล ป.ดังกล่าว เกิดจากกรณีกองทัพไทยและญี่ปุ่นได้มีข้อตกลงเรื่องเขตแดนการรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อปี 2484 ให้ประเทศไทยรับผิดชอบฝั่งตะวันออกแม่น้ำสาละวินถึงลำน้ำโขง จนเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาในปี 2485 ทำให้กองทัพภาคพายัพของไทยถูกส่งเข้าไปบุกเมืองเชียงตุง ประเทศพม่า ซึ่งอยู่ในฝั่งของฝ่ายสัมพันธมิตรในขณะนั้น จนเป็นที่มาทำให้เกิดบ้านจอมพล ป.ที่ใช้เป็นศูนย์บัญชาการ และบ้านพักดังกล่าว
       
       อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาบ้านพักถูกปล่อยทิ้งร้างหญ้าขึ้นรกจนเป็นที่สงสัยของผู้คนที่ผ่านไปมา กระทั่ง พล.ต.ธันยวัตรได้เข้ารับหน้าที่ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกเชียงราย จึงได้มีการบูรณาการหน่วยงานต่างๆ เข้าพัฒนาดังกล่าว


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 เมษายน 2012, 22:18:05
ทุนท่องเที่ยวเมืองพ่อขุนฯ ปรับแผนทำทัวร์ดักคนจีน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   23 เมษายน 2555

เชียงราย - สมาคมท่องเที่ยวเมืองพ่อขุนฯ เดินเครื่องปรับแผนรับยุทธศาสตร์รัฐบาล-จังหวัดฯ จัดทัวร์ดักนักท่องเที่ยวจีน พร้อมสร้างเครือข่ายร่วม 8 จังหวัดภาคเหนือเพิ่มจุดขายดึงคนเข้าพักค้างในพื้นที่นานขึ้น
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงรายแจ้งว่า ในการประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี 55 ครั้งที่ 1 ของสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย ที่ห้องประชุมโรงแรมริมกกรีสอร์ท อ.เมืองเชียงรายนั้น นายอภิชา ตระสินธุ์ นายกสมาคมฯ ที่ได้รับเลือกตั้งจากสมาชิกให้ดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สองติดต่อกัน นำคณะผู้บริหารแถลงนโยบายการบริหารให้สาธารณชนได้รับทราบ โดยมีที่ปรึกษา กรรมการ และสมาชิกเข้าร่วม
       
       นายอภิชาระบุว่า ในโอกาสที่ตนได้เข้ามาบริหารงานอีกในครั้งนี้ได้มีการปรับนโยบายของสมาคมให้สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาลและของจังหวัดไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้ง่ายต่อการติดต่อประสานงานและการได้รับงบประมาณสนับสนุน
       
       นายอภิชากล่าวว่า นโยบายที่สมาคมจะดำเนินการให้สำเร็จเพื่อประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวของเชียงรายมีหลายด้าน ได้แก่ ด้านการตลาด จะมีการเข้าร่วมงานแสดงหรือแฟร์ท่องเที่ยว เช่น เดือนมิถุนายนไปจัดแสดงที่อิมแพค เมืองทองธานี เดือนกันยายนที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และจะมีการตระเวนแสดงหรือโรดโชว์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรืออีสาน โดยเน้นไปยังตลาดด้านการสัมมนาและศึกษาดูงานเป็นหลัก เป็นต้น
       
       นอกจากนี้ ก็จะดำเนินการพัฒนารูปแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวภายในจังหวัด โดยจะมีการพัฒนานอกเหนือจากที่เคยปฏิบัติหรือมีมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้วให้เพิ่มความหลากหลายขึ้นเพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวพักเพิ่มขึ้น จากเดิมมีสถิติพักเฉลี่ยในพื้นที่คนละ 2 วัน ก็จะพยายามให้เพิ่มขึ้นเป็น 4 วันหรือ 1 สัปดาห์ โดยกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น แนวผจญภัยซึ่งนักท่องเที่ยวในปัจจุบันนิยมขับขี่จักรยานยนต์ท่องป่า การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การชิงรางวัลต่างๆ เป็นต้น
       
       นายอภิชากล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีนโยบายด้านมาตรฐานการให้บริการ ทั้งโรงแรม ห้องพัก มัคคุเทศก์หรือไกด์ สถานที่ท่องเที่ยว ฯลฯ โดยร่วมกับสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน จ.เชียงราย และสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานนานาชาติ อ.เชียงแสน ฯลฯ ในการสร้างทีมผู้นำ ทีมนักการขาย การฝึกอบรมภาษาจีนและภาษาอังกฤษ เป็นต้น
       
       ขณะเดียวกันยังมีนโยบายด้านการสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในอนาคตอาจจะมีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน จ.เชียงราย ซึ่งมีความจำเป็นที่ธุรกิจท่องเที่ยวจะต้องมีเครือข่ายเพื่อขยายตลาดให้ใหญ่และหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยการสร้างเครือข่ายร่วมกับ 8 จังหวัดภาคเหนือ ฯลฯ ตามแนวคิดที่เปรียบกับห้างสรรพสินค้าซึ่งหากมีความหลากหลายก็จะได้รับความนิยมมาก ทั้งเรื่องโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว ฯลฯ
       
       นายกสมาคมท่องเที่ยวฯ กล่าวต่อว่า สมาคมยังมีนโยบายจะจัดทำเป็นเส้นทางท่องเที่ยวหรือแพกเกจทัวร์ตามเส้นทางประเทศไทย-จีนตอนใต้ โดยเส้นทางสู่ประเทศจีนจะจัดทำเส้นทางเชียงราย-สปป.ลาว-สิบสองปันนา-คุนหมิง-ต้าลี่-ลี่เจียง-แชงกรี-ลา เพื่อขายให้นักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้ จะจัดทำแพกเกจเส้นทางท่องเที่ยวในเส้นทางเดียวกันเข้าสู่ประเทศไทยผ่าน จ.เชียงราย-สุโขทัย-กรุงเทพฯ และไปเที่ยวทะเล เพื่อขายให้นักท่องเที่ยวชาวจีน โดยจะมีการจัดให้พักที่ จ.เชียงรายอย่างน้อย 2 คืน คือคืนที่เดินทางขาเข้า และขาออก ซึ่งหากทำสำเร็จนอกจากจะดึงนักท่องเที่ยวให้ไปสู่พื้นที่เป็นจำนวนมาก ยังทำให้ภาคธุรกิจได้ร่วมมือกันและแก้ไขปัญหาการตัดราคากันเองด้วย


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000050145


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 เมษายน 2012, 22:36:48
เตรียมปรับโฉมท่าเรือเชียงแสน 1 ผุดดิวตี้ฟรี-ท่าเรือท่องเที่ยว

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   23 เมษายน 2555



       เชียงราย - เทศบาลฯ เชียงแสนวางแผนปรับโฉมท่าเรือเชียงแสน 1 หลังการท่าเรือย้ายเข้าบริหารท่าเรือเชียงแสน 2 ปากน้ำกกเบ็ดเสร็จ วางผังผุดดิวตี้ฟรี-ท่าเรือท่องเที่ยว รับทัวร์น้ำโขงที่ยังคงคึกคักต่อเนื่อง
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงรายแจ้งว่า หลังการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ยุติการบริหารท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 1 ซึ่งอยู่ในเขตเมืองประวัติศาสตร์เชียงแสน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 55 ที่ผ่านมา และไปบริหารงานท่าเรือแห่งใหม่ซึ่งก่อสร้างขึ้นที่ปากแม่น้ำกก บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน แทนตามมติคณะรัฐมนตรีไปแล้วนั้น


       ล่าสุดการถ่ายโอนท่าเรือแห่งที่ 1 เพื่อให้เทศบาลตำบลเวียงเชียงแสนนำไปใช้เพื่อใช้เป็นท่าเรือด้านการท่องเที่ยวยังไม่แล้วเสร็จ แม้จะมีมติคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และเห็นชอบเรื่อยมาหลายรัฐบาลแต่ยังคงติดขั้นตอนในทางปฏิบัติอยู่ ทำให้ปัจจุบันท่าเรือยังคงอยู่ในความดูแลของกรมธนารักษ์ ที่รับผิดชอบพื้นที่ชั่วคราวต่อจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย
       
       ด้านนายชยกฤษณ์ นิสสัยสุข นายกเทศมนตรีตำบลเวียงเชียงแสน กล่าวว่า แม้ตามหลักการจะมีการถ่ายโอนท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 1 ให้เทศบาลตำบลเวียงเชียงแสน แต่ขั้นตอนในปัจจุบันคือได้มีการโอนไปให้กรมธนารักษ์ดูแลก่อน ซึ่งทางกรมธนารักษ์ได้มีหนังสือสอบถามมายังเทศบาลฯ และทางเทศบาลฯ ก็มีหนังสือยืนยันกลับไปแล้ว คาดว่าจะมีการถ่ายโอนสถานที่ให้เทศบาลฯ ในเร็วๆ นี้



       โดยพื้นที่ที่ทางเทศบาลฯ จะเข้าไปบริหารคือ อาคารส่วนหน้าที่เคยเป็นของการท่าเรือแห่งประเทศไทย อาคารกลางริมท่าเรือ ตัวท่าเรือ สถานที่ในภาพรวม ฯลฯ หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีการประชุมหารือกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องและได้ออกแบบเบื้องต้นเพื่อจะเข้าไปพัฒนาแล้ว
       
       นายชยกฤษณ์กล่าวอีกว่า รูปแบบการพัฒนาท่าเรือคือ จะตั้งอาคารส่วนหนึ่งให้เป็นอาคารอำนวยการและศูนย์ข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ส่วนอาคารกลางริมท่าเรือจะจัดให้ส่วนทิศใต้เป็นเขตปลอดอากร หรือดิวตี้ฟรี เพื่อเปิดให้ผู้ประกอบการเข้าไปบริหารจัดการ โดยหากได้รับพื้นที่ก็จะมีการเข้าไปสำรวจ คาดว่าจะมีเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางเมตร และทำการเปิดประมูลเพื่อให้เอกชนเข้าไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์และสร้างความคึกคักให้แก่พื้นที่ เพราะเป็นท่าเรือด้านการท่องเที่ยวอยู่แล้ว



       ส่วนทางด้านทิศเหนือของอาคารจะมีการจัดทำเป็นร้านค้าหรือบูทของเทศบาลฯ เอง ด้านตัวท่าเรือที่มีอยู่แล้วคงจะเน้นเรื่องการท่องเที่ยวเป็นหลัก เพราะเหมาะกับเรือที่มีขนาดใหญ่มากกว่าจะเป็นเรือโดยสารเล็กทั่วไปที่ประชาชนไทย-สปป.ลาว ใช้เพื่อการสัญจรไปมาตามปกติบริเวณหน้าที่ว่าการ อ.เชียงแสน
       
       นายกเทศมนตรีตำบลเวียงเชียงแสนกล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม ด้านงบประมาณและรายละเอียดในการดำเนินการคงจะมีการประชุมหารือกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องอีกครั้งเมื่อได้รับการถ่ายโอนท่าเรืออย่างเป็นทางการแล้ว



       ทั้งนี้ แนวโน้มด้านการท่องเที่ยวผ่านแม่น้ำโขงยังคงมีความคึกคักและดีขึ้นแม้จะมีเหตุการณ์รุนแรงเกี่ยวกับเรือสินค้าจีน แต่ในปัจจุบันเรือท่องเที่ยวของ สปป.ลาวกลับมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะเส้นทางท่องเที่ยวสายไปเมืองหลวงพระบาง ซึ่งเป็นเมืองมรดกโลกของ สปป.ลาว ขณะที่เรือสินค้าท่องเที่ยวอื่นๆ ก็ยังคงมีความพร้อม ไม่ว่าจะเป็นเรือท่องเที่ยวของจีน เช่น เรือเทียนต๋า เรือเจ้าชาย ฯลฯ รวมทั้งผู้ประกอบการไทยก็มีความพร้อมและประกอบการด้านนี้มาอย่างต่อเนื่องแล้วด้วย
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ในปัจจุบันมีเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวในแม่น้ำโขงหลายราย แต่เอกชนไทยที่มีความโดดเด่นที่สุดในปัจจุบันคงเป็นบริษัทแม่โขงเดลต้า ทราเวล เอเจนซี่ จำกัด ซึ่งเปิดกิจการท่องเที่ยวแม่น้ำโขงมาอย่างต่อเนื่อง ถึงขั้นมีการซื้อเรือท่องเที่ยวเพื่อการรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ รวมทั้งมีความชำนาญด้านกิจการดิวตี้ฟรี ซึ่งมีห้างร้านอยู่ที่ตลาด จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า ตรงข้าม อ.แม่สาย จ.เชียงราย และเอกชนรายเดียวกันนี้เข้าไปสนับสนุนกิจการของท่าเรือและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาอย่างต่อเนื่อง จนถูกคาดการณ์ว่าท้ายที่สุดคงจะได้ประมูลเข้าไปบริหารจัดการท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 1 ดังกล่าว

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000050152


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: VALUE ที่ วันที่ 24 เมษายน 2012, 20:56:21
ความเป็นมาในการรวบรวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและพัฒนา

เนื่องจากจังหวัดเชียงรายมีการพัฒนาเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีโครงการต่างๆเกิดขึ้นมากมาย อันเนื่องมาจากสภาพภูมิศาสตร์อันเป็นเป็นประตูการค้าที่สำคัญของประเทศในการเชื่อมโยงการค้า การขนส่ง การบริการ  และการท่องเที่ยว การดำเนินการต่างๆของโครงการภาครัฐมีมูลค่าจำนวนมากมายมหาศาล และมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต วัฒนธรรม การดำเนินชีวิต โดยเชื่อว่ามีคนไม่น้อยเช่นกันที่สนใจด้านการพัฒนา

การตั้งกระทู้นี้ เพื่อรวบรวบเป็นแหล่งความรู้ ต่างๆทั้งจากข่าว บทความ และการแสดงความคิดเห็นจากเพื่อนสมาชิก เพื่อประโยชน์จากผู้ที่สนใจค้นคว้าข้อมูล ได้เห็นภาพรวมของการพัฒนาจังหวัด ได้เห็นตัวทิศทางการพัฒนา ที่สำคัญ ท่านที่มาอ่านได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ตนเองได้รับจากการพัฒนา และจะปรับตัวเข้าอย่างไร หรือตั้งรับกับความเจริญ ที่เราห้ามไว้ไม่ได้ แต่จะเติบโตอย่างไร บนรากฐานวัฒนธรรมประเพณีที่เข็มแข็ง ความอุดมสมบูรณ์ในธรรมชาติ ของเมืองเชียงราย

ตอนนี้สิ่งที่ขาดจากกระทู้รวมรวมการพัฒนา คือนักข่าวที่เป็นพลเมือง คนในท้องที่ และมุมมองความคิดเห็นที่หลากหลาย ที่สำคัญต้องสร้างสรรค์ เพื่อพัฒนาจังหวัดเชียงราย

โดยถ้ามีข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงาน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงในจังหวัด ถ้าได้รับรู้ และรับทราบ อาจเป็นข้อมูล ทิศทาง วิสัยทัศน์การพัฒนาเชียงราย

มาช่วยกันติดตาม มองความเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของเชียงราย พร้อมๆกันนะครับ.

ร่วมทำเชียงรายให้น่าอยู่

คลิกดูตามกระทู้นี้ได้เลย

หัวข้อกระทู้ 1. กระทู้ติดตามรถไฟเชียงราย ครับ.  
 (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=6381.0)


หัวข้อกระทู้ 2. ติดตามถนน R3a และโครงการสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4  (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=4867.0)

หัวข้อกระทู้ 3.พร้อมหรือยังเจียงฮาย กับการเปิดเขตการค้าเสรี (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=6387.0)

หัวข้อกระทู้ 4. รวบรวมข่าวสารที่เกิดขึ้นในเชียงรายเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการพัฒนา   (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=6051.0)

หัวข้อกระทู้ 5.รวมกระทู้ติดตามความเคลื่อนไหวโครงการเซ็นทรัลพลาซ่าเชียงราย (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=4578.0)    


หัวข้อกระทู้ 6. ความก้าวหน้าของเชียงรายในหลายๆ ด้าน ลองอ่านดูนะครับ น่าสนใจมาก (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=4068.0)

หัวข้อกระทู้ 7.อนาคตผังเมืองเจียงฮายจะเป็นจะได๋หา (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=5457.0)

หัวข้อกระทู้ 8. รถไฟที่จะมาเชียงราย เขามีโครงการหรือยังค่ะ (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=3470.0)

หัวข้อกระทู้ 9.เที่ยวเชียงราย รบกวนถามคนเชียงรายหน่อยคะ (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=1826.0)

หัวข้อกระทู้ 10. อีก 3 ปี ข้างหน้า ตลาดแรงงานในเชียงราย จะมีทิศทางไปทางไหนครับ (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=689.0)

หัวข้อกระทู้ 11.สมควรมี "เทศบาลเมืองแม่สาย" ได้หรือยังครับ? (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=6292.0)

หัวข้อกระทู้12.  ความเคลื่อนไหวของ เซ็นทรัลเชียงราย (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=7102.0)

หัวข้อกระทู้ 13.ความก้าวหน้าของเชียงรายในหลายๆ ด้าน ลองอ่านดูนะครับ น่าสนใจมาก  (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=4068.0)

หัวข้อกระทู้14.  จะมีไหมนิคมอุตสาหกรรมเชียงราย  (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=9502.0)

หัวข้อกระทู้15.  ข้อคิดและบทเรียนรื้อโบสถ์คริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=82590.0)  

หัวข้อกระทู้1ุ6.  อีกสามปีก็เกิดAECแล้ว เชียงรายจะไปทางไหน  (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=193404.0)  

หัวข้อกระทู้ 1ึ7.ติดตามข่าว รายงานความคืบหน้าโครงการหอศิลป์เชียงราย และเกาะศิลป์ ตลอดลำน้ำกก 6 กม.  (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=202330.0)

หัวข้อกระทู้ 1ึ8.น่าจะฟื้นฟู คูเมือง ให้สะอาด  (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=198667.0)

หัวข้อกระทู้ 19.   รวมข่าวสาร การค้าชายแดน ด้านจังหวัด เชียงราย และ ประชาคมอาเซียน (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=205396.0)

หัวข้อกระทู้ 20. มฟล.ทำเอ็มโอยู 7 รพ.เชียงรายเปิดสอนแพทย์แนวใหม่ป้อนกลับชุมชน  (http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=214190.0)

สนใจหัวการพัฒนาที่เคยโพสผมพยายามรวบรวมไว้แล้วครับ. ช่วยกันแสดงความคิดเห็นครับ เชียงรายจะพัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้อง...แม้ความคิดเห็นเล็กก็เป็นการสะท้อนแง่มุมบ้างอย่างได้นะครับ

ขอบคุณครับ






:D :D :D :D :D :D  เปงข้อมูลได้ดีทีเดียวเชี๊ยวเลย    ::) ::)
(http://www.sportzeed.net/webboard/Smileys/default/fw20.gif) (http://www.sbothailand.net)(http://www.sportzeed.net/webboard/Smileys/default/fw20.gif) (http://www.sportzeed.net)(http://www.sportzeed.net/webboard/Smileys/default/fw20.gif) (http://www.newsportpro.net)sports


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 เมษายน 2012, 19:24:50
คมนาคม  ทล.เล็งเปลี่ยนแนวมอเตอร์เวย์

ทล.เล็งเปลี่ยนแนวมอเตอร์เวย์
วันอังคารที่ 24 เมษายน 2012 เวลา 12:02 น.    กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ    อสังหา REAL
ทล.เล็งปรับแนวมอเตอร์เวย์เส้นทางเชียงราย-เชียงใหม่ รับเปิดท่าเรือเชียงแสน 2 และสะพานข้ามโขงแห่งที่4  เชียงของ-ห้วยทราย หวังร่นระยะทางและเลี่ยงผลกระทบชุมชน ส่วนช่วงหาดใหญ่-ด่านสะเดา ชายแดนมาเลเซีย รอลุ้นงบประมาณปี2556 กว่า 5 หมื่นล้านบาท เพื่อเปิดประตูการค้าเพิ่มรองรับเออีซีภาคใต้
 นายวันชัย  ภาคลักษณ์  อธิบดีกรมทางหลวง(ทล.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าได้เร่งรัดให้บริษัทที่ปรึกษาดำเนินการทบทวนผลการศึกษาความเหมาะสมในโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์โดยเฉพาะเส้นทางสำคัญ ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ให้ทุกหน่วยเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดการค้าเสรีอาเซียนที่จะเริ่มอย่างเป็นทางการในปี 2558 นี้ ซึ่งในส่วนของทล.ต้องการให้มอเตอร์เวย์มีส่วนสร้างรายได้ให้กับประเทศจากการใช้บริการซึ่งจะเกิดรายรับจากการจัดเก็บค่าใช้บริการในแต่ละเส้นทาง
 โดยเฉพาะเส้นทางหลัก ๆ คือ ในพื้นที่ภาคเหนือตามที่ทล.มีแผนดำเนินการในเส้นทางเชียงราย-เชียงใหม่เพื่อจะรองรับการเปิดท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 ซึ่งได้เริ่มให้บริการแล้วและเปิดสะพานข้ามโขงแห่งที่ 4(เชียงของ-ห้วยทราย) ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยโครงการมอเตอร์เวย์เส้นทางเชียงใหม่-เชียงรายตามที่ภาคเอกชนพื้นที่ภาคเหนือนำเสนอให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)สัญจรพิจารณาเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2555 ที่ผ่านมาจะต้องมีการทบทวนผลการศึกษาใหม่
 "เส้นทางนี้ได้เคยมีการศึกษามาแล้วตั้งแต่ปี 2549 โดยองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่นหรือไจก้า ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงจากเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่-เชียงราย ถือเป็นเส้นทางเพื่อชี้นำการกระจายความเจริญความเจริญไปสู่ภูมิภาค โดยจะเชื่อมโยงภาคเหนือสู่สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจไทย ลาว พม่า และจีนตอนใต้ รูปแบบ 4 ช่องจราจร ซึ่งตามผลการศึกษาเดิมระยะทางเกือบ 200 กิโลเมตรใช้งบประมาณการลงทุนประมาณ 50,000 ล้านบาท ต้องเวนคืนที่ดินกว่า 6,000 ไร่ คิดเป็นเงินกว่า 1,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันความเจริญในพื้นที่มีมากขึ้นกว่าช่วงเริ่มต้นศึกษาโครงการ จึงมีความจำเป็นและเกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ  เนื่องจากรูปแบบเดิมที่ศึกษาระยะทางยาวมากเกินไปจึงน่าจะร่นระยะทางให้สั้นลงและปรับแนวบางช่วงเพื่อเลี่ยงชุมชนคาดว่าจะลดงบประมาณได้อีก"
 อธิบดีกรมทางหลวงกล่าวอีกว่าส่วนโครงการมอเตอร์เวย์ช่วงหาดใหญ่-ด่านสะเดา(ชายแดนมาเลเซีย)ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นประตูการค้าเพิ่มและรองรับการเปิดการค้าเสรีอาเซียนโซนพื้นที่ภาคใต้ของไทย เพื่อรองรับการจราจรที่แออัดในถนนกาญจนวนิช ซึ่งเป็นถนนสายหลักสายเดียวจากหาดใหญ่ไปยังด่านสะเดาที่เชื่อมโยงกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งต้องรอลุ้นงบประมาณปี 2556 จากรัฐบาลดำเนินโครงการดังกล่าวโดยปีนี้ทล.ได้ขออนุมัติงบประมาณ 30 ล้านบาทเพื่อทบทวนผลการศึกษาความเหมาะสม
 "มอเตอร์เวย์สายนี้จะลดจุดตัดสำคัญ 3 จุด ในอำเภอหาดใหญ่ ตำบลปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา และที่ด่านสะเดา เพื่อให้รถใช้ความเร็วได้สม่ำเสมอ เหมาะสำหรับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศไทยและมาเลเซียผ่านด่านสะเดา จุดเริ่มต้นโครงการอยู่ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ไปสิ้นสุดที่ด่านสะเดาติดกับชายแดนประเทศมาเลเซีย มีทั้งส่วนที่เป็นถนนระดับพื้นและทางยกระดับ เขตทางกว้าง 70 เมตร ทิศทางไป-กลับฝั่งละ 2 ช่องจราจร โดยมีแนวเส้นทางเชื่อมกับถนนเพชรเกษม ตำบลฉลุง อำเภอหาดใหญ่ ใกล้ๆ กับที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ หรือ นิคมฉลุง ผ่านพื้นที่ใกล้กับสนามบินนานาชาติหาดใหญ่ เข้าไปในเขตอำเภอคลองหอยโข่ง แล้วเชื่อมต่อกับถนนกาญจวนิชก่อนถึงด่านสะเดาที่กำลังก่อสร้างด่านสะเดาแห่งใหม่"
 ทางด้านนายสุรชัย จิตภักดีบดินทร์ ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลาเปิดเผยว่า วันที่ 27 เมษายนนี้ได้จัดสัมมนาเรื่องมอเตอร์เวย์เส้นทางหาดใหญ่-สะเดา(เชื่อมชายแดนมาเลเซีย) เพราะหอการค้าจะต้องทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ภาคธุรกิจและภาคประชาชนเพื่อร่วมกันผลักดันงบประมาณตรงจุดนี้ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เนื่องจากสิ่งที่หอการค้ายังเป็นกังวลและพยายามผลักดันมาโดยตลอดคือมอเตอร์เวย์ เนื่องจากถนนกาญจนวนิชที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีปัญหาในการใช้เส้นทางสัญจร ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาเส้นทางที่จะวิ่งตัดตรงไปยังหาดใหญ่-สะเดารวมระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร คาดว่าจะใช้งบประมาณ 15,000 ล้านบาท
  "มั่นใจว่ามอเตอร์เวย์เส้นทางนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วยการอำนวยความสะดวกด้านคมนาคมขนส่งสินค้าชายแดนทางบกระหว่างไทย-มาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าการค้านำเข้า-ส่งออกรวมกว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังช่วยเพิ่มช่องทางการเข้าสู่ประเทศไทยให้กับตลาดนักท่องเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การกระตุ้นการสร้างความตื่นตัวด้านการท่องเที่ยวให้กับพื้นที่อีกด้วยโดยเฉพาะช่วงนี้ภาคใต้กำลังประสบปัญหาด้านความไม่สงบจึงต้องเร่งแก้ไขปัญหาโดยเร็ว"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,734   26-28  เมษายน พ.ศ. 2555


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: banta ที่ วันที่ 03 พฤษภาคม 2012, 12:27:32
http://www.youtube.com/watch?v=YUSffahlIX4&feature=player_embedded

ข่าวขยายถนนเชื่อมR3A เทิง-ดอกคำใต้


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 พฤษภาคม 2012, 07:55:06
กนอ.ปรับบทบาทก้าวสู่'เออีซี'

วันศุกร์ที่ 04 พฤษภาคม 2012

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) ถือเป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญและเป็นประตูด่านแรกต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ที่นักลงทุนต่างชาติจะเลือกเข้ามาลงทุนในประเทศหรือไม่ ดังนั้น การมุ่งขับเคลื่อนองค์กรให้มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ เพื่อรองรับกับการลงทุนในมิติใหม่ ภายใต้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงของระบบการค้าโลก จึงถือเป็นภาระหน้าที่ของดร.วีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการกนอ.คนใหม่ ที่จะต้องมาสานต่อนโยบายและเตรียมพร้อมในการปรับบทบาทกนอ.ให้ทันกระแสโลก และสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ที่จะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ในปี 2558
++เปิดพื้นที่ชายแดนรับเออีซี
 โดยดร.วีรพงศ์ ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ถึงทิศทางกนอ.ว่าวันนี้กนอ.มีนิคมอยู่ทั่วประเทศ 48 แห่ง เป็นของกนอ.เอง 11 แห่งและเอกชนร่วมดำเนินการ 37 แห่ง มีพื้นที่ขายและให้เช่ารวม 149,619 ไร่ มีพื้นที่พร้อมขายหรือเช่า 82,996 ไร่ ใช้เช่าหรือขายไปแล้ว 67,415 ไร่ มีพื้นที่เหลือขายหรือเช่า 15,517 ไร่ ซึ่ง 7-8 ปี ที่ผ่านมากนอ.ไม่ได้มีการพัฒนาพื้นที่เองขึ้นมาใหม่ แต่จะส่งเสริมให้เอกชนที่มีความคล่องตัวกว่ามาพัฒนาแทน สิ่งที่อยู่ในวิสัยทัศน์ต่อไป กนอ.จะต้องเป็นกลไกของรัฐในการลงทุนสร้านนิคมขึ้นมาตอบสนองนโยบายที่จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีขึ้นมาในปี 2558 ซึ่งนอกจากทำเรื่องฐานการผลิตแล้ว กนอ.จะต้องรุกไปสู่ด้านการค้าและบริการได้ หนึ่งในกลุ่มบริการเป้าหมายคือ ด้านการเป็นนิคมบริการด้านโลจิสติกส์ เพื่อตอบสนองการเข้าสู่เออีซี ที่เวลานี้กำหนดไว้ที่เชียงของ จังหวัดเชียงราย และที่พุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งนิคมเชียงของ จะตอบสนองเส้นทางสายอาร์3 เอ ยุทธศาสตร์เหนือใต้ ส่วนเส้นทางการค้าชายแดนบ้านพุน้ำร้อน ตอบสนองยุทธศาสตร์เส้นเศรษฐกิจด้านใต้ ที่วิ่งจากเวียดนามไปจนถึงทวายของพม่า 
 การวางตำแหน่งนิคมบริการจะช่วยเสริมนิคมแม่ ซึ่งเป็นนิคมฐานการผลิตที่อยู่ใน 48 แห่ง ซึ่งนิคมบริการ จะไปเชื่อมโยงนิคมต่างประเทศ เป็นการเคลื่อนย้ายวัตถุดิบผลิตภัณฑ์ขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นปลายในอนาคต เมื่อเข้าสู่เออีซีแล้ว ไม่มีกำแพงภาษีมากั้น จะได้เห็นการผลิตต้นน้ำเกิดขึ้นอีกประเทศหนึ่ง และมาต่อยอดกลางน้ำอีกประเทศหนึ่ง และปลายน้ำอีกประเทศหนึ่ง คนที่มีต้นทุนด้านโลจิสติกส์ต่ำที่สุด ก็จะได้เปรียบในการแข่งขันมากที่สุด รัฐบาลจึงมีนโยบายลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศให้ได้ เป็นโจทย์ถึงทำให้มีโลจิสติกส์ปาร์ก มีนิคมขึ้นมาเป็นสถานีกลาง ในการที่จะกองเก็บแปรรูป บรรจุหีบห่อ ขึ้นมาใหม่ เป็นผลิตภัณฑ์ออกสู่ภูมิภาคภายใน 4 ปี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาที่คาดว่าจะใช้พื้นที่แต่ละโครงการประมาณ 500-1,000 ไร่ ใช้เงินลงทุนแห่งละประมาณ 2,000 ล้านบาท  โดยจะเริ่มเข้าพัฒนาพื้นที่ได้ประมาณปีหน้า
++หานิคมใหม่รองรับลงทุน
 ขณะเดียวกัน เนื่องจากประเทศไทยเป็นฐานการผลิตของภาคอุตสาหกรรม เวลานี้นักลงทุนมองไปถึงการเชื่อมโยงกับเออีซี ทำให้กนอ.จำเป็นต้องมองว่าพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีสะพานเชื่อมไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเมื่อเกิดการเคลื่อนย้ายของทุน ไม่มีกำแพงภาษี สิ่งที่จะดึงดูดการเคลื่อนย้ายของทุน ของภาคอุตสาหกรรมได้จะต้องมีพื้นที่รองรับ เพื่อสร้างความได้เปรียบ ซึ่งเวลานี้ได้ของบประมาณจากรัฐบาลเพื่อมาศึกษาพื้นที่ที่เป็นยุทธศาสตร์ในการเชื่อมโยงการค้าการลงทุนแล้ว ใน 4 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น อุดธานี นครพนม และนครราชสีมา ที่จะเริ่มในปีหน้า ว่าพื้นที่ตรงไหนมีความเหมาะสม และแต่ละพื้นที่จะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมประเภทอะไร ซึ่งหากผลการศึกษาแล้วเสร็จ ก็จะเริ่มลงมือในปี 2557 เป็นต้นไป ซึ่งขนาดของแต่ละพื้นที่จะประมาณ 1,000 ไร่ขึ้นไป ซึ่งในส่วนนี้จะใช้เงินลงทุนประมาณ 1-2 ล้านบาทต่อไร่
 ส่วนการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ กนอ.ก็มีแผนตั้งนิคม ดูแลคลัสเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น คลัสเตอร์ยาง ปาล์ม หรือคลัสเตอร์อาหารทะเล หรือนิคมอาหารฮาลาล ที่ปัตตานี ไม่ได้ทิ้งยังเดินหน้าต่อ เพราะถือเป็นยุทธศาสตร์ความมั่นคงของประเทศด้วย
++ปิดฉากเซาเทิร์นซีบอร์ด
 ขณะที่การพัฒนาพื้นที่เซาเทิร์นซีบอร์ดนั้น เดิมยุทธศาสตร์ของประเทศ พูดถึงการทำเหล็กต้นน้ำ ทำอุตสาหกรรมปิโตรเคมีครบวงจร เหมือนที่มาบตาพุด วันนี้คงต้อมีการทบทวนการลงทุนอีกครั้ง เพราะได้รับการคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่ ทำให้มีปัญหาต่อการดำเนินโครงการควรชะลอไว้ก่อน ขณะเดียวกันมีโครงการพัฒนาพื้นที่ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างทวาย เกิดขึ้นแล้ว อาจจะทำให้ประเทศไทยต้องกลับมาปรับบทบาทการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ของประเทศอีกครั้ง เพราะวันนี้อุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำถูกกำหนดอยู่ในแผนพัฒนาของทวายด้วย  และบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด(มหาชน) ก็ไปลงทุนซื้อกิจการโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษเรียบร้อยแล้ว วันนี้เรื่องปริมาณความต้องการ ของเหล็กต้นน้ำ อาจต้องมาทบทวนกันอีกครั้งว่าเหล็กต้นน้ำจะเกิดขึ้นในไทยหรือไม่ ที่ไหนอย่างไร สถาบันเหล็กกำลังดูเรื่องนี้อยู่ ซึ่งหากจะเกิดในประเทศอาจจะไม่มีพื้นที่รองรับ
++รุกอีโคทาวน์ต่อเนื่อง
 สำหรับการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศหรืออีโคทาวน์นั้น กนอ.มีเป้าชัดเจนภายใน 5 ปีแรก(2553-2557) 15 นิคมทั่วประเทศ จะต้องเข้าสู่การเป็นอีโคทาวน์ มีแผนปฏิบัติการ การดำเนินการตามแผน และใน 5 ปีต่อไป ทุกนิคมทั่วประเทศ จะเข้าสู่ระบบทั้งหมด โดยตั้งแต่ปี 2553 ได้เริ่มดำเนินการมาปีละ 3 นิคม ปี 2554 ดำเนินการ 3 นิคม บวกในพื้นที่มาบตาพุดอีก 5 นิคม ปีนี้ดำเนินการอีก 3 รวมแล้วเป็น 14 นิคม ซึ่งการดำเนินงาน จะทำลักษณะจากโรงงานอุตสาหกรรมออกไปสู่ชุมชน สนับสนุนให้แต่ละโรงงานยกระดับตัวเอง เข้าสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว และมาเชื่อมโยงจัดการกัน เป็นนิคมเชิงนิเวศ มีการใช้วัตถุดิบร่วมกัน ลดปริมาณการใช้ทรัพยากร การลดการเกิดของเสีย สนับสนุนรีไซเคิล การแชร์พลังงานร่วมกัน มีหลายรูปแบบ
 เสร็จแล้วไปสร้างความสัมพันธ์จากตัวนิคมออกไปสู่ชุมชน อะไรที่นิคมก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน ต้องเข้าไปทำ เป็นแผนยกระดับนิคมเข้าสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ จำแนกออกมา 5 กลุ่ม 22 ข้อ กนอ.ทำมาตั้งแต่ปี 2553 จัดประชุมระดมสมอง จนตกผลึกอะไรคือ 22 ด้านที่ต้องทำ แบ่งเป็น 5 กลุ่ม ซึ่งในปีนี้ได้กำหนด อะไรคือค่าระดับเป้าหมายในการตัดสินว่าผ่านไม่ผ่านการเข้าสู่เป้าหมาย ได้หารือกันและสรุปแนวทางว่า ถ้าพูดถึงโรงแรม ทุกคนจะเข้าใจว่า โรงแรมมี สามดาว สี่ดาว ห้าดาว นิคมก็อาจจะมี ดาว มาใช้กัน มีเกณฑ์ชัดเจนว่า สามดาว สี่ดาว ห้าดาวมีอะไรบ้าง
 ขณะเดียวกันการดำเนินงานมี 22 ด้าน เราไม่ได้บังคับให้ทุกนิคมต้องทำให้ครบ 22 ด้าน เราต้องมาตกลงกันว่าทั้ง 22 ด้าน อะไรคือวิชาเลือกอะไรคือวิชาบังคับ วิชาบังคับทุกคนต้องทำให้ได้ ส่วนวิชาเลือกสามารถเลือกได้กี่วิชา ถึงจะบรรลุ สามดาว สี่ดาว ห้าดาว คือหลักการที่ให้ไปในเดือนกันยายนนี้  จะได้ค่าระดับเป้าหมาย พอได้แล้ว กนอ.จะไปประสานกับบีโอไอ ในการที่จะให้สิทธิประโยชน์สร้างแรงจูงใจ ให้ผู้ประกอบการเข้ามาร่วมโครงการ เป็นไปตามนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมต่อไป

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,737   6-9  พฤษภาคม พ.ศ. 2555


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 พฤษภาคม 2012, 16:21:41
ชาวบ้านเชียงรายฮือต้านนายทุนโรงไฟฟ้าชีวมวลอีก จี้เปิดผลประชาคม-เชื่อมีพิรุธ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   8 พฤษภาคม 2555

เชียงราย - ชาวบ้านหลายหมู่บ้านในอำเภอแม่จันฮือต้านนายทุนตั้งโรงไฟฟ้าชีวมวลอีก หวั่นกระทบสิ่งแวดล้อม-สุขภาพคนในชุมชน พร้อมจี้อุตสาหกรรมจังหวัดฯ เปิดเอกสารทำประชาคม หลังอ้างกันเฉยประชาคมมีอนุมัติให้สร้างได้ด้วยมติเป็นเอกฉันท์
       
       เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (8 พ.ค.) กลุ่มชาวบ้านจากหมู่บ้านศรียางชุม ม.13 ต.ท่าข้าวเปลือก อ.แม่จัน จ.เชียงราย และหมู่บ้านข้างเคียง รวมประมาณ 100 คน ได้ไปชุมนุมกันที่ศาลากลางจังหวัดฯ เพื่อยื่นหนังสือร้องทุกข์กรณีบริษัทท่าข้าวเปลือก กรีนเพาเวอร์ จำกัด เตรียมจะเข้าไปจัดตั้งเป็นโรงงานจำพวกที่ 3 ประกอบกิจการผลิตกระแสไฟฟ้าชีวมวลในพื้นที่หมู่บ้านศรียางชุม พร้อมถือป้ายคัดค้านโครงการและขอให้ทางจังหวัดช่วยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ช่วยเหลือ
       
       โดยกลุ่มชาวบ้านระบุว่าไม่ต้องการให้ตั้งโรงงานฯ เพราะเกรงจะเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชาวบ้าน
       
       ต่อมานายทองชัย ชวลิตพิเชฐ อุตสาหกรรม จ.เชียงราย ได้เข้ารับเรื่องจากชาวบ้าน และแจ้งชาวบ้านว่า กรณีดังกล่าวทางเอกชนได้ยื่นเรื่องขออนุญาตจัดตั้งโรงงานไปยังกระทรวงอุตสาหกรรมตั้งแต่ปี 2554 ที่ผ่านมาแล้ว โดยยื่นเรื่องผ่านตั้งแต่ระดับท้องถิ่น อำเภอ จังหวัดไปถึงกระทรวงฯ ซึ่งขณะนี้ทางกระทรวงฯ ก็ยังไม่มีการอนุญาตให้จัดตั้งแต่อย่างใด หรือหากได้รับอนุญาตแล้วก็ยังต้องส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการกิจการพลังงานพิจารณาอีกรอบหนึ่งด้วย ซึ่งทำให้ชาวบ้านเบาใจได้ระดับหนึ่ง
       
       แต่นายทองชัยยังแจ้งชาวบ้านอีกว่า เทศบาลตำบลท่าข้าวเปลือกแจ้งว่าในช่วงที่มีการขออนุญาตได้มีการจัดทำประชาคมเพื่อขอความเห็นจากชาวบ้าน ซึ่งผลปรากฏว่าการขอจัดตั้งผ่านการทำประชาคมไปเรียบร้อยแล้ว
       
       นายทองชัยกล่าวว่า เทศบาลฯ แจ้งว่ามีการทำประชาคมที่ ม.3 จำนวน 161 คน และที่ ม.13 จำนวน 128 คน เมื่อวันที่ 24 และ 25 ตุลาคม 54 ตามลำดับ ผลปรากฏว่ามีมติเป็นเอกฉันท์ให้ทำการก่อสร้างได้ แต่เมื่อชาวบ้านได้เข้ามาร้องเรียนดังกล่าวก็จะได้เร่งจัดทำเป็นหนังสือคัดค้านจากชาวบ้านไปยังกระทรวงอุตสาหกรรมให้ได้พิจารณาต่อไป
       
       อย่างไรก็ตาม ช่วงที่นายทองชัยแจ้งข้อมูลการทำประชาคมต่อชาวบ้าน ได้ทำให้ชาวบ้านแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด โดยส่วนใหญ่ระบุว่าไม่เคยทำประชาคมเห็นชอบให้มีการจัดตั้งโรงไฟฟ้าชีวมวลแต่อย่างใด รวมทั้งเรียกร้องว่า นอกจากทางสำนักงานอุตสาหกรรม จ.เชียงราย จะทำตามหนังสือคัดค้านจากชาวบ้านแล้ว ยังอยากดูเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำประชาคมด้วย ทำให้นายทองชัยแจ้งให้ชาวบ้านให้ย้ายไปรอเอกสารที่สำนักงานอุตสาหกรรม จ.เชียงราย โดยก่อนสลายตัวจากศาลากลางฯ เพื่อไปรอรับเอกสารที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดฯ บรรดาแกนนำ เช่น นายสุทัศน์ หะวัน นายประพันธ์ กับปะหะ ฯลฯ ได้ยื่นหนังสือคัดค้านต่อนายทองชัยด้วย
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า การก่อตั้งโรงไฟฟ้าชีวมวลในพื้นที่ จ.เชียงราย เป็นปัญหาที่ยืดเยื้อติดต่อกันมานานหลายปี โดยมีเอกชนพยายามเข้าไปจัดตั้งหลายครั้งในพื้นที่ ต.เวียงเหนือ อ.เวียงชัย ต.ผางาม อ.เวียงชัย และ ต.ทรายขาว อ.พาน มาแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีทั้งกลุ่มชาวบ้าน กลุ่มทุน กลุ่มการเมืองท้องถิ่นต่อต้านอย่างหนัก กระทั่งกระแสต่อต้านปะทุขึ้นที่ ต.ท่าข้าวเปลือกอีกครั้ง

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000056632


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 10 พฤษภาคม 2012, 01:22:49
ทอท.เดินหน้าหนุนท่าอากาศยานเชียงรายเป็นฮับการบิน รองรับการเปิดเสรีอาเซียนในปี 58 ด้านคค.อนุมัติงบ 20 ล้าน ขยายจุดกลับลำเครื่องบิน ส่วน ผอ.ท่าอากาศยานฯ คาดปี 55 จำนวนผู้โดยสารผ่านท่าอากาศยานฯแตะล้านคน

9 พ.ค. 55 นายยุธนา จิตรอบอารีย์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงราย เปิดเผยถึงความพร้อมของท่าอากาศยานเชียงรายในการรอบ รับการเปิดเสรีอาเซียน หรือ เออีซี ในปี 2558 ว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.มีแผนและเป้าหมายผลักดันให้ ท่าอากาศยานเชียงรายเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคอาเซียน เพราะเล็งเห็นถึงศักยภาพและควาพร้อม โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นที่ ของสนามบิน ทั้งรันเวย์ที่มีความยาว 3,000 เมตร กว้าง 45 เมตร รองรับการขึ้นลงของเครื่องบิน เช่น โบอิ้ง 747 ยกเว้นเครื่องแอร์บัส 380 ที่ขึ้นลงได้เฉพาะท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รวมทั้งขนาดพื้นที่ที่กว่า 3,275 ไร่ มากกกว่าท่าอากาศยานเชียงใหม่และภูเก็ตถึง 1 เท่าตัว


ส่วนอาคารผู้โดยสารก็มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่า 100,000 ตารางเมตร มี 2 ชั้นแต่ปัจจุบันเปิดใช้เฉพาะพื้นที่ชั้น 1 หากมีจำนวนผู้ โดยสารเพิ่มขึ้นก็สามารถเปิดใช้พื้นที่ชั้น 2 ได้อีก อย่างไรก็ดีการขึ้นลงของเครื่องบินที่ท่าอากาศยานเชียงรายยังติดขัดปัญหาเรื่อง จุดกลับลำเครื่องบินที่ปลายทางรันเวย์ทั้งสองด้าน ขณะนี้แม้มีจุดกลับลำแต่แคบเกินไป ทอท.ได้เสนอของบประมาณไปแล้วคาดว่าจะได้ รับอนุมัติงบในปี 2557 มาดำเนินการขยายจุดกลับลำที่ปลายรันเวย์ทั้งสองด้าน

นายยุทธนา กล่าวว่า ล่าสุดผู้ว่าราชการจ.เชียงรายเห็นว่าหากรองบประมาณมาขยายในปี 2557 -2558 อาจล่าช้าเกินไป จึง ประสานกับ ส.ส.ในพื้นที่เพื่อช่วยผลักดันงบประมาณผ่านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และทำเรื่องถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวง คมนาคมที่เดินทางมาปฎิบัติภาระกิจในจ.เชียงราย เพื่อขอให้จัดสรรงบประมาณมาดำเนินการอีกทางหนึ่ง


ทั้งนี้ล่าสุดทราบว่ากระทรวงคมนาคมได้อนุมัติงบประมาณให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 20 ล้าน บาทเพื่อนำมาขยายจุดกลับลำเครื่องบินที่ปลายรันเวย์ด้านทิศเหนือก่อน ขณะนี้ยังไม่ได้รับแจ้งจากกระทรวงคมนาคมมาเป็นทางการ แต่คาดว่าหาก ทอท.ได้รับแจ้งเรื่องงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติจะเริ่มดำเนินการได้ภายใน 3 -4 เดือนนับจากนี้อย่างแน่นอน เพราะถือ เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ ส่วนการขยายจุดกลับลำเครื่องบินด้านทิศใต้น่าจะดำเนินการได้ในงบประมาณปีถัดไป


สำหรับแผนการปรับปรุงและพัฒนาท่าอากาศยานเชียงรายเพื่อรองรับการเปิดเออีซีในปี 2558 ที่จะดำเนินการในช่วงต่อไป จะก่อสร้างทางเชื่อมเทียบเครื่องบินเพิ่มเติมอีก 1 จุด จากปัจจุบันมี 2 จุด โดยจะเริ่มดำเนินการได้ภายในต้นปีงบประมาณ 2556 ที่จะ เริ่มในเดือน ตุลาคม 2555 นี้ โดยใช้งบประจำปีของ ทอท.ที่อนุมัติมาให้ดำเนินการประมาณ 25 -30 ล้านบาท

"ปัจจุบันมีเครืองบินขึ้นลงที่ท่าอากาศยานเชียงรายวันละ 11 เที่ยวบิน แบ่งเป็นการบินไทย 3 เที่ยว แอร์เอเชีย 3 เที่ยว นกแอร์ 2 เที่ยว โอเรียนท์ไทย 2 เที่ยว และกานต์แอร์ 1 เที่ยว ส่วนเที่ยวบินระหว่างประเทศมีสายการบินไชน่าอีสเทิร์น แอร์ไลน์ บินเส้นทางคุนหมิง -เชียงราย สัปดาห์ละ 3 วัน คือ วันอังคาร พฤหัส และเสาร์ ส่วนจำนวนผู้โดยสารที่มาใช้บริการเพิ่มขึ้นทุกปีเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีๆละ 10% โดยปีงบประมาณ 2552 มีจำนวน 600,000 คน ปีงบประมาณ 2553 มีจำนวน 700,000 คน และปีงบประมาณ 2554 มีจำนวน 800,000 คน ส่วนปีงบประมาณ 2555 คาดว่าจะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 900,000 - 1,000,000 คน"นายยุทธนากล่าว


นายยุทธนา กล่าวอีกว่า แม้ว่าจะไม่มีการเปิดเออีซีในอีก 2 ปีข้างหน้าแต่คาดการณ์ว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,200,000 - 1,300,000 คน แต่หากมีปัจจัยเรื่องการเปิดเออีซีในปี 2558 มาเสริม เบื้องต้นยังไม่สามารถประเมินได้ว่าผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นเท่าใด แต่ฝ่ายเทคนิคของ ทอท.มั่นใจว่าท่าอากาศยานเชียงรายจะรองรับได้เพราะศักยภาพของอาคารผู้โดยสารรองรับได้สูงสุดถึง 1,750,000 คน หาก หรือ เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันอีก 30 - 40% ก็ยังรองรับได้


http://www.komchadluek.net


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 10 พฤษภาคม 2012, 21:08:59
ทุ่ม1หมื่นล้านปรับโครงสร้างอุตฯไทยรับAEC

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

วันที่ 10 พฤษภาคม 2555
อุตสาหกรรมเร่งปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม รับ AEC วงเงิน 10,000 ล้าน พัฒนานวัตกรรมรอบด้านพร้อมขยายกิจการภาคอุตสาหกรรม 10,000 รายใน 5 ปี


ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ระบุว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมีแผนที่จะปรับยุทธศาสตร์โครงสร้างอุตสาหกรรม เพื่อให้เป็นไปตามแผนการสร้างอนาคตประเทศของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.)และเพื่อการเปิดรับการเข้าสู่ประชาคมาอาเซียน (AEC)ในปี 2558ซึ่งขณะนี้กำลังวางแผนเพื่อร่างโครงการต่างๆซึ่งคาดว่าจะเสนอวงเงินต่อ กยอ.เพื่อดำเนินการ ประมาณ 10,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมมีเป้าหมายหลัก ในการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเพื่ออนาคตประเทศ ใน 3 ด้าน คือ 1.ป้องกันอุบัติภัยจากอุตสาหกรรมทุกด้าน เช่น ด้านน้ำ สารเคมี 2.ปรับโครงสร้างด้านนวัตกรรมด้านยานยนต์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรับกานเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และ 3.การกำหนดพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ในจังหวัดที่มีการค้า ชายแดน เช่น จังหวัดกาญจนบุรี เขตพื้นที่ อ. เชียงของ จ.เชียงราย จ.อุดรธานี  ขอนแก่น นราธิวาส โดยกำหนดเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ

นอกจากนี้ ม.ร.ว.พงศ์สวัสดิ์ เชื่อว่าการปรับยุทธศาสตร์โครงสร้างอุตสาหกรรมจะสามารถขยายการดำเนินการภาค อุตสาหกรรมได้ 10,000 ราย ภายใน 5 ปี


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: casika456 ที่ วันที่ 17 พฤษภาคม 2012, 15:05:30
น่าสนใจมากครับ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 พฤษภาคม 2012, 22:21:22
เจ้าสัว"เจริญ"เล็งเช่าที่ล้านไร่ในลาวปลูกพืช




ธุรกิจกาแฟของกลุ่มเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ใน สปป.ลาว ไปได้สวย มั่นใจอีก 5 ปีข้างหน้าผลิตกาแฟพันธุ์อราบิก้าได้ถึง 5,000 ตัน/ปี เดินหน้าลุยสำรวจพื้นที่ริมแม่น้ำโขง 1 ล้านไร่ ก่อนเจรจาขอสัมปทานเช่าปลูกอ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา และข้าว วางแผนลงทุนพม่าหลังจากเปิดประเทศ


 
นายโยทัย จาง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เทอราโกร จำกัด ในกลุ่มบริษัทพรรณธิอร เปิดเผยว่า เทอราโกรได้เข้าไปดำเนินธุรกิจปลูกกาแฟสายพันธุ์อราบิก้าในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยขอสัมปทานเช่าพื้นที่ขนาด 3,000 เฮกตาร์ (ประมาณ 18,750 ไร่) เริ่มทำการปลูกมาแล้ว 4 ปี ในปี 2555 นี้เป็นปีแรกที่เริ่มเก็บเกี่ยว

ถึงขณะนี้มีผลผลิต 100 ตัน คาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะสามารถผลิตได้ 5 พันตัน/ปี สำหรับการขาย ขายตามราคาตลาดโลกคือ 5 เหรียญสหรัฐ/กก. มีตลาดหลักอยู่ที่ญี่ปุ่น ซึ่งนำเข้ากาแฟถึง 4 แสนตัน/ปี และอีกช่องทางหนึ่งคือส่งเข้าโรงแรมของบริษัทในกลุ่ม

ปัจจัยในการเลือกพื้นที่คือเป็นพื้นที่ที่มีภูมิอากาศเหมาะสม อุณหภูมิเฉลี่ย 20-25 องศาเซลเซียส สภาพดินเป็นดินภูเขาไฟ มีปล่องภูเขาไฟอยู่ตรงกลางพื้นที่ กาแฟอราบิก้าเป็นสายพันธุ์บริสุทธิ์ในพื้นที่ ให้ผลผลิตดีเมื่อเทียบกับเมืองไทย อีกทั้งยังเป็นแหล่งปลูกกาแฟที่พัฒนาโดยชาวฝรั่งเศสตั้งแต่ 100 กว่าปีที่แล้ว ชาวบ้านในพื้นที่ปลูกกาแฟเป็น Coffee Zone เทียบเท่าอินโดนีเซีย และแมนดาริน และยังมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าประเทศไทยอีกด้วย

ในอนาคตจะมีการขยายธุรกิจในไทยหรือไม่ขึ้นอยู่กับกฎหมายและภาษี เนื่องจากกาแฟจัดเป็นพืชอ่อนไหว และขณะนี้ไทยยังมีกำแพงภาษีอยู่ รวมทั้งเรื่องพื้นที่ใน สปป.ลาว ได้เปรียบประเทศไทย ตรงที่ลาวมีพื้นที่ราบผืนเดียวขนาดใหญ่ ในขณะที่ไทยเป็นพื้นที่ภูเขา อย่างไรก็ตามหากได้รับการส่งเสริมที่ดี บางพื้นที่ในประเทศไทยก็ยังมีศักยภาพในการผลิตกาแฟอีกมาก เช่น จังหวัดเชียงราย เป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูง มีสภาพอากาศเหมาะสม และเป็นจังหวัดชายแดนสามารถติดต่อกับต่างประเทศได้ง่าย

นายโยทัยกล่าวว่า ตลาดกาแฟโลกเติบโตปีละ 3-5% แต่ในอนาคตวัฒนธรรมการดื่มของจีนจะทำให้มีการเติบโตมากขึ้น จากเดิมที่คนจีนดื่มชา ขณะนี้เริ่มมีการดื่มกาแฟมากขึ้น ถ้าคนจีนดื่มกาแฟคนละ 1 แก้ว/วัน จะผลักให้ราคากาแฟและการเติบโตสูงขึ้น นอกจากจีนแล้ว เกาหลีใต้ก็ดื่มกาแฟมากขึ้น จากกระแสของซีรีส์เกาหลีเรื่อง Coffee Prince ทำให้คนเกาหลีรุ่นใหม่มองว่ากาแฟเป็นสินค้าไฮเอนด์

สำหรับการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในอีก 3 ปีข้างหน้า มีข้อดีตรงที่คนไทยจะมีโอกาสได้บริโภคกาแฟจากต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งกาแฟของแต่ละพื้นที่จะมีรสชาติแตกต่างกัน

นายโยทัยเปิดเผยอีกว่า นอกจากกาแฟแล้ว กลุ่มบริษัทพรรณธิอรยังเข้าไปลงทุนปลูกพืชชนิดอื่นด้วย ทั้งอ้อย มันสำปะหลัง และยางพารา รวมทั้งมีการปลูกข้าวเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาเช่าพื้นที่กับรัฐบาล สปป.ลาว ซึ่งพื้นที่ที่ทำการสำรวจไว้เป็นพื้นที่ริมแม่น้ำโขงประมาณ 1 ล้านไร่ ในจำนวนนี้มีพื้นที่ที่ตกลงกันได้แล้ว ประมาณ 3 หมื่นเฮกตาร์ (ประมาณ 187,500 ไร่) นอกจากใน สปป.ลาวแล้วยังมีการปลูกปาล์ม ตั้งโรงงานแปรรูปปาล์ม และท่าเรือ ในเกาะกง ประเทศกัมพูชาอีกด้วย ส่วนประเทศพม่านั้นอยู่ในระหว่างการวางแผน

สำหรับกลุ่มพรรณธิอร ถือเป็น 1 ใน 5 ธุรกิจหลักเครือทีซีซี ของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ด้วยทุนจดทะเบียนถึง 10,000 ล้านบาท ในนามบริษัท พรรณธิอร จำกัด ประเภทกิจการลงทุนและให้กู้ยืมเงิน โดยมีบริษัททีซีซี โฮลดิ้ง ถือหุ้นในบริษัทนี้ 100% โดยนายเจริญได้วางเป้าหมายให้กลุ่มพรรณธิอรเป็น "เรือธง" ในธุรกิจอุตสาหกรรมการเกษตร ต่อยอดพื้นฐานจากการพัฒนาที่ดินของกลุ่มทีซีซีแลนด์ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ภายใต้แนวคิดที่ว่าจากที่ดินที่มีอยู่จำนวนมากของกลุ่ม จะลงทุนในอุตสาหกรรมการเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าให้กับที่ดินผืนนั้น ๆ ได้อย่างไร

บริษัทพรรณธิอรจึงเกิดขึ้นจากแนวคิดนี้ ปัจจุบันแบ่งสายธุรกิจออกเป็น 4 ธุรกิจย่อย ประกอบไปด้วย 1)ธุรกิจน้ำตาล ในนามบริษัทคริสตอลลา (Cristalla) มีโรงงานน้ำตาล 3 แห่ง ได้แก่ โรงงานน้ำตาลอุตรดิตถ์ โรงงานน้ำตาลแม่วัง และโรงงานน้ำตาลสุพรรณบุรี

2)ธุรกิจการเพาะปลูก (Plantation) ในนามบริษัทเทอราโกร 3)ธุรกิจปุ๋ย ในนามบริษัท เทอราโกร เฟอร์ติไลเซอร์ จำกัด มีโรงงานผลิตปุ๋ยเคมีตรามงกุฎ อยู่ที่ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา และ 4)ธุรกิจอาหาร ในนามบริษัท อาหารสยาม จำกัด (มหาชน)

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1337312981&grpid=&catid=no&subcatid=0000


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 พฤษภาคม 2012, 22:29:39
ประชาชนชาว จ.นครราชสีมา สนใจอุดหนุน ลิ้นจี่ ในงาน ช็อป ชิม ชม ลิ้นจี่สดรสอร่อยจากเชียงรายสู่โคราช

ประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมา สนใจอุดหนุน ลิ้นจี่ ในงาน ช็อป ชิม ชม ลิ้นจี่สดรสอร่อยจากเชียงรายสู่โคราช ระหว่างวันที่ 18-20 พฤษภาคม 2555 ณ บริเวณลานสวนเมืองทอง อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา
นายเฉลิมศักดิ์ ประสิทธิ์สุวรรณ เกษตรจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่าจังหวัดนครราชสีมา ร่วมกับ จังหวัดเชียงรายดำเนินโครงการป้องกันแก้ไขปัญหาลิ้นจี่ปี 2555 โดยการจัดงานลิ้นจี่สดรสอร่อยจากภาคเหนือปี 2555 ณ บริเวณสวนเมืองทอง ใกล้ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ได้เริ่มจำหน่ายตั้งแต่เวลา 10.00 น. วันนี้ไปจนถึงวันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคมนี้ โดยจะมีผลผลิตลิ้นจี่คุณภาพดีจากจังหวัดเชียงรายมาจำหน่ายให้กับประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมา ในช่วงของการจัดงานไม่น้อยกว่า 50 ตัน ราคาตั้งแต่กิโลกรัมละ20 บาท และยังมีการกระจายผลผลิตลิ้นจี่ไปจำหน่ายในต่างอำเภอทุกอำเภอของจังหวัดนครราชสีมาด้วย
เกษตรจังหวัดนครราชสีมา ยังกล่าวว่า การจัดงานนี้ เนื่องจากสถานการณ์ผลผลิตลิ้นจี่จาก 4 จังหวัดที่เป็นแหล่งผลผลิตที่สำคัญทางภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา และน่าน ผลผลิตปีนี้รวมประมาณ 62,000 ตัน เพิ่มจากปี 2554 ถึง 32,000 ตัน คิดเป็นร้อยละ 93 และผลผลิตจะมากที่สุดช่วงปลายเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับผลไม้จากภาคตะวันออกหลายชนิดออกสู่ตลาด อาจส่งผลกระทบทำให้ราคาลิ้นจี่ตกต่ำได้ จังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดเชียงรายจึงร่วมกันจัดงานเพื่อบริหารผลผลิตลิ้นจี่ให้สอดคล้องและตรงตามความต้องการของตลาดและผู้บริโภค ป้องกันการเกิดปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรผู้ปลูกลิ้นจี่ในแหล่งที่สำคัญ 4 จังหวัดในงาน นอกจากลิ้นจี่สดรสชาติอร่อย จากเชียงรายแล้ว ยังมีสินค้าผลิตภัณต์กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ผลไม้ประจำท้องถิ่นชนิดอื่นทั้งจังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดเชียงรายมาจำหน่าย การเจรจาธุรกิจ การจับชิ้นส่วนชิงรางวัลตลอดการจัดงาน ลิ้นจี่สดรสอร่อย จากภาคเหนือปี 2555
ทิวาพร/ข่าว


ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : นครราชสีมา(สวท.)   Rewriter : เพ็ญนภา เข็มตรง / สนข.
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th


 วันที่ข่าว : 18 พฤษภาคม 2555


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 02 มิถุนายน 2012, 22:56:40
ซีพีแลนด์ปักหมุด8โซนอสังหาภูธร ชี้เมืองมหา"ลัยขายดีจัดเต็ม"ขอนแก่น-สารคาม"

updated: 01 มิ.ย. 2555 เวลา 09:55:56 น.

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

นายสุนทร อรุณานนท์ชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า แผนธุรกิจปี 2555 จะเป็นอีกปีหนึ่งที่บริษัทมุ่งสู่แผนลงทุนเชิงรุก โดยจะมีการพัฒนาใหม่ 10 โครงการ ครอบคลุมทำเลในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ครบทุกโปรดักต์แนวราบ คอนโดมิเนียม และสำนักงานให้เช่า รวมทั้งแผนเปิดตัวนิคมอุตสาหกรรมที่ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง พื้นที่กว่า 3,300 ไร่ และการเตรียมตัวเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจะเห็นได้ว่าแผนเปิดตัวนิคมอุตสาหกรรมและเข้าตลาดหุ้น เป็นแผนงานต่อเนื่องที่บริษัท ซี.พี.แลนด์เคยประกาศจะลงทุนก่อนหน้านี้ แต่รอจังหวะเศรษฐกิจเดินไปได้ ระหว่างนี้เป็นการเตรียมความพร้อม เมื่อโอกาสทางธุรกิจมาถึง

ทั้งนี้ ข้อมูล ณ 31 ธ.ค. 2554 ซี.พี.แลนด์มีทรัพย์สินรวม 11,150 ล้านบาท มีหนี้สิน 3,368 ล้านบาท มีส่วนผู้ถือหุ้น 7,782 ล้านบาท มีรายได้ประมาณ 1,500 ล้านบาท กำไรก่อนหักค่าใช้จ่าย หรือกรอสโปรฟิตกว่า 500 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิกว่า 300 ล้านบาท สัดส่วนรายได้มาจากโครงการอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า 75% และโครงการขายขาดอีก 25% ตามแผนสัดส่วนรายได้จะปรับเป็นอย่างละ 50% ภายใน 3 ปีข้างหน้า

ขณะเดียวกัน โครงการนิคมอุตสาหกรรมที่ปลวกแดง จะแบ่งการพัฒนาเป็น 3 เฟส เฟสละ 2 ปี มูลค่าโครงการ 6,500 ล้านบาท ความคืบหน้าอยู่ระหว่างจัดทำรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม หรืออีไอเอ วางแผนให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว หรืออีโคอินดัสเทรียล รองรับอุตสาหกรรมเบาที่ไม่มีมลพิษ คาดว่าขั้นตอนขออีไอเอจะผ่านการพิจารณาอนุมัติภายในสิ้นปีนี้

"แลนด์แบงก์ของซี.พี.แลนด์มีประมาณ 4,000 ไร่ ไม่มีจำนองแม้แต่แปลงเดียว บางแปลงถืออยู่ในมือ 20 ปี ทำให้เมื่อนำมาพัฒนาจะมีศักยภาพในการแข่งขันสูง"

นายสุนทรกล่าวด้วยว่า บริษัทให้ความสนใจกับการพัฒนาคอนโดมิเนียม เพราะมีความต้องการสูงมาก นอกจากแลนด์แบงก์ในมือปีนี้ตั้งงบฯจัดซื้อที่ดินไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ล่าสุดอยู่ระหว่างเจรจา 5 แปลงด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือที่ดินแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง

ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างใช้งบฯลงทุน 300 ล้านบาท ปรับปรุงโรงแรมและศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ หัวมุมสี่แยก อสมท เพื่อรองรับศักยภาพทำเลที่มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นย่านศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ หรือนิวซีบีดี รองจากย่านสีลม สาทร ตามแผนปรับปรุงตั้งเป้าแล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค.นี้

นายสมเกียรติ เรือนทองดี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า แผนลงทุนที่เป็นไฮไลต์ปีนี้จะเป็นการขับเคลื่อนแนวคิดพัฒนาโครงการในต่างจังหวัด โดยจังหวัดยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทแบ่งเป็น 8 โซนด้วยกัน ประกอบด้วย 1.โซนภาคเหนือตอนบน มี จ.เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง 2.โซนภาคเหนือตอนล่าง มี จ.พิษณุโลก นครสวรรค์

ภาคอีสานมี 4 กลุ่ม คือ 3.โซนภาคอีสาน 1 มี จ.ขอนแก่น อุดรธานี มหาสารคาม 4.โซนภาคอีสาน 2 มี จ.นครราชสีมา บุรีรัมย์ 5.โซนภาคอีสาน 3 มี จ.อุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ 6.โซนภาคอีสาน 4 มี จ.หนองคาย นครพนม มุกดาหารอีก 2 โซนคือ 7.โซนภาคตะวันออก มี จ.ชลบุรี ระยอง และสุดท้าย 8.โซนภาคใต้ มี จ.นครศรีธรรมราช สงขลา สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต

นายสมเกียรติกล่าวถึงรายละเอียดแผนเปิดตัวใหม่ 10 โครงการด้วยว่า บริษัททยอยเปิดตัวดังนี้ 1.คอนโดมิเนียมแบรนด์ "กัลปพฤกษ์" เปิดตัวเฟสแรก 3 อาคาร ทำเลติดถนนมะลิวัลย์ พื้นที่ 3 ไร่ 2.คอนโดฯ "กัลปพฤกษ์ พาร์ค" ทำเลถนนมิตรภาพ บนพื้นที่ 2 ไร่ ทั้ง 2 โครงการนี้มียูนิตรวมกว่า 400 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 650 ล้านบาท

3.สำนักงานให้เช่า "ซี.พี.ทาวเวอร์ ขอนแก่น 2" มูลค่าโครงการประมาณ 200 ล้านบาท 4.คอนโดฯ "กัลปพฤกษ์ มหาสารคาม" ถนนท่าขอนยาง ทำเลใกล้ ม.มหาสารคาม มี 4 อาคาร สูง 8 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 25-30 ตร.ม. เริ่ม 8 แสนบาท มูลค่าโครงการ 370 ล้านบาท เตรียมเปิดตัว 2 มิ.ย.นี้

5.คอนโดฯทำเลพัทยาใต้ ทำเลใกล้ห้างเทสโก้ โลตัส คอนเซ็ปต์มิกซ์ยูส มีทั้งทาวน์เฮาส์และคอนโดฯบนที่ดิน 21-22 ไร่ คอนโดฯมีพื้นที่ใช้สอย 30-35 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1.2-1.5 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ขนาด 20-24 ตร.ว. ราคาเริ่มต้น 1.5 ล้านบาท เจาะกลุ่มเป้าหมายคนท้องถิ่น

6.โครงการนิคมอุตสาหกรรมที่ปลวกแดง มูลค่า 6,500 ล้านบาท แบ่งพัฒนา 3 เฟส เฟสละ 2 ปี เน้นผู้ประกอบการขนาดกลางและใหญ่ พื้นที่ขายเริ่มต้น 5 ไร่ เฉลี่ยราคาไร่ละ 2.7 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างขออีไอเอ คาดว่าสิ้นปีจะได้ข้อสรุปชัดเจน

ส่วนอีก 4 โครงการ จะเป็นแผนลงทุนในภูมิภาค 8 โซนดังกล่าว โดยจะทยอยเปิดตัวภายในปีนี้ อยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะลงทุนจังหวัดไหน อาทิ อุดรธานี มหาสารคาม นครราชสีมา เป็นต้น

"แผนลงทุนในภูมิภาค 8 โซน จะมีจังหวัดที่เราศึกษาพบว่ามีศักยภาพจำนวน 22 จังหวัด เน้นกลุ่มเป้าหมายระดับกลาง-ล่าง อย่างคอนโดฯกัลปพฤกษ์กับมหาสารคาม พบว่ามีผลตอบรับดีมาก ปิดการขายได้อย่างรวดเร็วภายใน 2 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน กลุ่มลูกค้าจะเป็นนักศึกษา 60% ผู้ปกครอง 20% อีก 20% มาจากกำลังซื้อจังหวัดข้างเคียง"

นายสมเกียรติกล่าวด้วยว่า บริษัทลงทุนในภูมิภาคมานานแล้ว แต่ปีนี้จะเป็นปีแรกที่รุกลงทุนพัฒนาที่ดินในต่างจังหวัด โดยมีมูลค่าโครงการรวมไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท เป้าหมายคือภายในปี 2558 บริษัทจะเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัด มีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท
 
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1338519171&grpid=03&catid=07&subcatid=


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 มิถุนายน 2012, 21:10:20
ไทย-ลาวปิดตรวจชายแดน 55 ชื่นมื่น ยันเดินหน้ายก “ภูดู่-ผาแก้ว” เป็นด่านถาวร


เชียงราย - กรมกิจการชายแดนทหารของไทย กับกรมชายแดนและแผนที่ลาว ร่วมพิธีปิดงานตรวจชายแดน 55 ชื่นมื่น เห็นพร้อมเดินหน้ายกระดับช่องทางภูดู่-ผาแก้วเป็นด่านถาวรเต็มที่ ขณะที่การค้าผ่านน้ำโขงคึกคักต่อเนื่อง
       
       วันนี้ (8 มิ.ย.) ที่ห้องประชุมโรงแรมอิมพีเรียล โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล สามเหลี่ยมทองคำ บ้านสบรวก ม.1 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย พล.ต.สุรชาติ เหลือพร้อม ผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติการเพื่อความมั่นคง กรมกิจการชายแดนทหาร (ผอ.สพม.ชด.ทหาร) เป็นประธานร่วมในการปิดการตรวจพื้นที่ร่วมตามแนวชายแดนไทย-ลาว ประจำปี 2555 กับ พ.อ.สีพัน พุดทะวง หัวหน้ากรมชายแดนและแผนที่ สปป.ลาว โดยมีคณะกรรมการทั้งสองฝ่ายเข้าร่วม
       
       โดยพิธีดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ฝ่ายไทย-สปป.ลาว ตรวจพื้นที่ชายแดนร่วมกันระหว่างวันที่ 5-7 มิถุนายน 55 ที่ผ่านมา ณ ชายแดนด้านจุดผ่อนปรนภูดู่-ผาแก้ว ระหว่าง อ.บ้านโคก จ.อุตรดิตถ์ กับเมืองปากลาย แขวงไชยะบุรี สปป.ลาว รวมทั้งด้าน อ.เชียงแสน กับเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว
       
       ทั้งนี้ ก่อนพิธีปิดมีการลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมในการตรวจพื้นที่ชายแดนดังกล่าว ซึ่งมีเนื้อหาว่า ทั้งสองฝ่ายได้ตรวจพื้นที่จุดผ่อนปรนภูดู่ จ.อุตรดิตถ์ กับบ้านผาแก้ว สปป.ลาว แล้วพบว่ามีความสงบเรียบร้อยดี และได้เห็นพ้องกันที่จะพัฒนาจุดดังกล่าวให้เป็นจุดผ่านแดนถาวร โดยฝ่ายลาวได้เห็นความพร้อมของไทยทั้งเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร และการบริหารจัดการ และกำลังเตรียมความพร้อมในฝั่งลาวอยู่
       
       ส่วนการตรวจสอบด้าน อ.เชียงแสน กับเมืองต้นผึ้ง ได้ตรวจเยี่ยมเขตเศรษฐกิจพิเศษเมืองต้นผึ้งตรงกันข้ามสามเหลี่ยมทองคำฝั่งไทย และศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดในแม่น้ำโขง (ศปปข.) ส่วนหน้าที่ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 1 รวมทั้งกิจการค้าชายแดนในแม่น้ำโขง และเยี่ยมธุรกิจนำเข้า-ส่งออกพืชผลทางการเกษตรไทย-สปป.ลาว ของบริษัทแม่น้ำโขงสามเหลี่ยมทองคำ หวางฉิ่ง จำกัด พบว่าทุกฝ่ายดำรงชีวิตอย่างเป็นปกติสุข
       
       พล.ต.สุรชาติกล่าวว่า การตรวจพื้นที่ชายแดนร่วมไทย-สปป.ลาว เป็นไปตามข้อตกลงที่จัดทำขึ้นร่วมกันเป็นประจำปีละ 1 ครั้ง หรือมากกว่านั้น หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำเสนอถึงความจำเป็น ซึ่งผลการตรวจสอบทำให้ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์กันดียิ่งขึ้น และปัญหาที่อาจจะมีก็ไม่เกิดขึ้นเพราะได้ทำความเข้าใจรวมทั้งรับทราบถึงสภาพพื้นที่ต่างๆ ร่วมกัน
       
       ด้าน พ.อ.สีพันกล่าวว่า การตรวจชายแดนร่วมกันมีมานานกว่า 10 ปีแล้ว และในปีนี้ก็คาดว่าการยกระดับจุดผ่อนปรนภูดู่ และผาแก้ว คงจะเป็นด่านสากลโดยเร็ว เพราะมีความพร้อมและทางนายกรัฐมนตรีของไทย และ สปป.ลาว ก็เคยไปดูพื้นที่ร่วมกัน รวมทั้งทำข้อตกลงร่วมกันไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมอยู่แล้ว ส่วนฝั่ง สปป.ลาวก็จะได้พัฒนาพื้นที่ต่อไป
       
       สำหรับชายแดนไทยด้านเมืองต้นผึ้ง-เชียงแสน เชื่อว่าหลังมี ศปปข.ของไทยแล้วจะทำให้การดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในแม่น้ำโขงดีขึ้น จากที่เคยเกิดเหตุยิงเรือสินค้าจีน 13 ศพเมื่อเดือนตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา โดยจะทำให้กองกำลังทุกฝ่ายทั้ง 4 ชาติสามารถประสานงานกันดีขึ้น
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ปัจจุบันรัฐบาลไทยและ สปป.ลาว มีข้อตกลงจะพัฒนาจุดผ่อนปรนภูดู่-ผาแก้ว ให้เป็นจุดผ่านแดนถาวร โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณหลายร้อยล้านบาท แต่ฝ่ายไทยจะให้การช่วยเหลือรัฐบาล สปป.ลาว แบ่งการช่วยเหลือเป็นเงินกู้และให้เปล่าในอัตรา 20% และ 80% ตามลำดับ ขณะที่ชายแดนด้าน อ.เชียงแสน คณะฯ ได้สำรวจเขตเศรษฐกิจพิเศษฝั่งลาวพบมีความคืบหน้าไปอย่างมาก ส่วนการเดินเรือสินค้าในแม่น้ำโขงก็มีความคึกคักมากขึ้น แม้จะเป็นฤดูแล้งที่แม่น้ำโขงแห้งและเคยเกิดปัญหาเรือสินค้าจีนถูกปล้น แต่ก็มีเรือสินค้าลาวเพิ่มมากขึ้น โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันมีเรือสินค้าลาวแล่นเข้าออกชายแดนไทยไม่ต่ำกว่า 2,000 เที่ยวแล้ว


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000070419


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 มิถุนายน 2012, 19:37:59
เจาะยุทธศาสตร์คมนาคมปี 55-59
วันศุกร์ที่ 08 มิถุนายน 2012 เวลา 15:14 น.    กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ    อสังหา REAL ESTATE    - อสังหาฯ-คมนาคม   
User Rating: / 0
แย่ดีที่สุด
การขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงคมนาคมโดยเฉพาะการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศถือเป็นอีกหนึ่งผลงานที่จะพิสูจน์ฝีมือการบริหารของรัฐบาลชุดนี้ว่าสามารถทำได้ตามที่วาดฝันไว้หรือไม่ ล่าสุดได้แต่งตั้งปลัดกระทรวงคมนาคมคนใหม่ หวังผลักดันการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งภายในและภายนอกภูมิภาคให้เห็นเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
+++4 เดือนขับเคลื่อนยุทธศาสตร์
 นายศิลปชัย จารุเกษมรัตนะ (ว่าที่)ปลัดกระทรวงคมนาคมคนใหม่ ให้สัมภาษณ์พิเศษ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าได้รับมอบหมายจากนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จัดทำแผนพัฒนาระบบโลจิสติกส์และแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ทั้งระบบราง ท่าเทียบเรือ มอเตอร์เวย์ ถึงแม้จะมีระยะเวลาการทำหน้าที่อีกเพียง 4 เดือน
       "ต้องเร่งผลักดันโดยยึดถือการปฏิบัติในกรอบแนวคิดตามแผนยุทธศาสตร์ฯของปี 2555-2559 คาดว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนปริมาณการขนส่งสินค้าทางรถไฟจาก 2% เป็น 5 % และทางน้ำเพิ่มขึ้นจาก 15% เป็น 19% อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนการขนส่งสินค้าต่อ GDP ลง 2% โดยมีกรอบแนวคิดครอบคลุมระบบโลจิสติกส์การขนส่งให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศจากการเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ที่กำลังจะเริ่มในปี 2558 นี้"
 +++ลุ้นงบ 1.5 แสนล้านลุย 86 โครงการ
 ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวมีโครงการต่างๆรวมทั้งสิ้น 86 โครงการวงเงินงบประมาณปี 2555-2559 จำนวน 152,038 ล้านบาทแบ่งออกเป็น 3 กลยุทธ์หลัก คือ  1. พัฒนาเครือข่ายโลจิส ติกส์ในประเทศให้เชื่อมโยงอย่างบูรณาการทั้งภายในและสู่ต่างประเทศ  2. สนับสนุนการใช้การขนส่งทางรถไฟและทางน้ำเพื่อลดต้นทุนการขนส่งของประเทศ และ 3. พัฒนาการขนส่งด้านทะเลอันดามันเพื่อนำการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ และรองรับการขยายตัวของการค้าระหว่างประเทศจีน-อาเซียน และอาเซียน-อินเดีย
 นอกจากจะให้ความสำคัญตามแนวเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจ 6 คอร์ริดอร์แล้วยังเร่งพัฒนาประตูการค้าชายแดนต่างๆ  คือ  1.ท่าเทียบเรือเชียงแสนแห่งที่ 2  การก่อสร้างถนนจำนวน 9 สายทางวงเงิน 6,831 ล้านบาท ตั้งงบปี 2556 จำนวน 675 ล้านบาท 2.การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อมไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) และจีน 10,080 ล้านบาท การสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ - เชียงราย 1,552 ล้านบาท สร้างถนน 5 สาย 7,583 ล้านบาท การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 งบ 770 ล้านบาท และโครงการศึกษาออกแบบรายละเอียดทางรถไฟสายเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ 173 ล้านบาท ตั้งวงเงินปี 2556 จำนวน 718 ล้านบาท
             3. ด่านหนองคาย จังหวัดหนองคาย เชื่อมต่อสปป.ลาว 15,498 ล้านบาท มีทั้งโครงการปรับปรุงทางรถไฟ 2 สาย 14,802 ล้านบาท การสร้างสถานีขนส่งสินค้า(CY) ที่หนองคาย  696 ล้านบาท ตั้งงบปี 2556 จำนวน 4,575 ล้านบาท 4.ด่านอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เชื่อมต่อกัมพูชา  5,889 ล้านบาทมีทั้งการก่อสร้างถนน 4 ช่องจราจร 3,067 ล้านบาท คือสายทล.356(พนมสารคาม-สระแก้ว) และสายทล.317(จันทบุรี-สระแก้ว) และงานปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัยช่วงชุมทางคลองสิบเก้า-อรัญประเทศ-คลองลึก 2,822 ล้านบาท ตั้งงบปี 2556 จำนวน 1,003 ล้านบาท
           5. ด่านแม่สอด จังหวัดตาก เชื่อมต่อกับเมียนมาร์ 315 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการศึกษาความเหมาะสมการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ 2 วงเงิน 15 ล้านบาท และการสร้างสถานีขนส่งสินค้าแม่สอด 300 ล้านบาท ตั้งงบปี 2556 จำนวน 40 ล้านบาท และ 6.ด่านสะเดา จังหวัดสงขลา เชื่อมต่อกับมาเลเซีย  25 ล้านบาท สำหรับการศึกษาออกแบบรายละเอียดโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ช่วงหาดใหญ่-ด่านสะเดา โดยเป็นงบประมาณปี 2555
+++รุกทางน้ำ-ทางรางควบคู่กัน
 ทั้งนี้จำแนกเป็นการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังในระยะที่ 3 งบ 30,141 ล้านบาท โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งสินค้าทางรถไฟ  3,167 ล้านบาท การก่อสร้างถนน 6 เส้นทางเชื่อมโยงผ่านทางสัตหีบ บ้านบึง พนมสารคาม และชลบุรี  2,322 ล้านบาท โดยส่วนนี้ตั้งวงเงินงบประมาณปี 2556 จำนวน 1,764 ล้านบาท แบ่งเป็นงบการท่าเรือแห่งประเทศไทย 1,266 ล้านบาท และงบประมาณแผ่นดิน 498 ล้านบาท
 ส่วนการขนส่งสินค้าทางลำน้ำที่อยุธยา 379 ล้านบาท ที่อ่างทอง 1,073 ล้านบาท และก่อสร้างเขื่อนยกระดับในแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อการเดินเรือ 2 แห่ง 14,394 ล้านบาท ตั้งวงเงินปี 2556 ไปดำเนินการ 415 ล้านบาท การขนส่งทางชายฝั่งครอบคลุมจังหวัดชุมพร ตรัง ตราด สมุทรสาคร แหลมฉบัง และระนอง 11,006 ล้านบาท มีทั้งการก่อสร้างท่าเรือชายฝั่ง 6,136 ล้านบาท และสร้างท่าเทียบเรือ A 2,030 ล้านบาท การก่อสร้างถนนสนับสนุนท่าเรือชายฝั่งที่ตราดและระนอง 4,870 ล้านบาท ตั้งงบปี 2556 ไปดำเนินการ 2,017  ล้านบาท
 ทางด้านประตูการขนส่งฝั่งทะเลอันดามัน-สะพานเศรษฐกิจ(แลนด์บริดจ์)  28,199 ล้านบาท มีทั้งการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบาราจังหวัดสตูล 12,558 ล้านบาท การก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกสงขลาแห่งที่ 2 วงเงิน 6,164 ล้านบาท การก่อสร้างถนนสายทล.416 (อ.ปะเหลียน-อ.ทุ่งหว้า-อ.ละงู) 2,518 ล้านบาท และการก่อสร้างทางรถไฟสายจะนะ-หาดใหญ่-ปากบารา 26,379 ล้านบาท ตั้งงบประมาณปี 2556 วงเงิน 2,445 ล้านบาท
 สำหรับการพัฒนาการขนส่งทางรถไฟวงเงิน 73,450 ล้านบาท มีทั้งการก่อสร้างทางคู่ 6 โครงการ 71,351 ล้านบาท การก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่เส้นทางมหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม 42,306 ล้านบาท และการสร้างถนนเชื่อมโยงทางรถไฟ 3 สายทาง 2,098 ล้านบาท โดยตั้งงบปี 2556 ไปดำเนินการ 11,704 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,747 10-13  มิถุนายน พ.ศ. 2555


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 มิถุนายน 2012, 18:18:47

วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 22 ฉบับที่ 7872 ข่าวสดรายวัน


เกาะเส้นทางสู่เออีซี บัวแก้ว+อาเซียนสัญจร

สกู๊ปพิเศษ
จันท์เกษม รุณภัย



การให้ความรู้และความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 (เออีซี) เป็นภารกิจสำคัญยิ่งของกระทรวงการต่างประเทศ



นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศจึงต้องเป็นแกนนำในการขับเคลื่อนเรื่องนี้เป็นพิเศษ



เมื่อวันที่ 6-7 มิ.ย. จึงเดินทางไปยัง อ.เชียงของ จ.เชียงใหม่ ภายใต้ทัวร์ 'บัวแก้วสัญจร' ควบคู่ไปกับ 'อาเซียนสัญจร' ของกรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ ที่โรงแรมดุสิต ไอส์แลนด์ รีสอร์ท



คณะบัวแก้วสัญจรเดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของ 'หน่วยจัดทำหนังสือเดิน ทางเคลื่อนที่' ของกรมการกงสุล ณ ที่ว่าการอำเภอเชียงของ ซึ่งเจ้าหน้าที่ต่างง่วนอยู่กับการให้บริการประชาชนผู้ต้องการทำหนังสือเดิน ทาง หรือพาสปอร์ต ที่มานั่งรอต่อคิวกันยาวเหยียดเป็นจำนวนมาก



รมว.ต่างประเทศยังเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการเวทีสัมมนาชุมชน 'การเตรียมความพร้อมก่อนการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ' เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชน ว่าควรใช้ชีวิตอย่างไรในต่างแดน และขั้นตอนปฏิบัติโดยเฉพาะเมื่อเกิดปัญหาในต่างประเทศ เช่น ถูกเอารัดเอาเปรียบ หรือละเมิดสิทธิโดยนายจ้าง เนื่องจากที่ผ่านมาคนไทยนิยมเดินทางไปทำงานในต่างประเทศมากขึ้นราว 1-2 ล้านคน โดยเฉพาะภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง



ขณะเดียวกันยังลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้าการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 ซึ่งจะใช้เป็นหนึ่งในเส้นทางสัญจรหลักในประชาคมอาเซียนตามแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ ระหว่างห้วยทรายไปเชียงของ เชื่อมต่อเชียงราย-คุนหมิงของจีน บนเส้นทาง 'อาร์ 3' รวมระยะทางทั้งสิ้น 1,026 กิโลเมตร



ตัวสะพานกว้าง 14.70 เมตร 2 ช่องจราจร ตั้งแต่ฝั่งราชอาณาจักรไทย ทอดตัวยาวข้ามลำน้ำโขง 630 เมตร จรดผืนแผ่นดินสปป.ลาว ใช้งบประมาณก่อสร้างราว 47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1,500 ล้านบาท โดยประเทศไทยและจีนรับภาระค่าใช้จ่ายร่วมกันในอัตราส่วนร้อยละ 50 เริ่มก่อสร้าง 11 มิ.ย.53 และมีกำหนดเสร็จสิ้น 10 ธ.ค.ปีนี้





อย่างไรก็ดี ความคืบหน้าของโครงการนั้นล่าช้ากว่ากำหนด โดยจากเดิมกำหนดไว้ที่ราวร้อยละ 60 แต่ปัจจุบันคืบหน้าร้อยละ 40 ซึ่งปัญหามาจากการจ่ายเงินล่าช้าให้แก่บริษัทรับเหมาก่อสร้างของจีน ซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศจะรับหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกับทาง การจีนและหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งแก้ไขโดยด่วน เพราะต้องเร่งก่อสร้างให้เสร็จทันกำหนดที่ได้ตกลงกันไว้กับทางการลาว คือวันที่ 12 ธ.ค.ปีนี้ ตรงกับฤกษ์ 12/12/2012 ต่อเนื่องจากการเปิดสะพานมิตร ภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 นครพนม-คำม่วน เมื่อ 11 พ.ย.2554 (11/11/2011)



นอกจากนี้ คณะบัวแก้วสัญจรเดินทางไปติดตามโครงการยุวทูตความดีและการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนที่โรงเรียนอนุบาลเชียงของ ซึ่งเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 ถึงม.3 ภายใต้คำขวัญ 'องค์กรแห่งการเรียนรู้มุ่งสู่มาตรฐานสากล เปี่ยมล้นคุณธรรม ก้าวนำเทคโนโลยี'



ทางโรงเรียนจัดให้มีการแสดงเกี่ยวกับอาเซียน และเด็กนักเรียนขึ้นกล่าวต้อนรับคณะของรมว.ต่างประเทศ 4 ภาษา ได้แก่ ไทย อังกฤษ จีน และลาว ซึ่งนักเรียนแต่ละคนกล่าวได้ฉะฉานชัดเจน สร้างความประทับใจให้กับนายสุรพงษ์และคณะเป็นอย่างมาก



นายอัครเดช ยมภักดี ผู้อำนวยการโรงเรียนกล่าวว่า ครูอาจารย์และนักเรียนมีความตื่นตัว เรื่องการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนเป็นอย่างมาก และจัดสอนภาษาต่างประเทศด้วยเจ้าของภาษา



ด.ญ.อภิญญา ไชยอลังการ หรือน้องแยม นักเรียนชั้นม.2 ผู้กล่าวต้อนรับนายสุรพงษ์เป็นภาษาอังกฤษ เผยถึงเคล็ดลับการเรียนภาษาต่างประเทศว่า ฝึกฝนต่อเนื่อง และนำมาใช้ในชีวิตทุกวัน ประกอบกับการเรียนกับเจ้าของภาษาซึ่งเป็นชาวฟิลิปปินส์ ทำให้ออกเสียงได้อย่างมั่นใจ



'ตอนนี้กำลังหัดภาษาจีนอยู่ หนูคิดว่าสิ่งสำคัญในการปรับตัวเมื่อไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียนคือ ภาษาต่างประเทศค่ะ' ด.ญ. อภิญญากล่าวทิ้งท้าย



...สอดคล้องกับสิ่งที่หลายคน 'คิด' แต่ที่สำคัญคือต้องลงมือ 'ทำ'

หน้า 7


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 มิถุนายน 2012, 19:17:25
เชียงราย - ชำแหละศักยภาพ “ไทย” ใน AEC พบน่าห่วงสุด เทียบเม็ดต่อเม็ดแล้วมีดีแค่ “ความสะดวกในการลงทุน” ที่ล่าสุดเปิดให้ทุน ตปท.ถือหุ้นในกิจการขนส่งได้ถึง 70% หรือเป็นเจ้าของได้แล้ว ส่วนเรื่องภาษา-ทรัพยากรธรรมชาติ-โครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ ตกสำรวจหมด แถมนโยบายค่าแรง 300 บาทต่อวันกระหน่ำซ้ำ ทำ SMEs แบกเพิ่ม 2.7 หมื่นล้าน
       
       วันนี้ (19 มิ.ย.) กรมส่งเสริมการส่งออกและศูนย์เทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดการสัมมนาแก่ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและย่อม หรือ SMEs ภายใต้ชื่อ “เปิดโลกการค้ายุคใหม่สู่ AEC ฉบับ SMEs” ที่ห้องเรือนตุง โรงแรมอิมพิเรียล ริเวอร์เฮ้าส์ อ.เมืองเชียงราย
       
       โดยมีนายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด และมีวิทยากรที่ทรงคุณวุฒิร่วมขึ้นเวทีหลายคน ได้แก่ นายกรกฎ ผดุงจิตต์ รองเลขาธิการ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, Mr.Craig Anczelowitz นักออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับสากล, ดร.ชลฤทธิ์ เหลืองจินดา ผู้เชี่ยวชาญการออกแบบมหาวิทยาลัยศิลปากร, ดร.สุเทพ นิ่มสาย ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
       
       นายกรกฎกล่าวว่า ไทยกำลังเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC (ASEAN Economic Community) 10 ประเทศในปี 2558 เป็นต้นไป ซึ่งต่อไปการมองภาคเศรษฐกิจต้องมองเป็นองค์รวมไม่ใช่แค่ประเทศที่มีประชากร 64 ล้านคนอีกต่อไป แต่คือกลุ่มประเทศที่มีประชากรรวมกันกว่า 580 ล้านคน
       
       นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมอีก 6 ประเทศ คือ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งจะทำให้มีประชากรรวมกันกว่า 3,300 ล้านคน หรือเป็นครึ่งหนึ่งของประชากรโลกทีเดียว
       
       กรณีของอีก 6 ประเทศก็สำคัญเช่นกัน เพราะทันทีที่กลุ่ม AEC ลดภาษีเป็น 0% ในปี 2558 ไทยก็จะลดภาษีกับออสเตรเลียเหลือ 0% ในสินค้าถึง 98% ของสินค้าทั้งหมด และค่อยๆ ทำกับประเทศอื่นๆ เช่น อินเดีย ในปี 2561 เป็นต้น
       
       นายกรกฎกล่าวอีกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วภาคเอกชนต้องปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงให้ได้ ขณะที่ภาครัฐจะเป็นฝ่ายสนับสนุน โดยเฉพาะด้านการออกกฎหมายรองรับภายในประเทศและเจรจากับต่างประเทศ เช่น ข้อตกลงอาเซียน-จีน ที่ให้รถบรรทุกเข้าออกผ่าน อ.เชียงของ จ.เชียงราย ไปจีนตอนใต้ ซึ่งมีการค้าขายกันเป็นประจำได้ 500 คัน ซึ่งก็มีเพียงข้อตกลงกัน แต่สิ่งอำนวยความสะดวกและกฎระเบียบอื่นๆ ยังต้องดำเนินการต่อไป ทั้งเรื่องการประกันภัยและอื่นๆ เป็นต้น
       
       รวมทั้งยังต้องดูเรื่องภาษีระหว่างประเทศ เพราะการลดภาษีเป็น 0% หรือ FTA (Free Trade Area) แท้ที่จริงเป็นเสรีหลอกตา เพราะยังมีเงื่อนไขอีกมากก่อนที่จะเอื้อให้สามารถทำการค้าการลงทุนให้สะดวก โดยเฉพาะแต่ละประเทศยังมีสินค้าอ่อนไหวสูง เช่น อินโดนีเซียกำหนดให้ข้าวเป็นสินค้าอ่อนไหวสูง จึงให้ลดภาษีจากเดิม 30% เป็น 20% มาเลเซียลดจาก 40% เป็น 20% ส่วนฟิลิปปินส์ อยู่ระหว่างเจรจากับไทย หลังจากเดิมกำหนดจัดเก็บ 40% และกำหนดโควตานำเข้า 350,000 ตัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสินค้าอ่อนไหวของแต่ละประเทศอีกเป็นจำนวนมากด้วย
       
       นายกรกฎกล่าวต่อว่า ด้านมาตรฐานสินค้าก็สำคัญ เช่น ปัจจุบันพบว่าผลิตภัณฑ์ตำรับยาพื้นบ้านของอินโดนีเซียจดทะเบียนสินค้ามากกว่าของไทยเสียอีก และถ้าเปิดตลาดกันก็จะมีสินค้าในทะเบียนของอินโดนีเซียอยู่เต็ม จึงจำเป็นที่ภาครัฐของไทยจะต้องเร่งดำเนินการ ไม่เช่นนั้นจะแย่หนัก
       
       ด้านลอจิสติกส์ก็จะมีการเปลี่ยนแปลง จากเดิมประเทศไทยเปิดให้คนไทยถือหุ้นในธุรกิจลอจิสติกส์ได้ 51% และต่างชาติ 49% แต่ปัจจุบันจะเปลี่ยนให้ต่างชาติถือหุ้นได้กว่า 70% ซึ่งตามหลักก็คือ เป็นเจ้าของธุรกิจที่ทำธุรกรรมต่างๆ ได้นั่นเอง ดังนั้น ลอจิสติกส์จึงเป็นธุรกิจของอาเซียนลำดับแรกๆ ไปแล้ว
       
       “ส่วนอาชีพที่เกรงกันว่าจะเปิดเสรีกันหมดทั้ง AEC นั้นก็ไม่เป็นความจริง เพราะแท้ที่จริงเปิดเสรีแค่ 7 อาชีพ คือ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล วิศวกร สถาปนิก ช่างสำรวจ และนักบัญชี ซึ่งการจะทำงานข้ามประเทศก็ต้องมีการสอบกันด้วย โดยเฉพาะเรื่องภาษา และกรณีของไทยก็อาจจะยากขึ้นมาหน่อยเพราะต้องสอบได้ภาษาไทยด้วย" นายกรกฎ กล่าว
       
       เขายังระบุถึงศักยภาพของแต่ละประเทศใน AEC ว่า ประเทศไทยถือว่าน่าเป็นห่วงและต้องปรับตัวยกใหญ่ เพราะเมื่อเทียบหลายๆ เรื่องถือว่าด้อยกว่าทุกประเทศ เช่น ภาษาที่ใช้สื่อสารโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ พบว่า สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน มีศักยภาพมากที่สุด, ทรัพยากรพบว่า พม่ามีมากที่สุด, เทคโนโลยี สิงคโปร์มีมากที่สุด โครงสร้างพื้นฐาน สิงคโปร์ มาเลเซีย มีศักยภาพมากที่สุด, อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ อินโดนีเซีย เวียดนาม พม่า ลาว กัมพูชา มีมากที่สุด, ขนาดตลาดในประเทศ พบว่าฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม มีมากที่สุด, ต้นทุนการส่งออก พบว่าสิงคโปร์ และมาเลเซียมีมากที่สุด
       
       ขณะที่ไทย มีเพียงความสะดวกในการตั้งธุรกิจเท่านั้นที่มีมาก แต่ก็อยู่ในระดับเดียวกับสิงคโปร์และมาเลเซีย ส่วนความสะดวกในสินเชื่อและ SMEs ก็ยังสู้ประเทศอื่นๆ ไม่ได้เช่นกัน
       รองเลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าวด้วยว่า ยังมีอีกหลายเรื่องที่จะต้องศึกษาใน AEC ซึ่งที่ผ่านมาหลายฝ่ายอาจจะยังไม่รู้ เช่น ภาษาที่ใช้กันมากที่สุดในอาเซียนคือภาษาบาซา โดยใช้มากที่สุดในอินโดนีเซียที่มีประชากร 280 ล้านคน มาเลเซีย 40 ล้านคน และยังใช้ในสิงคโปร์ บรูไน และภาคใต้ของไทย ปัจจุบันประเทศเวียดนามเริ่มให้เรียนภาษานี้กันแล้ว
       
       ส่วนการค้าการลงทุนก็พบว่าเริ่มเห็นผลบ้างแล้ว โดยพบว่ากลุ่มทุนของมาเลเซียเข้าไปลงทุนผลิตเสื้อผ้าและสิ่งทอในประเทศกัมพูชา โดยนำเข้าวัตถุดิบจากไทย หรือจีน และนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ส่งออก เพราะที่กัมพูชามีต้นทุนค่าแรงต่ำแค่วันละ 2 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 80 บาท ส่วนไทยกลับเพิ่มค่าแรงเป็นวันละ 300 บาทเสียอีก ซึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากนโยบายนี้คือกลุ่ม SMEs เพราะค่าแรงที่เพิ่มขึ้น 36,000 ล้านบาท กลุ่ม SMEs ต้องจ่ายถึง 27,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นของกลุ่มทุนใหญ่

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000075001


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 มิถุนายน 2012, 20:02:01
จีนตั้งกงสุลย่อยในเชียงราย



นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ภายในปีนี้กรมการกงสุล กระทรวงต่างประเทศ พร้อมจะเข้ามาตั้งสำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดเชียงราย ภายในศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยจะให้บริการหนังสือเดินทาง, การรับรองสัญชาติ และการแปลเอกสาร ถือว่าเป็นการดำเนินการแบบครงวงจรแห่งแรกของประเทศไทย และเป็นสัญญานในการยกระดับหัวเมืองชายแดน เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เนื่องจากจังหวัดเชียงรายเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญในการเชื่อมโยงกับพม่า, สปป.ลาว และเชื่อมต่อไปยังสาธารรัฐประชาชนจีน อีกทั้งมีความพร้อมจะยกระดับเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในปี 2558

นอกจากนั้น ทางสถานกงสุลใหญ่เชียงใหม่ จะมาตั้งสาขาที่จังหวัดเชียงรายภายในปีนี้เช่นกัน โดยจะมาทำการออกวีซ่าเข้าสาธารณรัฐประชาชนจีน และเข้ามาดูแลประชาชนจีนที่เข้ามาปักหลักทำธุรกิจในชายแดนของจังหวัดเชียงรายมากขึ้น อีกทั้งภายในเดือนมิถุนายน 2556 สะพานข้ามแม่น้ำโขงไทย-ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) จะก่อสร้างเสร็จพร้อมใช้งานเชื่อมโยงระบบคมนาคมทางบกได้ ซึ่งปัจจุบันจังหวัดเชียงรายทำการค้ากับจีนผ่านทางสปป.ลาว และพม่าอยู่แล้ว อีกทั้งขณะนี้ทางรัฐบาลพม่าได้อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่เมืองลาได้ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2555 ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเมืองต้าล่อ เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา สาธารณรัฐประชาชนจีน ก็จะทำให้การเดินทางเพื่อการท่องเที่ยว และการขนส่งสินค้าได้รับความสะดวกมากขึ้น

สำหรับความพร้อมของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงรายนั้น สามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ได้ เช่น โบอิ้ง 747 และโบอิ้ง 777 โดยขณะนี้ได้รับงบประมาณอีก 40 ล้านบาท มาดำเนินการเพิ่มพื้นที่สำหรับการกลับลำตัวเครื่องบินตรงปลายทางรันเวย์ทั้งสองด้าน จากเดิมจะมีเพียงด้านเดียวเท่านั้น และล่าลุด ได้ทำการออกแบบเสร็จแล้วคาดว่าจะมีการก่อสร้างเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2555 โดยปัจจุบันมีเที่ยวบินภายในประเทศให้บริการประมาณ 2-3 สายการบิน และมีชาเตอร์ไฟลท์จากคุณหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งปริมาณผู้โดยสารยังมีค่อนข้างน้อย แต่เชื่อว่าหลังจากนี้ไปจากปัจจัยหลายๆ ด้านจะกระตุ้นให้มีการขึ้นลงของอากาศยานในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงปริมาณผู้โดยสารมากขึ้น

นายชวลิต สุธรรมวงศ์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายมีประตูหน้าด่านเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน 3 จุดด้วยคือ คือ อำเภอเชียงของ, อำเภอเชียงแสน และอำเภอแม่สาย ปัจจุบันสามารถเดินทางผ่านทางน้ำโขง และรถยนต์ไปยังประเทศพม่า, สปป.ลาว และสาธารณรัฐประชาชนจีนได้อย่างสะดวก อีกทั้งเมื่อมีการอำนวยความสะดวกในการทำพาสปอร์ต และการออกวีซ่าไปสาธารณรัฐประชาชนจีนในจังหวัดเชียงราย โดยไม่ต้องเดินทางไปยื่นเอกสารที่จังหวัดเชียงใหม่ จะทำให้การเดินทางเชื่อมโยงระหว่างไทยกับเพื่อนบ้านในกรอบอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวมีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น

ที่สำคัญ จะเป็นการรองรับการหลั่งไหลของชาวจีนเดินทางมายังจังหวัดเชียงราย ก่อนเข้าสู่จังหวัดชั้นในของประเทศไทย และการเพิ่มสัดส่วนของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ต้องการไปเที่ยวสาธารณรัฐประชาชนจีนผ่านจังหวัดเชียงราย โดยขณะนี้จะเห็นได้ว่ามีกลุ่มทุนจีนได้เข้ามาปักหลักทำการค้าตามแนวชายแดนของจังหวัดเชียงราย ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มค้าพืชผักผลไม้ และกลุ่มโลจิสติกส์ หรือแม้แต่การเข้าไปลงทุนตามแนวตะเข็บชายแดนของสปป.ลาวก็มีบรรยากาศที่คึกคัก และทางสปป.ลาวกำลังสร้างสนามบินที่เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว รวมถึงกลุ่มทุนจีนได้สร้างถนนเลียบน้ำโขงไปยังเมืองสิงห์ เพื่อเชื่อมต่อไปยังเขตปกครองสิบสองปันนา ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งต่อไปเชื่อว่ามูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีนที่จังหวัดเชียงรายจะมีการขยายตัวสูงขึ้น

http://breakingnews.nationchannel.com/home/read.php?newsid=637860


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 มิถุนายน 2012, 19:09:55
พะเยา - การรถไฟแห่งประเทศไทยเปิดเวทีสรุปผลศึกษาโครงการรถไฟ “เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ” มูลค่า 6 หมื่นล้าน ฟุ้งทำทางคู่ราง 1 เมตร เชื่อมโครงข่ายเชื่อมเพื่อนบ้านได้หมด รวมถึงรถไฟจีน คนเมืองกว๊านฯ กระทุ้งรัฐ อย่าให้ฝันค้าง หลังเริ่มคิดกันตั้งแต่ปี 2503 แต่จนถึงวันนี้ยังแจ้งเกิดไม่ได้
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดพะเยาแจ้งว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) กระทรวงคมนาคม ได้จัดการประชุมใหญ่การมีส่วนร่วมของประชาชน ครั้งที่ 2 (สรุปผลการศึกษาโครงการ) โครงการเพื่อศึกษาทบทวนผลการศึกษาความเหมาะสมฯ ของโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ณ ห้องพุดตาน โรงแรมเกทเวย์ อ.เมืองพะเยา โดยมีนายกาจพล เอิบสุขสิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เป็นประธาน และประชาชน ราชการที่มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าร่วมประชุมกว่า 200 คน
       
       นายกาจพลกล่าวว่า เส้นทางรถไฟสายนี้หากสามารถเกิดขึ้นได้จริง ผลประโยชน์จะเกิดแก่ชาวพะเยาโดยตรง เพราะมีเส้นทางการขนส่งสินค้าและขนส่งผู้โดยสารได้สะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะจังหวัดพะเยาเป็นพื้นที่การเกษตร สินค้าเกษตรจะถูกลำเลียงขนส่งด้วยต้นทุนขนส่งที่ถูกลงอย่างมาก นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสของชาวพะเยา ที่รัฐบาลได้อนุมัติยกฐานะบ้านฮวก อ.ภูซาง จ.พะเยา จากจุดผ่อนปรนเป็นด่านถาวร ในอนาคตจะพัฒนาเป็นด่านสากล
       
       ดังนั้น เมื่อมีเส้นทางรถไฟผ่านจะทำให้เชื่อมเป็นโครงข่ายของเส้นทางคมนาคมสะดวกมากขึ้น จะเดินทางไปทางใดก็รวดเร็ว
       
       “หากรัฐบาลเห็นด้วยและสนับสนุนงบประมาณคิดว่าจะเกิดการดำเนินการขึ้นจริง และเป็นประโยชน์แก่ชาวพะเยาและจังหวัดใกล้เคียงแน่นอน”
       
       ด้านนายนันทชัย หวังเลี้ยงกลาง หัวหน้างานโครงการและแผนงาน ตัวแทน ร.ฟ.ท. กล่าวว่า โครงการนี้ริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2503 มีการสำรวจเบื้องต้น ศึกษาความเหมาะสมเรื่อยมา และในปี 2546 ได้มีการศึกษาทบทวนความเหมาะสมของโครงการจนได้ข้อสรุป คือ การเชื่อมต่อกับรถไฟจีนที่ลงมาทางมณฑลหยุนหนัน ที่เชียงของ โดยมีระยะทางประมาณ 325 กิโลเมตร เป็นระบบรางคู่ รางแบบเมเตอร์เกจด์ กว้าง 1 เมตร แนวเขตทางกว้าง 50-60 เมตร มีสถานีใหญ่ 3 แห่ง คือ แพร่ พะเยา และเชียงราย สถานีเล็ก 9 แห่ง จุดตัดทางรถไฟกับถนนทางบกที่มีความอ่อนไหว มีการออกแบบเป็นสะพานรถไฟยกข้ามถนน หรือสะพานรถยนต์ยกข้ามทางรถไฟ คาดว่าจะใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 60,000 ล้านบาท ระยะเวลาในการก่อสร้าง 4 ปี
       
       “ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ จะเริ่มสร้างปี 2556 จนสามารถเปิดใช้ได้ในปี 2560”
       
       นายนัทชัยบอกว่า เส้นทางรถไฟเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ มีการวางระบบรางคู่ขนาดรางเป็นขนาดเดียวกับในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย พม่า ลาว กัมพูชา ฯลฯ ในภูมิภาคที่อยู่ใกล้ชิดกัน เพื่อเชื่อมเป็นโครงข่ายการคมนาคมขนส่งระหว่างประเทศ และแน่นอนอนาคตจะรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้อย่างดี
       
       ด้านนายหัสนัย แก้วกุล ประธานหอการค้าจังหวัดพะเยา กล่าวว่า รถไฟมีข้อดีร้อยละ 95 แต่ข้อเสียร้อยละ 5 คืออาจจะมีเสียงดังรบกวนประชาชนในชุมชนต่างๆ ที่มีเส้นทางรถไฟผ่าน แต่ในทางที่เป็นประโยชน์ถึงร้อยละ 95 นั้น ก่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็วในการคมนาคมขนส่ง ลอจิสติกส์ในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเป็นอย่างมาก ขอให้รัฐบาลได้ตระหนักความสำคัญและจัดสรรงบประมาณสนับสนุนให้มีการก่อสร้างทางรถไฟดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ในจังหวัดภาคเหนือตอนบนที่จะมีการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านต่อไป
       
       “ที่สำคัญผมมองว่ารถไฟทำให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าลดลงถึงกว่าร้อยละ 50 เพราะมีมาตรฐานค่าขนส่ง ความรวดเร็วของระบบขนส่งที่ชัดเจน” นายหัสนัยกล่าว

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000076275


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 มิถุนายน 2012, 19:15:04
ชียงราย - พาณิชย์โหมเปิดเวทีปลุกคนไทยเตรียมพร้อมรับ AEC และ FTA เผยวันนี้ยังมีเพียงทุนใหญ่ได้ประโยชน์ ขณะที่ผู้ประกอบการรายย่อยยังไม่สนใจเท่าที่ควร รับคนไทยน่าห่วงเรื่องภาษามากที่สุด
       
       วันนี้ (21 มิ.ย.) ที่ห้องประชุมโรงแรมโพธิ์วดล รีสอร์ท แอนด์ สปา จ.เชียงราย นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ ผอ.สำนักสิทธิประโยชน์ทางการค้า กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดการสัมมนาเรื่อง “ส่งออกสดใสภายใต้ FTA : อาเซียน จีน และเปรู” และมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากกรมการค้าต่างประเทศร่วมให้ข้อมูล โดยมีภาคธุรกิจ นักศึกษา และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก
       
       นายพิทักษ์ระบุว่า ปัจจุบันไทยยังมีการส่งออกสินค้าปีละกว่า 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 60-70% ของรายได้ประชาชาติ ตลาดใหญ่ที่สุดคือ กลุ่มอาเซียน 10 ประเทศ ซึ่งมีประชากรกว่า 580 ล้านคน ขณะที่กลุ่มอาเซียนจะรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC (ASEAN Economic Community) ตั้งแต่ปี 2558 หรืออีกเพียง 3 ปีนับจากนี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก รวมทั้งอาเซียนยังจัดทำเขตการค้ากับกลุ่มประเทศอื่นๆ 6 ประเทศ คือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ด้วย
       
       โดยเฉพาะกับจีนมีข้อตกลงที่มีผลไปแล้วตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นผลทำให้มีการลดภาษีเป็น 0% มากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งล่าสุดตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 55 ที่ผ่านมาสินค้าที่ส่งออกจากประเทศสมาชิกอาเซียนกว่า 200 รายการ เช่น ยานยนต์และอุปกรณ์ เครื่องนุ่งห่ม อัญมณีและเครื่องประดับ ฯลฯ มีการยกเว้นภาษีเป็น 0% แล้ว
       
       นอกจากอาเซียนบวก 6 ดังกล่าวแล้ว อาเซียนยังทำข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศเปรูในทวีปอเมริกาใต้ ตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค. 2554 ทำให้สินค้าไทยได้ลดภาษีเป็น 0% ทันที 3,400 รายการ ซึ่งสามารถใช้เปรูเป็นประตูสู่กลุ่มประเทศอื่นๆ ในทวีปดังกล่าวอีกด้วย
       
       อย่างไรก็ตาม ประโยชน์จากข้อตกลงต่างๆ จะได้รับมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับความรู้ ความเข้าใจ และขั้นตอนการใช้สิทธิทางการค้า ดังนั้น กรมการค้าต่างประเทศจึงเป็นส่วนหนึ่งในการจัดการสัมมนาในครั้งนี้เพื่อให้ข้อมูลแก่ภาคเอกชนและฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยจะทำหน้าที่เป็นโค้ชหรือผู้ให้การช่วยเหลือภาคเอกชนที่จะส่งออกสินค้า เพราะเมื่อเอกชนผลิตสินค้าออกมาแล้วก็อาจจะมองไม่ออกว่าสินค้าใดเหมาะสมกับประเทศในกลุ่มข้อตกลง และจะมีวิธีการดำเนินการอย่างไรภายใต้ 3 หน่วยงานที่ทำงานร่วมกันของกระทรวงพาณิชย์ คือ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กรมส่งเสริมการส่งออก และกรมการค้าต่างประเทศดังกล่าว
       
       นายพิทักษ์กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมามีการส่งเสริมกลุ่มประชาชนไปแล้วหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มสับปะรดนางแล ซึ่งสามารถส่งเสริมสินค้าที่ได้คุณภาพและส่งออกไปถึงประเทศญี่ปุ่น กลุ่มลิ้นจี่ จ.พะเยา เป็นต้น
       
       ด้านนางสุภาวดี ไชยานุกุลกิตติ นักวิชาการพาณิชย์ชำนาญพิเศษ สำนักงานสิทธิประโยชน์ทางการค้า กรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า ข้อตกลงที่ใกล้ตัวคนไทยมากที่สุดในปัจจุบันคือ AEC เพราะเป็นกลุ่มประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านของไทย แต่จากข้อมูลจากหลายฝ่ายรวมทั้งสื่อมวลชนทำให้ทราบว่าผู้ที่มีความเข้าใจยังคงเป็นบรรษัทข้ามชาติรายใหญ่ๆ แต่ประชาชนหรือผู้ประกอบการรายย่อยทั่วไปยังต้องปรับตัวยกใหญ่ จึงไม่น่าแปลกใจที่ในช่วงนี้จะมีหน่วยงานองค์กรต่างๆ จัดการประชุมสัมมนาเรื่อง AEC กันอย่างต่อเนื่อง
       
       “ที่สำคัญข้อมูลจากหลายฝ่ายที่พบและน่าเป็นห่วงยังคงเป็นเรื่องภาษา”
       
       นางสุภาวดีบอกอีกว่า หลังจากที่กฎบัตรอาเซียนมีการลงนามข้อตกลงกันไปแล้วว่าให้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร ปรากฏว่าคนไทยมีความสามารถใช้ภาษาอังกฤษเป็นอันดับท้ายๆ ของอาเซียน น้อยกว่าสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย พม่า เวียดนาม และ สปป.ลาว ผลการศึกษายังพบว่า นักศึกษาจากประเทศเพื่อนบ้านเมื่อเรียนจบแล้วอยากจะเข้ามาทำงานในประเทศไทยด้วย ทำให้มีการเรียนภาษาไทยกันยกใหญ่ รวมทั้งได้ติดตามสื่อโทรทัศน์ของไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนกลุ่มนี้ได้ 3 ภาษา คือ ภาษาถิ่นของตัวเอง ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ดังนั้นประเทศไทยเราจึงต้องปรับตัวให้มากขึ้น
       
       นางสุภาวดีกล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องการค้าการลงทุนแล้วหน่วยงานต่างๆ ถือว่ามีความพร้อมในการให้บริการภาคธุรกิจ โดยเฉพาะเรื่องความรู้และข้อมูลต่างๆ เช่น กรณีภาษี 0% ใน AEC ยังยกเว้นสินค้าอ่อนไหวมาก เช่น ข้าว น้ำตาล ฯลฯ แต่จะใช้การเจรจาระหว่างสองประเทศที่เป็นคู่ค้ากัน โดยไทยจะเสียเปรียบมากที่สุดเพราะเคยส่งออกสินค้าหลายอย่างไปประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะน้ำตาลไปอินโดนีเซีย แต่อินโดนีเซียกำหนดเป็นสินค้าอ่อนไหวมาก จึงตกลงให้นำเข้าได้ปีละ 5.5 แสนตัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสินค้าอ่อนไหวแต่ก็ถือว่าลดภาษีลงมากจนไม่เกิน 5% แล้ว
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า การสัมมนายังจัดให้มีการให้ความรู้เรื่อง FTA อาเซียน-จีน : โอกาสการค้าในตลาดจีน, เพิ่มโอกาสของสินค้าไทยในตลาดเปรูด้วยสิทธิ FTA, อภิปรายสารพันปัญหาที่พบบ่อย และกองทุน FTA ก่อนจะมีการจัดคลินิกไขข้อข้องใจการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 มิถุนายน 2012, 19:33:36
เมกะโปรอืด (เจ็กต์) บุญช่วย ค้ายาดี


กระจกไร้เงา 21 June 2555 - 00:00

    กระทรวงคมนาคมถือว่าเป็นกระทรวงขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจ็กต์) และมีงบประมาณการลงทุนมูลค่าแต่ละโครงการค่อนข้างสูง สำหรับในปี 2555 นี้  กระทรวงคมนาคมมีโครงการที่จะต้องเดินหน้าเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ด้านการขนส่งทางบก จะดำเนินโครงการจัดซื้อรถโดยสาร NGV จำนวน  3,183 คัน ใช้ ด้านการขนส่งทางน้ำ โดยกรมเจ้าท่ามีโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา จังหวัดสตูล ระยะที่ 1 ลงทุน 12,434 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างเขื่อนยกระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน่าน 2 แห่ง ที่อำเภอพยุหคี
รี  จังหวัดนครสวรรค์ และอำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี วงเงิน 14,442 ล้านบาท
     ด้านการขนส่งทางอากาศ เช่น การพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านคน/ปี  เป็น 60 ล้านคน/ปี ใช้งบลงทุน 62,503 ล้านบาท, โครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต เพื่อขยายขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารเป็น 12.5 ล้านคน/ปี ใช้งบ 5,791 ล้านบาท

    ด้าน การขนส่งทางราง โดยเฉพาะการพัฒนารถไฟฟ้า 10 สายทาง ซึ่งรัฐบาลประกาศว่า ภายในปี 2557 จะต้องมีการประกวดราคาแล้วเสร็จทุกโครงการ ไม่ว่าจะเป็น โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม (หมอชิต-สะพานใหม่)  สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) สายสีแดง (บางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน/บางซื่อ-หัวลำโพง), (รังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต) สายสีม่วง (บางซื่อ-ราษฎร์บูรณะ) สายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-บางกะปิ-มีนบุรี)

    นอกจากนี้ยังมีระบบรางอื่นๆ อีก เช่น โครงการระบบรถไฟความเร็วสูง ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการของบประมาณเพื่อศึกษาความเหมาะสมและออกแบบ 4 เส้นทาง คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2560 ประกอบด้วย  สายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่, สายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา, สายกรุงเทพฯ-ระยอง, สายกรุงเทพฯ-หัวหิน, โครงการรถไฟฟ้าสายใหม่เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) 2 โครงการ ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2556 คือ โครงการการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย และโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายบัวใหญ่-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม
    รวมถึงยังมีแผนการก่อสร้างรถไฟทางคู่อีก 6 เส้นทาง ระยะทางรวม 873  กิโลเมตร ขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม 1  โครงการ คือ ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย และอีก 2 โครงการที่อยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสมและออกแบบ ระยะทาง 352 กิโลเมตร คือ ช่วงชุมทางจิระ-ขอนแก่น และช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ในปี 2555 ส่วนที่เหลืออีก 3  โครงการ ระยะทาง 415 กิโลเมตรนั้น ประกอบด้วย เส้นทางลพบุรี-ปากน้ำโพ, มาบกะเบา-ชุมทางจิระและนครปฐม-หนองปลาดุก-หัวหิน อยู่ระหว่างของบเพื่อศึกษารายละเอียด
    ทั้งนี้ โครงการเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นหนึ่งในโครงการของรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่ได้ประกาศเป็นนโยบายเดินหน้าเต็มที่ นับตั้งแต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีเข้ามาบริหารประเทศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2554  เป็นต้นมา จนถึงวันนี้ 21 มิถุนายน 2555 ก็กว่า 10 เดือนเข้าไปแล้ว ยังไม่เห็นโครงการไหนจะเดินหน้าคืบเลยสักนิดเดียว ไม่รู้ว่าเวลาที่มีกว่า 10  เดือนนั้น บรรดาท่าน ส.ส.ผู้ทรงเกียรติและท่านรัฐมนตรีทั้งหลายเอาเวลาไปทำอะไรหมด ขนาดเปลี่ยนคนบริหารกระทรวงคมนาคมคนใหม่จากเดิมที่เป็น พลอากาศเอกสุกำพล สุวรรณทัต นั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มาเป็น นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ แทน โครงการต่างๆ  ก็ยังเหมือนเดิม อยู่นิ่ง โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวกับรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่  แม้กระทั่งรถไฟความเร็วสูง ที่รัฐบาลประกาศว่าภายในปี 2555 ได้เห็นการลงนามแน่ แต่ก็ยังเงียบ

ดูง่ายๆ แค่โครงการรถไฟฟ้าต่างๆ เช่น สายสีม่วง หลังน้ำลดโครงการยิ่งล่าช้าไปอีก เพราะติดปัญหาขาดแคลนแรงงาน, สายสีแดง ทั้ง 2 ส่วน ส่วนแรกบางซื่อ-ตลิ่งชัน งานโยธาเสร็จเรียบร้อย แต่ยังวิ่งไม่ได้ต้องใช้รถไฟธรรมดาวิ่งให้บริการก่อน เนื่องจากระบบอาณัติสัญญาณสำหรับรถไฟฟ้าจะติดตั้งและเปิดให้บริการเดินรถพร้อมกับส่วนต่อขยายช่วงบางซื่อ-รังสิต คาดว่าจะใช้เวลาอีก 4 ปี จึงจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการระบบรถไฟฟ้าได้สมบูรณ์ ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะทาง 26 กม. ล่าช้ามากว่า 1 ปีแล้ว เพราะติดขัดปัญหาการเปิดซองราคาสัญญาที่ 1 หรืองานก่อสร้างงานโยธา สถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง พบว่ากลุ่มกิจการร่วมค้า SU ประกอบด้วย บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้เสนอราคาต่ำสุดเสนอราคาที่ต่อรองแล้วเหลือ 31,170 ล้านบาท ขณะที่กรอบวงเงินของ  ร.ฟ.ท.อยู่ที่ 27,344 ล้านบาท ซึ่งตามระเบียบการประกวดราคาของไทยไม่สามารถดำเนินการได้
ยังมีสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพ-ท่าพระ-บางแค สีเขียว 2 สาย ทั้งหมอชิต-สะพานใหม่-และแบริ่ง-สมุทรปราการ ที่กำลังก่อสร้างโครงการอยู่ แต่ก็อืดเป็นเรือเกลือ และยังมีอีกสารพัดสีที่รัฐบาลคุยนักคุยหนาว่าจะเดินหน้าก่อสร้างได้ในปี 2555 นี้แน่ ก็ยังไม่คืบ ส่วนโครงการอื่นไม่ต้องพูดถึง อยู่อย่างไรก็อย่างนั้น 
ยังไม่รวมถึงบรรดาราคาของกินของใช้ที่ปรับตัวพุ่งกระฉูด แต่รัฐบาลก็ยังไม่สน ที่เห็นว่าสนใจและเร่งผลักดันแบบดันทุรังให้เดินหน้าไปโดยไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม หลับหูหลับตาผลักดันให้เดินหน้าเร็วยิ่งกว่ารถไฟชินคันเซ็น ก็น่าจะเป็นการเร่งแก้กฎหมายนั้นกฎหมายนี้ ทั้งนิรโทษกรรม พ.ร.บ.ปรองดอง เท่านั้น.

http://www.thaipost.net/news/210612/58497


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 มิถุนายน 2012, 18:10:36
นายณรงค์ คองประเสริฐ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่กล่าวว่า ตลาดพม่ากำลังเป็นที่สนใจและจับตามองของประเทศต่าง ๆ ในการเตรียมเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ขณะที่พม่ามีชายแดนติดกับเชียงใหม่ 227 กิโลเมตร และพม่านั้นมีความนิยมสินค้าไทย ทั้งสินค้าอุปโภค บริโภค เกษตรแปรรูป อย่างไรก็ตาม SMEs ของไทยและภาคเหนือมีจุดอ่อนคือ ภาษาในการสื่อสาร และขาดความรู้เรื่องการตลาด ซึ่งจะต้องพัฒนาให้สามารถแข่งขันในระดับสากลได้
 
 
ด้วยจังหวะและโอกาสดังกล่าวทำให้ขณะนี้ภาคธุรกิจในเชียงใหม่กำลังเร่งผลักดันให้มีการเปิดจุดผ่อนปรนชายแดนกิ่วผาวอก อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นแหล่งค้าชายแดนเช่นเดียวกับแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยคาดการณ์จุดผ่อนปรนชายแดนกิ่วผาวอกน่าจะมีมูลค่าการค้าหมื่นถึง 5 หมื่นล้านบาท เพราะระบบโลจิสติกส์ของเชียงใหม่ที่วางไว้รองรับมีความได้เปรียบกว่าพื้นที่อื่น

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1340437669&grpid=03&catid=00&subcatid=0000


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 มิถุนายน 2012, 19:14:22
ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ตั้งเป้านักท่องเที่ยวเดินทางเข้าเชียงราย 4 ล้านคน ก่อนเปิดเออีซี ปี 2558

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ระบุ ตั้งเป้าผลักดันนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าเชียงราย 4 ล้านคน ก่อนเปิดเออีซีปี 2558
นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า จุดแข็งของจังหวัดเชียงรายในการเปิด เออีซี ปี 58 ที่มีความแตงต่างจากจังหวัดอื่นคือ การเป็นประตูเชื่อมต่อของ 3 ประเทศ คือ พม่า ลาวและจีนตอนใต้(ยูนาน) ซึ่งถือเป็นยุทธ์ศาสตร์สำคัญที่จะเชื่อมต่อเดินทางไปยังประเทศต่างๆในอาเซียน อาทิ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเขมรตอนใต้ (ญวน) ซึ่งนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางต้องผ่านเชียงราย โดยใช้ถนน R3A และ R3B ซึ่งเป็นเส้นทางหลักในการดึงคนและสินค้าบริการเข้าประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าเชียงรายเฉลี่ยปีละ 2 ล้านคน สร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจในพื้นที่ปีละ 50,000 ล้านบาท ส่วนรายได้รองมาจากการเกษตร และการค้าชายแดน อย่างไรก็ตาม จะกระตุ้นนักท่องท่องเที่ยวให้เกิดการเดินทางเพิ่มเป็น 4 ล้านคน ช่วงก่อนเปิด เออีซี ซึ่งจะทำให้เพิ่มเม็ดเงินทางการท่องเที่ยวเป็น 2 เท่า ขณะที่สัดส่วนนักท่องเที่ยวคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เดินทางมาเชียงรายแบ่งเป็นสัดส่วนร้อยละ 50 นายธานินทร์ กล่าวอีกว่า การเปิด AEC ปี 2558 หากมีการเชื่อมต่อเส้นทางกับตอนใต้ของมณฑลจีนยูนาน ซึ่งมีประชากรกว่า 200 ล้านคน จะสามารถผลักดันให้เกิดการเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวจีน เตรียมประสานงานกงศุลใหญ่ของจีนเข้ามาเปิดสำนักงานทำวีซ่าที่จังหวัดเชียงรายด้วย
    
ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : สุภาภรณ์ สุขันทอง / สวท.   Rewriter : คณิต จินดาวรรณ / สวท.
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th


 วันที่ข่าว : 25 มิถุนายน 2555


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 มิถุนายน 2012, 22:29:35
ตลาด CLMV : โอกาสส่งออกไทยใน AEC … คาดปี 2555 เติบโตโดดเด่นถึง 20%


วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2012 เวลา 16:18 น.    ศูนย์วิจัยกสิกรไทย    ข่าวรายวัน    - ข่าวใน
บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ "ตลาด CLMV : โอกาสส่งออกไทยใน AEC … คาดปี 2555 เติบโตโดดเด่นถึง 20%"ระบุว่า  ท่ามกลางความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกจากปัญหาวิกฤตหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศยูโรโซน ซึ่งเริ่มส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไปยังตลาดสหภาพยุโรปแล้วนั้น ภูมิภาคอาเซียนจึงเป็นความหวังสำคัญของธุรกิจไทยในการขยายฐานตลาดสินค้า ซึ่งไม่เพียงแต่เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในระยะสั้นจากการพึ่งพาตลาดหลักเดิมอย่างกลุ่มประเทศ G-3 อันประกอบไปด้วย สหรัฐฯ ยูโรโซน และญี่ปุ่นเท่านั้น แต่การวางแผนการตลาดสำหรับภูมิภาคอาเซียนยังนับเป็นกลยุทธ์สำคัญที่หลายธุรกิจกำลังเตรียมการเพื่อรองรับโอกาสจากการรวมเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC (ASEAN Economic Community) ซึ่งกำลังจะเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางธุรกิจ (Business Landscape) ของไทย ที่จะสลายเส้นแบ่งพรมแดนการตลาดในขอบเขตของประเทศ มาเป็นการมองตลาดในระดับภูมิภาคอาเซียนในฐานะตลาดร่วมตลาดเดียว (Single Market)
 
จุดสนใจของธุรกิจไทย ณ เวลานี้กำลังพุ่งเป้าหมายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศสมาชิกอาเซียนใหม่ ที่มีผืนแผ่นดินเชื่อมต่อกับไทย หรือที่เรียกกันว่ากลุ่ม CLMV ได้แก่ กัมพูชา (Cambodia)
สปป.ลาว (Laos) พม่า (Myanmar) และเวียดนาม (Vietnam) ซึ่งจากข้อมูลตามฐานศุลกากรในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2555 นี้ การส่งออกของไทยไป CLMV มีการเติบโตโดดเด่นถึงร้อยละ 16.1 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่การส่งออกโดยรวมหดตัวร้อยละ 1.5 และการส่งออกไปยังยูโรโซนหดตัวถึงร้อยละ 11.8 นอกจากนี้ การเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องของตลาด CLMV ยังหนุนให้สัดส่วนตลาด CLMV ขึ้นแซงยูโรโซนมาอยู่ที่ร้อยละ 7.8 ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2555 (จากร้อยละ 6.8 ในปี 2554) ในขณะที่สัดส่วนของตลาดยูโรโซนลดต่ำลงมาเป็นร้อยละ 6.8 (จากร้อยละ 7.3 ในปี 2554) ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าช่วยชดเชยผลกระทบจากความอ่อนแอลงของตลาดยูโรโซนไว้ได้ระดับหนึ่ง
 
ตลาดประเทศเพื่อนบ้านกลุ่มนี้มีความน่าสนใจเนื่องจากผู้บริโภคมีความนิยมต่อสินค้าไทย โดยมองว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ และผู้บริโภคมีการรับรู้ต่อตราสินค้าของไทยค่อนข้างมาก โดยเฉพาะใน 3 ประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกับไทยโดยตรง หรือ CLM คือ กัมพูชา สปป.ลาว และพม่า 
ความต้องการสินค้าไทยมีหลากหลาย ตั้งแต่สินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าฟุ่มเฟือย เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ รวมไปจนถึงสินค้าวัตถุดิบและสินค้าทุน เช่น วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรกลการเกษตรและเครื่องจักรอุตสาหกรรม
 
ถ้าพิจารณาเป็นรายประเทศ ตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด (ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2555) คือเวียดนาม ตามมาด้วยกัมพูชา สปป.ลาว และพม่า แต่หากมองถึงอัตราการขยายตัว ตลาดที่เติบโตสูงที่สุดในปีนี้ได้แก่
• กัมพูชา ขยายตัวร้อยละ 51.8 แต่เป็นที่น่าสังเกตว่ามีการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปและทองคำ (ที่ยังไม่ขึ้นรูป) ออกไปเป็นมูลค่าสูงมาก อย่างไรก็ดี การส่งออกไปยังกัมพูชาที่ไม่รวมน้ำมันสำเร็จรูปและทองคำก็ยังขยายตัวสูงร้อยละ 44.8
• สปป.ลาว ขยายตัวร้อยละ 45.0 แม้ สปป.ลาว มีประชากรน้อยที่สุดในบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน หรือเพียงประมาณ 6.4 ล้านคน แต่ สปป.ลาว มีความต้องการสินค้าจากไทยสูงเนื่องจากสินค้าหลายชนิดไม่สามารถผลิตได้เองในประเทศ
• พม่า ขยายตัวร้อยละ 15.6 แม้ปัจจุบันยังมีมูลค่าการส่งออกน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่น แต่การเปิดประเทศของพม่าเป็นก้าวย่างที่น่าจะก่อให้เกิดประโยชน์สำหรับธุรกิจไทยที่สนใจขยายตลาดไปยังพม่า ซึ่งมีประชากรกว่า 60 ล้านคน ที่จะมีกำลังซื้อสูงขึ้น และมีแนวโน้มที่เห็นการลงทุนจากต่างประเทศหลั่งไหลเข้าไปยังพม่าอีกจำนวนมาก
• สำหรับการส่งออกไปยังเวียดนามหดตัวลงร้อยละ 8.4 โดยส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากอุทกภัยในไทย ซึ่งอุตสาหกรรมในเวียดนามส่วนหนึ่งพึ่งพาวัตถุดิบและชิ้นส่วนจากไทย อีกทั้งมีผลมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจเวียดนามเอง จากทั้งปัญหาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในประเทศ และผลกระทบจากเศรษฐกิจต่างประเทศ โดยเวียดนามเป็นประเทศที่พึ่งพาตลาดส่งออกในยูโรโซนสูงประมาณร้อยละ 13 ของการส่งออกรวม
 ทั้งนี้ หากไม่นับรวมเวียดนาม ซึ่งการส่งออกหดตัวในช่วง 5 เดือนแรกนั้น การส่งออกไปยังเพื่อนบ้าน 3 ประเทศที่มีพรมแดนติดกับไทย หรือ CLM ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 37.2
 

การส่งออกของไทยไปยัง CLMV รายประเทศ


การส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศเพื่อนบ้าน CLMV ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกทางชายแดนเป็นหลัก ยกเว้นเวียดนามที่ไม่มีพรมแดนติดกับประเทศไทย ช่องทางการส่งออกหลักจึงเป็นการส่งออกทางทะเล สำหรับการส่งออกไปยังแต่ละประเทศ CLMV มีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้

พม่า

การส่งออกของไทยไปยังพม่าส่วนใหญ่เป็นการส่งออกผ่านชายแดนเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 75 ของการส่งออกรวมจากไทยไปพม่า โดยช่องทางการส่งออกที่สำคัญคือ การส่งออกทางชายแดนจังหวัดตาก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 50 ของการส่งออกชายแดนไทย-พม่า  ทั้งนี้ สินค้าส่งออกของไทยไปพม่าที่สำคัญส่วนใหญ่เป็นสินค้ากลุ่มอุปโภคบริโภค รวมถึงสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ  ก็มีการขยายตัวโดดเด่น (ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2555 การส่งออกเครื่องจักรกลและส่วนประกอบของไทยไปพม่ามีอัตราขยายตัวถึงกว่า 3 เท่าตัวจากช่วงเดียวกันในปีก่อน)  ทั้งนี้เป็นอานิสงส์จากการเร่งพัฒนาโครงสร้างและสาธารณูปโภคพื้นฐานในประเทศพม่า โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมรองรับการเป็นเจ้าภาพกีฬาซีเกมส์ที่พม่าจะเป็นเจ้าภาพในปี 2556 ณ นครเนปิดอว์ เมืองหลวงของพม่า ผนวกกับการเปิดประเทศและพัฒนาการทางการเมืองของพม่าที่มีทิศทางดีขึ้นเป็นลำดับ ยังเป็นแม่เหล็กดึงดูดความสนใจเข้ามาลงทุนและเดินทางมาท่องเที่ยวในพม่ามากขึ้น ซึ่งจะช่วยเกื้อหนุนให้กิจกรรมเศรษฐกิจในพม่าคึกคัก และเป็นโอกาสขยายการส่งออกสินค้าไทยรองรับความต้องการในตลาดเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
 

สปป.ลาว
 การส่งออกสินค้าของไทยไป สปป.ลาว เป็นการส่งออกผ่านชายแดนเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 98 ของการส่งออกไป สปป.ลาว โดยรวม  นับเป็นสัดส่วนสูงสุดในบรรดาประเทศเพื่อนบ้านของไทย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะด่านชายแดนระหว่างไทยกับ สปป.ลาว มีความเชื่อมโยงและเข้าถึงพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของ สปป.ลาว โดยตรง ทำให้สินค้าไทยค่อนข้างเข้าถึงตลาดผู้บริโภคใน สปป.ลาว ได้ง่าย  สำหรับช่องทางการส่งออกสำคัญคือ จังหวัดหนองคาย ซึ่งเป็นช่องทางส่งออกสำคัญราวร้อยละ 57 ของการส่งออกทางชายแดนไทย-สปป.ลาว รองลงมาคือ มุกดาหาร อุบลราชธานี และเชียงราย โดยสินค้าสำคัญที่ไทยส่งไป สปป.ลาว ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขยายตัวแข็งแกร่งต่อเนื่อง และสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้างที่เติบโตรองรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใน สปป.ลาว  ทั้งนี้ แม้ประชากร สปป.ลาว ส่วนใหญ่ยังมีกำลังซื้อไม่สูงนัก แต่มีพฤติกรรมการบริโภคที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับคนไทยทำให้สินค้าไทยเป็นที่รู้จักคุ้นเคยและได้รับการยอมรับในตลาด สปป.ลาว เป็นอย่างดี  ส่วนหนึ่งเนื่องจากได้รับการถ่ายทอดพฤติกรรมการบริโภคของไทยผ่านสื่อโทรทัศน์ด้วยและการเดินทางผ่านชายแดนระหว่างไทย-สปป.ลาว เป็นไปโดยสะดวกและคล่องตัว


กัมพูชา
 การส่งออกของไทยไปกัมพูชามีสัดส่วนการส่งออกผ่านชายแดนราวร้อยละ 57 ของการส่งออกไปกัมพูชาโดยรวม อย่างไรก็ดี แนวโน้มการส่งออกของไทยโดยรวมของไปกัมพูชามีทิศทางเติบโตดี โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2555 การส่งออกโดยรวมของไทยไปกัมพูชาขยายตัวถึงร้อยละ 51.8 (YoY) ซึ่งเป็นอัตราขยายตัวสูงสุดในบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน CLMV ทั้งนี้ การเชื่อมโยงช่องทางการส่งออกทางชายแดนที่สำคัญของไทยไปกัมพูชา คือ จังหวัดสระแก้ว ราวร้อยละ 60 ของการส่งออกทางชายแดนไทยไปกัมพูชา เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีชายแดนเป็นแนวยาวถึง 165 กิโลเมตร ช่วยให้สินค้าไทยมีโอกาสเข้าถึงตลาดกัมพูชาผ่านจังหวัดบันเตียเมียนเจย ซึ่งเป็นจังหวัดเศรษฐกิจสำคัญแห่งหนึ่งของกัมพูชา รองลงมาคือจังหวัดตราดและจันทบุรีที่มีพรมแดนติดกับจังหวัดพระตะบองและจังหวัดเกาะกงซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจที่มีศักยภาพในการขยายตัวของกัมพูชาเช่นกัน


เวียดนาม
 การส่งออกของไทยไปเวียดนามค่อนข้างต่างจากการส่งออกไปประเทศ  CLM  ทั้งในแง่ช่องทางการส่งออกที่เป็นการส่งออกทางทะเลเป็นหลัก มีการส่งออกผ่านแดนค่อนข้างน้อย  รวมทั้งความแตกต่างในแง่กลุ่มสินค้าซึ่งสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ค่อนข้างกระจุกตัวในกลุ่มสินค้าทุนและสินค้าขั้นกลางเพื่อใช้ในการผลิตภาคอุตสาหกรรม  ส่วนหนึ่งเนื่องจากเวียดนามค่อนข้างมีการพัฒนาการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกและรองรับความต้องการในประเทศที่เข้มข้นกว่าประเทศ CLM  ทั้งนี้ ตลาดเวียดนามนับเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการขยายการส่งออกสินค้าไทย  เนื่องจากชาวเวียดนามเริ่มมีกำลังซื้อสูงขึ้น  มีความเป็นเมืองที่กระจายตัวมากขึ้น  จึงนับเป็นโอกาสสำหรับสินค้าไทยซึ่งค่อนข้างเป็นที่ยอมรับในเรื่องคุณภาพและตราสินค้า อย่างไรก็ดี พฤติกรรมผู้บริโภคชาวเวียดนามค่อนข้างหลากหลายและแตกต่างกันไปในแต่ละโซนพื้นที่ ผู้ส่งออกไทยจึงควรศึกษาและวางกลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดให้สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคในตลาดอย่างเหมาะสม


โดยสรุป ตลาด CLMV เป็นตลาดที่มีอนาคตค่อนข้างสดใสสำหรับธุรกิจไทยในการรุกเปิดตลาดและขยายช่องทางกระจายสินค้าให้กว้างขวางขึ้น โดยอาศัยปัจจัยสนับสนุนหลานด้าน อาทิ
 ทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่มีพรมแดนเชื่อมต่อกันทางบก ผ่านเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจภูมิภาค (Economic Corridors) ที่ปัจจุบันมีความสะดวกยิ่งขึ้น และน่าจะมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเปิดประตูการค้าชายแดนเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต 
 การเปิดเสรีมากยิ่งขึ้นในอนาคต โดย CLMV มีกำหนดที่จะลดภาษีศุลกากรลงเป็น 0% ในปี 2558 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับการเริ่มต้นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยนอกจากการเปิดตลาดเสรีในด้านสินค้าแล้ว อาเซียน 10 ประเทศมีเป้าหมายที่จะลดมาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษีลง (Non-Tariff Barriers) รวมทั้งเปิดเสรีมากขึ้นในสาขาการบริการ การลงทุน การเคลื่อนย้ายแรงงานที่มีทักษะ และการเคลื่อนย้ายเงินทุน
 รายได้ประชากรในประเทศเพื่อนบ้านขยายตัวสูง ขณะที่การเติบโตของธุรกิจบริการในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น การท่องเที่ยว จะทำให้ความต้องการสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้น
 จากโอกาสทางการตลาดดังกล่าว ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การส่งออกไปยัง CLMV อาจขยายตัวเฉลี่ยประมาณร้อยละ 20 ในปี 2555 มีมูลค่าประมาณ 18,700 ล้านดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 570,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันหนึ่งที่ช่วยให้การส่งออกของไทยโดยรวมในปีนี้อาจขยายตัวในระดับประมาณร้อยละ 10 (กรอบคาดการณ์อยู่ในช่วงร้อยละ 7-15) ท่ามกลางความยืดเยื้อของวิกฤตหนี้สาธารณะในยูโรโซน
 

ทั้งนี้ ภายใต้กรอบประมาณการปัจจุบัน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนน่าจะประสบภาวะถดถอย (โดยอัตราการขยายตัวอยู่ในช่วงหดตัวร้อยละ 0.8 ถึงขยายตัวร้อยละ 0.2) อย่างไรก็ดี หากปัญหาในยูโรโซนลุกลามถึงขั้นนำไปสู่วิกฤตการณ์เศรษฐกิจและการเงินอย่างรุนแรง จนฉุดให้ภาพรวมการส่งออกของไทยอาจถลำลงสู่แดนติดลบได้นั้น (ซึ่ง ณ ขณะนี้ยังมีความเป็นไปได้น้อยที่จะเกิดขึ้น) สำหรับตลาดส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน พม่า สปป.ลาว และกัมพูชา (CLM) คาดว่าจะยังสามารถรักษาการขยายตัวเป็นบวกได้ แม้จะเป็นอัตราที่ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ระบุไว้ข้างต้น เนื่องจากความต้องการสินค้าจากไทยของประเทศกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่นำไปใช้เพื่อการบริโภคในประเทศ และตอบสนองโครงการลงทุนระยะยาว


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 03 กรกฎาคม 2012, 12:29:35
เชียงราย - การค้าไทย-เพื่อนบ้านผ่านชายแดนเชียงรายขยายตัวไม่หยุด ล่าสุดตั้งแต่มกราคม-พฤษภาคม 55 โตร่วม 20% แต่กลับพบ สป.จีนตั้งเงื่อนไขแปลก ปรับค่าขนคอนเทนเนอร์มังคุด-ทุเรียนไทยผ่านถนน R3a เข้าจีนตามข้อตกลง FTA ขึ้นอีกหลายเท่าตัวหน้าตาเฉย จนพ่อค้าไทยหลายรายต้องหันไปขนผ่าน R9 แทน

(http://pics.manager.co.th/Images/555000008498905.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/555000008498901.JPEG)
       
       สำนักงานพาณิชย์ จ.เชียงรายระบุว่า ตั้งแต่เดือน ม.ค.-พ.ค. 55 การค้าชายแดนด้าน จ.เชียงรายผ่านทางด่านพรมแดน อ.แม่สาย อ.เชียงแสน และ อ.เชียงของ มีมูลค่ารวมทั้งหมด 13,839.15 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้า 12,690.25 ล้านบาท ส่งออก 1,148.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 19.73% ส่วนใหญ่เป็นการค้ากับพม่า และ สปป.ลาว โดยนำเข้าจากพม่ามูลค่า 5,559.02 ล้านบาท ส่งออก 80.93 ล้านบาท นำเข้าจาก สปป.ลาว มูลค่า 5,617.98 ล้านบาท ส่งออก 333.02 ล้านบาท และส่งออกไปยังประเทศจีน 1,513.27 ล้านบาท นำเข้า 734.95 ล้านบาท
       
       สินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นเครื่องจักรและอุปกรณ์จากจีน เสื้อผ้า ไม้แปรรูป สินแร่ สินค้ากสิกรรม ฯลฯ ส่วนสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค น้ำมันเชื้อเพลิง วัสดุก่อสร้าง ฯลฯ
       
       นายสงวน ซ้อนกลิ่นสกุล รองประธานหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่า ตอนนี้การค้าชายแดนผ่านทางด้าน จ.เชียงรายสะดวกมากขึ้นเพราะมีเส้นทางคมนาคมให้เลือกหลากหลายโดยเฉพาะถนน R3a ไทย-สปป.ลาว-จีน ระยะทางประมาณ 245 กิโลเมตร ทำให้ที่ผ่านมาเมื่อมีปัญหาการเดินเรือแม่น้ำโขงไทย-จีน ก็มีการใช้เส้นทางนี้อย่างคึกคัก แต่ล่าสุดก็มีปัญหาเช่นกัน คือ ทางการจีนเพิ่มค่าธรรมเนียมตู้คอนเทนเนอร์สินค้าประเภทผลไม้ที่ส่งไปจากประเทศไทย ทั้งมังคุด ทุเรียน ลำไย ฯลฯ ที่มีภาษี 0% ตามข้อตกลงการค้าเสรี หรือ FTA ไทย-จีน ส่วนสินค้าจีนเป็นประเภทองุ่น ดอกไม้ ฯลฯ
       
       แหล่งข่าวจากชายแดนระบุว่า สินค้าที่จะเข้าออกจีนจะต้องผ่านด่านบ่อเต็น-บ่อหาน มณฑลหยุนหนัน ชายแดน สปป.ลาว-จีนตอนใต้ บนถนน R3a นั้น จีนได้ปรับค่าธรรมเนียมเพิ่มเป็นกว่า 100,000 บาท จากเดิมเก็บตู้ละ 20,000-30,000 บาท โดยเน้นไปที่ตู้บรรทุกมังคุดและทุเรียนเป็นหลัก แต่สินค้าอื่นๆ เช่น ลำไย กล้วย ฯลฯ ยังคงส่งออกได้ในราคาปกติ ด้วยเหตุนี้ผู้ประกอบการอาจจะโยกย้ายเส้นทางส่งสินค้าผ่านทาง R9 ไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม และนำเข้าจีนทางมณฑลกวางสีที่ยังคงใช้อัตราค่าธรรมเนียมเท่าเดิมอยู่ ซึ่งกระจายสินค้าเข้าไปยังตลาดจีนได้เช่นกัน รวมทั้งส่งไปยังมณฑลหยุนหนันได้อีกด้วย
       
       อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมแล้วถือว่าการนำเข้าและส่งออกบนถนน R3a ยังคงคึกคัก แม้จะเกิดอุปสรรคบ้าง แต่บรรดาผู้ประกอบการขนส่งสินค้าบนถนนสายนี้เกือบทุกราย ต่างมีการเพิ่มรถและตู้คอนเทนเนอร์ พร้อมๆ กับการส่งออก-นำเข้าสินค้าประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะประเภทวัตถุดิบเพื่อผลิตแคลเซียมในยาสีฟัน ซึ่งกำลังเป็นตลาดใหม่ที่มีการนำเข้าอย่างคึกคัก
       
       นอกจากนี้ การก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อม อ.เชียงของ-เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว-ถนน R3a ซึ่งสร้างมาได้นานประมาณ 1 ปีแล้ว โดยกำหนดการจะแล้วเสร็จปี 2556 ก็พบว่าคืบหน้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยจากเดิมที่คาดว่าจะล่าช้าก็มีข่าววงในว่าเอกชนจะก่อสร้างเฉพาะตัวสะพานเพื่อเปิดใช้งานได้ในวันที่ 12 ธ.ค. 55 หรือตรงกับเลขวันที่ 12 เดือน 12 ปี 2012 แต่กรณีอาคารด่านพรมแดนทั้งฝั่งไทยและ สปป.ลาว และถนนรองรับอาจจะเสร็จช้ากว่าตัวสะพาน
       
       ล่าสุดสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม (สนข.) ก็กำลังหาสถานที่เพื่อก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าเนื้อที่ 280 ไร่รองรับตัวสะพาน และบริษัทที่ปรึกษาของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ซึ่งศึกษาเส้นทางรถไฟสายเด่นชัย จ.แพร่-เชียงราย-เชียงของ ก็ได้เข้าไปดูพื้นที่อย่างละเอียด โดยมีการกำหนดสถานที่ที่เส้นทางจะผ่านตามจุดต่างๆ เอาไว้เรียบร้อย หลังจากมีการรับฟังความเห็นจากฝ่ายต่างฯ ไปแล้วในเดือนมิถุนายน 55 ที่โรงแรมริมกกรีสอร์ตเชียงราย และ 27 มิ.ย. 55 ก็เปิดเวทีรับฟังความเห็นครั้งสุดท้ายที่กรุงเทพฯ ไปแล้ว
       
       โดยจะเป็นรถไฟรางคู่กว้าง 1 เมตรไปกลับ ไม่ต้องสลับราง ขณะที่เส้นทางยังคงเป็นเหมือนเดิมจาก อ.เด่นชัย จ.แพร่ ตรงไปยังสถานีที่ อ.เวียงชัย จ.เชียงราย เวียงเชียงรุ้ง เลี้ยวขวาไป อ.เชียงของ และมีจุดเชื่อมที่สามารถต่อไปยังท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน ได้อีกด้วย
       
       แต่โครงการนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาล เพราะคาดการณ์กันว่าต้องใช้งบประมาณหลายหมื่นล้านบาท

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=955000008069


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 04 กรกฎาคม 2012, 07:33:51
มรช.ร่วมมหาวิทยาลัยภูมิภาคลุ่มน้ำโขงรับอาเซียน

วันที่ 04 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ผศ.ดร.มาณพ ภาษิตวิไลธรรม อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายเปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรช.) นอกจากจะมีบทบาทในการผลิตบัณฑิต และบริการการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่นแล้ว ยังมีการประสานงานติดต่อกับมหา วิทยาลัยในต่างประเทศ โดยเฉพาะในเขตภูมิภาคลุ่มน้ำโขง มีการแลกเปลี่ยนนักศึกษา เปิดสอนหลักสูตรภาษาไทย-ภาษาจีน แลกเปลี่ยนอาจารย์ การทำศึกษาวิจัย การผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรี โท และเอกร่วมกัน เชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์พร้อมสู่ประชาคมอาเซียน



อธิการบดี มรช. กล่าวว่า สำหรับมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยที่มรช. ร่วมมือในการผลิตบัณฑิตสาขาต่างๆ ได้แก่ สถาบันการศึกษาในมณฑลยูนนาน จีน 9 แห่ง ประกอบด้วย สถาบันอาชีวศึกษาและเทคโนโลยีสิบสองปันนา, วิทยาลัยอาชีวศึกษาซือเหมา, มหาวิทยาลัยครุศาสตร์ซือเหมา, มหาวิทยาลัยครุศาสตร์วี่ซี, มหาวิทยาลัยต้าลี่, มหาวิทยาลัยครุศาสตร์ฉู่ฉง, วิทยาลัยทรัพยากรที่ดินแห่งมณฑลยูนนาน, มหาวิทยาลัยชนชาติแห่งมณฑลยูนนาน และมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์แห่งมณฑลยูนนาน นอกจากนี้ ยังมีสถาบันการศึกษาในมณฑลกว่างซี 5 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยชนชาติแห่งมณฑลปกครองตนเองกว่างซีจ้วง, วิทยาลัยแห่งเมืองหนานหนิง, วิทยาลัยพลศึกษาแห่งมณฑลกว่างซี, วิทยาลัยศิลปะแห่งมณฑลกว่างซี และมหาวิทยาลัยเหอฉือ สถาบันการศึกษาในมณฑลเสฉวน 1 แห่ง คือมหาวิทยาลัยคมนาคมแห่งภาคตะวันตกเฉียงใต้ สถาบันการศึกษาในมณฑลเหอเป่ย 1 แห่ง คือมหาวิทยาลัยครุศาสตร์ถางชาน และสถาบันการศึกษาในกรุงปักกิ่ง 1 แห่ง คือมหาวิทยาลัยประชาชาติแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ส่วนสถาบันการศึกษาในลาว จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยครูหลวงพระบาง, วิทยาลัยครูหลวงน้ำทา และวิทยาลัยประชาบัณฑิต

หน้า 23

http://www.khaosod.co.th


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 04 กรกฎาคม 2012, 18:33:30
ทุ่มอีก 580 ล้านสร้างแนวกั้นตลิ่งน้ำโขงเชียงแสน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   4 กรกฎาคม 2555 11:51 น.

เชียงราย - โยธาฯ จัดให้อีก 580 ล้านทุ่มสร้างแนวเขื่อนกันตลิ่งน้ำโขงตั้งแต่สามเหลี่ยมทองคำลงมาทางอำเภอเชียงแสน หลังนายทุนจีนสร้างแนวเขื่อนริมน้ำโขงฝั่ง สปป.ลาว จนกระแสน้ำโขงเปลี่ยนแปลง หวั่นกระทบแนวเขตไทย
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงรายแจ้งว่า ขณะนี้กรมโยธาธิการและผังเมือง และ จ.เชียงรายได้มีการระดมกำลังคนและเครื่องจักรอุปกรณ์เข้าไปก่อสร้างแนวกั้น หรือเขื่อนป้องกันตลิ่งแม่น้ำโขง ชายแดนไทย-สปป.ลาว ตั้งแต่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ บ้านสบรวก ม.1 ต.เวียง อ.เชียงแสน ไปยังเขตเทศบาล ต.เวียงเชียงแสน เป็นระยะทางไกลหลายกิโลเมตร เนื่องจากเคยประสบปัญหาการพังทลายอันเกิดจากแม่น้ำโขงกัดเซาะโดยเฉพาะช่วงฤดูน้ำหลาก ขณะที่ในฝั่งเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาวนั้น ก็พบทางโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษที่กลุ่มทุนเข้าไปเช่าพื้นที่พัฒนา มีการก่อสร้างเขื่อนเป็นถนนตลอดแนวตั้งแต่สามเหลี่ยมทองคำ เป็นระยะทางหลายกิโลเมตรอย่างรวดเร็วแล้ว
       
       ทั้งนี้ หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์กันมาโดยตลอดว่า หากฝั่งใดก่อสร้างเป็นเขื่อนกั้นดังกล่าว ก็จะส่งผลทำให้กระแสน้ำพัดแรงไปอีกฝั่งหนึ่ง
       
       นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย กล่าวว่า ปัญหาการพังทลายของตลิ่งแม่น้ำโขงมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะฤดูฝน ซึ่งระดับน้ำขึ้นสูงและเชี่ยวกราก ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งพังอย่างเร่งด่วน แต่ด้วยระยะทางริมตลิ่งที่ยาวหลายกิโลเมตร จึงทำให้ต้องมีการใช้งบประมาณจำนวนมาก ทำให้ลำพังทางจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่สามารถเข้าไปดำเนินการได้ทันที
       
       นายธานินทร์กล่าวอีกว่า ล่าสุดทางกรมโยธาธิการและผังเมืองได้มีการจัดสรรงบประมาณในการจัดสร้างเขื่อนกันตลิ่งพังในพื้นที่เชียงราย จำนวนประมาณ 580 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งพังรวมระยะทางประมาณ 5,800 เมตร โดยเร่งลงมือก่อสร้างมาตั้งแต่ฤดูแล้ง และปัจจุบันก็มีการทำแนวและถมดินแล้วเสร็จแล้วบางส่วน
       
       ทั้งนี้ โครงการมีกำหนดจะสร้างเสร็จในปี 2557 นี้ โดยช่วงนี้ยังคงเร่งสร้างเป็นแนวดินขึ้นมาก่อนเพื่อรองรับระดับน้ำที่กำลังจะเพิ่มขึ้นในฤดูฝนนี้ และหากโครงการแล้วเสร็จเชื่อว่านอกจากเป็นเขื่อนกันตลิ่งน้ำโขงพังแล้ว ยังจะสามารถใช้สันเขื่อนซึ่งออกแบบเป็นแนวถนนขนานไปกับแม่น้ำ เป็นจุดชมวิวและออกกำลังกายของประชาชนและนักท่องเที่ยวได้อีกด้วย

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000081724


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 กรกฎาคม 2012, 21:34:23
ที่ดินริมโขงบูม ทุนท้องถิ่นตื่นผุดพลาซา-โรงแรมตรึม

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   5 กรกฎาคม 2555 10:46 น.   

(http://pics.manager.co.th/Images/555000008663802.JPEG)
   


       เชียงราย - ที่ดินชายแดนเชียงแสนเริ่มบูม โดยเฉพาะพื้นที่ริมน้ำโขง นักลงทุนแห่ผุดโครงการตรึม รอรับผลจากการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมทั้งในประเทศ และเพื่อนบ้าน
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงรายแจ้งว่า ขณะนี้มีกลุ่มทุนต่างๆ ทยอยเข้าปักหลักลงทุนพัฒนาพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำโขงชายแดนไทย-สปป.ลาวมากขึ้น รองรับผลการพัฒนาระบบคมนาคมต่างๆ ทั้งกรณีที่กระทรวงคมนาคมได้ก่อสร้างถนนโครงข่ายไปสู่ท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสน แห่งที่ 2 และสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ รวมทั้งถนนสี่ช่องจราจรเชียงแสน-แม่จัน และเชียงราย-เชียงของ นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือระหว่างประเทศอื่นๆ เช่น กลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง หรือจีเอ็มเอส ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ฯลฯ



       ขณะที่กลุ่มทุนจีนยังคงเดินหน้าลงทุนในฝั่ง สปป.ลาว โดยกลุ่มดอกงิ้วคำได้ดำเนินโครงการ Kings Romans of Laos Asian & Tourism Development Zone โดยสร้างโรงแรม บ่อนกาสิโน เขตการค้า ท่าเรือ เขตพาณิชยกรรม อุตสาหกรรมแปรรูป พื้นที่การเกษตร ฯลฯ ที่เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว บริเวณสามเหลี่ยมทองคำซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน
       
       นายชยกฤษณ์ นิสสัยสุข นายกเทศมนตรี ต.เวียงเชียงแสน กล่าวว่า แต่เดิมพื้นที่ชายแดนด้าน อ.เชียงแสน แม้จะเป็นจุดการค้าชายแดนที่สำคัญ แต่ก็เป็นเพียงธุรกิจค้าชายแดน หรือมีโรงแรมที่เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวเกรดสูงเข้าไปพัก ยังไม่มีกิจการที่บ่งชี้ถึงความเจริญทางเศรษฐกิจและการค้าในท้องถิ่นมากนัก แต่ขณะนี้มีปัจจัยหลายอย่างเอื้อให้เกิดการลงทุน
       
       ดังนั้น ในช่วง 1-2 ปีมานี้จึงเริ่มเห็นการลงทุนมากขึ้น เช่น โรงแรมสยามไทรแองเกิล ฯลฯ นอกจากนี้มีโรงแรม ห้องพัก อาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก ฯลฯ เริ่มเกิดขึ้นทั้งในตัวเมืองเชียงแสน และพื้นที่ติดถนนสายแม่สาย-เชียงแสน, แม่สาย-แม่จัน, เชียงแสน-เชียงของ คาดว่าในอนาคตก็จะมีมากขึ้นตามการพัฒนาของบ้านเมือง



       นอกจากนี้ ในปัจจุบันได้มีโครงการโขงวิว พลาซ่า ของเอกชนไปตั้งเป็นพลาซาขนาดใหญ่อยู่บริเวณสามแยกบายพาสในเขต ต.เวียง ติดกับเทศบาล ต.เวียงเชียงแสนด้วย ซึ่งถือเป็นโครงการพลาซาขนาดใหญ่แห่งแรกของ อ.เชียงแสน และคาดว่าจะเป็นสัญญาณว่ากลุ่มทุนต่างๆ เริ่มขยายธุรกิจจากเดิมเกี่ยวข้องกับการค้าชายแดนและการบริการนักท่องเที่ยว ไปสู่ศูนย์การค้าซึ่งเชื่อมโยงกับการค้าและการท่องเที่ยวได้ด้วย โดยเฉพาะพลาซาดังกล่าวสามารถเชื่อมการพัฒนาเทศบาล ต.เวียงเชียงแสน กับเทศบาล ต.เวียง อ.เชียงแสน ได้เป็นอย่างดี
       
       ขณะเดียวกันท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 1 ที่เทศบาลเข้าไปดูแลเป็นท่าเรือท่องเที่ยว ก็มีเอกชนเข้าไปพัฒนาเป็นร้านค้าปลอดภาษี หรือดิวตี้ฟรีอีกด้วย
       
       ด้านนายวชิระ รัศมีจันทร์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เคที พร็อพเพอร์ตี้ วัน จำกัด ตั้งอยู่ อ.เมือง จ.เชียงราย ซึ่งดำเนินโครงการโขงวิว พลาซ่า เปิดเผยว่า บริษัทจะลงทุนพัฒนาพื้นที่ 8 ไร่ 22 ตารางวา ตามโฉนดเลขที่ 18329 ริมติดสายแยกบายพาสเชียงแสน ม.8 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ติดแม่น้ำโขง ทำให้สามารถเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำโขงได้อย่างสวยงาม โดยสร้างเป็นอาคารพาณิชย์ เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และให้แล้วเสร็จภายใน มิ.ย. 2556 เพื่อรองรับความเจริญทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในอีก 2-3 ปีข้างหน้า



       “โขงวิวพลาซ่า” แบ่งออกเป็น 3 ส่วน พื้นที่ส่วนในสุดติดแม่น้ำโขง เป็นอาคารพาณิชย์สูง 3 ชั้น ภายในประกอบด้วย 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องพักผ่อน ที่จอดรถ ทิวทัศน์แม่น้ำโขง ฯลฯ ด้านหน้าอาคารกว้าง 4 เมตร และลึกเข้าไปด้านหลังอีกถึง 12 เมตร เหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยหรือปรับปรุงเป็นธุรกิจได้ มีทั้งหมด 32 คูหา
       
       โครงการส่วนที่ 2 เป็นอาคารพาณิชย์ อยู่ถัดออกไปจากส่วนแรกเหมาะต่อการพาณิชยกรรม หรือค้าขาย มีขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ และห้องโถงใหญ่เพื่อธุรกิจด้วย โดยอาคารแต่ละหลังจะสร้าง 9 คูหา และแยกออกจากกันตามที่กฎหมายกำหนดทุกประการ ด้านหน้าจะมีถนนกั้นไว้กว้างขวาง
       
       ส่วนที่ 3 เรียกว่า บูทให้เช่า จะอยู่ถัดจากถนนสายดังกล่าวขนานไปกับอาคารพาณิชย์ โดยจัดให้มีบูทขายสินค้ารองรับกว่า 110 บูท แต่ละบูทมีพื้นที่ขาย 3 ตารางเมตร โดยมีแนวทางจะเปิดให้จำหน่ายสินค้าพื้นเมือง สินค้าต่างประเทศ ของที่ระลึก ฯลฯ บริเวณโดยรอบจะมีลานจอดรถส่วนบุคคลได้กว่า 100 คัน รถบัสอีกกว่า 10 คัน
       
       นายวชิระบอกว่า ทางโครงการได้เปิดให้จองโดยกำหนดราคาอาคารพาณิชย์ส่วนที่ 1 และ 2 ซึ่งมีขนาดที่ดิน 19 ตารางวา และพื้นที่ใช้สอย 144 ตารางเมตร ในราคาขาย 3.5 ล้านบาท จอง 50,000 บาท ทำสัญญา 150,000 บาท และผ่อนดาวน์เดือนละ 200,000 บาท เป็นเวลา 5 เดือน รวมเงินดาวน์ 1,200,000 บาท ก็สามารถอยู่อาศัยหรือทำธุรกิจในทำเลทองติดกับแม่น้ำโขงได้ทันที ที่เหลือ 2,300,000 บาทสามารถใช้เงินกู้จากธนาคาร

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000082315


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 กรกฎาคม 2012, 21:50:46
กสิกรไทยคาดมูลค่าจีดีพีในภาคขนส่งและโลจิสติกส์ขยายตัวร้อยละ 6.3-8.0 ในปี 2555


วันพฤหัสบดีที่ 05 กรกฏาคม 2012

บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ "ธุรกิจโลจิสติกส์ครึ่งหลังปี 2555: ปัจจัยบวกจากการพัฒนาเครือข่ายคมนาคมเชื่อมโยงภูมิภาค…รองรับ AEC" ตั้งแต่ต้นปี 2555 ที่ผ่านมา ธุรกิจโลจิสติกส์กลับมามีความคึกคักมากขึ้น เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของโรงงานที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม

ที่ได้กลับมาเร่งผลิตและเร่งกระจายสินค้าไปสู่มือผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว เพื่อแก้ไขปัญหาสินค้าขาดแคลน นอกจากนี้ การเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ยังได้รับปัจจัยหนุนเฉพาะของธุรกิจที่มาจากการพัฒนาระบบเครือข่ายคมนาคมเชื่อมโยงภูมิภาค โดยมีไทยเป็นศูนย์กลางที่สำคัญ สำหรับเส้นทางที่มีกิจกรรมการขนส่งที่คึกคักนั้น จะเป็นเส้นทางที่เชื่อมโยงออกสู่ประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เส้นทาง R3A ที่เชื่อมโยงไทย-ลาว-จีน เส้นทาง R8 R9 และ R12 ที่เชื่อมโยงไทย-ลาว-เวียดนาม-จีน เป็นต้น เห็นได้จากสถิติการค้าชายแดน และจำนวนรถยนต์ที่ผ่านชายแดนตามเส้นทางดังกล่าวเติบโตเพิ่มสูงขึ้น

 

ทั้งนี้ ภาครัฐมีแผนการขยายและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะการคมนาคมทั่วประเทศ ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ให้มีความสะดวกสบาย รวดเร็วและรองรับปริมาณขนส่งระหว่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้านที่น่าจะขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นจากการรวมเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC (ASEAN Economic Community) ในปี 2558 ซึ่งการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวจะช่วยเสริมโอกาสในการขยายตลาดของธุรกิจไทย รวมทั้งกระตุ้นการลงทุนในพื้นที่ที่มีเส้นทางคมนาคมตัดผ่าน นอกจากนี้ จะเป็นการลดปัญหาคอขวดที่มีอยู่ เช่น ศักยภาพในการให้บริการของท่าเรือและสนามบิน อันจะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในการแข่งขันของธุรกิจไทยในด้านต่างๆได้อย่างมาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์ โอกาสของธุรกิจโลจิสติกส์ที่จะได้รับอานิสงส์จากการพัฒนาเครือข่ายระบบขนส่งสาธารณะ ดังนี้

โครงข่ายคมนาคมส่งเสริมศักยภาพธุรกิจโลจิสติกส์...เร่งพัฒนาสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์อาเซียน

การพัฒนาเส้นทางคมนาคมในประเทศได้นำพาความเจริญและส่งเสริมเศรษฐกิจในภาคต่างๆของไทย อีกทั้งประเทศไทยต้องการผลักดันบทบาทในการเป็นศูนย์กลาง (Hub) ด้านโลจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียน จากจุดแข็งในด้านทำเลที่ตั้งซึ่งที่เป็นเส้นทางผ่านที่เชื่อมไปถึงเกือบทุกประเทศในคาบสมุทรอินโดจีน

ด้วยความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์นี้ ส่งผลให้ไทยมีบทบาทสูงในด้านโลจิสติกส์และการกระจายสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศที่มีพรมแดนติดกับไทย ได้แก่ พม่า ลาว กัมพูชา มาเลเซีย รวมทั้งสามารถส่งต่อไปยังประเทศข้างเคียง เช่น เวียดนามและมณฑลตอนใต้ของประเทศจีน ผ่านด่านชายแดนสำคัญที่กระจายตัวอยู่ตามขอบชายแดนในภาคต่างๆ ของไทย เห็นได้จากรายงานของด่านศุลกากรในหลายๆ จังหวัด พบว่า สถิติการค้าชายแดนของไทยมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจังหวัดที่มีโครงข่ายคมนาคมเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคจะมีอัตราการขยายตัวที่โดดเด่น



แนวโน้มการค้าชายแดนยังมีโอกาสขยายตัวอีกมาก เนื่องจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเส้นทางคมนาคมที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างสะดวกรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณจังหวัดที่มีสะพานข้ามแม่น้ำ อาทิ จังหวัดนครพนม มุกดาหาร และหนองคาย อีกทั้งการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 อ. เชียงของ จังหวัดเชียงราย ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีหน้า ซึ่งจังหวัดเหล่านี้เป็นประตูตามแนวเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจในภูมิภาค เช่น เส้นทาง R3A ที่เชื่อมการคมนาคมระหว่างประเทศ ไทย ลาว และจีน และเส้นทาง R1 R9 R12 ที่จะมีความสำคัญมากขึ้นในการขนส่งระหว่างประเทศอาเซียนตามแนวระเบียงเศรษฐกิจด้านตะวันออกและตะวันตก และเป็นเส้นทางเชื่อมต่อไปยังท่าเรือน้ำลึกทวายของพม่าในอนาคต

นอกจากโครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพแล้ว การผ่อนคลายกฎระเบียบด้านการคมนาคมขนส่งข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบ AEC ก็จะยิ่งเอื้ออำนวยให้การไหลเวียนของโลจิสติกส์ในภูมิภาคมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ในช่วงครึ่งทศวรรษที่ผ่านมาธุรกิจขนส่งทางถนนเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีปริมาณการขนส่งระหว่างประเทศเติบโตเกือบสองเท่าในช่วงเวลาเพียง 2 ปี (จาก 11.2 ล้านตัน ในปี 2550 เป็น 21.3 ล้านตัน ในปี 2552) ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการค้าชายแดนที่ปรับตัวสูงขึ้นตามโครงสร้างพื้นฐานที่อำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าข้ามชายแดน

สำหรับโอกาสของธุรกิจโลจิสติกส์ของไทย จะได้รับผลดีจากความต้องการใช้บริการโลจิสติกส์ผ่านเส้นทางทางบกที่เพิ่มมากขึ้นตามการเติบโตของการค้าและการลงทุนภายใต้ AEC แต่ขณะเดียวกัน ธุรกิจโลจิสติกส์ไทยก็จำเป็นต้องเร่งปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากหลายๆด้าน โดยเฉพาะแรงกดดันจากการแข่งขันที่จะสูงขึ้น เมื่อต้องเผชิญคู่แข่งที่เป็นธุรกิจต่างชาติที่มีเงินทุนและเทคโนโลยีที่เพรียบพร้อม ซึ่งกลยุทธ์ในการปรับตัวอาจมีหลายแนวทาง ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับเป้าหมายทางธุรกิจและทรัพยากรของผู้ประกอบการแต่ละราย โดยแนวทางที่เป็นไปได้ เช่น การหาพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อที่จะเติมเต็มช่องว่างในการบริการให้สามารถให้บริการธุรกิจได้อย่างครบวงจรในระดับเดียวกับบริษัทต่างชาติ หรืออาจวางตำแหน่งการตลาดสร้างความชำนาญเฉพาะด้าน เพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการการบริการเฉพาะด้าน เช่น การขนส่งและจัดเก็บเคมีภัณฑ์ หรือสินค้ามีมูลค่าสูง รวมไปถึงการรับช่วงให้บริการกับบริษัทโลจิสติกส์รายใหญ่หรือบริษัทต่างชาติ

แนวโน้มธุรกิจโลจิสติกส์ในครึ่งหลัง ปี 2555

 
ธุรกิจโลจิสติกส์ในครึ่งปีหลังน่าจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนจากความต้องการใช้บริการขนส่งในภาคการเกษตร ก่อสร้าง และค้าปลีก ขณะเดียวกัน แม้ว่าอุปสงค์ในต่างประเทศมีแนวโน้มอ่อนแรงลง แต่ในแง่อัตราการขยายตัวก็อาจยังอยู่ในระดับที่ดี เมื่อเปรียบเทียบกับฐานที่ต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งธุรกิจประสบปัญหาอุทกภัยรุนแรง นอกจากนี้ ธุรกิจโลจิสติสก์ยังได้รับปัจจัยเสริมจากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง แต่อย่างไรก็ดีธุรกิจโลจิสติกส์ก็ยังต้องเผชิญกับปัญหาค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับตัวสูงขึ้นประมาณร้อยละ 40 และการบริหารจัดการคนขับรถ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าจีดีพีในภาคขนส่งและโลจิสติกส์ ณ ราคาปีปัจจุบัน จะมีแนวโน้มเติบโตได้ดีขึ้น โดยคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 6.3-8.0 ในปี 2555 (สูงขึ้นจากร้อยละ 4.7 ในปี 2554) และจากการที่ภาครัฐที่มีนโยบายการลงทุนในระบบคมนาคมขนส่งในภูมิภาคต่างๆ อาทิ การจัดตั้งศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า และการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเพื่อเชื่อมต่อเส้นทางระหว่างประเทศตามแนวชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สะพานข้ามแม่น้ำโขง เป็นต้น ซึ่งเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดใช้การได้ตามแผนการที่ภาครัฐวางไว้จะสามารถช่วยประหยัดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการได้มากขึ้น

จากแผนยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ด้านการพัฒนาลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในปี 2555-2559 ได้เน้นลงทุนในด้านสาขาการขนส่งกว่าร้อยละ 70 และส่วนใหญ่จะเป็นในด้านการขนส่งทางบก ซึ่งจะส่งเสริมการขนส่งทางบก ที่มีอัตราส่วนกว่าร้อยละ 80 ของปริมาณการขนส่งสินค้าในประเทศทั้งหมด ประกอบกับโดยส่วนใหญ่แล้วผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ในไทยที่เป็น SMEs เป็นสัดส่วนสูงถึง 99.9 (และเป็นขนาดเล็กถึง 99.5 ของผู้ประกอบการทั้งหมด) ซึ่งอยู่ในธุรกิจขนส่งทางรถยนต์กว่าร้อยละ 80 โดยการขนส่งผู้โดยสารทางถนนมีสัดส่วนรวมร้อยละ 59.4 และการขนส่งสินค้าทางถนนมีสัดส่วนร้อยละ 20.5 ของผู้ประกอบการในธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ทั้งหมด

หากแผนพัฒนาด้านลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเป็นไปตามนโยบายจะมีผลต่อการปรับเปลี่ยนรูปแบบของการขนส่ง จากการใช้วิธีการขนส่งรูปแบบเดียว เช่น ใช้รถยนต์ขนส่งไปยังท่าเรือเพื่อส่งออก เปลี่ยนมาเป็นการใช้หลายรูปแบบในการขนส่ง (Intermodal Transportation) เช่น การขนส่งโดยใช้รถยนต์แล้วเปลี่ยนเป็นทางรถไฟ ซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำกว่าไปยังท่าเรือ ซึ่งในปัจจุบันการส่งด้วยวิธีทางรถไฟยังไม่มีประสิทธิภาพพอ แต่หากได้มีการปรับปรุงและก่อสร้างเส้นทางรถไฟรางคู่และรถไฟความเร็วสูง อาจทำให้คนหันมาใช้บริการมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการขนส่งต่ำลงกว่าเดิมมาก และผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่มีความสามารถให้บริการหลายรูปแบบดังกล่าวจะเป็นที่ต้องการมากขึ้น เพื่อตอบสนองการลดต้นทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพในการขนส่งของภาคธุรกิจต่างๆ

เพิ่มศูนย์กระจายสินค้าในภูมิภาคต่างๆมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญในการใช้เพื่อลดต้นทุนในการเก็บสินค้าและขนส่งสินค้า และยังช่วยตอบสนองต่อการขยายตัวของความต้องการในภูมิภาคต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น การขยายตัวของการค้าชายแดนจะทำให้ความต้องการสินค้าที่สูงขึ้น ซึ่งถ้ามีศูนย์กระจายสินค้าย่อยในการกระจายสินค้าในภาคต่างๆ จะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าและความต้องการจากประเทศเพื่อนบ้านได้ แม้ว่าธุรกิจคลังสินค้าในบริเวณที่ประสบอุทกภัยชะลอตัวลง แต่โดยรวมธุรกิจให้บริการคลังสินค้ามีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ปลอดภัยจากอุทกภัย อาทิ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก

บทสรุปและข้อเสนอแนะ

ธุรกิจโลจิสติกส์มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยสนับสนุนทั้งในและต่างประเทศ โดยปัจจัยภายในประเทศ ได้รับผลบวกจากการลงทุนจากต่างประเทศ การขยายฐานการผลิตและศูนย์กระจายสินค้าสู่ภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งการขยายตัวของความเป็นเมือง และการท่องเที่ยวที่มีความคึกคักมากขึ้น ทำให้ความต้องการใช้บริการธุรกิจโลจิสติกส์ปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งการสนับสนุนจากภาครัฐที่มีแผนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาโครงข่ายโลจิสติกส์ จะช่วยเสริมให้ระบบโลจิสติกส์มีประสิทธิภาพและช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศมากยิ่งขึ้นในอนาคต ซึ่งภาครัฐวางแผนที่จะลดต้นทุนโลจิสติกส์ลงให้เหลือร้อยละ 13 ภายในปี 2560 จากร้อยละ 15.2 ในปี 2553
 
สำหรับปัจจัยภายนอกประเทศ คาดว่ามีแรงสนับสนุนมาจากผลของการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และความร่วมมือในกรอบ ASEAN Plus กับประเทศพันธมิตรนอกอาเซียน เช่น ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน ซึ่งจะส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ตลอดจนความร่วมมือในด้านอื่นๆ ระหว่างกันภายในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าชายแดนที่จะเติบโตขึ้นอย่างมาก
 
ทั้งนี้ แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2555 นี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากอุปสงค์ในตลาดโลกอ่อนแรงลง จากปัญหาวิกฤตหนี้ในยูโรโซน ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและอินเดีย แต่จากอุปสงค์ภายในประเทศที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ การปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมทั้งปัจจัยบวกที่มีต่อธุรกิจโลจิสติกส์ดังที่กล่าวมาข้างต้น อาจช่วยผลักดันธุรกิจโลจิสติกส์ให้เติบโตขึ้นได้อย่างต่อเนื่องในปี 2555 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มูลค่าจีดีพีในภาคขนส่งและโลจิสติกส์ในปี 2555 จะเพิ่มขึ้นเป็น 569,774-578,732 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 6.3-8.0 จาก 536,059 ล้านบาท ในปี 2554

นอกจากนี้ ในปี 2556 จะมีการเปิดเสรีสาขาบริการด้านโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาขาบริการที่มีการเร่งรัดเปิดเสรีภายในกรอบ AEC จากการที่จะมีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางอาเซียน ดังนั้น นอกเหนือการขนส่งสินค้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ยังจะมีการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคโดยใช้เส้นทางผ่านไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนมีแนวโน้มขยายตัวสูงนับจากนี้และหลังการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างกันในภูมิภาคที่จะพัฒนาโครงข่ายโลจิสติกส์ของประเทศต่างๆ ในอาเซียน จะไม่เพียงแต่สนับสนุนการเชื่อมโยงภายในภูมิภาคในด้านการค้าเท่านั้น แต่ยังจะสนับสนุนการเชื่อมโยงของแหล่งอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และการลงทุนในอนาคต

 
ที่มา : http://www.thanonline.com


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 กรกฎาคม 2012, 00:15:18
รองอธิบดีกรมการปกครอง ชื่นชม อ.เชียงแสน - อ.เชียงของ จ.เชียงราย ที่เตรียมความพร้อมรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเต็มที่

รองอธิบดีกรมการปกครอง ชื่นชมอำเภอเชียงแสน - อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ที่เตรียมความพร้อมรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเต็มที่ ขณะที่โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงตามแนวเศรษฐกิจเหนือ- ใต้ ขณะนี้มีความคืบหน้าไปเกือบร้อยละ 50
นายอภิชาติ เทียวพานิช รองอธิบดีกรมการปกครอง กล่าวภายหลังนำคณะสื่อมวลชนเดินทางมาศึกษาดูงานบทบาทภารกิจของฝ่ายปกครองในการส่งเสริมการค้า ชายแดน และการเตรียมความพร้อมในการรองรับประชาคมอาเซียน ในปี 2558 ในพื้นที่อำเภอเชียงแสน - อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 6-8 กรกฎาคมนี้ โดยกล่าวชื่นชมทั้ง 2 อำเภอ ที่ได้เตรียมความพร้อมในหลายด้านเป็นอย่างดี ภายใต้ 3 เสาหลัก คือ ด้านสังคมและวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และความมั่นคง โดยได้บูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในพื้นที่ พร้อมเห็นว่าการเตรียมความพร้อมรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในปี 2558 ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งการทำความเข้าใจกับประชาชน การเตรียมความด้านภาษาให้กับเด็ก เยาวชน ผู้ประกอบการต่างๆ รวมทั้งข้าราชการ ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ ผู้ประกอบการในพื้นที่ อาทิ ผู้ประกอบการโรงแรม ต่างเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคม อาเซียนกันอย่างเต็มที่ ส่วนเส้นทางคมนาคมขนส่งต่าง ๆ ได้เร่งดำเนินการกันอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงตามแนวเศรษฐกิจเหนือ- ใต้ (ห้วยทราย-เชียงของ ) หรือโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 ระหว่างห้วยทราย-เชียงของ เชื่อมต่อเชียงราย-คุณหมิง ผ่านสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งมีความยาวรวม 630 เมตร โดยนายสันติสุข สูตรสุวรรณ วิศวกรวัสดุประจำโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 กล่าวว่า ขณะนี้มีความคืบหน้าไปเกือบร้อยละ 50 โดยโครงการดังกล่าวเป็นโครงการเพื่อเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และไทย ซึ่งคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จประมาณวันที่ 12 ธันวาคมนี้ และจะเปิดอย่างเป็นทางการประมาณวันที่ 1 กรกฎาคม 2556 หากดำเนินการแล้วเสร็จจะช่วยส่งเสริมการค้าขายและการคมนาคม และช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างมากมาย

    
ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : ขนิษฐา ลือสัตย์ / สวท.   Rewriter : รัชฎา ตรงดี / สวท.
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th


 วันที่ข่าว : 08 กรกฎาคม 2555


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 กรกฎาคม 2012, 07:42:20
ไทยพร้อมเปิด‘เอฟทีเอ’กับอียู พาณิชย์เสนอรัฐสภาอนุมัติ ตาม‘มาตรา190’เดือนสค.

วันจันทร์ ที่ 09 กรกฎาคม พ.ศ. 2555, 06.00 น.


 

กรอบการเจรจาเปิดเสรี “เอฟทีเอ” ระหว่าง “ไทย-อียู” คืบหน้า “บุญทรง”ยันเปิดเจรจาได้ก่อนสิ้นปีนี้ พร้อมเผยความพร้อมในการจัดประชุมเศรษฐกิจอาเซียน ที่เชียงราย กลางเดือนนี้

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยเตรียมเร่งรัด การเปิดการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างประเทศไทย กับสหภาพยุโรป (อียู) โดยขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำกรอบการเจรจา ในเบื้องต้นได้มีการหารือกับทางอียูไปแล้ว ซึ่งทางกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จะไปหารือถึงขอบเขตในการเจรจา คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนนี้ น่าจะตกลงได้ และน่าจะเริ่มเปิดการเจรจาได้ภายในปีนี้

“การทำเอฟทีเอไทย-อียู จะทำให้ ไทยสามารถหยิบยกปัญหาด้านการค้าต่างๆ ขึ้นมาหารือในเวทีนี้ได้ เช่น กรณีที่อียูมีแนวโน้มจะยกเลิกการให้จีเอสพีกับสินค้าไทย จำนวน 57 รายการ ก็สามารถที่จะนำเจรจาได้ในกรอบเอฟทีเอ”

ด้านนางศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่าที่ผ่านมาไทยได้มีการหารือกับผู้แทนอียูมาแล้วหลายรอบเกี่ยวกับกรอบการเจรจาทั้งหมด ซึ่งตามขั้นตอน กระทรวงพาณิชย์ คงจะต้องเสนอ กรอบการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู เข้ารัฐสภา เพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา 190 ของกม.รัฐธรรมนูญ โดยคาดว่าน่าจะเสนอเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่จะเปิดสมัยประชุมได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งหากผ่านสภาฯแล้ว ก็สามารถกำหนดวัน การเปิดเจรจาได้เลย

สำหรับกรอบการเจรจาดังกล่าวได้มีการหารือร่วมกันมา 2 ปีแล้ว ซึ่ง การจะเริ่มเปิดเจรจาในปีนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากทางอียูต้องการเพิ่มความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น ซึ่งเอฟทีเอสามารถเป็นเครื่องมือในการเจรจาการค้า ปัญหาทางการค้าต่างๆ ซึ่งรัฐบาลเองก็มีความตระหนักดีในเรื่องการเจรจาที่จะต้องดูแลให้ประชาชนและธุรกิจขนาดลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่จะต้องได้รับประโยชน์

สำหรับอียู ถือว่ามีความสำคัญ เพราะเป็นนักลงทุนจากต่างประเทศอันดับ 2 ของไทยและเป็นผู้ลงทุนอันดับ 1 ของอาเซียน ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า การเจรจาเอฟทีเอ อียู –สิงคโปร์ อาจจะสรุปได้ภายในปีนี้ และมาเลเซียปีหน้า ส่วนเวียดนามเพิ่งกำหนดการเจรจาไปรอบแรก

นางศรีรัตน์กล่าวเพิ่มเติมถึงการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียน (3th Meeting of the ASEAN Senior Economic Officials หรือ SEOM) ว่าไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ระหว่างวันที่ 15-20 กรกฎาคม 2555 ณ โรงแรมดุสิต ไอส์แลนด์ รีสอร์ท จ.เชียงราย โดยการประชุมจะหาข้อ สรุปในประเด็นสำคัญต่างๆ เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 44  และการประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 21 ซึ่งกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพในช่วงปลายเดือนสิงหาคม และพฤศจิกายนนี้ตามลำดับ

“การประชุมในครั้งนี้จะมีการหารือทั้งประเด็นระหว่างประเทศอาเซียนเอง, อาเซียนกับประเทศที่มีความตกลงการค้าเสรีระหว่างกัน (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์) และอาเซียนกับประเทศที่มีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับอาเซียน (สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป) รวมทั้งสิ้น 18 ประเทศ และการพบหารือกับภาคธุรกิจและองค์กรอื่น (สภาธุรกิจเอเชียหรือ ADB) ด้วย

http://www.naewna.com/business/13408


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 กรกฎาคม 2012, 23:14:32
ทัพเศรษฐกิจอาเซียนมุ่งสู่เชียงรายประชุมรมต.สิงหาคมนี้         

MONDAY, 09 JULY 2012 10:22
ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 3 ของปีนี้ รวมทั้งการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ณ จังหวัดเชียงราย  เตรียมถกหลายประเด็นสำคัญก่อนนำเสนอที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนปลายเดือนสิงหาคม 2555 ณ ประเทศกัมพูชา

 

นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ  อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ หัวหน้าผู้แทนไทย เปิดเผยว่า ไทยโดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียน   (3th Meeting of the ASEAN Senior Economic Officials หรือ SEOM) ระหว่างวันที่ 15-20 กรกฎาคม 2555 ณ โรงแรมดุสิต ไอร์แลนด์ รีสอร์ท จังหวัดเชียงราย โดยการประชุมในครั้งนี้นับเป็นการประชุมครั้งสำคัญในการแก้ปัญหาและหาข้อสรุปในประเด็นสำคัญต่างๆ เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 44  และการประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 21 ซึ่งกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพในช่วงปลายเดือนสิงหาคม และพฤศจิกายน ศกนี้ ตามลำดับ

 

การประชุมในครั้งนี้จะมีการหารือทั้งประเด็นระหว่างประเทศอาเซียนเอง  อาเซียนกับประเทศที่มีความตกลงการค้าเสรีระหว่างกัน (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์) และอาเซียนกับประเทศที่มีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับอาเซียน (สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป) รวมทั้งสิ้น 18 ประเทศ และการพบหารือกับภาคธุรกิจและองค์กรอื่น (สภาธุรกิจเอเชียตะวันออก หรือ EABC กลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ในภูมิภาคอาเซียน และธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย หรือ ADB) ด้วย

 

สำหรับประเด็นหารือภายในกลุ่มอาเซียน  จะมีการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจของอาเซียน (SEOM) กับคณะกรรมการสาขาเศรษฐกิจต่างๆ ทุกคณะของอาเซียน (รวม 15 คณะ) ที่เกี่ยวข้องกับ 12 กระทรวงของไทยและมีผู้แทนไทยจากกระทรวงดังกล่าว  เพื่อพิจารณาหารือในภาพรวมแบบบูรณาการเกี่ยวกับแนวทางผลักดันให้เกิดความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Blueprint)  โดยพิจารณาจากรายงานการประเมินผลการดำเนินการไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในระยะครึ่งทาง (AEC Blueprint Mid-Term Review)  ซึ่งจัดทำโดยสถาบันวิจัยทางเศรษฐกิจเพื่ออาเซียนและเอเชียตะวันออก (Economic Research Institute for ASEAN and East Asia: ERIA) เพื่อประเมินความคืบหน้าและผลของการดำเนินมาตรการภายใต้แผนงาน AEC Blueprint ต่อเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก ตลอดจนเสนอแนะแนวทางสำหรับการปรับปรุงการดำเนินการไปสู่ AEC   นอกจากนี้ จะมีการหารือประเด็นอื่นๆที่สำคัญซึ่งเป็นแรงผลักดันให้การดำเนินการสู่ AEC เดินหน้าไปได้เร็วยิ่งขึ้น เช่น การพิจารณาแนวทางการปฏิรูปกฎหมายและกฎระเบียบในอาเซียน (Regulatory Reform) เพื่อให้กฎหมายของประเทศสมาชิกสอดคล้องกับสิ่งที่ผูกพันไว้  การดำเนินการเพื่อให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น การจัดทำความตกลงยอมรับร่วม (MRA) สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมรายสาขา และการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (Self-certification) เป็นต้น

 

ในการหารือกับคู่เจรจาที่มี FTA กับอาเซียน  มีประเด็นสำคัญที่กำลังเป็นที่จับตามองของประชาคมโลกอยู่ในขณะนี้ คือ การขยายการรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership) ซึ่งอาเซียนกำลังพิจารณาการจัดทำความตกลงการค้าเสรีฉบับใหม่ที่รวมเอาประเทศที่เคยจัดทำ FTA กับอาเซียนในลักษณะอาเซียน +1 มาร่วมกันจัดทำ FTA ฉบับใหม่   เรื่องอื่นๆที่สำคัญ ได้แก่ แนวทางการสรุปการเจรจาเปิดเสรีการค้าบริการและการลงทุนกับญี่ปุ่นและอินเดีย  การจัดทำแผนงานยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น 10 ปี   ซึ่งเป็นกรอบในการดำเนินการทางเศรษฐกิจที่สำคัญระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่นในอีก 10 ปีข้างหน้า  และผลการศึกษาถึงผลกระทบที่มีต่ออาเซียนจากการที่ฮ่องกงขอเข้าเป็นสมาชิกความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน นอกจากนี้ สำหรับคู่เจรจาที่อาเซียนไม่มี FTA ด้วย ก็จะได้มีการพิจารณาแผนงานความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนกับสหรัฐและสหภาพยุโรป ซึ่งครอบคลุมถึงความร่วมมือด้านวิชาการและเงินทุนด้วย

 

ในช่วงการประชุมนี้จะมีประชุมสำคัญกับประเทศนอกกลุ่มอาเซียน คือ จะมีการพบหารือกันของเจ้าหน้าที่อาวุโสทางเศรษฐกิจของอาเซียนกับเจ้าหน้าที่อาวุโสของกลุ่มประเทศสมาชิกเวทีการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS)  ซึ่งประกอบด้วย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย อินเดีย นิวซีแลนด์ รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา  โดยเป็นครั้งแรกที่รัสเซียกับสหรัฐฯเข้าร่วมการประชุมนี้ เพื่อเตรียมแนวทางในการริเริ่มความร่วมมือระหว่างกัน และเตรียมการสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีระหว่าง AEM กับ EAS ในเดือนสิงหาคม ศกนี้  โดยอาเซียนจะหารือสองฝ่ายกับสหรัฐฯเพื่อเตรียมการจัดการประชุม ASEAN-US Business Summit ในช่วงการประชุม AEM ครั้งที่ 44 ด้วย

 

ทั้งนี้ ก่อนหน้าการประชุม SEOM กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจะจัดการประชุมหารือโต๊ะกลม (Roundtable Discussion) กับ ERIA ในวันที่ 13 กรกฎาคม 2555  เพื่อร่วมหารือเรื่องการดำเนินการในด้านต่างๆ สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนทั้งของอาเซียนและของไทย  และร่วมกันให้ข้อเสนอแนะเพื่อให้การดำเนินการสู่ AEC เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ  โดยจะเชิญผู้แทนทั้งจากภาครัฐ เอกชน และนักวิชาการที่เชี่ยวชาญในเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเข้าร่วมการหารือในครั้งนี้   และในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน กรมฯจะจัดการประชุมเพื่อระดมความเห็นในเรื่องการดำเนินการตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ซึ่งจะมีผลต่อการจัดทำความตกลง/ข้อผูกพันของไทยภายใต้กรอบอาเซียนและเวทีระหว่างประเทศอื่นๆด้วย

http://www.stockwave.in.th/hot-news/25839-2012-07-09-03-23-28.html


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 กรกฎาคม 2012, 23:17:28
“R3” ถนนแห่งความมั่งคั่งของ SMEs ไทยสู่แดนมังกร"

09 ก.ค. 2555 เวลา 23:57:04 น.

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ  TMB Analytics แนะ ใช้ถนนสายยุทธ์ศาสตร์ R3 เป็นสายพานลำเลียงสินค้าผ่านด่านเชียงราย เจาะตลาดจีนตอนใต้ถึงนครคุนหมิง  กระตุ้นส่งออก SMEs ไทยไปจีน
 
ในขณะที่ตัวเลขส่งออกไทยแสดงถึงการพึ่งพาตลาดจีนเพิ่มขึ้นทุกปี แต่การบุกตลาดจีนสำหรับ SMEs ไทยนั้นกลับไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งที่การส่งออกไปจีนฟื้นตัวอย่างรวดเร็วท่ามกลางสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักของไทย โดยในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ มูลค่าการส่งออกไทยไปยุโรปและญี่ปุ่น ลดลงร้อยละ 9.4 และร้อยละ 2.4 แต่มูลค่าการส่งออกไปจีนกลับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 10.9 โดยล่าสุดเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25.7 เป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 8 เดือน แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจจีนแค่ชะลอตัวลงอย่างช้าๆ (Soft Landing) ตามเศรษฐกิจโลก และ น่าจะฟื้นตัวเร็ว (Quick Recovery) ได้ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ รวมถึง
การวางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระยะยาวในภูมิภาคต่างๆ ของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายพัฒนาเมืองคุนหมิง มณฑลหยุนหนาน เป็น “หัวสะพาน” เชื่อมการค้า-คมนาคม ระหว่างจีนตอนใต้ (มณฑลหยุนหนานและกวางสี) กับเอเชียใต้(อินเดีย) และอาเซียน (ไทย เวียดนาม ลาว พม่า) โดยเปิดใช้สนามบินนานาชาติฉางสุ่ยในนครคุนหมิงที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศด้วยงบลงทุนกว่า 1.1 แสนล้านบาท รองรับผู้โดยสารกว่า 68 ล้านคนต่อปี (สุวรรณภูมิรองรับเพียง 45 ล้านคนต่อปี) พร้อมแผนก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง 3 เส้นทางเชื่อมต่อเมืองคุนหมิงกับไทย พม่า และเวียดนาม และโครงข่ายถนนเชื่อมต่อจีนตอนใต้กับอาเซียน (ถนนสาย R3) โดยเข้าสู่ประเทศไทยที่จังหวัดเชียงราย
ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญสำหรับ SMEs ไทยจะสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงการค้าสู่ตลาดขนาดใหญ่และมีการเติบโตสูงในปัจจุบันและอนาคต โดย TMB Analytics เห็นว่า SMEs ไทยจะได้รับประโยชน์อย่างยิ่งจากถนนสาย R3 ทั้ง SMEs ในภาคเหนือและทั่วประเทศ
 
1. SMEs ในภาคเหนือ สามารถค้าขายกับจีนตอนใต้โดยตรง แม้ว่าปัจจุบันมูลค่าส่งออกจากไทยไปจีนตอนใต้เพียง 3.7 พันล้านบาท ซึ่งมูลค่าไม่สูงนักเมื่อเทียบกับ

มูลค่าส่งออกของไทยไปพม่าและลาวที่สูงถึง 33.5 และ 11.4 พันล้านบาท หาก SMEs ไทยสามารถใช้ประโยชน์จากถนนสาย R3 เชื่อมโยงการค้า ก็จะเพิ่มมูลค่า

ส่งออกได้อีกมหาศาล เพราะจีนตอนใต้มีประชากรถึง 92.8 ล้านคน ซึ่งมากกว่าคนไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะสินค้าที่ SMEs ไทยได้เปรียบในการผลิตและขายดี

ในตลาดจีน เช่น ผลิตภัณฑ์จากไม้ ผลิตภัณฑ์เกษตรและอาหารแปรรูป(ข้าว ธัญพืช ผลไม้ พืชผัก และเมล็ดธัญพืช)  ซึ่ง SMEs มีความพร้อมด้านวัตถุดิบและถนัดใน

ธุรกิจด้านนี้ นอกจากถนนสาย R3 เป็นสายพานลำเลียงสินค้าสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้นแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนการส่งออก โดยเฉพาะค่าขนส่ง เนื่องจากย่นระยะทางการส่งสินค้า

สู่ตลาดจีนตอนใต้ (จากเดิมต้องส่งผ่านเมืองท่าฝั่งตะวันออกของจีนก่อนแล้วจึงส่งต่อไปตลาดจีนตอนใต้) และลดระยะเวลาการขนส่งซึ่งเปิดโอกาสให้การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของธุรกิจ SMEs ภาคเหนือง่ายขึ้น ต้นทุนบริหารจัดการลดลง ในทางกลับกัน SMEs ภาคเหนือที่นำเข้าวัตถุดิบหรือสินค้าสำเร็จรูปจากจีน ยังสามารถนำเข้าได้ง่าย เร็ว ทำให้ต้นทุนของธุรกิจต่ำลง เพิ่มกำไรและความสามารถในการแข่งขันอีกด้วย
 
2. SMEs ทั่วประเทศ ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าส่งออกไปจีนสูง คือ อุตสาหกรรมอุปกรณ์และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ (SMEs ภาคกลาง) ผลิตภัณฑ์เคมีและผลิตภัณฑ์พลาสติก (SMEs ภาคตะวันออก) มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมูลค่าส่งออก เดือนพฤษภาคมปีนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.2 ขณะที่ภาคการเกษตร เช่น ผลิตภัณฑ์ยางพารา (SMEs ภาคใต้) ผลิตภัณฑ์แป้งและมันสำปะหลัง (SMEs ภาคเหนือและอีสาน) ก็มีการมูลค่าส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยในเดือนพฤษภาคมปีนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.1 ดังนั้นเมื่อถนนสาย R3 แล้วเสร็จ จะทำให้ SMEs ไทยได้เปรียบคู่แข่งด้านต้นทุน-ระยะเวลาขนส่ง และสามารถส่งออกไปยังตลาดขนาดใหญ่ที่มีการเติบโตสูง ซึ่งเห็นได้จากมูลค่าสัญญาธุรกิจการค้าที่เกิดขึ้นกว่า 2.4 แสนล้านบาทจากการจัดงาน ส่งออก-นำเข้านครคุนหมิงครั้งที่ 20 (20th Kunming Fair) เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อีกทั้งพื้นที่จีนตอนใต้ได้เริ่มพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเข้มข้นในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้การแข่งขันในตลาดยังไม่รุนแรงเท่ากับพื้นที่เศรษฐกิจภาคตะวันออกของจีน เช่น เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เทียนสิน เป็นต้น ถนนสาย R3 จึงถือเป็นสะพานลำเลียงสินค้าของ SMEs ไทยสู่ตลาดจีนตอนใต้อย่างแท้จริง และน่าจะสร้างมูลค่าส่งออกแก่ SMEs ไทยเพิ่มขึ้นได้อีกมากในอนาคต
 
ดังนั้น หากเรามีการวางกลยุทธ์ในการใช้ถนนสาย R3 รุกตลาดจีนตอนใต้ที่ชัดเจนแล้ว SMEs ไทยจะได้ประโยชน์อย่างมหาศาลจากถนนสายนี้ ในฐานะของ”สะพานลำเลียงสินค้า”อย่างแท้จริง เมื่อประเทศเศรษฐกิจอันดับสองของโลกกลับมาเร่งเครื่องอีกครั้ง เพราะเศรษฐกิจแดนมังกรยังคงเติบโตต่อเนื่องไปอีกนาน
 



หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 10 กรกฎาคม 2012, 20:38:42
กนอ.การันตีน้ำไม่ท่วมโชว์ศักยภาพดึงทุนยุ่น

นางศรีวณิก หัสดิน รองผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ.ได้ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เดินทางไปโรดโชว์ ณ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นการลงทุน โดยได้ชี้แจงถึงแผนการเตรียมพร้อมรับมืออุทกภัยปี 2555 ของนิคมอุตสาหกรรม เอกชนที่ประสบภาวะน้ำท่วม และนิคมฯ ของ กนอ.ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม ได้มีแผนสร้างคันกันน้ำถาวรและแผนรับมือฉุกเฉินไว้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งไทย ยังได้มีการยกระดับนิคมฯ สู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ และวางยุทธศาสตร์การพัฒนานิคมฯ ชายแดนเพื่อที่จะทำให้ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในปี 2558

ทั้งนี้ กนอ.ได้นำเสนอให้นักลงทุนเล็งเห็นถึงความพร้อม ของพื้นที่การลงทุนที่มีศักยภาพ ทั้งที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวม 48 นิคมฯ และพื้นที่การพัฒนาในอนาคต ซึ่ง กนอ.อยู่ระหว่าง การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการจัดตั้งนิคมฯ ในพื้นที่ดังนี้ ด่านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี อำภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย จังหวัดขอนแก่น จังหวัดอุดรธานี จังหวัดนครพนม จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดเพชรบุรี ซึ่งนิคมฯ ดังกล่าว จะเชื่อมโยงการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมีศักยภาพเพื่อรองรับตลาด AEC

“การเดินทางไปโรดโชว์ในครั้งนี้ ได้รับเสียงตอบรับจากนักลงทุนญี่ปุ่นค่อนข้างดี โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ยังให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากปัจจัยทั้งในด้านความพร้อมของพื้นที่ในการเป็นประตูสู่ภูมิภาคเอเชีย เส้นทางคมนาคมขนส่งสินค้าทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ วัตถุดิบ และแรงงานที่มีฝีมือเป็นต้น” รองผู้ว่าฯ กนอ. กล่าว


http://www.siamturakij.com/home/news...s_id=413362953


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 13 กรกฎาคม 2012, 18:46:41
ท่องเที่ยวเชียงรายเสนอทัวร์ เน้นตื่นเต้น-เร้นลับสนองทัวร์ยูนนาน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   13 กรกฎาคม 2555

เชียงราย - สมาคมท่องเที่ยวเชียงรายระดมความคิดเห็นแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวไทย-จีน-เชียงราย-ยูนนาน เน้นหาตลาดใหม่เสนอนักท่องเที่ยว ได้มติเป็นแพกเกจรูปแบบใหม่เน้นตื่นเต้น เร้นลับ แปลกประหลาด ระบุเตรียมนำเสนอให้บริษัททัวร์ยูนนาน พร้อมเชิญชวนเข้ามาทดสอบแพกเกจใหม่

เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมท่องเที่ยวเชียงรายได้จัดประชุมระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับ “โครงการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวไทย-จีน : เชียงราย-ยูนนาน” ณ โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์ รีสอร์ท เชียงราย โดยมี นายสรรเสริญ เงารังษี รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ เป็นประธานในการประชุม มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานคุนหมิง นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย นายกสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ จ.เชียงราย เลขาธิการหอการค้า จ.เชียงราย ซึ่งทางสมาคมท่องเที่ยวเชียงรายได้นำเสนอแนวทางการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวไทยระหว่าง จ.เชียงราย-ยูนนาน

เพื่อเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวจากจีน โดยเข้ามาทางเส้นทาง RBA ผ่าน อ.เชียงของ จ.เชียงราย และกระจายไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ทั่วประเทศไทย รวมถึงเพื่อหาแนวทางกำหนดมาตรการและมาตรฐานบริการท่องเที่ยว ในการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย

ทั้งนี้ โครงการฯ เน้นการตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งสนใจการท่องเที่ยวที่ตื่นตาตื่นใจ แปลกประหลาด เร้นลับ เพื่อแสวงหาประสบการณ์ที่แปลกใหม่ สมาคมท่องเที่ยวเชียงรายได้จัดทำแพกเกจทัวร์ที่อยู่ในความสนใจของนักท่องเที่ยวจีน จำนวน 5 รายการ ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย

นายสรรเสริญได้มอบหมายให้ ผอ.ททท. สำนักงานคุนหมิง นำแพกเกจทัวร์ดังกล่าวไปนำเสนอและขอความคิดเห็นจากบริษัทนำเที่ยวของมณฑลยูนนานที่คุนหมิงและสิบสองปันนา เพื่อปรับปรุงให้ตรงความต้องการ พร้อมกับจะเชิญบริษัทเหล่านั้นเดินทางมาทดสอบแพกเกจที่เชียงรายต่อไป โดยคาดว่าโครงการนี้จะส่งผลให้มีการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซันนี้เป็นต้นไป

ด้านนายอภิชา ตระสินธุ์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวว่า หากโครงการนี้ประสบความสำเร็จ จะเป็นการตอบโจทย์ที่ว่า จ.เชียงรายและประเทศไทยจะได้อะไรจากเส้นทาง R3a ได้หนึ่งข้อ ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดและเป็นการกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวในท้องถิ่นและในประเทศตามนโยบายของรัฐบาล รวมถึงเป็นการสร้างมาตรการและมาตรฐานการท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพ และคุณภาพ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 14 กรกฎาคม 2012, 20:32:03
'R3'ถนนเจาะตลาดจีน

วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 22 ฉบับที่ 7898 ข่าวสดรายวัน


ในขณะที่ตัวเลขส่งออกไทยแสดงถึงการพึ่งพาตลาดจีนเพิ่มขึ้นทุกปี แต่การบุกตลาดจีนสำหรับเอสเอ็มอีไทยนั้นกลับไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งที่การส่งออกไปจีนฟื้นตัวอย่างรวดเร็วท่ามกลางสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักของไทย



รวมถึงการวางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระยะยาวในภูมิภาคต่างๆ ของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายพัฒนาเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน เป็น'หัวสะพาน'เชื่อมการค้า-คมนาคม ระหว่างจีนตอนใต้ กับเอเชียใต้ (อินเดีย) และอาเซียน (ไทย เวียดนาม ลาว พม่า) โดยเปิดใช้สนามบินนานาชาติฉางสุ่ยในนครคุนหมิงที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศด้วยงบลงทุนกว่า 1.1 แสนล้านบาท รองรับผู้โดยสารกว่า 68 ล้านคนต่อปี



พร้อมแผนก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง 3 เส้นทางเชื่อมต่อเมืองคุนหมิงกับไทย พม่า และเวียดนาม และโครงข่ายถนนเชื่อมต่อจีนตอนใต้กับอาเซียน (ถนนสาย R3) เข้าสู่ประเทศไทยที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญสำหรับเอสเอ็มอีไทยจะสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์



สำหรับเอสเอ็มอีในภาคเหนือ แม้ว่าปัจจุบันมูลค่าส่งออกจากไทยไปจีนตอนใต้เพียง 3,700 ล้านบาท แต่หากสามารถใช้ประโยชน์จากถนนสาย R3 เชื่อมโยงการค้า ก็จะเพิ่มมูลค่า ส่งออกได้อีกมหาศาล เพราะจีนตอนใต้มีประชากรถึง 92.8 ล้านคน โดยเฉพาะสินค้าที่เอสเอ็มอีไทยได้เปรียบในการผลิตและ ขายดีในตลาดจีน เช่น ผลิตภัณฑ์จากไม้ ผลิตภัณฑ์เกษตรและอาหารแปรรูป



นอกจากนี้ ถนนสาย R3 ยังช่วยลดต้นทุนการส่งออก โดยเฉพาะค่าขนส่ง เนื่องจากย่นระยะทางการส่งสินค้าสู่ตลาดจีนตอนใต้ จากเดิมต้องส่งผ่านเมืองท่าฝั่งตะวันออกของจีนก่อนแล้วจึงส่งต่อไปตลาดจีนตอนใต้ ในทางกลับกันการนำเข้าวัตถุดิบหรือ สินค้าสำเร็จรูปจากจีนยังนำเข้าได้ง่ายเร็ว ทำให้ต้นทุนของธุรกิจต่ำลงเพิ่มกำไรและความสามารถในการแข่งขันอีกด้วย



ส่วนเอสเอ็มอีทั่วประเทศ ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าส่งออกไปจีนสูง คืออุตสาหกรรมอุปกรณ์และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ (เอสเอ็มอีภาคกลาง) ผลิตภัณฑ์เคมีและผลิตภัณฑ์พลาสติก (เอสเอ็มอีภาคตะวันออก) มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมูลค่าส่งออกเดือนพ.ค.ปีนี้ เพิ่มขึ้น 22.2%



ขณะที่ภาคการเกษตร เช่น ผลิตภัณฑ์ยางพารา (เอสเอ็มอีภาคใต้) ผลิตภัณฑ์แป้งและมันสำปะหลัง (เอสเอ็มอีภาคเหนือและอีสาน) ก็มีมูลค่าส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยในเดือนพ.ค.ปีนี้เพิ่มขึ้น 10.1%



ดังนั้น หากเรามีการวางกลยุทธ์ในการใช้ถนนสาย R3 รุกตลาดจีนตอนใต้ที่ชัดเจนแล้วเอสเอ็มอีไทยจะได้ประโยชน์อย่างมหาศาลจากถนนสายนี้ ในฐานะของ'สะพานลำเลียงสินค้า'อย่างแท้จริง

หน้า 9


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 16 กรกฎาคม 2012, 18:59:16
ไฮเทคฯผุดนิคมกบันทร์บุรีหนีน้ำ


วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฏาคม 2012

นิคมฯไฮเทค หนีน้ำท่วมกำทุนกว่าพันล้าน  เปิดตัว"ไฮเทค กบินทร์ อินดัสเตรียล ปาร์ค"เขตอุตสาหกรรมแห่งใหม่ที่ปราจีนบุรี ต้นสิงหาคมนี้   พัฒนาเฟสแรก 1,100 ไร่ ต้อนนักลงทุน 50 รายลงพื้นที่ด่วน ก่อนสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะลดลงปีหน้า   เผยส้มหล่นพื้นที่ศึกษาอีไอเอแล้ว หลังรับช่วงต่อจากกลุ่ม"เอบิโก้แลนด์"ที่เลิกกิจการไป จึงเริ่มก่อสร้างได้ทันทีปีนี้
           นายทวิช เตชะนาวากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอินดัสเตรียล เอสเตท  จำกัด ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมไฮเทค(บ้านหว้า) จ.พระนครศรีอยุธยา  ให้สัมภาษณ์"ฐานเศรษฐกิจ"ว่าในต้นเดือนสิงหาคม2555 นี้ บริษัทจะเปิดตัวเขตอุตสาหกรรมแห่งใหม่ เป็นการลงทุนพัฒนาพื้นที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมแห่งที่ 2 ซึ่งตั้งอยู่ที่อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ขนาดพื้นที่เฟสแรก 1,100 ไร่ ลงทุนเป็นเงินกว่า 1,000 ล้านบาท เป็นพื้นที่ดอน ไม่มีปัญหาน้ำท่วม   โดยเขตอุตสาหกรรมแห่งใหม่จะอยู่ภายใต้ชื่อโครงการ " ไฮเทค กบินทร์ อินดัสเตรียล ปาร์ค"  พร้อมกับมีพิธีเซ็นสัญญาซื้อ-ขายที่ดินให้กับลูกค้ารายใหญ่จำนวน 2 รายที่นำร่องเข้ามาซื้อพื้นที่แห่งใหม่นี้ ในขนาดพื้นที่มากกว่า 100 ไร่ขึ้นไป
-เร่งต้อนทุนลงไฮเทค กบินทร์
           ทั้งนี้โครงการดังกล่าวบริษัท ไทยอินดัสเตรียล เอสเตทฯ จะถือหุ้นในสัดส่วน 85%และอีก 15% จะเป็นกลุ่มเพื่อนในแวดวงธุรกิจด้วยกัน  เป็นเขตอุตสาหกรรมที่ดำเนินการโดยภาคเอกชน   โดยผู้ร่วมทุนทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่ากบินทร์บุรีจะเป็นทำเลทอง ด้านการลงทุนที่เหมาะสมและจะเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนในอนาคตนี้ เพราะอยู่ในทำเลที่เป็นเมืองหน้าด่านของภาคอีสานตอนล่างและอยู่ในพื้นที่ใกล้ชายแดนกัมพูชา  อยู่ใกล้กับเขตอุตสาหกรรม 304 และเขตอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี เป็นพื้นที่เขต 3 ที่ได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)  มีระยะทางจากกรุงเทพฯถึงโครงการ 160 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 2 ชั่วโมง
           "โครงการนี้จะเริ่มดำเนินการพัฒนาพื้นที่และเริ่มงานก่อสร้างได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไปและภายในปี 2556 ทั้งโครงการในเฟสแรกจะแล้วเสร็จ สามารถรองรับลูกค้าที่เป็นผู้ลงทุนได้จำนวน 50 ราย โดยเน้นที่การลงทุนในอุตสาหกรรมเบา เช่น การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้สำนักงาน ชิ้นส่วนพลาสติกและชิ้นส่วนโลหะ เป็นต้น"
-ก่อสร้างได้ทันทีไม่ต้องทำEIA
           นายทวิชกล่าวอีกว่า "ไฮเทค กบินทร์ อินดัสเตรียล ปาร์ค"  เป็นโครงการใหม่ที่เกิดขึ้นมาในท่ามกลางที่นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ เริ่มมีความไม่มั่นใจว่าจะลงทุนในประเทศไทยดีหรือไม่ เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านก็มีสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนที่ดีขึ้น ในขณะที่ประเทศไทยก็เริ่มมีปัจจัยลบต่างๆเข้ามา  โดยเฉพาะเริ่มมีข้อจำกัดในการเลือกพื้นที่ลงทุนมากขึ้น เพราะเวลานี้ทำเลลงทุนในพื้นที่จ.ระยองก็เริ่มใช้พื้นที่เต็มแล้ว และมีประชากรแออัด  ที่สำคัญยังเป็นพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังเรื่องปัญหามลพิษเนื่องจากเป็นศูนย์รวมในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และการผลิตไฟฟ้า โรงกลั่นน้ำมัน ในขณะที่พื้นที่ในจ.พระนครศรีอยุธยาก็เป็นพื้นที่ที่เกิดอุทกภัยต่อเนื่อง
            "เดิมทีพื้นที่แห่งนี้เป็นโครงการลงทุนทำนิคมอุตสาหกรรม ของ  บจก.เอบิโก้ แลนด์ ประกอบธุรกิจ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เอบิโก้ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ที่เกิดขึ้นในจังหวะที่เศรษฐกิจไม่ดี จึงเลิกกิจการไป  และบริษัท ไทยอินดัสเตรียล เอสเตทฯก็เข้ามาซื้อกิจการต่อโดยสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ทันที เนื่องจากเจ้าของเดิมได้ทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA)ไว้แล้ว "
-รีบลงทุนก่อนสิทธิประโยชน์ลด
           อย่างไรก็ตาม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอินดัสเตรียล เอสเตท  จำกัด มั่นใจว่า  จะมีนักลงทุนจำนวนมากที่กำลังตัดสินใจลงทุนใหม่หรือขยายการลงทุน ก่อนที่มาตรการส่งเสริมการลงทุนจาก บีโอไอ จำนวนหลายแพ็กเกจกำลังจะหมดเขตยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 นี้ โดยยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะมีการต่ออายุแพ็กเกจดังกล่าวออกไปอีกหรือไม่   
           ทั้งนี้ ข้อมูลจากบีโอไอระบุว่า มาตรการส่งเสริมการลงทุนที่กำลังจะหมดเขตลง เช่น นโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ประกอบด้วย 4 มาตรการย่อย เช่น มาตรการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ  กลุ่มกิจการประหยัดพลังงานและพลังงานทดแทน กลุ่มการผลิตวัสดุและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มกิจกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งให้สิทธิประโยชน์สูงสุดทั้งการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลนาน 8 ปี โดยไม่กำหนดสัดส่วนการได้รับยกเว้นภาษี รวมถึงลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการลงทุนอีก 50% นาน 5 ปี และอนุญาตให้หักค่าขนส่ง ค่าไฟฟ้าและค่าประปาได้ 2 เท่าในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลนาน 10 ปีนับจากวันที่มีรายได้     หรือมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน หรือการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ที่ให้การยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักร ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี จากรายได้ของกิจการที่ดำเนินอยู่เดิมในสัดส่วน 70% ของเงินลงทุนโดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน เป็นต้น
           "จากที่มาตรการจากบีโอไอและกระทรวงการคลังจะทยอยลดสิทธิประโยชน์ทางภาษีลงภายในปี 2556 นี้ จะทำให้นักลงทุนที่กำลังตัดสินใจจะลงทุนใหม่ หรือกำลังมีแผนจะขยายการลงทุน รีบตัดสินใจเร็วขึ้น หลังจากที่พื้นที่ลงทุนในประเทศไทยเริ่มมีข้อจำกัดมากขึ้น ขณะที่ราคาที่ดินก็เริ่มดีดตัวสูงขึ้นตั้งแต่ 3-4 ล้านบาท/ไร่ แต่ราคาที่ดินที่กบินทร์บุรีจะมีราคาตั้งแต่ 1.8-2.5 ล้านบาท/ไร่ ยังถูกกว่าหลายพื้นที่ " นายทวิช กล่าว
        ปัจจุบันบริษัท ไทยอินดัสเตรียล เอสเตท จำกัด ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค(บ้านหว้า) จ.พระนครศรีอยุธยา ประสบผลสำเร็จเป็นรายแรกๆในการพัฒนาที่ดินเพื่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเมื่อ 20 ปีที่แล้ว บนพื้นที่ 2,500 ไร่ ขณะนี้ใช้ประโยชน์จนเต็มพื้นที่แล้ว มีลูกค้า 145 ราย มีทั้งทุนไทยและทุนต่างชาติ โดย 65% จะเป็นทุนสัญชาติญี่ปุ่น ส่วนใหญ่จะผลิตในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์  โดยเมื่อปี 2554 เป็น 1 ใน7 นิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และล่าสุดโรงงานส่วนมากก็กลับมาเดินการผลิตได้เป็นปกติแล้ว 
 -กนอ.เร่งพัฒนาพื้นที่ใหม่
           ดร.วีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน กนอ. มีนิคมอุตสาหกรรม 48 แห่ง ใน 15 จังหวัด พื้นที่รวมทั้งสิ้น 149,989 ไร่  ล่าสุดเหลือพื้นที่คงเหลือสำหรับขายหรือให้เช่าเพียง 15,640 ไร่ (ดูตาราง)  โดยกนอ. มีแผนพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ ที่จะศึกษาให้ได้ข้อสรุปภายในปีงบประมาณ 2555 (กันยายน 2555) เพื่อเร่งดำเนินการพัฒนาพื้นที่รองรับการลงทุน 2 แห่ง ได้แก่ 1.พื้นที่อุตสาหกรรมชายแดนด่านพุน้ำร้อน อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี และ 2.โครงการดำเนินการหาพันธมิตรทางธุรกิจร่วมทุนในนิคมอุตสาหกรรมอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
           นอกจากนี้ ในปีงบประมาณ 2556 ยังได้ของบประมาณ 110 ล้านบาท เพื่อศึกษาความเหมาะสมจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม 5 โครงการ ในจังหวัดขอนแก่น อุดรธานี นครพนม นครราชสีมา และโครงการศึกษาความเหมาะสมการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสื่อบันเทิง

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,757   15-18  กรกฎาคม  พ.ศ. 2555


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 17 กรกฎาคม 2012, 18:47:45
ธุรกิจโรงแรมเชียงรายคึกรับเออีซี หมอชื่อดังทุ่ม 100 ล้านผุดโรงแรมหรู
เชียงราย - เตรียมรับตลาดท่องเที่ยวเออีซีบวกจีนบูม หมอชื่อดังเมืองเชียงรายทุ่มทุนนับ 100 ล้านขยายธุรกิจโรงแรม พร้อมเปิดห้องจัดคอร์สสอนภาษากลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนให้บุคลากรในสังกัด เพิ่มศักยภาพดึงดูดลูกค้าในอนาคต

(http://pics.manager.co.th/Images/555000009236003.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/555000009236004.JPEG)
       
       ท่ามกลางกระแสเออีซีที่กำลังบูมขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ภาคธุรกิจท้องถิ่นของเชียงรายที่ได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในเมืองหน้าด่านที่สำคัญของภาคเหนือกับเพื่อนบ้าน เริ่มเคลื่อนไหวรองรับธุรกรรมที่จะเกิดขึ้นตามมาเช่นกัน โดยล่าสุดนายแพทย์วัชระ เตชะธีราวัฒน์ แพทย์ประจำโรงพยาบาล ได้หันมาลงทุนขยายกิจการโรงแรม ในนามบริษัทลักษวรรณ จำกัด เปิดโรงแรมใหม่ “ลักษวรรณ รีสอร์ท เชียงราย” ต.ริมกก อ.เมือง จ.เชียงราย
       
       นายแพทย์วัชระบอกว่า เดิมประกอบวิชาชีพแพทย์ และจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์เพียงอย่างเดียว ต่อมาจึงได้ขยายเป็นธุรกิจที่พักให้ตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ชุมชนสันโค้ง อ.เมือง จ.เชียงราย ชื่อโรงแรมมณีอินทร์ มีขนาดประมาณ 30 ห้อง กระทั่งเห็นว่ากิจการน่าจะมีอนาคต และเชียงรายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับกลุ่มเออีซีในอนาคต ดังนั้นจึงได้ขยายไปเปิดโรงแรมลักษวรรณ รีสอร์ท เชียงราย บนเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่เศษ ในวงเงินลงทุนรวมราว 100 ล้านบาท โดยช่วงแรกๆ มีเพียง 36 ห้อง ปัจจุบันได้เพิ่มเป็น 99 ห้องแล้ว
       
       นายแพทย์วัชระกล่าวว่า ในอนาคตแม้ไทยจะเข้าสู่เออีซีผู้ประกอบการก็ต้องปรับตัว เพราะสถานการณ์การท่องเที่ยวของเชียงรายมักจะมีผู้เข้าพักมากช่วงฤดูหนาวหรือไฮซีซัน ปีละ 3-4 เดือน ส่วนช่วงเวลาที่เหลือจะซบเซา ดังนั้นจึงได้มีการปรับตัวและพัฒนาองค์กรยกใหญ่เพื่อพึ่งพาตัวเองให้ได้ โดยปัจจุบันหันมาประสานตลาดด้านการจัดงานสัมมนา โดยจัดห้องสัมมนาเอาไว้ 3 ห้องใหญ่ มีศักยภาพรองรับผู้เข้าร่วมได้จำนวน 600 คน
       
       รวมทั้งเพิ่มศักยภาพของบุคลากรองค์กรซึ่งเป็นพนักงานในจำนวน 42 คน และสามารถเรียกใช้พนักงานภายนอกเพิ่มเติมได้ แต่ละคนมีการฝึกให้ใช้ภาษาที่เกี่ยวข้องคือ ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาในเออีซี เช่น ภาษาพม่า ฯลฯ เป็นคอร์ดสั้นๆ เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้ทันที
       
       สำหรับช่วงโลว์ซีซันก็หันไปให้บริการภาครัฐและเอกชนในการใช้บริการห้องประชุมสัมมนามากขึ้น เพื่อชดเชยการเข้าพักของนักท่องเที่ยวที่เบาบางลงได้เป็นอย่างดี โดยโรงแรมใช้วิธีให้ผู้จัดสัมมนาแจ้งงบประมาณเพื่อที่ทางโรงแรมจะได้สามารถจัดการประชุมให้ได้อย่างเหมาะสม ทำให้ผู้จัดสัมมนามีทางเลือกได้หลากหลาย
       
       ขณะที่ห้องพักก็จัดให้พักในราคาประหยัด 750-1,800 บาท ซึ่งราคา 750 บาทต่อห้องต่อคืนนั้นถือเป็นการร่วมเฉลิมฉลองเมืองเชียงรายที่มีอายุครบ 750 ปีด้วย
       
       ทั้งนี้ ในช่วงโลว์ซีซันนี้พบว่าห้องพักทั่วภาคเหนือมียอดเฉลี่ยเข้าพักไม่ถึง 50% ส่วนของโรงแรมเราก็มีอัตราเฉลี่ยราวๆ 40% แต่เมื่อถึงไฮซีซันก็คาดว่าจะอยู่ในอัตราใกล้เคียงกับปีที่ผ่านๆ มาคือประมาณ 70% ขึ้นไป
       
       “คาดว่าเมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในปี 2558 จะมีผู้คนเดินทางมาเชียงรายมากขึ้น เพราะเรามีด่านพรมแดนหลายแห่ง รวมทั้งยังเป็นจุดเชื่อมอาเซียนบวกจีนอีกด้วย ซึ่งเชื่อว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนลงมามากอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในส่วนของภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยอยากให้มีการจัดระเบียบการเปิดกิจการห้องพักให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้ธุรกิจประเภทนี้ไปอยู่รวมกันที่จุดใดจุดหนึ่งมากเกินไปจนต้องตัดราคากันเอง เหมือนกับต่างประเทศเคยเห็นทำกันมาแล้ว ไม่เช่นนั้นจะเกิดการแออัดในอนาคต” นายแพทย์วัชระ กล่าว

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000087676


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: corolado4 ที่ วันที่ 19 กรกฎาคม 2012, 16:48:30
เอาข่าวสารทางด้านชายแดน อ.แม่สอด มาวางให้อ่าน เพื่อเปรียบเทียบกับทางนี้
เขาจัดระเบียบให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย(ประเทศ) เขาทำอย่างไร?
ทำไมที่เชียงรายไม่ทำแบบเขาบ้าง เขาพร้อมเป็นทางผ่านเมียนมาร์ สู่ฝั่งทะเลอ่าวเมาะตะมะ
ที่เชียงราย แค่ ด่าน อ.แม่สาย ก็ยังมีร้องเรียนความทุกข์ร้อนที่ได้พบเจอมาเป็นระยะ
สะพานข้ามแม่สายแห่งใหม่ก็ปล่อยให้ร้าง มากระจุกตัวอยู่ที่เดิม ทำไมไม่มีใครหาญกล้าจัดการ
สามเหลี่ยมทองคำ ฝั่งลาว ฝั่งพม่ามีอะไร แล้วเรามีมาตรการรองรับกับอนาคตจุดนี้อย่างไร?
เชียงของจะมีสะพานข้ามไปลาว ต่อไปจีน มีแต่เอกชนคิดทำ วางแผนรองรับอาเซียน
ระดับจังหวัดถึงระดับภาค คิดทำอะไรรอไว้บ้าง
ดูหัวข้อที่แม่สอดเขาทำกันระดับคณะกรรมการแล้วเอามาคิดทำทางนี้บ้างเป็นไร
๑ ปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณสะพาน
๒ ร่วมประสานงานปราบปรามยาเสพติด
๓ ควบคุมการผ่านแดนของประชาชนทั้งสองประเทศ
๔ ประสานงาน ให้ความสะดวก ปลอดภัย คนไทยที่เข้าไปทำงานฝั่งเพื่อนบ้าน
๕ ผู้นำท้องถิ่น ภาครัฐ เอกชน นัดพบปะกันเป็นประจำ
๖ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่าย(ตัวอย่างที่นั่น คือ รถตู้ กับรถสองแถว)
๗ ร่วมกันปราบอาชญากรรม การโจรกรรมรถข้ามแดน
๘ ร่วมกันแก้ไขปัญหาเส้นเขตแดน
๙ ร่วมมือกันป้องกันแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุข โรคระบาด โรคติดต่อข้ามแดน
...แค่ข้อหารือของคณะกรรมการชายแดนที่เห็นนี้...เอามาทำทางเชียงรายบ้างสักครึ่งก็คงดี..
ฝากเป็นการบ้านไว้กับบอร์ดนี้เลยครับ..


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: !DeePack! ที่ วันที่ 20 กรกฎาคม 2012, 22:17:19
แล้วตกลงถนน4เลนที่จะไปยังสะพานที่เชียงของจะตัดผ่านไปทางไหนบ้างครับตอนนี้เห็นทำแต้ออกจากเชียงของมาถึงบ้านหกแค่นั้นเองที่เหลือไม่เห็นวี่แววเลย :o


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 22:44:46
เชียงราย - ตัวแทนภาครัฐ-เอกชนกระบี่ยกคณะขึ้นเหนือ เปิดโต๊ะหารือแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมเมืองพ่อขุนฯ ก่อนประธานหอฯทั้ง 2 จังหวัดจะจดปากกาลงนาม MOU ประสานความร่วมมือด้านธุรกิจท่องเที่ยวร่วมกันหาช่องทางดึงคนจีนเข้าภาคเหนือ-ทะเลกระบี่ต่อ
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงรายแจ้งว่า น.ส.ศมานันท์ หวังประเทือง พาณิชย์ จ.กระบี่ ได้นำคณะนักธุรกิจจาก จ.กระบี่ นำโดยนายภูวดิท ปรีชานนท์ ประธานหอการค้าฯ, นางสาวัน ตัน ประธานสภาอุตสาหกรรม จ.กระบี่ ฯลฯ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เดินทางเข้าร่วมประชุมหารือกับนายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์ จ.เชียงราย, นายชวลิต สุธรรมวงศ์ ประธานหอการค้า จ.เชียงราย, นายเกรียงไกร วีระฤทธิพันธ์ อุตสาหกรรม จ.เชียงราย, นายอภิชา ตระสินธิ์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย ฯลฯ ที่ห้องประชุมโรงแรมโพธิ์วดล แอนด์ รีสอร์ท อ.เมืองเชียงราย วานนี้(23 ก.ค.)
       
       ทั้งนี้ เพื่อหาแนวทางร่วมมือของภาคเอกชนทั้ง 2 จังหวัด โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งมีการจัดให้มีพิธีลงนามความร่วมมือ หรือเอ็มโอยู ระหว่างภาคเอกชนเชียงราย-กระบี่ด้วย
       
       นายเฉลิมพลกล่าวว่า เชียงรายเป็นเมืองท่องเที่ยวชายแดนที่ติดกับพม่า และ สปป.ลาว ทั้งทางบก ตลาดชายแดน แม่น้ำโขง ฯลฯ รวมทั้งเชื่อมกับจีนตอนใต้ได้ทั้งทางถนน R3a ผ่าน สปป.ลาว และ R3b ผ่านพม่า รวมทั้งเป็นเมืองวัฒนธรรมล้านนา กลุ่มชาติพันธุ์ และมีภูมิประเทศเป็นภูเขาและธรรมชาติที่สวยงาม สอดคล้องกับกระบี่ ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวเป็นทะเลและเกาะที่สวยงาม ดังนั้นหากสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์โดยเฉพาะการท่องเที่ยวกันได้ก็จะเป็นผลดีอย่างมาก
       
       นายชวลิตกล่าวว่า สิ่งที่น่าสนใจอย่างมากคือการเชื่อมโยงทัวร์ท่องเที่ยวระหว่างเชียงราย-กระบี่ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่จะมาเยือนเชียงรายหรือนักท่องเที่ยวจากกระบี่ หากต้องการเดินทางเข้าไปยังประเทศจีน ทางภาคเอกชนจาก จ.กระบี่ก็ไม่ต้องเสียต้นทุนด้านการเข้าไปสำรวจหรือประสานตลาดในประเทศพม่า สปป.ลาว และจีนตอนใต้ แต่สามารถเป็นคู่ธุรกิจหรือพาร์ตเนอร์กับนักธุรกิจเชียงราย เพื่อนำพานักท่องเที่ยวไปได้
       
       นายอภิชากล่าวว่า นักท่องเที่ยวที่มีอนาคตในอนาคตของ จ.เชียงราย คือนักท่องเที่ยวจากจีน อย่างไรก็ตามนักท่องเที่ยวจีนนั้นมีความนิยมจะไปเที่ยวทะเลเป็นหลัก เพราะจีนทางใต้และตะวันตกไม่ติดทะเล ดังนั้นการมีความสัมพันธ์กับกระบี่จึงสำคัญมาก ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้มีการลงนามความร่วมมือกับเมืองพัทยาโดยมีการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้การสนับสนุนมาแล้ว โดยคาดว่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรมช่วงไฮซีซันนี้เป็นต้นไป
       
       ด้านนายภูวดิท ปรีชานนท์ ประธานหอการค้า จ.กระบี่ กล่าวว่า เชียงราย และกระบี่ถือว่ามีลักษณะที่สอดคล้องและใกล้เคียงกัน เพราะจังหวัดอื่นๆ เช่น กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ ฯลฯ ถือว่าสภาพบ้านเมืองเติบโตจนสุดโต่งแล้ว แต่สำหรับเชียงรายและกระบี่ยังคงความเป็นธรรมชาติ และแต่ละฝ่ายก็พยายามอนุรักษ์ไว้ซึ่งธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ดีอยู่ จึงถือว่าถูกคู่ถูกจังหวะกันอย่างมาก และที่ผ่านมาทาง จ.กระบี่เองมุ่งเน้นเรื่องนักท่องเที่ยวระดับสูงที่มีคุณภาพด้วยเช่นกัน
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า จากนั้นประธานหอการค้าทั้ง 2 จังหวัดได้ร่วมลงนามโดยมีหัวหน้าส่วนราชการและภาคเอกชนอื่นๆ ลงนามเป็นพยาน โดยมีเนื้อหาของเอ็มโอยูในการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างหอการค้าทั้ง 2 จังหวัด ส่งเสริมโอกาสทางการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว ตลอดจนพัฒนาธุรกิจกันให้มากขึ้น ผลักดันให้มีการเจรจาการค้าและเชื่อมโยงกิจกรรมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม การท่องเที่ยวทางทะเล ผลักดันให้มีการพัฒนาสายการบินภาคเหนือจากท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย จ.เชียงราย กับสนามบินกระบี่ ผลักดันให้มีการเชื่อมโยงการค้าสินค้าเกษตรแปรรูป สินค้าโอทอป ของฝากของที่ระลึก ฯลฯ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 30 กรกฎาคม 2012, 15:00:09
ทุ่ม1.5พันล.เชียงของ คมนาคมผุดศูนย์โลจิสติ

คมนาคมวาดแผนผุดศูนย์กลางโลจิสติกส์แห่งภาคเหนือ เร่งสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าที่เชียงของ หวังเปลี่ยนประตูการขนส่งเป็นประตูการค้าและประตูเศรษฐกิจ สู่จีนและประเทศเพื่อนบ้าน

รองรับการเกิดเออีซี ส่วนคิวต่อไปเล็งเปิดเพิ่มที่นครพนมเพื่อเชื่อมโยงสู่เวียดนาม ล่าสุดร่วมมือจีนเร่งเครื่องโครงข่ายงานก่อสร้างถนน สะพานข้ามโขงแห่งที่ 4 และท่าเรือพื้นที่ภาคเหนือเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังเพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์
 นายสมชัย ศิริวัฒนโชค อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากการที่รัฐบาลกำหนดเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจและการค้าของภูมิภาคอินโดจีน โดยมีระบบโลจิสติกส์ที่สนับสนุนเพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าว ในส่วนของกรมการขนส่งทางบกจะดำเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้า (Inter Modal Facilities) ที่บริเวณสะพานเชียงของ จังหวัดเชียงราย ใช้เนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ งบประมาณการสร้างคาดว่าจะใช้ประมาณ 1,500 ล้านบาท(งบผูกพัน 3 ปี พ.ศ.2556-2558) เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ทางถนนจากประเทศจีนผ่านเส้นทาง R3A เข้าสู่ประเทศไทยทางสะพานเชียงของ จากนั้นสามารถเปลี่ยนมาใช้ระบบการขนส่งทางถนนภายในประเทศ หรือเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งเป็นการขนส่งทางรถไฟ และการขนส่งทางเรือ ณ สถานที่ดังกล่าว เพื่อไปยังท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง 
       ส่วนรูปแบบการดำเนินโครงการจะเป็นการร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยภาครัฐมีหน้าที่ในการเวนคืนที่ดินมาพัฒนา ตลอดจนการสร้างสาธารณูปโภคและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ภายในศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่ง รวมถึงสิทธิของการเป็นเจ้าของโครงการ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535  ในขณะที่ภาคเอกชนจะมีหน้าที่ในการจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ยกขน อุปกรณ์สำนักงานต่างๆ การจ้างแรงงาน การให้บริการที่มีคุณภาพได้มาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับ และจ่ายค่าสัมปทานตามสัญญาตลอดอายุสัมปทานซึ่งกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาในเรื่องนี้อีกครั้ง
       "ในการคัดเลือกผู้ที่ได้รับสัมปทานนั้นจะไม่ใช้วิธี Bidding มอบสิทธิแก่ผู้ที่เสนอผลประโยชน์หรือค่าสัมปทานให้แก่รัฐสูงสุด แต่จะใช้วิธี Tendering ซึ่งจะให้สัมปทานแก่ผู้ที่เสนอเงื่อนไขที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ใช้บริการ เช่น การให้สัมปทานแก่ผู้ที่เสนอค่าบริการที่เก็บจากผู้ใช้บริการต่ำที่สุด และขณะเดียวกันต้องมีการให้บริการที่มีคุณภาพดีได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับ ภายใต้พันธะสัญญาในการชำระค่าสัมปทานรายปีตามที่กำหนดไว้"
       นายสมชัยกล่าวว่า กรมการขนส่งทางบกได้เร่งจัดเตรียมกระบวนการเชิญชวนภาคเอกชนเข้ามาแข่งขันเพื่อเป็นผู้ประกอบการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่ง  ตามหลักเกณฑ์ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535  โดยมีเป้าหมายว่าจะสามารถจัดหาผู้ประกอบการได้ภายในปี พ.ศ. 2561 แต่เนื่องจากยังเป็นของใหม่ในประเทศไทยคาดว่าจะมีผู้สนใจทั้งในและต่างประเทศร่วมมือกันเข้าร่วมยื่นข้อเสนอในครั้งนี้หลายรายแน่ๆ
 "การพัฒนาศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าที่เชียงของจะทำให้ประตูการขนส่งกลายเป็นประตูการค้า และประตูเศรษฐกิจ ในอนาคต มีความสำคัญต่อการพัฒนาที่เกี่ยวเนื่อง เช่น การเกิดกิจกรรมการค้าและการลงทุนในบริเวณเชียงของไม่ใช่เพียงการขนส่งผ่านพื้นที่ อีกทั้งยังเป็นต้นแบบในการพัฒนาและบริหารโครงสร้างพื้นฐานด้านการค้าและการขนส่งเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในประตูการขนส่งอื่นๆของประเทศโดยจะทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งทางถนนระหว่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการขนส่งของไทยให้มีความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นจากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน"
 นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงความคืบหน้าโครงข่ายการสร้างถนน-สะพาน-ท่าเรือในพื้นที่ภาคเหนือว่า ขณะนี้ภาพรวมของการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมทั้งถนนสาย R3 และถนนในไทย สะพานข้ามโขงแห่งที่ 4 หรือท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 มีความคืบหน้าไปมาก สามารถเชื่อมโยงกันได้มากขึ้น เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารไปสู่ท่าเรือแหลมฉบังและจุดต่างๆได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
        "สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 จะกำหนดเชื่อมช่วงกลางสะพานในวันที่ 12 ธันวาคมปีนี้ก่อนที่จะเร่งก่อสร้างจุดต่างๆให้แล้วเสร็จเพื่อเปิดให้บริการในเดือนธันวาคมปี 2556 ส่วนหลังจากนั้นจะตั้งคณะกรรมการร่วมไทย-สปป.ลาวบริหารจัดการดูแลบำรุงรักษาโดยใช้งบจากค่าข้ามของรถยนต์เช่นด่านอื่นต่อไป คาดว่าในเบื้องต้นจะมีรถยนต์ใช้บริการประมาณ 1,000 คันต่อวันโดยจะเป็นรถบรรทุกประมาณ 30%"
 ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่านอกจากจะสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายโหมดการขนส่งสินค้าที่เชียงของแล้ว ยังมีแผนจัดสร้างขึ้นที่นครพนมให้เชื่อมโยงกับสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่เชื่อมไปสู่เวียดนามได้อีกด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจพื้นที่และศึกษาความเหมาะสมในระยะต่อไป
 ร.ต.วิโรจน์ จงชาณสิทโธ ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่าสำหรับท่าเรือเชียงแสน 2 และสะพานข้ามโขงแห่งที่ 4 นั้นถือได้ว่าเป็นประตูทางการค้าที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของไทย ต้องให้เชื่อมโยงตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำเพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศให้ได้
 อย่างไรก็ตาม ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 อยู่ระหว่างการเร่งสรุปผลศึกษาเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอ เช่นเดียวกับการเร่งระบบรถไฟทางคู่เชื่อมโยงถึงภายในโดยตรง อีกทั้งยังเร่งจัดระเบียบเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือการขนส่งสินค้าจากท่าเรือสำคัญ ๆ ที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านของไทย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าจากท่าเรือน้ำลึกทวาย ประเทศพม่า และท่าเรือเชียงแสน 2 อำเภอเชียงแสน หรือสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายที่เชื่อมโยงสปป.ลาวและจีนซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ให้สร้างรายได้เพิ่ม"  สำหรับเส้นทางเชื่อมโยงที่กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการนั้นประกอบด้วยการเชื่อมโยงทางรถไฟเพื่อการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารเริ่มจากเชียงของผ่านเด่นชัย  อุตรดิตถ์ พิษณุโลก อยุธยา แก่งคอย  มุ่งสู่ท่าเรือแหลมฉบังที่ปัจจุบันก่อสร้างรถไฟทางคู่รองรับไว้แล้ว สำหรับช่วงเด่นชัย-เชียงรายระยะทางประมาณ 326 กิโลเมตร คาดว่าจะใช้งบประมาณ 4หมื่นล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งสรุปผลการศึกษาออกแบบ และช่วงที่จะมีการก่อสร้างรถไฟรางคู่ ช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า(อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา) - แก่งคอย มูลค่า 11,348 ล้านบาท ระยะทาง 106 กิโลเมตรขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมนำเสนอครม.เห็นชอบให้ดำเนินการ ส่วนอีก 1 เส้นทางเริ่มจากอยุธยามุ่งสู่บางซื่อไปใช้เส้นทางสายใต้ผ่านนครปฐม มุ่งสู่ชะอำ ชุมพร หาดใหญ่ออกสู่ท่าเรือน้ำลึกปากบาราได้อีกด้วย

 
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,761   29  กรกฎาคม  - 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 31 กรกฎาคม 2012, 21:08:11
ราคาที่ดินริมฝั่งแม่น้ำโขงพุ่ง! แก๊ง ผญบ.เชียงแสน จ้องฮุปที่งอกขายนายทุน


ตัวแทนกลุ่มอนุรักษ์ฯ ห่วงแก๊ง ผญบ.เชียงแสน ฮุปที่งอก/ที่ดินสาธารณะริมโขง เสนอขายนายทุน เหตุได้ราคาสูงถึงไร่ละ 2-3 ล้านบาท ร้องสื่อมวลชนตรวจสอบ
     วันที่ 31 ก.ค.2555 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวแทนชมรมกลุ่มรักษ์เชียงแสน กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเมืองประวัติศาสตร์เชียงแสน จ.เชียงราย ร้องให้สื่อมวลชนเข้าตรวจสอบกรณีมีกลุ่มผู้นำท้องถิ่น รวมตัวกับนักการเมืองส่วนท้องถิ่น เร่งฮุปพื้นที่งอกหลายจุด ริมฝั่งแม่น้ำโขงชายแดนไทย-ลาว บริเวณพื้นที่ ต.เวียง ซึ่งอยู่ห่างจากที่ว่าการ อ.เชียงแสน ไปทางสามเหลี่ยมทองคำ เพื่อรวบรวมนำไปเสนอขายกลุ่มนายทุน ส่งผลราคาซื้อขายที่ดินสูงถึงไร่ละ 2-3 ล้านบาท
     ตัวแทนชมรมกลุ่มรักษ์เชียงแสน กล่าวว่า พฤติกรรมของกลุ่มผู้นำท้องถิ่นกลุ่มนี้ จะใช้อิทธิพลของการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ นัการเมืองส่วนท้องถิ่น เข้าบุกรุกและจับจองพื้นที่สาธารณะ หากจุดใดมีชาวบ้านเข้าไปทำกินหรือครอบครองอยู่ ก็จะเจรจาขอซื้อจากชาวบ้าน หากขายให้ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าขัดขวางจะถูกอิทธิพลนอกระบบข่มขู่ บังคับให้เปลี่ยนมือครอบครองที่ดินทุกจุด โดยเฉพาะพื้นที่งอกแห้งเป็นดอนทรายโผล่พ้นบนแม่น้ำโขง กลุ่มผู้นำนี้จะนำมาสวมรอยที่ดินสาธารณะบนฝั่ง จากนั้นก็ไปเจรจาขายให้นายทุน พร้อมบอกว่าจะคอยคุ้มครองดูแลให้ไม่เกิดปัญหาทางกฏหมาย
     "ทางชมรมฯ เป็นห่วงเรื่องทรัพยากรรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่จะเปลี่ยนไป หากที่ดินสาธารณะหรือที่ดินงอก ที่ชาวบ้านและท้องถิ่นเคยได้ใช้ทำประโยชน์ร่วมกันยามน้ำแห้ง ทั้งการจัดแข่งกีฬา การออกร้านขายสินค้า ขายอาหารช่วงหน้าท่องเที่ยวสงกรานต์ หรือการทำไร่ข้าวโพดชั่วครั้งชั่วคราว ต้องเปลี่ยนมือไปอยู่ในมือนายทุน ไม่อยากเห็นสิ่งปลูกสร้างถาวร มาปรากฏขึ้นริมฝั่งบดบังทัศนียภาพ หรืออาจทำให้เกิดการกีดขวางทางไหลของน้ำ อยากให้หน่วยงานระดับสูงตรวจสอบพฤติกรรมกลุ่มผู้นำท้องถิ่น เพื่อป้องปรามไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ"
     ด้าน นายทรงกลด ดวงหาคลัง หัวหน้าสำนักงานขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวีเชียงแสน กล่าวว่า ตามกฏหมายแบ่งที่ดินเป็น 3 ประเภท 1.ที่ดินน้ำท่วมถึง 2.ที่ดินสาธารณะ 3.ที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ กรณีที่ดินงอกตามที่มีการร้องเรียนนั้น เป็นที่ดินน้ำท่วมถึงซึ่งมีหลักกระบวนการวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งพื้นที่ที่น้ำท่วมถึง อย่างไรก็ไม่สามารถสำรวจหรือออกเอกสารสิทธิ์ได้อย่างแน่นอน อีกทั้งหากมีการซื้อขายกันนอกรอบ ไม่ว่าจะเป็นจากกลุ่มบุคคลใด ทางเจ้าท่าไม่สามารถเข้าไปดำเนินการอะไรตามกฏหมายได้ แม้กระทั่งการเข้าทำกิจกรรม แข่งกีฬาบน ที่เป็นครั้งคราว หรือการเข้าทำประโยชน์ด้านการเกษตร เช่น การปลูกข้่าวโพด บนที่ดินสาธารณะก็ตาม ศาลได้มีการตีความ ให้สามารถกระทำได้ แต่เป็นครั้งคราวเท่านั้น
     "แตกต่างจากกรณีที่มีการบุกรุก หรือรุกล้ำเข้าไปดำเนินการก่อสร้างอาคารถาวรวัตถุ ยื่นลงไปในแม่น้ำ อันนี้เป็นเรื่องที่กรมเจ้าท่า สามารถเข้าตรวจสอบและเอาผิดได้ ตามอำนาจที่หน่วยงานมีอยู่ ที่ผ่านมา กรมเจ้าท่าได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แห่งหนึ่งใน อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ที่กระทำความผิดรุกล้ำก่อสร้างอาคารสิ่งปลูกสร้างในแม่น้ำโขง โดยไม่ได้ขออนุญาตหรือแจ้งให้กรมเจ้าท่า หน่วยงานที่รับผิดได้รับทราบ คดีไปถึงศาล จนมีคำพิพากษาออกมา ส่วนในปี 2555 นี้ ยังไม่มีการแจ้งความเอาผิดกับทาง อปท.ในเชียงราย อาจเป็นเพราะ อปท.เข้าใจในขั้นตอนและข้อกฏหมาย หากจะมีการก่อสร้างลงไปในแม่น้ำทุกจุด จึงเข้าปรึกษาและแจ้งให้กรมเจ้าท่ารับทราบ เพราะบางทีแม้ผู้ดำเนินการจะมีเจตนาดี ทำเพื่อส่วนรวม แต่ทั้งนี้ต้องยึดติดกฏระเบียบและขั้นตอนกฏหมายให้ครบถ้วนด้วย"

http://www.siamrath.co.th


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 02 สิงหาคม 2012, 08:06:36
สนข.เล็งต่อยอดโครงสร้างพื้นฐาน


วันอังคารที่ 31 กรกฏาคม 2012 สนข.เล็งต่อยอดพร้อมเร่งผลักดันแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงประตูการค้าหลักและการค้าชายแดน  โดยเน้น 3 ท่าเรือและสนามบินสุวรรณภูมิ ส่วนประตูการค้าชายแดนครอบคลุมทุกภาค เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโลจิสติกส์ของประเทศ
 ดร.จุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ขณะนี้แผนพัฒนาประตูการค้าหลัก ประตูการค้าชายแดน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามประตูการค้าต่างๆ เริ่มดำเนินการไปแล้วหลายโครงการ โดยประตูการค้าหลักประกอบไปด้วย 1.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่จะเชื่อมโยงระหว่างประเทศเพื่อใช้เป็นจุดรวบรวมการขนส่งสินค้าทางอากาศ 2.ท่าเรือกรุงเทพ ซึ่งเป็นท่าเรือระหว่างประเทศรองรับเรือขนาดใหญ่เกินกว่า 12,000 เดตเวตตัน แต่มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถขยายพื้นที่ออกไปได้อีก 3.ท่าเรือแหลมฉบัง อยู่ระหว่างการเร่งรัดดำเนินการก่อสร้างเฟส 3 พร้อมกับเร่งพัฒนาระบบรางเชื่อมโยงเข้าถึงโดยตรงถึงภายในท่าเรือ 4.ท่าเรือระนอง รองรับการขนส่งสินค้าฝั่งทะเลอันดามัน แต่รองรับเรือขนส่งสินค้าไม่เกิน 1,2000 เดตเวตตัน
 ส่วนประตูการค้าชายแดน ได้แก่ ภาคเหนือเชื่อมโยงกับเมียนมาร์ที่ด่านแม่สอด จ.ตาก และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว)ที่ อ.เชียงของ, อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ปัจจุบันการรถไฟแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างการเร่งสรุปผลการศึกษาและออกแบบรายละเอียดเส้นทางช่วงเด่นชัย-เชียงรายเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติให้ดำเนินการต่อไปคาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 4 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับโครงการก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า จ.เชียงของ โดยกรมการขนส่งทางบกภายใต้งบประมาณกว่า 1,500 ล้านบาท ครม.มีมติเมื่อ 17 เมษายน 2555 อนุมัติในหลักการให้ดำเนินการแล้ว
 ภาคใต้ เชื่อมโยงสู่มาเลเซีย ผ่าน 3 จุดสำคัญคือ จุดด่านปาดังเบซาร์,  ด่านสะเดา จ.สงขลาและด่านสุไหงโก- ลก จ.นราธิวาส โดยมีการพัฒนาระบบรางเชื่อมไปสู่จ.ระนอง และตามด่านต่างๆ พร้อมกับการพัฒนาเส้นทางรถไฟเชื่อมอ่าวไทยและอันดามันในโครงการแลนด์บริดจ์ ส่วนทางน้ำ มีแผนเร่งพัฒนาท่าเรือภาคใต้ตอนล่างในหลายๆ แห่ง ตลอดจนศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าตามด่านชายแดนเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีย่านกองเก็บตู้สินค้าที่สถานีทุ่งโพธิ์ จ.สุราษฎร์ธานีเท่านั้น
 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เชื่อมโยงไปสู่สปป.ลาวผ่านจ.หนองคาย จ.นครพนม และจ.มุกดาหาร ด้วยการพัฒนาระบบรางในเส้นทางรถไปเชื่อมด่านชายแดนที่นครพนม และมุกดาหารให้เพิ่มขึ้น ซึ่งร.ฟ.ท.อยู่ระหว่างการเร่งสรุปผลการศึกษาเส้นทางรถไฟสายบัวใหญ่-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ที่เชื่อมโยงกับสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 3 ระยะทาง 336 กิโลเมตร คาดว่าจะใช้งบประมาณ 4 หมื่นล้านบาท อีกทั้งยังเร่งนำเสนอก่อสร้างศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าขึ้นที่ จ.มุกดาหารหรือ จ.นครพนม เนื่องจากปัจจุบันในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีย่านกองเก็บสินค้าที่สถานีกุดจิด จ.นครราชสีมาและสถานีท่าพระ จ.ขอนแก่น
 ภาคตะวันออก เชื่อมโยงกับประเทศกัมพูชาผ่านอ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว และอ.คลองใหญ่ จ.ตราด ได้มีการเร่งรัดการพัฒนาระบบรางสายมาบตาพุด-ระยอง และสายระยอง-จันทบุรี-ตราด ตลอดจนมอเตอร์เวย์เส้นทางพัทยา-ชลบุรี-มาบตาพุดที่ในอนาคตสามารถเชื่อมต่อไปยังระยองได้อีกด้วย อีกทั้งยังมีแผนการก่อสร้างศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าขึ้นที่จ.สระแก้วในระยะต่อไป และภาคตะวันตกที่เชื่อมโยงสู่ประเทศเมียนมาร์ผ่านอ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี โดยทางบกมีทั้งถนน 4 เลนและมอเตอร์เวย์ที่จะเชื่อมโยงไปสู่ท่าเรือน้ำลึกทวาย
 ดร.จุฬา กล่าวต่อไปว่า เร็วๆนี้ สนข.จะติดตามความคืบหน้าตลอดจนอุปสรรคปัญหาต่างๆอย่างใกล้ชิด เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์แก้ไขปัญหาให้สามารถพัฒนาโครงการไปสู่ความสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม ประการสำคัญยังสามารถจะต่อยอดโครงการต่างๆให้ยกระดับขีดความสามารถในระดับที่สูงขึ้นไปได้อีกในอนาคตทั้งภายในประเทศและการขยายเส้นทางไปสู่ประเทศต่างๆในระยะต่อไปเพื่อขยายโอกาสทางเศรษฐกิจของไทยให้มากยิ่งขึ้น

ากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,762  2-4  สิงหาคม พ.ศ. 2555


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 สิงหาคม 2012, 18:39:47
ที่ดินขอนแก่นไร่ละ 80 ล้าน! ‘อุดรฯ-แม่สอด’ไร่ละ40ล้าน/ปั่นราคา‘อีสาน-เหนือ’รับเออีซี

   
    

ขอนแก่น/อุดรฯ/ตาก/เชียงราย - ราคาที่ดินขอนแก่น-อุดรธานีแพงเว่อร์ ถนนศรีจันทร์เก็งกำไรไร่ละ 80 ล้านบาท ขณะ ที่ใจกลางเมืองอุดรธานีไร่ละ 40 ล้าน “ศุภาลัย” เผย ณ วันนี้ โซนรอบมหาวิทยาลัย ขอนแก่นบูมสุดๆ รองรับเศรษฐกิจ AEC ด้านภาคเหนือ บูมไม่แพ้กัน แม่สอดนำโด่ง สนนราคาที่ดินไร่ละ 10-40 ล้านบาท เชียงรายพุ่ง 2-3 ล้านบาทต่อไร่

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการบริหาร บริษัทศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงราคาที่ดินในจังหวัดขอนแก่น ว่าโซนที่บูมที่สุดคือรอบมหาวิทยาลัยขอนแก่น ราคาที่ดินถือว่าสูงสุดในปัจจุบันซื้อขายกันตารางวาละ 40,000-45,000 บาท หรือไร่ละ 16-18 ล้านบาท

" ณ วันนี้ แหล่งอยู่อาศัยเกิดใหม่แค่ 2-3 ปีราคาขยับเร็วมาก จากตารางวาละ 10,000-20,000 บาท ตอนนี้ซื้อขายกันตารางวาละกว่า 40,000 บาท หรือไร่ละเฉียด 20 ล้าน " นายไตรเตชะ กล่าว

แต่ที่มีราคาแพงสุด ๆ อยู่ที่ “ถนนศรีจันทร์” โดยแหล่งข่าวรายหนึ่ง เปิดเผยิสยามธูรกิจิ ว่า ราคาซื้อขายที่ดินในเส้นถนนศรีจันทร์ ณ วันนี้ไร่ละ 80 ล้านบาท แต่ก็ไม่มีที่ดินให้ซิ้อแล้ว เพราะตกอยู่ในมือของนักเก็งกำไร ซึ่งเป็นสาเหตุให้ราคาพุ่งขึ้นไปเว่อร์สูงเกินความเป็นจริง เพราะหากซื้อ-ขายกันตามราคาปกติเมื่อ 3 ปีก่อนหน้าก็จะอยู่ที่ไร่ละประมาณ 20 ล้านบาทเท่านั้น เท่ากับว่าปรับขึ้นมา 4 เท่าตัว

ขณะที่นางพรทิพย์ ธนศรีวนิชชัย ประธานบริษัท พร็อตเพอร์ตี้ จำกัด และ ในฐานะประธานชมรมอสังหาริมทรัพย์จังหวัดอุดรธานี เปิดเผยถึง การขยายตัวของโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่จังหวัดอุดร,ขอนแก่น และโคราช เป็นการขยายตัวตามแนวเส้นทางเศรฐกิจคนนาคมขนส่ง ซึ่งรัฐบาลได้มีนโยบายพัฒนาโครงการพื้นฐานรับการเปิดประชาคมเศรฐกิจอาเซียน AEC ในปี 2558 จากเดิมที่มีเพียงผู้ประกอบการท้องถิ่นแข่งขันพัฒนาโครงการบ้านจัดสรร และอาคารพานิชย์เท่านั้น แต่ในช่วง 2 ปีมานี้ผู้ประกอบการรายใหญ่จากส่วนกลาง(กทม.)เข้ามาผุดโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม ซึ่ง ณ วันนี้มีไม่ต่ำกว่า 6ราย อาทิ แลนด์ แอน เฮ้าส์,พฤกษา,ศุภาลัย เป็นต้น

ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้ ขยับสูงขึ้น จากบ้านเดี่ยวราคา 1 ล้านต้น ๆ ขยับขึ้นเป็น 2 ล้านบาท ราคา 2 ล้านบาท ขึ้นเป็น 2.5 -3 ล้านบาท และมีจำนวนที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี

ส่งผลต่อเนื่องถึงราคาที่ดินที่สูงขึ้น จากเดิมราคาอยู่ที่ ไร่ละ 3-4 ล้านบาท แต่ ณ วันนี้ขึ้นไปถึงไร่ละ 8-10 ล้านบาท และส่วนใหญ่ อยู่ในมือของเศรษฐีที่ดินท้องถิ่น เมื่อขายต่อจึงมีราคาสูง

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาที่ดินแนวราบใน จ.อุดรธานี มีความยากมากขึ้น เพราะราคาที่ดินปรับตัวสูงมาก โดยที่ดินใจกลางเมืองบางแปลงตั้งราคาขายสูงถึง 1 แสนบาทต่อตารางวา หรือ 40 ล้านบาทต่อไร่ส่วนบริเวณถนนวงแหวนรอยต่อใจกลางเมือง ราคาก็ขยับขึ้นไปไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นบาทต่อตารางวาหรือ 3-4 ล้านบาทต่อไร่แล้ว ประธานชมรมอสังริมทรัพย์ จังหวัดอุดรธานี กล่าว

ด้านนายบรรพต ก่อเกียรติเจริญ ประธานหอการค้าจังหวัดตาก กล่าวว่า อำเภอแม่สอดกำลังเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนจากจีนและญี่ปุ่น เนื่องจากทุกฝ่ายมองถึงศักยภาพของแม่สอดที่จะเป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญแห่งหนึ่งของ AEC บนระเบียงเศรษฐกิจอีสต์เวตส์อีโคโนมิกคอร์ริดอร์ (EWEC) ประกอบกับรัฐบาลมีแนวคิดผลักดันจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดขึ้น

นายเทอดเกียรติ ชินสรนันท์ นายกเทศมนตรีนครแม่สอด จ.ตาก กล่าวว่า ขณะนี้ที่ดินในพื้นที่มีราคาพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว เฉลี่ยราคาไร่ละ 3-7 ล้านบาท บางจุดสูงถึงไร่ละ 10-15 ล้านบาท ตามเส้นทางถนนสายหลักและสายรอง หากเป็นในเขตเมืองสูงอาจสูงถึงงานละ 10 ล้านบาทหรือไร่ละ 40 ล้านบาท และมีแนวโน้มราคาจะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องหลังรัฐบาลมีนโยบายที่จะจัดตั้งเป็นพื้นที่เขตการปกครองท้องถิ่นพิเศษและเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดเพื่อรองรับ AEC นับเป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะทำให้การค้า-การลงทุนชายแดนแม่สอดคึกคัก และนำไปสู่การพัฒนาความเจริญในทุกๆ ด้าน

ขณะที่ตัวแทนชมรมกลุ่มรักษ์เชียงแสน กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเมืองประวัติศาสตร์เชียงแสน จ.เชียงราย ร้องให้สื่อมวลชนเข้าตรวจสอบกรณีมีกลุ่มผู้นำท้องถิ่น รวมตัวกับนักการเมืองส่วนท้องถิ่น เร่งจัดสรรพื้นที่งอกหลายจุด ริมฝั่งแม่น้ำโขงชายแดนไทย-ลาว บริเวณพื้นที่ ต.เวียง ซึ่งอยู่ห่างจากที่ว่าการ อ.เชียงแสน ไปทางสามเหลี่ยมทองคำ เพื่อรวบรวมนำไปเสนอขายกลุ่มนายทุน ส่งผลราคาซื้อขายที่ดินสูงถึงไร่ละ 2-3 ล้านบาท

http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413364431 (http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413364431)


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 สิงหาคม 2012, 20:50:42
เชียงรายอัดกิจกรรมฉลองครบ750ปี ท่องเที่ยวต่างชาติ-ยอดเข้าพักพุ่ง

วันจันทร์ ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555, 06.00 น.

,

นางอัจฉริกา มณีสิน ผู้อำนวยการ สำนักงานเชียราย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสที่ 2 (เมษายน-มิถุนายน) ปี 2555 นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังจังหวัดเชียงราย มีจำนวนใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปี 2554 ที่ผ่านมา โดยจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าพักในจังหวัดเชียงรายไตรมาส 2 ปี 2555 สูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2554 เฉลี่ยประมาณ 28% โดยในเดือนมิถุนายน 2555 เพียงเดือนเดียวสูงกว่าเดือนมิถุนายน 2554 ถึงประมาณ 68% โดยส่วนใหญ่เป็นกรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยวชาวยุโรป ได้แก่ ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี และอังกฤษ คาดว่าแนวโน้มที่ดีดังกล่าวจะมียาวไปจนถึงเดือนกันยายน เนื่องจากตรงกับช่วงวันหยุดพักผ่อนของชาวยุโรป

ทั้งนี้ในช่วงวันหยุดยาวของเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โรงแรมและที่พักต่างๆในจังหวัดเชียงรายมีอัตราการเข้าพักสูงขึ้น อีกทั้งที่พักบางแห่งในตัวเมืองของจังหวัดเชียงราย ก็มีอัตราการเข้าพักเต็ม เช่น โรงแรมเลอเมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท ,โรงแรมริมกก รีสอร์ท และทีคการ์เด้น สปา รีสอร์ท เป็นต้น

ส่วนที่พักอื่นๆรอบเมืองของจังหวัดเชียงใหม่ ก็มีอัตราการเข้าพักเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน เฉลี่ยประมาณ 45% ซึ่งหากเปรียบเทียบกับปี 2554 อัตราการเข้าพักจะอยู่ที่ประมาณ 36-39% ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย ก็มีสัดส่วนใกล้เคียงกับปี 2554 แต่ถึงพิจารณาลงลึกในละเอียดแล้ว จะพบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นมาก โดยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีการเข้าพักเฉลี่ยประมาณ 68% เพิ่มขึ้นจากปี 2554 ที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้าพักในจังหวัดเชียงรายเฉลี่ยเพียงประมาณ 28% เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเข้าพักที่ค่อนข้างน้อย

นางอัจฉริกา กล่าวว่า สำหรับจังหวัดเชียงรายถือว่าปี 2555 นี้เป็นปีที่พิเศษ โดยจะเป็นปีที่จังหวัดเชียงรายได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองเมืองครบรอบ 750 ปี ดังนั้นจะมีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองตลอดทั้งปี เริ่มตั้งแต่ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีการจัดการแข่งขันจักรยานทางไกลนานาชาติ ทัวร์ ออฟ ไทยแลนด์ ใช้เส้นทางรอบจังหวัดเชียงราย ,งานอนุรักษ์ฟื้นฟู สืบสานวัฒนธรรม 13 ชนเผ่า, งาน 750 ปี เชียงรายรำลึก ของ ททท. และงานสืบสานตำนานลุ่มน้ำโขง 750 ปี เมืองเชียงราย เป็นต้น                           

                แหล่งข่าว กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายเป็นเมืองท่องเที่ยวชายแดนที่ติดกับพม่าและลาว ทั้งทางบก ตลาดชายแดน ทางแม่น้ำโขง และเชื่อมกับจีนตอนใต้ได้ รวมทั้งเป็นเมืองวัฒนธรรมล้านนา กลุ่มชาติพันธุ์ มีภูมิประเทศเป็นภูเขาและธรรมชาติที่สวยงาม ซึ่งสอดคล้องกับจังหัดอื่นๆ เช่น จังหวัดกระบี่ ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวเป็นทะเลและเกาะที่สวยงาม ดังนั้นหากสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์โดยเฉพาะการท่องเที่ยวกันได้ก็จะเป็นผลดีเป็นอย่างมาก และจะผลักดันให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวยังจัหงวัดเชียงรายมากขึ้น และเมื่อเร็วๆนี้ทั้ง 2 จังหวัดก็มีการจับมือกันส่งเสริมโอกาสทางการท่องเที่ยว เชื่อมโยงกิจกรรมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม การท่องเที่ยวทางทะเล ร่วมกัน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก

http://www.naewna.com/business/18919


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 สิงหาคม 2012, 22:45:54
ชียงรายโหมกระแสอาเซียน ผู้ว่าฯ สั่งสร้างหมู่บ้าน-ตำบล-อำเภอเออีซี

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   22 สิงหาคม 2555




เชียงราย - เมืองพ่อขุนฯ เปิดลานหน้าศาลากลางจังหวัดฯ โหมกระแส AEC ปลุกคนเชียงรายเตรียมพร้อมรับประชาคมอาเซียน และอาเซียน+จีน ที่มีผู้บริโภคมากกว่า 2 พันล้านคน ผู้ว่าฯ สั่งทุกหน่วยเดินเครื่องสร้างอำเภอ-ตำบล-หมู่บ้านเออีซีใน 3 ปี

วันนี้ (22 ส.ค.) ที่ลานหน้าศาลากลาง จ.เชียงราย นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เป็นประธานเปิดงานเตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ภายใต้ชื่องาน “เชียงรายก้าวสู่ประชาคมอาเซียน 2015” โดยมีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ การแต่งกายประจำชาติของชาติต่างๆ การแสดงบนเวทีที่บ่งบอกถึงความเป็นอาเซียนและเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมไทย ก่อนที่นายธานินทร์จะนำหัวหน้าส่วนราชการ ภาครัฐ และเอกชนเปิดโครงการอย่างเป็นทางการ

นายธานินทร์กล่าวว่า อาเซียนมี 3 ขาที่เกิดจากความร่วมมือกันของ 10 ประเทศ คือ ขาแห่งสังคม และความมั่นคง ขาแห่งประชาคมเศรษฐกิจหรือเออีซี และขาแห่งวัฒนธรรมประเพณี ดังนั้น ในโอกาสที่ประเทศไทยจะก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในปี 2015 หรืออีกประมาณ 3 ปีข้างหน้า ชาวเชียงรายจะต้องมีความพร้อม

เพราะเชียงรายมีความแตกต่างจากจังหวัดอื่นตรงที่เราคือยุทธศาสตร์ที่เป็นประตูของประเทศไทยสู่เออีซี และยังเป็นประตูจากอาเซียนสู่ประเทศจีนอีกด้วย โดยอาเซียนมีประชากรรวมกันทั้งหมดประมาณ 600 ล้านคน และหากอาเซียนบวกหนึ่ง คือ จีน ก็จะมีประชากรรวมกันกว่า 2,000 ล้านคน โดยมีเชียงรายเป็นจุดเชื่อมสำคัญ

นายธานินทร์กล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมโดยใช้เวลาอีก 3 ปี ก็จะต้องมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้านเออีซีโดยถ้วนหน้ากัน โดยได้จัดให้ทุกหน่วยงาน กรม กอง ฯลฯ ในพื้นที่ได้จัดประชุมเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ในส่วนของหน่วยงานตัวเองว่าจะเข้าสู่เออีซีอย่างไร และทั้งหมดจะร่วมกันกำหนดเป็นยุทธศาสตร์จังหวัดในการร่วมกันเข้าสู่เออีซีต่อไป

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9550000103190


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 สิงหาคม 2012, 14:18:08
ทุ่มงบ 21 ลบ.สร้างสถานีเดินรถ บขส.เชียงราย เปิดให้บริการแล้ววันนี้!!


เชียงราย เปิดสถานีเดินรถ บขส. รองรับการเติบโตของการคมนาคมทางบก เชื่อมเส้นทางสาย R3A เชียงราย-ลาว-จีน ใช้งบประมาณก่อสร้าง 21 ล้านบาท
     วันที่ 26 ส.ค.2555 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมชัย ศิริวัฒนโชค อธิบดีกรมการขนส่งทางบก, นายสุรชัย ลิ้นทอง รอง ผวจ.เชียงราย, นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร กก.ผจญ. บริษัทขนส่ง จำกัด (999) และคณะผู้บริหาร บขส. ร่วมกันทำพิธีเปิดสถานีเดินรถ บขส.เชียงราย ณ ลานสถานีขนส่งเดินรถเชียงราย ถนนพหลโยธินสายเก่า ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย

     นายสมชัย กล่าวว่า สถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งนี้จะเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการ และเป็นการรองรับการเจริญเติบโตของการคมนาคมทางบก เชื่อมต่อการเดินทางไปยังทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และเมื่อการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ไปยังเมืองห้วยทราย ของประเทศลาว ที่จะแล้วเสร็จในเดือน ก.ค.2556
     สถานีเดินรถบริษัทขนส่ง จำกัด เชียงราย จะสามารถรองรับการเปิดเดินรถระหว่างประเทศไทย ถึงสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งสามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศจีน ตามเส้นทางสาย R3A ได้ จึงถือเป็นการเตรียมพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (AEC) ของบริษัทขนส่ง จำกัด ในการที่จะพัฒนาบริการคมนาคมขนส่งทางบกด้วยรถโดยสารสาธารณะให้มีความทันสมัยและเจริญก้าวหน้า


     ขณะที่ นายวุฒิชาติ กล่าวว่า สถานีเดินรถ บริษัทขนส่ง จำกัด เชียงราย เกิดขึ้นจากคณะกรรมการบริษัทฯ เห็นชอบให้ก่อสร้างสถานีเดินรถ บขส.เชียงราย ขึ้นบนเนื้อที่ของบริษัทฯ เพื่อใช้เป็นสถานีขนส่งผู้โดยสารที่จะพัฒนาสู่การเป็นศูนย์กลางขนส่งผู้โดยสารในประเทศ (HUB) และระหว่างประเทศ รองรับการเปิดเดินรถโดยสารระหว่างประเทศไทยไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เส้นทางเชียงราย บ่อแก้ว ที่จะเปิดเดินรถขึ้นในอนาคต ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ ได้เปิดเดินรถระหว่างประเทศ เส้นทางเชียงใหม่ เชียงราย หลวงพระบาง ไปแล้ว 1 เส้นทาง

     ทั้งนี้ รถโดยสารของบริษัทฯ ที่เข้าใช้พื้นที่ในสถานีรถ บขส.เชียงราย คือ เส้นทางกรุงเทพ เชียงราย ให้บริการวันละ 4 เที่ยววิ่งต่อวัน คือ รถมาตรฐาน 4 (ก) 1 เที่ยว เวลา 19.00 น. รถมาตรฐาน 4 (ข) 2 เที่ยววิ่ง เวลา 07.00 น. เวลา 18.00 น. และรถมาตรฐาน 4 (ค) 1 เที่ยววิ่ง เวลา 16.30 น. โดยรูปแบบอาคารเป็น 3 ชั้น มีพื้นที่ภายในอาคารสำหรับห้องจำหน่ายตั๋ว ที่พักผู้โดยสาร ศูนย์อาหาร ร้านค้าสะดวกซื้อ สุขาสำหรับผู้โดยสาร พื้นที่อำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ อาทิ ทางลาดคนพิการ ห้องสุขาคนพิการ ที่รับฝากพัสดุภัณฑ์ และที่พักพนักงาน โดยงบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น 21 ล้านบาท

http://www.siamrath.co.th/web/?


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 28 สิงหาคม 2012, 21:09:42
รัฐเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรับเออีซี1.1ล้านล้าน

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังประชุมหารือเพื่อวางแผนการจัดเส้นทางคมนาคมรองรับประชาคมอาเซียนหรือเออีซี ว่า กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างจัดทำแผนเส้นทางคมนาคมเชื่อมประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรองรับประชาคมอาเซียน โดยเน้นเส้นทางเชื่อมระหว่างประตูการค้าชายแดนหลัก 8 แห่ง ไปยังประตูการค้าหลักของประเทศ คือ ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เบื้องต้นคาดว่าจะต้องดำเนินโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทั้งถนน รถไฟ รวม 75 โครงการ วงเงินประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท ระยะเวลาดำเนินโครงการปี 2556-2563 คาดแผนจะสรุปแล้วเสร็จภายในเดือนก.ย.นี้

สำหรับประตูการค้าชายแดน 8 แห่ง ได้แก่ 1.ด่านอรัญประเทศ ติดชายแดนกัมพูชา 2.ด่านมุกดาหาร ติดชายแดนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) 3.ด่านแม่สอด ติดชายแดนเมียนมาร์ 4.ด่านสะเดา ติดชายแดนมาเลเซีย 5.ด่านปาดังเบซาร์ ติดชายแดนมาเลเซีย 6.ด่านหนองคาย ติดชายแดนสปป.ลาว 7.ด่านแม่สาย ติดชายแดนเมียนมาร์ และ8.ด่านเชียงของ ติดชายแดนสปป.ลาว

"การจัดเส้นทางคมนาคม เช่น เส้นทางด่านอรัญประเทศเชื่อมท่าเรือแหลมฉบัง มีเป้าหมายหลักเพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าของตลาดอาเซียน โดยมีจุดเด่นที่การคมนาคมสะดวก โดยสามารถใช้ไทยเป็นศูนย์กลางเดินทางเชื่อมต่อไปยังประเทศที่ 2 และ 3 ได้ ขณะที่ประเทศไทยก็จะได้รับประโยชน์จากการเป็นฐานการผลิตและกิจกรรมการค้าต่างๆ" นายจารุพงศ์ กล่าว

ปัจจุบันกระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างจัดทำแผนยุทธศาสตร์พัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศ พ.ศ.2555-2559 ด้วย ซึ่งพบว่ามีหลายโครงการที่อยู่ในขอบเขตของแผนการพัฒนาเพื่อรองรับประชาคมอาเซียนและพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ดังนั้นจะมีการสรุปแผนงานอีกครั้งว่าโครงการใดจะบรรจุอยู่ในแผนใด โดยโครงการเร่งด่วนที่ต้องเร่งดำเนินการอาจพิจารณาให้ใช้เงินกู้ ส่วนโครงการใดที่อยู่ในแผนราชการปกติ ก็จะใช้งบประมาณแผ่นดิน โดยยืนยันไม่มีปัญหาซ้ำซ้อน

"โครงการรถไฟทางคู่ ถือได้ว่าเป็นโปรเจ็คยาสามัญประจำบ้าน เพราะสามารถตอบโจทย์ได้ทั้งการรองรับประชาคมอาเซียน และลดต้นทุนโลจิสติกส์ ซึ่งยังมีอีกหลายโครงการที่เข้าข่ายโปรเจ็คยาสามัญประจำบ้าน ซึ่งโครงการเหล่านี้จะต้องเร่งดำเนินการ และจะต้องพิจารณาว่าจะใช้งบประมาณจากส่วนใด" นายจารุพงศ์ กล่าว

ด้านนายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าวว่า เส้นทางที่กำหนดให้ใช้สำหรับขนส่งสินค้าผ่านแดนและข้ามแดนในประเทศไทยรวม 6 เส้นทาง ระยะทาง 4,477 กม. ได้แก่ 1.เส้นทางหมายเลข 1 แม่สอด (ชายแดนเมียนมาร์)-ตาก-กรุงเทพฯ (แยกบางปะอิน)-หินกอง-นครนายก-อรัญประเทศ-คลองลึก (ชายแดนกัมพูชา) ระยะทาง 702 กม. 2.เส้นทางหมายเลข 2 แม่สาย (ชายแดนเมียนมาร์)-เชียงราย-ลำปาง-ตาก-กรุงเทพฯ (แยกบางปะอิน)-นครปฐม-ปากท่อ-ชุมพร-สุราษฎร์ธานี-พัทลุง-หาดใหญ่-อ.สะเดา (ชายแดนมาเลเซีย) ระยะทาง 1,923 กม.

3.เส้นทางหมายเลข 3 เชียงราย-เชียงของ (ชายแดนสปป.ลาว) ระยะทาง 115 กม. เส้นทางหมายเลข 4.เส้นทางหมายเลข 12 แยกหินกอง-สระบุรี-นครราชสีมา-ขอนแก่น-หนองคาย (ชายแดนสปป.ลาว) 5.เส้นทางหลายเลข 16 ตาก-พิษณุโลก-ขอนแก่น-กาฬสินธุ์-อ.สมเด็จ-มุกดาหาร (ชายแดนสปป,ลาว) และ6.เส้นทางหมายเลข 19 นครราชสีมา-กบินทร์บุรี-แหลมฉบัง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันออก (ทับช้าง)-บางปะอิน ระยะทาง 491 กม.

http://www.bangkokbiznews.com9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99.html


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 สิงหาคม 2012, 08:04:45
ทุ่ม1.1ล้านล.เชื่อมระบบคมนาคม



นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมเตรียมจัดทำแผนการพัฒนาโครงข่ายเชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่ง เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางฐานการผลิตการเกษตร อุตสาหกรรมและท่องเที่ยว คาดว่าจะใช้งบประมาณดำเนินการระหว่างปี 2556-2563 จำนวน 1.1 ล้านล้านบาท ใน 75 โครงการ



ทั้งนี้จากการศึกษาเบื้องต้นของกระทรวงมองว่าต้องเร่งพัฒนาโครงข่ายเชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่งของไทยกับอาเซียน ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพขนส่งเชื่อมเส้นทางคมนาคมขนส่ง ณ ประตูการค้าหลัก 3 ส่วนเข้าด้วยกันคือ 1.สนามบินสุวรรณภูมิ 2.ท่าเรือแหลมฉบัง และ 3.ด่านพรมแดนสำคัญ 8 แห่งคือ ด่านเชียงของ และแม่สาย จ.เชียงราย ด่านสะเดา และปาดังเบซาร์ จ.สงขลา ด่านหนองคาย ด่านมุกดาหาร จ.มุกดาหาร ด่านคลองลึก จ.สระแก้ว และด่านแม่สอด จ.ตาก โดยเร่งขยายทางหลวงสายหลักโครงข่ายถนนเป็น 4 เลน ก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง พัฒนาเส้นทางรถไฟเชื่อมโยงทะเลฝั่งอันดามันและอ่าวไทย ส่วนระยะยาวต้องเร่งก่อสร้างรถไฟรางคู่ และรถไฟฟ้าความเร็วสูง คาดว่าแผนจะแล้วเสร็จได้ภายในเดือนก.ย.นี้

หน้า 8

(http://www.khaosod.co.th/images/ks.gif)


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: yonok ที่ วันที่ 29 สิงหาคม 2012, 09:03:02
-ขอบคุณครับข้อมูลดีๆที่คนเชียงรายต้องรู้
-แล้วประเด็นคนเชียงรายส่วนมากยังเข้าไม่ถึง จะทำจะไดีครับ ?
-แล้วคนเชียงรายจะรับมือกับ ความเจริญ ผู้คนที่มากหลาย โดยเฉพาะภาคการเกษตร จะโดนรุกฆาตจะทำจะไดครับ ?
-แต่ละโครงการยิ่งใหญทั้งนั้น มีโครงการด้านสังคมที่เตรียมรับมิอกับประชาคมอาเซียนจะไดผ่องครับ ?
 
(http://upic.me/i/q1/4iwou.jpg) (http://upic.me/show/38669704)


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 30 สิงหาคม 2012, 08:17:29
-ขอบคุณครับข้อมูลดีๆที่คนเชียงรายต้องรู้
-แล้วประเด็นคนเชียงรายส่วนมากยังเข้าไม่ถึง จะทำจะไดีครับ ?
-แล้วคนเชียงรายจะรับมือกับ ความเจริญ ผู้คนที่มากหลาย โดยเฉพาะภาคการเกษตร จะโดนรุกฆาตจะทำจะไดครับ ?
-แต่ละโครงการยิ่งใหญทั้งนั้น มีโครงการด้านสังคมที่เตรียมรับมิอกับประชาคมอาเซียนจะไดผ่องครับ ?
 
(http://upic.me/i/q1/4iwou.jpg) (http://upic.me/show/38669704)


มันเป็นโจทย์ใหญ่ที่ ภาครัฐในพื้นที่ และสถานศึกษา ในจังหวัด ต้องช่วยๆกัน...
ถ้าไม่ทำเชิงรุก เพียงสัมนนา แล้วจบไป...

นำงบประมาณมาจัดประชุม วางแผน ขาดประชาชนมีการรับรู้ และมีส่วนร่วมภาคประชาชน...

ต้องมีเวทีสัญจร ลงพื้นที่ ประชาสัมพันธ์ บ่อยๆ

ถ้าโครงการทำอะำไร บ้างครั้งชาวบ้าน ยังไม่ทราบทั่วถึง ขนาดมีการทำประชาพิจารณ์




หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 30 สิงหาคม 2012, 21:03:06
คมนาคมสรุปแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 1.9 ล้านล้าน
วันพฤหัสบดี ที่ 30 ส.ค. 2555     
กรุงเทพฯ 30 ส.ค.- นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังประชุมจัดทำแผนลงทุนของกระทรวงคมนาคมว่า ได้สรุปโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคม เพื่อรองรับการพัฒนาอนาคตของประเทศในระยะยาว ภายในปี 63 รวมทั้งโครงการพัฒนาระบบคมนาคมรองรับการเปิดประชาคมอาเซียนในปี 58 โดยจะใช้เงินลงทุนจาก พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท สำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยพบว่ามีทั้งหมด 55 โครงการ วงเงินประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท โดยภายใน 2 สัปดาห์ แต่ละหน่วยงานจะส่งรายละเอียดโครงการให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) รวบรวมรายละเอียดอีกครั้ง ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนโครงการบ้าง แต่โครงการหลักๆ จะเหมือนเดิม

สำหรับแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน จะเป็นการลงทุนสาขาต่างๆ เช่น สาขาการขนส่งทางถนน วงเงิน 479,000 ล้านบาท เช่น ทางหลวงวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ รอบที่ 3 ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ช่วงชลบุรี-พัทยา-มาบตาพุด ช่วงบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ช่วงบางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี ช่วงนครปฐม-สมุทรสงคราม-ชะอำ และช่วงบางปะอิน-นครสวรรค์

สาขาการขนส่งทางราง วงเงิน 1.28 ล้านล้านบาท เช่น รถไฟทางคู่ ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ระบบรถไฟสายใหม่ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ช่วงอรัญประเทศ-ปอยเปต รถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน สาขาการขนส่งทางน้ำ วงเงิน 128,000 ล้านบาท เช่น เขื่อนยกระดับในแม่น้ำเจ้าพระยาและน่าน ท่าเรือน้ำลึกปากบารา ท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 และสาขาการขนส่งทางอากาศ วงเงิน 83,900 ล้านบาท เช่น การพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 การก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบบริการทางเดินอากาศ

ส่วนเป้าหมายในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน คือ ในปี 63 ต้นทุนการขนส่งสินค้าเฉลี่ยตันละ 1.8669 บาทต่อ กม. หากไม่ลงทุนคาดว่าต้นทุนการขนส่งสินค้าเฉลี่ยเป็นตันละ 1.9949 บาทต่อ กม. ขณะที่ปริมาณผู้โดยสารในระบบขนส่งสาธารณะของประเทศไทยโดยรวมเพิ่มขึ้น 6% ทำให้ลดค่าใช้จ่ายสูญเสียจากการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลประมาณ 80,000 ล้านบาท ประหยัดมูลค่าของเวลาในการเดินทางได้ประมาณ 100,000 ล้านบาท และลดต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมได้ 3,600 ล้านบาท

นอกจากนั้น ยังทำให้สัดส่วนปริมาณการขนส่งสินค้าทางราง เพิ่มขึ้นเป็น 5% จากปี 54 อยู่ที่ 2.5% สัดส่วนปริมาณการขนส่งสินค้าทางลำน้ำ เพิ่มขึ้นเป็น 10.5% จากปี 2554 อยู่ที่ 8.5% สัดส่วนปริมาณการขนส่งสินค้าทางชายฝั่ง เพิ่มขึ้นเป็น 7.5% จากปี 54 อยู่ที่ 6% ปริมาณผู้โดยสารที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพิ่มเป็น 64 ล้านคน จากปี 2554 อยู่ที่ 47.4 ล้านคน รวมทั้งยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งสินค้าในภาพรวม เป็น 900 ล้านตันต่อปี จากเดิม 700 ล้านตันต่อปี.-สำนักข่าวไทย


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 31 สิงหาคม 2012, 19:22:48
กต.เปิดแล้ว สำนักงานเชียงรายรับเมืองหน้าด่านเออีซี

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   31 สิงหาคม 2555


เชียงราย - กระทรวงการต่างประเทศ เตรียมเปิดสำนักงานการต่างประเทศที่เชียงรายแล้ว กำหนดเริ่มตัดริบบิ้นให้บริการจันทร์หน้า (3 ก.ย.) รับเมืองหน้าด่านประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า กระทรวงการต่างประเทศมีกำหนดเปิดสำนักงานการต่างประเทศเชียงราย เพื่อให้บริการออกหนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ต เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในเชียงราย และจังหวัดใกล้เคียง ในวันจันทร์ที่ 3 ก.ย. 55 นี้ โดยพิธีเปิดจะมีขึ้นในเวลา 10.45 น. ณ หอประชุมอาคารคชสาร ศูนย์บูรณาการการเรียนรู้และนันทนาการ สนามกีฬากลาง อ.เมือง จ.เชียงราย
       
       นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เปิดเผยว่าเชียงรายเป็นจังหวัดที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน นอกจากนี้ยังเป็นจังหวัดที่มีแรงงานไทยเดินทางไปทำงานต่างประเทศจำนวนมาก และมีแนวโน้มการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมเข้าสู่สมาคมอาเซียนในปี 2558 ดังนั้น อบจ.ชียงราย ร่วมกับกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ จึงได้เปิดสำนักงานการต่างประเทศเชียงราย ณ อาคารนันทนาการดังกล่าว
       
       โดยในวันที่ 3 ก.ย. 55 ทางนายนาวิน บุญเสรฐ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ,นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย, นายประสิทธิพร เวชประสิทธิ์ รองอธิการบดีกรมการกงสุล และตน จะร่วมกันเปิดสำนักงานฯ อย่างเป็นทางการ จากนั้นจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปใช้บริการได้ทันที
       
       อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ยังถือเป็นการใช้อาคารชั่วคราว จากนั้นทางสำนักงานฯ จะย้ายไปประจำเป็นการถาวรเมื่อมีการเปิดใช้สำนักงาน อบจ.เชียงราย บริเวณแยกป่าแดง ต.ริมกก อ.เมือง ต่อไป
       
       รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานต่างๆ ใน จ.เชียงราย ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น หอการค้า สมาคมท่องเที่ยว สภาอุตสาหกรรม ฯลฯ ต่างเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรัฐบาล จัดตั้งสถานกงสุลหรือสำนักงานของสถานกงสุล ที่เชียงราย เพื่อเชื่อมกับ สปป.ลาว พม่า และโดยเฉพาะจีนตอนใต้ เนื่องจากมีภูมิศาสตร์เชื่อมกับประเทศลุ่มน้ำโขง และสะพานเชื่อมถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ กำลังแล้วเสร็จในปี 2556 นี้ด้วย


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000107179


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 02 กันยายน 2012, 13:07:15
กนอ.ลงนามร่วมภาครัฐเอกชนของจีนศึกษาการตั้งนิคมอุตฯเชียงของ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   2 กันยายน 2555 10:06 น.   


กนอ.ลงนามร่วมภาครัฐและเอกชนจีนศึกษาการตั้งนิคมอุตสาหกรรมเชียงของ จ.เชียงรายรองรับธุรกิจบริการโลจิสติกส์ พร้อมรับการเข้าสู่ AEC ปี 2558
       
       นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ คณะผู้บริหาร กนอ.ได้เดินไปโรดโชว์ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ระหว่างไทย-จีน ณ ศูนย์ธุรกิจไทย-จีน ประจำนครหนานหนิง เขตการปกครองตนเองจ้วงกวางสี สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมกันนี้ กนอ.ยังได้ร่วมลงนามบันทึกการแสดงเจตนาร่วมกัน ในความร่วมมือการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งโครงการนิคมอุตสาหกรรมเชียงของ จังหวัดเชียงราย เพื่อรองรับการให้บริการด้านการค้าและการลงทุน โดยร่วมมือกับ สำนักงานความร่วมมือเตียนฉือ(คุณหมิง)- แพนเอเชีย แห่งรัฐบาลประชาชนนครคุณหมิง บริษัท ยูนนานเถิงจวิ้นอินเวสต์เมนท์ กรุ๊ป จำกัด และบริษัท เจี๋ยเฟิง อินเวสต์เม้นท์ จำกัด ด้านโลจิสติกส์ในแถบชายแดน
       
          ทั้งนี้กนอ.กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ ในการจัดตั้งนิคมฯเชียงของ ในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ในรูปแบบการดำเนินการร่วมกับภาคเอกชน พื้นที่ประมาณ 500 ไร่ จัดสรรเป็นพื้นที่ประกอบการประมาณ 200 ไร่ โดยพื้นที่ดังกล่าวนับเป็นยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมในการรองรับธุรกิจบริการด้านโลจิสติกส์ ด้วยการเชื่อมโยงด้านคมนาคมทั้งทางบก ทางน้ำ และอากาศ ทั้งเส้นทางคมนาคมสาย R3A เชื่อมโยงไทย ลาว และจีนตอนใต้ แม่น้ำโขง และสนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวง มีกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปยาง ยา อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2556
       
       สำหรับการโรดโชว์ครั้งนี้ กนอ.นี้ยังได้นำเสนอบทบาทการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ตลอดจนการส่งเสริมและพัฒนาด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ระหว่าง 2 ประเทศ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจในอนุภาคลุ่มน้ำโขงเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ปี 2558 โดยได้รับความสนใจจากภาครัฐ และภาคเอกชน ของจีน จำนวนมาก




หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 กันยายน 2012, 20:08:54
กลุ่มภาคเหนือตอนบนลุ้นเปิด“กิ่วผาวอก”ชายแดนไทย-พม่ารับเออีซี

   + อันดับข่าวอ่านมากที่สุดนี้
    ที่ดิน บ้านพุน้ำร้อน คึกรับทวายปั่นราคาพุ่งจากหมื่นทะลุ...
   แฉ‘แปลงทุนเป็นบุญ’ยอดฮิต ฮั้วมูลนิธิเล่นกลตัวเลข/ดาราเล...
   เร่งปั้นอีเลิร์นนิ่งดันไทยก้าวสู่ฮับมหา’ลัยไซเบอร์...
   ส่งออก‘ไว้ลาย’‘ลงทุน-ท่องเที่ยว’ช่วยหนุนเศรษฐกิจ...
   เปิดหัวใจเปลี่ยนสี ธาริต เพ็งดิษฐ์...
   ทีดีอาร์ไอเสนอมาตรการ“3 : เลิก เร่ง รุก โล๊ะ” คุมต่างด้...
   ให้ผู้ว่าฯชี้ขาดจ่าย‘ภัยพิบัต’ จัดเกณฑ์ใหม่ลดขั้นตอนรัฐ...
    

 
(4ก.ย.2555) – ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ นำคณะกรรมาธิการ ฯ ศึกษาดูงานการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) กลุ่มภาคเหนือตอนบน 1 ที่จังหวัดเชียงใหม่

นายสุรพล เกียรติไชยากร ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร และประธานคณะอนุกรรมาธิการความสัมพันธ์เศรษฐกิจ การศึกษา มิตรภาพไทย-จีน-อาเซียน นำคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ และคณะอนุกรรมาธิการความสัมพันธ์เศรษฐกิจ การศึกษา มิตรภาพไทย-จีน-อาเซียน เดินทางมาศึกษาดูงานการเตรียมความพร้อมของจังหวัดในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 เข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยมี นายฤทธิพงศ์ เตชะพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ/ภาคเอกชนในจังหวัดเชียงใหม่ และผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน ลำปาง และแม่ฮ่องสอน ให้การต้อนรับและบรรยายสรุปการเตรียมความพร้อมของจังหวัดกลุ่มภาคเหนือตอนบน 1 ให้คณะกรรมาธิการ ฯ รับทราบ พร้อมทั้งเสนอขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลในการผลักดันให้การก้าวเข้าสู่ AEC ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะผู้แทนหัวหน้ากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ได้รายงานข้อมูลพื้นฐานและศักยภาพของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 และศักยภาพของจังหวัดเชียงใหม่ ในการเตรียมการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ว่า กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ประกอบด้วยจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และแม่ฮ่องสอน มีพื้นที่รวม 49,828 ตารางกิโลเมตร มีประชากรทั้งสิ้น 3,051,678 คน มีผลิตภัณฑ์มวลรวมกลุ่มจังหวัด (GPP) จำนวน 371,093 ล้านบาท โดยเชียงใหม่มีมูลค่าสูงสุด จำนวน 178,663 ล้านบาท รองลงมาคือจังหวัดลำพูน ลำปาง และแม่ฮ่องสอน ตามลำดับ ส่วนรายได้เฉลี่ยประชากรอยู่ที่ 89,802 บาทต่อคนต่อปี โดยจังหวัดลำพูนมีรายได้เฉลี่ยประชากรสูงสุด จำนวน 160,500 บาทต่อคนต่อปี เนื่องจากมีนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือตั้งอยู่ รองลงมาก็คือ เชียงใหม่ ลำปาง และแม่ฮ่องสอน ตามลำดับ โดยรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้กลุ่มจังหวัดเป็นศูนย์กลางการพัฒนา การค้า การลงทุน การท่องเที่ยวและการศึกษาเชื่อมโยงกับประเทศ GMS กลุ่มประเทศ BIMSTEC มีศักยภาพและความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน องค์ความรู้ และบุคลากรในการพัฒนาสู่การเป็นศูนย์กลางด้านต่าง ๆ เช่น ศูนย์กลางการบิน (Aviation hub) ศูนย์กลางการประชุมและจัดนิทรรศการนานาชาติ (MICE) ศูนย์กลางธุรกิจบริการสุขภาพ (Medical hub) และศูนย์กลางการศึกษา (Education hub)

การท่องเที่ยวมีความโดดเด่นและหลากหลายสอดคล้องกับกระแสความต้องการของนักท่องเที่ยว เช่น การท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ เชิงอนุรักษ์ และเชิงสุขภาพ เป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ และแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของประเทศ มีทุนทางสังคมและวัฒนธรรมล้านนาที่มีเอกลักษณ์ เอื้อต่อการพัฒนาในมิติต่าง ๆ และกระแสการบริโภคสินค้าเกษตรปลอดภัย ไร้สารพิษ ตลาดมีแนวโน้มเติบโตสูง ทั้งนี้กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 โดยทุกภาคส่วนได้ร่วมกันพัฒนาในทุกมิติเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ในการพัฒนากลุ่มจังหวัดร่วมกัน คือ “ศูนย์กลางการท่องเที่ยว การค้า การลงทุนสู่สากล โดดเด่นวัฒนธรรมล้านนา สังคมน่าอยู่ทุกถิ่นที่”

หลังจากรับฟังบรรยายสรุปการเตรียมความพร้อมของกลุ่มจังหวัดจากผู้แทนทั้ง 4 จังหวัดแล้ว ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ฯ กล่าวว่า จะนำข้อเสนอของจังหวัดเรื่องการเปิด “กิ่วผาวอก” อำเภอเชียงดาว ให้เป็นจุดผ่านแดนถาวรเพื่อให้เกิดการค้าการลงทุนตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับพม่า เสนอรัฐบาลต่อไป ส่วนด้านแรงงานสายอาชีพที่ขาดแคลนในขณะนี้จะเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการเข้ามามีบทบาทในการเปิดการเรียนการสอนในสาขาที่ขาดแคลนแรงงานเพิ่มมากขึ้นโดยเสริมการสอนภาษาจำเป็นด้วย เช่น ภาษาอังกฤษ และภาษาในประเทศกลุ่มประชาคมอาเซียน ด้านการคมนาคมจะผลักดันให้เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางการบินทางอากาศ ส่วนการคมนาคมทางบกผ่านเส้นทาง R3A และ R3B จะอยู่ที่จังหวัดเชียงราย ในส่วนของพื้นที่ตามแนวตะเข็บชายแดนที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า และ มาเลเซีย ซึ่งมีจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อแนวชายแดนถึง 32 จังหวัด 384 อบต. นั้น อปท.จะเป็นตัวเชื่อมสำคัญในการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนทั้งด้านแรงงาน สิ่งแวดล้อม และด้านเศรษฐกิจ โดยเห็นว่า ภาคเอกชนมีส่วนสำคัญยิ่งในการผลักดันให้ไทยเข้าสู่ AEC อย่างมีประสิทธิภาพ โดยควรเร่งส่งเสริมความพร้อมด้านการท่องเที่ยว ภาคการเกษตร การศึกษา ให้มีความพร้อมมากที่สุด จะเสนอให้มีการมอบหมายหน่วยงานระดับกระทรวงเป็นเจ้าภาพหลักในการเชื่อมประสานด้านการพัฒนาเข้าสู่ AEC ของทุกหน่วยงาน

ทั้งนี้ เพื่อให้ไทยสามารถก้าวเข้าสู่ AEC และบรรลุวิสัยทัศน์ของอาเซียนร่วมกับอีก 9 ประเทศคือ หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งอัตลักษณ์ หนึ่ง ประชาคม โดยประโยชน์ที่ได้หากประชาคมอาเซียนที่มีประชากรกว่า 600 ล้านคน สามารถรวมกับจีน ซึ่งมีประชากรกว่า 1,300 ล้านคนได้ ประชาคมอาเซียนก็จะเกิดความแข็งแกร่งสามารถแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกได้ ส่วนผลเสียในประชาคมอาเซียนก็อาจมีบ้างซึ่งจะส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 กันยายน 2012, 21:31:54
ทัวร์ไทย-จีนผุด 4 แพกเกจเที่ยวคุนหมิง-เชียงราย ปูทางดึงคนจีนเข้าไทย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   6 กันยายน 2555 18:21 น.

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   6 กันยายน 2555 18:21 น.


เชียงราย -กลุ่มทุนท่องเที่ยวไทย-จีนจับมือทำแพกเกจทัวร์หยุนหนัน-เชียงราย เบื้องต้นได้ 4 โปรแกรมทดลองทำตลาดในจีนช่วงแรก 3 เดือนปูทางดึงนักท่องเที่ยวจีนเดินทางต่อจากคุนหมิง-สิบสองปันนาเข้าไทย ก่อนร่วมทำโปรแกรมท่องเที่ยวไทย-จีนต่อ

วันนี้ (6 ก.ย.) ที่ห้องประชุมดอยตุง โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์รีสอร์ทเชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวไทย-จีน ระหว่าง จ.เชียงรายกับมณฑลหยุนหนัน โดยมีนายสรรเสริญ เงารังษี รองผู้ว่าการด้านการตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดำเนินการประชุม

ครั้งนี้ ททท.สำนักงานคุนหมิง มณฑลหยุนหนัน ได้นำคณะนักธุรกิจท่องเที่ยวจากคุนหมิงจำนวน 12 รายเข้าร่วมประชุมหารือกับธุรกิจในสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย ประมาณ 30 ราย โดยมีหน่วยงานภาครัฐ เช่น ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ตำรวจท่องเที่ยว ฯลฯ เข้าร่วมด้วย เพื่อผลักดันให้มีการจัดทำเส้นทางนำเที่ยวหรือแพกเกจทัวร์ร่วมกัน

หลังจากที่ได้มีการนำคณะนักธุรกิจจีนตระเวนสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวใน จ.เชียงราย และพื้นที่ใกล้เคียงแล้ว ได้มีการสรุปแพกเกจทัวร์หยุนหนัน-เชียงรายจำนวน 4 แพกเกจ คือรูปแบบ 4 วัน 3 คืน ระหว่างเชียงรุ่ง เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา-เชียงราย, เชียงรุ่ง-เชียงราย-เชียงใหม่, เชียงรุ่ง-เชียงราย-พัทยา และรูปแบบ 5 วัน 4 คืน จากคุนหมิง-เชียงราย-เชียงใหม่ สนนราคาขึ้นอยู่กับห้องพักแต่มีราคาเฉลี่ยตั้งแต่ 6,390-15,900 บาท

พร้อมกันนั้น ในที่ประชุมมีการเปิดให้ผู้ประกอบการทั้งสองฝ่ายได้ร่วมถกประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกิจทัวร์ไทย-จีนที่ผ่านมา ซึ่งฝ่ายจีนมักระบุถึงปัญหาเรื่องการเสียค่าใช้จ่ายมากจากค่าผ่านแดน ซึ่งบางครั้งพวกเขาไม่ทราบว่าเป็นค่าใช้จ่ายอะไร ครั้งละ 50-100 บาท หรือบางครั้งสูงถึง 1,000 บาท ซึ่ง ตม.ชี้แจงว่า ไม่มีค่าใช้จ่ายนอกระเบียบอย่างแน่นอน แต่ขอให้นักธุรกิจจีนได้ดูพาสปอร์ตนักท่องเที่ยวว่าหมดอายุหรือไม่ พาสปอร์ตมีอายุเกิน 6 เดือนหรือไม่ เป็นต้น กรณีวีซ่า ต้องมีรูปถ่าย 2 ใบ สำเนาพาสปอร์ต ฯลฯ เป็นต้น

ขณะเดียวกัน นักธุรกิจจีนเสนอให้เชียงรายมีการพัฒนามัคคุเทศก์หรือไกด์นำเที่ยวที่ใช้ภาษาจีนกลางให้ดี เพราะที่ผ่านมาพบว่ายังต้องการการพัฒนาอีกมาก

Mr. Li Wei Hua ผู้จัดการบริษัทหยุนหนัน เทียนดา อินเตอร์เนชันแนล ทราเวล จำกัด กล่าวว่า สถานที่ท่องเที่ยวเชียงรายน่าสนใจมาก แต่ตนขอเสนอให้ปรับแพกเกจทัวร์ให้เหมาะสม เพราะที่จัดไว้นั้นกำหนดสถานที่ที่ห่างกันมากเกินไปจึงต้องใช้เวลาเดินทางบางแห่งนับชั่วโมง จึงควรรวมสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้กันไว้ในแพกเกจเดียวกัน กรณีการนำทัวร์ไปซื้อสินค้าก็ควรจะแจ้งถึงที่มาที่ไปของสินค้า หรือมีเป้าหมายชัดเจน เนื่องจากที่ผ่านมานำไปทุกร้านทำให้นักท่องเที่ยวสับสน เหนื่อยกับการเดินทาง

Ms. Huang Zirong ผู้จัดการสายการบินไชน่าอีสเทิร์น กล่าวว่า ปัจจุบันไชน่าอีสเทิร์นมีสาขากว่า 38 แห่งในประเทศจีน และให้บริการทำการบินระหว่างเชียงราย-คุนหมิง สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน ด้วยเครื่องบินขนาด 45 ที่นั่ง แต่สัญญาการทำการบินจะหมดลงในเดือน พ.ย. 55 นี้แล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีสาขาในจีนหลายแห่งและยังคงทำการบินไปยังเชียงใหม่อยู่จึงจะสนับสนุนการท่องเที่ยวร่วมกับ จ.เชียงรายต่อไป

ด้านนายอภิชา ตระสินธุ์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวว่า โครงการนี้ถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์ที่นักธุรกิจเชียงราย-หยุนหนันได้ร่วมกันจัดทำแพกเกจทัวร์ และนำออกมาขายร่วมกันอย่างเป็นจริงเป็นจัง เพราะอดีตที่ผ่านมายอมรับว่าเอกชนแต่ละรายจะประกอบธุรกิจแบบต่างคนต่างทำ จนทำให้ธุรกิจรายใหญ่ๆ ได้เปรียบ

ขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยวที่ จ.เชียงราย ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง-เล็กหรือเอสเอ็มอี ดังนั้นครั้งนี้จึงมีการรวมตัวกันเพื่อผลักดันความร่วมมือดังกล่าว โดยทั้ง 30 รายเป็นทั้งโรงแรมระดับต่างๆ รถเช่า บ้านพัก ร้านอาหาร ฯลฯ ซึ่งถูกบรรจุอยู่ในโปรแกรมทัวร์ในแพกเกจให้เรียบร้อย และให้ราคาพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งยังสามารถต่อรองกันได้เป็นกรณีๆ ไป

นอกจากนี้ได้เสนอให้ทางจีนจัดทำแพกเกจไทยไปจีนหรือเชียงราย-คุนหมิงในรูปแบบเดียวกัน โดยให้ราคาพิเศษเหมือนกันด้วยเพื่อรองรับกรณีคณะจากประเทศไทยจะเดินทางไปเยือนในเร็วๆ นี้ต่อไป

ด้านนายสรรเสริญ เงารังษี รองผู้ว่าการด้านการตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ ททท.กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากการที่ ททท.ได้จัดประชุมเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี เมื่อเดือน ก.ค. 55 ที่ผ่านมา และครั้งนี้เป็นการขยายผลเป็นเออีซีบวกจีน เพื่อหาวิธีการให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาเยือนประเทศไทย ในลักษณะการเชิญนักธุรกิจท่องเที่ยวจากคุนหมิงมาเยือนเชียงรายระหว่างวันที่ 1-6 ก.ย. 55 นี้ เพื่อดูสถานที่ท่องเที่ยวจริงและจัดทำแพกเกจทัวร์ร่วมกัน

ผลของกิจกรรมทั้งหมดทำให้ทราบถึงอุปสรรค เช่น ภาษาจีน ซึ่งได้มอบให้สมาคมท่องเที่ยวเชียงรายร่วมกับสถาบันการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ฯลฯ พัฒนาบุคลากรให้ดี การจัดทำแพกเกจทัวร์ให้ตรงความต้องการของนักท่องเที่ยวจีน ฯลฯ

นายสรรเสริญกล่าวอีกว่า ที่ประชุมสรุปว่านักธุรกิจจีนจะนำผลที่ได้ไปประชาสัมพันธ์โฆษณาในจีนตอนใต้ภายในเดือน ก.ย. 55 นี้ โดย ททท.สำนักงานคุนหมิงจะสนับสนุนการโฆษณา จากนั้นจะนำแพกเกจออกมาขายสู่ตลาดเป็นเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 55 เป็นต้นไปถือเป็นช่วงโปรโมชัน โดยร่วมกับสายการบินไชน่าอีสเทิร์นด้วย เพื่อพยุงให้มีการต่อสัญญาทำการบินคุนหมิง-เชียงรายออกไปอีก

จากนั้นอีกราว 2 เดือน คณะจาก ททท.และเชียงรายก็คงจะเดินทางไปคุนหมิงเพื่อหารือเรื่องแพกเกจทัวร์ที่ทางจีนจะทำเพื่อรองรับกรณีมีนักท่องเที่ยวจากเชียงราย-หยุนหนันต่อไป

นายสรรเสริญย้ำว่า โครงการนี้เป็นประโยชน์มาก หากสำเร็จจะเพิ่มภาคการท่องเที่ยวของเชียงรายและภาคเหนือของไทยได้เป็นอย่างดี เนื่องจากปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวชาวจีนไปเยือนเขตปกครองตนเองสิบสองปันนาปีละกว่า 1 ล้านคน คุนหมิง 6 ล้านคน และทั้งมณฑลหยุนหนันมีปีละกว่า 30 ล้านคน หากสามารถดึงลงมาได้จำนวนหนึ่งก็จะเพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยวได้มาก

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ในปัจจุบันเส้นทางระหว่างมณฑลหยุนหนัน-เชียงราย สะดวกมากขึ้น มีทั้งสายการบินและถนน R3a ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ระยะทางประมาณ 254 กิโลเมตร และ R3b ไทย-พม่า-จีนตอนใต้ ระยะทางใกล้เคียงกัน

ขณะที่สายการบินไชน่าอีสเทิร์นทำการบินระหว่างเชียงราย-คุนหมิง โดยมีเอกชนเหมาลำผู้โดยสารให้เที่ยวละ 20 ที่นั่งจากทั้งหมด 25 ที่นั่ง เพื่อรับคนไปเที่ยวที่โครงการคิงส์โรมันฯ สามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ตรงข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ของไทย

ส่วนทางเรือแม่น้ำโขงมีการให้บริการกันประปรายเพราะได้รับผลกระทบจากคดีปล้นและยิงเรือจีน 13 ศพเมื่อปลายปีที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ก็ดีขึ้นตามลำดับ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 กันยายน 2012, 21:43:08
เชียงรายจัดแสดงสินค้าภาคเหนือ-จีเอ็มเอส เตรียมรับ AEC

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   7 กันยายน 2555

เชียงราย - กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบนจัดแสดงสินค้าจังหวัดภาคเหนือตอนบนเขต 2 ระบุมีผู้ร่วมแสดงสินค้ากว่า 500 บูท คาดหวังงานนี้จะมีผู้ประกอบการลุ่มน้ำโขงเข้าร่วมเพียบ
       
       นายเฉลิมพล พงษ์ฉบับนภา พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า เนื่องจากในปี 2558 จะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน การกำหนดแผนโครงการของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน จึงได้มีโครงการจัดแสดงสินค้าจังหวัดภาคเหนือตอนบน เขต 2 ได้แก่ เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน และประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ได้แก่ ไทย จีน ลาว พม่า กัมพูชา เวียดนาม ขึ้น ซึ่งสำนักงานพาณิชย์จาก 17 จังหวัดภาคเหนือได้ให้ความร่วมมือกัน รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เพื่อให้งานมีความยิ่งใหญ่ โดยกำหนดจัด “งานแสดงสินค้าภาคเหนือและอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 2555” ระหว่างวันที่ 18-23 ก.ย. 55 ตั้งแต่เวลา 11.00-23.00 น. ณ ลานสนามบินทหารอากาศ ฝูงบิน 416 (สนามบินเก่า) อ.เมือง จ.เชียงราย
       
       ภายในงานจะมีการจัดแสดงสินค้ากว่า 500 บูท จาก 17 จังหวัดภาคเหนือ และ 6 ประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงเข้าร่วมงาน ซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 300 บูท กลุ่มของสำนักงานพาณิชย์ 17 จังหวัดภาคเหนือ 200 บูท และเพิ่มเติมกลุ่มของประเทศจากอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงอีก 60 บูท และยังมีกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ การแสดงและจำหน่ายสินค้า SME สินค้าเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากภูมิปัญญาชาวบ้าน สินค้าเกษตรปลอดสรพิษ สินค้าสิ่งบงชี้ทางภูมิศาสตร์ เช่น สับปะรด ชา กาแฟ และสินค้าจากประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง แยกเป็นโซนแต่ละประเทศ นอกจากนั้นยังมีบูทของจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศจังหวัดละ 1 บูทเข้ามาร่วมด้วย
       
       นายเฉลิมพลกล่าวอีกว่า นอกจากการแสดงและการจำหน่ายสินค้าดังกล่าวแล้วยังมีกิจกรรมการประชุมสัมมนาทางวิชาการในวันที่ 18 ก.ย.เรื่องกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงด้านลอจิสติกส์ ทิศทางการเชื่อมโยงประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยจะมีการพบปะกันของผู้ประกอบการจากไทยและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และ 17 จังหวัดภาคเหนือ และวันที่ 19 ก.ย.จะเป็นพิธีเปิดงานในช่วงเย็นโดยมีกิจกรรมภาคบันเทิงที่มีเหล่าศิลปินจากค่ายดังมาร่วมแสดง เช่น เวสป้า, วิด ไฮเปอร์, บลูเบอร์รี่, เหินฟ้า หน้าเลื่อม, ณัฐ กิติสาร และเอเซียร์ พร้อมกันนี้ยังมีการกำหนดพิธีการลงนามเพื่อจัดทำสินค้าต้นแบบภายในสิ้นเดือน ก.ย.เพื่อเป็นสินค้านำร่องไปสู่ตลาดอาเซียน และมีการจดทะเบียนสินค้าทรัพย์สินทางปัญญาให้ด้วย
       
       สำหรับลักษณะของพื้นที่การจัดงานแสดงสินค้านั้น จัดทำเป็นพาวิลเลียนติดเครื่องปรับอากาศครอบคลุมทุกพื้นที่ในการจัดงาน แต่ละคูหามีขนาด 3 X 2 เมตร ทางเดินกว้างประมาณ 2 เมตรเศษ เปิดให้เข้างานตั้งแต่เวลา 11.00-23.00 น.ของทั้ง 6 วันจัดงาน และถือว่าเป็นการจัดงานแสดงสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ซึ่งในอนาคตจะมีการจัดงานอย่างต่อเนื่องทุกปี เชื่อว่าผลจากการจัดงานครั้งนี้จะทำให้เกิดการกระตุ้นทางเศรษฐกิจและยกระดับ การพัฒนาของสินค้าโอทอปและเอสเอ็มอี และเป็นการเตรียมความพร้อมของสินค้าในภูมิภาคนี้เพื่อก้าวสู่เออีซีต่อไป
       
       ด้าน นายชวลิต สุธรรมวงศ์ ประธานหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่า งานแสดงสินค้าภาคเหนือและอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 2555 เป็นการเริ่มต้นการค้าในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงก้าวสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งในงานนี้จะมีความหลากหลายในเชิงสินค้าทางวัฒนธรรม นำไปสู่การติดต่อทางการค้าเสรี หลังจากการจัดงานแสดงสินค้าในครั้งนี้ ไทยจะได้มีโอกาสศึกษาสินค้าและการค้าของประเทศต่างๆ ในอนุภูมิภาคนี้ว่ามีทิศทางอย่างไรเพื่อการปรับตัวในอนาคต รวมไปถึงเรื่องหัตถกรรม ศิลปวัฒนธรรม ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้าและพัฒนาสินค้าของไทยให้สามารถก้าวสู่ประชาคมอาเซียนได้ในอนาคตต่อไป


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000110340


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: คนเมือง ณ กว่างกรุง ที่ วันที่ 08 กันยายน 2012, 18:09:07
อีกหน่อย เจียงฮาย จะเป็นเขตเศรษกิจ ที่มาการซื้อขาย
อีกหลายเท่าตัว... ;D


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 กันยายน 2012, 19:22:02
มฟล.เปิดห้องระดมคนถกแผนรับเออีซี-เล็งทำเมกะโปรเจกต์ยื่น “ปู” ปลายปี

เชียงราย - มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดห้องระดมตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถกแผนพัฒนาเมืองพ่อขุน ฯรับ เออีซี ในปี 58 ย้อนประสบการณ์ในอดีต ก่อนผุดเมกะโปรเจกต์ รอเสนอ “ปู” เดือนพฤศจิกาฯ 55
       
       รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้จัดให้มีการประชุมเพื่อกำหนดทิศทางในการนำ จ.เชียงราย เข้าสู่ประชาคมอาเซียน ที่ห้องประชุมเชียงแสน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย โดยมีนายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย หัวหน้าส่วนราชการบางหน่วย ภาคเอกชน นักวิชาการ สื่อมวลชนเข้าร่วม โดยมีการให้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับอาเซียนก่อนการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ในปี 2558
       
       ดร.ดร.วันชัยแจ้งต่อที่ประชุมว่า เนื่องจากเชียงรายเป็นประตูสู่อาเซียน และเชื่อมกับมณฑลหยุนหนัน ประเทศจีน ได้จึงควรมีโครงการใหญ่เพื่อรองรับความเจริญโดยเฉพาะ ซึ่งจะนำเสนอต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มีกำหนดจะเดินทางไปเยือน จ.เชียงราย ราวเดือน พ.ย. 55 ด้วย
       
       รศ.ดร.วันชัยกล่าวว่า เพียงแต่น่าเสียดายที่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยเสียโอกาสในการเตรียมตัวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนช้าไป เพราะมีปัญหาความวุ่นวายในบ้านเมือง แต่ปัจจุบันจะต้องเดินหน้าทำต่อไปให้ได้
       
       สำหรับกรณี จ.เชียงราย ถือเป็นเมืองยุทธศาสตร์ชายแดนที่สำคัญทั้งถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-จีน ส่วนอาร์สามบี ในพม่าผ่าน อ.แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก-พม่า-จีน ก็พบว่ามีอนาคต เพราะรัฐบาลพม่า ตกลงกับกองกำลังไทใหญ่ได้กว่า 80% แล้ว ส่วนด้านแม่สอด จ.ตาก กับเมืองเมียวดีของพม่าก็ตกลงกันได้เต็มร้อยแล้ว โดยเปิดให้ทหารกะเหรี่ยงเป็นกองกำลังดูแลชายแดนแทนทหารพม่า เป็นต้น
       
       สำหรับโครงการที่จะนำเสนอต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระหว่างเดินทางมาที่เชียงรายนั้น ควรเป็นมุมมองใหม่ โดยอาศัยประสบการณ์ในอดีต ซึ่งหลายโครงการไม่น่าจะเป็นไปได้ เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษ ฯลฯ ซึ่งพูดคุยกันมานานนับสิบๆ ปี รวมทั้งต้องศึกษาจากพื้นที่อื่นๆ เช่น ในอดีตมีการคาดการณ์กันว่าที่เชิงสะพาน จ.หนองคาย เชื่อมกับนครเวียงจันทน์ สปป.ลาว จะเจริญรุ่งเรือง เพราะช่วงนั้นจะมีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงไทย-สปป.ลาว จึงมีการเข้าไปกว๊านซื้อที่ดินกันมาก แต่ท้ายที่สุดความเจริญกลับไปอยู่ที่ จ.อุดรธานี เพราะเส้นทางคมนาคมเข้ามาสะดวก และเหมาะสม ทำให้ต้องนำเรื่อง อ.เชียงของ จ.เชียงราย ซึ่งมีการก่อสร้างสะพานเชื่อมไทย-สปป.ลาว เช่นเดียวกันด้วยมาพิจารณาใหม่
       
       นอกจากนี้ ที่ผ่านมาการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวใน จ.เชียงรายแทบไม่มีเลย โดยสังเกตได้จากช่วงหลายปีที่ผ่านมีสถานที่ท่องเที่ยวเกิดขึ้นใหม่ๆ น้อยมาก จะมีก็เพียงวัดร่องขุ่น บ้านดำ ที่เกิดจากศิลปินชาวเชียงราย แตกต่างจากในเขตสิบสองปันนา จีนตอนใต้ ที่มีการสร้างสถานที่ท่องเที่ยวใหม่มากมายกว่า 70% ฯลฯ
       
       รศ.ดร.วันชัยยังนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจหลายเรื่องเพื่อสรุปประเด็นว่า จ.เชียงรายอยากจะเป็นอะไรในอาเซียน โดยยกตัวอย่าง เช่น ศูนย์กลางการขนส่งสินค้า ศูนย์กลางยาและสุขภาพ เมืองแห่งการศึกษา เป้าหมายการท่องเที่ยวของคนทั่วโลก เป็นต้น
       
       จากนั้นได้เปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายแสดงความเห็น ซึ่งนายวันชัย จงสุทธนามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย อ.เมือง ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเส้นทางคมนาคม ที่สะดวก เช่น รถไฟสู่เชียงราย โดยมีสถานีแห่งหนึ่งอยู่ที่ อ.เวียงชัย ใกล้กับท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ต.บ้านดู่ อ.เมือง สามารถเชื่อมไปชายแดน
       
       ขณะเดียวกัน เสนอว่าอาจจะต้องให้รัฐจัดหาที่ดินราว 5,000-10,000 ไร่ แล้วโอนเป็นของรัฐ เพื่อเข้าไปพัฒนาเป็นเมืองใหม่ที่มีผังเมืองและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ พัฒนาการศึกษาของลูกหลานเพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ของพื้นที่ในอนาคต เป็นต้น
       
       นายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย กล่าวว่า เชียงรายควรเปิดด่านชายแดนที่เดิมเปิดตั้งแต่เวลาประมาณ 06.30-18.00 น.ให้ขยายออกไปอีกจนถึงกลางคืน เพื่อขยายโอกาสทางเศรษฐกิจ การขนส่งสินค้า ลดต้นทุน ดึงดูดการลงทุน ฯลฯ ส่วนการเคลื่อนย้ายแรงงานไม่น่าเป็นห่วง เพราะมีการเปิดเสรีอาชีพในเออีซีแค่ 7 สาขาอาชีพอยู่ เช่น วิศวกร แพทย์ นักบัญชี ฯลฯ ซึ่งแต่ละอย่างล้วนมีขั้นตอนที่ทำให้การโยกย้ายไปทำงานในต่างประเทศทำได้ไม่ง่ายเกินไป

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000114741


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 กันยายน 2012, 19:28:48
นักวิชาการจีนสอนบทเรียนบูมเชียงราย รับ “ประตูจีน-อาเซียน” ก่อนเป็นแค่ทางผ่าน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   18 กันยายน 2555 18:39 น.

เชียงราย - กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ระดมกูรูขึ้นเวทีกระตุ้นการเตรียมพร้อมรับประตูเชื่อมอาเซียน-จีน พบมูลค่าการค้าเพิ่มทุกด่านฯ เฉพาะเชียงราย ยอดการค้าขยายตัว 6 เท่าในรอบ 10 ปี เชื่อหลังสะพานข้ามโขง 4-ทางรถไฟเชื่อมถึงมิติการพัฒนาใหม่เกิดแน่ ขณะที่นักวิชาการจีนเตือนบทเรียนความร่วมมือตั้งนิคมฯ เชียงราย ล้มเหลว 9 ปีก่อน อาจหลอนซ้ำทำ “เชียงราย” เป็นได้แค่ระเบียงเศรษฐกิจคุนหมิง-กรุงเทพฯ
       
       วันนี้ (18 ก.ย.) กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน ร่วมกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เช่น หอการค้าจังหวัดเชียงราย สภาอุตสาหกรรมจังหวัด สมาคมส่งเสริมเศรษฐกิจและความร่วมมือการค้าอาเซียน-จีน ฯลฯ ได้จัดการสัมมนาเชิงธุรกิจและการเจรจาจับคู่ธุรกิจ 2555 (Chiangrai Northern Business Forum and Business Matching 2012) ณ โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์ รีสอร์ท เชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย
       
       โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิทั้งไทย จีน และ สปป.ลาว เข้าร่วมอย่างคึกคัก เช่น นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.กระทรวงการคลัง, นายกร ทัพพะรังสี อดีตนายกรัฐมนตรีและเป็นนายกสมาคมมิตรไทย-จีน, ดร.หลู่ จินซิน ผู้อำนวยการลอจิสติกส์กลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ของประเทศจีน ฯลฯ
       
       นายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์ จ.เชียงราย ซึ่งเป็นแม่งาน กล่าวว่า มูลค่าการค้าชายแดน และการค้าผ่านแดนช่องทางภาคเหนือตอนบน 2 มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นทุกปี ทั้งการค้าชายแดนไทย-พม่า ไทย-สปป.ลาว ไทย-จีน (ตอนใต้) ในเขตภาคเหนือตอนบน (เชียงราย พะเยา อุตรดิตถ์ และน่าน) ในปี 2554 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 31,655.20 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนหน้า 46.30% เป็นการค้าชายแดนระหว่างไทย-พม่า 12,467.54 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนหน้า 22.36% การค้าชายแดนระหว่างไทย-สปป.ลาว 12,536.27 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนหน้า 115.44% และการค้าผ่านแดนระหว่างไทย-จีนตอนใต้ 6,651.29 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนหน้า 18.17%
       
       ดังนั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า การเพิ่มมูลค่าสินค้า การต่อยอดการค้า โดยอาศัยประโยชน์จากภูมิศาสตร์ที่มีเชียงรายเป็น Gate Way เป็นประตูหน้าด่านที่สำคัญ
       
       นายกรกล่าวว่า เชียงรายถือเป็นฐานของประเทศที่จะทำให้เราก้าวขึ้นเป็นเป็นจุดศูนย์กลางของจีเอ็มเอส จึงอยากให้ชาวเชียงรายร่วมมือกันเตรียมความพร้อม ในการรับมือปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่กำลังพัฒนาขึ้นหลังจากที่สะพานข้ามแม่น้ำโขงที่เชียงของ และทางรถไฟที่จะมาถึงเชียงราย ในอนาคตสร้างเสร็จ เพราะเมื่อนั้นจะเกิดมิติใหม่ของการพัฒนาการเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาค
       
      เมื่อมีการคมนาคมที่สมบูรณ์ทั้งทางบก ทางเรือ และรถไฟ ที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบก็จะทำให้ชาวเชียงรายได้รับประโยชน์โดยเฉพาะเกิดเงินหมุนเวียนในพื้นที่อย่างมหาศาล แต่ก็ขอให้ยังคงอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีของชาวเหนือไว้ด้วย
       
       ด้าน นายหลู่กล่าวว่า เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 55 ที่ผ่านมา ตนได้มีโอกาสเข้าร่วมพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงหรือเอ็มโอยู จำนวน 2 ฉบับ ฉบับแรกเป็นบันทึกความเข้าใจกันลืมว่าด้วยความร่วมมือในโครงการ Kunming Tengjun International Land port และฉบับที่ 2 เป็นบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการศูนย์ลอจิสติกส์เชียงของ แห่งประเทศไทย ซึ่งฝ่ายที่ลงนามได้แก่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกับเครือบริษัทการลงทุนเกิงจุ้น หยุนหนัน และบริษัทการลงทุนเจี๋ยเฟิงหยุนหนัน และยังมีนายหลี่ เผย เท่อ กรรมการถาวรประจำคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์ มณฑลหยุนหนัน เข้าร่วมพิธีลงนาม ในพิธีที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการปฏิรูป และการพัฒนาแห่งมณฑลหยุนหนาน จีนตอนใต้
       
       นายหลู่กล่าวว่า หลายฝ่ายคาดหวังว่าโครงการจะดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วและเกิดผล ทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจะพัฒนาให้ทั้งคุนหมิงและเชียงรายเป็นเมืองท่าที่เชื่อมกันหรือ International Land port เป็นท่าระดับโลก เพราะเชื่อมระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ ในภูมิภาค เชื่อมเศรษฐกิจคุนหมิง-กรุงเทพฯ จึงถือเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ลุ่มแม่น้ำโขง และเป็นประตูสู่อาเชียน-จีน อย่างแท้จริง โดยถือเป็น 1 ใน 5 โครงการโลจิสติกส์ใหญ่ที่เป็นจุดเชื่อมบนเส้นทางรถไฟสายเอเชีย และตั้งอยู่บนเส้นทางถนนหลักระหว่างประเทศด้วย ขณะนี้โครงการในส่วนของประเทศจีนได้สร้างเสร็จระยะที่หนึ่งแล้ว โดยมีพื้นที่ 1,528 ไร่ มูลค่าการลงทุน 9,060 ล้านหยวน คาดว่าทั้งโครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2015
       
       นอกจากนี้ ตนยังได้เข้าร่วมโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของนิคมอุตสาหกรรมนิวไฮเทคโนโลยี คุนหมิง ในการจะขยายมาสร้างนิคมเศรษฐกิจภาคเหนือของไทยเมื่อหลายปีก่อน แต่ประสบความล้มเหลว แต่ในปี 2007 การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้มีการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะสร้างนิคมอุตสาหกรรมเชียงรายอีก โดยจ้างบริษัทที่ปรึกษาปัญญา จำกัด ศูนย์วิจัยลอจิสติกส์จีเอ็มเอส ร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาเศรษฐกิจสังคม ที่ได้รับผิดชอบงานวิจัยในส่วนที่เป็นลอจิสติกส์ ดังนั้นจึงยังมีความหวังที่จะเกิดขึ้นได้อยู่
       
       นายหลู่กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ค .2009 ประธานาธิบดี หู จิ่น เทา ได้เสนอยุทธศาสตร์พัฒนามณฑล เป็นด่านหน้าสู่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้เมื่อวันที่ 15 พ.ย.ปีเดียวกันรัฐบาลหยุนหนัน ได้ตั้งคณะทำงานศึกษายุทธศาสตร์ด่านหน้า โดยมีนายฉิน กวาง หรง ผู้ว่าราชการมณฑล เป็นหัวหน้าคณะ ซึ่งตนเป็นหนึ่งในกรรมการนั้นด้วย และในปี 2011 สำนักนายกรัฐมนตรีได้มีคำประกาศให้หยุนหนันเป็นด่านหน้าสู่ภาคตะวันตกเฉียงใต้
       
      นายหลู่ยังได้นำเสนอผลงานศึกษาวิจัยของจีนว่า สำหรับ จ.เชียงราย มีประชากร 1.2 ล้าน ชนกลุ่มน้อยคิดเป็นร้อยละ 12.5 เป็นแหล่งผลิตข้าว ใบชา ผลไม้ และไม้ เป็นเมืองประตูสู่การค้าชายแดน มีเส้นทางเชื่อมโยงไปยังเมืองต่างๆ สะดวก ดังนั้นตนคิดว่า เชียงราย สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นเอกลักษณ์และมีความเข้มแข็ง อนุรักษ์ความเป็นเมืองประวัติศาสตร์ การท่องเที่ยว พัฒนาบริการ แปรรูปสินค้าและการเกษตรเพื่อการส่งออก การค้าชายแดน ฯลฯ รวมทั้งควรพัฒนากิจการประชุม การแสดงสินค้า การศึกษา การกุศล ฯลฯ โดยมีสถาบันการศึกษาหลายแห่งที่สนับสนุนได้
       
       มีตัวอย่างกรณีเมื่อวันที่ 8-14 ส.ค. 2012 นายวิจิต หยาง นายกสมาคมส่งเสริมเศรษฐกิจการค้าอาเซียน-จีน ได้จัดแสดงสินค้า 6 ประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยมีพื้นที่แสดงสินค้า 18,000 ตารางเมตร มีบูท 900 กว่าบูท สินค้ามาจากโครงการหลวง สินค้าหัตถกรรม เฟอร์นิเจอร์ ซึ่งพบว่าเป็นนิยมของชาวจีนจนต้องแย่งกันซื้อ ภายในงานยังมีการแสดงศิลปมวยไทยได้ดึงดูดคนหนุ่มสาวชาวจีนมาก ทำให้ตลาดบริโภคสินค้าไทยเกิดความคึกคักมากขึ้นด้วย
       
       “ภาพแบบนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นที่เชียงราย ดังนั้น จ.เชียงรายสามารถสอบถามไปยังนายวิจิต เพื่อนำมาพัฒนาพื้นที่ตามที่ผมเสนอได้ นอกจากนี้ตนเสนอให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรางการคลัง ของไทยสนับสนุน จัดงานสัมมนา จัดงานแสดงสินค้า และเชิญผู้นำระดับสูงของธนาคาพัฒนาเอเชีย หรือเอดีบี ผู้นำรับดับสูงของประเทศ นักวิชาการที่มีชื่อเสียงมาร่วมหารือ เพื่อวางแผนในการพัฒนา สร้างเวทีให้คนช่วยกันคิด ช่วยกันทำ และมีการประกาศเกียรติคุณ ยกย่องบุคคลที่มีคุณงามความดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเชียงราย เป็นต้น” นายหลู่กล่าว
       
       เขายังระบุในตอนท้ายว่า ปีที่ผ่านมารัฐบาลจีนอนุมัติให้มี 19 นิคมอุตสาหกรรมในต่างประเทศ แต่เหตุการณ์เมื่อ 9 ปีก่อนที่ จ.เชียงราย ทำให้บริษัทหยุนหนัน ยังไม่ลืมบทเรียน จึงเป็นสิ่งที่เราต้องคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้โครงการล้มเหลวอีก ไม่เช่นนั้นตนทำนายได้เลยว่า จ.เชียงราย จะเป็นได้แค่ระเบียงเศรษฐกิจคุนหมิง-กรุงเทพฯ โดยไม่ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนเลย
       
       ด้าน นายสุพจน์ กลิ่นปราณีต กรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประธานคณะอนุกรรมการความร่วมมือเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (พม่า) กล่าวว่า จ.เชียงราย มีความได้เปรียบด้านที่ตั้ง เพราะเป็นฐานเศรษฐกิจที่สำคัญตามแนวเขตเศรษฐกิจ เหนือ-ใต้ มีด่านถาวร 4 ด่าน ใน 3 อำเภอ และจุดผ่อนปรน 10 แห่ง การค้าขยายตัวอย่างต่อเนื่องเป็น 6 เท่า ในรอบ 10 ปี เหมาะสำหรับเป็นเมืองหน้าด่านประตูเศรษฐกิจของประเทศไทยกับหลากหลายกลุ่ม

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000115074 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000115074)


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 27 กันยายน 2012, 11:22:42
'ชัชชาติ' ยัน 5 ปีระบบรางไทยถึงคุณหมิง รับติดขัดฝ่ายบริหาร-บุคลากร ด้านกมธ.คมนาคม แนะ ร.ฟ.ท.ตั้งบริษัทลูกพัฒนาที่ดิน แก้ปัญหาขาดทุน ค้านแปลงเป็นรัฐวิสาหกิจ หวั่นก่อหนี้ก้อนโต

วันที่ 26 กันยายน คณะกรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร จัดสัมมนา เรื่อง "ระบบราง : ปูทางสู่ AEC" ณ ห้องสารนิเทศ ชั้น 1 อาคารรัฐสภา 1 และนิทรรศการการแสดงผลงานของหน่วยงานต่างๆ ภายใต้สังกัดกระทรวงคมนาคม จำนวน 9 หน่วยงาน ที่บริเวณห้องโถงชั้น 1 อาคารรัฐสภา โดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาการคมนาคมระบบราง ในคณะกรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร

นายชัชชาติ กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีระบบรางแบบทั่วไปประมาณ 4,300 กิโลเมตร รถยนต์ขนส่งมีร้อยละ 84 ระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสและรถไฟฟ้าใต้ดิน 80 กิโลเมตร และเพิ่มให้เป็น 470 กิโลเมตร ภายใน 5 ปี ขณะที่รถไฟที่ใช้ขนส่งสินค้ามีร้อยละ 2.5 ซึ่งหากระบบการขนส่งที่เป็นเช่นนี้ต่อไปเมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) คงไม่สามารถเชื่อมต่อหรือแข็งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ จึงเป็นที่มาของโครงการรถไฟความเร็วสูง

" 3 ปีต่อจากนี้ ระบบรางจะเพิ่มมากขึ้น เช่น ในกรุงเทพฯ จะมีระบบรางรวมประมาณ 270 กิโลเมตร รวมทั้งจะมีการปรับปรุงหัวรถจักรใหม่ให้มีระบบที่ดีขึ้น เชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน  อย่างไรก็ตามยังไม่ตัดข้อห่วงกังวลเรื่องความคุ้มทุนและความปลอดภัยของโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง"

รมช.คมนาคม กล่าวอีกว่ ในอนาคตไทยจะต้องเชื่อมระบบรางรถไฟไปถึงคุณหมิง ประเทศจีนได้ภายในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสแก่ประเทศไทยในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะการท่องเที่ยว แต่ต้องยอมรับว่า ปัญหาระบบรางต่างๆ ของประเทศไทยอยู่ที่การบริหารจัดการ โดยเฉพาะบุคลากร รวมทั้งการกำหนดทิศทางการพัฒนาที่ถูกต้อง ทั้งนี้ การพัฒนาระบบรางไม่ได้ขึ้นอยู่กับรัฐบาลหรือรัฐมนตรีเพียงอย่างเดียว แต่ทุกคนต้องช่วยกันทำให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยที่หากมีการเปลี่ยนแปลงฝ่ายบริหารการพัฒนาระบบรางก็ยังต้องคงอยู่"

จี้ 'ยกเครื่อง' รถไฟ-แอร์พอร์ตลิงค์

ขณะที่ดร.สามารถ กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่อาเซียนจะต้องพัฒนาระบบรางให้เกิดการเชื่อมโยงเป็นโครงข่าย และเพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและลดก๊าซเรือนกระจก โดยขณะนี้ประเทศสมาชิกในอาเซียนต่างเชื่อมโยงกันด้วยรถไฟที่ใช้รางกว้าง 1.000 เมตร เริ่มจากสิงคโปร์ ผ่านมาเลเซีย ไทย กัมพูชา เวียดนามไปจนถึงคุณหมิงของจีน ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่อาเซียนจะต้องเปลี่ยนรางเป็น 1.435 เมตร เพราะต้องสิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาล ที่สามารถนำไปสร้างรถไฟสายใหม่ให้เชื่อมโยงถึงกันได้ดีกว่าเดิม เช่น เส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก เชื่อมดานัง-สะหวันนะเขต-มุกดาหาร-กาฬสินทร์-ขอนแก่น-เพชรบูรณ์-พิษณุโลก-แม่สอด-มะละแหม่ง และเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจเหนือใต้ เชื่อมเชียงของ-หลวงน้ำทา-เชียงรุ่งและคุณหมิง

เมื่อถามถึงระบบรถไฟไทย ดร.สามารถ กล่าวว่า ถึงเวลาที่ต้องช่วยกันยกเครื่องรถไฟไทย โดยการเร่งก่อสร้างรถไฟทางคู่และรถไฟสายใหม่ เช่น สายเด่นชัย-เชียงราย สายอุบลราชธานี-ช่องเม็ก สายภาชี-สุพรรณบุรี และสายชุมพร-ระนอง ทั้งนี้ การที่รถไฟความเร็วสูงจะเกิดขึ้นได้ต้องกู้เงินมาสร้างเท่านั้น จะหวังให้เอกชนมาร่วมลงทุนคงลำบาก เพราะโครงการนี้จะขาดทุน ดังนั้น หากสามารถแบกรับภาระการขาดทุนได้ก็เร่งสร้างรถไฟความเร็วสูงได้

"แนวทางในการแก้ปัญหาการขาดทุนรัฐบาลควรเร่งจัดตั้งบริษัทลูกของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อพัฒนาที่ดินของการรถไฟฯ ที่มีอยู่ถึง 234,976 ไร่ ที่จะทำให้เกิดรายได้มาบรรเทาหนี้สินของการรถไฟฯ ที่มีอยู่ถึง 110,000 ล้านบาทได้ แต่ผู้บริหารต้องเปลี่ยนความคิดเก่าๆ ที่ว่ารัฐบาลจะเลี้ยงดูเราเป็นเราจะต้องเลี้ยงดูตนเอง"

ดร.สามารถ กล่าวถึงปัญหาการขาดทุนของแอร์พอร์ตลิงค์ที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทรถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของการรถไฟฯ ด้วยว่า ควรจะเปลี่ยนคณะกรรมการบริษัททั้งหมด และตั้งใหม่โดยมีผู้แทนจากบริษัท การบินไทย (จำกัด) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ผู้แทนเอกชน ผู้แทนกระทรวงการคลังและผู้แทนจากการรถไฟฯ ซึ่งเป็นการแต่งตั้งในเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ใช่การแต่งตั้งแบบต่างตอบแทนหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกัน

"ไม่เห็นด้วยที่จะเปลี่ยนสถานะของบริษัทรถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เป็นรัฐวิสาหกิจ เพราะจะไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้สินได้ แต่กลับจะสร้างหนี้สินเพิ่มเติมขึ้นอีกมาก ท้ายที่สุด จะได้รัฐวิสาหกิจที่มีหนี้สินก้อนโตเพิ่มขึ้นอีกแห่งหนึ่งเท่านั้น"

http://www.isranews.org/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/57-2012-08-12-13-59-01/16638--aec-.html#.UGNJsNgUAFk.facebook


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: crlove ที่ วันที่ 28 กันยายน 2012, 02:39:07
หอประชุมนานาชาติ มหาวิทยาัลัยราชภัฏเชียงราย
(http://img97.imageshack.us/img97/4084/sdc15378medium.jpg)
(http://img837.imageshack.us/img837/2715/sdc15381small.jpg)
(http://img266.imageshack.us/img266/1175/sdc15382small.jpg)
นั่นหลังคามันทำไมไม่ตรงอ่ะ ดูเบี้ยว ๆ ๆ จาใดฮุ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 ตุลาคม 2012, 10:55:17
รพ.เครือเกษมราษฎร์เตรียมขยายสาขาเต็ม พท.ชายแดนไทย-พม่า

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   4 ตุลาคม 2555
นายแพทย์เฉลิม หาญพาณิชย์ ประธานกรรมการบริหารในเครือเกษมราษฎร์ ศรีบุรินทร์
       เชียงราย - โรงพยาบาลเครือเกษมราษฎร์เตรียมขยายสาขาเต็มพื้นที่ชายแดนไทย-พม่า ระบุเพื่อเป็นการรองรับ AEC หวั่นการเป็นประชาคมฯ ธุรกิจโรงพยาบาลจะแข่งขันสูง แม้ไม่มีปัญหาสมองไหลแต่แง่การเทกโอเวอร์จากทุนข้ามชาติน่าจับตามอง
       
       วันนี้ (4 ต.ค.) ที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ศรีบุรินทร์ เชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย นายแพทย์เฉลิม หาญพาณิชย์ ประธานกรรมการบริหารในเครือเกษมราษฎร์ศรีบุรินทร์ เป็นประธานในพิธีบวงสรวงพระพรหมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีการจัดตั้งโรงพยาบาล โดยมีผู้บริหารและบุคลากรเข้าร่วมครบครัน
       
       ทั้งนี้ พิธีดังกล่าวมีขึ้นขณะที่ทางบริษัทบางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นเอกชนเจ้าของกิจการโรงพยาบาลกำลังมีโครงการขยายกิจการโรงพยาบาลทั้งในพื้นที่ อ.เมือง และอำเภอชายแดนที่ อ.แม่สาย อ.เชียงแสน และ อ.เชียงของ เพื่อรองรับอนาคตอย่างขนานใหญ่
       
       นายแพทย์เฉลิมเปิดเผยว่า ในปัจจุบันเครือเกษมราษฎร์ศรีบุรินทร์ให้ความสำคัญต่อกิจการโรง พยาบาลในพื้นที่ จ.เชียงรายอย่างมาก จึงอยู่ในช่วงขยายพื้นที่และกิจการ โดยกรณีโรงพยาบาลใน อ.เมือง เดิมมีเนื้อที่ 7 ไร่ ก็ขยายเป็นประมาณ 26 ไร่ในบริเวณเดียวกัน เพื่อจะก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลหลังใหม่เพิ่มอีกประมาณ 100 เตียง โดยมีศูนย์การแพทย์เฉพาะทางและเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ พร้อมสรรพเพื่อให้การดูแลรักษาผู้ป่วยจบในที่เดียวโดยไม่จำเป็นต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลใหญ่ที่ จ.เชียงใหม่ หรือกรุงเทพฯ อีก
       
       โดยโรงพยาบาลหลังใหม่ดังกล่าวจะใช้งบประมาณราว 800 ล้านบาท และมีค่าเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์อีกประมาณ 100 ล้านบาท ใช้เนื้อที่ประมาณ 30,000 ตารางเมตร ปัจจุบันกำลังดำเนินการโดยต้องผ่านการประเมินผลกระทบ การศึกษาพื้นที่ ฯลฯ และใช้เวลาก่อสร้างอีกราว 1 ปีครึ่ง คาดว่าอย่างเร็วสุดสามารถเปิดได้ราวต้นปี 2558
       
       นายแพทย์เฉลิมกล่าวว่า นอกจากในเขต อ.เมืองแล้ว บริษัทจะขยายกิจการที่อำเภอชายแดนด้วย โดยที่ อ.แม่สาย ชายแดนไทย-พม่านั้นปัจจุบันมีคลินิกของโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ศรีบุรินทร์อยู่แล้ว แต่สภาพคับแคบอยู่หน้าด่านพรมแดน ขณะที่มีลูกค้าไปใช้บริการวันละกว่า 300 คน จึงได้ขยายไปยังแห่งใหม่บริเวณใกล้เคียงกันเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ เพื่อปรับปรุงด้วยงบประมาณ 120 ล้านบาท เป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก 30 เตียง โดยมีแพทย์เฉพาะทางไปประจำและสามารถส่งผู้ป่วยหนักไปยังโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ศรีบุรินทร์ เชียงราย ซึ่งเป็นโรงพยาบาลใหญ่ใน อ.เมืองได้ด้วย
       
       เช่นเดียวกับ อ.เชียงของ ชายแดนไทย-สปป.ลาว ซึ่งมีถนน R3a ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ และสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 อ.เชียงของ-แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ซึ่งจะมีการสร้างเป็นโรงพยาบาล 30 เตียงขึ้นมาใหม่ด้วยงบประมาณ 120 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดได้ทันกลางปี 2556 ต่อไป ส่วนที่ อ.เชียงแสน ทางบริษัทได้จัดซื้อที่ดินบริเวณเทศบาล ต.เวียงเชียงแสน เอาไว้ประมาณ 11 ไร่เตรียมรองรับอนาคตแล้วด้วย
       
       นายแพทย์เฉลิมกล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยเป็นโรงพยาบาลที่มีหุ้นมากเป็นอันดับ 3 ของประเทศ มูลค่ารวมประมาณ 20,000 ล้านบาท เราจึงมีศักยภาพในการขยายบริการ และสาเหตุที่ให้ความสำคัญที่ จ.เชียงรายมากเพราะประชาคมอาเซียนประกอบด้วย 3 ขา คือ ความมั่นคง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ซึ่งกรณีของ จ.เชียงรายถือว่าครบถ้วน ยิ่งจะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในปี 2558 ยิ่งต้องมีบริการรองรับภูมิภาคนี้ด้วย
       
       โดยก่อนหน้านี้ตนได้เคยศึกษาดูงานในพื้นที่ตั้งแต่ประเทศจีนและในประเทศเพื่อนบ้าน พบว่าศักยภาพด้านการรักษาพยาบาลของไทยถือว่าสูงมาก และมีมากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นจึงควรมีบริการรองรับตรงนี้ด้วย
       
       “ผมมีโอกาสเข้าไปเสนอต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ด้วยว่าในปัจจุบันไทยเรามีระเบียบให้คนในประเทศเพื่อนบ้านทำบัตรผ่านแดนชั่วคราว หรือบอร์เดอร์พาสระยะเวลา 7 วัน รัศมี 5 กิโลเมตร ซึ่งระเบียบดังกล่าวอาจจะไม่ทันต่อยุคสมัยและรองรับเออีซีได้โดยเฉพาะการ เจ็บป่วย ซึ่งประเทศไทยมีจุดแข็งด้านการดูแลรักษา เวลาย่อมไม่เพียงพอรองรับ อาการป่วยบางชนิดที่ต้องใช้เวลามากกว่า 7 วันหรือต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลใหญ่ได้” นายแพทย์เฉลิม กล่าว และว่า
       
       ปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างมากโดยเฉพาะใน สปป.ลาว ที่เขตเศรษฐกิจมากมายโดยเฉพาะตรงกันข้ามสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน ที่ยังโตไม่หยุด เช่นเดียวกับในพม่าที่สถานการณ์ดีขึ้น ดังนั้นคนเหล่านี้ย่อมแสวงหาการรักษาพยาบาลที่ดีกว่าจึงเป็นโอกาสที่ดีของไทยที่จะให้บริการอย่างยิ่ง
       
       ประธานกรรมการบริหารในเครือเกษมราษฎร์ศรีบุรินทร์ กล่าวในตอนท้ายว่า จากความกังวลเรื่องการเปิดเออีซีแล้วจะมีปัญหาเรื่องการเข้ามาหรือออกไปหรือปัญหาสมองไหลของบุคลากรทางการแพทย์นั้น ตนเห็นว่าไม่น่าห่วง เพราะอาชีพดังกล่าวแม้จะมีอัตราขาดแคลนในประเทศไทยสูง แต่ระเบียบกฎเกณฑ์ในการทำงานก็สูงตามไปด้วย เช่น ต้องสอบผ่านภาษาของประเทศนั้นๆ เป็นต้น แต่สิ่งที่น่าจับตามองกลับเป็นเรื่องกลุ่มทุนข้ามชาติมากกว่า
       
       โดยปัจจุบันพบว่ามีกลุ่มทุน เช่น กลุ่มคาซาน่า ฯลฯ เริ่มตระเวนซื้อกิจการโรงพยาบาลและอื่นๆ ในประเทศต่างๆ เช่น มาเลเซีย ฯลฯ คาดว่าเพื่อเลี่ยงปัญหาเกี่ยวกับบุคลากรทางการแพทย์ข้ามประเทศดังกล่าว แต่จะใช้การเข้าไปซื้อหรือเทกโอเวอร์กิจการโรงพยาบาลโดยตรง ทั้งนี้ ประเทศไทยมีกิจการโรงพยาบาลในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 14 ราย จึงน่าจับตามองอย่างยิ่ง


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000121806


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 ตุลาคม 2012, 23:00:47
ทุ่มงบ 100 ล้านปั้นสนามบิน ชร. จีนบินเชื่อมคุนหมิงต่อเนื่อง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   5 ตุลาคม 2555

เชียงราย - ทุ่มนับร้อยล้านเร่งพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เดินหน้าเชื่อมเส้นทางบินเชียงราย-จีน ล่าสุดไชน่าแอร์ไลน์ขยายสัญญาเปิดบิน ชร.-คุนหมิงยาวถึงมีนาคม 56

วันนี้ (5 ต.ค.) นายดำรง คล่องอักขระ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้แถลงข่าวผลการดำเนินการของท่าอากาศยานในปี 2555 เนื่องในโอกาสครบรอบ 14 ปีของท่าอากาศยาน และได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ชื่อว่า “ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย” เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2553 ว่า ปัจจุบันมีสายการบินภายในประเทศรวม 5 สายการบิน และทำการบินระหว่างประเทศจำนวน 1 สายการบิน คือ จากเชียงราย-คุนหมิง มณฑลหยุนหนัน ประเทศจีน สัปดาห์ละ 1 เที่ยวบิน ทำให้ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงให้บริการบินเฉลี่ยวันละ 18 เที่ยวบิน

โดยในปี 2555 จนถึงเดือน ก.ย.ที่ผ่านมาท่าอากาศยานมีสถิติจำนวนเที่ยวบินเข้าออกรวม 5,255 เที่ยว มีผู้โดยสารไปใช้บริการจำนวน 698,916 คน สินค้าเข้าออกรวม 3,584,669 ตัน

สำหรับปี 2556 ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้รับงบประมาณในการดำเนินการหลายโครงการ ได้แก่ ปรับปรุงระบบไฟฟ้าสนามบิน 35,576,200 บาท ก่อสร้างขยายจุดเลี้ยวหัวท้ายทางขึ้นลง หรือรันเวย์สนามบินบริเวณหัวทางวิ่ง 21 จำนวน 21,000,000 บาท จ้างสำรวจ ออกแบบ และปรับปรุงห้องน้ำให้บริการแก่ผู้โดยสารและผู้ไปใช้บริการ 20,000,000 บาท ก่อสร้างขยายระเบียงย้ายพร้อมติดตั้งสะพานเทียบเครื่องบิน บริเวณหลุมจอดอากาศยานหมายเลข 4 จำนวน 16,000,000 บาท ซ่อมหลังคาอาคารผู้โดยสาร 9,900,000 บาท ปรับปรุงห้องน้ำภายในห้องผู้โดยสารขาเข้าภายในประเทศและระหว่างประเทศรวมทั้งห้องโถงผู้โดยสาร 4,355,000 บาท ซื้อพร้อมติดตั้งทดแทนและปรับปรุงอุปกรณ์กล้องโทรทัศน์วงจรปิดหรือซีซีทีบี 3,717,000 บาท บันไดเลื่อน 2 ตัวรวม 2,000,000 บาท และก่อสร้างถังตกตะกอนขนาด 20 ลูกบาศก์เมตร 800,000 บาท

นอกจากนี้ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้กำหนดแผนพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย แผนระยะสั้นระหว่างปีงบประมาณ 2557-2558 ประกอบด้วยก่อสร้างจุดเลี้ยวบริเวณกึ่งกลางทางวิ่ง 21 งบประมาณ 15,000,000 บาท จ้างศึกษาและจัดทำแผนแม่บทท่าอากาศยาน 15,000,000 บาท และปี 2558 ประกอบด้วยสร้างจุดเลี้ยวบริเวณกึ่งกลางทางวิ่ง 03 งบประมาณ 15,000,000 บาท ก่อสร้างจุดเลี้ยวหัวทางวิ่ง 03 งบประมาณ 21,000,000 บาท

นายดำรงกล่าวว่า สำหรับการให้บริการการบินของ จ.เชียงรายถือว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น และล่าสุดสายการบินไชน่าแอร์ไลน์ ซึ่งสัญญาทำการบินเชียงราย-คุนหมิงได้สิ้นสุดในเดือน ต.ค. 55 นี้ ก็ได้ขยายทำการบินออกไปอีกจาก ต.ค. 2555-มี.ค. 2556 แล้ว และจากการเดินทางไปประชาสัมพันธ์หรือโรดโชว์ที่ประเทศจีนเมื่อเร็วๆ นี้ ก็พบว่าในอนาคตอาจจะมีแนวโน้มที่สายการบินอื่นๆ จะมาเปิดให้บริการมากขึ้นอีก

ส่วนกรณีที่มีกระแสว่าโครงการคิงส์โรมันฯ ในเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ตรงข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย มีการก่อสร้างสนามบินนั้น คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการให้บริการที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เพราะเป็นเพียงสนามบินขนาดเล็ก และการจะเปิดสายการบินนั้นยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนและอื่นๆ อีกมากมาย

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9550000122282


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 16 ตุลาคม 2012, 16:58:52
คมนาคมตามจี้สะพานข้ามโขงเชื่อม2แผ่นดิน


ข่าวภูมิภาค 16 October 2555 - 00:00

  พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคม พร้อมคณะเดินทางลงพื้นที่ จ.เชียงราย ตรวจความคืบหน้าการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อมระหว่าง อ.เชียงของ จ.เชียงราย กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลลาว และรัฐบาลจีน ด้วยงบประมาณ 44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเชื่อมโยงการคมนาคมทางบกของทั้ง 3 ประเทศเข้าด้วยกันตามแนวเส้นทางถนนอาร์ 3A โดยรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีนเป็นผู้ออกค่าดำเนินการฝ่ายละ 22 ล้านดอลลาร์ พบว่าการก่อสร้างคืบหน้า 60%
    จากนั้นได้ไปติดตามความก้าวหน้าในการให้บริการของท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2 ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ที่สร้างขึ้นเพื่อลดความแออัดของท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 1 เป็นการอำนวยความสะดวกในการขนถ่ายสินค้าจากประเทศไทยไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านทั้งจีน พม่า และลาว ผ่านทางลำน้ำโขงด้วยต้นทุนที่ต่ำ โดยได้รับอนุมัติงบประมาณ 1,500 ล้านบาทในปี 2552 เปิดให้ทดลองใช้มาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา
    พล.ต.อ.ชัจจ์กล่าวว่า กระทรวงมีกำหนดการจะประกอบพิธีอย่างเป็นทางการในโครงการทั้ง 2 แห่งนี้ ในวันที่ 12 ธ.ค. โดยจะเชิญนายกรัฐมนตรีมาเป็นประธานประกอบพิธีเชื่อมสะพาน 2 แผ่นดิน และเปิดการใช้ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2 ด้วย เพื่อเป็นการแสดงถึงความพร้อมของเครือข่ายคมนาคมของประเทศไทยที่จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2015 นี้ด้วย.

http://www.thaipost.net/x-cite/161012/63778


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 24 ตุลาคม 2012, 19:09:20
ผู้ใช้บริการท่าอากาศยานของ ทอท.เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว

วันพุธ ที่ 24 ต.ค. 2555




ทอท. 24 ต.ค. - ว่าที่เรืออากาศโท อนิรุทธิ์ ถนอมกุลบุตร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือ ทอท.เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมและเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของประเทศไทย จะมีเที่ยวบินและผู้โดยสารใช้บริการท่าอากาศยานของ ทอท.เป็นจำนวนมาก จากข้อมูลเบื้องต้นที่ได้รับการประสานจากสายการบิน คาดว่าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะมีเที่ยวบินเฉลี่ยวันละ 802 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากปกติที่มี 715 เที่ยวบินต่อวัน โดยเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ จำนวน 626 เที่ยวบิน เที่ยวบินภายในประเทศ 176 เที่ยวบิน ผู้โดยสารเฉลี่ยวันละ 142,000 คน เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีจำนวนประมาณ 119,000 คน โดยเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 110,000 คน ผู้โดยสารภายในประเทศ 32,000 คน ซึ่งผู้โดยสารต่างชาติส่วนใหญ่ที่เดินทางมาในช่วงนี้มาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน และสาธารณรัฐอินเดีย

ว่าที่เรืออากาศโท อนิรุทธิ์ กล่าวว่า สำหรับท่าอากาศยานที่มีปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสารเพิ่มขึ้นรองลงมา ได้แก่ ท่าอากาศยานภูเก็ต มีเที่ยวบินเฉลี่ยวันละ 178 เที่ยวบิน ผู้โดยสารเฉลี่ยวันละ 31,000 คน จากปกติมีเที่ยวบินเฉลี่ย 163 เที่ยวบินต่อวัน ผู้โดยสาร 25,030 คนต่อวัน ท่าอากาศยานเชียงใหม่ มีเที่ยวบินเฉลี่ย 124 เที่ยวบินต่อวัน ผู้โดยสารเฉลี่ย 15,000 คนต่อวัน จากปกติมีเที่ยวบินเฉลี่ย 97 เที่ยวบินต่อวัน ผู้โดยสาร 11,840 คนต่อวัน ท่าอากาศยานหาดใหญ่มีเที่ยวบินเฉลี่ย 47 เที่ยวบินต่อวัน ผู้โดยสารเฉลี่ย 7,000 คนต่อวัน จากปกติมีเที่ยวบินเฉลี่ย 40 เที่ยวบินต่อวัน ผู้โดยสาร 5,500 คนต่อวัน ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มีเที่ยวบินเฉลี่ย 22 เที่ยวบินต่อวัน ผู้โดยสารเฉลี่ย 2,500 คนต่อวัน จากปกติมีเที่ยวบินเฉลี่ย 18 เที่ยวบินต่อวัน ผู้โดยสาร 2,200 คนต่อวัน

สำหรับท่าอากาศยานดอนเมืองซึ่งได้เพิ่มการให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีสายการบินแอร์เอเชียย้ายฐานมาจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทำให้ปริมาณการจราจรทางอากาศเพิ่มขึ้น มีเที่ยวบินเฉลี่ยวันละ 277 เที่ยวบิน ผู้โดยสาร 24,797 คนต่อวัน และเมื่อเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว จึงทำให้ ทดม.มีเที่ยวบินเฉลี่ยวันละ 322 เที่ยวบิน และมีผู้โดยสารเฉลี่ยวันละ 40,000 คน.- สำนักข่าวไทย


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 ตุลาคม 2012, 17:49:57
ที่ดิน “เชียงแสน-สามเหลี่ยมทองคำ-แม่จัน” ราคายังพุ่งสูง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   25 ตุลาคม 2555

เชียงราย - ราคาที่ดิน “เชียงแสน-สามเหลี่ยมทองคำ-แม่จัน” ยังพุ่งสูง ขณะที่ราคาประเมินเพิ่มแค่ 10-20% เหมือนกันทั้งจังหวัด คาดหลังเปิด AEC คนแห่ซื้อขายกันมากขึ้น แต่พื้นที่ยุทธศาสตร์ตามแนวชายแดนยังเป็นที่ ส.ป.ก.อยู่
       
       วันนี้ (25 ต.ค.) นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารสำนักงานที่ดิน จ.เชียงราย สาขา อ.เชียงแสน ซึ่งกรมที่ดินได้จัดสรรงบประมาณกว่า 16 ล้านบาทสร้างขึ้นใหม่บนพื้นที่บ้านเวียงเหนือ ม.2 ต.เวียง อ.เชียงแสน เพื่อรองรับการขยายตัวในการให้บริการประชาชน โดยมีนายวิษณุ ธันวรักษ์กิจ เจ้าพนักงานที่ดิน จ.เชียงราย นำคณะหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่เข้าร่วม
       
       โดยสถานที่ก่อสร้างดังกล่าวมีเนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ เป็นที่สาธารณประโยชน์ตั้งอยู่ติดถนนเลี่ยงเมืองหรือบายพาสใกล้กำแพงเมืองเชียงแสน ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 336 วันแล้วเสร็จเดือน ก.ค. 2556
       
       นายวิษณุกล่าวว่า ที่ผ่านมาสำนักงานที่ อ.เชียงแสนต้องเช่าอาคารในการดำเนินการมานานกว่า 20 ปีแล้ว ขณะที่จำนวนประชากรที่ไปใช้บริการมีเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นทางกรมที่ดินจึงได้อนุมัติงบประมาณเพื่อการก่อสร้างสำนักงานใหม่ สำหรับในอนาคตเมื่อมีการเปิดประตูสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในปี 2558 คงจะมีความพยายามเข้ามาถือครองที่ดินในพื้นที่กันเพิ่มมากขึ้น ขณะที่จำนวนที่ดินมีจำกัดอยู่แล้ว
       
       โดยเฉพาะ อ.เชียงแสน ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมโยงโดยเป็นเมืองท่าเรือในแม่น้ำโขงและเชื่อมโยงไปถึงชายแดนด้าน อ.แม่สาย และสะพานแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อมถนน R3a ที่ อ.เชียงของ
       
       อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันราคาประเมินไม่ได้มีการปรับตัวสูงขึ้นจากเดิมมากนัก โดยเพิ่มขึ้นจากราคาประเมินเดิมประมาณ 10-20% เท่านั้น ซึ่งเหมือนกันทั้งจังหวัด
       
       นายวิษณุกล่าวอีกว่า แต่สำหรับราคาซื้อขายที่ดินที่ยังสูงและเพิ่มสูงขึ้นคือบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ บ้านสบรวก ม.1 ต.เวียง อ.เชียงแสน ส่วนที่เหลือยังคงใกล้เคียงกับราคาเดิม
       
       ทั้งนี้ ปัจจุบันยังมีที่ดินปฏิรูปเพื่อการเกษตร (ส.ป.ก.) อยู่อีกหลายพื้นที่ที่เคยมีการประกาศคลุมทั้งอำเภอ ซึ่งหากมีการยกเลิกในบางจุดที่ประชาชนถือครองอยู่แต่เดิมแล้วก็จะทำให้มีที่ดินที่ทางกรมที่ดินสามารถเข้าไปออกโฉนดให้ได้ต่อไป ซึ่งขณะนี้มีเพียง อ.เวียงชัยที่มีการประกาศยกเลิก แต่หลายอำเภอยังประสบปัญหานี้อยู่ แต่กรมที่ดินก็ได้ตั้งหน่วยปฏิรูปที่ดินขึ้นเพื่อให้แยกแยะที่ดินต่างๆ ทั่วประเทศให้เป็นที่ชัดเจน เช่น กรมที่ดิน ส.ป.ก.ป่าไม้ ธนารักษ์ ฯลฯ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการหรือให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนที่ถือครองอยู่ต่อไป
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับราคาประเมินที่ดินที่ อ.เชียงแสน พบว่าที่ดินบริเวณถนนแม่สาย-เชียงแสน บริเวณสามเหลี่ยมทองคำมีราคาสูงถึงไร่ละกว่า 11 ล้านบาท บางจุดราคาไร่ละ 10 ล้านบาท ส่วนที่ดินติดถนนสายเชียงแสน-แม่จันมีราคาไร่ละประมาณ 10 ล้านบาท ส่วนที่อื่นๆ ลดหลั่นกันลงไป โดยมีราคาตั้งแต่ 50,000 บาทจนถึงล้านบาทต่อไร่


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000130498


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 ตุลาคม 2012, 18:25:40
กาแฟดอยช้าง'ช่วยเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยสร้างรายได้แตะปีละ 3 พันล.
วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม 2012


สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ชูกาแฟดอยช้างเจ๋ง ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวส่งผลเป็นที่นิยมทั้งในและต่างประเทศ สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกร และผู้ประกอบการแปรรูป ได้ถึงปีละเกือบ 3 พันล้านบาท เผย ปี 2555ดอยช้างสามารถผลิตกาแฟดิบได้ 3,500 ตัน ด้านภาครัฐ และเอกชน พร้อมจับมือหนุนขยายพื้นที่ปลูก คาด 3 - 5 ปีข้างหน้า จะสามารถทำรายได้เข้าดอยช้างได้ถึงปีละ 1 หมื่นล้านบาท


นายสุรศักดิ์  พันธ์นพ รองเลขาธิการและรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การผลิตกาแฟพันธุ์อราบิกาในภาคเหนือของไทย ซึ่งพบว่า มีแหล่งปลูกที่สำคัญอยู่ที่ดอยช้าง ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย โดยนิยมปลูกในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลที่ 1,300 - 1,700 เมตร ภูมิอากาศมีลักษณะหนาวเย็นเหมาะกับกาแฟพันธุ์อราบิกา ส่วนสายพันธุ์ที่นิยมปลูกได้แก่ สายพันธุ์แคทรูรา (Caturra)  และ ทิปิกา (Typica )

สำหรับดอยช้างมีเนื้อที่ปลูกกาแฟประมาณ 30,000 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 70 ของเนื้อที่ปลูกกาแฟทั้งหมดของจังหวัดเชียงราย ซึ่งเกษตรกรจะเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟสด (ผลเชอร์รี่) ขายให้แก่โรงงานแปรรูปในดอยช้าง ที่ราคากิโลกรัมละ 20 - 30 บาท โดยโรงงานจะนำผลเชอร์รี่มาสีและหมักระยะหนึ่งจึงได้เป็นเมล็ดกาแฟดิบ หรือที่เรียกว่าสารกาแฟ ซึ่งราคาเมล็ดกาแฟดิบ จะอยู่ที่กิโลกรัมละ 180 - 200 บาท  และจากการสำรวจในปี 2555 ดอยช้างสามารถผลิตกาแฟดิบได้ทั้งหมด 3,500 ตัน ให้ผลผลิตต่อไร่ 350 กิโลกรัม โดยช่วงเก็บเกี่ยวจะอยู่ระหว่างเดือน ตุลาคม ถึง กุมภาพันธ์ ของทุกปี ซึ่งผลผลิตกาแฟในดอยช้างทั้งหมดจะขายให้กับโรงงานแปรรูปในแหล่งผลิต และส่วนใหญ่นำไปแปรรูปเป็นกาแฟคั่วบด

รองเลขาธิการกล่าวต่อไปว่า กาแฟดอยช้าง นับว่าได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยทำชื่อเสียงไปทั่วโลก ทั้งในเรื่องคุณภาพ กลิ่นและรสชาติที่ดีเยี่ยม มีเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นที่ต้องการของตลาดมาก อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีประเทศที่นำเข้ากาแฟจากดอยช้าง เช่น แคนาดา สิงคโปร์ ไต้หวัน สหราชอาณาจักร และ เกาหลีใต้  ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกร และ ผู้ประกอบการแปรรูป ได้ถึงปีละ 2,000 - 3,000 ล้านบาท ทำให้กาแฟของดอยช้างผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ ส่งผลให้ราคามีแนวโน้มสูงขึ้นมากกว่าแหล่งผลิตอื่น โดยเมล็ดกาแฟคั่วนั้น สามารถขายได้ถึงกิโลกรัมละ 1,600 บาท ทั้งนี้ จากความเหมาะสมของสภาพภูมิประเทศ และภูมิอากาศ รวมทั้งการบริหารจัดการที่ดี ทำให้ปัจจุบันทั้งภาครัฐ และเอกชนได้มีส่วนร่วมในการเข้าไปส่งเสริมให้เกษตรกรขยายพื้นที่ปลูกกาแฟอราบิกาเพิ่มขึ้น และคาดว่าใน 3 - 5 ปี ข้างหน้า กาแฟจะให้ผลผลิตได้เต็มที่ และสามารถทำรายได้เข้าดอยช้างปีละ 10,000 ล้านบาท

 http://www.thanonline.com


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 31 ตุลาคม 2012, 18:51:18
R3A ความหวังของเชียงราย
วันพุธที่ 31 ตุลาคม 2555 เวลา 00:00 น.

ถนน R3A เชื่อมลาว จีน เหลือรอสะพานข้ามแม่น้ำโขง แต่ทุนต่างถิ่นแห่เข้าเชียงรายคึกคัก เรียกร้องรัฐเร่งเพิ่มถนนรับทางหลวงข้ามประเทศ

นายเกรียงไกร วีระฤทธิพันธ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ทางหลวงสายใหม่ อาร์ 3 เอ (R3A) เชื่อม 3 ประเทศ คือ ไทย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และสาธารณรัฐประชาชนจีน เริ่มต้นจากเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ผ่านแขวงหลวงน้ำทา ถึงเมืองจิ่งหง หรือเชียงรุ้ง หรือสิบสองปันนา มณฑลหยุนหนาน ของจีน ก่อสร้างเสร็จ ใช้เดินทางไปตลอด เหลือเพียงสะพานข้ามแม่น้ำโขง จาก อ.เชียงของ ไปสู่ประเทศลาว ซึ่งจะใช้เวลาอีก 1 ปีจึงเสร็จ แต่ในระหว่างนี้ การขนส่งสินค้าข้ามประเทศไม่ได้รอให้การก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ ยังใช้โป๊ะแพขนานยนต์ข้ามแม่น้ำโขงไปมาอยู่ อย่างไรก็ตาม เส้นทางนี้ทำให้การเดินทางสู่จีนเร็วขึ้น ใช้เวลาเพียง 6 ชม. จากที่เคยใช้เวลาถึง 2 วัน

ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ในด้านการลงทุนประกอบการ เพื่อรองรับกับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่จะมาถึงในปี 2558 เริ่มมีทุนจากต่างถิ่นเข้าไปในจังหวัดมากขึ้น เกิดการเปลี่ยน แปลงอย่างมากในรอบสิบปีที่ผ่านมา ห้างสรรพสินค้าที่รู้จัก กันดี เช่น ห้างบิ๊กซี ห้างโลตัส ขนาดกลาง ห้างเซ็นทรัล เปิดกิจการแล้ว ธุรกิจโรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ล้านนา โรงพยาบาลแมคคอมิก กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ก็มีหลายราย เช่น โนเบิลเฮาส์ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีผู้ผลิตไก่สดเพื่อการส่งออกตั้งโรงงานแล้ว

“สิ่งที่ผู้ประกอบการพยายามเรียกร้องกับหน่วยงานรัฐ คือการเร่งพัฒนาระบบการคมนาคมและขนส่งให้ดีขึ้น โดยขณะนี้ ทางหลวงระหว่างประเทศเสร็จแล้วเป็นส่วนใหญ่ เหลือเพียงสะพานข้ามแม่น้ำโขง หากเสร็จจะมีรถยนต์ผ่านมากขึ้น แต่เส้นทางเชื่อมระหว่างตัวเมืองเชียงรายไปสู่อำเภอแม่สาย ระยะทาง 60 กม.ยังเป็นถนนหลักสายเดิม ผิวถนนมีจำกัดทำให้การจราจรติดขัด ขณะที่ถนนระหว่างอำเภอเชียงแสน อำเภอเชียงของ ขยายเป็น 4 ช่องจราจรแล้ว แต่ไม่มีระบบถนนวงแหวน ถนนทุกสายต้องผ่านใจกลางเมือง จึงมีปัญหาอย่างมาก นอกจากนี้ควรเร่งรัดให้เกิดทางรถไฟจากสถานีเด่นชัย จ.แพร่ ให้ถึงเชียงรายได้แล้ว” นายเกรียงไกรกล่าว.

http://www.dailynews.co.th/businesss/163767


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 03 พฤศจิกายน 2012, 22:58:54
ทช.หั่นงบปี 56 ทำถนนไร้ฝุ่น 4.5 พันล.

   
    

 
นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า งบประมาณ 2556 กรมฯได้รับจัดสรรงบ ประมาณรวม 3.39 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุน จำนวน 3.25 หมื่นล้านบาท งบบุคลากร จำนวน 1.11 พันล้าน บาท งบดำเนินงาน จำนวน 242 ล้านบาท และงบรายจ่ายอื่น จำนวน 42 ล้านบาท โดยในส่วนของงบลงทุน 3.25 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย งบลงทุนโครงการใหม่ จำนวน 2.76 หมื่นล้านบาท และงบผูกพัน จำนวน 4.89 พันล้านบาท

ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการใหม่ๆ ที่ สำคัญ ได้แก่ โครงการถนนยกระดับสาย คลองเกาะผี จังหวัดภูเก็ต งบประมาณ 170 ล้านบาท โครงการถนนสาย ง ผัง เมืองรวมชัยภูมิ 120 ล้านบาท โครงการถนนสาย จ และ ฉ ผังเมืองรวมเมืองแม่ สอด จังหวัดตาก งบประมาณ 235 ล้านบาท โครงการถนนสาย ค เลี่ยงเมืองด้านใต้ จังหวัดสุโขทัย งบประมาณ 376 ล้านบาท

โครงการสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาตามแผนถนนสาย ก ผังเมืองรวมพระนครศรีอยุธยา ตอน 2 งบประมาณ 360 ล้านบาท โครงการสายเชื่อม จ3-วงแหวนตะวันตก (ตอนที่1) จังหวัดเชียงราย งบประมาณ 700 ล้านบาท โครงการถนนบ้านใต้- ท้องนายปาน อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี งบ ประมาณ 85 ล้านบาท โครงการสนับสนุน โครงการพระราชดำริ จำนวน 10 สายทางงบประมาณ 389 ล้านบาท และโครงการสนับสนุนโครงการหลวง จำนวน 4 สายทาง งบประมาณ 230 ล้านบาท

นอกจากนี้ ปีงบ ประมาณ 2556 กรมฯได้รับจัดสรรงบประมาณจำนวน 4.5 พันล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการยกระดับถนนลูกรังเป็นถนนลาดยางรวมระยะทาง 750 กม. และยังเหลือถนนที่ต้องปรับปรุงอีกกว่า 5,000 กม. ที่ต้องดำเนิน การตามแผน โดยจะทยอยของบประมาณเพื่อมาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ตามแผนจะของบประมาณเพื่อปรับปรุงถนนปีละ 1,200 กม. ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 5 ปี

ส่วนกรณีที่กรอบแผนลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่งปีงบประมาณ พ.ศ.2556-2563 ของกระทรวงคมนาคม มูลค่า 1.99 ล้านล้านบาท ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านระบบราง สัดส่วนประมาณ 64% ระบบถนนอยู่ที่สัดส่วน 24% จะส่งผลกระทบต่องานของทช.หรือไม่นั้น นายชาติชาย กล่าวว่าจะไม่กระทบต่อการพัฒนาและบำรุงรักษาถนนทางหลวงชนบท เนื่องจากกรมของบประมาณเพื่อใช้บำรุงรักษาถนน ซึ่งในปี 2556 ได้จัดสรรเพื่อบำรุงรักษาทาง ประมาณ 1.49 หมื่นล้านบาท

http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413368785


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: ap.41 ที่ วันที่ 04 พฤศจิกายน 2012, 08:08:09
ที่ดิน “เชียงแสน-สามเหลี่ยมทองคำ-แม่จัน” ราคายังพุ่งสูง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   25 ตุลาคม 2555

เชียงราย - ราคาที่ดิน “เชียงแสน-สามเหลี่ยมทองคำ-แม่จัน” ยังพุ่งสูง ขณะที่ราคาประเมินเพิ่มแค่ 10-20% เหมือนกันทั้งจังหวัด คาดหลังเปิด AEC คนแห่ซื้อขายกันมากขึ้น แต่พื้นที่ยุทธศาสตร์ตามแนวชายแดนยังเป็นที่ ส.ป.ก.อยู่
       
       วันนี้ (25 ต.ค.) นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารสำนักงานที่ดิน จ.เชียงราย สาขา อ.เชียงแสน ซึ่งกรมที่ดินได้จัดสรรงบประมาณกว่า 16 ล้านบาทสร้างขึ้นใหม่บนพื้นที่บ้านเวียงเหนือ ม.2 ต.เวียง อ.เชียงแสน เพื่อรองรับการขยายตัวในการให้บริการประชาชน โดยมีนายวิษณุ ธันวรักษ์กิจ เจ้าพนักงานที่ดิน จ.เชียงราย นำคณะหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่เข้าร่วม
       
       โดยสถานที่ก่อสร้างดังกล่าวมีเนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ เป็นที่สาธารณประโยชน์ตั้งอยู่ติดถนนเลี่ยงเมืองหรือบายพาสใกล้กำแพงเมืองเชียงแสน ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 336 วันแล้วเสร็จเดือน ก.ค. 2556
       
       นายวิษณุกล่าวว่า ที่ผ่านมาสำนักงานที่ อ.เชียงแสนต้องเช่าอาคารในการดำเนินการมานานกว่า 20 ปีแล้ว ขณะที่จำนวนประชากรที่ไปใช้บริการมีเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นทางกรมที่ดินจึงได้อนุมัติงบประมาณเพื่อการก่อสร้างสำนักงานใหม่ สำหรับในอนาคตเมื่อมีการเปิดประตูสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในปี 2558 คงจะมีความพยายามเข้ามาถือครองที่ดินในพื้นที่กันเพิ่มมากขึ้น ขณะที่จำนวนที่ดินมีจำกัดอยู่แล้ว
       
       โดยเฉพาะ อ.เชียงแสน ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมโยงโดยเป็นเมืองท่าเรือในแม่น้ำโขงและเชื่อมโยงไปถึงชายแดนด้าน อ.แม่สาย และสะพานแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อมถนน R3a ที่ อ.เชียงของ
       
       อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันราคาประเมินไม่ได้มีการปรับตัวสูงขึ้นจากเดิมมากนัก โดยเพิ่มขึ้นจากราคาประเมินเดิมประมาณ 10-20% เท่านั้น ซึ่งเหมือนกันทั้งจังหวัด
       
       นายวิษณุกล่าวอีกว่า แต่สำหรับราคาซื้อขายที่ดินที่ยังสูงและเพิ่มสูงขึ้นคือบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ บ้านสบรวก ม.1 ต.เวียง อ.เชียงแสน ส่วนที่เหลือยังคงใกล้เคียงกับราคาเดิม
       
       ทั้งนี้ ปัจจุบันยังมีที่ดินปฏิรูปเพื่อการเกษตร (ส.ป.ก.) อยู่อีกหลายพื้นที่ที่เคยมีการประกาศคลุมทั้งอำเภอ ซึ่งหากมีการยกเลิกในบางจุดที่ประชาชนถือครองอยู่แต่เดิมแล้วก็จะทำให้มีที่ดินที่ทางกรมที่ดินสามารถเข้าไปออกโฉนดให้ได้ต่อไป ซึ่งขณะนี้มีเพียง อ.เวียงชัยที่มีการประกาศยกเลิก แต่หลายอำเภอยังประสบปัญหานี้อยู่ แต่กรมที่ดินก็ได้ตั้งหน่วยปฏิรูปที่ดินขึ้นเพื่อให้แยกแยะที่ดินต่างๆ ทั่วประเทศให้เป็นที่ชัดเจน เช่น กรมที่ดิน ส.ป.ก.ป่าไม้ ธนารักษ์ ฯลฯ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการหรือให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนที่ถือครองอยู่ต่อไป
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับราคาประเมินที่ดินที่ อ.เชียงแสน พบว่าที่ดินบริเวณถนนแม่สาย-เชียงแสน บริเวณสามเหลี่ยมทองคำมีราคาสูงถึงไร่ละกว่า 11 ล้านบาท บางจุดราคาไร่ละ 10 ล้านบาท ส่วนที่ดินติดถนนสายเชียงแสน-แม่จันมีราคาไร่ละประมาณ 10 ล้านบาท ส่วนที่อื่นๆ ลดหลั่นกันลงไป โดยมีราคาตั้งแต่ 50,000 บาทจนถึงล้านบาทต่อไร่


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000130498
ที่บ้านสบกกพื้นที่ติดริมแม่น้ำโขง ราคาเดี่ยวนี้ 2ล้านกว่าต่อไร่ละ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: ap.41 ที่ วันที่ 04 พฤศจิกายน 2012, 08:10:57
ถนน 4 เลน มาละ เชียงแสน-เชียงของ ตอนนี้มาถึงบ้านกก แล้วครับ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 พฤศจิกายน 2012, 12:23:01
กาแฟดอยช้างทุ่ม300ล.

05 พฤศจิกายน 2555 เวลา 11:25 น.
 


กาแฟดอยช้างขยายกำลังผลิต รับตลาดใน-นอก เล็งบุกอาเซียน พร้อมแตกไลน์เครื่องสำอาง ปีนี้หวัง 1,000 ล้าน

นายวิชา พรหมยงค์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดอยช้าง คอฟฟี่ ออริจินอล ผู้บริหารธุรกิจกาแฟแบรนด์ดอยช้างครบวงจรของไทย เปิดเผยว่า ในปี 2556 กาแฟดอยช้างจะขยายตัวต่อเนื่องทั้งตลาดประเทศไทยและต่างประเทศ ทั้งขยายกำลังการผลิตและการตลาดเพื่อรองรับการขยายพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกร

สำหรับแผนขยายธุรกิจในประเทศไทย ปีหน้าจะลงทุนไม่ต่ำกว่า 165 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตกาแฟในโรงงานเดิมที่ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย เป็น 6,000 ตันต่อปี ภายใน 2-3 ปีจากนี้ จากเดิมมีกำลังผลิตประมาณ 1,200-1,500 ตันต่อปี เพื่อรองรับกับความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและส่งออก

ปัจจุบันมีร้านดอยช้างที่เป็นของบริษัทเองมากกว่า 20 สาขา และพันธมิตรอีก 300 กว่าสาขา

ขณะเดียวกัน ยังมองการขยายไลน์ธุรกิจใหม่ต่อยอดแบรนด์ดอยช้างด้วย โดยเน้นกลุ่มสินค้าทางการเกษตร โดยขยายไลน์สินค้าไปยังกลุ่มเครื่องสำอางและสกินแคร์ด้วย ภายใต้แบรนด์ “นูด้า” (NUDA) เช่น สบู่ที่ผลิตจากน้ำผึ้ง

พร้อมกันนั้น ได้ขยายไลน์สู่ค้าปลีกด้วยการเปิดร้านดอยช้างมาร์ต และร้านดอยช้างโชห่วย ที่บริเวณเดียวกับไร่กาแฟบนดอยช้าง และเตรียมเปิดร้านอาหารเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว

ขณะที่ตลาดต่างประเทศนั้น จะลงทุนประมาณ 90-100 ล้านบาท ในลักษณะการร่วมทุนเพื่อก่อสร้างโรงคั่วกาแฟที่เมืองบูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย เป็นฐานผลิตใหม่เพิ่มขึ้น เพื่อส่งออกให้กับคู่ค้าต่างประเทศเป็นหลัก จากเดิมที่มีฐานผลิตโรงคั่วใหญ่ที่แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา กับเวนิส ประเทศ อิตาลี

สำหรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี เป็นโอกาสสำคัญของการสร้างแบรนด์ดอยช้างในอาเซียนด้วย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับกลุ่มทุนญี่ปุ่นกับเกาหลี เพื่อร่วมขยายแฟรนไชส์ในอาเซียน โดยวางเป้าหมายเปิด 10 สาขาในช่วงแรก

http://www.posttoday.com


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 พฤศจิกายน 2012, 23:27:50
กทพ.เสนอคมนาคมไฟเขียว 4ทางด่วน


วันอังคารที่ 06 พฤศจิกายน 2012 เวลา 09:52 น.


การทางพิเศษฯเร่งสรุป 4 โครงการสร้างทางด่วนเชื่อมโยงประเทศเพิ่อนบ้านทั้ง4 ด้าน ก่อนส่งมอบผู้ว่าการ "อัยยณัฐ" เสนอบอร์ดและผู้บริหารกระทรวงคมนาคมผลักดัน  "เส้นทางสะเดาเชื่อมมาเลย์ /เชียงของ- สปป.ลาว /หนองคาย-เวียงจันทน์

และแม่สอดเมียวดี "เข้าวิน คาดลงทุนไม่ถึงแสนล้านบาทแต่ผลประโยชน์คุ้มค่า  เล็งใช้ขนส่งสินค้าและนักท่องเที่ยวรับเออีซี ด้านหอการค้าหนองคายหนุนเต็มที่ ชี้ครม.ยิ่งลักษณ์เห็นชอบในเบื้องต้นแล้ว
          แหล่งข่าวระดับสูงการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ขณะนี้ได้เร่งสรุปการศึกษาความเหมาะสมเบื้องต้นโครงการก่อสร้างทางด่วนเชื่อมโยงระหว่างประเทศโดยคณะทำงานได้คัดเลือก 4 โครงการ เพื่อนำเสนอนายอัยยณัฐ ถินอภัย ผู้ว่าการ กทพ.พิจารณาเพื่อนำเสนอคณะกรรมการ(บอร์ด)กทพ. และผู้บริหารกระทรวงคมนาคมเร่งผลักดันต่อไป
          โดยทั้ง 4 โครงการดังกล่าวประกอบด้วย 1.โครงการช่วงอำเภอสะเดา-ประเทศมาเลเซีย 2.โครงการช่วงเชียงของ(เชียงราย)-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) (เมืองห้วยทราย)3.โครงการช่วงหนองคาย-เวียงจันทน์ 4.โครงการช่วงแม่สอด –เมียวดี ที่ปัจจุบันมีประชาชนใช้เส้นทางปริมาณมากอีกทั้งยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องดังนั้นจึงต้องการสร้างทางเลือกในการเดินทางเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนที่ต้องการความรวดเร็ว สะดวกสบายเพิ่มขึ้น
         " เป็นระยะทางสั้นๆ 5-10 กิโลเมตร คาดว่าทั้ง 4 โครงการจะใช้งบประมาณไม่เกิน 1 แสนล้านบาท แต่สิ่งที่ได้รับทั้งค่าธรรมเนียมการใช้เส้นทาง ปริมาณการนำเข้า-ส่งออกสินค้าสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยได้อย่างมาก ดังจะเห็นได้จากมูลค่าการค้าชายแดนช่วงด่านสะเดา-มาเลเซียปัจจุบันเพิ่มสูงถึง 2 แสนล้านบาทจากช่วงก่อนนี้มีเพียง 5 หมื่นล้านบาท จึงต้องเร่งก่อสร้างทางด่วนรองรับไว้ตั้งแต่วันนี้เพราะถนนที่กรมทางหลวงมีแผนก่อสร้างจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้ดำเนินการก่อสร้างเนื่องจากติดปัญหาด้านงบประมาณ"
          แหล่งข่าวกล่าวอีกว่าสำหรับช่วงสะเดา-มาเลเซียจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงโดยระยะสั้นๆประมาณ 6 กิโลเมตร คาดว่าจะใช้งบลงทุน 3-4 หมื่นล้านบาท ซึ่งสามารถสร้างไปตามแนวถนนเส้นทางรถไฟหาดใหญ่ได้จะประหยัดงบประมาณได้อีกมาก หรือก่อสร้างยกระดับให้พื้นที่ใต้ทางด่วนใช้เป็นแนวฟลัดเวย์ก็ได้ โดยอาจใช้พื้นที่ให้เป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางของทัวร์บริการนักท่องเที่ยว ส่วนที่เหลือเป็นแนวถนนของกรมทางหลวงวางแผนไว้ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร ซึ่งคงต้องหารือกับกรมทางหลวงต่อไป
          ส่วนโครงการช่วงหนองคาย-เวียงจันทน์ ถือว่าเป็นพื้นที่ใหม่เชื่อมเวียงจันทน์ที่จะก่อสร้างห่างจากแนวสะพานข้ามแม่น้ำโขงปัจจุบันไปทางด้านขวาประมาณ 10 กิโลเมตรให้เป็นทางเลือกการเดินทางสู่เวียงจันทน์ ระยะทาง 10-15 กิโลเมตร คาดว่าจะใช้งบประมาณการลงทุนไม่น้อยกว่า 5 หมื่นล้านบาท นอกเหนือจากทางรถไฟไฮสปีดเทรนที่มีแผนก่อสร้าง หรือโครงการรถไฟช่วงหนองคาย-ท่านาแล้ง-เวียงจันทน์ ที่ขณะนี้ได้เริ่มงานก่อสร้างแล้วแต่ปริมาณรถยนต์ยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    ด้านโครงการบริเวณจุดเชียงของกทพ.ต้องการเข้าไปรับบริหารจัดการเพราะจุดดังกล่าวเป็นจุดเชื่อมต่อตามกรอบความร่วมมือระหว่างอาเซียนที่มีหลายหน่วยงานเข้าไปทำหน้าที่ช่วงด่านดังกล่าวที่มีการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4  ขณะที่โครงการช่วงแม่สอด+เมียวดีนั้น ก็ได้กำหนดแนวก่อสร้างไปทางด้านขวาของแนวสะพานไทย-พม่าเดิม ระยะทางประมาณ 5-6 กิโลเมตร เพื่อให้เชื่อมโยงกับแนวถนนในเส้นทางหลักในประเทศไทยที่กรมทางหลวงก่อสร้างรองรับไว้แล้วระยะทางประมาณ 19 กิโลเมตรให้เดินทางเข้าสู่จังหวัดตากได้สะดวกยิ่งขึ้น
                 "โครงการที่หนองคาย-เวียงจันทน์นั้นนายประเสริฐ วิทยาภัทร ประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดหนองคาย ได้เห็นชอบโครงการดังกล่าวเนื่องจากจะเป็นการสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของจังหวัดหนองคายที่ได้เคยเสนอต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.)สัญจรเมื่อครั้งที่ประชุม ณ จังหวัดอุดรธานี เมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 โดยได้ขอเสนองบประมาณในการก่อสร้างสะพานคู่ขนานกับสะพานเดิมจำนวน 1,200 ล้านบาท ซึ่งในการศึกษาของกทพ.ครั้งนี้หอการค้าจังหวัดหนองคายได้เสนอให้ กทพ.เร่งรัดดำเนินการให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป" แหล่งข่าวกล่าว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,790 วันที่  8-10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: HARLEY DAVIDSON ที่ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2012, 23:59:34
ถนน 4 เลน มาละ เชียงแสน-เชียงของ ตอนนี้มาถึงบ้านกก แล้วครับ

รถวิ่งสบายล่ะทีนี้


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2012, 19:31:11
ท่องเที่ยวเชียงรายคึกคัก นักท่องเที่ยวจีนทะลัก


นายอภิชา ตระสิทธุ์ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวเชียงราย เปิดเผยว่า บรรยากาศการท่องเที่ยวของจ.เชียงรายในช่วงไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมาและไตรมาสที่ 4 ปี 2555 นี้ คึกคักกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีนเดินทางมาเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ยอดจองและอัตราการเข้าพักในโรงแรมมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นกว่า 70 - 80% เมื่อเปรียบกับช่วงเดียวกันของปี 2554

นักท่องเที่ยวชาวจีนส่วนใหญ่ที่เดินทางมา ใช้เส้นทางคมนาคมผ่านเส้นทางอาร์ 3 เอ เชื่อมระหว่าง 3 ประเทศ คือ ไทย -ลาว - จีน ผ่าน อ.เชียงของ จ.เชียงราย ห้วยทราย -หลวงน้ำทา - บ่อเต็น สปป.ลาว และบ่อหาน - เชียงรุ้ง- คุนหมิง ของจีน โดยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาส่วนใหญ่ชื่นชอบการเที่ยวชมศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี และแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เช่น ดอยตุง ภูชี้ฟ้า ฯลฯ นอกจากนี้ยังพบว่าตลาดการประชุม-สัมมนาของจ.เชียงรายมีอัตราการเติบโตสูงมาก ทั้งกลุ่มประชุม-สัมมนาของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่จัดขึ้นในโรงแรมต่างๆ จนยอดจากจัดประชุม-สัมมนาเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 20%

ส่วนนายดำรง คล่องอักขระ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย กล่าวว่า สถิติผู้โดยสารผ่านท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ในปีงบประมาณ 2555 (ต.ค. 2554 - ก.ย.2555) มีจำนวนทั้งสิ้น 926,546 คน เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2554 ที่มีจำนวนผู้โดยสาร 806,239 คน ขณะเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบจำนวนผู้โดยสารในเดือน ต.ค. 2555 มีจำนวน 88,106 คน เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเดือน ต.ค. 2554 ที่มีจำนวนผู้โดยสาร 60,820 คน

http://breakingnews.nationchannel.com/home/read.php?newsid=658772


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2012, 18:25:06
รัฐบาลเร่งแผนรถไฟฟ้าความเร็วสูง 4 เส้นทางหลักเชื่อมโยงจีน-อาเซียน


กรุงเทพฯ 17 พ.ย.- นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม กล่าวในรายการ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน” ถึงการเดินทางร่วมคณะนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมระบบรถไฟความเร็วสูงที่อังกฤษว่า เป็นการศึกษาดูงานการบริหารระบบรถไฟความเร็วสูงแบบบูรณาการร่วมกับระบบขนส่งมวลชนเชื่อมโยงเส้นทางในประเทศและเมืองสำคัญในภูมิภาคยุโรป โดยในส่วนของไทยในอนาคตไม่เกิน 5-6 ปี ประเทศไทยจะมีระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงลักษณะนี้ในกรุงเทพมหานคร เช่นเดียวกัน โดยอาจจะเชื่อมต่อจากสถานีบางซื่อไปถึงเมืองคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีนด้วย โดยขอให้ประชาชนทุกฝ่ายร่วมมือกันมองไปถึงอนาคตของประเทศ ที่จะมีการพัฒนาระบบรถไฟฟ้า และระบบรางเชื่อมต่อกับต่างประเทศ

“ขอให้ประชาชนร่วมมือเดินหน้าไปด้วยกัน อย่าอยู่กับสิ่งเก่า ๆ ล้าหลัง หรือพูดถึงการเมืองนอกรูปแบบ เพราะมันหมดยุคแล้ว เราต้องพูดถึงอนาคต ต้องก้าวไปด้วยกัน และต้องทำให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยไม่คำนึงถึงเรื่องการเมือง ส่วนการเมืองนั้น หากเห็นว่ารัฐบาลคอร์รัปชั่น ก็ขอให้บอกว่าจุดไหน เรามีหน่วยงานที่เป็นกลางทำหน้าที่ตรวจสอบอยู่แล้ว ทั้ง ป.ป.ช. สตง. ก็ต้องไปพูดกันตรงนั้น อย่ามาพูดลอยๆ แล้วทำให้ประชาชนเข้าใจผิด” นายชัชชาติ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับแผนการพัฒนารถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อระหว่างประเทศไทยกับประเทศในภูมิภาค โดยใช้รถไฟความเร็วสูง เมืองที่มีศักยภาพพอที่จะมีการเชื่อมต่อ ได้แก่ กรุงเทพฯ สิงคโปร์ กัวลาลัมเปอร์ ปีนัง โฮจิมินห์ ซิตี้ พนมเปญ ย่างกุ้ง และเวียงจันทน์ ซึ่งการเชื่อมเมืองเหล่านี้เข้าด้วยกันนั้น สามารถแยกเส้นทางการเดินรถออกได้เป็น 4 เส้นทางหลัก

ประกอบด้วย 1. เส้นทางสายเหนือ ความยาว 1,100 กิโลเมตร เริ่มต้นที่กรุงเทพฯ ผ่านจังหวัดนครสวรรค์ ตาก จากนั้นจึงแยกออกเป็น 2 เส้นทาง โดยเส้นทางแรกจะไปสิ้นสุดที่ย่างกุ้ง ส่วนอีกเส้นทางไปยังจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสามารถที่จะเชื่อมต่อไปยังจังหวัดเชียงราย และเมืองคุนหมิงในประเทศจีนได้ในอนาคต 2. เส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือความยาว 600 กิโลเมตรเริ่มต้นที่กรุงเทพฯ ผ่านจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย ไปสิ้นสุด ณ เวียงจันทน์ ซึ่งสามารถที่จะเชื่อมต่อไปยังฮานอยในประเทศเวียดนามได้ในอนาคต

3. เส้นทางสายตะวันออก ความยาว 800 กิโลเมตร เริ่มต้นที่กรุงเทพฯ ผ่านจังหวัดฉะเชิงเทรา ไปยังพนมเปญ ประเทศกัมพูชา และไปสิ้นสุดที่โฮจิมินห์ ซิตี้ ประเทศเวียดนาม 4. เส้นทางสายใต้มีความยาวประมาณ 1,900 กิโลเมตรเริ่มต้นที่กรุงเทพฯ แล้วตรงไปยังสุราษฎร์ธานี จากนั้นจะแยกออกเป็น 2 เส้นทาง โดยเส้นทางแรกจะแยกออกไปยังจังหวัดภูเก็ต ส่วนอีก เส้นทางจะผ่านหาดใหญ่ ปีนัง กัวลาลัมเปอร์ และไปสิ้นสุดที่ประเทศสิงคโปร์.

 -สำนักข่าวไทย


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2012, 22:38:36
ท่าเรือน้ำโขงมูลค่า 1.5 พันล้านแทบร้าง-เอกชนเมิน ยอมจ่ายค่าปรับแลกเทียบท่าเอกชนแทน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   19 พฤศจิกายน 2555

เชียงราย - ท่าเรือเชียงแสน 2 มูลค่ากว่า 1.5 พันล้านป่วน เอกชนเมินล่องเรือสินค้าเข้าเทียบท่าหลังเจอปัญหาน้ำโขงแห้ง-ต้นทุนเพิ่ม-ถนนเชื่อมต่อไม่รองรับ แถมไร้สิ่งอำนวยความสะดวกลูกเรือ ฯลฯ จนยอมจ่ายค่าปรับลำละ 3 พันแลกเข้าเทียบท่าเอกชนกันเป็นแถว ล่าสุด กมธ.จีเอ็มเอสยกคณะเข้าตรวจสอบ
       
       วันนี้ (19 พ.ย.) นายสมคิด บาลไธสง ประธานคณะอนุกรรมาธิการกิจการชายแดน (อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง : GMS) สภาผู้แทนราษฎร ได้นำคณะเดินทางไปตรวจสอบการดำเนินการของท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 บนเนื้อที่ประมาณ 387 ไร่ 1 งาน 44 ตารางวา ติดชายแดนไทย-สปป.ลาว ที่กระทรวงคมนาคมใช้งบประมาณ 1,546.4 ล้านบาท ก่อสร้างและเปิดใช้งานได้ทันตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 55 ที่ผ่านมา โดยมีข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกิจการท่าเรือเข้าร่วม
       
       ดร.กิตติรัตน์ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ในฐานะเลขานุการคณะฯ ได้แจ้งสาเหตุการตรวจสอบว่าเกิดจากการได้รับแจ้งว่าท่าเรือประสบปัญหาเรือสินค้าไม่ยอมเข้าใช้บริการ และยังจะมีการเปิดจุดผ่านแดนถาวรเชียงแสนแห่งที่ 2 ขึ้นที่สามเหลี่ยมทองคำ บ้านสบรวก ม.1 ต.เวียง อ.เชียงแสน เพิ่มอีกแห่งหนึ่งด้วย รวมทั้งต้องการทราบการดำเนินการของชายแดนไทย-สปป.ลาว ด้าน อ.เชียงของด้วย
       
       นายวีระ จินนิกร ผู้จัดการท่าเรือเชียงแสน กล่าวว่า ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 สร้างขึ้นเพื่อรองรับสินค้าชายแดนที่เพิ่มมากขึ้นได้ถึง 6 ล้านตันต่อปี รองรับเรือสินค้าขนาด 500 ตันได้ครั้งละ 10 ลำ ปัจจุบันก่อสร้างเสร็จแล้ว และมีหน่วยงานเข้าไปประจำทั้ง 9 หน่วย และจะเพิ่มเป็น 10 หน่วยคือสรรพสามิต เพื่อรองรับสินค้าน้ำมันเชื้อเพลิงในเร็วๆ นี้
       
       สภาพปัจจุบันยังมีเรือสินค้าไปใช้บริการ โดยเฉพาะไก่แช่แข็งที่ส่งออกวันละกว่า 20-30 ตู้คอนเทนเนอร์ สำหรับกรณีที่ระบุว่าเรือสินค้าไม่ไปใช้บริการที่ท่าเรือทั้งหมดนั้นพบว่าเกิดจากระดับน้ำในแม่น้ำโขงในปัจจุบันลึกประมาณ 2.50 เมตร เรือสินค้าจีนกินน้ำลึกตั้งแต่ 1.80 เมตร และในฤดูแล้งนี้คาดว่าระดับน้ำก็คงจะลดลงอีกตามปกติทุกปี โดยคาดว่าสภาพน้ำโขงลึกพอแล่นเรือได้ต่อไปอีกราว 2 เดือนก่อนจะแห้งกว่านี้
       
       ดังนั้น จึงทำให้เรือไปใช้บริการเทียบท่าเรือห้าเชียง ซึ่งเป็นของเอกชนที่บ้านสบรวก สามเหลี่ยมทองคำแทน รวมทั้งมีอุปสรรคถนน 4 ช่องจราจร ระยะทาง 14.550 กิโลเมตรที่จะเชื่อมท่าเรือ-อ.เมืองเชียงราย มูลค่า 809.580 ล้านบาท ยังไม่แล้วเสร็จ ที่มีกำหนดก่อสร้างตั้งแต่ 22 ก.ย. 2554-9 มี.ค. 2557 ด้วย แต่ถ้าเสร็จจะย่นระยะทางได้กว่า 30 กิโลเมตร ทำให้ปัจจุบันท่าเรือต้องกำหนดมาตรการจูงใจด้วยการพยายามหาสิ่งอำนวยความสะดวกให้เรือสินค้ามากขึ้น และลดราคา 50% เป็นเวลา 3 เดือนด้วย
       
       ด้านนางเกศสุดา สังขกร รองประธานหอการค้า จ.เชียงราย ฝ่ายการค้าชายแดน อ.เชียงแสน กล่าวว่า สาเหตุที่ผู้ประกอบการค้าไม่ไปใช้บริการท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 มากและหันไปใช้ท่าเรือเอกชนที่สามเหลี่ยมทองคำเพราะต้นทุนสูงกว่า โดยต้องเดินทางไกลจากท่าเรือแห่งที่ 1 ในปัจจุบันถึง 6 กิโลเมตร เสียค่าใช้จ่ายเที่ยวละนับหมื่นบาท
       
       ทั้งนี้ เมื่อตอนเปิดใช้ท่าเรือเชียงแสน 2 ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 55 ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการถูกบีบให้ไปใช้บริการ แต่ปรากฏว่าสะพานข้ามลำน้ำคำที่เชื่อมไปยังท่าเรือพังเสียหาย ต้องหันไปใช้เส้นทางอ้อมก็ผ่านถนนในหมู่บ้านทำให้ถนนพังเสียหาย เมื่อจะกลับไปใช้ท่าเรือแห่งเดิมก็ถูกปิดการใช้งานเสียแล้ว จึงจำเป็นต้องไปใช้บริการจอดนอกท่าเรือ โดยเสียค่าปรับเรือลำละ 3,000 บาท ซึ่งก็เดือดร้อนหนักเพราะถ้าเป็นเรือสินค้าจีนขนาดใหญ่ก็คงคุ้มค่า แต่ถ้าเป็นเรือ สปป.ลาวที่ใช้ขนไก่แช่แข็งกันเป็นจำนวนมากคงไม่คุ้มค่า เพราะระวางบรรทุกมีน้อย นอกจากนี้ ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 ไม่มีสถานที่รองรับลูกเรือ เช่น สินค้า อาหาร ที่พักผ่อน ฯลฯ
       
       นางเกศสุดากล่าวอีกว่า ปัญหาสำคัญอีกประการคือ ร่องน้ำในแม่น้ำโขงบางจุดตื้นเขิน และไม่ชัดเจนเป็นไปตามทรายที่ถูกน้ำพัดพา ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 พ.ย. 55 ที่ผ่านมามีเรือสินค้าเกยตื้นร่องน้ำที่ป่าแลว ชายแดนพม่า-สปป.ลาว ถึง 5 ลำ ขณะที่เส้นทางจากท่าเรือ 1 ถึงท่าเรือ 2 ก็มีความตื้นเขินในบางจุดเช่นกัน จึงเสนอให้มีการร่วมมือกับจีนที่ดูแลเขื่อนด้านบนให้เปิด-ปิดน้ำให้เหมาะสม และขุดลอกให้เดินเรือได้สะดวก รวมทั้งปรับปรุงถนนเชื่อมท่าเรือให้รองรับรถบรรทุกได้ 50 ตันมากกว่าสภาพในปัจจุบันที่รองรับได้เพียง 15 ตัน
       
       ขณะที่นายพัชระ สินสวัสดิ์ รองเลขานุการคณะฯ ซึ่งเป็นอดีตนายด่านศุลกากรเชียงแสน กล่าวว่า ท่าเรือแห่งที่ 2 เกิดจากมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรขยายจากท่าเรือแห่งที่ 1 ซึ่งแออัดอยู่กลางตัวเมืองเชียงแสน ดังนั้นจึงไปสร้างแห่งที่ 2 แต่ปรากฏว่าช่วงที่ผลักดันให้เรือสินค้าไปใช้บริการและปิดท่าเรือแห่งที่ 1 เพื่อพัฒนาเป็นท่าเรือท่องเที่ยวกลับมีเอกชนเปิดท่าเรือเพิ่มมากขึ้นถึง 6-7 แห่ง ซึ่งตนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะเมื่อมีปัญหาแห่งที่ 2 ก็หันมาใช้ท่าเรือแห่งที่ 1 แทนชั่วคราวก่อนได้ เมื่อระดับน้ำดีในฤดูน้ำหลากก็ค่อยให้ไปใช้ท่าเรือแห่งที่ 2 เป็นหลักตามเดิม
       
       ขณะเดียวกัน ตนไม่เห็นด้วยที่จะให้ไปเปิดจุดผ่านแดนถาวรที่สามเหลี่ยมทองคำ แต่ควรจะเปิดท่าเรือแห่งที่ 1 แทน เพราะมีอาคารสำนักงานและท่าเรือโป๊ะถึง 2 โป๊ะ สามารถรองรับทั้งสินค้าและคนได้
       
       ส่วนสาเหตุที่ระบุว่ามีด่านถาวรของ สปป.ลาวไปตั้งอยู่ที่สามเหลี่ยมทองคำนั้น ตนเห็นว่าเราไม่ควรจะไปตามเขามากเกินไป เราควรเอาความเหมาะสมของประเทศไทยหากว่าฝั่ง สปป.ลาวเห็นความจำเป็นก็สามารถย้ายมาสร้างบริเวณตรงกันข้ามท่าเรือแห่งที่ 1 เพื่อรองรับการเข้าออกแดนได้ต่อไป
       
       “ปัญหาปัจจุบันเกิดจากการศึกษาไม่ครบถ้วนและไม่มองประสิทธิภาพการใช้งาน ทำให้เกิดการเปิดให้เรือสินค้าไปจอดนอกท่า ซึ่งถือว่าผิดกฎหมาย ถึงได้มีการปรับครั้งละ 3,000 บาท แต่ถ้าเปิดให้ใช้ท่าเรือแห่งที่ 1 ไปก่อนปัญหาก็จบ และยังดำเนินการตามความจำเป็นของมติคณะรัฐมนตรีในอดีตด้วย ส่วนระยะยาวก็คงเป็นหน้าที่ของกรมเจ้าท่าที่จะต้องประสานกับคณะทำงานลุ่มน้ำโขง หรือ JCCCN (The Joint Committee on Coordination of Commercial Navigation on the Lancang-Mekong River) เพื่อขุดลอกร่องน้ำโขงเพื่อให้ความลึกของน้ำอยู่ที่ 2-3 เมตรตลอดปี” นายพัชระกล่าว
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า จากนั้นที่ปรึกษาของคณะฯ ได้สอบถามสาเหตุและความจำเป็นในการก่อสร้างท่าเรือแห่งที่ 2 จากกรมเจ้าท่า ทำให้เจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่าอธิบายว่า เกิดจากการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาซึ่งเคยศึกษาพื้นที่ก่อสร้างที่เหมาะสม 5 จุด และได้เลือกที่บ้านสบกกดังกล่าวเพราะไม่มีปัญหาการถือครองที่ดินและมีความกว้างขวางเหมาะสมที่สุด
       
       จากนั้น ดร.กิตติรัตน์สรุปการประชุมว่า สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการก่อสร้างและมอบพื้นที่ให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทยดูแลอย่างจำกัด ส่งผลให้ภาคเอกชนเดือดร้อน หน่วยงานต่างๆ ก็ต่างฝ่ายต่างทำไม่ได้บูรณาการกัน ดังนั้นจะกลับไปตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดต่อไป
       
       ด้านนายสมคิดกล่าวว่า คณะฯ จะนำข้อมูลที่ได้รับทั้งหมดไปสรุปผล และเสนอปัญหา-แนวทางแก้ไขต่อรัฐบาล หรือถ้าจำเป็นจะเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป อย่างไรก็ตาม การจะแก้ไขปัญหาทุกอย่างคงต้องใช้เวลา คงไม่สามารถไปคาดการณ์ได้ว่าจะแก้ไขได้เสร็จสิ้นเมื่อไหร่อย่างไร

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000141322


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2012, 22:47:17
เจาะทำเลทองใหม่จัดสรรภูธร

(http://www.thanonline.com/images/stories/article2012/2793/3302.jpg)


แม้ปัจจุบันบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่จากส่วนกลางตลอดจนค้าปลีกขนาดใหญ่จะตบเท้าขยับไปปักธงตามหัวเมืองใหญ่กันมากพอสมควร แต่แนวโน้มปี 2556 เป็นต้นไป ประเมินว่าจะยิ่งร้อนแรงมากขึ้น โดยนายชาติชาย

พยุหนาวีชัย รองกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย ฟันธงว่า สมรภูมิการแข่งขันของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2556 จะขยายฐานออกไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายผลักดันโครงการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์  เช่นรถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง โครงการทางพิเศษเชื่อมระหว่างเมือง ทางพิเศษเชื่อมเมืองชายแดนโครงการทางพิเศษระหว่างเมือง(มอเตอร์เวย์)สายต่างๆ  ส่งผลให้เกิดทำเลใหม่ เมื่อเทียบกับกทม.ที่มีอัตราเติบโตคงที่  อย่างไรก็ดีจากการสำรวจพบว่าการขยายตัวบ้านแนวราบในต่างจังหวัดสูงกว่ากทม.ประมาณสองเท่าตัว ขณะที่แนวสูงโตกว่ากทม.หนึ่งเท่าตัว นอกจากนี้ ยังคงมีเรื่องของธุรกิจเกี่ยวเนื่องเช่นค้าปลีก พาณิชยกรรมรูปแบบใหม่ 
    ปัจจัยที่เอื้อต่อการลงทุนด้านที่อยู่อาศัยต่างจังหวัด นอกจากโครงการขนาดใหญ่ของรัฐแล้ว ยังต้องพิจารณาด้านรายได้ต่อหัวของประชากร ที่ผู้ประกอบการต้องเลือกเข้าไปลงทุนเพื่อความได้เปรียบโดยเฉพาะเมืองอุตสาหกรรมและเมืองท่องเที่ยว  เช่น  ระยอง รายได้ต่อหัวสูงสุดของประเทศ 1.2 ล้านบาทต่อคนต่อปี  รองลงมาชลบุรี  5.4 แสนบาทต่อคนต่อปี  สมุทรปราการ กว่า 5 แสนบาทต่อคนต่อปี  สมุทรสาคร 5.2 แสนบาทต่อคนต่อปี  พระนครศรีอยุธยา 4.6 แสนบาทต่อคนต่อปี  ภูเก็ต 3.2 แสนบาทต่อคนต่อปี ประจวบคีรีขันธ์ 1.3 แสนบาทต่อคนต่อปี สงขลา 1.3 แสนบาท ต่อคนต่อปี เชียงใหม่รายได้  92,000 บาทต่อคนต่อปี  นครราชสีมา 6.6 หมื่นบาทต่อคนต่อปี  นอกจากนี้ยังมี สระบุรี เขาใหญ่  ที่ขณะนี้เป็นทำเลทองฮอตฮิตของอสังหาริมทรัพย์ทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านแนวราบ

    ปัจจัยต่อมา คือ เมืองการค้าชายแดน ที่ติดกับไทย พบว่ามีธุรกรรมปีละ 7.5 แสนล้านบาท ส่งออก 4.6 แสนล้านบาทต่อปี ที่เป็นทำเลทองด้านพัฒนาที่ดินเช่น หนองคาย มุกดาหาร อุบลราชธานี  ตราด ประจวบคีรีขันธ์ สงขลา   ขณะที่จังหวัดที่มีผลพวงเกี่ยวกับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน หรือเออีซี  อย่างไรก็ดี ทุกภาคจะมีโครงการของรัฐ เช่น  ภาคเหนือ โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4  (ไทย-ลาว) ที่เชียงของเชียงราย ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าที่เชียงของ  รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่   ภาคอีสาน  รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคาย รถไฟทางคู่กรุงเทพฯ-ขอนแก่น โครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าที่อุบลราชธานี และนครราชสีมา  โครงการมอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช  โครงการมอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรีเชื่อมทวาย  ฯลฯ


    สำหรับภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ ปี 2555 ช่วง 11 เดือน  เมื่อเทียบกับปี 2554 อัตราการเติบโตใกล้เคียงกันแต่หากตัวเลขการปล่อยสินเชื่อ ปี 2555 ดูจะสูงกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่า อสังหาฯ ในปีนี้จะเติบโตกว่าปีที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้เกิดจากปัจจัยของน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ส่งผลให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)  ปล่อยซอฟต์โลน หรือวงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำวงเงิน 3 แสนล้านบาทให้กับผู้ประสบภัยในช่วงเดือนเมษายน 2555 แยกเป็นสินเชื่อที่อยู่อาศัย 50% เอสเอ็มอี 50% โดยกระจายให้กับธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ ในอัตราดอกเบี้ย 3% คงที่ 5 ปีโดยกสิกรไทยได้รับจัดสรร 1.4 หมื่นล้านบาท แยกเป็นสินเชื่อบ้านใหม่ 8,000 ล้านบาท และอีกส่วนจะเป็นการรีไฟแนนช์ นอกจากนี้ยังมีวงเงินพิเศษ หรือเอ็กซ์ตรา 5 หมื่นล้านบาทซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดการขอสินเชื่อมากขึ้น   

    เมื่อย้อนดูตัวเลข 6 เดือนแรกของปี 2555พบว่ามียอดปล่อยสินเชื่อรวมสูงถึง 2.2 แสนล้านบาทในจำนวนนี้เป็นซอฟต์โลนสูงถึง 1แสนกว่าล้านบาทหากเทียบกับปี 2554 ทั้งปีมีเพียง 1.5 แสนล้านบาทส่งผลให้ 6 เดือนแรกของปี 2555 มีอัตราเติบโตทั้งระบบสูงถึง 5.4% หากครึ่งปีหลังโตเท่ากับปีที่ผ่านมาประเมินว่าปีนี้จะมีอัตราเติบโตของสินเชื่อที่อยู่อาศัย 9.5% ส่วนปี 2554 เติบโต 7%  แต่ย้ำว่าภาพรวมทั้งประเทศจะโตใกล้เคียงกับปี2554 ขณะที่การเติบโตของอสังหาฯจะเกาะติดกับจีดีพี ซึ่งปี 2555 จีดีพีโต 5% ปี2556 โตเพียง 4.6%   ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรฯ ฟันธงว่า ภาคส่งออก ปี2556 น่าจะดีกว่าปี2555 ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องจักรตัวใหญ่ที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ

    นายชาติชายวิเคราะห์ถึงปัจจัยบวก จะเป็นเรื่องของดอกเบี้ยแนวโน้มปี 2556 จะทรงและลง  นอกจากนี้ยังมีเรื่องค่าแรง 300บาท  มาตรการบ้านหลังแรกส่วนเงินเฟ้อที่แบงก์ชาติกังวลไม่น่าตกใจที่สำคัญผลกระทบน้ำท่วมฟื้นตัวเร็วและผู้บริโภคยังติดถิ่นที่อยู่ ส่วนผู้ที่วางเงินดาวน์แล้วส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลางทำให้การทิ้งดาวน์และมองหาทำเลใหม่จึงน้อยมาก
"ทิศทาง แนวโน้มปี 56  จะเท่ากับหรือดีกว่าปี2555 เหตุผลสำคัญคือ ผู้บริโภคไม่เปลี่ยนทำเลเนื่องจากนิสัยคนไทยติดถิ่น ดอกเบี้ยจะทรง-ลง หากชั่งน้ำหนักแล้ว 60% ดอกเบี้ยจะลง  ส่วน 40% จะก้ำกึ่ง"

    ส่วนแอลทีวีมาตรการป้องปรามฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์กรณีการบังคับให้ผู้บริโภควางเงินดาวน์ 5% หรือแบงก์ปล่อยกู้แนวราบไม่เกิน 95% ที่เริ่มวันที่ 1 มกราคม 2556ประเมินว่าไม่กระทบกับกำลังซื้อเนื่องจากที่ผ่านมาทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรได้เรียกเก็บเงินดาวน์ 5-10% จากลูกค้าอยู่แล้ว  ส่วนปัจจัยลบ จะเป็นเรื่องของต้นทุนค่าก่อสร้าง แรงงานที่จะกระทบเป็นลูกโซ่ ฉุดให้ราคาบ้านสูงขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่วิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯกับยุโรป ไม่กระทบเหมือนอุตสาหกรรมอื่นเพราะมักเกี่ยวกับปัจจัยภายในประเทศมากกว่าหากการเมืองดี น้ำไม่ท่วมก็ไร้ปัญหา 

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,793 วันที่  18-21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2012, 18:37:42
ทางหลวงชนบทสร้างถนน 4 เลนเชื่อมท่าเรือเชียงแสน 2

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   20 พฤศจิกายน 2555 17:21


กรมทางหลวงชนบทเร่งก่อสร้างถนน 4 เลนเชื่อมเข้าท่าเรือเชียงแสน 2 จ.เชียงราย เผยคืบหน้าแล้ว 15% คาดเสร็จตามแผนปี 2557 เสริมโครงข่ายคมนาคม เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนลอจิสติกส์ตามยุทธศาสตร์คมนาคม
       
       นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้โครงการก่อสร้างถนนสายเชื่อมทางหลวงหมายเลข 1129-ทางหลวงหมายเลข 1098 อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ระยะทางประมาณ 14 กิโลเมตร วงเงิน 809.580 ล้านบาท มีความคืบหน้าแล้วกว่า 15% โดยอยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงสร้างทางชั้นดินถม คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี 2557 ซึ่งเมื่อโครงการแล้วเสร็จจะช่วยพัฒนาระบบลอจิสติกส์ ระบบการบริหารจัดการขนส่งให้มีประสิทธิภาพ สามารถรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจเพื่อเชื่อมโยงจากแหล่งการผลิตไปสู่ตลาดการค้า และท่าเทียบเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 รวมทั้งลดต้นทุนในทุกขั้นตอนของการกระจายสินค้า เพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า อีกทั้งเป็นการขยายโครงข่ายคมนาคมให้สมบูรณ์สามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้น
       
       ทั้งนี้ โครงการจะก่อสร้างเป็นถนนผิวจราจรแอสฟัลติกคอนกรีต ขนาด 4 ช่องจราจร กว้างช่องทางละ 3.50 เมตร ความยาวรวม 14.550 กิโลเมตร และก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ สะพานข้ามแม่น้ำกก 1 แห่ง และสะพานข้ามลำรางสาธารณะ 2 แห่ง โดยมีจุดเริ่มต้นโดยแยกจากทางหลวงหมายเลข 1129 กม.ที่ 44+450 (จุดเริ่มต้นโครงการ กม.0+000) บริเวณบ้านสันทรายกองงาม ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย แนวถนนไปทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ไปบรรจบกับทางหลวงหมายเลข 1098 กม.ที่ 14+580 (จุดสิ้นสุดโครงการ กม.14+550) บริเวณบ้านท่าข้าวเปลือก ตำบลท่าข้าวเปลือก อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย

http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9550000141815


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2012, 19:02:29
พิธีเชื่อมสองแผ่นดิน Connecting Ceremony 12/12/12

ภาพท่านท่านคะซึโอะ ชิบาตะ กงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ นครเชียงใหม่  คุณ พัฒนา สิทธิสมบัติประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจหอการค้า. 10 จังหวัดภาคเหนือ  และคณะเยี่ยมชม  ดูความคืบหน้า สะพานข้ามโขงแห่งที่ 4

ขอบคุณภาพ โดยความอนุเคราะห์ อนุญาตจาก FB 


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/378791_496879590345581_1825734085_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/602599_496879523678921_1691526539_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/532065_496879717012235_1751166540_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/65306_496879503678923_1338460813_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-snc6/198397_496879587012248_1010318037_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/575188_496879657012241_1668429306_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/302818_496879660345574_336306941_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/423109_496879687012238_427969649_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-snc6/602532_496879883678885_561106427_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/18277_496879900345550_1239446608_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-snc7/305664_496879913678882_1028285529_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/601503_496879983678875_1570020197_n.jpg)


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: topkraisit ที่ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2012, 16:26:37
Waw ชอบๆ :)


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: S_ลักษณ์ ที่ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2012, 14:10:46
ตามอ่านกระทู้ค่ะ คนเชียงรายต้องอ่านนะคะ ส่วนเราคนเชียงของต้องอ่านเย๊อะ ๆ เรยย


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2012, 17:12:43
ทน.เชียงรายจับมือ ททท.บูมนครดอกไม้งาม ดึง 4 ชาติร่วม

เชียงราย - เทศบาลนครเชียงรายจับมือ ททท.บูม “นครแห่งดอกไม้งาม” รับนักท่องเที่ยวหน้าหนาว เปิดโปรแกรมดึงคนเที่ยวยาว เริ่มตั้งแต่งานวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง 4 ชาติ-ลอยกระทง 4 ชาติ-ไม้ดอกอาเซียน 2013 ก่อนปิดท้ายด้วยเคานต์ดาวน์ 3 แห่ง
       
       นายวันชัย จงสุทธนามณี นายกเทศมนตรี อ.เมือง จ.เชียงราย พร้อมคณะผู้บริหารเทศบาล และนางอัจฉริกา มณีสิน ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงาน จ.เชียงราย ตลอดจนผู้เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันแถลงข่าวเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวประจำปี 2556 นครเชียงราย “นครแห่งดอกไม้งาม” ณ ลานอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ในเขตเทศบาลนครเชียงราย
       
       ก่อนการจัดการแถลงข่าวได้จัดให้มีการแสดงประกอบเพลง “เชียงรายดินแดนพ่อ ขุนฯ” และเชียงรายดอกไม้งาม มีนายวิชัย ปุญญะยันต์ นักร้องนำวงพิงค์แพนเตอร์เป็นผู้ขับกล่อมเสียงเพลง ท่ามกลางระบบแสงสีเสียงและดอกไม้นานาชนิด เช่น ดอกลิลลี กุหลาบพันปี ฯลฯ ที่นำไปปลูกตกแต่งบริเวณลานอนุสาวรีย์ฯ
       
       นายวันชัยกล่าวว่า ปัจจุบัน จ.เชียงราย โดยเทศบาลนครเชียงราย พร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวเพื่อสัมผัสธรรมชาติ วัฒนธรรม และอากาศที่หนาวเย็น โดยได้จัดกิจกรรมเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวไว้หลายกิจกรรมนับตั้งแต่วันที่ 23 พ.ย. 55-ก.พ. 2556 ประกอบด้วยหลากหลายงาน เช่น งานลอยกระทง 4 ชาติ งานคริสต์มาส งานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ งานวาเลนไทน์ และปิดท้ายด้วยงานแห่พระแวดเวียงเจียงฮาย ฯลฯ
       
       โดยเฉพาะงานวัฒนธรรมสัมพันธ์ลุ่มน้ำโขง 4 ชาติ ในวันที่ 27-29 พ.ย. 55 นี้ ณ บริเวณสวนตุง และโคมเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนธนาลัย ไม่ห่างจากอนุสาวรีย์มากนัก ซึ่งในการเตรียมการนั้นทางเทศบาลนครเชียงรายได้มีการเชิญประเทศลุ่มน้ำโขง เช่น จีน พม่า สปป.ลาว ให้จัดส่งนักแสดงเข้าร่วมงานวัฒนธรรมสัมพันธ์ลุ่มน้ำโขง 4 ชาติร่วมกับนักแสดงไทย ซึ่งนอกจากจะได้สร้างความสัมพันธ์ของคนทั้ง 4 ชาติให้เกิดความใกล้ชิดกันมากขึ้นแล้ว ก็จะเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ การศึกษา และเจรจาการค้าต่อกันด้วย
       
       ด้านนางอัจฉริกากล่าวว่า ปีนี้การท่องเที่ยวของเชียงรายนับว่าคึกคักมาก โดยพบว่ามีการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวกันตั้งแต่ต้นฤดูท่องเที่ยว โดยนอกจากงานวัฒนธรรมสัมพันธ์ลุ่มน้ำโขง 4 ชาติแล้ว ที่ อ.เชียงแสนยังมีการจัดงานลอยกระทง 4 ชาติในวันที่ 22 ธ.ค.นี้-6 ม.ค. 2556 และยังมีมหกรรมไม้ดอกอาเซียน 2013 ณ สวนไม้งามริมกก และปิดท้ายด้วยงานปีใหม่ที่จังหวัดเชียงรายจัดงานเคานต์ดาวน์ไว้ 3 แห่ง ที่หอนาฬิกา อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติชื่อดังชาวเชียงราย ฯลฯ ดังนั้นปีนี้จึงคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวไปเยือนต่ำกว่า 3 ล้านคน


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000143714


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2012, 18:22:15

วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 22 ฉบับที่ 8032 ข่าวสดรายวัน


แนะรัฐ-เอกชนโฟกัสพม่า-ปลดล็อกกฎเหล็ก ค้าชายแดนเหนือ-ตะวันตกบูม



นายวัชรัศมิ์ ลีละวัฒน์ รองผู้อำนวยการวิชาการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและพัฒนา (ไอทีดี) เปิดเผยว่า จากผลงานวิจัยเรื่องการค้าระหว่างประเทศทางบกด้านเหนือ และด้านตะวันตกของไทย พบว่าด้านเหนือ จังหวัดเชียงรายและจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นจังหวัดที่มีความสำคัญต่อการค้าชายแดนมากที่สุด โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายที่ถือเป็นพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เป็นศูนย์กลางการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนบริเวณรอยต่อ 3 ประเทศคือ จีน พม่า และสปป.ลาว มีด่านศุลกากรถึง 3 ด่าน คือ ด่านแม่สาย ด่านเชียงแสน และด่านเชียงของ มีมูลค่าการค้าประมาณ 12,000 ล้านบาท เป็นการค้าเกินดุล และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง



สำหรับการค้าผ่านแดนระหว่างไทยกับจีนจะใช้เส้นทาง R3A และแม่น้ำโขงเป็นหลัก มีมูลค่าการค้าประมาณ 14,000 ล้านบาท ส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ มีเขตแดนติดต่อกับแขวงไชยะบุรี สปป.ลาว มีจุดผ่อนปรน ช่องภูดู่เป็นด่านถาวร มีมูลค่าการเติบโตแบบก้าวกระโดดเช่นกัน



อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์ผลการวิจัยยังพบปัญหาการค้าระหว่างประเทศทางบกด้านเหนือ คือ ได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจากสภาพแวดล้อมระดับมหภาค ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นโยบายทางการค้า กฎระเบียบที่เข้มงวด การเก็บอัตราภาษีขาเข้าที่ค่อนข้างสูง ส่วนของไทยมีปัญหาในเรื่องการเมืองการปกครอง ที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย



สำหรับแนวโน้มและโอกาสการค้าระหว่างประเทศทางบกด้านเหนือ พบว่าพม่า จะมีความสำคัญที่สุด และเป็นประเทศในกลุ่มสมาชิกอาเซียนใหม่ที่ถือว่าเป็นประเทศที่มีแหล่งทรัพยากร ธรรมชาติทั้งทางบก และทางทะเลที่อุดมสมบรูณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาทางการเมืองเป็นไปในทิศทางบวก หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนจึงต้องเตรียมตัว และให้ความสำคัญ



ส่วนการค้าระหว่างประเทศทางตะวันตกของไทยขอบเขตพื้นที่ที่ทำการศึกษาคือ จังหวัดตาก และจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งจังหวัดตากเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการค้าชายแดน มีการพัฒนาเส้นทางการขนส่งระหว่างไทยกับพม่า มีโครงการพัฒนาเส้นทางที่สำคัญคือ โครงการพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก โดยมีด่านศุลกากรแม่สอด เป็นจุดผ่านแดนถาวรเป็นด่านที่มีมูลค่าการส่งออกมากที่สุด ทำให้ไทยเกินดุลการค้าพม่าได้กว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี ส่วนจังหวัดกาญจนบุรี มีด่านศุลกากรสังขละบุรี เป็นด่านการค้าที่สำคัญ โดยเฉพาะการนำเข้าก๊าซธรรมชาติ ไทยจึงขาดดุลการค้าพม่าอยู่ในด่านนี้



ด้านแนวโน้ม และโอกาสการค้าระหว่างประเทศทางบกด้านตะวันตก ระยะต่อไปจากปี 2555 มีแนวโน้มที่สดใสและเจริญเติบโต ด้วยแรงขับเคลื่อนหลักจากนโยบายการเปิดประเทศเข้าสู่ประตูการค้าการลงทุนระหว่างต่างประเทศของรัฐบาลพม่า การสนับสนุนการค้าของรัฐบาลไทยและความสัมพันธ์ที่ดีของทั้งสองประเทศ แม้ว่าการดำเนินการค้าจะพบปัญหาและอุปสรรคอยู่บ้าง



ประเด็นสำคัญคือ ความมั่นคงกับการค้าระหว่างประเทศ จึงควรมีการศึกษามิติด้านความมั่นคงในเชิงลึกร่วมกับมิติด้านการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อภาครัฐในการทบทวนมาตรการความมั่นคงในบริเวณพื้นที่ชายแดน ไทย-พม่า



ทั้งนี้ ไอทีดี จะนำองค์ความรู้จากผลงานวิจัยชิ้นนี้ เป็นแนวทางในการเสริมสร้างกลยุทธ์การพัฒนาการค้าระหว่างประเทศทางบกด้านเหนือและด้านตะวันตก สำหรับหน่วยงานภาครัฐ และผู้ประกอบการภาคเอกชน รวมถึงการนำองค์ความรู้เหล่านี้มาพัฒนาเป็น องค์ประกอบของหลักสูตรฝึกอบรมของไอทีดี ต่อไป

หน้า 9


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2012, 09:55:07
ผลวิจัยชี้ ไทยได้เปรียบการค้าชายแดนทางบก ด้านเหนือ และตะวันตก

(26พ.ย.2555) - สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา หรือ ITD เผยผลงานวิจัย “ การค้าระหว่างประเทศทางบกด้านเหนือและด้านตะวันตก ” ชี้ชัดไทยได้เปรียบการค้าด้านนี้ ภาครัฐ และเอกชนควรเตรียมพร้อมเต็มที่ ใช้โอกาสนี้ ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ ต้อนรับ AEC

ดร.วัชรัศมิ์ ลีละวัฒน์ รองผู้อำนวยการวิชาการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและพัฒนา หรือ ITD เปิดเผยว่า จากผลงานวิจัยเรื่อง “ การค้าระหว่างประเทศทางบกด้านเหนือ และด้านตะวันตกของไทย ” พบว่าด้านเหนือ จังหวัดเชียงรายและจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นจังหวัดที่มีความสำคัญต่อการค้าชายแดนมากที่สุด โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายที่ถือเป็นพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เป็นศูนย์กลางการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนบริเวณรอยต่อ 3 ประเทศคือ จีน เมียนมาร์ และสปป.ลาว มีด่านศุลกากรถึง 3 ด่าน คือ ด่านแม่สาย ด่านเชียงแสน และด่านเชียงของ มีมูลค่าการค้าประมาณ 12,000 ล้านบาท เป็นการค้าเกินดุล และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับการค้าผ่านแดนระหว่างไทยกับจีน จะใช้เส้นทาง R3A และแม่น้ำโขงเป็นหลัก มีมูลค่าการค้าประมาณ 14,000 ล้านบาท ส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ มีเขตแดนติดต่อกับแขวงไชยะบุรี สปป.ลาว มีจุดผ่อนปรน ช่องภูดู่ เป็นด่านถาวร มีมูลค่าการเติบโตแบบก้าวกระโดดเช่นกัน อย่างไรก็ตามจากการวิเคราะห์ผลการวิจัยยังพบปัญหาการค้าระหว่างประเทศทางบกด้านเหนือ คือ ได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจากสภาพแวดล้อมระดับมหภาค ได้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นโยบายทางการค้า กฎระเบียบที่เข็มงวด การเก็บอัตราภาษีขาเข้าที่ค่อนข้างสูง ส่วนของไทยมีปัญหาในเรื่องของการเมือง การปกครอง ที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย

สำหรับแนวโน้มและโอกาสการค้าระหว่างประเทศทางบกด้านเหนือ พบว่า เมียนมาร์จะมีความสำคัญที่สุด และเป็นประเทศในกลุ่มสมาชิกอาเซียนใหม่ ที่ถือว่าเป็นประเทศที่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติทั้งทางบก และทางทะเลที่อุดมสมบรูณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาทางการเมืองเป็นไปในทิศทางบวก หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน จึงต้องเตรียมตัว และให้ความสำคัญ

ส่วนการค้าระหว่างประเทศทางตะวันตกของไทย ขอบเขตพื้นที่ที่ทำการศึกษาคือ จังหวัดตาก และจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งจังหวัดตากเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพทางด้านการค้าชายแดน มีการพัฒนาเส้นทางการขนส่งระหว่างไทยกับเมียนมาร์ มีโครงการพัฒนาเส้นทางที่สำคัญ คือ โครงการพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก โดยมีด่านศุลกากรแม่สอด เป็นจุดผ่านแดนถาวร เป็นด่านที่มีมูลค่าการส่งออกมากที่สุด ทำให้ไทยเกินดุลการค้าเมียนมาร์ได้กว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี ส่วนจังหวัดกาญจนบุรี มีด่านศุลกากรสังขละบุรี เป็นด่านการค้าที่สำคัญโดยเฉพาะการนำเข้าก๊าซธรรมชาติ ซึ่งไทยจึงขาดดุลการค้ากับเมียนมาร์อยู่ในด่านนี้

ด้านแนวโน้ม และโอกาสการค้าระหว่างประเทศทางบกด้านตะวันตก ระยะต่อไปจากปี 2555 มีแนวโน้มที่สดใส และเจริญเติบโต ด้วยแรงขับเคลื่อนหลักจากนโยบายการเปิดประเทศเข้าสู่ประตูการค้า การลงทุนระหว่างต่างประเทศของรัฐบาลเมียนมาร์ การสนับสนุนการค้าของรัฐบาลไทย และความสัมพันธ์ที่ดีของทั้งสองประเทศ แม้ว่าการดำเนินการค้าจะพบปัญหาและอุปสรรคอยู่บ้าง ประเด็นสำคัญคือ ความมั่นคงกับการค้าระหว่างประเทศ จึงควรมีการศึกษามิติด้านความมั่นคงในเชิงลึกร่วมกับมิติด้านการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อภาครัฐ ในการทบทวนมาตรการความมั่นคงในบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมาร์

ทั้งนี้ ITD จะนำองค์ความรู้จากผลงานวิจัยชิ้นนี้ เป็นแนวทางในการเสริมสร้างกลยุทธ์การพัฒนาการค้าระหว่างประเทศทางบกด้านเหนือ และด้านตะวันตก สำหรับหน่วยงานภาครัฐ และผู้ประกอบการภาคเอกชน รวมถึงการนำองค์ความรู้เหล่านี้ มาพัฒนาเป็นองค์ประกอบของหลักสูตรฝึกอบรมของ ITD ต่อไป

http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413369227


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: Army_Vanza ที่ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2012, 21:02:23
ว.2 ว.8 เปลี่ยน ..ซู่ๆๆ.....ซ่า.....เลิก ว.


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: “TumFishing” ที่ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2012, 19:32:54
รับทราบครับ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2012, 10:49:58
เปิดม่านงานวัฒนธรรมฯ ลุ่มน้ำโขง “พม่า-จีน-ลาว” ส่งตัวแทนร่วม

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   28 พฤศจิกายน 2555


เชียงราย - “พม่า-ลาว-จีน” ส่งตัวแทนร่วมเปิดงานวัฒนธรรมสัมพันธ์ลุ่มน้ำโขงที่เชียงราย หนุนความร่วมมือกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านลุ่มน้ำโขงตอนบน 4 ประเทศ
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงรายแจ้งว่า คืนที่ผ่านมา (27 พ.ย.) เทศบาลนครเชียงรายได้จัดพิธีเปิดงานวัฒนธรรมสัมพันธ์ลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 17 ขึ้น ณ สวนตุงและโคมเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนธนาลัย อ.เมือง โดยมีนายวุฒิพันธ์ วิชัยวัฒน์ ประธานกรรมการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร เดินทางมาเป็นประธานฯ
       
       ท่ามกลางผู้ทรงคุณวุฒิจากประเทศเพื่อนบ้านลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนที่เข้าร่วมครบครัน คือ นายหลิว หงเจียน รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลหยุนหนัน ประเทศจีน, นายอูคินวิน ผู้ว่าราชการ จ.เชียงตุง, นายต่อง ทิน ทวย ผู้ว่าราชการ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า, นายสิงทอง วิไลสุข รองเจ้าเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว รวมถึงประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปร่วมในพิธีเปิดงานอย่างคับคั่ง
       
       นายวันชัย จงสุทธนามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย แจ้งถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้ว่า ตามที่รัฐบาลได้กำหนดนโยบายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ด้านการค้า การลงทุน การคมนาคม การท่องเที่ยว การศึกษาและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับประเทศเพื่อนบ้านในอนุกลุ่มภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนบน 4 ประเทศ หรือเรียกว่า “โครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ” โดยกำหนดยุทธศาสตร์ภาคเหนือตอนบนร่วมกันโดยมี จ.เชียงรายเป็นประตูสู่อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและประเทศจีนตอนใต้
       
       ดังนั้น การจัดงานในครั้งเพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาลและช่วยส่งเสริมพัฒนาความร่วมมือกันในทุกๆ ด้าน รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของประชาชนทั้ง 4 ประเทศ ให้คนในท้องถิ่นเห็นคุณค่าและร่วมรักษาขนบธรรมเนียมอันดีงามของประเทศลุ่มน้ำโขงให้มีการสืบสานอย่างยั่งยืนด้วย
       
       ด้าน นายวุฒิพันธ์ วิชัยวัฒน์ ประธานกรรมการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ประธานในพิธีกล่าวว่า ยินดีและชื่นชมกับเทศบาลนครเชียงราย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือเขต 2 และชาวเชียงราย ที่ร่วมแรงร่วมใจจัดงานในครั้งนี้ที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่จะสร้างความร่วมมือในทุกๆ ด้านกับประเทศเพื่อนบ้าน และร่วมกันรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของล้านนา และขอให้งานดีๆ เช่นนี้จัดต่อเนื่องทุกๆ ปี ขอให้งานลุล่วงสำเร็จด้วยดี
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ในพิธีเปิดทางเทศบาลนครเชียงรายได้มอบโล่ และของที่ระลึกแก่ตัวแทนทั้ง 4 ประเทศ ก่อนที่นายวุฒิพันธ์จะลั่นฆ้องชัยอันเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มงาน
       
       สำหรับงานดังกล่าวจะจัดตั้งแต่คืนวันที่ 27-29 พ.ย. 55 นี้ โดยแต่ละคืนจะมีการแสดงวัฒนธรรมจากทั้ง 4 ชาติ การแสดงดนตรี การจำหน่ายสินค้า 4 ชาติ การประกวดหนูน้อยนพมาศและนางนพมาศประจำปี 2555 การประกวดนางสาวถิ่นไทยงาม ฯลฯ

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000145026


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2012, 10:34:04
สองฝั่งโขงติดสะพานเชียงของ-ลาวเริ่มคึก ทุนไทยครองพื้นที่เปิดดิวตี้ฟรี-โรงแรม

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   29 พฤศจิกายน 2555


เชียงราย - กลุ่มทุนไทยเฮรับสะพานข้ามโขง 4 ใกล้เปิด เร่งพัฒนาพื้นที่หัวสะพาน 2 ฝั่ง ปั้น “นาคราชนคร” รองรับ เปิดทั้งดิวตี้ฟรี รีสอร์ต โรงแรม ฯลฯ พร้อมดึง SMEs ในกลุ่มเออีซีเข้าเปิดพื้นที่ขายสินค้า รอเส้นทางยุทธศาสตร์สายสำคัญเปิดใช้เต็มรูปแบบ
       
       หลังมีกระแสว่ารัฐบาลจะทำพิธีเชื่อมสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 อ.เชียงของ กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ในวันที่ 12 ธ.ค. 2555 หรือวันที่ 12 เดือน 12 ปี 2012 หรือ 12/12/12 โดยจะมีระดับรองนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และ สปป.ลาว ไปร่วมทำพิธีเชื่อมแผ่นดินในวันดังกล่าว ขณะที่การก่อสร้างคืบหน้าไปกว่า 90% แล้วนั้น ในส่วนของภาคเอกชนที่ลงทุนต่างมีการพัฒนาโครงการเพื่อรองรับสะพานอย่างคึกคัก
       
       อย่างไรก็ตาม ในส่วนของที่ดินฝั่งประเทศไทยพบว่าที่ดินส่วนใหญ่เป็นที่ดินปฏิรูปหรือ ส.ป.ก.4-01 จึงมีเพียงพื้นที่สำหรับโครงการก่อสร้างสะพาน ถนน อาคารด่านพรมแดน ฯลฯ เป็นส่วนใหญ่
       
       ขณะที่ในฝั่งบ้านดอนไข่นก เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว มีความคึกคักอย่างเต็มที่ด้วยโครงการนาคราชนคร ที่ดำเนินการโดยบริษัท เอเอซี กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นเอกชนไทย ที่กำลังพัฒนาพื้นที่กว่า 1,200 ไร่ซึ่งได้รับสัมปทานมาจากรัฐบาล สปป.ลาว อย่างคึกคัก จากเดิมมีการพัฒนาพื้นที่ทางการเกษตรและอาคารไม่กี่แห่ง ปรากฏว่าในปัจจุบันมีการพัฒนาพื้นที่ทางการเกษตร สระน้ำ อาคารรีสอร์ต โรงแรม อาคารสถานที่ต่างๆ ฯลฯ รวมทั้งเปิดให้เช่าพื้นที่ขายสินค้าเอสเอ็มอีและศูนย์การค้าปลอดภาษีหรือดิวตี้ฟรีแล้ว โดยคนที่อยู่ในฝั่งไทยสามารถมองเห็นสิ่งปลูกสร้างที่มีความสวยงามแปลกตาได้อย่างชัดเจน
       
       นอกจากนี้ ยังสร้างอาคารสำนักงานและหอประชุมขนาดใหญ่ในฝั่งบ้านดอนมหาวัน ต.เวียง อ.เชียงแสน ในฝั่งไทยบนเนื้อที่ประมาณ 25 ไร่ไว้คู่กันอีกด้วย
       
       ดร.สิชา สิงห์สมบุญ ประธานบริษัท เอเอซี กรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนาพื้นที่ขึ้นเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีของประเทศไทย รวมทั้งเปิดโอกาสให้กลุ่มทุนไทย และทุนในกลุ่มเออีซีได้มีเวทีในการจัดแสดง จำหน่าย พัฒนาสินค้าและบริการ เนื่องจากโครงการอยู่ติดกับโครงการก่อสร้างสะพานฯ พอดี และถนน R3a จากสะพานก็จะตัดผ่านพื้นที่ของโครงการด้วย ซึ่งทางกระทรวงโยธาธิการ และขนส่ง สปป.ลาวได้จัดให้มีประตูจำนวน 8 ช่องเชื่อมเข้าไปสู่โครงการได้ ทำให้ผู้ที่ใช้ถนน R3a เชื่อมไทย-สปป.ลาว-จีน จะต้องผ่านพื้นที่และสามารถแวะเข้าไปใช้บริการตามโครงการพัฒนาได้
       
       ดร.สิชาบอกว่า เดิมโครงการมีการพัฒนาเป็นพื้นที่ทางการเกษตรกว้างขวาง และให้ผลผลิตมากแล้ว เช่น ผลไม้ต่างๆ ฯลฯ รวมทั้งรีสอร์ตห้องพัก แต่ปัจจุบันได้มีการก่อสร้างโรงแรมห้าดาวขนาด 50 ห้อง เมื่อรวมกับรีสอร์ตที่ร่มรื่นและสะดวกสบาย ก็จะมีห้องพักรวมกันประมาณ 70 ห้อง โดยมีชื่อว่า โรงแรมนาคราชปริ้นเซส จะสามารถเปิดให้บริการได้ทันวันที่ 12/12/12 นี้แน่นอน
       
       ส่วนโรงแรมนาคราชแกรนด์ ขนาด 80 ห้อง ซึ่งจะแล้วเสร็จทันกลางปี 2556 ช่วงเวลาที่จะเปิดใช้สะพานฯ เต็มรูปแบบ เพราะเชื่อว่าหลังพิธีเชื่อมแผ่นดินคงยังไม่มีการใช้สะพาน เพราะการก่อสร้างในภาพรวมยังไม่แล้วเสร็จ และเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง และอื่นๆ ยังไม่ได้เข้าไปประจำการ แต่จะเปิดใช้การราวกลางปี 2556 พอดี
       
       นอกจากนี้ โครงการยังมีการก่อสร้างตลาดการค้าเอสเอ็มดี ศูนย์การค้าปลอดภาษีหรือดิวตี้ฟรี โดยเปิดให้เอกชนเข้าไปจับจองพื้นที่จำหน่ายสินค้า โดยมีนโยบายกระจายสินค้าในทุกระดับหรือทุกเกรด ตั้งแต่สินค้าเกรดสูง กลาง และทั่วไป มีสถานเอนเตอร์เทนเมนต์ ฯลฯ เพื่อให้ผู้คนทุกระดับทุกชาติในเออีซีสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้ ทั้งการลงทุน การพักผ่อน การจับจ่ายสินค้า การเดินทาง ฯลฯ รวมทั้งมีโซนสำหรับรองรับกิจกรรมขนถ่ายสินค้าชายแดนโดยเฉพาะรถบรรทุกไทย-สปป.ลาว-จีน ที่จะแล่นผ่านไปมาอยู่เป็นประจำ ก็จะจัดเป็นโซนเฉพาะด้วย
       
       “ตอนนี้กำลังพิจารณาผู้ที่ยื่นความจำนงเข้าไปร่วมลงทุนกับโครงการอยู่ ซึ่งผู้ที่มีความสนใจก็ยังสามารถเข้าไปร่วมลงทุนได้”
       
       สำหรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 รัฐบาลไทย จีน และ สปป.ลาว ร่วมกันก่อสร้างด้วยงบประมาณ1,486.5 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย. 2553 ถึงกลางปี 2556 เอกชนจีนสร้างตัวสะพานยาว 480 เมตร มีเสาตอม่อ 4 ตอม่อ กว้าง 14.70 เมตร มีสองช่องจราจร ช่องละ 3.50 เมตร และไหล่ทางข้างละ 2 เมตร และทางเท้าข้างละ 1.25 เมตร ส่วนเอกชนไทยก่อสร้างถนนในฝั่งไทย 5 กิโลเมตร และฝั่ง สปป.ลาว 6 กิโลเมตร รวมทั้งอาคารด่านพรมแดนทั้งสองฝั่ง

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000145507


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: maxsion555 ที่ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2012, 16:53:12
ขอให้พัฒนาจริงๆนะจ๊ะ

www.seosystem168.com/

รับทำ SEO (http://www.seosystem168.com) |  โปรโมทเว็บไซต์  (http://www.seosystem168.com) | ทำ SEO (http://www.seosystem168.com)  |  SEO  (http://www.seosystem168.com)




www.monster-thailand.com

บิ๊กไบค์  (http://www.monster-thailand.com/) | บิ๊กไบค์ มือสอง  (http://www.monster-thailand.com/) | bigbike (http://www.monster-thailand.com/)



หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 03 ธันวาคม 2012, 22:04:00
แอสเสท พลัส ทาบ "เทสโก้ โลตัส" อังกฤษ จ่อประเดิมกองอสังหาฯรูปแบบใหม่ "รีทส์" นำสาขาลอนดอนที่ยังกำไรขายผ่านกองทุน ตั้งเป้าระดมหมื่นล้านบาทไปขยายสาขาทั่วโลก  คาดผลตอบแทนเฉพาะจากจากค่าเช่าก็ 6% ต่อปี

เศรษฐีไทยผงาดไล่ซื้ออาคารสำนักงานกลางกรุงลอนดอน ตั้งแต่ 2 พันล้านยันหมื่นล้าน

    ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) กำหนดเกณฑ์การจัดตั้งในรูปกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trusts : REITs) หรือ รีทส์ เมื่อวันที่  21 พฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านมา ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ.49/2555 เรื่อง การออกและเสนอขายหน่วยทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556  เป็นต้น ซึ่งเพิ่มช่องทางการลงทุนมากขึ้น โดยผ่อนคลายการขายสินทรัพย์ของต่างชาติผ่านกองทุนเพื่อการระดมทุนได้กว้างขวางขึ้น นั้น
    ดร.ก้องเกียรติ  โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเตรียมรับเกณฑ์ใหม่ของก.ล.ต.ในเรื่องนี้แล้ว โดยมอบ บลจ.แอสเซท พลัสฯ ซึ่งเป็นบริษัทลูกศึกษาความเป็นไปได้ โดยที่ผ่านมาได้เข้าพบผู้บริหารของเทสโก้ โลตัส อังกฤษ เพื่อนำเสนอแผนการระดมทุนผ่านกองรีทส์ในประเทศไทย ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากเทสโก้ โลตัสอังกฤษ เวลานี้ประสบปัญหาไม่สามารถเพิ่มทุนจดทะเบียนได้ เพราะสาขาในสหรัฐอเมริกา ที่มีอยู่ประมาณ 60 สาขา มีผลประกอบการขาดทุนเกือบครึ่ง การนำสาขาเทสโก้ โลตัสในลอนดอน ที่ยังทำกำไรได้ดีอยู่ มาเสนอขายในรูปกองรีทส์ เพื่อระดมทุนจากนักลงทุนทั่วไปในประเทศไทย เป็นทางออกหนึ่ง

    สำหรับขนาดกองทุนเบื้องต้นจะต้องไม่น้อยกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยมีโอกาสได้ผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) หรือรีเทิร์น เฉพาะจากค่าเช่า ในอัตราประมาณ 6% ต่อปี นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้กำไรจากการขายกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินด้วย นอกจากนี้ยังสนใจหาซื้ออาคารพาณิชย์ในต่างประเทศ มูลค่าประมาณ 2,500-3,000 ล้านบาท เพื่อมาจัดตั้งกองทุนรีทส์ มาเสนอนักลงทุนไทยด้วย
    ทั้งนี้ หากผลศึกษาความเป็นไปได้เสร็จเร็ว  การเสนอขายสาขาเทสโก้อาจเป็นการประเดิมรายแรกของการระดมทุนผ่านกองรีทส์ ซึ่งเป็นกองทุนรูปแบบใหม่
    ดร.ก้องเกียรติกล่าวอีกว่า  ข้อดีการนำเสนอในรูปกองรีทส์ ยังมีประโยชน์ในเรื่องของการกู้ด้วย โดยที่ผ่านมามีลูกค้าเศรษฐีรายใหญ่ ได้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพาณิชย์ ในลอนดอนแล้ว ราคาแห่งละ 2-3 พันล้านบาท จนถึง 1 หมื่นล้านบาท  บางรายกู้ 40% และใช้เงินลงทุนเองประมาณ 60% โดยเป็นการกู้ในรูปสกุลเงินปอนด์ ซึ่งดอกเบี้ยถูกกว่าในประเทศไทย ถือเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับกลุ่มนักลงทุนทั่วไป ที่จะกระจายการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นด้วย
    ด้านนางสาวลดาวรรณ  เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวเสริมว่า หลังจากที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ขยับเพดานเงินลงทุนในต่างประเทศโดยไม่จำกัดแล้วนั้น บริษัทเห็นโอกาสสำหรับลูกค้ารายใหญ่ ที่มีเงินพร้อมลงทุนในรูปกองทุนส่วนบุคคล จึงเตรียมแผนออกกองทุนส่วนบุคคล เพื่อลงทุนในสาขาของเทสโก้โลตัสก่อน คาดว่าจะเป็นช่วงต้นปี 2556 ขนาดกองทุนนั้นก็เช่นกันคงไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ขึ้นไป เพื่อคาดหวังผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ประมาณ 5-6% ต่อปี ไม่รวมกำไรจากการขายกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ ซึ่งมีโอกาสทั้งการซื้อขาดและสิทธิการเช่า ซึ่งมีอายุยาวถึงกว่า 100  ปี

    อย่างไรก็ตามกองทุนส่วนบุคคลนั้น ถือว่าแตกต่างจากกองทุนรวม เนื่องจากจะสามารถเลือกสินทรัพย์ได้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะกองทุนต่างประเทศที่ลงทุนในดัชนีอ้างอิงอีทีเอฟ ยิ่งทำให้การเข้าถึงรายละเอียดของสินทรัพย์การลงทุนที่กว้าง และอาจจะไม่ตรงกับความต้องการ หรือความเสี่ยงที่ลูกค้ารับก็เป็นได้ และที่สำคัญภายใต้กลยุทธ์ ของบลจ.แอสเซส พลัสฯ ต้องการเจาะฐานลูกค้ารายใหญ่ที่เป็น ไฮเน็ตเวิร์ธ   จึงต้องแสวงหาสินทรัพย์ใหม่ ๆ มานำเสนอให้กับลูกค้าที่ไม่เหมือนกองทุนรวมด้วย

    ด้าน น.พ.เฉลิม  หาญพาณิชย์ ประธานกรรมการ บริษัท บางกอกเชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH ภายใต้แบรนด์ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ เผยเบื้องต้นบริษัทสนใจระดมทุน โดยการนำโรงพยาบาลมาจัดตั้งในรูปแบบกองรีทส์ เมื่อก.ล.ต.ประกาศเกณฑ์ออกมาแล้ว กำลังอยู่ในระหว่างศึกษา เพื่อเปรียบเทียบต้นทุนจากการระดมทุนรูปแบบอื่น ๆ เนื่องจากบริษัทยังมีแผนสร้างโรงพยาบาลเพิ่ม ตามแผนการลงทุนในปี 2556 ที่จะสรุปต้นเดือนธันวาคมนี้ แต่เบื้องต้นคาดจะลงทุนประมาณ 4.5-4.6 พันล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนขยายสาขาที่รามคำแหง พัทยา และที่เชียงราย เป็นต้น
    นายทอมมี่  เตชะอุบล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน บลจ.เอ็มเอฟซีฯ กล่าวว่า ตามที่ยุโรปและสหรัฐฯมีปัญหาเศรษฐกิจ เป็นโอกาสการลงทุนของบริษัทที่จะนำสินทรัพย์ต่างประเทศมาจัดตั้งกองทุนในรูปกองรีทส์ โดยอสังหาริมทรัพย์ในยุโรปที่น่าสนใจ มีทั้งโรงแรม ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน และคลังสินค้าในอังกฤษ ยุโรป และอเมริกา ที่สนใจเนื่องจากราคาปรับลงต่ำแล้ว และส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่ยังมีรายได้จากค่าเช่าอยู่ แต่ประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน และหากเข้าไปดูถึงลูกค้าที่เช่า ก็ยังมีอยู่เกือบ 100% แต่ยอมรับว่าส่วนหนึ่งมาจากกลยุทธ์ด้านราคา ที่ปรับลดลง 30-40% จากเดิม อยู่ระหว่างตรวจสอบเพื่อประเมินมูลค่าสินทรัพย์ (Due Diligence) ประมาณ 2-3 แห่ง
    เบื้องต้นคาดจะมีเงินปันผลตอบแทนจากรายได้ค่าเช่าที่ยังมีอยู่ หากแปลงเป็นรูปเงินบาทแล้วไม่น้อยกว่า 6-7% ต่อปี โดยที่ยังไม่รวมโอกาสทำกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ที่แนวโน้มค่าเงินบาทยังมีโอกาสแข็งค่าในระยะยาว และที่สำคัญที่สุดคือ กำไรจากส่วนต่างราคาสินทรัพย์หากมีการขาย แต่จะเหมาะกับลูกค้าที่สนใจลงทุนยาวไม่น้อยกว่า 5 ปี
    เช่นเดียวกันนางชวินดา  หาญรัตนกูล รองกรรมการผู้จัดการ สายงานกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ บลจ.กรุงไทยฯ กล่าวว่า กองรีทส์เปิดโอกาสให้มีสินทรัพย์ที่น่าสนใจ นำมาจัดตั้งเพื่อระดมทุน ได้กว้างกว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ อาทิ โรงพยาบาล สนามกอล์ฟ อาคารจอดรถ โรงเรียน แม้กระทั่งสินทรัพย์ที่มีรายได้ไม่แน่นอน อาทิ ร้านค้าที่มีแฟรนไชส์ เช่น ร้านซักรีดมีหลายสาขา โรงงานยาและวิจัยยา สนามกอล์ฟ เป็นต้น
    แต่สิ่งน่าสนใจสำหรับกองรีทส์คือ สามารถลงทุนในต่างประเทศได้ ทำให้กองทุนน่าสนใจเพิ่มขึ้น ทั้งในด้านโอกาสลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ ที่แตกต่างจากในประเทศ เป็นการกระจายความเสี่ยง และรวมถึงการถือค่าเงินในสกุลต่างประเทศด้วย ซึ่งยิ่งควรเป็นการลงทุนระยะยาวมากกว่า 

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,796 วันที่  2- 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 ธันวาคม 2012, 00:03:25
ไทย-ลาว-จีนเตรียมร่วมพิธีเทคอนกรีตสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม 2555

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/171030.jpg)


วันนี้ (6 ธ.ค.) ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายมนัสวี ศรีโสดาพล อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า ในสัปดาห์หน้า มีกำหนดการด้านการต่างประเทศ ที่สำคัญ ได้แก่ รมว.ต่างประเทศของไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พร้อมด้วยผู้แทนของสาธารณรัฐประชาชนจีน จะเป็นประธานร่วมในพิธีเทคอนกรีตในโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) ที่จ.เชียงราย ในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ เวลา 12.12 น. อีกทั้งไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมคณะกรรมาธิการความร่วมมือ(เจซี) ไทย-มาเลเซีย ครั้งที่ 3 ที่จ.ภูเก็ต ในวันที่ 14-15 ธ.ค.นี้โดยนายสุรพงษ์ จะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำแก่นายอะนิฟาห์ อามาน รมว.ต่างประเทศมาเลเซีย และคณะ ในค่ำวันที่ 14 ธ.ค. ก่อนจะร่วมการประชุมเจซีฯในวันที่ 15 ธ.ค.
 
http://www.dailynews.co.th/politics/171030


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 ธันวาคม 2012, 08:59:19
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-snc7/424876_474375272599204_548270101_n.jpg)

http://www.thairath.co.th/content/eco/311393


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 ธันวาคม 2012, 22:26:03
‘เชียงราย’เนรมิต นครแห่งดอกไม้ ต้อนรับฤดูหนาว
วันเสาร์ ที่ 08 ธันวาคม พ.ศ. 2555, 06.00 น.
tags : เชียงราย, เนรมิต, นครแห่งดอกไม้, ต้อนรับฤดูหนาว,
 

นายวันชัย จงสุทธนามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมด้วยนางรัตนา จงสุทธนามณี นายกสมาคมกีฬา จ.เชียงราย และที่ปรึกษาเทศบาลนคร (ทน.) เชียงราย ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงานนครเชียงราย นครแห่งดอกไม้งามและงานดนตรีในสวน ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนธ.ค.2555 ถึงเดือนก.พ. 2556 โดยได้มีการนำคณะนักเรียนของเทศบาล 6 นครเชียงราย กว่า 50 ชีวิต มาโชว์การแสดงวัฒนธรรมของล้านนากว่า 5 ชุด และขับกล่อมบทเพลงประกอบงานโดยศิลปินชื่อดังวงพิ้งค์แพนเตอร์อย่างอลังการ

นายวันชัยกล่าวว่า เชียงรายเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวและวิถีวัฒนธรรมตลอดชีวิตชนเผ่ามากมาย มีบรรยากาศที่หนาวเย็นตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงสิ้นปีส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ในเดือนพ.ย.-ก.พ. ของทุกปี ทำให้เหมาะแก่การเพาะปลูกดอกไม้เมืองหนาวนานาชนิด ทางเทศบาลฯจึงกำหนดให้มีการเปิดฤดูกาล “นครเชียงราย นครแห่งดอกไม้งาม” ในวันที่ 14 ธ.ค. 2555 ที่จะถึงนี้ และจะทำพิธีเปิดงานดนตรีในสวนในวันที่ 15 ธ.ค. 2555

นายวันชัย กล่าวด้วยว่า ฤดูกาลท่องเที่ยวทางเทศบาลได้มีการนำดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธ์ อาทิ ดอกทิวลิปดอกลิลลี่ ดอกพูทูเนีย บลูฮาวาย ฯลฯ มาประดับเมือง โดยเฉพาะบริเวณสวนตุงและโคมเทศบาลนครเชียงราย ถนนธนาลัย ใจกลางตัวเมืองเชียงราย มีการจัดสวนหลากหลายรูปแบบเพื่อให้ได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก มีการแสดงแสงสีเสียงจากคณะนักเรียน กลุ่มชาติพันธ์ ศิลปินต่างๆ และอื่นๆ อีกมากมาย

 


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 10 ธันวาคม 2012, 18:44:38
สะพานข้ามโขง วันที่ 10 ธ.ค.55

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/532395_475769675793097_1897689699_n.jpg)


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 10 ธันวาคม 2012, 22:39:40
BCH เร่งสร้าง รพ.เพิ่มเสริมทัพ รองรับลูกค้าหลังเปิดประตู AEC

(http://pics.manager.co.th/Images/555000015806301.JPEG)

 บางกอก เชน ฮอสปิทอล เร่งสร้างโรงพยาบาลในเชียงรายเพิ่มอีกหลายแห่ง เชื่อหลังสะพานข้ามโขงแห่งที่  4   แล้วเสร็จ  ปริมาณนักท่องเที่ยวผ่านเส้นทางนี้หนาแน่นขึ้น  หนุนบริการคึกขานรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน พร้อมทุ่ม 1 พันล้านสร้างโรงพยาบาลย่านรามคำแหง  คาดเปิดให้บริการได้ปี 58   เผยโรงพยาบาลแห่งใหม่หนุนกำไรให้บริษัท มั่นใจปีนี้รายได้โต 10% หรือ 4,400 ล้านบาท  จากปี 54  ที่ทำรายได้ไว้ 3.9 พันล้านบาท 
       
           นายแพทย์เฉลิม    หาญพาณิชย์   ประธานกรรมการ   บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ  BCH   เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการขยายงาน ด้วยการจะลุยสร้างโรงพยาบาลในจังหวัดเชียงรายเพิ่มขึ้นอีก 4 แห่ง  คือ โรงพยาบาลศูนย์แพทย์เฉพาะในอำเภอเมืองเชียงราย  บนพื้นที่  26 ไร่  ขนาด 250-300  เตียง ใช้ทุนประมาณ  120 ล้านบาท  และที่แม่สายเป็นโรงพยาบาลขนาด  30 เตียง  งบลงทุนไม่น่าจะเกิน 5-6  ล้านบาท หรือเต็มที่ก็ไม่น่าจะเกิน  10 ล้านบาท    คาดเริ่มดำเนินการได้ในปี  56  
       
           นอกจากนี้ ยังมีที่ดินที่อำเภอเชียงของอีก  5 ไร่กว่า  จะสร้างเป็น  poly  doctor  clinic  และที่เชียงแสนก็เช่นเดียวกันใช้งบแห่งละไม่สูงมากนัก   โดยการสร้างโรงพยาบาลในเชียงรายเพราะหวังให้ผู้ป่วยรอบนอกได้รับการรักษาที่ดี และเชียงรายเป็นเหมือนหน้าด่านที่รองรับนักลงทุน และนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาจากประเทศใกล้เคียง  ที่สำคัญ หากเกินกำลังจะรักษาก็ส่งมาให้แก่โรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์ และเครื่องมือที่ครบครันในตัวเมืองได้ เป็นการให้บริการทางการแพทย์ลักษณะเชนการให้บริการของบริษัท 
       
          “การที่เราไปเน้นเชียงราย  ส่วนหนึ่งเพราะเรามีที่ดินซื้อไว้หลายแห่ง และเราต้องการเปิดรับนักท่องเที่ยว และต้อนรับประชาคมอาเซียน หรือ AEC  ที่จะมีขึ้น  เราก็ต้องมีบริการด้านการแพทย์ที่ดีเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว หรือนักลงทุนที่จะเข้ามาในอนาคต  และการให้บริการของเราครบวงจรและมีแพทย์ดูแลในทุกโรค แม้ในส่วนที่เป็นคลินิกแต่เราก็จะมีแพทย์ดูแลครบ ถือเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ป่วยในจังหวัดนั้นครับ”   
       
           เนื่องจากขณะนี้สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่  4  จะแล้วเสร็จ รวมทั้งถนนสาย  R3A  ที่สร้างแล้วเสร็จ  ทำให้การเดินทางเชื่อมโยงระหว่างไทย  จีน และลาว   สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น  ส่งผลให้การค้าชายแดน หรือแม้แต่การเดินทางท่องเที่ยวก็จะมีมากขึ้นด้วย   และนั่นก็หมายถึงหากมีการเจ็บป่วย หรือต้องการรักษาแบบเร่งด่วนผู้ป่วยสามารถเข้ารักษาในโรงพยาบาลที่ใกล้สุดได้อย่างไม่ลำบาก หรืออีกนัยหนึ่งคือ BCH  หวังจะมีศูนย์กลางทางการแพทย์ในเขตภาคเหนือให้ครอบคลุม
       
        นอกจากนี้ BCH  ยังมีที่ดินรองรับการก่อสร้างโรงพยาบาลอีกแห่งบนถนนรามคำแหง คาดเป็นโรงพยาบาลขนาด  250-300 เตียง และใช้เงินทุนประมาณ  1  พันล้านบาท   ขณะนี้อยู่ระหว่างทำเรื่องเอกสารขอ EIA  หรือการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม  หากทุกอย่างผ่านความเห็นชอบบริษัทก็จะก่อสร้าง และแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการได้ต้นปี  58 
       
        “จากนั้นเราก็จะไปสร้างที่พัทยาอีกแห่งครับเพราะเรามีที่ดินเตรียมไว้แล้ว และอาจต้องหาซื้อที่ดินข้างๆ เพิ่มอีกเพื่อขยายพื้นที่โรงพยาบาล  เพื่อรองรับการท่องเที่ยว และหลังการเปิดครับ  แต่โครงการนี้คงเป็นรอบต่อไป  ตอนนี้เราต้องให้ที่รามคำแหงสร้างแล้วเสร็จ และเปิดดำเนินการก่อน จากนั้นค่อยว่ากันตามสเต็ป แต่ที่แน่ๆ ที่เชียงรายต้องดำเนินการได้ก่อนรามคำแหงครับ   แต่ขนาดของโรงพยาบาลในเขตเมืองต้องลงทุนพอสมควร ยังประเมินที่พัทยาไม่ได้ครับ”   
       
            นายแพทย์เฉลิมกล่าวถึงการซื้อโรงพยาลบาล  เวิลด์เมดิคอลเซ็นเตอร์  (WMC) มูลค่าการลงทุนประมาณ 2,200 ล้านบาท  เป็นโรงพยาบาลขนาด 324 เตียง  ที่ถนนแจ้งวัฒนะ  หวังจะใช้การขยายการบริการเข้าสู่กลุ่มลูกค้าตลาดระดับบน  อันจะทำให้รายได้ของบริษัทฯ เพิ่มมากขึ้นในอนาคต และจะเปิดให้บริการปลายปี 55 หรือต้นปี  56  เป็นอย่างช้า  คาดเบื้องต้นคาดว่าจะใช้ระยะเวลาคืนทุนใน 6 ปีครึ่้ง   
       
           “เราจะใช้เงินทุนหมุนเวียนของเราประมาณ  1,800  ล้านบาท และกู้ในส่วนที่เหลือ    เราไม่อยากกู้มากเพราะทุนเราเพียงพอ  และถึงจะกู้สัดส่วนของอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E RATIO ) ของเราก็ต่ำมาก ประมาณ  0.4  เท่า  ส่วนการลงทุนโรงพยาบาลขนาดเตียงไม่มาก เราก็ใช้ทุนของเราดีกว่าครับ” 
       
            สำหรับการที่ BCH  เข้าซื้อลงทุนในโรงพยาบาลเขตเมืองใหญ่ๆ นั้น เป็นกลยุทธ์ที่ต้องการจับกลุ่มลูกค้าในแต่ละระดับ กล่าวคือ เวิลด์เมดิคอลเซ็นเตอร์  และเกษมราษฎร์ เน้นลูกค้าระดับบน  ส่วนศูนย์การแพทย์เฉพาะทางและโพลีคลินิกต่างๆ นั้นจะเน้นลูกค้าระดับกลาง และทั่วไปที่ต้องการเข้าใช้บริการได้เพื่อเป็นการบริการคนไข้ได้อย่างทั่วถึง และเป็นการกระจายความเสี่ยงในด้านการรับรู้รายได้ให้แก่บริษัทด้วย
       
           นอกจากนี้   บริษัทยังมุ่งเน้นการเพิ่มรายได้เพื่อให้โตต่อเนื่องตามเป้าหมาย และอีกหนึ่งทางคือ หลังจากที่บริษัทยกเลิกการหนุนโครงการ  30 บาทรักษาทุกโรคไปเมื่อปี 53  พบว่ารายได้บางส่วนหายไป แต่เมื่อปี  54   BCH  ก็ได้กลับมาให้บริการนี้   ส่งผลให้ตัวเลขรายได้จากส่วนนี้เข้ามาหนุนอีกทาง ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตได้ต่อเนื่องตามแผน   ซึ่งจากผลงานปี 54  บริษัททำรายได้รวมไว้ที่ 3,991.44  ล้านบาท
       
           โดยปีนี้  BCH ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ไว้ที่ 10%  หรือ 4,400 ล้านบาท    ซึ่งจากผลงานสองไตรมาสแรกที่ประกาศออกมานั้น ก็เป็นที่พอใจของผู้บริหาร   พร้อมยืนยันว่า ผลงานไตรมาส 3 ที่กำลังจะประกาศออกมานี้ก็ยังโตได้ต่อเนื่อง 
       
           สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส  3 ปีนี้พบว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ  238.74 ล้านบาท   ขณะที่งวดนี้ปีก่อนมีกำไรสุทธิ 194.86 ล้านบาท  43.88 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น  22.51%   โดยมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย และภาษี เป็นเงิน 357.8 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาสที่ 3/2554 มีกำไรจากส่วนนี้  327.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น30.1 ล้านบาท หรือ 9.2% 
       
           โดยงวดนี้บริษัทมีรายได้รวม  1,158.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2554 เป็นเงิน 47.3 ล้านบาท คิดเป็น 4.3% ซึ่งแบ่งเป็นรายได้จากผู้ป่วยเงินสดเพิ่มขึ้น 43.8 ล้านบาท หรือ 5.7  % รายได้จากกองทุนประกันสังคมเพิ่มขึ้น28.9 ล้านบาท หรือ  10.2% รายได้จากกองทุนประกันสุขภาพถ้วนหน้าลดลง 20.9 ล้านบาท หรือ  60.3%  และรายได้อื่นลดลง 4.5 ล้านบาท หรือ  22.2% ขณะมีค่าใช้จ่ายรวมงวดนี้   803.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2554 เป็นเงิน 14.6 ล้านบาท คิดเป็น  1.8%
       
       นายแพทย์เฉลิม   กล่าวถึงผลงานปี 56 ว่าจะมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 20%  เนื่องจากโรงพยาบาลสาขาเดิมทั้ง 6 แห่ง มีการเติบโต ซึ่งทำให้รายได้เติบโต 10% และรับรู้รายได้จากเปิดให้บริการโรงพยาบาลเวิล์ดเมดิคอลเซ็นเตอร์  ในเดือนมกราคม ซึ่งปีแรกจะสร้างรายได้ 600-700 ล้านบาท  ส่วนกำไรสุทธิปีหน้าคาดว่าจะมีการเติบโตมากกว่าปี 2555 แม้บริษัทจะมีการบันทึกค่าเสื่อมจากลงทุนโรงพยาบาลเวิล์ดเมดิคอลเซ็นเตอร์เข้ามาก็ตาม 
       
 http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000149988 (http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000149988)


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 13 ธันวาคม 2012, 00:33:34
12/12/12เชื่อมสะพานข้ามโขง 4 ต่อยอดขนส่งไทย-ลาว-จีน
วันพุธที่ 12 ธันวาคม 2012 เวลา 19:08


วันนี้(12 ธ.ค.) นายสุรพงศ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการทรวงการต่างประเทศ ดร.ทองพูน สีสุลิด รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชนลาว(สปป.ลาว)

ร่วมกันเป็นประธานในพิธีเทคอนกรีตเชื่อมสะพานมิตรภาพไทย-สปป.ลาว แห่งที่ 4 ณ บ้านดอนมหาวัน ต.เวียง อ.เชียงของ จ.เชียงราย กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว มีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายสมมาตร พลเสนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธิการและขนส่ง สปป.ลาว นายหลี เป่ย รองผู้ว่าการมณฑลยูนาน ประเทศจีน เข้าร่วม โดยเทคอนกรีตชุดสุดท้ายบริเวณกลางสะพานในเวลาประมาณ 12.12 น. ซึ่งตรงกับวันที่ 12 เดือน 12 ปี 2012

 นายสุรพงศ์ กล่าวว่า สะพานแห่งนี้เชื่อมกลุ่มอาเซียนเข้าด้วยกัน และรัฐบาลก็มีนโยบายการเชื่อมโยงโดยมีประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง หลังจากที่ผ่านมาก็มีสะพานไทย-สปป.ลาว แล้วหลายแห่ง โดยแห่งนี้ถือเป็นแห่งที่ 4 ซึ่งถือเอาฤกษ์ 12/12/12 ในการเทคอนกรีตเชื่อมแผ่นดิน จากนั้นคาดว่าภายในเดือนเมษายน 2556 จะสร้างเสร็จ ได้ ซึ่งจะทำให้มูลค่าการค้าที่สูงอยู่แล้วมีมากขึ้นไปอีก โดยตนจะรวบรวมตัวเลขการค้าสิ้นปีนี้ เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับปีหน้าหลังสะพานก่อสร้างเสร็จ ซึ่งการประชุมระดับรัฐบาลกับสปป.ลาว ราวเดือนมีนาคมปีหน้า จะได้หารือกันในรายละเอียดเรื่องนี้
         
 "ผลจากการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ทำให้ที่ดินใกล้เคียงพุ่งสูงขึ้น บางแห่งซื้อ-ขายกันไร่ละกว่า 1 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนเมืองชายแดนเชียงของในอนาคต คาดว่าจะคึกคักใกล้เคียงกับชายแดนไทย-พม่า ด้านอ.แม่สาย ซึ่งคนในพื้นที่มีความพร้อม เพราะคุ้นเคยกับด่านแม่สายอยู่แล้ว"
         
ด้านนายชัชชาติ กล่าวว่า สะพานแห่งนี้เชื่อมถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ซึ่งที่เชียงราย ยังมีถนนอาร์สามบีไทย-พม่า-จีนตอนใต้ ผ่านทางอ.แม่สาย ทั้งสองเส้นทางเชื่อมกรุงเทพฯ-คุนหมิง มณฑลยูนาน ระยะทางประมาณ 1,800 กิโลเมตร คาดว่าเมื่อเชื่อมสะพานแล้วจะเปิดใช้งานได้ทันเดือนเมษายนปีหน้าแน่นอน จากนั้นจะเปิดให้เดินรถบรรทุกสินค้า ขณะเดียวกันทางกระทรวงคมนาคมได้จัดเตรียมที่ดินเอาไว้ใกล้สะพานประมาณ 200 ไร่ และใช้งบประมาณราว 1,000 ล้านบาทสร้างศูนย์กระจายสินค้า เพราะตามปกติจะมีรถบรรทุกสินค้าไทย-จีนเป็นจำนวนมาก ถ้ารถบรรทุกของจีนสามารถเปลี่ยนถ่ายสินค้าในฝั่งไทยได้ จะลดปัญหาสภาพรถและการจราจรที่ต่างกันได้
         

http://www.thanonline.com


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 13 ธันวาคม 2012, 01:42:17
คมนาคมจ่อถกแก้ปมสินค้าผ่านลาว-พม่าไปจีน เหตุเจอภาษี 2 ต่อ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   13 ธันวาคม 2555 00:50 น.   

   


       “ชัชชาติ” เตรียมหารือ รมต.ลาว และพม่าแก้ปัญหาขนส่งสินค้าข้ามแดนผ่าน 2 ประเทศไปจีน เหตุถูกคิดภาษี 2 ครั้ง ชี้ทำให้ยุ่งยากและต้นทุนเพิ่ม พร้อมสั่งศึกษาสร้างมอเตอร์เวย์เชียงราย-เชียงใหม่ เร่งรถไฟเด่นชัย-เชียงราย รองรับสินค้าและนักท่องเที่ยวเพิ่มหลังเปิดสะพานมิตรภาพ 4 และท่าเรือเชียงแสน 2
       
       เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2555 กรมทางหลวงของไทยและลาวได้ทำพิธีเทคอนกรีตจุดเชื่อมสะพานมิตรภาพ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) พร้อมกันนี้ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ได้ทำพิธีเปิดท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนอย่างเป็นทางการเพื่อรองรับการค้าสามเหลี่ยมเศรษฐกิจแและเตรียมพร้อมเข้าสู่ AEC โดยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงรายเป็นจุดยุทธศาสตร์หลักตามแนวเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ของ AEC เพราะสามารถเชื่อมพม่า ลาว จีน โดยจากคุนหมิง-กทม.ระยะทาง 1,800 กิโลเมตรจึงเป็นเส้นทางที่จีนให้ความสำคัญมาก แต่จะต้องเจรจาเรื่องการขนส่งสินค้าข้ามแดนจากไทยผ่านลาวไปจีนที่ยังต้องเสียภาษีขาเข้าและขาออกที่ลาวรวม 2 ครั้ง ทำให้เกิดความยุ่งยากและมีต้นทุนเพิ่ม
       
       “วันที่ 14 ธ.ค.นี้จะเดินทางไปพม่า จะหารือกับรัฐมนตรีพม่าในเรื่องใช้ด่านแม่สายเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้า ซึ่งยังมีปัญหาเรื่องนำรถเทรลเลอร์วิ่งข้ามไปไม่ได้ รวมถึงเรื่องการขนส่งสินค้าข้ามไปพม่าผ่านไปยังประเทศที่ 3 และจะคุยกับ รมต.คมนาคมลาวที่จะเดินทางมาไทยวันที่ 20 ธ.ค.นี้ในเรื่องเดียวกันด้วย เพราะลาวมองว่าสินค้าที่ผ่านไปจีนเป็นการนำเข้าของลาวก่อน” นายชัชชาติกล่าว
       
       ทั้งนี้ สะพานมิตรภาพ 4 จะเปิดใช้อย่างไม่เป็นทางการได้ตั้งแต่เดือนเมษายน 56 ซึ่งการขนส่งสินค้าสะดวกและมีปริมาณเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ใช้เรือข้ามฟากโดยมีรถเทรลเลอร์ประมาณ 50-80 คันต่อวัน โดยกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) จะเร่งดำเนินการก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายพื้นที่ 200 ไร่ วงเงิน 1,200 ล้านบาทเพื่อรองรับด้วย นอกจากนี้ หอการค้าและเอกชนในพื้นที่ได้เสนอให้ทำถนนเลี่ยงเมืองเพื่อแก้ปัญหาจราจรในเขตเมือง รวมถึงเร่งขยายถนนเป็น 4 ช่องจรจรเชื่อมเชียงของ-เชียงราย, เชียงราย-พะเยา
       
       อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการขนส่งทั้งทางบก, น้ำ และอากาศ ซึ่งจะต้องมีการลงทุนขยายความสามารถของท่าอากาศยานเชียงรายซึ่งปัจจุบันมี 20 เที่ยวบิน/วัน เพื่อรองรับผู้โดยสารเพิ่มจาก 1 ล้านคนต่อปีเป็น 1.7 ล้านคนต่อปี เร่งดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟสายเด่นชัย-เชียงรายให้แล้วเสร็จในปี 60, ศึกษาความเหมาะสมเพื่อก่อสร้างทางด่วนหนือมอเตอร์เวย์เชื่อมเชียงราย-เชียงใหม่ ระยะทาง 150 กิโลเมตร เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเพิ่ม ซึ่งได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) รับผิดชอบ เป็นต้น


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 13 ธันวาคม 2012, 17:07:36
ทล.เร่ง4เลนกว่า10เส้นทาง

วันอังคารที่ 11 ธันวาคม 2012 เวลา 18:01 น.    กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ    อสังหา REAL
กรมทางหลวงเร่งถนนกว่า 10 เส้นทางขนาด 4 เลนเชื่อมโยงภาคเหนือรับเปิดท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน - สะพานข้ามโขงแห่งที่ 4 หวังเชื่อมสู่คุนหมิงของจีนผ่านสปป.ลาว  จ่อประกวดราคาปี 2556

ช่วงเชียงแสน-เชียงราย เตรียมเสนอตั้งงบปี 2557 กว่า 1,800 ล้านบาท สร้างถนนเชื่อมโยงสปป.ลาวผ่านเส้นทางเชียงราย- ขุนตาล-เชียงของ
ชัชวาลย์ บุญเจริญกิจ    นายชัชวาลย์ บุญเจริญกิจ อธิบดีกรมทางหลวง(ทล.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าได้เร่งรัดดำเนินโครงการก่อสร้างถนนที่จะเชื่อมโยงและรองรับการเปิดให้บริการท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน และสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4  ให้เป็นขนาด 4 เลนในหลายเส้นทาง เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงในพื้นที่ภาคเหนือและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว)ตลอดจนเมืองคุนหมิงของสาธารณรัฐประชาชนจีนตอนใต้ที่ปัจจุบันมีเส้นทาง R3A - R3B ผ่านไปยังเมืองสำคัญๆ ตอนใต้ของจีนเปิดให้บริการแล้ว พร้อมกันนี้ทล.ยังเดินหน้าการพัฒนาถนนเมนหลักในแต่ละเส้นทางโดยจะหาจุดพักรถเพิ่มขึ้นซึ่งปี 2558 จะเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น จากปัจจุบันที่นำร่อง 4 ศูนย์คือ 1.ขุนตาล จ.ลำปาง 2.ชัยนาท 3.ลำตะคอง จ.นครราชสีมา และ 4.เขาโพธิ์ จ.ชุมพร
    โดยเส้นทางหลักๆ ประกอบด้วย 1.เส้นทางพหลโยธิน-เชียงราย-แม่สายที่ปัจจุบันปรับเป็น 4 เลนหมดแล้ว 2.เส้นทางแม่สาย-เชียงแสน-เชียงของ ปัจจุบันขนาด 4 เลนถึงเฉพาะช่วงเชียงแสน ส่วนช่วงเชียงแสน-เชียงของอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และบางช่วงจะประกวดราคาปีหน้า  3.เส้นทางเชียงราย-ขุนตาล-เชียงของ เพื่อรับสปป.ลาว ซึ่งบางช่วงดำเนินการไปแล้ว จากระยะทางทั้งสิ้น 72 กิโลเมตร ปัจจุบันก่อสร้างไปแล้ว 20 กิโลเมตร ดังนั้นส่วนที่เหลืออีกประมาณ 52 กิโลเมตร จะตั้งงบประมาณปี 2557 จำนวน 1,800 ล้านบาทดำเนินการต่อไป
    สำหรับถนนเส้นทางต่างๆในพื้นที่ภาคเหนือที่กรมทางหลวงดำเนินการไปแล้วและเส้นทางที่อยู่ระหว่างการเร่งผลักดันประกอบด้วย 1. เส้นทาง 1290 อ.แม่สาย-อ.เชียงแสน ส่วนที่ 1 ระยะทาง 30.46 กม. มูลค่าโครงการ 598 ล้านบาท ผลงาน 100% 2. เส้นทาง 1290 อ.แม่สาย-อ.เชียงแสน ส่วนที่ 2 ระยะทาง 8.90 กม. มูลค่า 300 ล้านบาท ผลงาน 100%  3. เส้นทาง 1016 อ.แม่จัน-อ.เชียงแสน(รวมทางเลี่ยงเมืองเชียงแสน) ส่วนที่ 2 ระยะทาง 16.40 กม. ค่างาน 630 ล้านบาท ผลงาน 100% 4.เส้นทาง 1020 เชียงราย-เชียงของ ตอน 2 ระยะทาง 18.9 กม.มูลค่า 663 ล้านบาท ผลงาน 100%
5. เส้นทาง 1016 อ.แม่จัน-อ.เชียงแสน(รวมทางเลี่ยงเมืองเชียงแสน) ส่วนที่ 2 ระยะทาง 16.40 กม.มูลค่า 540 ล้านบาท ผลงาน 71.36%  6.เส้นทาง 1129 เชียงแสน-เชียงของ ตอน 1 ระยะทาง 10 กม. มูลค่า 300 ล้านบาท อยู่ระหว่าง    การหาตัวผู้รับจ้าง 7.สะพานข้ามแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ มูลค่า 1,432 ล้านบาท ผลงาน 61.60% โดยได้อนุมัติให้ขยายเวลาออกไปอีก 6 เดือน คาดว่าแล้วเสร็จเปิดให้บริการเดือนมิถุนายน 2556
    โครงการที่เตรียมของบประมาณดำเนินการปี 2557 ประกอบด้วย 1.เส้นทาง 1152 และ 1020 เชียงราย-เชียงของ ตอน 3 ระยะทาง 25 กม.มูลค่า 1,300 ล้านบาท 2.เส้นทาง 1129 อ.เชียงแสน-อ.เชียงของ ตอน 2 ระยะทาง 43 กม. มูลค่า 1,200 ล้านบาท .3เส้นทาง 1152 เชียงราย-ขุนตาล ตอน 1 ระยะทาง 24 กม.มูลค่า 1,000 ล้านบาท  4.เส้นทาง 1152 เชียงราย-ขุนตาล ตอน 2 ระยะทาง 24.3 กม. มูลค่า 800 ล้านบาท 5.ทางเลี่ยงเมืองเชียงราย ระยะทาง 28 กม.มูลค่า 1,200 ล้านบาท  6.ทางเลี่ยงเมืองเชียงของ ระยะทาง 6 กม. มูลค่า 350 ล้านบาท
    7.เส้นทาง 1155 แยก ทล.1021-บรรจบ ทล.1020 ระยะทาง 75.26 กม.มูลค่า 380 ล้านบาท 8.เส้นทาง 1020 อ.เทิง-บ้านต้าตลาด ระยะทาง 25 กม. มูลค่า 850 ล้านบาท 9.เส้นทาง 1093 กม.12+000-กม.29+000 ระยะทาง 49.29 กม.มูลค่า 250 ล้านบาท 10.เส้นทาง 1098 ทล.1016-บรรจบทล.1174 ระยะทาง 55.01 กม.มูลค่า 280 ล้านบาท
    โครงการที่อยู่ระหว่างการสำรวจออกแบบ ประกอบด้วย 1.ทางเลี่ยงเมืองเชียงราย ระยะทาง 28 กม. มูลค่า 900 ล้านบาท เสนองบปี 2555 สำรวจออกแบบเดือนมิถุนายน 2554 - มิถุนายน 2555 2.เส้นทาง 1021 ตอนเทิง - ดอกคำใต้ ตอน 1 เดือนมิถุนายน 2554-มิถุนายน 2555 และ 3.เส้นทาง 1021 ตอนเทิง-ดอกคำใต้ ตอน 2 เดือนมิถุนายน 2554-มิถุนายน 2555

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,800 วันที่  13-15  ธันวาคม พ.ศ. 2555


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: pscr1 ที่ วันที่ 14 ธันวาคม 2012, 19:59:14
เวนคืนที่ดิน อ.เชียงแสน อ.ดอยหลวง สร้างถนน ขยายถนน ติดตามลิงค์
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2555/A/119/34.PDF


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 16 ธันวาคม 2012, 08:49:13
วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 22 ฉบับที่ 8053 ข่าวสดรายวัน


สะพานมิตรภาพแห่งที่4 ถือฤกษ์ดี 12-12-12

คอลัมน์ ข่าวสดอาเซียน
จันท์เกษม รุณภัย รายงาน



การเตรียมการก่อนการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนที่มีความสำคัญยิ่ง คือการเชื่อมช่องทางการติดต่อระหว่างผู้คนเข้าด้วยกัน

ล่าสุดมีความคืบหน้าสำคัญคือโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงตามแนวเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ แห่งที่ 4 ระหว่าง อ.เชียงของ จ.เชียงราย ไปจรดกับผืนดินอีกฟากโขงของห้วยทราย เมืองเอกแขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิป ไตยประชาชนลาว หรือ สปป.ลาว ใกล้สำเร็จเป็นรูปธรรม มีความคืบหน้าการก่อสร้างไปกว่าร้อยละ 70 คาดว่าจะเปิดใช้ได้ภายในเดือนมิ.ย.2556



เป็นที่มาของพิธี "เทคอนกรีต" โดย นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ เดินทางไปเป็นประธานร่วมกับนายทองลุน สีสุลิด รองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศสปป.ลาว พร้อมด้วยรมว.คมนาคม บรรดาเอกอัครราชทูต ผู้แทนจากจีนและอินโดนีเซีย รวมทั้งประชาชนคนไทยและลาวเดินทางมาร่วมเป็นสักขีพยานอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง



ไฮไลต์ของพิธีนี้ ถือเอาตัวเลขเก๋ไก๋ 12/12/12 เป็นฤกษ์ชัย คือ วันที่ 12 เดือน 12 ปีค.ศ.2012 พร้อมคณะครูอาจารย์ นักเรียนและวงโยธวาทิตจากโรงเรียนอนุบาลเชียงของ ร่วมจัดการแสดงและกล่าวต้อนรับ 4 ภาษา (ไทย อังกฤษ ลาว และจีน) แก่ผู้มาเยือนเป็นสีสันประทับใจ ก่อนนับถอยหลังและกดเครื่องเทคอนกรีตลงไปในเวลา 12.12 น. ปล่อยลูกโป่งสวรรค์และโคมลอย ปลิวขึ้นท้องฟ้าใสล่องลอยไปกับสายลมหนาวเป็นสิริมงคลส่งท้ายปี2555



สะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 นี้ มีความยาว 1.2 กิโลเมตร กว้าง 14.7 เมตร เป็นแบบ 2 ช่องการจราจร (ไป-กลับ) แยกมาจากทางหลวงหมายเลข 1020 ในอ.เชียงของ ทอดตัวยาวข้ามลำน้ำโขงระหว่างไทย-ลาว ไปเชื่อมต่อตามแนวถนนหมายเลข "อาร์ 3" ในสปป.ลาว ยาวไปถึงคุนหมิง เมืองเอกมณฑลยูนนานของจีน เป็นส่วนหนึ่งในแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ ภายใต้ กรอบความร่วมมือภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือ จีเอ็มเอส ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือ 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม พม่า กัมพูชา ลาว และจีน ใช้งบราว 47.35 ล้านดอลลาร์ (1,600 ล้านบาท)



ฝ่ายไทยและจีนตกลงรับผิดชอบค่าใช้จ่ายกันฝ่ายละร้อยละ 50 โดยไทยเป็นผู้ดำเนินการสำรวจและออกแบบรายละเอียด ส่วนผู้รับจ้างก่อสร้าง คือกิจการร่วมค้า "ซีอาร์ 5 -เคที" ระหว่างบริษัทกรุงธน เอนจิเนียร์ส จำกัด และกลุ่มบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 5 จำกัด มีที่ปรึกษาควบคุมงานจาก 3 ฝ่าย ได้แก่ เอเชียน เอนจิเนียริ่ง คอนซัลแตนต์ส จำกัด ของไทย บริษัทเซี่ยน ฝางโจว คอนซัลติ้ง จำกัด ของจีน และบริษัทลาวทรานสปอร์ต เอนจิเนียริ่ง คอนซัลแตนต์ของลาว เริ่มก่อสร้างเมื่อ 11 มิ.ย.2553 และมีกำหนดเสร็จสิ้นในเดือนธ.ค.ปีนี้ แต่เนื่องจากติดปัญหาเรื่องงบประมาณทำให้การก่อสร้างล่าช้ากว่ากำหนด



ความเป็นมาของสะพานมิตรภาพแห่งนี้ เริ่มตั้งแต่การประชุมจีเอ็มเอส ระดับรัฐมนตรี ที่เมืองต้าลี่ ประเทศจีน ในปี2546 สมัยที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยนายกร ทัพพะรังสี เป็นรองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นขอให้จีนมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบ ค่าใช้จ่ายใน โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 เนื่องจากจีนจะได้ประโยชน์มากจากโครงการดังกล่าว



ต่อมาเมื่อ 21 มิ.ย. 2550 มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ หรือเอ็มโอยู ระหว่างรัฐมนตรีของไทย ลาว และจีน ที่สำนักงานใหญ่ ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย หรือ เอดีบี ที่ประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อการก่อสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 กระทั่งพิธีเทคอนกรีตในครั้งนี้ที่ฝ่ายลาวเป็น ผู้เสนอให้จัดขึ้น เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์สะพานมิตรภาพแห่งใหม่ระหว่างไทยและลาว



นายสุรพงษ์กล่าวว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีนโยบายเน้นเรื่องการเชื่อมโยงประชาคมอาเซียน โดยได้ใช้งบประมาณกว่า 2 ล้านล้านบาทในการก่อสร้างและเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมต่างๆ เพราะในอนาคตประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางที่จะมีนักลงทุนจากทวีป อื่นๆ เดินทางมายังไทยและจะนำสินค้าไปขายยังประเทศอื่นๆ ในอาเซียนได้



การเดินทางมาครั้งนี้ พบว่าการก่อสร้างมีความสมบูรณ์ขึ้นมาก หลังจากที่ตนได้เดินทางมาเมื่อราว 6 เดือนที่ผ่านมา ทำให้พบปัญหาของโครงการว่าขาดงบประมาณการลงทุน จึงนำเรื่องไปหารือในระดับรัฐบาลและระหว่างประเทศ นำมาสู่การอนุมัติวงเงินเพิ่มเติม รู้สึกดีใจแทนชาวเชียงราย เพราะพื้นที่แถวนี้ราคาที่ดินจะขึ้นแน่นอน จึงขอให้พี่น้องประชาชนเตรียมตัวเพราะคนจะมาเที่ยว การค้าขายจะเจริญรุ่งเรือง



สำหรับพิธีการเปิดด่าน รมว.ต่างประเทศกล่าวว่าจะมีขึ้นในปีหน้า โดยต้องดำเนินการต่อ เพราะมีในส่วนของฝ่ายตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาเพราะทำมาแล้วถึง 3 แห่ง โดยทางรัฐบาลสปป.ลาวจะกราบทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จฯ มาทรงเป็นประธานพิธีเปิดใช้อย่างเป็นทางการ และจะให้เปิดการใช้งานได้ก่อนเมื่อเสร็จสิ้น เพื่อไม่ให้ติดขัดเรื่องการค้าขาย



ด้านนายทองลุน กล่าวว่า สะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 จะส่งเสริมความสัมพันธ์ ความร่วมมือ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ของทั้งสองประเทศดีขึ้นและสะดวกขึ้น เพราะเส้นทางอาร์ 3 ถือเป็นเส้นทางที่มีความสำคัญในการเชื่อมโยงประเทศสมาชิกอาเซียน จึงถือเป็นนิมิตหมายที่ดีในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศอาเซียนและจีน และทำให้การรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น



สะพานมิตรภาพนี้ นอกจากจะเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานของ 3 ประเทศเข้าด้วยกันแล้ว ยังช่วยเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตประชาชน และเป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาลว่าด้วยการเชื่อมโยงในภูมิภาค การปฏิสัมพันธ์ภาคประชาชน รวมทั้งเตรียมความพร้อมของไทยและลาว เข้าสู่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในปี 2558 และส่งเสริมศักยภาพของอาเซียนในเวทีโลกต่อไป

หน้า 10


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 ธันวาคม 2012, 15:48:40
เปิดแล้ว “มหกรรมไม้ดอกอาเซียน” คนนับหมื่นแห่ดูเรือบุปผชาติล่องน้ำกก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   23 ธันวาคม 2555 09:39 น.   

   (http://pics.manager.co.th/Images/555000016364901.JPEG)


เชียงราย - คนนับหมื่นแห่ดูขบวนเรือบุปผชาติ 30 ลำล่องในลำน้ำกก ร่วมพิธีเปิดงาน “มหกรรมไม้ดอกอาเซียน” เผยปีนี้ระดมสารพัดกิจกรรมดึงดูดนักท่องเที่ยวยาวถึง 6 ม.ค.ปีหน้า
       
       วันนี้ (23 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย ว่าเมื่อเย็นวันที่ 22 ธันวาคม นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นประธานในพิธีเปิด “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2012” ณ สวนไม้งามริมกก เชิงสะพานเฉลิมพระเกียรติ ต.ริมกก อ.เมือง ซึ่งองค์การบริหารบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย โดยนางสลักจฤษฎดิ์ ติยะไพรัช นายก อบจ.จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2555 ถึงวันที่ 6 มกราคม 2556 ซึ่งนายพงศ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการจังหวัดได้เป็นประธานปล่อยขบวนบุปผชาติทางน้ำ ล่องลำน้ำก จากเชิงสะพานขัวพญาเม็งราย มุ่งหน้าไปยังบริเวณจัดงาน โดยมีเรือประดับด้วยไม้ดอกไม้ประดับสวยงาม ทั้งจากส่วนราชการและองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น เรือขบวนชาติในอาเซียน 10 ชาติเข้าร่วม สร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวและประชาชนนับหมื่นคนที่รอชมขบวนเรือซึ่งแล่นอยู่เต็มลำน้ำกก
       
       ทั้งนี้ ภายในงานมีการจัดแสดงไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาวทั่วบริเวณ ประติมากรรมดอกไม้เป็นสัญลักษณ์อาเซียน คือ กอข้าว การแสดงศิลปวัฒนธรรมประเพณีล้านนา สินค้าชาวบ้าน ตลาดน้ำอาเซียน 10 ประเทศ หมู่บ้านหิมะ การแสดงสัตว์ เช่น นกเพนกวิน นกฟลามิงโก ม้าลาย เป็นต้น
       
       โดยในปีนี้ อบจ.เชียงรายเน้นเรื่องความหลากหลายมากกว่าการจัดแสดงเพียงไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาวเพียงอย่างเดียว โดยจัดไม้ดอกไม้ประดับจำลองสัญลักษณ์ของประเทศต่างๆ ด้วย เช่น เมอไลอ้อน สัญลักษณ์ประเทศสิงคโปร์ ปราสาทโบราณ กัมพูชา เป็นต้น


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 ธันวาคม 2012, 21:25:28
ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เชียงราย คาดงินสะพัด 2 พันล้าน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   26 ธันวาคม 2555

เชียงราย - ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด คาดเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เมืองพ่อขุน ทำเงินสะพัดไม่น้อยกว่า 2 พันล้านบาท ล่าสุดมีคนเข้าท่องเที่ยวเฉลี่ย 2 แสนคนต่อวันแล้ว พร้อมจับมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลดคนดื่มเหล้า-เฝ้าระวังอุบัติเหตุ หวังโกยเงินเข้าทั้งปี 2.5 หมื่นล้าน
       
       วันนี้ (26 ธ.ค.) นายพรหมโชติ ไตรเวช ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า 2555 ต้อนรับปีใหม่ 2556 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาจำนวนมาก ล่าสุดมีนักท่องเที่ยวเดินมากกว่า 2 แสนคนต่อวัน เชื่อว่าจะทำให้มีเม็ดเงินสะพัดเฉพสะช่วงหยุดยาวกว่า 2 พันล้านบาทแน่นอน ซึ่งเชียงรายมีโรงแรม รีอสร์ต เกสต์เฮาส์ รองรับนักท่องเที่ยวมากกว่า 18,000 ห้อง
       
       “การท่องเที่ยวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่จะทำให้สถิตินักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าเชียงรายตลอดปี 2555 เป็นไปตามเป้าหมาย 2.5 ล้านคน มีเงินสะพัดตลอดปีตามเป้า 2.5 หมื่นล้าน จากปี 2554 มีนักท่องเที่ยว 2.3 ล้านคน เงินสะพัด 1.9 หมื่นล้านบาทมาแล้ว”
       
       นายพรหมโชติกล่าวว่า เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย การท่องเที่ยวแห่งประเทสไทย (ททท.) พร้อมหลายหน่วยงานได้พยายามจัดกิจกรรมรองรับ เช่น เทศกาลชิมชา ซากุระบาน อาหารชนเผ่า ดอยแม่สลอง ครั้งที่ 7 ที่ ททท.และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง ร่วมกันจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม 2555 ถึงวันที่ 2 มกราคม 2556 ซึ่งจะไม่จำหน่ายสุราบริเวณงานเด็ดขาด เพราะเป็นเทศกาลเกี่ยวกับชาและจิบกาแฟ หรือเครื่องดื่มอื่นที่ไม่ใช่สุรา เพื่อป้องกันอุบัติเหตุไปพร้อมกันด้วย
       
       “ท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับภูชี้ฟ้า และผาตั้ง ยังจัดเตรียมห้องน้ำเอาไว้รองรับ พร้อมมีคนดูแลด้วย เพราะที่ผ่านมามีไม่เพียงพอจนสร้างความไม่สะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว ขณะเดียวกันได้จัดให้มีไฟส่องสว่างสำหรับจุดกางเต็นท์ด้วย พร้อมกันนี้นักท่องเที่ยวยังจะได้ชื่นชมไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาว และปฏิมากรรมดอกไม้ การแสดงดนตรีกลางสวนดอกไม้ ภายในสวนตุงและโคมเฉลิมพระเกียรติ ถนนธนาลัย อ.เมือง ซึ่งเทศบาลนครเชียงราย จัดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2556 รวมทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด เชียงราย ยังจัดมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2012 ระหว่างวันที่ 22 ธ.นวาคม 2555 ถึงวันที่ 6 มกราคม 2556 ที่สนไม้งามริมกก เชิงสะพานเฉลิมพระเกียรติ ต.ริมกก อ.เมือง”
       
       ข่าวแจ้งว่า ขณะเดียวกัน สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2556 และโครงการเสริมสร้างวัฒนธรรมขับขี่รถจักรยานยนต์ปลอดภัย สวมหมวกนิรภัย 100% ที่ลานศาลากลางจังหวัด โดยมีนายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน และนายณรงค์ อินโส รักษาการ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด นำประชาชนและเยาวชนเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก
       
       โดยปล่อยแถวจักรยานยนต์ครั้งนี้ เน้นให้เห็นว่าผู้ขับขี่ปฏิบัติตามกฎจราจร และสวมหมวกนิรภัยมิดชิด เพื่อหวังลดอุบัติเหตุของจังหวัดให้ได้ 5% หรือหลุดจากการเป็นแชมป์อุบัติเหตุของประเทศในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และสงกรานต์ให้ได้ หลังจากในช่วง 7 วันอันตรายของปี 2555 จ.เชียงราย มีสถิติเกิดอุบัติเหตุสูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศกว่า 115 ครั้ง และมีผู้บาดเจ็บสูงสุด 121 ราย มีผู้เสียชีวิต 11 ราย ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์และขับขี่จักรยานยนต์

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000156678


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 31 ธันวาคม 2012, 10:18:10
นักท่องเที่ยว ขึ้นเหนือร่วมงาน"มหกรรมไม้ดอกอาเซียน เชียงราย 2012" คึกคัก
วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555 เวลา 11:25:22 น.

   
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการท่องเที่ยวช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่  ที่จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม  ว่า  เป็นไปอย่างคึกคักโดยมีกลุ่มนักท่องเที่ยวและคนทำงานต่างถิ่นหลั่งไหลกันเข้าพื้นที่อย่างไม่ขาดสายเพื่อร่วมเทศกา โดยตามถนนสายพหลโยธินคราคร่ำไปด้วยรถยนต์ เช่นเดียวกับแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งถูกนักท่องเที่ยวเข้าพักทั้งในลักษณะรีสอร์ทและรูปแบบกางเต๊น โดยเฉพาะที่ดอยแม่สลอง ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ซึ่งทาง อบต.แม่สลองได้จัดให้มีเทศกาลชิมชา ชมซากุระบาน อาหารชนเผ่า ดอยแม่สลอง ครั้งที่17ขึ้นโดยมีนักท่องเที่ยวไปร่วมงานเป็นจำนวนมาก โดยคืนวันที่ 31 ธันวาคม จะมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมเค้าดาวน์ด้วยและเช้าวันที่ 1 มกราคม จะมีการตัดบาตรใบชาเพื่อเป็นสิริมงคลเข้าสู่ปีใหม่ด้วย

 เช่นเดียวกับที่บริเวณสวนไม้งามริมน้ำกก ต.ริมกก อ.เมืองจ.เชียงราย ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย2012 ของ อบจ.เชียงราย ได้มีนักท่องเที่ยวที่เดินมาจากต่างจังหวัดเดินทางมาเยี่ยมชมจำนวนมาก โดยเฉพาะที่บริเวณสวนดอกไม้ที่มีการนำดอกไท้เมืองหนาวนานาพันธุ์มาจัดแสดง อย่างยิ่งดอกทิวลิปกว่า 2 หมื่นและปฎิมากรรมดอกไม้ที่จัดแสดงโดยนำเอาสัญญาลักษณ์ของประเทศต่างๆในกลุ่มอาเซียนมาสร้างจำลองไว้ภานในสวนเพื่อให้ไดชมและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
 
นางอัจฉริกา มณีสิน ผอ.ททท.สำนักงานเชียงราย กล่าวว่า  ปีนี้การท่องเที่ยวคึกคักกว่าทุกปีมีนักท่องเที่ยวจากต่างจังหวัดและต่างประเทศ อาทิยุโรป อเมริกา หรือโซนเอเชียอย่างญี่ปุ่น และจีนเพิ่มมากขึ้น ทำให้ห้องพักที่มีอยู่กว่า 16,000ห้องถูกใช้บริการหมด ทำให้ปี2555นี้น่าจะมีนักท่องเที่ยวมายังจ.เชียงรายมากกว่า2 ล้านคน

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1356841070


ชียงราย - นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าเชียงรายต่อเนื่อง ล่าสุด ยอดคนขึ้นภูชี้ฟ้าทะลุ 1.2 หมื่นคนต่อวันแล้ว ขณะที่หลายยอดดอย รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อมีผู้คนหนาแน่น เชื่อทะลุ 2 ล้านคน
       
       วันนี้ (30 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย ว่า สภาพการจราจรบนถนนสายต่างๆยังคงคับคั่ง ขณะที่สถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว เช่น ที่วัดร่องขุ่น ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมือง ตลาดชายแดนไทย-พม่า อ.แม่สาย ดอยตุง อ.แม่ฟ้าหลวง ชายแดนไทย-ลาว อ.เชียงแสน รวมถึงยอดดอยสำคัญ เช่น ภูชี้ฟ้า ผาตั้ง ดอยแม่สลอง ดอยวาวี ก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ทำให้การจราจรหนาแน่นกว่าช่วงปกติ
       
       นายพรหมโชติ ไตรเวช ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ถือว่าจำนวนนักท่องเที่ยวมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยจากการประสานกับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ตับเต่า อ.เทิง ซึ่งเป็นตั้งของภูชี้ฟ้า มีนักท่องเที่ยววันละกว่า 12,000 คน ซึ่งทาง อบต.ได้อำนวยความสะดวกด้วยการจัดสถานที่จอดรถให้ และจัดรถบริการจากเชิงภูขึ้นไปคนละ 20 บาท เพื่อลดปริมาณรถยนต์ และยังดูแลรถยนต์ที่จอดไว้ด้านล่างให้ด้วย
       
       “ยอดดอยอื่นๆ ก็คึกคัก ซึ่งล่าสุด มีการเปิดงานเทศกาลชิมชา ซากุระบาน อาหารชนเผ่า ดอยแม่สลอง ครั้งที่ 17 ที่โรงเรียนบ้านสันติคีรี ต.แม่สลองนอก ระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม 2555 ถึงวันที่ 2 มกราคม 2556 คาดว่าเมื่อถึงวันเคานต์ดาวน์คืนวันที่ 31 ธันวาคม ยอดนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน”
       
       นายพรหมโชติ กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นวันแรกที่ขยายเวลาเปิดด่านพรมแดนไทย-พม่า สะพานลำน้ำสาย อ.แม่สาย กับ จ.ท่าขี้เหล็ก จากเดิมเวลา 06.30-18.30 น. เป็นเวลา 22.00 น. ส่วนวันที่ 1 มกราคม 2556 จะขยายเป็นเวลา 02.00 น. เพื่อเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เคานต์ดาวน์กัน จากนั้นตอนเช้าจะร่วมตักบาตรสองแผ่นดิน เพื่อเป็นสิริมงคลร่วมกันในวันปีใหม่ด้วย
       
       นายพรหมโชติ กล่าวว่า ช่วง 10 วันระหว่างเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2554-2555 มีการคำนวณจากปริมาณรถว่ามีผู้คนเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ กว่า 1.8 ล้านคน แต่ปีนี้คาดว่าจะเกิน 2 ล้านคน โดยพบว่า รถส่วนใหญ่จะผ่าน อ.เมือง ซึ่งมุ่งไปสู่อำเภอชายแดน


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000158371


แม่สายคึกคักนักท่องเที่ยวแน่นผ่านแดนวันละกว่า 2 หมื่นคน-คาด 4 วันเม็ดเงินสะพัดเพิ่ม 20% จากปกติวันละ 500 ล้านบาท


นายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ รองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย ฝ่ายกิจกรรมชายแดน เปิดเผยว่า บรรยากาศการท่องเที่ยวบริเวณ อ.แม่สาย จ.เชียงราย คึกคักเป็นอย่างมาก ทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่เดินทางข้ามไปฝั่ง จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า รวมถึงนักท่องเที่ยวตอนเหนือ ของ ประเทศพม่า ทั้งที่จังหวัดท่าขี้เหล็ก เมืองเชียงตุง รวมถึงเมืองตองกี ก็พบว่าเดินทางข้ามมาท่องเที่ยวที่ อ.แม่ สาย อย่างต่อเนื่องในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางผ่าน เข้า-ออก บริเวณพรมแดนไม่ต่ำกว่าวันละ 2 หมื่นคน และช่วงวันหยุดยาว 3-4 วันนี้ จะมีเม็ดเงินสะพัดเพิ่มขึ้น 20% จากปกติเฉลี่ยรายได้วัน ละ 400-500 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม วันที่ 30 ธันวาคม 2555 - 1 มกราคม 2556 จะมีการจัดงานเคาท์ดาวน์ 3 แผ่นดิน 2013 (Miracle Countdown @ Maesai Chiang Rai) บริเวณด่านพรมแดนไทย-พม่า อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดยงานดังกล่าวเป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวเชื่อมโยงในภูมิภาค ไทย-พม่า-ลาว

ทั้งยังเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนสมาชิกอาเซียนอีกด้วย ซึ่งคาดว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาที่ อ.แม่สาย เพิ่มมากขึ้นด้วย

http://www.bangkokbiznews


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 03 มกราคม 2013, 18:25:05
คนแห่เที่ยวปีใหม่เชียงรายทะลุ 1.2 ล้าน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   3 มกราคม 2556

เชียงราย - ปีนี้ท่องเที่ยวเชียงรายบูมสุด ปีใหม่-งานไม้ดอกอาเซียนมีคนเข้าชมแล้วกว่า 1.2 ล้านคน แถม อบจ.ขนทิวลิปเพิ่มอีก 2 หมื่นดอก ดึงคนเที่ยวเพิ่มไปจนถึง 6 มกราคม
       
       วันนี้ (3 ม.ค.) นายพรหมโชติ ไตรเวช ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า จากการคำนวณปริมาณนักท่องเที่ยวช่วงเทศกาลที่ผ่านมา พบว่ามีนักท่องเที่ยวเฉลี่ยวันละกว่า 150,000 คน โดยเฉพาะในงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียน ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2555 จนถึงขณะนี้มีผู้เข้าชมงานกว่า 1.2 ล้านคน และจะมีผู้เข้าชมต่อเนื่องจนถึงวันสิ้นสุดงาน คือวันที่ 6 มกราคมนี้
       
       “ล่าสุดองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ได้จัดหาดอกทิวลิปเข้าไปจัดเพิ่มเติมภายในงานมหกรรมอีกประมาณ 20,000 ดอก เนื่องจากเป็นไม้ดอกที่นักท่องเที่ยวนิยมถ่ายภาพอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ในอนาคตจะเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาสายพันธุ์ไม้ดอกเมืองหนาวขึ้นเองเพราะนักวิชาการของไทยทำได้อยู่แล้ว โดยหลายพื้นที่มีการเพาะพันธุ์ให้เหมาะสมต่อสภาพอากาศของไทย โดยเฉพาะ จ.เชียงรายมีหลายแห่งที่เป็นภูเขาสูง สามารถใช้เพาะพันธุ์ไม้ดอกเหล่านี้ได้ และหากสามารถพัฒนาสายพันธุ์ให้ทนสภาพอากาศที่ร้อนได้บ้างเพื่อรักษาต้นพันธุ์จนถึงฤดูหนาว ก็ไม่จำเป็นต้องหาซื้อจากต่างประเทศอีกต่อไป”

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000000526


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 มกราคม 2013, 17:38:19
2556 ปีทองอสังหาภูธร รายใหญ่รุกครองเจ้าตลาด

คอลัมน์ รายงานพิเศษ


แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัย ปี 2556 จับตาเม็ดเงินลงทุนของภาครัฐ ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ผนวกกับกระแสการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี) ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558

ส่งผลให้มีการตื่นตัวด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการวางรากฐานเศรษฐกิจตามจังหวัดที่มีพรมแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน และจังหวัดใกล้เคียง ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงเดิมๆ ที่ยังต้องเผชิญคือ แรงงานขาดแคลน



ส่วนมุมมองของผู้คร่ำหวอดในธุรกิจอสังหา ริมทรัพย์เป็นอย่างไร โปรดติดตาม

นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวว่า ในปี 2556 คาดการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย เปิดตัวใหม่จะเห็นความชัดเจนของผู้ประกอบการ รายใหญ่จากกรุงเทพฯ เข้าไปรุกตลาดที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดมากขึ้น โดยเฉพาะในหัวเมืองเศรษฐกิจสำคัญที่มีชายแดนติดต่อกับเมืองเวียงจันทน์ และสะหวันเขต ของสปป.ลาว ซึ่งถือเป็นเขตเศรษฐกิจของลาว ที่มีเส้นทางเชื่อมออกสู่เวียดนาม และจีน ทำให้เกิดการค้าชายแดนระหว่าง 3-4 ประเทศ



ทั้งยังพบว่าปัจจุบันมีชาวเวียดนาม และจีน เข้าไปทำธุรกิจในเวียงจันทน์ และมีการเข้ามา จับจ่ายสินค้าในอุดรธานี,หนองคาย,มุกดาหาร รวมถึงอุบลราชธานี ที่ปัจจุบันมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ทั้งเซ็นทรัล บิ๊กซี โลตัส แม็คโคร โฮมโปร โฮมเวิร์ค ส่งผลให้ราคาที่ดินในจังหวัดเหล่านี้ พุ่งสูงขึ้น 100% ดังนั้นผู้นิยมซื้อที่ดินเพื่อเก็งกำไรควรหลีกเลี่ยง



นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่าในจังหวัดดังกล่าว ยังเป็นเป้าหมายของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในกรุงเทพฯ ขยายลงทุนที่อยู่อาศัย และจากราคาที่ดินที่แพงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องเลี่ยงไปพัฒนาคอนโดมิเนียม

ยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่ามีนักลงทุนเวียดนามและจีน เริ่มเข้าไปลงทุนโครงการศูนย์การค้าและที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ ในเมืองเวียงจันทน์ ของลาว อย่างน้อย 3 โครงการ อาทิ โครงการเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ และกลอรี่ ออฟ ลาว เป็นต้น มูลค่าแต่ละโครงการกว่า 1 พันล้านบาท



ในขณะที่ จ.เชียงราย บริเวณอ.เชียงของ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ จ.เชียงราย ของไทย กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางอาร์ 3 เอ ที่เชื่อมโยงจากไทยผ่านลาวเข้าไปยังจีนตอนใต้ เพื่อใช้ประโยชน์หลักในการเป็นเส้นทางเพื่อการขนส่งสินค้า และอาจผลักดันให้เชียงรายเป็นจังหวัดที่จูงใจให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เข้าไปลงทุนในอนาคต



ทั้งนี้มีความกังวลสำหรับคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวใหม่ในหลายปีต่อเนื่องที่ผ่านมาในชลบุรี,ชะอำ จ.เพชรบุรี และหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ส่วนในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล แนวโน้มการเปิดตัวที่อยู่อาศัยใหม่ ปี 2556 คงใกล้เคียงปี 2555 ที่ 101,000 ยูนิต แต่สัดส่วนการเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบ จะกลับมาสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ที่มีเพียง 38,000 ยูนิต หลังรับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมช่วงปลายปี 2554 ทำให้ผู้ประกอบการรุกตลาดคอนโดมิเนียมมากถึง 63,000 ยูนิต



ขณะที่ นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2555 ถือเป็นปีทองของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และคาดว่ายอดขายที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล น่าจะจบที่ 3 แสนล้านบาท เติบโตจากปี 2554 ซึ่งมียอดขาย 2.59 แสนล้านบาท หรือเติบโต 15-16% หรือประมาณ 105,000 ยูนิต ซึ่งถือว่าทุบสถิติ ยอดขายที่อยู่อาศัยตั้งแต่ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ หรือคอนโดมิเนียม



นอกจากนี้ในปี 2555 ตลาดที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดเริ่มโดดเด่นที่สุด และเชื่อว่าจะมีการเติบโตได้ถึง 30-40% เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้าไปในตลาดต่างจังหวัดค่อนข้างมาก



ตลอดปีที่แล้วมีการรุกตลาดคอนโดมิเนียมคึกคักในพัทยา ชลบุรี และภูเก็ต ล่าสุดไปถึงหัวเมืองใหญ่ของภาคอีสาน เช่น อุดรธานี ขอนแก่น ซึ่งประเมินว่ามูลค่ายอดขายที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดจะใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ-ปริมณฑล คือ 3 แสนล้านบาท ทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศเมื่อปี 2555 รวมทั้งสิ้น 6 แสนล้านบาท ซึ่งโตจากปีก่อน 25% ที่สำคัญเป็นตัวเลขการเติบโตที่เกิดขึ้น โดยไม่ได้รับการสนับสนุนมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐบาลเลย ถือเป็นสัญญาณที่ดี ที่เติบโตจากภาคเอกชนโดยแท้จริง



ส่วนแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2556 ตลาดกรุงเทพฯ อาจโตไม่ มากแค่ 5% เนื่องจากฐานค่อนข้างใหญ่ ส่วนต่างจังหวัดยังเป็นตลาดดาวเด่นของผู้ประกอบการ ซึ่งในส่วนของบริษัทกำลังศึกษาตลาดในเชียงใหม่และอีกหลายจังหวัด แต่กำลังซื้อในตลาดต่างหวัดมีจำกัด หมดแล้วหมดเลย



ดังนั้นในอีก 3 ปีข้างหน้า คาดว่าตลาดต่างจังหวัดที่เป็นตลาดหลักๆ แนวโน้มคงคล้ายในกรุงเทพฯ คือส่วนใหญ่จะอยู่ในมือผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่กี่ราย เนื่องจากความสามารถในการแข่งขันมีสูงกว่า และเรื่องแบรนด์ก็แข็งแรงกว่า



ด้าน นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ปี 2556 การแข่งขันในหัวเมืองสำคัญในต่างจังหวัดจะมีมากขึ้น หลังจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ อยู่ในจุดที่มีเสถียรภาพแล้ว โดยตลาดมีการแบ่งกลุ่มเป้าหมายลูกค้าอย่างชัดเจน ส่วนในต่างจังหวัดขึ้นอยู่กับว่า ผู้ประกอบการรายใดที่จะได้รับการยอมรับชัดเจน



ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่ายอดขายบริษัทประมาณ 30% หรือ 1.5 หมื่นล้านบาท อยู่ในต่างจังหวัด ส่วนปีนี้คาดว่าสัดส่วนยอดขายในต่างหวัดยังอยู่ในอัตราเดียวกัน แต่ขึ้นอยู่กับว่าหากบริษัทสามารถประสบความสำเร็จด้านยอดขายในแต่ละจังหวัด บริษัทก็จะขยายตลาดต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังครอบคลุมไปไม่ถึงหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด อาทิ อุดรธานี และเชียงราย



นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ความเสี่ยงของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากนี้ไป อยู่ที่การขาดแคลนแรงงงาน ส่วนความเสี่ยงของตลาดสินเชื่อ คงต้องดูเป็นตลาดๆ ไป ซึ่งในมุมมองของธนาคารคือ 1.ตลาดบ้านแพงและคอนโดมิเนียมราคาสูง เพราะมีผู้ซื้อจำกัด และ 2.บ้านพักตากอากาศ เช่น หัวหิน เขาใหญ่ โดยธนาคารเน้นให้สินเชื่อบ้านหลังแรกในระดับราคาปานกลาง และจะระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ผู้ประกอบการขนาดกลาง ที่ไม่มีความต่อเนื่องในการพัฒนาโครงการ แบรนด์ไม่แข็งแกร่ง



และจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผู้บริโภคที่ซื้อคอนโดมิเนียมของผู้ประกอบการรายใหญ่จะเป็น กลุ่มที่มีความตั้งใจซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และแม้ว่า ผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้ จนถึงขั้นธนาคารยึดหลักประกัน ธนาคารก็ยังขายทอดตลาดได้ในราคาที่ดีกว่าโครงการที่พัฒนาโดยผู้ประกอบการที่ไม่มีชื่อเสียง

จากความเห็นของผู้ประกอบการ สรุปได้ว่าแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัด

หน้า 9

วันที่ 05 มกราคม พ.ศ. 2556 ปีที่ 22 ฉบับที่ 8073 ข่าวสดรายวัน


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 มกราคม 2013, 17:44:33
ค้าชายแดนดาวรุ่งเส้นทางสายใหม่เออีซี


วันพุธที่ 02 มกราคม 2013 เวลา 10:56 น.    กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ    การค้า-ส่งออก    -
กระแสประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ซึ่งจะเริ่มในปี 2558 ทำให้หลายพื้นที่ในหัวเมืองภูมิภาค ที่เล็งเห็นประโยชน์จากการเปิดเออีซี ทั้งจากทำเลที่ตั้งของจังหวัดเอง

หรือจากการเล็งเห็นประโยชน์จากโครงข่ายการคมนาคมเชื่อมประเทศเพื่อนบ้าน ต่างโหมโรงรับการมาถึงของเออีซีกันอย่างคึกคัก  รวมถึงทัพลงทุนจากส่วนกลางที่ต่างเริ่มขยับขยายไปเปิดโครงการลงทุนในต่างจังหวัดกันมากขึ้น ทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์ ห้างสรรพสินค้า รวมถึงโลจิสติกส์ ส่งผลให้เศรษฐกิจภูธรคึกคักสุดขีด โดยเฉพาะหัวเมืองชายแดน  ที่ถูกมองว่าเป็นประตูสู่ประเทศเพื่ค้าชายแดนอนาคตใหม่ส่งออกไทยอนบ้าน
+ค้าชายแดนอนาคตใหม่ส่งออกไทย
    การส่งออกของไทยไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญแต่เดิมมา อ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด จากปัญหาเศรษฐกิจเรื้อรังจนฝังในที่ยังแก้ไม่ตก ไม่ว่าจะในสหรัฐอเมริกา ยุโรป หรือญี่ปุ่น แต่การส่งออกไทยไปยังเพื่อนรอบบ้าน ในรอบ 3 ไตรมาสปี 2555 โชว์ตัวเลขการขยายตัวเป็นบวกอย่างแข็งขันที่ 11 %  จากอัตราการส่งออกเฉลี่ยที่คาดว่าจะขยายตัวทั้งปีเพียง 3%  การค้าชายแดนและค้าผ่านแดนจึงเป็นตัวช่วยพยุงการส่งออกภาพรวมไว้
    ทั้งนี้ ในทิศทางใหญ่การส่งออกไทยก็เบนเข็มจากตลาดหลักเดิม สู่ตลาดใหม่ที่กำลังขยายตัว โดยเวลานี้เราค้าขายกับเพื่อนบ้านในอาเซียนเพิ่มขึ้น โดยส่งออกไปยังสมาชิกอาเซียนด้วยกันเอง คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 21 % ส่งไปจีน 12 % ขณะที่ส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 10 % เท่านั้น และบรรดาตลาดเก่าทั้งสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรป ยังต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยในการแก้ปัญหาภายในของตนเอง
    ขณะที่การค้าชายแดนและค้าผ่านแดนของไทยสู่เพื่อนรอบบ้าน คือ เมียนมาร์ สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม หรือกลุ่ม ซีแอลเอ็มวี ที่เรียกว่าอาเซียนใหม่  รวมทั้งมาเลเซีย จีนตอนใต้ และอินเดียในอนาคตนั้น  คือดาวรุ่งใหม่การส่งออก  โดยมีปัจจัยเกื้อหนุนหลายประการ คือ กลุ่มอาเซียนใหม่ที่มีไทยเป็นศูนย์กลาง ได้ปลดล็อกปัญหาภายใน และกำลังเร่งการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว เป็นตลาดขนาดใหญ่ มีประชากรรวมกันมากกว่า 200 ล้าน
+คน ที่กำลังซื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนับจากนี้  
    ประกอบกับมีการลงทุนในเส้นทางคมนาคมขนส่ง ภายใต้กรอบความร่วมมือต่าง ๆ โยงเป็น "โครงข่ายใยแมงมุมแห่งเอเชียอาคเนย์"  ที่นับวันจะเชื่อมต่อแต่ละประเทศกลุ่มอาเซียนบนภาคพื้นคาบสมุทร และเชื่อมโยงกับสองประเทศยักษ์ใหญ่ของโลก คือ จีน และอินเดีย ให้ผนึกเข้าใกล้กัน  รวมทั้งการก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ที่จะเริ่มในปี 2558  จะยิ่งทำให้การค้าการขนส่งระหว่างกันสะดวกยิ่งขึ้น อันอาจนับได้ว่า นี่คือพลังแห่งเส้นทางสายใหม่แห่งยุคเออีซีที่กำลังทวีพลังร้อนแรงขึ้นทุกขณะ
    ประเทศไทยซึ่งมีที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเพื่อนบ้านอาเซียนใหม่ มีโครงข่ายเส้นทางคมนาคมขนส่งภายในที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด เชื่อมโยงกับทุกทิศทาง มีโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่พร้อม มีบริการระบบการเงินการธนาคารที่เข้มแข็ง  จะเป็นชุมทางการเคลื่อนย้ายผู้คน สินค้า การลงทุน และบริการต่าง ๆ ของชุมชนอาเซียนใหม่ที่คึกคักยิ่ง
    จากศักยภาพดังกล่าว ตามแผนพัฒนาฯฉบับที่ 11 ตั้งเป้าให้การค้าชายแดนไทยขยายตัวเฉลี่ยปีละ 15 % จากระดับ 8 แสนล้านบาท ในปี 2554 เป็น 1.8 แสนล้านบาทในปี 2559 ซึ่งเป้าของทางการดังกล่าวนี้ นิยม   ไวยรัชพานิช รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย   และประธานคณะกรรมการความร่วมมือเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน ย้ำในการสัมมนาฐานเศรษฐกิจ เมื่อ 12 ธันวาคม 2555 ว่า การค้าชายแดนไทยสามารถขยายตัวได้มหาศาลอีก 8- 10 เท่าตัว
    โดยเสนอกลยุทธ์ "เปิดประตูทุกด่านอำนวยความสะดวกการค้าทุกช่องทาง ทำให้ตลาดเพื่อนบ้านเป็นเหมือนตลาดภายในของเราเอง"  เมื่อการค้าขายผ่านแดนสะดวก สะพานข้ามน้ำโขงที่เชียงของ จังหวัดเชียงราย กำลังเสร็จ จะเชื่อมเส้นทางอาร์ 3เอ ผ่านสปป.ลาว ต่อไปถึงจีนตอนใต้ มีตลาดขนาด 100  ล้านคน เส้นทางระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตก (East-West Ecomomics Corridor-EWEC ) เชื่อมฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกที่ตอนกลางเวียดนาม ตัดผ่านสปป.ลาวตอนใต้ เข้าไทยที่มุกดาหาร ผ่านภาคอีสานเข้าพิษณุโลก ไปออกชายแดนที่แม่สอด จังหวัดตาก เข้าเมียนมาร์ ถึงมหาสมุทรอินเดีย  และต่อเส้นทางภายในขึ้นไปถึงย่างกุ้ง มุ่งไปตะวันตกไปถึงอินเดีย-บังกลาเทศ ที่มีตลาดขนาด 100 ล้านคน การค้าชายแดนและค้าผ่านแดนคืออนาคตส่งออกไทย
+อสังหาฯเคลื่อนพลรุกตลาดภูธร
    ขณะที่ พจณี อรรถโรจน์ภิญโญ ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และการวางแผนพัฒนาพื้นที่ (สพท.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ก็ชี้ว่า นอกจากโอกาสการค้าชายแดนแล้ว เส้นทางโครงข่ายคมนาคมเหล่านี้ จะเหนี่ยวนำเปิดพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ และการค้าการลงทุนภายในประเทศไทยตลอดแนวโครงข่ายเหล่านี้อีกด้วย หากโครงการทวายและการเปิดเส้นทางเชื่อมทวาย-แหลมฉบัง เกิดขึ้น การค้าการลงทุนจะไหลสู่ภาคตะวันตกมหาศาล ไล่ตั้งแต่นครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี  ไปถึงชายแดนไทย-เมียนมาร์ และบางส่วนมองเลยไปถึงการลงทุนในเพื่อนบ้านด้วย  
     แท้ที่จริงแล้ว หน่ออ่อนของการลงทุนใหม่ตามยุทธศาสตร์เกาะติดโครงข่ายเริ่มปรากฏแล้ว  ในเวทีสัมมนา"สแกนธุรกิจอสังหาฯ 56" เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2555 ของฐานเศรษฐกิจ บทสรุปสำคัญของเวทีดังกล่าวคือ พื้นที่ลงทุนใหม่ของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทย คือ หัวเมืองเศรษฐกิจใหม่ ที่จะเติบโตจาก 3 ปัจจัยหนุน คือ อยู่บนแนวเส้นทางเชื่อมโยงเพื่อนบ้าน มีกิจกรรมค้าชายแดน และเป็นเมืองที่กำลังซื้อกำลังเร่งตัว ซึ่งยักษ์ธุรกิจอสังหาฯส่วนกลาง กำลังชิงปักธงแผนลงทุนของตัวเองกระจายไปจดขอบแดนไทยไว้รองรับแล้ว
    ด้านบมจ.แสนสิริประสบความสำเร็จจากการรุกขยายการพัฒนาโครงการในตลาดต่างจังหวัดปี 2555 สร้างยอดขายรวม โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัดในปีที่ผ่านมาได้แล้วเกินกว่า 42,000 ล้านบาท  จาก 24 โครงการใน 6 จังหวัดหัวเมืองหลักทั่วประเทศ ทั้งหัวหิน -ภูเก็ต - เขาใหญ่ - เชียงใหม่ - พัทยา และขอนแก่น มูลค่าโครงการรวม 21,312 ล้านบาท  
    บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มีโครงการที่เปิดขายในต่างจังหวัดปี 2555 จำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,490 ล้านบาท ด้านบมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท มีแผนจะลงทุนในตลาดต่างจังหวัดเพิ่มอีก 5-10 โครงการ   และจะเปิดตัวคอนโดมิเนียมในตลาดต่างจังหวัดเป็นครั้งแรก โดยขณะนี้มีโครงการในต่างจังหวัดแล้ว 5 โครงการใน 4 จังหวัด คือ พระนครศรีอยุธยา ชลบุรี ขอนแก่น และภูเก็ต รวมมูลค่าโครงการ 3,410 ล้านบาท
บมจ.ซี.พี.แลนด์ มีโครงการในต่างจังหวัดแล้ว 6 โครงการ อยู่ในจังหวัดขอนแก่น 3 โครงการ และอีกหนึ่งอาคารสำนักงานให้เช่า  รวมมูลค่าโครงการในจังหวัดขอนแก่น 680 ล้านบาท จังหวัดมหาสารคาม 1 โครงการ มูลค่า 170 ล้านบาท และจังหวัดอุดรธานี 2 โครงการ รวมมูลค่า 800 ล้านบาท
+ห้างดังปักธงรับกำลังซื้อตลาดเออีซี
    เช่นกัน กลุ่มห้างและค้าปลีก ก็เขม้นมองกำลังซื้อใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้นนี้ไม่วางตา ยักษ์ค้าปลีกหลายเจ้าลงทุนเปิดห้างดักกำลังซื้อสำคัญ ทั้งจากคนพื้นที่และรวมกำลังซื้อจากกลุ่มที่กำลังมีเม็ดเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นจากเพื่อนบ้าน ที่กำลังจ่อข้ามแดนเข้ามาจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นด้วย กลุ่มเซ็นทรัลประกาศตัวอย่างชัดเจนในการลงทุนพัฒนาพื้นที่ค้าปลีกเพื่อรองรับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่จะเข้ามาหลังเปิดเออีซี โดยเบื้องต้นจะเน้นการเข้าไปลงทุนในพื้นที่ริมตะเข็บชายแดน ไม่ว่าจะเป็นอุดรธานี เชียงราย เชียงใหม่ ซึ่งลงทุนพัฒนาและเปิดให้บริการไปแล้ว และล่าสุดเปิดให้บริการที่ลำปาง เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่วนในปีหน้าเซ็นทรัลยังมีแผนพัฒนาศูนย์การค้าที่จังหวัดอุบลราชธานี โดยจะเปิดให้บริการในเดือนเมษายน 2556  หาดใหญ่และเชียงใหม่ในปลายปี 2556 ด้วย
    ส่วนห้างโรบินสัน มีแผนการลงทุนในปี 2556-2557  จะเปิดในต่างจังหวัด 7 แห่ง แบ่งเป็นปี 2556 ที่กาญจนบุรี สกลนคร สุรินทร์ สระบุรี  และปี 2557 ที่ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา และร้อยเอ็ด ขณะที่เทสโก้ โลตัส เป็นอีกกลุ่มค้าปลีกที่เร่งขยายสาขาให้ครอบคลุมทุกจังหวัด และทุกอำเภอ ด้วยการส่งร้านรูปแบบต่างๆ ทั้งเทสโก้ โลตัส ไฮเปอร์มาร์เก็ต , เอ็กซ์เพรส , เอ็กซ์ตร้า , ตลาดโลตัส และร้านคุ้มค่า  โดยล่าสุดเทสโก้ โลตัส ได้เปิดให้บริการที่ อ.วารินชำราบ  จ. อุบลราชธานี ในรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต  และตลาดโลตัสอีก 6 แห่งในพัทลุง นครสวรรค์  ฉะเชิงเทรา  ประจวบคีรีขันธ์  และ 2 แห่งในศรีสะเกษ
    ส่วน ในปี 2556 เทสโก้ โลตัส เตรียมใช้เงินลงทุน 7 พันล้านบาทในการขยายสาขาเพิ่มขึ้น โดยจะเน้นหนักที่ตลาดโลตัส และเทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส ในพื้นที่ต่างจังหวัดเป็นหลัก  
    การค้ากับเพื่อนรอบบ้าน ไม่เพียงเป็นความหวังใหม่ส่งออกไทย แต่ยังมีแรงส่งให้ธุรกิจหลากหลาย ทั้งที่เกี่ยวข้องโดยตรงหรือโดยอ้อม ต้องปรับตัวรับกระแสลมแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้กันถ้วนหน้า ซึ่งนำมาสู่การพลิกโฉมเศรษฐกิจธุรกิจ ตลอดจนการค้าการลงทุนไทย จากมหานครกรุงเทพ ไปสู่เมืองในสุดขอบชายแดนไทย ในวันที่เรากำลังก้าวสู่การเป็น"พลเมืองอาเซียน"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,806  วันที่   3 - 5  มกราคม พ.ศ. 2556


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 07 มกราคม 2013, 21:28:13
จับตา"คมนาคม"แบ่งเค้กก้อนโตโครงสร้างพื้นฐาน1.9ล้านล้าน


7 January 2556 - 00:00

“ขณะนี้อยู่ระหว่างการทบทวนโครงการในแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่งปี 2556-2563 วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท และสิ่งที่กระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญมากที่สุดคือการพัฒนาระบบราง ซึ่งได้กำหนดวงเงินลงทุน 1.28 ล้านล้านบาท คิดเป็น 65.05%“
    แผนการใช้งบประมาณอย่างมหาศาล ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้นำเอาแผนการก่อร่างสร้างหนี้วงเงิน 2 ล้านล้านบาทเข้ามาอยู่ในแผนการดำเนินการในครั้งนี้ด้วย  โดยได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังดำเนินการ ร่างกฎหมายในรูปพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 2 ล้านล้านบาท ระยะเวลาการกู้ 7 ปี เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานตามคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ซึ่งมี นายวีรพงษ์ รามางกูร (ดร.โกร่ง) ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นประธาน ซึ่งแผนดังกล่าวนั้น ครอบคลุมทั้งด้านพลังงาน สื่อสาร สาธารณูปโภคและการคมนาคมขนส่งทั้งทางบก ทางอากาศ และทางน้ำ
    ทั้งนี้ กรอบวงเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2,274,359.09 ล้านบาท แบ่งเป็น 7 สาขา ได้แก่ 1.ระบบราง 1,201,948.80 ล้านบาท (52.85%) 2.ขนส่งทางบก 222,347.48 ล้านบาท (9.78%) 3.ขนส่งทางน้ำ 128,422.20 ล้านบาท (5.65%) 4.ขนส่งทางอากาศ 69,849.66 ล้านบาท (3.07%) 5.สาธารณูปการ 99,204.69 ล้านบาท (4.36%) 6.พลังงาน 515,689.26 ล้านบาท (22.67%) และ 7.สื่อสาร 36,897 ล้านบาท (1.62%)
    การลงทุนระบบราง เป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) 845,385.01 ล้านบาท การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) 333,803.78 ล้านบาท กรมทางหลวง 16,550 ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท 6,210.01 ล้านบาท
    ขนส่งทางบก เป็นขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) 13,162.20 ล้านบาท กรมทางหลวง 204,498 ล้านบาท กรมการขนส่งทางบก 4,687.28 ล้านบาท "ขนส่งทางน้ำ"  กรมเจ้าท่า 33,075.60 ล้านบาท การท่าเรือแห่งประเทศไทย 93,492.24 ล้านบาท กรมธนารักษ์ 1,854.36 ล้านบาท              การลงทุน ขนส่งทางอากาศ บมจ.ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) 69,849.66 ล้านบาท ระบบสาธารณูปการ มี 2 หน่วยงานคือ การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) 69,686.89 ล้านบาท และการประปานครหลวง (กปน.) 29,517.80 ล้านบาท
    การลงทุนด้านพลังงาน เป็นของ บมจ.ปตท.  135,655.88 ล้านบาท การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 206,431.36 ล้านบาท การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) 108,594 ล้านบาท การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) 59,060.35 ล้านบาท และ ด้านสื่อสาร แบ่งเป็น บมจ.กสท โทรคมนาคม 20,761 ล้านบาท และ บมจ.ทีโอที 16,136 ล้านบาท เมื่อพิจารณาแล้วพบว่าของกระทรวง คมนาคมถือว่าเป็นหน่วยงานที่ได้งบประมาณมากถึง 1.9 ล้านล้านบาท หรือ 80%ของวงเงินทั้งหมด
    ส่วนแหล่งเงินนั้นตามกรอบแล้วจะมาจาก 5 ส่วน คือ เงินงบประมาณ 205,127.77 ล้านบาท เงินรายได้ 184,401.86 ล้านบาท เงินกู้ในประเทศ 1,124,834.60 ล้านบาท เงินกู้ต่างประเทศ 449,172.52 ล้านบาท และจากการเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐกับเอกชนในรูปแบบ PPP 310,822.33 ล้านบาท
    ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาดูแล้ว ร่าง พ.ร.บ.กู้เงินดังกล่าวได้นำจุดดีของการกู้เงินในโครงการไทยเข้มแข็ง รวมถึงกฎหมายกู้เงินอื่นๆ มาดำเนินการ โดยจะมีรายชื่อและรายละเอียดโครงการทั้งหมด แนบไปกับร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ดังกล่าว เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา หากไม่เห็นชอบก็สามารถตัดโครงการหรือเพิ่มโครงการใหม่ได้เหมือนการพิจารณางบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล คาดว่าจะเสนอไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ก่อนที่จะเสนอเข้าต่อที่ประชุมรับสภาต่อไป เพื่อให้สภาพิจารณาเห็นชอบเป็นกฎหมายมีผลบังคับใช้ต่อไป คาดว่าจะเห็นเป็นรูปเป็นร่างภายในเดือนมีนาคม 2556
    สำหรับในส่วนของกระทรวงคมนาคม ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเยอะที่สุด ความคืบหน้าของโครงการ คือ ที่ผ่านมาได้จัดสัมมนาโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และร่วมรับฟังความคิดเห็นของสาธารณชนต่อแผนการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่ง พ.ศ.2556-2563 ทุกภาคของประเทศไทย ซึ่งกระทรวงคมนาคมต้องเฟ้นหาโครงการที่ตรงกับวัตถุประสงค์และความเหมาะสมเป็นหลัก โดยจะจัดสรรในส่วนของขนส่งระบบราง 60% ขนส่งระบบถนน 33% ขนส่งทางน้ำ 3% และขนส่งทางอากาศ 1.9% จะเห็นว่างบประมาณถูกจัดสรรไปที่ระบบรางเป็นหลัก เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยทิ้งระบบรางไปนานและจำเป็นจะต้องเชื่อมต่อกับประเทศในอาเซียน และในอนาคตน้ำมันแพงขึ้นคนจะหันมาใช้รถไฟแทน
    นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ได้ระบุว่า  “ขณะนี้อยู่ระหว่างการทบทวนโครงการในแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่งปี 2556-2563 วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท และสิ่งที่กระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญมากที่สุดคือการพัฒนาระบบราง ซึ่งได้กำหนดวงเงินลงทุน 1.28 ล้านล้านบาท คิดเป็น 65.05%“
    ทั้งนี้ ในส่วนของระบบรางนั้นได้เสนอไป 33 โครงการ วงเงิน 1.164 ล้านล้านบาท เบื้องต้นกระทรวงการคลังส่งสัญญาณว่า ในส่วนของระบบรางที่ได้เสนอโครงการไปนั้นโครงการมีความชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟความเร็วสูง, รถไฟทางคู่, ปรับปรุงทางรถไฟ ล้วนแล้วแต่เป็นโครงการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญ เช่น ระบบรถไฟทางคู่ 6 สาย 131,252 ล้านบาท มีฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย 11,348 ล้านบาท ลพบุรี-ปากน้ำโพ 19,408 ล้านบาท มาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ 28,087 ล้านบาท ชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น 28,410 ล้านบาท นครปฐม-หนองปลาดุก-หัวหิน 27,332 ล้านบาท และประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร 16,665 ล้านบาท
    ยังมีโครงการสร้างรถไฟสายใหม่ 140,019 ล้านบาท 4 สาย อาทิ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ 47,929 ล้านบาท ช่วงบ้านไผ่-มหาสารคาม-มุกดาหาร 42,305 ล้านบาท ช่วงอรัญประเทศ-ปอยเปต 2,822 ล้านบาท และสายเชื่อมท่าเรือฝั่งอ่าวไทย-อันดามัน ระยะที่ 1 วงเงิน 46,961 ล้านบาท
    รถไฟความเร็วสูง 481,066 ล้านบาท 4 สาย วงเงิน 4.8 แสนล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้า 10 สาย 475,498 ล้านบาท
    รองลงมาคือการขนส่งทางบก หรือถนน 4.7 แสนล้านบาท สัดส่วน 24.2% เช่น การก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง 5 สาย วงเงิน 2 แสนล้านบาท เช่น ทางหลวงเชื่อมระหว่างประเทศ 6,434 ล้านบาท วงแหวนรอบที่ 3 วงเงิน 157,700 ล้านบาท ทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ (N1, N2 และ N3) 85,069 ล้านบาท, ขนส่งทางน้ำ 1.2 แสนล้านบาท สัดส่วน 6.51% เช่น เขื่อนยกระดับในแม่น้ำเจ้าพระยา 1.4 หมื่นล้านบาท ทางอากาศ และขนส่งทางอากาศ 8.3 หมื่นล้านบาท สัดส่วน 4.24% เช่น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2 วงเงิน 6.2 หมื่นล้านบาท
    อย่างไรก็ตาม แม้ว่านโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนำของนายกฯ หญิงคนแรก นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเน้นการบริหารงานแบบ ”ประชานิยม” 1 ปีกับ 5 เดือน กลับต้องปรับคณะรัฐมนตรีถึง 3 ครั้ง และทุกครั้งที่ปรับคณะรัฐมนตรีก็มักจะมีนโยบายต่างๆ ออกมา โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน ก่อนที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์มานั่งบริหารประเทศเป็นมาอย่างไรทุกอย่างก็ยังอยู่เช่นนั้น
    แม้ว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ยังออกมาระบุเองว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เร่งรัดให้เดินหน้าโครงการรถไฟฟ้า เพราะเห็นว่าที่ผ่านมาถือว่าโครงการรถไฟฟ้าตามนโยบายของรัฐบาลทั้ง 10 สายทางนั้นมีความล่าช้ามาก ทั้งในส่วนของที่รับผิดชอบโดยการรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทย (รฟม.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ซึ่งจะต้องเร่งให้มีการดำเนินการให้ได้ภายในปี 2556
    ประกอบด้วย รถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-ปากเกร็ด-มีนบุรี ระยะทาง 36 กม. วงเงิน 38,730 ล้าน รถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี ระยะทาง 20 กม. วงเงิน 73,070 ล้านบาท รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม ช่วงสมุทรปราการ-บางปู ระยะทาง 7 กม. วงเงิน 10,150 ล้านบาท รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-พญาไท มักกะสัน/บางซื่อ-หัวลำโพง รวมวงเงิน 36,960 ล้านบาท รถไฟฟ้าสีแดงอ่อน ช่วงศิริราช-ตลิ่งชัน ระยะทาง 6 กม. วงเงิน 4,281 ล้านบาท รถไฟฟ้าสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ระยะทาง 10 วงเงิน 5,252 ล้านบาท รถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ ช่วงดอนเมือง-บางซื่อ ระยะทาง 13.9 กม. วงเงิน 19,400 ล้านบาท
    และยังมีอีก 4 โครงการแม้ว่าจะได้เริ่มกระบวนการไปแล้วบางส่วน แต่ก็มีความล่าช้าอย่างมาก เพราะตามแผนแล้วจะต้องมีการดำเนินการประกวดราคาในปี 2555 แต่จนแล้วจนรอดยังไม่เกิดขึ้นสักที จนนายกรัฐมนตรีต้องสั่งการให้เร่งรัดดำเนินการประกวดราคาในปี 2556 ประกอบด้วย  รถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ระยะทาง 11.4 กม. วงเงิน 36,405 ล้านบาท และช่วงสะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 7 กม. วงเงิน 23,507 ล้านบาท รถไฟฟ้าสีแดง ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา 14 กม. วงเงิน 9,950 ล้านบาท และรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ ช่วงบางซื่อ-พญาไท ระยะทาง 7.9 กม. วงเงิน 13,590 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มประกวดราคาได้ประมาณต้นปี 2556
    "ที่ผ่านมาถือว่าโครงการรถไฟฟ้ายังดำเนินการล่าช้าอยู่ ซึ่งภายในปี 2556 นี้ จะต้องมีการเร่งรัดการประกวดราคาให้เรียบร้อย" นายชัชชาติกล่าว
    ส่วนความคืบหน้าสถานีปลายทางของรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-ปากเกร็ด-มีนบุรีนั้น ที่ก่อนหน้านี้ ส.ส.ในพื้นที่ต้องการให้สถานีปลายทางสิ้นสุดที่สุวินทวงศ์นั้น แต่สุดท้ายได้ข้อสรุปที่จะสิ้นสุดที่มีนบุรี อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวได้สั่งการให้ รฟม.ไปศึกษาเรื่องการให้บริการประชาชนด้วยว่าจะเป็นอย่างไร
    อย่างไรก็ตาม หลังจากปีเก่าผ่านไป ก้าวเข้าสู่ปีใหม่ ก็หวังว่าประชาชนจะได้รับสิ่งดีๆ จากรัฐบาลกันบ้าง โดยเฉพาะโครงการที่เป็นโครงสร้างขั้นพื้นฐานที่ประชาชนควรจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นการคมนาคมขนส่ง ทางบก ราง น้ำ และอากาศ ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง และหากรัฐบาล ”ปู 3” เห็นความสำคัญก็ควรจะเร่งผลักดันและมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหากับความทุกข์ยากของประชาชน ก็ขอฝากความหวังว่ารัฐบาลจะหันมามองไม่ใช่เอาแต่ดูแลพวกพ้องน้องพี่ตัวเองเท่านั้น.
+++++++++++++++++++


http://www.thaipost.net/news/070113/67647


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 14 มกราคม 2013, 18:17:53
โอ่ปรับโฉมรถไฟ เพิ่มคุณภาพบริการ


อีโคโฟกัส 14 January 2556 - 00:00

นายประภัสร์ จงสงวน
 หลังจากที่ได้มีการเปิดสรรหาผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ร.ฟ.ท.มาระยะหนึ่ง ปรากฏว่าผู้ที่ได้ผ่านการสรรหา คือ นายประภัสร์ จงสงวน อดีตผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการสรรหา และผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมการ  ร.ฟ.ท. และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบอนุมัติให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย หลังจากได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ประกาศทันทีว่า
    "ผมมีเวลาทำงาน 2 ปีครึ่ง อยากให้พนักงานร่วมกันทำงานเพื่อเปลี่ยนการรถไฟฯ ไปในทางที่ดีขึ้น ให้การรถไฟฯ กลับมาเป็นความภูมิใจของคนไทย ของพนักงาน และให้พูดถึงการรถไฟฯ ด้วยความภาคภูมิใจ ยืนยันว่าจะไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก หรือมีการปรับเปลี่ยนโยกย้ายตำแหน่งสำคัญอะไร เพื่อให้การทำงานเป็นปึกแผ่น ยึดผลการทำงานเป็นหลัก หากมีปัญหาอะไรให้พนักงานพูดความจริงเพราะทุกอย่างแก้ไขได้"
0 เป้าหมายที่เข้ามาทำงานในการรถไฟต้องการดำเนินการอย่างไรบ้าง
    โดยส่วนตัวพร้อมที่จะเข้ามาทำงาน โดยเฉพาะหากมีโอกาสเข้าไปบริหาร ร.ฟ.ท. ตั้งเป้าในช่วง 4 ปีข้างหน้าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของ ร.ฟ.ท.พลิกโฉมใหม่ เพราะจะมีผู้บริหารเป็นต้นแบบที่ดี ซึ่งพร้อมจะทุ่มเททำงานเพื่อ ร.ฟ.ท.อย่างเต็มที่ ไม่ทำงานวนไปวนมาหรือล่าช้าอย่างที่เป็นมาแน่นอน รวมทั้งจะสร้างขวัญและกำลังใจให้พนักงานรถไฟทุกคนสามารถยืดอกได้อย่างเต็มที่ว่าองค์กร ร.ฟ.ท.เป็นองค์กรที่เป็นหน้าตาของประเทศ คนทำงานมีศักดิ์ศรี และช่วยให้ประเทศมีความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจ และจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน
0 สิ่งเร่งด่วนที่จะต้องทำขณะนี้คือ
    เรื่องเร่งด่วนที่จะต้องทำร่วมกับผู้บริหารและพนักงานการรถไฟฯ 4 เรื่อง คือ เร่งพัฒนาคุณภาพการให้บริการที่ถูกละเลยมานาน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชน และเรียกขวัญกำลังใจพนักงาน โดยจะเข้าไปพัฒนาที่อยู่อาศัย ทั้งในส่วนกลางและต่างจังหวัด การหารายได้เพิ่ม โดยเฉพาะการเก็บค่าเช่าที่ของหน่วยงานภาคเอกชนและราชการที่ใช้ที่ดินของการรถไฟฯ ซึ่งจะเริ่มเก็บค่าเช่าที่กับ บมจ.ปตท.ก่อน แต่อาจจะใช้วิธีการหักหนี้ค่าน้ำมันที่การรถไฟฯ ยังค้างอยู่ ขณะเดียวกัน  การเร่งขยายเส้นทางรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงค์มายังท่าอากาศยานดอนเมือง และการต่อแอร์พอร์ตลิงค์จากสุวรรณภูมิ ไปยัง จ.ระยองด้วย รวมทั้งเร่งเดินหน้ารถไฟฟ้าและรถไฟความเร็วสูงที่อยู่ในความรับผิดชอบ
    “สิ่งที่รถไฟแทบไม่ได้ทำเลยในช่วงที่ผ่านมา คือการซ่อมบำรุงขนาดใหญ่ ทำให้ระบบรางมีปัญหาหรือหัวรถจักรแทบจะไม่ได้ซื้อใหม่ ที่ใช้งานอยู่ก็มีอายุเยอะ บางหัว 30 ปี บางหัว 50 ปี และใช้งานหนักมากทำให้ต้องวิ่งไปซ่อมไปและเสียบ่อยครั้ง ส่งผลกระทบต่อการให้บริการที่ต้องล่าช้าเป็นประจำ และสิ่งที่ต้องมีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง คือ การให้บริการที่มีประสิทธิภาพ” 
    นอกจากนี้ ยังต้องเร่งปรับปรุงการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าว ทั้งการจัดหาหัวรถจักร ขบวนรถ แคร่บรรทุกสินค้าเพิ่ม รวมถึงการปรับการเดินรถให้เป็นระบบรางคู่เพื่อสะดวกในการสวนกัน เนื่องจากที่ผ่านมาต้องเสียเวลารอสับหลีกรางรถไฟ เรื่องความปลอดภัยเองก็สำคัญที่สุด หากรางไม่ดีก็ต้องใช้ความเร็วต่ำ ทำให้ปัจจุบันรถไฟใช้ความเร็วอยู่ที่ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในอนาคตก็อาจเห็นวิ่งได้ในความเร็ว 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็จะทำให้รถไฟวิ่งได้ตรงเวลา
0 ความคืบหน้าโครงสร้างพื้นฐาน 1.7 แสนล้านบาทเป็นอย่างไร     
    ส่วนความคืบหน้าโครงสร้างพื้นฐานในกรอบวงเงิน 1.7 แสนล้านบาท ระยะเวลา 7 ปี แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีความคืบหน้าในการเดินหน้าโครงการมากนัก แต่ปัจจุบันรัฐบาลได้มอบหมายให้รถไฟเร่งเดินหน้าโครงการลงทุนดังกล่าว หากเป็นไปได้ก็จะดำเนินการให้เสร็จภายใน 3 ปี เพราะรออีก 7 ปีคงไม่ทันการณ์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในปี 2558 ที่จะมีการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) หากไทยยังไม่เร่งพัฒนาระบบขนส่งทางรางอาจจะเสียโอกาสและเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้านได้ หลังจากนี้จึงจะเร่งเปิดให้มีการประมูลและเซ็นสัญญาได้ภายในสิ้นเดือนธันวาคมนี้เพื่อลงมือก่อสร้างรางคู่ให้เร็วที่สุด ส่วนเรื่องเงินคงไม่มีปัญหา กระทรวงการคลังและรัฐบาลพร้อมจัดหามาให้อยู่แล้ว
    “แต่ละโครงการจะใช้เวลาในการดำเนินการนาน เช่น การจัดซื้อหัวรถจักร โบกี้และแคร่รถสินค้า การปรับปรุงรางและระบบต่างๆ จึงกลายเป็นข้อเสียเปรียบของ ร.ฟ.ท. ซึ่งเห็นว่าหากไม่ได้เริ่มต้นก็จะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงแน่นอน สิ่งที่ต้องทำคู่ขนานไปกับการปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่นการปรับปรุงบ้านพักพนักงานตามสถานีต่างๆ รวมถึงสถานีรถไฟทั่วประเทศมีสภาพทรุดโทรม ต้องปรับปรุงเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตพนักงานให้ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้พนักงานมีขัวญกำลังใจในการทำงานมากขึ้น” นายประภัสร์กล่าว       
0 ในส่วนของงบลงทุนขณะนี้มีได้รับหรือยัง
    “เราดูในส่วนของงบประมาณจะไปดูว่าอยู่ตรงไหน เงินทำไมไม่ออก ทั้งที่รัฐบาลอนุมัติแผนลงทุนกว่า 1.76 แสนล้านบาท แต่ละโครงการอยู่ในสถานะอะไร สัญญาก่อสร้างต่างๆ  ถึงไหนแล้ว รวมถึงรถไฟทางคู่คืบหน้ามากน้อยยังไง สิ่งเหล่านี้จะต้องเข้าไปเร่งและสะสางแต่ที่ชัดๆ ที่จะทำคือ การให้บริการให้ตรงเวลา ไม่ตกราง ลดอุบัติเหตุ ถ้าทำตรงนี้ได้ทุกอย่างจะตามมาเอง ไม่ว่าจะเป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้น เช่น ปรับปรุงรางรถไฟให้แข็งแรง มีหัวรถจักรและแคร่เพียงพอต่อการบริการ จะมีธุรกิจมาเป็นลูกค้าใช้บริการขนส่งทางรถไฟอีกมาก ปัจจุบันมีน้อยเพราะรางมีปัญหาตกรางบ่อย หัวรถจักรก็มีน้อย
    ส่วนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานตาม พ.ร.บ.เงินกู้ เพื่อการวางแผนอนาคตของประเทศวงเงิน 2 ล้านล้านบาท ระยะ 7 ปีด้วย โดยในแผนงานดังกล่าวจะมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับขนส่งระบบรางประมาณ 65% โดยเฉพาะรถไฟความเร็วสูง 4 เส้นทาง จากกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ใช้เงินลงทุนประมาณ 3-4 แสนล้านบาท เส้นกรุงเทพฯ-หนองคาย ใช้เงินลงทุนประมาณ 2 แสนล้านบาท ยังมีเส้นกรุงเทพฯ-ระยอง และกรุงเทพฯ-หัวหินอีก รวม 4 เส้นทางน่าจะใช้เงินเกินครึ่ง หรือ 1 ล้านล้านบาทแล้ว ยังไม่รวมเส้นทางรถไฟรางคู่จากชุมพรไปถึงปาดังเบซาร์ของมาเลเซีย และจากเชียงใหม่ไปเชียงราย หรือเส้นทางอื่นๆ  เพื่อขยายการให้บริการให้ครอบคลุมทุกจังหวัด
0 ปัญหาและอุปสรรคในการทำงานของการรถไฟมีอะไรบ้าง
    การทำงานของรถไฟฯ มีปัญหาและอุปสรรคในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบประมาณพร้อม แต่งานไม่เดิน ก็ไม่อยากให้โทษที่คนหรือพนักงานของรถไฟ  เพราะการทำงานขึ้นอยู่กับหลายส่วน โดยเฉพาะนโยบาย หากไม่มีความชัดเจนก็ทำให้งานไม่เดิน ก่อนหน้านี้ผมเองก็ไม่แน่ใจนโยบาย แต่มาตอนนี้มั่นใจว่ารัฐบาลผลักดันการพัฒนาและลงทุนระบบขนส่งทางราง 100% หลังจากนี้จึงน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของรถไฟและพลิกโฉมไปในทางที่ดีขึ้นเทียบกับก่อนหน้านี้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ  ไม่เคยพูดถึงการพัฒนาระบบขนส่งทางราง แต่เน้นการลงทุนสร้างถนนรองรับการลงทุนผลิตรถยนต์จากบริษัทญี่ปุ่นที่แห่เข้ามาลงทุนในไทยจำนวนมากแทน"
0 ในส่วนการก่อสร้างรถไฟฟ้ามีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง    สำหรับความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ ร.ฟ.ท.ปรับกรอบวงเงินลงทุนด้านงานโยธาของโครงการฯ ของสัญญาที่ 2 เพิ่มเติมจากจำนวน 19,314 ล้านบาท เป็น 21,235.44 ล้านบาท หรือคิดเป็น 9% เนื่องจากวงเงินเดิมคำนวณราคาวัสดุตั้งแต่ปี 2552 นอกจากนี้ยังเห็นชอบให้ ร.ฟ.ท.เร่งดำเนินการโครงการดังกล่าวเพื่อนำไปสู่การก่อสร้างงานโยธาในสัญญาที่ 1 และ 2 ตามลำดับ ส่วนการจัดหาวงเงินก่อสร้างนั้น ให้ ร.ฟ.ท.กู้เงินภายในประเทศ คาดว่าจะมีการเซ็นสัญญาในเร็วๆ นี้
0 ด้านที่ดินของรถไฟจะมีการดำเนินการอย่างไร โดยเฉพาะการหารายในเชิงพาณิชย์
    ส่วนการพัฒนาพื้นที่เพื่อหารายได้เชิงพาณิชย์ของ ร.ฟ.ท. ขณะนี้มีพื้นที่บริเวณมักกะสันกว่า 400 ไร่ โดยคาดว่าจะเปิดบริษัทเอกชนที่สนใจเข้าร่วมประมูลโครงการในรูปแบบของการนำเสนอแนวคิดว่าจะพัฒนาโครงการในรูปแบบไหน อย่างไร ซึ่งคล้ายกับที่สำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ ดำเนินการกับโครงการที่ดินบริเวณตลาดสามย่าน โดยจะเลือกบริษัทที่นำเสนอแนวคิดหรือรูปแบบที่ดีที่สุด คาดว่าจะสามารถเปิดประมูลได้ภายใน 1-2 เดือนนับจากนี้ ทั้งนี้การดำเนินการนั้นคาดว่าจะมีการพัฒนาพื้นที่ประมาณ 200 ไร่ ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องของระบบต่างๆ รวมทั้งพื้นที่สีเขียว แต่ในขณะเดียวกันก็จะเร่งดูในส่วนของพื้นที่อื่นๆ ที่เป็นของ ร.ฟ.ท.ด้วยเช่นกัน
    “ก่อนหน้านี้ได้มีการศึกษาว่าจะพัฒนาเป็นคอมเพล็กซ์ มูลค่าประมาณ 100,000 ล้านบาท แบ่งพื้นที่การพัฒนาออกเป็น 4 โซน คือ 1.โครงการพื้นที่เชิงพาณิชย์ 2.โครงการศูนย์จัดแสดงสินค้า 3.โครงการเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และ 4.โครงการอาคารสำนักงานให้เช่า โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์  ส่วนรูปแบบการลงทุนในโครงการจะมีอยู่ 3 แนวทาง คือ 1.การเปิดพื้นที่ให้เอกชนรับสัมปทานเช่าเป็นระยะเวลา 34 ปี ซึ่งแนวทางนี้ อดีตผู้บริหาร ร.ฟ.ท.เห็นว่ามีข้อดี คือ ร.ฟ.ท.จะมีรายได้จากโครงการแน่นอน 2.เป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน โดย ร.ฟ.ท.เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งแนวทางนี้แม้จะให้ผลตอบแทนมากกว่าแนวทางแรก แต่ ร.ฟ.ท.ต้องมีความเสี่ยงร่วมกับผู้ลงทุน และแนวทางสุดท้าย คือ 3.การจัดตั้งบริษัทลูกของ ร.ฟ.ท.ขึ้นมาดำเนินการ”
    ถือได้ว่าการเข้ามาบริหารองค์กรของการรถไฟฯ ที่ขณะนี้ต้องแบกรับภาระหนี้สินกว่า 7 หมื่นล้าน และยังมีโครงการที่ต้องเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เดินหน้าได้เร็วขึ้น ก็ดูเหมือนว่า “ประภัสร์” ดูจะมุ่งมั่น จะเห็นได้เริ่มตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งก็เดินสายตรวจความพร้อมของการให้บริการตามภูมิภาคต่างๆ ล่าสุด นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ดูเหมือนจะไว้วางใจให้ทำงานอย่างเต็มที่ พร้อมกับพูดว่า “ผมไว้ใจพี่” แค่นี้ก็พอจะรู้แล้วว่าท่านผู้ว่าฯ เข้าตากรรมการแค่ไหน....
++++++++++++++++++
 
http://www.thaipost.net/news/140113/68017


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 15 มกราคม 2013, 20:39:15
เริ่มแล้วถนน 4 เลน เชียงราย-สะพานข้ามโขง 4 งบ 2 พันล้านรับอนาคต 2 ทศวรรษ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   15 มกราคม 2556 13:43 น.   


เชียงราย - กรมทางหลวงปฐมนิเทศแผนสร้างถนน 4 เลนเชื่อมเชียงราย-สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เล็งเทงบ 2 พันกว่าล้านรองรับการจราจรเชื่อมเพื่อนบ้านอีก 20 ปีข้างหน้า
       
       วันนี้ (15 ม.ค.) กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ได้จัดการประชุมปฐมนิเทศโครงการ(สัมมนาครั้งที่ 1) โครงการสำรวจและออกแบบทางหลวง 4 ช่องจราจร เชื่อมเชียงราย-สะพานข้ามแม่น้ำโขง 4 ที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ช่วง อ.เมือง ถึง อ.ขุนตาล โดยมีนายเอกวิชญ์ วีรพันธ์ ผู้จัดการโครงการ รายงานรายละเอียดให้ตัวแทนภาครัฐ เอกชน และประชาชนรับฟัง ณ ห้องประชุมสำนักงานแขวงการทางจังหวัดเชียงราย
       
       นายเอกวิชญ์กล่าวว่า จากการศึกษาความเหมาะสมด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรม และผลกระทบสิ่งแวดล้อมในการก่อสร้างถนนจาก อ.เมืองไปยังสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ ซึ่งแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2553 ระยะทาง 62.426 กิโลเมตร จะเป็นถนน 4 ช่องจราจร กว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางกว้าง 1-2.50 เมตร ใช้งบประมาณ 2,197.22 ล้านบาท ค่าเวนคืน 179.17 ล้านบาท การก่อสร้างจะเริ่มตั้งแต่ถนนหมายเลข 1020 บ้านหัวดอย ต.ท่าสาย อ.เมือง สิ้นสุดที่ถนนหมายเลข 1020 บ้านใหม่พัฒนา ต.ยางฮอม อ.ขุนตาล ร่นระยะทางให้เหลือเพียง 48.314 กิโลเมตร หรือลดระยะทางได้กว่า 12 กิโลเมตร
       
       “ถนนสายนี้จะใช้แนวเส้นทางเดิมที่มีอยู่แล้วเป็นหลัก ดังนั้นจึงสร้างทับซ้อนกับทางหลวงทั้ง 2 หมายเลขดังกล่าว แต่มีบางช่วงที่ตัดออกจากถนนเดิม ข้ามพื้นที่หนองหลวง อ.เวียงชัย ซึ่งเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ก่อนจะกลับมาทับซ้อนกันและแยกเป็นแนวเส้นทางตัดใหม่ที่ อ.พญาเม็งราย จนสิ้นสุดโครงการที่ทางหลวงหมายเลข 1020 บ้านใหม่พัฒนา อ.ขุนตาล”
       
       นายเอกวิชญ์กล่าวว่า เมื่อถนนสายนี้แล้วเสร็จจะทำให้การคมนาคมและการขนส่งจาก อ.เมืองสามารถไปยังสะพานข้ามแม่น้ำโขงได้โดยตรง ทั้งนี้มีการประเมินว่าหากก่อสร้างได้ตามกำหนดอีก 2 ปีข้างหน้า หรือปี 2558 จะมีการคมนาคมบนถนนสายนี้ด้วยรถยนต์ 6,110 คันต่อวัน และปี 2567 หรืออีก 10 ปีถัดไปจะมีมากถึง 9,018 คันต่อวัน และปี 2577 หรืออีก 20 ปีข้างหน้าจะมีมากถึง 13,162 คันต่อวัน ทั้งนี้จะระดมความเห็นจากการนำเสนอข้อมูล และนำเข้าไปสู่การจัดการประชุมครั้งต่อไปเพื่อให้คณะกรรมการได้พิจารณา เมื่อได้ข้อสรุปจะนำเสนอรัฐบาลต่อไป

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000005562


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 15 มกราคม 2013, 20:50:50
ครม.มีมติห็นชอบคมนาคมเซ็น MOU ความตกลงขนส่งสินค้าผ่านไทย-ลาว-จีน
updated: 15 ม.ค. 2556 เวลา 15:10:01 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้เห็นชอบให้กระทรวงคมนาคมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมไทย ลาว และจีน กรณีการอนุญาตให้มีการขนส่งสินค้าผ่านแดนระหว่างกันในเส้นทางไทย ลาว และจีน ซึ่งถือเป็นการเชื่อมโยงเส้นทางโลจิสติกส์จากไทยไปจีน และจีนมาไทยได้สะดวกยิ่งขึ้น และจะช่วยสามารถขยายปริมาณการค้าชายแดนให้เพิ่มมากขึ้น
 
โดยเส้นทางดังกล่าวนี้จะเชื่อมระหว่างกรุงเทพ-เชียงราย-เชียงของ-ห้วยทราย-บ่อเป็น-เชียงรุ้ง-คุนหมิง รวมระยะทาง 1,800 กม. ซึ่งในปีแรกจะมีการยกเว้นภาษีให้รถที่เข้า-ออก โดยให้โควต้าประเทศละ 100 คันในการขนส่งสินค้าระหว่างกันตามชายแดน ซึ่งจะทำให้รถบรรทุกจากจีนวิ่งมากถึง กทม. และ กทม.ไปถึงจีนได้ โดยเส้นทางนี้ เราจะมีการแลกเปลี่ยนโควตารถกันในปีแรก 100 คัน เชื่อว่าจะช่วยขยายมูลค่าการค้าชายแดนให้มีความคึกคักมากขึ้น" รมว.คมนาคมกล่าว
 

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1358237409&grpid=03&catid=00&subcatid=0000


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 16 มกราคม 2013, 23:29:29
LHลุยเปิดใหม่24โครงการ4.3หมื่นล.


เศรษฐกิจ 16 January 2556

 แลนด์แอนด์เฮ้าส์ กางแผนปีมะเส็ง 56 เปิดใหม่ 24 โครงการ มูลค่ากว่า 4.3 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 30,000 ล้านบาท
    นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2556 แนวโน้มเติบโต 10-15% ตามผลิตภัณฑ์รวมภายในประเทศ (GDP) และจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาลง ธนาคารพาณิชย์น่าจะเร่งปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น แต่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายรถคันแรกจากปีก่อนบ้างเล็กน้อยในบางเซ็กเมนต์ ส่วนราคาขายขยับขึ้นไม่เกิน 10% จากการปรับขึ้นของต้นทุนก่อสร้างประมาณ 5-7%
    โดยในปี 2555 บริษัทมียอดขายประมาณ 25,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.8% จากปี 2554 จากการเปิดตัวทั้งสิ้น 15 โครงการ มูลค่ารวม 25,680 ล้านบาท ใช้งบลงทุน 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ซื้อที่ดิน 3,600 ล้านบาท ลงทุนในอสังหาฯ สำหรับเช่า 1,400 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีแบ็กล็อกมากกว่า 19,000 ล้านบาท ส่วนการรับรู้รายได้จากคอนโดมิเนียมที่เปิดการขายเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา จะรับรู้ในปีนี้ประมาณ 3,000 ล้านบาท ในปี 2557 ประมาณ 5,000 ล้านบาท และปี 2558 ประมาณ 6,000-9,000 ล้านบาท

    สำหรับแผนดำเนินงานปี 2556 เตรียมเปิดใหม่ 24 โครงการ มูลค่ารวม 43,295 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 15 โครงการ ต่างจังหวัด 9 โครงการ (เชียงใหม่, เชียงราย, อุดรธานี, นครราชสีมา, ขอนแก่น, หัวหิน, ภูเก็ต) แยกเป็นบ้านเดี่ยว 10 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 4 โครงการ คอนโดมิเนียม 10 โครงการ ตั้งเป้ายอดขายทั้งปี 30,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.5% จากปีก่อน

    นอกจากนี้เตรียมงบลงทุนไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท สำหรับซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการใหม่ประมาณ 7,000 ล้านบาท ลงทุนในอสังหาฯ สำหรับปล่อยเช่า 3,000 ล้านบาท โดยจะเน้นโครงการมิกซ์ยูสในกรุงเทพฯ ราว 2,000 ล้านบาท และลงทุนซื้ออสังหาฯ ในสหรัฐ สำหรับปล่อยเช่าเพิ่มอีก 1,000 ล้านบาท.

http://www.thaipost.net/news/160113/68138 (http://www.thaipost.net/news/160113/68138)


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 มกราคม 2013, 19:44:55
กรมทางหลวงรับฟังความคิดเห็นประชาชนที่จังหวัดเชียงราย



    วันที่ข่าว : 19 มกราคม 2556
กรมทางหลวง รับฟังความเห็นประชาชน โครงการก่อสร้างทางเชียงราย - อ.ขุนตาล รองรับสะพานข้ามน้ำโขงที่เชียงของ เตรียมพร้อมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ปฐมนิเทศโครงการสำรวจและออกแบบทางหลวง 4 ช่องจราจรทางหลวงเชื่อมโยงเชียงราย สะพานข้ามน้ำโขงที่เชียงของ ตอน เชียงราย-อ.ขุนตาล ที่ผ่านมาการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งยังไม่มีความสมบูรณ์ และขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ขาดการวางแผนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะทางหลวงเชื่อมโยงเชียงราย-สะพานข้ามน้ำโขงที่เชียงของ ช่วงเชียงราย - อ.ขุนตาล ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาในด้านการค้า การคมนาคมขนส่ง และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
กรมทางหลวงได้ทำการศึกษาสำรวจและออกแบบทางหลวง 4 ช่องจราจรขึ้น เพื่อพัฒนาโครงข่ายทางหลวงให้สามารถรองรับการจราจรในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศที่คาดว่าจะมีแนวโน้มการขยายตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมศักยภาพการกระจายความเจริญทางด้านเศรษฐกิจ และการค้าระหว่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้าน

http://thainews.prd.go.th/centerweb/news/NewsDetail?NT01_NewsID=TNSOC5601190010037
ผู้สื่อข่าว : รุจิภรณ์ เตจ๊ะ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 มกราคม 2013, 09:33:02
วันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 ปีที่ 22 ฉบับที่ 8088 ข่าวสดรายวัน


เปิดลายแทงงบลงทุน2ล้านล. มอเตอร์เวย์-ไฮสปีดเทรนพรึ่บ!

คอลัมน์ รายงานพิเศษ



หากไม่มีอะไร ผิดพลาดในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร ที่จ.อุตรดิตถ์ ในวันจันทร์ที่ 21 ม.ค.นี้ รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะพิจารณายุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของประเทศตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ส่วนรายละเอียดโครงการจะนำ เสนอครม.อีกครั้งในเดือนก.พ.

ยุทธศาสตร์ดังกล่าว จะไปเชื่อมโยงกับร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน พ.ศ. ... วงเงิน 2 ล้านล้านบาท ที่จะเสนอครม.ในวันที่ 5 ก.พ.2556 ซึ่งการกู้เงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะทำให้เศรษฐกิจขยายเพิ่มขึ้นปีละ 1% โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะจะยังอยู่ไม่เกิน 50% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) จากปัจจุบันอยู่ที่ 43% ของจีดีพี

การเสนอร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท จะมีการกำหนดบัญชีโครงการที่จะลงทุนไว้ชัดเจน 2 บัญชี ในบัญชีแรกเป็นโครงการที่มีความพร้อมลงทุน แต่หากมีปัญหาไม่สามารถดำเนินการได้ สามารถนำโครงการจากบัญชี 2 มาลงทุนได้ ซึ่งทั้ง 2 บัญชี เป็นโครงการขนส่งระบบราง ทางน้ำ และถนน รวมถึงการสร้างด่านศุลกากรเชื่อมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558

ส่วนรายละเอียดยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของประเทศ หรือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว 7 ปี (ปี 2556-2563) กระทรวงคมนาคม ได้กำหนดภารกิจเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการประกอบด้วย 3 ด้านสำคัญ คือ

ด้านที่ 1.การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งทางบกเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศและเพื่อนบ้าน แบ่งออกเป็น 3 โครงข่าย คือ

- โครงข่ายถนน เร่งพัฒนาระบบขนส่งทางถนน อาทิ เร่งสร้างโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) อีก 5 สายทาง คือ บางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา, บางปะอิน-นครสวรรค์, บางใหญ่-นครปฐม-กาญจนบุรี, นครปฐม-สมุทรสงคราม-ชะอำ และ ชลบุรี-พัทยา-มาบตาพุด และการก่อสร้างทางหลวงสายหลักเชื่อมโยงเมืองหลักในภูมิภาค เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางและขนส่งสินค้า

- โครงข่ายรถไฟ เร่งเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางรางตามแผนการลงทุนในระยะเร่งด่วน พ.ศ.2553-2558 จะใช้เม็ดเงินลงทุน 176,808 ล้านบาท พัฒนาให้ระบบรถไฟเป็นระบบหลักในการขนส่งสินค้า ระหว่างพื้นที่ผลิตหลักภายในประเทศกับท่าเรือแหลมฉบัง และพัฒนาศูนย์เปลี่ยนถ่าย รูปแบบการขนส่ง เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งรูปแบบต่างๆ เข้าด้วยกัน

รวมทั้งยังมีโครงการเร่งจัดทำระบบรถไฟรางคู่และรถไฟสายใหม่ เช่น ช่วงบ้านไผ่-มหาสารคาม-มุกดาหาร, ช่วงอรัญประเทศ-ปอยเปต และเชื่อมท่าเรือฝั่งอ่าวไทย-อันดามัน ระยะที่ 1 นอกจากนี้ ยังเตรียมการพัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านในอนุภูมิภาค

- โครงข่ายขนส่งมวลชน จะเน้นเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จะเร่งปรับปรุงให้ครอบคลุมพื้นที่บริการเพิ่มขึ้น และสอดคล้องกับการขยายตัวของเมืองและการใช้ประโยชน์ที่ดิน

ด้านที่ 2.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางอากาศ เร่งขยายขีดความสามารถและคุณภาพการให้บริการของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้ ทันสมัย สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นจากปีละ 45 ล้านคนเป็น 60 ล้านคน ตามโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2

ด้านที่ 3.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางน้ำภายในประเทศและเป็นประตูการขนส่งของอนุภูมิภาค โดยเร่งพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นประตูการขนส่งสู่ท่าเรือหลักต่างๆ ของโลกและเป็นส่วนหนึ่งของท่าเรือหลักในภูมิภาคอาเซียน โดยเร่งรัดการจัดสร้างระยะที่ 3 รวมถึงพัฒนาระบบขนส่งชายฝั่งเชื่อมโยงกับท่าเรือแหลมฉบัง และการสร้างท่าเรือใหม่ในฝั่งอันดามัน เพื่อรองรับการค้ากับอินเดีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป เช่น ท่าเทียบเรือชายฝั่ง ท่าเรือชุมพร ท่าเรือน้ำลึกสงขลา และการศึกษาก่อสร้างท่าเรือปากบารา

ส่วนการพัฒนาเชื่อมต่อโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งของไทยกับเพื่อนบ้าน หรือเพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 นั้น กระทรวงคมนาคมเตรียมพัฒนาโครงข่ายคมนาคมไว้ 4 แนวทาง คือ

1.เร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการขนส่ง ณ ประตูการค้า เช่น เร่งพัฒนาประสิทธิภาพประตูการค้าหลักด้วยการเร่งก่อสร้างสุวรรณภูมิระยะที่ 2 เร่งท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 และสถานีบรรจุ และแยกสินค้ากลาง (ไอซีดี) แห่งที่ 2 การพัฒนาประตูการค้าชายแดน และพัฒนาศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบขนส่ง

2.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงการขนส่ง เช่น การขยายทางหลวงสายหลักบนโครงข่ายถนนอาเซียนช่วงที่เป็นคอขวดให้เป็น 4 ช่องจราจร เช่น เส้นทางเชียงของ-เชียงราย, หาดใหญ่-สุไหงโก-ลก, นครพนม-อุดรธานี, มุกดาหาร-ยโสธร-บุรีรัมย์-สระแก้ว เป็นต้น

การสร้างทางเชื่อมโยงเพื่อบ้านแบบทวิภาคี โดยมีโครงการสร้างทางร่วมกับลาว 11 โครงการ เช่น ถนนสาย 13 เหนือสังคโลกในหลวงพระบาง, พม่า 8 โครงการ เช่น ถนนสายบ่อน้ำพุร้อน-ชายแดนไทย-พม่า, กัมพูชา 3 โครงการ เช่น ถนนสาย 67 ช่องสะงำ-เสียมราฐ และมาเลเซีย 5 โครงการ เช่น โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลกแห่งที่ 2 การพัฒนาระบบขนส่งผู้โดยสารสาธารณะเชื่อมโยงโครงข่ายเมืองหลักในส่วนภูมิภาคของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน

3.พัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์ เช่น พัฒนาจุดรวบรวมและกระจายสินค้าบนแนวเส้นทางหลวงอาเซียนในประเทศไทย และการพัฒนาจุดพักรถ และ 4.การพัฒนาด้านกฎหมาย ข้อตกลงด้านการขนส่งระหว่างประเทศ

ล่าสุดกระทรวงคมนาคมกำหนดกรอบแผนการลงทุนเบื้องต้น แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ประกอบด้วย

1.ทางราง มีสัดส่วนงบประมาณ 78% ราว 1.6 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่ยังยืนยันโครงการเดิมที่ได้ประกาศไว้กับรัฐสภา 4 เส้นทาง คือ ไฮสปีดเทรน รวมทั้งรถไฟฟ้า 10 เส้นทาง ส่วนรถไฟรางคู่ ได้เพิ่มเส้นทางใหม่ เช่น เส้นทาง เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ, บ้านภาชี-นครหลวง, บ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม

2.ทางถนน สัดส่วนงบประมาณ 15% ราว 3.2 แสนล้านบาท จะปรับยุทธศาสตร์ให้เน้นขยายถนน 4 ช่องทางในสายทางหลัก ที่เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดและภูมิภาคต่างๆ ไม่เน้นทางย่อย

3.ทางน้ำ สัดส่วนงบประมาณ 2% ราว 3 หมื่นล้านบาท และสร้างท่าเรือเพิ่ม 3 แห่ง คือ ท่าเรือสงขลา ท่าเรือชุมพร และท่าเรือปากบารา

4.ส่วนอื่นๆ เช่น สร้างศูนย์กระจายสินค้าเพิ่ม 15 แห่งทั่วประเทศ, ด่านศุลกากร และการตั้งงบเผื่อเหลือเผื่อขาดของโครงการ 5%

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม กล่าวว่า เบื้องต้นโครงการที่จะดำเนินการแน่นอนและลงตัวแล้ว ประกอบด้วย โครงการด้านระบบราง ทั้งระบบไฮสปีดเทรน ทั้ง 4 สาย และโครงการรถไฟฟ้าทั้ง 10 สาย

สำหรับไฮสปีดเทรน 4 สาย ได้แก่ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-โคราช กรุงเทพฯ-ระยอง กรุงเทพฯ-หัวหิน ความเร็วของรถเบื้องต้นกำหนดไว้ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามมาตรฐานของไฮสปีดเทรน แต่เส้นทางใกล้อาจไม่จำเป็นต้องใช้ความเร็วมากนัก

โดยจะประกวดราคาพร้อมกันหมด ใช้งบประมาณดำเนินโครงการรวม 6 แสนล้านบาท จากเดิมกำหนดใช้งบประมาณก่อสร้างระยะแรก 4 แสนล้านบาท จากที่ตั้งงบก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงทั้งหมด 9 แสนล้านบาท

และเพื่อให้การดำเนินโครงการมีต้นทุนถูกลงจะจัดซื้อขบวนรถก่อนใน 3 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-โคราช และกรุงเทพฯ-หัวหิน ส่วนกรุงเทพฯ-พัทยา จะจัดซื้อพร้อมการก่อสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ ที่จะดำเนินการในปีนี้เช่นกัน งบประมาณในการจัดซื้อตัวรถจะอยู่ที่ 20% ของงบดำเนินโครงการทั้งหมด หรือประมาณ 1.8 แสนล้านบาท

คาดว่าในเดือนมี.ค.นี้จะเห็นภาพรวมการประกวดราคาและระบบทั้งหมด และประมาณไตรมาส 2 ปีนี้ น่าจะรู้ว่ามีผู้สนใจเข้าร่วมประกวดราคาจัดหาขบวนรถไฮสปีดเทรนกี่ราย

แต่ที่ยังเป็นปัญหาคือเรื่องระบบถนน ที่ต้องศึกษาให้ชัดเจนว่าควรจะดำเนินการในเส้นทางใดบ้าง และในแต่ละเส้นทางควรลงทุนแบบใด เช่น กรณีของเส้นทางมอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-นครราชสีมา และกรุงเทพฯ-กาญจนบุรี ควรจะลงทุนในรูปแบบของการร่วมทุนกับภาคเอกชน (พีพีพี) จะเหมาะสมหรือไม่

ส่วนโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า 10 สาย ล่าสุด นายกฯ เร่งให้เปิดประมูลรถไฟฟ้า 7 โครงการ ให้ได้ภายในปี 2556 คือ 1.สายสีชมพู ช่วงแคราย-ปากเกร็ด-มีนบุรี ช่วงเดือนมี.ค.2556 2.สายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒธรรมฯ-บางกะปิ-มีนบุรี ช่วงปลายปี 2556 3.สายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ-บางปู

4.สายสีแดง ส่วนต่อขยาย บางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน และช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง 5.สายสีแดง ส่วนต่อขยาย ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช 6.สายสีแดง ส่วนต่อขยายช่วงรังสิต-ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต และ 7.แอร์พอร์ตลิงก์ ส่วนต่อขยายดอนเมือง-บางซื่อ ระยะทางรวม 118.4 ก.ม. รวมงบประมาณการก่อสร้าง 187,843 ล้านบาท

ซึ่งขณะนี้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงการคลัง เร่งหารือในรายละเอียดให้ตกผลึก ก่อนนำเสนอครม.อีกครั้งในเดือนก.พ.นี้

แน่นอนว่าอภิมหาโปรเจ็กต์ที่ใช้เงินทุนมหาศาลนี้ ต้องถูกจับตาว่าจะโปร่งใส และคุ้มค่ากับคนในชาติแค่ไหน

หน้า 8


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 มกราคม 2013, 07:49:32
คาดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว #4 สร้างเสร็จ-เปิดใช้กลางปีนี้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   20 มกราคม 2556 13:00 น.   

   


       คนงานเร่งก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 ซึ่งข้ามแม่น้ำโขงด้าน อ.เชียงของ จ.เชียงราย กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างเสร็จประมาณกลางปีนี้
          สะพานมิตรภาพฯ แห่งที่ 4 ใช้งบประมาณก่อสร้างกว่า 1,800 ล้านบาท หากเปิดใช้งานจะเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าทางถนนที่เชื่อมระหว่างไทย-จีน ใกล้ที่สุด โดยมีระยะทางจากมณฑลยูนนาน ซึ่งอยู่ทางใต้ของจีน ถึงกรุงเทพฯ ประมาณ 1,800 กิโลเมตร และจะทำให้การค้าข้ามพรมแดนระหว่างไทย-จีนเพิ่มขึ้นอีกมาก


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 27 มกราคม 2013, 07:48:31
ธุรกิจการบินเฟื่องรับเออีซี แม่ฟ้าหลวงเปิดสอนเพิ่มปีนี้อีก 400 คน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   24 มกราคม 2556

เชียงราย - มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เดินหน้าเปิดหลักสูตรการบินเพิ่มอีก3 สาขา รับนักศึกษาอีก 400 คนในปีนี้รองรับไทยเข้าสู่เออีซี
       
       วันนี้ (24 ม.ค.) มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้จัดงาน “5 ปี มฟล. (AVIATION)” ที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง ต.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย เพื่อประชาสัมพันธ์โปรแกรมการเรียนการสอนสาขาวิชาการจัดการธุรกิจการบินที่เปิดมาตั้งแต่ปีการศึกษา 2551 และล่าสุดมหาวิทยาลัยได้ปรับปรุงหลักสูตรเพิ่มขึ้นอีก 3 สาขา คือ สาขาวิชางานบริการทางการบิน สาขาวิชาธุรกิจโลจิสติกส์ทางการบิน และสาขาวิชาการปฏิบัติการทางการบิน
       
       รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า การขยายตัวของการศึกษาด้านการบินเป็นคำตอบได้ดีว่าธุรกิจด้านนี้มีอนาคตที่ดี และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดูได้จากตัวเลขของภาคการท่องเที่ยวและการขนส่งผ่านสายการบินต่างๆ การเปิดสายการบินใหม่ รวมทั้งการสั่งซื้อเครื่องบินโดยสารของแต่ละสายการบินเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันประเทศไทยกำลังเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ซึ่งจะมีการเชื่อมต่อเส้นทางเศรษฐกิจเข้าด้วยกัน ยิ่งทำให้อุตสาหกรรมการบินทวีความสำคัญมากขึ้น
       
       “เราเล็งเห็นถึงความต้องการกำลังคนด้านนี้ จึงได้เปิดสอนครั้งแรกตั้งแต่ปี 2551 มีนักศึกษารุ่นแรกประมาณ 100 คน จากนั้นก็รับเพิ่มคราวละ 150-200 คน และปีนี้มีการเปิดสาขาเพิ่มเติม จึงได้เปิดรับ 400 คน”
       
       รศ.ดร.วันชัยกล่าวอีกว่า การเรียนการสอนตามหลักสูตรครอบคลุมทุกบริการที่เกี่ยวข้องกับกิจการการบิน ซึ่งถือเป็นแห่งแรกของประเทศไทย เช่น บริการผู้โดยสารบนเครื่องบิน บริการภาคพื้นในท่าอากาศยาน อาหาร เครื่องดื่ม ขนส่งสินค้า ความปลอดภัย ซึ่งได้รับความร่วมมือจากสายการบินต่างๆ เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการส่งบุคลากรที่มีประสบการณ์มาให้ความรู้นักศึกษา ทำให้นักศึกษามีจุดแข็งทั้งหลักสูตร การถ่ายทอดจากประสบการณ์จริง และภาษาอังกฤษ
       
       “ทางมหาวิทยาลัยยังเดินหน้าพัฒนาหลักสูตรธุรกิจการบินให้เข้มข้นมากขึ้น ทั้งส่วนวิชาชีพและทักษะด้านภาษา ที่มีการสอนภาษาที่ 3 เป็นภาษาจีน ทั้งจีนขั้นพื้นฐาน และจีนสำหรับธุรกิจการบิน เพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่เออีซีต่อไป”
       
       ทั้งนี้ ภายในงานได้สาธิตการใช้เครื่องฝึกบินจำลอง และปฏิบัติการบินจริงโดยเครื่องบินขนาด 4 ที่นั่งรวมคนขับ “บลูไดมอนด์ 42” จำนวน 2 ลำ จัดเสวนาเรื่องอนาคตและโอกาสของธุรกิจการบิน โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ เช่น บริษัท การบินไทย จำกัด บริษัท บางกอก เอวิเอชั่น เซนเตอร์ จำกัด เป็นต้น สำหรับค่าธรรมเนียมการศึกษาด้านการบิน ประกอบด้วย วิชาเอกการบริการทางการบิน ภาคการศึกษาละ 36,000 บาท วิชาเอกธุรกิจโลจิสติกส์ทางการบิน ภาคการศึกษาละ 36,000 บาท และวิชาเอกการปฏิบัติการทางการบิน ภาคการศึกษาละ 36,000 บาท ขณะที่รายวิชาการปฏิบัติการทางการบิน ชั่วโมงละ 16,000 บาท


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 27 มกราคม 2013, 08:16:14
ชัชชาติจี้กรมการบิน แก้พ.ร.บเดินอากาศ หวังเอาใจต่างชาติ


เศรษฐกิจ 26 January 2556 - 00:00

  “ชัชชาติ'' จี้กรมการบินพลเรือน ปรับแก้ พ.ร.บ.เดินอากาศ พ.ศ.2497 ทั้งฉบับ ให้สอดรับกับสถานการณ์การบิน อ้างต่างชาติร้องขอให้ต่างชาติถือหุ้นเกิน 51% จากเดิมกำหนด 49% ด้านกรมการบินเตรียมทุ่ม 3 พันล้านสร้างและพัฒนาท่าอากาศยานภูมิภาค 6 แห่ง
    นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้กรมการบินพลเรือน เร่งปรับแก้ พ.ร.บ.เดินอากาศ พ.ศ.2497 ให้ทันสมัยสอดรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) และเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดเสรีการบินอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจาก พ.ร.บ.การเดินอากาศของไทยในปัจจุบันล้าหลังอยู่มาก ประกอบกับที่ผ่านมานั้นการแก้กฎหมายที่ผ่านมาเป็นลักษณะการแก้ไขเป็นรายข้อ ดังนั้นเห็นว่าควรการแก้กฎหมายทั้งฉบับ เพื่อให้กฎระเบียบต่างๆ สอดคล้องและทันตามสถานการณ์ โดยเฉพาะกฎระเบียบเกี่ยวกับสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมการบินของไทย ที่ปัจจุบันยังสามารถถือได้ในสัดส่วน 49:51% แต่นักลงทุนเรียกร้องขอให้พิจารณาปรับเป็นให้ต่างชาติสามารถถือหุ้นได้มากกว่า 51%
 
    “เรื่องดังกล่าวคงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และคำนึงถึงการลงทุนเพราะอุตสาหกรรมการบินจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง แต่ไทยยังไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง จำเป็นต้องดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุน โดยเฉพาะการตั้งนิคมอุตสาหกรรมการบิน ที่ จ.นครราชสีมา ที่จะมีทั้งศูนย์ซ่อมอากาศยาน การเปิดศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรด้านอากาศยาน ขณะที่มาตรการส่งเสริมการลงทุนได้ประสานกับบีโอไอในระดับหนึ่งแล้ว" นายชัชชาติกล่าว
    นายวรเดช หาญประเสริฐ อธิบดีกรมการบินพลเรือน  กล่าวว่า กรมเตรียมทุ่มงบประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท ในการสร้างและพัฒนาท่าอากาศยานภูมิภาค 6 แห่ง เพื่อรับการเชื่อมต่อการเดินทางกับประเทศต่างๆ ในอาเซียน ประกอบด้วย การก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง 1,000 ล้านบาทแล้วเสร็จภายในปี 2558, ขยายรันเวย์และสร้างอาคารหลังใหม่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย 1,000 ล้านบาท, ขยายรันเวย์ท่าอากาศยานนครราชสีมา 400 ล้านบาท, ปรับปรุงลานจอดท่าอากาศยานอุบลราชธานี 300 ล้านบาท, ปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร ท่าอากาศยานอุดรธานี 270 ล้านบาท
    “ปีนี้มีผู้ขอเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น 12% ต่อเดือน ซึ่งล่าสุดมียื่นขอจดทะเบียนเพิ่มกว่า 10 ราย ซึ่งอนุมัติไปแล้ว 5 ราย คาดว่าในอนาคตจะมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กรมได้ประกาศใช้มาตรการคุ้มครองผู้โดยสาร แล้ว โดยการเช่าเที่ยวบินเหมาลำจะต้องมีเงินประกันเท่ากับมูลค่าที่ให้บริการ และต้องการเช่าเที่ยวบินแบบไป-กลับเท่านั้น  นอกจากนี้ ต้องมีพันธมิตรทางการบิน ซึ่งหากเกิดปัญหาสามารถหาเที่ยวบินไปรับแทนได้ ซึ่งจะเริ่มใช้มาตรการดังกล่าวในเดือน ก.พ.นี้“ นายวรเดชกล่าว.
+++++++++++++++++

http://www.thaipost.net/news/260113/68617


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 27 มกราคม 2013, 08:20:05
เร่งผุดรถไฟฟ้า7สายหวังขยับจีดีพีโตอีก1%

23 มกราคม 2556 เวลา 10:37 น.


รัฐบาลหวังโครงการ 2 ล้านล้าน ดันจีดีพีโตเพิ่มปีละ 1% คมนาคมเร่งประมูลรถไฟฟ้า-รถไฟ รวม 7 สายปีนี้

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ประเมินว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบขนส่งภายใน 7 ปีครึ่ง ภายใต้ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้มากกว่ากรณีไม่มีการลงทุนปีละ 1% โดยจะขยายตัว 5-6% ขณะที่หากไม่มีการลงทุนจะขยายตัว 4-5%

นอกจากนี้ จะส่งผลให้มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดปีละ 0.5% ของจีดีพี เพราะการลงทุนจะทำให้มีการนำเข้าเครื่องจักรและวัสดุจากต่างประเทศมากขึ้น ทำให้เงินบาทไม่แข็งค่า ส่งผลดีต่อผู้ส่งออกและทำให้เงินเฟ้อเล็กน้อย 0.16% ต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 3%

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ปี 2556 กระทรวงคมนาคมจะเร่งเปิดประมูลรถไฟฟ้า 5 สาย วงเงินรวม 2.79 แสนล้านบาท ประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้า แครายปากเกร็ด-มีนบุรี ตลิ่งชัน-มีนบุรี หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ 2 เส้นทาง คือ พญาไท-บางซื่อ และบางซื่อ-ดอนเมือง นอกจากนี้จะเร่งก่อสร้างรถไฟทางคู่เชื่อมโครงข่ายระหว่างประเทศอีก 2 เส้นทาง คือ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ วงเงิน 7.7 หมื่นล้านบาท และ บ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม วงเงินประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมมีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จะดำเนินการแล้ว แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะต้องช่วยพิจารณา กรอบให้รอบคอบมากยิ่งขึ้น ส่วนสาเหตุที่ยังไม่ได้นำร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 21 ม.ค. เนื่องจากนายกรัฐมนตรีต้องการให้เห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานระดับท้องถิ่นก่อน

ทั้งนี้ แผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่ง พ.ศ. 2556-2563 มีเป้าหมายลดต้นทุนโลจิสติกส์ต่อจีดีพี เหลือ 2% จากปัจจุบัน 15.2% ลดความสูญเสียจากน้ำมันปีละไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท ลดผู้เดินทางระหว่างจังหวัดโดยรถยนต์ส่วนตัวจาก 59% เหลือ 40%

http://www.posttoday.com


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 02 กุมภาพันธ์ 2013, 08:01:09
แกะพิมพ์เขียว "งบฯ 2 ล้านล้าน" "เพื่อไทย" ปูพรมโครงสร้างพื้นฐาน
updated: 31 ม.ค. 2556 เวลา 13:52:12 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เป็นที่จับตามองอย่างใกล้ชิดสำหรับบัญชีโครงการภายใต้เงินลงทุน 2 ล้านล้านบาทของ "กระทรวงคมนาคม" ที่ยังจัดสรรไม่ลงตัว ต้องเลื่อนนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)

นัดที่ผ่านมา และยังไม่รู้ว่า การประชุม ครม.วันที่ 5 กุมภาพันธ์นี้จะมาตามนัดตามที่ "รัฐบาลเพื่อไทย" วาดแผนไว้หรือไม่

ทางเจ้ากระทรวง "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" ยังไม่กล้าฟันธงและไม่อยากจะพูดถึง เพราะยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งมัดตัวเอง

"ผมไม่อยากจะพูดแล้วจะเข้า ครม.เมื่อไร กระทรวงกำลังทำรายละเอียดโครงการอยู่ ยังไม่นิ่ง เป็นงานถนนต้องดูให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและยุทธศาสตร์ของประเทศ" บิ๊กหูกวางพยายามชี้แจง

เบื้องหลังงบฯ 2 ล้านล้านไม่ลงตัว

แหล่งข่าววงในของกระทรวงคมนาคม ระบุว่า สาเหตุที่ยังไม่ลงตัวสำหรับ "เค้ก 2 ล้านล้านบาท" ของกระทรวง เบื้องหลังการถ่ายทำน่าจะมาจากมีบิ๊กเพื่อไทยที่เป็นคนใน "ครอบครัว

ชินวัตร" กำลังแย่งปาดหน้าเค้กกันเองโดยมีคนของตัวเองช่วยสแกนบัญชีโครงการ ทั้งเบอร์หนึ่ง "รมว.ชัชชาติ" นักการเมืองสายตรงจาก "นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" และอีก 2 รมช. ทั้ง "ประเสริฐ จันทรรวงทอง" และ "พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต" ซึ่งว่ากันว่านายใหญ่ดูไบส่งมาดูแลงาน

เท่านั้นยังไม่พอ ดูเหมือนยังมีมือที่ 3 จากคนในครอบครัวชินวัตร พยายามเข้ามาล้วงลูกจัดสรรงบประมาณถนนของกรมทางหลวง (ทล.) ที่มี "พล.อ.พฤณท์" กำกับดูแล และกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ซึ่งรัฐมนตรีจากที่ราบสูง "ประเสริฐ" นั่งคุมอยู่ทำให้จนถึงวินาทีนี้ยังเกลี่ย "วงเงินและพื้นที่" ไม่ลงตัว โดยเฉพาะโครงการบูรณะถนนที่แพ็กพ่วงเข้ามา

ขณะที่ "รมว.ชัชชาติ" เองก็มุ่งมั่นจะดึงเงินมาลง "ระบบราง" ที่นั่งกุมบังเหียนอยู่ให้มากที่สุด ทั้ง "รถไฟฟ้า-ไฮสปีดเทรน-ทางคู่-รถไฟสายใหม่" เบ็ดเสร็จกวาดเม็ดเงินลงทุนกว่า 78% หรือประมาณ 1.56 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ เพื่อให้ไปในทิศทางเดียวกันกับที่ "นายกฯยิ่งลักษณ์" และรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" ซึ่งพยายามออกมาระบุว่า "ระบบราง" น่าจะเกิดประโยชน์และพลิกโฉมประเทศไทยได้

ทุ่มระบบรางกว่า 1.56 ล้านล้าน

แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้งบฯลงทุน 2 ล้านล้านบาทเริ่มนิ่งแล้ว เพียงแต่รอจัดสรรงบฯในส่วนของบูรณะและเพิ่มประสิทธิภาพถนนที่ยังไม่ได้ระบุชัดเจนว่าจะเป็นพื้นที่ไหน และดูว่าโครงการไหนที่จะตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลและประเทศได้อย่างแท้จริง

"เบื้องต้นมี 2 แนวทาง คือ ทุ่ม 2 ล้านล้านบาทนี้ให้ระบบรางทั้งหมดเลย หรือจะลงทุนระบบราง 70-80% ที่เหลือกระจายให้งานถนนและทางน้ำ กระทรวงยังไม่สรุป"

สำหรับโครงการที่จัดอยู่ในบัญชี 1 คืองานที่พร้อมจะลงทุนทันที มุ่งเป้าไปที่ "สาขาการขนส่งทางราง" เป็นโครงการของ 2 หน่วยงานหลักอย่าง "ร.ฟ.ท.-การรถไฟแห่งประเทศไทย และ "รฟม.-การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย"

ร.ฟ.ท.อู้ฟู่ทะลุ 1.1 ล้านล้าน

โดย "ร.ฟ.ท." ได้รับจัดสรรเงินลงทุนมากสุด 58.74% หรือประมาณ 1,174,718 ล้านบาท ประกอบด้วย "แผนงานระยะเร่งด่วน" วงเงินรวม 138,253 ล้านบาท อาทิ โครงการอาณัติสัญญาณไฟสี 11,358 ล้านบาท ทางคู่สายลพบุรี-ปากน้ำโพ 16,215 ล้านบาท ฯลฯ

"แผนลงทุนทางสายใหม่" มี 3 สาย วงเงินรวม 23,927 ล้านบาท มีสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ 77,275 ล้านบาท สายบ้านไผ่-นครพนม 42,106 ล้านบาท และสายบ้านภาชี-อ.นครหลวง 4,546 ล้านบาท

นอกจากนี้ มี "ทางคู่ระยะที่ 2" อีก 3 สาย วงเงินรวม 62,895 ล้านบาท มีสายหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ 9,555 ล้านบาท สายชุมพร-สุราษฎร์ธานี 17,640 ล้านบาท และสายสุราษฎร์ธานี-ปาดังเบซาร์ 35,700 ล้านบาท

ขณะที่โครงการฮอตในปีนี้ "รถไฟความเร็วสูง" เฟสแรก 4 สาย อัพเดตล่าสุดวงเงินลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 753,105 ล้านบาท ต้นทางออกจากรุงเทพฯมุ่งหน้าเชียงใหม่ นครราชสีมา หัวหิน พัทยา-ระยอง

สำหรับ "โครงการต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีแดง" มี 6 สายทาง มีวงเงินรวม 95,538 ล้านบาท อาทิ สายสีแดงเข้ม (รังสิต-ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต) 5,412 ล้านบาท ต่อสายแอร์พอร์ตลิงก์ (ดอนเมือง-พญาไท) 28,574 ล้านบาท สายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน-ศิริราช) 9,312 ล้านบาท ฯลฯ

รฟม.ได้ 3.8 แสนล้านสานต่อรถไฟฟ้าเก่า-ใหม่

ด้าน "รฟม." มีโครงการสานต่อรถไฟฟ้าสายเก่าให้จบโครงการ และเริ่มต้นเปิดประมูลสายใหม่ 8 สายทางด้วยกัน วงเงินรวม 386,222 ล้านบาท อาทิ สายสีเขียวเข้ม (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) 58,590 ล้านบาท สายสีส้ม (ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-บางกะปิ-มีนบุรี) 115,054 ล้านบาท ฯลฯ และเพิ่มสายสีเหลือง (ช่วงลาดพร้าว-สำโรง) เข้ามาในบัญชีเพื่อเร่งสร้างให้เร็วขึ้น 57,306 ล้านบาท

ท"งหลวงผุดโครงข่ายเชื่อมเออ"ซ"กว่า 200 โครงการ

กลับมาดู "สาขาขนส่งทางถนน" ได้รับจัดสรรวงเงินรวม 270,653 ล้านบาท แยกเป็น "กรมทางหลวง" 195,030 ล้านบาท อาทิ งานสะพานข้ามทางรถไฟ 83 แห่ง และงานรื้อย้ายสิ่งปลูกสร้าง 23,280 ล้านบาท ค่าเวนคืนมอเตอร์เวย์ 3 สาย มีสายบางปะอิน-นครราชสีมา บางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี และสายพัทยา-มาบตาพุด

โครงการทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศ เพิ่มจาก 10 โครงการเป็น 13 โครงการ วงเงิน 14,920 ล้านบาท เร่งรัดขยายถนน 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) และเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง 66 โครงการ 91,580 ล้านบาท ก่อสร้างบูรณะทางหลวงสายหลักรองรับเออีซี 166 โครงการ 36,600 ล้านบาท และต่อขยายทางคู่ขนานบรมราชชนนี (พุทธมณฑลสาย 2-เพชรเกษม) 14,800 ล้านบาท โดยตัดงบฯขยายโทลล์เวย์ (ช่วงรังสิต-บางปะอิน) วงเงิน 23,000 ล้านบาทออกไป

ทช.ขอ 5 หมื่นล้านเสริมโครงข่ายการค้า-ท่องเที่ยว

"ทช.-กรมทางหลวงชนบท" ตัดเหลือ 2 รายการ วงเงินรวม 56,831 ล้านบาท ในจำนวนนี้กว่า 52,639 ล้านบาทเป็นงบฯพัฒนาโครงข่ายถนนเชื่อมต่อด้านการค้า การลงทุน และการขนส่ง เช่น สร้างถนนคู่ขนานบางนา-ตราดจากกิ่งแก้ว-วัดศรีวารีน้อย ฯลฯ ส่วนโครงข่ายเชื่อมต่อด้านการท่องเที่ยวจากเดิมกว่า 1 หมื่นล้านบาท เหลือ 4,192 ล้านบาท เป็นการก่อสร้างถนนเลียบชายฝั่งทะเลอ่าวไทยด้านตะวันตก (รอยัลโคสต์)

เจียด 1.4 หมื่นล้านผุดศูนย์ถ่ายสินค้า 15 จังหวัด

โครงการเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดเออีซียังได้จัดสรร 14,093 ล้านบาท ให้กับ "ขบ.-กรมการขนส่งทางบก" เพื่อก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบสินค้าที่เชียงของ 1,490 ล้านบาท สถานีขนส่งสินค้า 15 แห่งที่เมืองชายแดน 7 แห่ง คือ เชียงราย ตาก หนองคาย มุกดาหาร สระแก้ว สงขลา นราธิวาส

และตามหัวมืองหลัก 8 แห่ง ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก นครสวรรค์ ขอนแก่น นครราชสีมา อุบลราชธานี ปราจีนบุรี สุราษฎร์ธานี วงเงินรวม 11,586 ล้านบาท รวมถึงโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จ.เชียงรายอีก 745 ล้านบาท

เร่งเวนคืนตัดด่วนใหม่ 3 สาย

ขณะที่โครงข่ายทางด่วนของ "กทพ.-การทางพิเศษแห่งประเทศไทย" ได้งบฯวงเงิน 3,735 ล้านบาท สำหรับเวนคืนทางด่วนสายใหม่ 3 สาย เพื่อแก้ปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ ประกอบด้วย สายดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกตะวันตก สายศรีรัช-ดาวคะนอง และสายกะทู้-ป่าตอง จ.ภูเก็ต

ด้าน "ขสมก.-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ" จากเดิมจดเงินเพื่อซื้อรถเมล์ NGV ใหม่กว่า 10,000 ล้านบาท แต่สุดท้ายได้แค่ 963 ล้านบาท สำหรับสร้างอู่จอดรถโดยสารเท่านั้น

เจ้าท่าไม่น้อยหน้ากว่า 3 หมื่นล้าน

ส่วน "จท.-กรมเจ้าท่า" หน่วยงานอยู่ในความดูแลสังกัดของ "รมต.ประเสริฐ" นอนนิ่งในบัญชี "สาขาขนส่งทางน้ำ" มาตั้งแต่เริ่มแรก ได้รับจัดสรรรวม 30,277 ล้านบาท มี 5 โครงการ อาทิ เขื่อนป้องกันตลิ่งพังและขุดลอกร่องน้ำในแม่น้ำป่าสัก 11,837 ล้านบาท ท่าเรือน้ำลึกปากบารา จ.สตูล วงเงิน 11,786 ล้านบาท ฯลฯ

ปิดท้ายที่ "สาขาขนส่งทางอากาศ" ส่วนใหญ่หน่วยงานมีรายได้และเงินลงทุนของตัวเอง ทำให้บัญชีนี้มีแค่ 1 โครงการเป็นของ "บพ.-กรมการบินพลเรือน" ก่อสร้างสนามบินที่ อ.แม่สอด 862 ล้านบาท

ส่วน "สุวรรณภูมิ เฟส 2" วงเงินกว่า 6 หมื่นล้านบาท ตัดทิ้งจากบัญชี และให้ "ทอท.-บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)" หาเงินมาลงทุนเอง

ทั้งหมดเป็นรายการเบื้องต้นที่ "คมนาคม" พยายามจัดสรรให้ลงตัว และคาดว่าจะไม่มีการปรับเปลี่ยนอีกแล้ว แต่สุดท้ายจะเปลี่ยนแปลงไปจากนี้อีกมากน้อยแค่ไหนคงต้องดูกันต่อไป

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1359615004&grpid=no&catid=07&subcatid=07


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 กุมภาพันธ์ 2013, 17:05:34
เผือกร้อนบิ๊กการทางฯ "อัยยณัฐ ถินอภัย" แก้รถติด-เร่งเวนคืนที่ดิน-เจรจาขึ้นค่าทางด่วน
Prev1 of 1Next
updated: 08 ก.พ. 2556 เวลา 12:34:19 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์



ขึ้นปีที่ 2 ของ "อัยยณัฐ ถินอภัย" กับตำแหน่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) หลังนั่งเก้าอี้ในฐานะเบอร์หนึ่งมาได้ 1 ปี 2 เดือน

ดูเหมือนตลอดเวลาช่วงปีเศษ ภารกิจส่วนใหญ่ของ "อัยยณัฐ" จะติดพันไปกับนโยบายเฉพาะกิจและเฉพาะหน้า ไม่ว่าการแก้ปัญหาของระบบ Easy Pass ที่ยังไม่สมบูรณ์ 100% เหมือนต้นแบบที่

ต่างประเทศ

แต่ที่ปิดดีลจบไปได้ด้วยดี การเซ็นสัญญาก่อสร้างทางด่วนใหม่กว่า 3 หมื่นล้านบาท สาย "ศรีรัช-วงแหวนตะวันตก" ระยะทาง 17 ก.ม. ที่มี "บีอีซีแอล-บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ" เป็นผู้รับสัมปทานลงทุน 30 ปี

"ประชาชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์ "อัยยณัฐ" ถึงปฏิทินงานที่รออยู่นับจากนี้ตลอดทั้งปี 2556

- งานเร่งด่วนขณะนี้

ต้องเร่งทำเลยแก้รถติดบนทางด่วน เพราะกำลังเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลมีนโยบายให้เร่งแก้ไข ประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ กทพ.จะร่วมกับสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) และกรุงเทพมหานคร (กทม.) จัดเวิร์กช็อปหาทางแก้ปัญหาตรงทางลงทางด่วนจุดหลัก ๆ เช่น บริเวณสุขุมวิท พระรามที่ 4 (1 และ 2) สีลม พระราม 9 ประชาชื่น ประชานุกูล จะต่อสายแลนเชื่อมกล้องซีซีทีวีบนทางด่วนกับถนนข้างล่างของตำรวจจราจรเพื่อส่งสัญญาณไปยังศูนย์กลางการจราจรที่ บก.02

จะทำให้ตำรวจได้เห็นภาพรวมทั้งหมด และแจ้งให้ตำรวจที่ปฏิบัติงานอยู่ถนนด้านล่างช่วยระบายรถให้คล่องตัว ก็ทำให้จราจรบนทางด่วนคล่องตัวได้ หากข้างล่างติดรถที่อยู่ข้างบนก็ลงไม่ได้ จะเริ่มได้กลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ และประเมินผลใน 1 เดือน จากนั้นจะขยายไปยังจุดอื่น ๆ เพราะเดือนเมษายนนี้บนทางด่วนจะมีรถมากถึง 2 ล้านคัน/วัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.7-1.8 ล้านคัน/วัน

- มีวิธีอื่นที่จะมาช่วยแก้รถติด

กำลังขยายช่อง Easy Pass เพิ่มอีก 50% ในทุกด่านทุกระบบทางด่วน ลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท ตอนนี้มีบางด่านที่เสร็จและเปิดใช้แล้ว จะเสร็จทั้งหมดในเดือนเมษายนนี้ เร็วขึ้นจากเดิม 1-2 เดือน

- แผนแก้ปัญหาระยะยาว

สร้างทางด่วนใหม่อีกหลายสายพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ที่กำลังศึกษามีทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ (N1, N2 และ N3) ลงทุนกว่า 1 แสนล้านบาท เชื่อมการเดินทางกรุงเทพฯตะวันตกและตะวันออก จะสร้างช่วง N2 จากแยกเกษตร-นวมินทร์ ประมาณ 9 ก.ม.ก่อน ช่วยแก้จราจรย่านถนนเกษตรตัดใหม่ได้มาก สายอื่น ๆ มี สายศรีรัช-ดาวคะนอง 6 ก.ม. ลงทุนกว่า 1.35 หมื่นล้านบาท และสายดาวคะนอง-วงแหวนตะวันตก อีก 8.8 ก.ม. เงินลงทุนกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท สร้างบนเกาะกลางถนนพระรามที่ 2 ช่วยจราจรไปภาคใต้

- โครงการแก้จราจรหัวเมืองใหญ่

กำลังศึกษาและทบทวนสร้างทางด่วนลักษณะอุโมงค์ทางลอดที่กะทู้-ป่าตอง จ.ภูเก็ต กว่า 6,000 ล้านบาท จะสรุปในปีนี้ เริ่มสร้างในปี 2557 ใช้เวลา 4 ปี โครงการนี้ถูกบรรจุในแผนลงทุน 2 ล้านล้านบาทและเรายังได้รับนโยบายจากกระทรวง เร่งศึกษาสร้างทางด่วนที่เชียงราย เชียงใหม่ และทางด่วนเชื่อมประตูการค้าด่านชายแดนรองรับเออีซี

- ความคืบหน้าศรีรัช-วงแหวนตะวันตก

ได้แจ้งให้บีอีซีแอลเข้าพื้นที่ก่อสร้างแล้วเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2555 ก็มีความคืบหน้าไปด้วยดี น่าจะเสร็จตามแผนใน 4 ปี พร้อมเปิดใช้ประมาณปี 2559

- ปัญหาการเวนคืนที่ดิน

ยังไม่มีปัญหา ยังเป็นไปตามแผน เวนคืนที่ดินเอกชนได้ 80% เหลือขอใช้ที่ดินของร.ฟ.ท.กำลังหารือเรื่องแบบก่อสร้างช่วงหมอชิตใหม่ที่อยู่ในพื้นที่ก่อสร้างสถานีกลางบางซื่อของรถไฟสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) และ กม.11 ซึ่ง ร.ฟ.ท.จะพัฒนาคอมเพล็กซ์ จะเร่งให้จบเร็ว ๆ นี้ ต้องส่งมอบพื้นที่ให้บีอีซีแอลใน 6 เดือน ตอนนี้ผ่านมา 1 เดือนแล้ว

- การพัฒนาที่ดินใต้เขตทางด่วน

มีเหลือไม่กี่แปลงที่พัฒนาเชิงพาณิชย์หารายได้ มีที่ด่านจตุโชติบนเส้นทางด่วนรามอินทรา-วงแหวนตะวันออก ทางบริษัทบางจากขอเช่า 5 ปี พัฒนาเป็นสถานีบริการน้ำมัน ร้านค้าและมินิมาร์ต และมีที่สะพานแขวนติดแม่น้ำเจ้าพระยา จะเปิดประมูลเร็ว ๆ นี้

ล่าสุดได้จัดระเบียบรถตู้บริเวณใต้ทางด่วนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ได้ยุติสัญญาเช่าเดิมเพื่อประมูลหาผู้เช่าใหม่มาปรับปรุงภูมิทัศน์ใหม่และพัฒนาให้เป็นสถานีบริการรถตู้เหมือนสถานี บขส. ภายในจะแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วน เช่น ที่นั่งรอ ร้านขายของ อีก 3 เดือนจะสรุปและเปิดประมูลได้ จะให้ 5 ปี คาดว่าใช้เวลาดำเนินการ 12 เดือน

- แนวโน้มการปรับค่าทางด่วน

ยังตอบไม่ได้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้บอร์ดจะตั้งคณะอนุกรรมการมาเจรจาปรับค่าผ่านทางกับบีอีซีแอล ตามสัญญาให้ปรับได้ทุก ๆ 5 ปี ตามค่าดัชนีผู้บริโภค คณะอนุกรรมการฯมีเวลา 6 เดือนในการเจรจาตั้งแต่มีนาคมถึงสิงหาคมนี้ ต้องสรุปก่อนที่จะออกประกาศอัตราใหม่วันที่ 1 กันยายนนี้

- มีโอกาสจะปรับขึ้นมากน้อยแค่ไหน

ไม่น่าจะแตกต่างจากทุกครั้งที่กลายเป็นข้อพิพาทกันมาตลอด เพราะมีความเห็นไม่ตรงกันเรื่องการปัดเศษทางบีอีซีแอลมองว่าไม่ถึง 5 บาทก็ปัดขึ้นเป็น 5 บาทได้ แต่เรามองว่าต้องปัดลง ซึ่งอัยการสูงสุดเคยตีความไว้ให้เราใช้เป็นแนวทางการเจรจาว่า ต้อง 5 บาทถึงจะปรับขึ้นได้ เราต้องยืนข้างอัยการไม่งั้นไม่มีหลักยึด ตอนนี้ยังพยากรณ์ไม่ได้ รอดูค่าซีพีไอและผลเจรจา ดูแล้วน่าจะขึ้นบ้าง แต่ไม่น่าจะเกิน 5 บาท ตอนนี้อะไรก็แพง ซีพีไออาจจะสูงก็ได้เมื่อถึงเวลานั้น แต่รอฟังนโยบายจากฝ่ายการเมืองด้วย


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2013, 18:16:54
'เออีซี'ตีฟองที่ดิน-อสังหาฯภูธรบูมเว่อร์


วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2013 เวลา 10:50 น.    กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ    ข่าวหน้า1    -
ราคาที่ดินหัวเมืองเศรษฐกิจทั่วประเทศ"ตีฟอง" ขานรับเออีซีและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม "สัมมา"ชี้ภาคอีสานร้อนแรงสุด มุกดาหารปีเดียวขยับไร่ละ 10-12 ล้านบาท  ขณะที่ขอนแก่นปั่นแพงเว่อร์60-80 ล้านบาทต่อไร่

ผลจากโมเดิร์นเทรดย่างกลุ่มเซ็นทรัล แตกตัวสู่ภูมิภาค แต่ราคาแพงสุดกลับเป็นพัทยาไร่ละ 120 ล้านบาท คนพื้นที่เผยที่ดินแปลงงามตกถึงท้องนักลงทุนจมูกไวเกลี้ยงแล้ว
    จากปัจจัยนโยบายขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐาน โครงข่ายคมนาคมเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี  ส่งผลให้ยักษ์ค้าปลีกกางปีกปักหมุดในหัวเมืองเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลต่อเนื่องสนับสนุนสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในภูมิภาคด้วย "ฐานเศรษฐกิจ"ได้สำรวจการตื่นตัวราคาที่ดินที่รับทัพธุรกิจจากส่วนกลางที่เคลื่อนออกสู่ภูมิภาค
++เออีซีปั่นที่ดินอีสานพุ่งเท่าตัว
    นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ขณะนี้ราคาซื้อขายที่ดินในย่านเศรษฐกิจแทบทุกภูมิภาคปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครริมถนนใหญ่ย่านสุขุมวิทตอนต้นทั้งหมด ที่มีการปรับราคาขายสูงถึงหลักล้านบาทต่อตรว.ไม่ต่างจากที่ดินย่านปริมณฑลตามแนวรถไฟฟ้าที่มีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ
    เช่นเดียวกับทำเลในส่วนภูมิภาค โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ราคาซื้อขายปรับขึ้นเป็นเท่าตัว เช่น อุดรธานี อุบลราชธานี มุกดาหาร อย่างมุกดาหารจากเดิมซื้อขายกันไร่ละ 5-9 ล้านบาท ผ่านไป 1 ปี ราคาขยับขึ้นมาอยู่ที่ถึงไร่ละ10-12 ล้านบาท     
    ทั้งนี้การที่ราคาที่ดินแถบอีสานปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลจากการเข้าไปลงทุนของโมเดิร์นเทรดขนาดใหญ่อย่าง กลุ่มเซ็นทรัล  ที่ประกาศแผนขยายธุรกิจสู่ภูมิภาค ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อยที่มีเงินสดอยู่ในมือกว้านซื้อตาม หวังขยับราคาขายต่อให้สูงขึ้น และเมื่อโมเดิร์นเทรดเริ่มมีการก่อสร้าง อีกทั้งกลุ่มอสังหาฯส่วนกลางเริ่มเข้าไปปักหลักมากขึ้น เพื่อรองรับการเปิดเออีซี  ซึ่งการที่ราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัด เป็นสัญญาณที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง ในช่วงระยะแรกนี้อาจไม่อันตรายนัก แต่หากราคายังขึ้นอย่างไม่หยุดในอัตราเร่งแบบเดิมก็ควรต้องหาทางเบรกกันบ้าง
++ขอนแก่นเว่อร์ไร่ละ80ล้าน
    นายวิโรจน์ สฤษฎีชัยกุล รองกรรมการ บริษัท ซีนิท แอสเซท จำกัด ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เก่าแก่ในจ.ขอนแก่น กล่าวว่า วันนี้ราคาที่ดินในตัวเมืองขอนแก่นโดยเฉพาะแนวถนนศรีจันทร์และย่านซีบีดีของจังหวัดไล่ตั้งแต่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ขอนแก่นถึงถนนหน้าเมือง ราคาประเมินที่ดินในบริเวณดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 2 แสนบาทต่อตร.ว. แต่ราคาซื้อขายจริงประมาณ 60-80 ล้านบาทต่อไร่ หรือ 6 -8 แสนบาทต่อตร.ว. และเป็นราคาที่เพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวในระยะเวลา 2 ปี
    อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินในลักษณะนี้ หลายคนมองว่าอาจจะเกิดฟองสบู่ได้ แต่สำหรับคนในพื้นที่แล้ว มองว่าความต้องการในพื้นที่ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก จึงไม่น่าจะเกิดฟองสบู่ได้"
++อุดร-บึงกาฬที่พุ่งไร่ละ20ล้าน
                 ด้านนายสวาท ธีระรัตนนุกูชัย  ประธานหอการค้าจังหวัดอุดรธานีเปิดเผยขณะนี้เศรษฐกิจของจังหวัดอุดรธานีกำลังบูมเนื่องจากเป็นศูนย์กลางอาเซียนลุ่มน้ำโขงที่จะเปิดเออีซี  นอกจากนี้มีนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศเข้าไปลงทุนในนครเวียงจันทน์ประเทศลาวกันมากขึ้น ที่สำคัญความเคลื่อนไหว ทัพนักลงทุนจากกรุงเทพมหานคร เข้ามาลงทุนใน ธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะห้างเซ็นทรัล  คอมมิวนิตีมอลล์  ศูนย์วัสดุก่อสร้างขนาด 120ไร่ โฮมฮับ  ดูโฮม  ไทวัสดุ  โกลบัลเฮาส์  โฮมโปร อินเด็กซ์  ซึ่งเกิดขึ้นรองรับการเติบโต
    เช่นเดียวกับนักลงทุนอสังหาฯ  ซึ่งขณะนี้เดินทางเข้ามาพัฒนาที่ดินกันมาก โดยเฉพาะในเขตเทศบาลและ รอบวงแหวน ประกอบด้วย แสนสิริ ศุภาลัย แอล.พี.เอ็น.  ซีพีแลนด์  เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมมีจำนวนมากถึงกว่า 2 หมื่นหน่วย ที่มองว่าจะรองรับลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาลงทุนช่วงเออีซี และคนกรุงเทพฯที่เข้ามาซื้อเก็งกำไร โดยราคา อยู่ที่ 1ล้านต้นๆ
    ขณะที่ราคาที่ดินในเขตเทศบาลปัจจุบัน ราคา 10-20 ล้านบาทต่อไร่ จากเดิมราคาเพียงไร่ละ1-2ล้านบาทเท่านั้น ที่สำคัญการปั่นราคาจนสูงลิ่ว เกิดจากนักลงทุนกรุงเทพฯและต่างชาติเข้ามากว้านซื้อในราคาถูกจากนั้นก็โก่งราคาขายเรื่อยมา เป็นต้น
           "ราคาติดลมบนไปแล้วและขณะนี้ราคาที่ดินในเขตเทศบาลเริ่มแพงมากขึ้น ดังนั้นจึงขยับออกไปยังนอกเมืองที่ราคาถูกกว่าซึ่งเป็นทุ่งนา จากราคาไร่ละ 5-6 หมื่นบาท เป็นไร่ละ 2-3 แสนบาท และอนาคตจะเป็นล้านบาทต่อไร่ เช่นเดียวกับที่ดินในจ.บึงกาฬ เขตเทศบาลราคา 10-20 ล้านบาทต่อไร่จากเดิมแทบจะไม่มีค่าอะไร"
++พัทยาไร่ละ120ล้าน 
    นายสุนทร  ธัญญวัฒนกุล ประธานหอการค้าจังหวัดชลบุรี  กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของการซื้อ-ขายที่ดินว่า ล่าสุดมีการซื้อขายที่ดิน 3ไร่ ราคา สูงถึง 285 ล้านบาท  ซึ่งเป็นที่ดินที่อยู่ในซอยลึกไม่ติดถนนสายหลัก ที่อำเภอศรีราชาที่ดินติดโรงงานอัมตะราคา ไร่ละ 10ล้านบาท จากที่ผ่านมาไร่ละ 5-6 ล้านบาท  พนัสนิคมราคา 4-5 ล้านบาทจากเดิม ไร่ละ1-2ล้านบาท ขณะที่ บางแสนติดถนนสายหลัก ราคาซื้อขายสูงสุด ไร่ละ 30 ล้านบาท พัทยา ติดชายหาด ราคาซื้อขายสูงสุด กว่า  3แสนบาทต่อตารางวา และมีแนวโน้มสูงกว่านี้ หรือไร่ละ กว่า 120 ล้านบาท  ขณะที่คอนโดมิเนียม บ้านจัดสรรโรงแรมเกิดขึ้นมากอาทิ แอล.พี.เอ็น. แสนสิริ  บริษัทพัฒนาที่ดินท้องถิ่น  ซึ่งราคาอาคารพาณิชย์มีการปรับตัวสูง มากดูได้จากหน้ามหาวิทยาลัยบูรพาราคาหน่วยละ10-11ล้านบาท
    อย่างไรก็ดีแนวโน้มราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นเกิดจาก การพัฒนาจากส่วนกลางเข้ามา  นอกจากนี้มีใกล้เปิดเออีซี รัฐบาลมีโครงสร้างพื้นฐานมาลง เช่นรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ รถไฟรางคู่ ยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็นเชิงพาณิชย์ ท่าเรือแหลมฉบัง ที่สำคัญที่ผ่านมาน้ำไม่ท่วมส่งผลให้ราคาที่ดินในปี  2556 ขยับสูงขึ้น อย่างรวดเร็วเฉลี่ยราคาขยับขึ้น50-100 % หลังจากน้ำท่วม
++แม่สอด-หาดใหญ่ไร่ละ 80ล้าน
     แหล่งข่าวจากสำนักงานที่ดินจังหวัดสงขลาสาขาหาดใหญ่กล่าวว่าการซื้อขายที่ดินที่หาดใหญ่ ราคาสูงสุด อยู่ที่ตลอดกิมหยง สาย1,2 ,3 ราคาตารางวาละ กว่า 2 แสนบาท หรือกว่า 80 ล้านบาท ต่อไร่ อย่างไรก็ดีส่วนใหญ่จะไม่ ยอมขายที่ดินเพราะส่วนใหญ่เป็นคนรวย  ซึ่งแตกต่างจากการซื้อขายที่ดินบริเวณด่านชายแดน อำเภอแม่สอด โดยแหล่งข่าวจากสำนักงานที่ดินจังหวัดตาก สาขาแม่สอด ระบุว่าปัจจุบันมีความคึกคักเป็นพิเศษ  โดยเฉพาะบริเวณถนนสายเอเชีย-เมียวดี  ซึ่งเป็นถนนเชื่อมประตูการค้าชายแดนไทย-พม่า บริเวณทางเข้ารีสอร์ตแม่สอดฮิลล์ ราคาสูงสุดตารางวาละ 1.5 แสนบาท และแนวโน้ม จะขยับเป็น2แสนบาทต่อตารางวา
++เชียงใหม่ขายกันไร่ละ60-80ล้าน
     ขณะที่ นายณรงค์ คองประเสริฐ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า อสังหาริมทรัพย์ในจ.เชียงใหม่เติบโตอย่างรวดเร็ว และยังมีดีมานด์ในพื้นที่อยู่เหลืออีกเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ราคาที่ดินขยับขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในถนนสายเศรษฐกิจอย่าง ถนนสายห้วยแก้วและถนนสายถนนนิมมานเหมินทร์มีการปรับขึ้นของราคาที่ดินประมาณ 10-15% ราคาขายต่อตร.ว.ประมาณ 1.5 แสนบาท หากคิดเป็นราคาขายต่อไร่อยู่ที่ประมาณ 60-80 ล้านบาท  ทั้งนี้ เป็นผลมาจากนโยบายโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของภาครัฐ (รถไฟความเร็วสูง) และการเปิดศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา รวมถึงการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินและสายการบินพาณิชย์ที่บินตรงมายังจ.เชียงใหม่เพิ่มมากขึ้น
++เชียงราย-เชียงของ บูม   
           นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ และที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดเชียงราย กล่าวเช่นกันว่าถ้าวัดระดับความคึกคักแล้วตอนนี้ ชายแดนทางด้านอำเภอแม่สายถือว่าที่ดินบูมมากที่สุด เพราะเป็นเมืองเศรษฐกิจการค้าการท่องเที่ยวชายแดนหลักของจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก รองลงไปเป็นชายแดนทางด้านอำเภอเชียงของ ซึ่งเป็นผลจากการเชื่อมเส้นทางคมนาคมทางบกสาย R3a ด้วยสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4  ส่วนที่อำเภอเชียงแสน แม้ว่าจะเป็นเมืองท่าการค้า แต่ว่ายังไม่บูมเทียบได้กับสองเมืองที่กล่าวมาข้างต้น แต่ก็มีการผุดโครงการใหญ่ๆ อยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน
    นายสงวน ซ้อนกลิ่นสกุล รองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย นักธุรกิจในพื้นที่อำเภอเชียงของ เปิดเผยว่า นโยบายว่าจะสร้างเมืองใหม่ขึ้นในโซนริมถนนเชียงของ-เทิง ซึ่งเป็นถนนสายหลักโดยย่านที่ใกล้กับทางเข้าสะพานข้ามแม่น้ำโขงเป็นไฮไลต์รวมทั้งการก่อสร้างโมเดิร์นเทรดขนาดใหญ่ ส่งผลราคาที่ดินปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ไร่ละ 3-10 ล้านบาทแล้วแต่ทำเล
++ที่ดินตกในมือนายทุนเกลี้ยง
    นายวชิระ รัศมีจันทร์ กรรมการผู้จัด บริษัท เค.ที.พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้บริหารโครงการโขงวิวพลาซ่า ที่ดินแปลงใหญ่ติดแม่น้ำโขง ริมถนนเชียงแสน-สามเหลี่ยมทองคำ เปิดเผยว่า เนื่องจากที่ดินที่เชียงแสนบูมมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดูเหมือนว่าอาจจะไม่หวือหวา แต่ก็มีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันตลอดเวลา โดยในปัจจุบัน ราคาซื้อขายกันไร่ละ 3-5 ล้านบาท อย่างไรก็ดีที่ดินส่วนใหญ่เวลานี้อยู่ในมือของนักพัฒนาอสังหาฯรวมทั้งนักลงทุนที่จะมาลงทุนทำโรงแรมหรือว่ารีสอร์ตแทบทั้งหมดแล้ว

 จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,817 วันที่   10 - 13  กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

 


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2013, 00:15:42


ตม.บี้เถ้าแก่โรงแรมเหนือแจ้งชื่อคนพัก หลังพบสถิติห่วยสุด

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   16 กุมภาพันธ์ 2556 19:07 น.   

   



คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น





   
เชียงราย - ตรวจคนเข้าเมืองตามบี้ผู้ประกอบการโรงแรม-ห้องพักภาคเหนือ แจ้งชื่อลูกค้าต่างชาติป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ หลังพบสถิติห่วยสุดในประเทศ
       
       วันนี้ (16 ก.พ.) พ.ต.อ.สงบ สันอุดร รอง ผบก.ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เป็นประธานเปิดโครงการแจ้งที่พักอาศัยทางอินเทอร์เน็ต ป้องกันภัยอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หอประชุมอินทนิล มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีผู้ประกอบการห้องพัก โรงแรม และอื่นๆ กว่า 250 คนเข้ารับฟังสถานการณ์การเข้าพักอาศัยของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยว รวมทั้งชี้ให้เห็นถึงภัยของการไม่แจ้งรายชื่อผู้เข้าพักชาวต่างชาติ ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง 2522 มาตรา 38 ที่ระบุให้ผู้ประกอบการต้องแจ้งให้ ตม.ทราบ โดยปัจจุบันมีระบบอินเตอร์เน็ตให้แจ้งได้แล้ว
       
       นายพรหมโชติ ไตรเวช ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า เชียงรายมีโรงแรมและห้องพัก 241 แห่ง มีห้องพักรวม 18,000 ห้อง ปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 450,000 คน และในอนาคตมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เพราะคนพม่าอาจได้รับอนุญาตให้เดินทางผ่านชายแดนเข้ามาลึกกว่าตัวเมืองเชียงราย อีกทั้งไทยจะเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี เงื่อนไขจะผ่อนปรนลงเรื่อยๆ ขณะที่คนจีนจากยูนนานก็มีโครงการออกหนังสือเดินทางระหว่างประเทศให้คนจีนกว่า 100,000 ฉบับ ทำให้คนกลุ่มนี้จะทะลักเข้ามาอีกมาก เช่นเดียวกับกลุ่มกาหลี อินเดีย ขณะที่ธุรกิจห้องพักในเชียงราย ก็ขยายตัวไปสู่การเป็นโฮมสเตย์มากขึ้น โดยขยายจากชนบทเป็นโฮมสเตย์ในตัวเมืองแล้ว
       
       นายอภิชา ตระสินธ์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวว่า ปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวเข้าเชียงรายประมาณ 2.4 ล้านคน เงินสะพัดประมาณ 14,000 ล้านบาท ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนตอนใต้ ก็มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เพราะคนจีนที่ยูนานกว่า 1 ล้านคนจากประมาณ 48 ล้านคน มีหนังสือเดินทางแล้ว ทำให้ทะลักข้ามมา อ.เชียงของ ปีละกว่า 10,000 คน
       
       ด้าน พ.ต.อ.สงบกล่าวว่า ปัจจุบันตม.5 ทำหน้าที่บแจ้งชื่อและรายละเอียด หรือ ทร.14 ของผู้เข้าพักชาวต่างชาติจากผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตามการประชุมที่ จ.หนองคาย เมื่อเร็วๆนี้มีการแจ้งสถิติการแจ้งจากผู้ประกอบการทั่วประเทศว่ามี 500,000-600,000 ราย ปรากฏว่าพื้นที่ซึ่งแจ้งเจ้าหน้าที่น้อยที่สุด คือ ภาคเหนือ จังหวัดที่มีการแจ้งน้อยที่สุด คือ จ.เชียงราย รองลงมาคือจ.เชียงใหม่
       
       “เราจะเป็นเออีซี จะมีถนนอาร์สามเอ แต่กลับมีการแจ้งการเข้าพักของชาวต่างชาติน้อยที่สุด ดังนั้นจากนี้ไปขอให้ผู้ประกอบการให้ความร่วมมือ เพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับภาษี แต่จะใช้เพื่องานด้านความมั่นคงเท่านั้น และที่สำคัญยังมีส่วนสำคัญในการช่วยป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ หรือเมื่อเกิดคดีก็สามารถคลี่คลายคดีได้มาก”
       
       พ.ต.อ.สงบกล่าวว่า มีโรงแรมแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ ไม่แจ้งชื่อผู้เข้าพัก เมื่อมีการฆาตรกรรมเกิดขึ้นทำให้ที่ตำรวจติดตามตัวคนร้ายได้ยากมาก แต่เมื่อคนร้ายหลบหนีไปพักที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และทางโรงแรมแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ ทำให้ติดตามจับกุมคนร้ายได้ทัน ก่อนที่จะบหนีออกไปทางสนามบินสุวรรณภูมิ ส่วนผู้ประกอบการที่ จ.เชียงใหม่ ก็มีความผิดที่ไม่แจ้ง เสียค่าปรับครั้งละ 1,600 บาท และเมื่อดูสถิติย้อนหลัง ปรากฏว่าไม่แจ้งมาเป็นเวลานานแล้วด้วย
       
       “การแจ้งผู้เข้าพักให้ ตม.ทราบมีผลดี คือ ช่วยให้ความมั่นใจกับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกรณีผู้เข้าพักสร้างปัญหา เช่น ไม่จ่ายเงินแล้วหนีออกจากโรงแรม ป้องกันปัญหาอาชญากรรม และอาชญากรรมข้าม ดังนั้น ตม.จะมีการมาตรการที่เข้มข้นมากขึ้น คือ ตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้ จะตระเวนไปพบปะผู้ประกอบการทุกแห่ง เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสำคัญ และจะส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบอย่างเข้มงวด หากฝ่าฝืนก็จะเปรียบเทียบปรับ เพราะเรื่องนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก”


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2013, 22:57:36
ลาว-พม่าบรรลุข้อตกลงวางศิลาฤกษ์ผุดสะพานข้ามโขง เสร็จ ส.ค.58


เชียงราย - ลาว-พม่าบรรลุข้อตกลงสร้างสะพานข้ามน้ำโขงแห่งแรก พร้อมวางศิลาฤกษ์เริ่มเดินเครื่องก่อสร้างแล้ว เปิดเส้นทางหมายเลข 17 E ในลาว เชื่อมตรงถึงอินเดีย-บังกลาเทศ
       
       วันนี้ (19 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย ว่าสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และพม่าได้บรรลุข้อตกลงก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงพม่า-ลาวแห่งแรกแล้ว วงเงินก่อสร้างรวม 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พม่าและลาวจ่ายฝ่ายละ 50% กำหนดสร้างแล้วเสร็จเดือนสิงหาคม 2558 หรือ 30 เดือน หลังจากที่ได้ประชุมหารือกันมาหลายรอบ
       
       ล่าสุดทั้ง 2 ประเทศได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมีท่านสมมาด พนเสนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธิการและซ่อมสร้าง ดร.พิมมะสอน เลืองคำมา เจ้าแขวงหลวงน้ำทา ร่วมกับรัฐมนตรีกระทรวงก่อสร้าง ประเทศพม่า เป็นประธานในพิธีที่จุดก่อสร้าง ระหว่างฝั่งบ้านห้วยกุ่ม เมืองลอง แขวงหลวงน้ำทา และเมืองเชียงลาบ หรือเวียงแคว้นสา หรือเมืองโขง หรือโขงโค้ง จ.ท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน ประเทศพม่า
       
       สะพานดังกล่าวออกแบบให้มีความยาว 691.60 เมตร กว้าง 10.9 เมตร มี 2 ช่องทาง กว้าง 8.5 เมตร ทางเดินเท้าทั้ง ฝั่งละ 1.2 เมตร รับน้ำหนักรถยนต์บรรทุก 10 ล้อได้ 75 ตัน รับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ตาม 7 ริกเตอร์ และเนื่องจากแม่น้ำโขงจะมีเรือสินค้าหลากหลายสัญชาติวิ่งขนส่งสินค้า จึงกำหนดความสูงของสะพานให้เรือขนาด 599 ตันกรอส ลอดผ่านได้อีกด้วย
       
       ทั้งนี้ สะพานดังกล่าวจะเชื่อมถนนหมายเลข 17 E ซึ่งเป็นทางหลวงในลาว สามารถเชื่อมไปยังประเทศเวียดนาม หรือขึ้นเหนือไปจีน และตรงไปยังอินเดียหรือบังกลาเทศได้ ส่วนฝั่งพม่ามีถนนที่จะเชื่อมไปยังถนน R3B ที่ตัดผ่านแนวเหนือ-ใต้
       
       นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ กล่าวว่า การมีสะพานแม่น้ำโขงเชื่อมพม่าและลาว ถือเป็นมิติใหม่ในเชิงรุกของทั้ง 2 ประเทศ ที่เราไม่ค่อยพบเห็นกันมากนัก โดยเฉพาะเมื่อมีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ เพราะในอดีตมักเห็นประเทศใหญ่เป็นฝ่ายสนับสนุนการก่อสร้าง หรือเข้าไปผลักดัน รวมทั้งธนาคารระหว่างประเทศอื่นๆ
       
       “หากสะพานดังกล่าวก่อสร้างแล้วเสร็จจะเพิ่มการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงมากขึ้น จากในปัจจุบันมีถนน R3B เชื่อมไทย-พม่า-จีน ถนน R3A เชื่อมไทย-ลาว-จีน และแม่น้ำโขง นอกจากจะทำให้เกิดพัฒนาการด้านการค้าและการคมนาคม ยังทำให้การท่องเที่ยวที่คึกคักขึ้น เพราะสภาพภูมิประเทศของพม่าและลาว เป็นป่าเขาและชนบทที่จะถูกเปิดตัวสู่โลกภายนอก”

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000021243


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2013, 23:03:53
เถ้าแก่ทัวร์เชียงรายยกคณะเข้าจีน ชง 5 แพกเกจดึงเที่ยวไทย

เชียงราย - เถ้าแก่บริษัทนำเที่ยวเมืองพ่อขุนเตรียมยกคณะเปิดโต๊ะเจรจาทัวร์จีน ตั้งแต่สิบสองปันนายันคุนหมิง ชง 5 แพกเกจทัวร์ดึงคนจีนเข้าไทยแวะพักเชียงราย 1-3 คืน ก่อนเข้าเชียงใหม่-กทม.-จังหวัดชายทะเล

(http://pics.manager.co.th/Images/556000002196003.JPEG)
       
       วันนี้ (19 ก.พ.) รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า สมาคมท่องเที่ยวเชียงรายเตรียมจัดโครงการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวไทยเชียงราย-มณฑลหยุนหนาน ประเทศจีน โดยจะนำคณะผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประมาณ 120 คน ข้ามแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ ไปยังลาว และจีนตอนใต้ที่เมืองคุนหมิง วันที่ 25 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 มีนาคมนี้
       
       นายอภิชา ตระสินธุ์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวว่า มณฑลหยุนหนานอยู่ใกล้ไทยมากที่สุด ประมาณ 245 กิโลเมตร ประชากรอยู่กว่า 45 ล้าน นักท่องเที่ยวปีละกว่า 30 ล้านคน แต่ละปีนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ จะเดินทางมาตามถนนอาร์สามเอ สู่อ.เชียงของ จ.เชียงราย เข้าเชียงใหม่ กรุงเทพฯ และจังหวัดชายทะเล ประมาณ 10,000 คน
       
(http://pics.manager.co.th/Images/556000002196002.JPEG)
       ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจีนนับหมื่นคน มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยวันละประมาณ 3,000 บาท แต่ข้ามมาเชียงของแล้วเดินทางต่อไปเชียงใหม่ หรือจังหวัดอื่นเลย เนื่องจากเชียงรายไม่มีแผนรองรับ ดังนั้นจึงจัดโครงการนี้ขึ้นเพื่อดึงให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้พักในเชียงราย 1-3 คืนก่อนเดินทางต่อไป อีกทั้งหากสะพานข้ามน้ำโขง 4 เสร็จ คนจีนจะทะลักเข้ามามากขึ้นและใช้จ่ายเป็นมูลค่ามหาศาล
       
       “สมาคมฯ ได้จัดรายการนำเที่ยวไทย 5 แพกเกจไปนำเสนอ และเจรจาจับคู่ธุรกิจกับผู้ประกอบการนำเที่ยวจีน ตั้งแต่สิบสองปันนาหรือเชียงรุ่งถึงคุนหมิง เพราะทางการจีนเอื้อให้ออกหนังสือเดินทางระหว่างประเทศให้คนจีนได้ง่ายขึ้น รวมทั้งมีถนนที่ดีขึ้น โดยระยะทางจากเชียงของ-จิ่งหงประมาณ 493 กิโลเมตร และจากจิ่งหง-คุนหมิง เป็นมอเตอร์เวย์ ระยะทางประมาณ 344 กิโลเมตร ทำให้คนจีนที่มีรายได้ดีและร่ำรวย เดินทางลงมาตามถนน R3a สู่ประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น แพกเกจทัวร์รองรับนักท่องเที่ยวจีน จึงมีความสำคัญกับผู้ประกอบการท้องถิ่น โดยเฉพาะเชียงรายมาก”


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000021020


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2013, 22:30:22
สินค้าไทยฮิตในลุ่มน้ำโขง ทั้งเนื้อจระเข้ ไก่ ควาย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   22 กุมภาพันธ์ 2556


   
เชียงราย - ผู้บริโภคจีนและกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงตอนบนยังนิยมสินค้าไทยต่อเนื่อง ล่าสุดพบผู้ประกอบการส่งสินค้าใหม่ผ่านชายแดนเชียงราย ทั้งเนื้อจระเข้ ไก่ ควาย เชื่ออนาคตกลุ่มอาหารแช่แข็งขยายตัวอีกเพียบ
       
       วันนี้ (22 ก.พ.) นายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า หลังการขนส่งสินค้าระหว่างไทย-จีน ผ่านทาง จ.เชียงรายสะดวกมากขึ้น ทำให้มีการซื้อขายสินค้าใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพบว่าผู้ประกอบการฟาร์มจระเข้จากภาคกลางได้ส่งออกเนื้อจระเข้ไปยังมณฑลยูนนาน เนื่องจากคนจีนเชื่อว่าเนื้อจระเข้มีสรรพคุณในการรักษาโรคนานาชนิดตามศาสตร์ของการแพทย์แผนจีน สามารถใช้ประโยชน์ได้ตั้งแต่หัวจดหาง หรือแม้แต่เลือดจระเข้ก็มีความเชื่อกันว่าช่วยเสริมธาตุเหล็ก และภูมิคุ้มกัน รวมถึงสินค้าอื่นก็เป็นที่ต้องการ เช่น เนื้อกระบือแช่แข็ง ชิ้นส่วนไก่แช่แข็งจากไต้หวัน ที่ส่งผ่านท่าเรือแม่น้ำโขง อ.เชียงแสน ไปยังจีนตอนใต้ เป็นต้น
       
       นายเฉลิมพลกล่าวว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จากระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้มากขึ้น เพราะแม้แต่สินค้าจากประเทศที่ 3 ที่ขนส่งมาทางทะเล ยังส่งต่อมายังท่าเรือแม่น้ำโขงที่จ.เชียงราย และในอนาคตถ้าสะพานข้ามแม่น้ำโขง แห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ กับถนนอาร์สามเอไทย-ลาว-จีนเสร็จสมบูรณ์ก็คงจะมีความคึกคักมากขึ้น เพราะมณฑลทตะวันตกเฉียงใต้ของจีนทั้งยูนนาน เสฉวน อยู่ห่างจากทะเล มีความต้องการอาหารประเภทอาหารแช่แข็ง แช่เย็น อาหารสำเร็จรูป วัตถุดิบค่อนข้างมาก ซึ่งถือเป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการไทย
       
       “ผู้บริโภคในจีน พม่า และลาวนิยมบริโภคสินค้าไทย เพราะถือว่ามีคุณภาพ แม้แต่อุปกรณ์ไฟฟ้าก็มีการส่งจากชายแดนเชียงรายเข้าไปถึงจีนตอนใต้ และประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้นทุกปี แสดงว่าตลาดสินค้าแบรนด์เนมกับสินค้าลอกเลียนแบบแยกกันชัดเจน”
       
       นายเฉลิมพลกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ชาวล้านนาตะวันออกทั้งเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน คงต้องปรับสมดุลเศรษฐกิจของจังหวัดใหม่ โดยหันมาผลิตสินค้าที่ตลาดจีนมีความต้องการสูง เช่น ปศุสัตว์ ประมง หรือพืชเกษตร อีกทั้งขณะนี้มณฑลยูนนานให้ความสำคัญกับเชียงรายมาก ดังนั้นในงาน “คุนหมิงแฟร์ 2013” ที่จะมีขึ้นช่วงเดือนมิถุนายน ทางจังหวัดได้ขอบูทในราคาพิเศษ 30 บูธ เพื่อนำมากระจายให้ผู้ประกอบการโอทอป ขณะเดียวกัน มร.ลี ยง เชง เจ้าของอาคารอาเซียน-เซี่ยงไฮ้ เมืองเฉิงก้ง ซึ่งสร้างอาคารศูนย์การค้าแบรนด์เนมชั้นนำจากทั่วโลก ห่างจากนครคุนหมิงประมาณ 22 กิโลเมตร ได้มอบพื้นที่ชั้นล่างของอาคารให้กับจังหวัดเพื่อนำสินค้าไปวางจำหน่ายโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเป็นเวลา 3 ปีด้วย


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2013, 22:40:13
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ยังไม่จบ สำหรับบัญชีโครงการของ "กระทรวงคมนาคม" ตามแผนลงทุน 2 ล้านล้านบาท ที่ "รัฐบาลเพื่อไทย" กำลังเร่งผลักดันให้ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาแบบผ่านฉลุยในเดือนมีนาคม-เมษายนนี้

เพราะติดเม็ดเงินลงทุนโครงการถนนที่ยังไม่สะเด็ดน้ำ ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา เจ้ากระทรวง "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" จัดคิวประชุมด่วนช่วงบ่ายแก่ ๆ หวังให้สรุปจบโดยเร็ววัน

แต่สุดท้ายก็ไม่ได้นั่งเป็นประธาน เมื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี เรียกไปพบที่ทำเนียบด่วน พร้อม 2 รัฐมนตรีช่วยฯ "พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต" และ "ประเสริฐ จันทรรวงทอง"

ว่ากันว่า...ที่ 3 บิ๊กหูกวางถูก

"นายกฯหญิง" เรียกตัวด่วนแบบไม่ได้ตั้งตัว นอกจากกรณีเกิดเหตุประท้วงหยุดทำโอทีของสหภาพ "กทท.-การท่าเรือแห่งประเทศไทย" และต้องการเร่งงานที่ยังล่าช้าให้เร็วขึ้น

อีกเป้าหมายเพื่อติดตามบัญชีรายชื่อโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาทของ "คมนาคม" ที่ยังไม่ลงล็อก โดยเฉพาะแผนโครงการถนนของ 2 หน่วยอย่าง "กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท" ที่มีเทศกาล "ชักเข้า-ชักออก" อยู่ตลอดเวลา ด้วยผู้คุมหน่วยก็ไม่อยากตัดโครงการของตัวเองออก

เพราะต่างก็รู้กันดีว่า "งบฯถนน" เป็นสิ่งที่ "ส.ส." อยากดึงไปลงพื้นที่ตัวเองให้มากที่สุด เนื่องจากจับต้องง่ายและเกิดได้เร็ว จึงไม่แปลกที่แผนลงทุนถนนจึงยังไม่นิ่ง เพราะยังมีคลื่นใต้น้ำตีกระเพื่อม "จัดสรรเงิน-จัดสรรพื้นที่" ลงทุน

แต่ที่ยิ่งแปลกไปกว่านั้น เมื่อ "วราเทพ รัตนากร" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เด็กในคาถา "เจ๊ ด." แห่งวังบัวบาน จู่ ๆ ก็มาปรากฏตัวที่ "คมนาคม" และทำหน้าที่ประธานที่ประชุมแทน"ชัชชาติ" ทันทีที่มีภารกิจด่วนอยู่ที่ทำเนียบ

แม้การประชุมใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 1 ชั่วโมง และยุติลงแบบไร้ข้อสรุป เมื่อเจ้ากระทรวงไม่อยู่ โปรเจ็กต์ต่าง ๆ ที่ "กรมทางหลวง" และ "กรมทางหลวงชนบท" เสนอเพิ่ม จึงยังไม่สามารถบรรจุในสารบบบัญชีได้ถึงการประชุมจบไปแล้ว แต่ยังมีเสียงวิพากษ์ถึงการมาของ "วราเทพ" มีนัยสำคัญซ่อนเร้น จะมาช่วยสแกนจุดอ่อนจุดแข็งของโครงการให้จบโดยเร็ว หรือมีจุดเป้าหมายอื่น

หลังก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวออกมาเป็นระยะว่า งานถนนที่ยังไม่ตกผลึก เพราะยังมีคลื่นแทรกของคนกันเอง

ขณะที่บรรยากาศในที่ประชุม ยังมีโครงการถนนที่ 2 อธิบดีจาก "กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท" พยายามเสนอขอใช้เงินลงทุนจาก 2 ล้านล้านบาท

"มีโครงการถนนทั้งทางหลวงและทางหลวงชนบทเสนอกลับเข้าสู่ที่ประชุมอีก หลังรอบที่แล้วถูกตัดเงินลงทุนไป แต่ยังไม่ได้อนุมัติและวงเงินก็ยังไม่สรุป รอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมาพิจารณาก่อน" แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมกล่าวและว่า

สำหรับแผนงานที่ "กรมทางหลวง" เสนอเพิ่มมี 2 รายการ มูลค่าลงทุนกว่า 15,000 ล้านบาท หลังถูกตัดโครงการไปเหลือ 180,230 ล้านบาท (ณ วันที่ 4 ก.พ.)

โดยโครงการใหม่ที่เสนอ ประกอบด้วย โครงการขยายถนน 4 ช่องจราจร จำนวน 15 สายทาง วงเงิน 13,200 ล้านบาท ในพื้นที่ศูนย์กลางเศรษฐกิจ 11 สายทาง มีจังหวัดพังงา สุราษฎร์ธานี สงขลา ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา นครปฐม และเมืองระดับรอง 4 สายทาง ในพื้นที่จังหวัดพิจิตร ลำพูน ลพบุรี และนครศรีธรรมราช และโครงการก่อสร้างสะพานกลับรถบนถนนสายหลัก จำนวน 9 แห่ง ประมาณ 2,000 ล้านบาท

"หลังโครงการใหญ่อย่างมอเตอร์เวย์ 2 สาย ทั้งสายบางปะอิน-โคราช และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี ที่กรมทางหลวงพยายามจะขอค่าก่อสร้างด้วย แต่ได้เฉพาะค่าเวนคืนที่ดิน จึงหาโครงการอื่นมาแทน แต่ยังไม่สรุป" แหล่งข่าวกล่าว

สำหรับในส่วนของ "กรมทางหลวงชนบท" ขอเพิ่มอีก 8,000 ล้านบาท จากเดิมที่ถูกตัดเหลือ 48,731 ล้านบาท สำหรับค่าเวนคืนที่ดินก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อม "อ.พระสมุทรเจดีย์ กับ อ.มหาชัย" ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการและสมุทรสาคร จากเดิมถูกตัดออกไปแล้ว เนื่องจากใช้เงินก่อสร้างค่อนข้างสูงถึง 49,000 ล้านบาท

ขณะที่บทบาทของ "รองนายกฯวราเทพ" ในที่ประชุมวันนั้น กำชับให้แต่ละหน่วยพิจารณาโครงการเป็นภาพรวมตามยุทธศาสตร์ เชื่อมโยงเมืองเศรษฐกิจหลักในภูมิภาค และใช้เงินลงทุนในงบประมาณปกติไม่ได้

แต่ไม่ลืมโฟกัสไปที่ "โครงการถนน" ซึ่งระบุว่าต้องเป็นเส้นทางโครงการใหญ่ที่พร้อมดำเนินการ ช่วยเสริมศักยภาพของการเป็น "ฮับ" หรือศูนย์กลางทั้ง "เมืองหลัก-เมืองรอง" ครอบคลุมทุกภูมิภาคและรองรับประตูการค้าชายแดนทั้ง9 แห่ง ประกอบด้วย ด่านเชียงของ แม่สาย แม่สอด หนองคาย มุกดาหาร นครพนม อรัญประเทศ สะเดา และปาดังเบซาร์ เช่น ขยายถนนสายหลักเป็น 4 ช่องจราจร เชื่อมระหว่างเส้นทางเศรษฐกิจการค้า

ซึ่ง "ภาคเหนือ" เมืองศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก นครสวรรค์ ส่วนเมืองระดับรองอยู่ที่จังหวัด "ลำปาง แม่ฮ่องสอน ลำพูน กำแพงเพชร สุโขทัย พิจิตร และเพชรบูรณ์" มีประตูการค้าอยู่ที่ "เชียงราย-ตาก"

[COLOR="DarkRed"]"ภาคอีสาน" เมืองศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย นครราชสีมา อุบลราชธานี ซึ่งเมืองระดับรองอยู่ที่จังหวัด "เลย-กาฬสินธุ์-ชัยภูมิ-ร้อยเอ็ด-บุรีรัมย์ และสุรินทร์" ส่วนประตูการค้าอยู่ที่ "มุกดาหารและนครพนม"[/COLOR]

ขณะที่ "ภาคกลาง" มีกรุงเทพฯและเมืองปริมณฑลเป็นเมืองศูนย์กลาง และมีจังหวัด "สระบุรีและลพบุรี" เป็นเมืองระดับรอง

"ภาคตะวันตก" เมืองศูนย์กลางอยู่ที่ "ประจวบคีรีขันธ์และเพชรบุรี" มี "ราชบุรีและสมุทรสงคราม" เป็นเมืองระดับรอง มีจังหวัดกาญจนบุรีเป็นประตูการค้า

"ภาคตะวันออก" มีจังหวัด "ชลบุรีและระยอง" เป็นเมืองศูนย์กลาง ส่วนเมืองระดับรองอยู่ที่จังหวัด "ฉะเชิงเทรา จันทบุรี

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1361519435&grpid=02&catid=19&subcatid=1901 (http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1361519435&grpid=02&catid=19&subcatid=1901)


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2013, 19:22:35
ยี่ปั๊ว"คลอดแผนสู้ศึกโมเดิร์นเทรด ผนึกโชห่วยหมื่นราย-ผู้ผลิตไทยจัดโปรโมชั่นทั้งปี


Prev1 of 1Next
updated: 21 ก.พ. 2556 เวลา 18:15:30 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ยี่ปั๊วผนึกกำลังทั่วประเทศคลอดแผนสู้ศึกโมเดิร์นเทรดต้นเดือนมีนาคมนี้ มีกรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ แบ็กอัพ รวมสมาชิก 70 รายทั่วประเทศ พร้อมโชห่วย 1 หมื่นแห่งเดินหน้าจัดอีเวนต์ โปรโมชั่นร่วมกันหั่นราคาลง 20-30% ต่อเนื่องทั้งปี หวังสร้างอิมแพ็ก ชู "ราคา" สู้ศึก รับมือคอนวีเนี่ยนสโตร์รุกเปิดสาขาไม่อั้นปีนี้

การแข่งขันที่รุนแรงทั้งในส่วนของผู้ผลิต ซัพพลายเออร์ และช่องทางค้าปลีก ส่งผลให้ภาพการปรับตัวธุรกิจในปีนี้มีให้เห็นอย่างชัดเจน ที่น่าจับตาคือในส่วนของ "เทรดิชั่นนอลเทรด" หรือค้าปลีกแบบดั้งเดิม ที่ประกอบด้วยยี่ปั๊ว

ซาปั๊ว หรือ "โชห่วย" ถือเป็นอีกฟันเฟืองที่มีบทบาทสำคัญของวงการธุรกิจไทย ซึ่งเริ่มมีความเคลื่อนไหวเพื่อต่อกรกับทางฝั่งโมเดิร์นเทรดอย่างชัดเจนตั้งแต่ปีที่แล้ว ด้วยการคลอดแนวคิดผนึกตัวสมาชิกทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและอำนาจการต่อรองของตัวเอง ซึ่งล่าสุดได้มีการสรุปแนวทางและเตรียมเปิดตัวโครงการในวันที่ 7 มีนาคมที่จะถึงนี้

ยี่ปั๊วคลอดแผนสู้โมเดิร์นเทรด

นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากแนวคิดของสมาคมที่ริเริ่มมาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยรวมตัวยี่ปั๊วทั่วประเทศผนึกกับซัพพลายเออร์ไทย ขนาดกลางและเล็ก พัฒนารูปแบบการดำเนินธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ขณะนี้ถือว่าเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น โดยที่ผ่านมาตนในฐานะนายกสมาคมได้เดินทางไปประชุมกับสมาชิกในแต่ละภาค ตั้งแต่สมุทรสงคราม, เชียงราย, ขอนแก่น และสุดท้ายคือสงขลา เพื่อสรุปแนวทางในการดำเนินงานทั้งหมด ก่อนที่จะจับมือกับกรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ จัดแถลงข่าวเปิดตัวโครงการดังกล่าวในวันที่ 7 มีนาคมที่จะถึงนี้

รูปแบบเบื้องต้นคือการผนึกกำลังซัพพลายเออร์คนไทย ขนาดเล็ก-กลาง เบื้องต้น 10 ราย กับยี่ปั๊วทั่วประเทศ 70 ราย จากจำนวนสมาชิกทั้งหมด 110 ราย จัดตั้งโครงการดังกล่าวขึ้น ซึ่งขณะนี้ยัง

ไม่ได้สรุปชื่อโครงการ กิจกรรมในช่วงแรกคือการทำอีเวนต์และโปรโมชั่นพร้อมกันทั่วประเทศ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เมษายนเป็นต้นไป เพื่อสร้างอิมแพ็กให้เกิดขึ้น โดยช่วงแรกยังให้ยี่ปั๊วแต่ละราย แต่ละจังหวัดดำเนินการสั่งซื้อสินค้าด้วยตัวเอง เพราะแต่ละภูมิภาคก็ขายของไม่เหมือนกัน แต่ในอนาคตก็มีแผนจัดตั้งในรูปแบบ "สหกรณ์" เพื่อรวมระบบการสั่งซื้อสินค้า และโลจิสติกส์ เพื่อลดต้นทุน

ชี้โมเดลร้านถูกใจแข่งขันยาก

ทั้งนี้ โมเดลดังกล่าวจะแตกต่างจากโครงการ "ร้านค้าถูกใจ" ของกรมการค้าภายใน ซึ่งเป็นโครงการเพื่อช่วยเหลือและลดภาระค่าครองชีพประชาชนผ่านร้านค้าย่อย ซึ่งจะหมดอายุโครงการในสิ้นเดือนมีนาคมนี้ ปัจจุบันมีร้านค้าถูกใจที่ดำเนินการอยู่ทั้งสิ้น 6,800 ราย

นายสมชายกล่าวว่า โมเดลดังกล่าวประสบความสำเร็จได้ยากในแง่ของการดำเนินธุรกิจในความเป็นจริง เพราะเป็นการสั่งซื้อของแพง แต่มาจำหน่ายในราคาถูกต่ำกว่าท้องตลาด 20-30% โดยที่รัฐบาลให้งบประมาณสนับสนุน

"เรารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่สำเร็จ เพราะเป็นโมเดลที่ไม่ถูก เป็นการบิดเบือนกลไกตลาดออกมาแค่ชั่วคราว พองบฯ ของทางรัฐบาลหมด ก็ต้องสิ้นสุดกันไป แต่หลังจากนี้ทางกรมการค้าภายในจะพัฒนาต่อยอดโครงการนี้ต่อไปอย่างไรยังไม่แน่ชัด แต่ก็ไม่อยากให้ดันทุรัง ที่สำคัญต้องคำนึงถึงกลไกการแข่งขันในตลาดที่แท้จริง"

ตั้งเป้าโชห่วยหมื่นรายโปรโมชั่นสู้

นายสมชายกล่าวเพิ่มเติมว่า คาดหวังร้านค้าย่อย หรือโชห่วย 1 หมื่นรายทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการนี้ โดยเบื้องต้นจะได้จากร้านค้าเครือข่ายของสมาชิกยี่ปั๊ว ซึ่งเฉลี่ยยี่ปั๊ว 1 รายจะมีร้านค้าโชห่วยที่ส่งสินค้าให้ 200 ร้านค้า หากรวมสมาชิก 70 รายที่เข้าร่วมโครงการนี้ เท่ากับว่าจะมีร้านโชห่วยประมาณ 14,000 รายสำหรับการรวมตัวกันครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่มากเพียงพอในการสู้กับทางโมเดิร์นเทรด และดึงดูดลูกค้าได้ ทั้งนี้จะมีการทำโปรโมชั่นเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง

"เดิมยี่ปั๊วหรือร้านค้าก็แยกกันจัดโปรโมชั่น ต่างคนต่างทำ ครั้งนี้คือทำเป็นแนวทางเดียวกัน อาทิ เดือนเมษายนนี้จะนำสินค้าของซัพพลายเออร์ที่เข้าร่วมโครงการมาลดราคาลง 25-30% การทำอย่างพร้อมเพรียงกัน ก็ทำให้เกิดอิมแพ็ก"

"คอนวีเนี่ยนส์" ขยายสาขาไม่ยั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปรับตัวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางการขยายตัวเชิงรุกของโมเดิร์นเทรดโดยเฉพาะ "คอนวีเนี่ยนสโตร์" หรือร้านค้าใกล้บ้าน ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงของโชห่วยที่มาพร้อมกับความสะดวกสบาย และสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารพร้อมรับประทาน ซึ่งยังเป็นจุดอ่อนของโชห่วย ซึ่งวันนี้เสียเปรียบทั้งเรื่องของโลเกชั่น การจัดดิสเพลย์ในร้าน รวมถึงตัวสินค้ากลุ่มอาหาร

อย่างไรก็ตาม นายกสมาคมยี่ปั๊วมองว่า ที่ทางยี่ปั๊วและโชห่วยพอจะนำมาสู้ได้ก็คือ "ราคา" ผ่านโครงการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้ เชื่อว่าจะเป็นหนทางอยู่รอดได้บ้างของช่องทางค้าปลีกแบบดั้งเดิม ควบคู่ไปกับการพัฒนาในด้านอื่น ๆ จากนี้

จากตัวเลขของสมาคมผู้ค้าปลีกไทยระบุว่า เดือนธันวาคม 2555 ปัจจุบันคอนวีเนี่ยนสโตร์ทั่วประเทศมีสาขารวมกันกว่า 1 หมื่นสาขา อาทิ เซเว่นอีเลฟเว่น 6,450 สาขา, เทสโก้ เอ็กซ์เพรส 1,060 สาขา 108 ช็อป 630 สาขา เป็นต้น โดยคาดว่าปีนี้ทุกแบรนด์จะเปิดสาขารวมกันไม่ต่ำกว่า 1,000 สาขา ล่าสุดยังมีผู้เล่นรายใหม่คือ "ลอว์สัน" จากประเทศญี่ปุ่น ที่จับมือกับทางสหพัฒน์เตรียมเปิดร้านสาขาแรกในอีก 1-2 เดือนข้างหน้านี้ พร้อมปรับร้าน 108 ช็อป 265 สาขามาเป็นแบรนด์ "ลอว์สัน 108" ที่จะทยอยเปิดหลังจากนี้

เร็ว ๆ นี้ "เทสโก้ โลตัส" เตรียมจะแถลงกลยุทธ์ฉลอง 10 ปี โรลแบ็ค ถือเป็นแคมเปญยิ่งใหญ่แห่งปี ซึ่งร่วมกับซัพพลายเออร์นำสินค้ากว่า 1,000 รายการในทุกแผนก ตั้งแต่อาหารสด ของใช้ในชีวิตประจำวัน เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องใช้ภายในบ้าน นำมาจัดโปรโมชั่นเพิ่มเติมจากช่วงปกติ ที่มีความร่วมมือกับซัพพลายเออร์จัดโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว
 


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2013, 14:57:34
น้ำโขงไม่แห้งเรือสินค้าคึกการค้าเชียงแสนทะลุ1.3หมื่นล.

PRACHACHAT ONLINE
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556


นายทรงกลด ดวงหาคลัง หัวหน้าสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 1 สาขา จ.เชียงราย เปิดเผยว่า ปัจจุบันระดับน้ำในแม่น้ำโขง อ.เชียงแสน เฉลี่ยอยู่ที่ 2.5 เมตร ยังสามารถเดินเรือสินค้าในแม่น้ำโขงระหว่างไทย-พม่า-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ได้ตามปกติ ไม่ได้ประสบปัญหาการขนส่งจากความแห้งแล้งเหมือนปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ สาเหตุระดับน้ำโขงทรงตัวยังไม่มีข้อมูลแน่ชัด แต่อาจเป็นไปได้ว่าประเทศจีนมีการบริหารจัดการการปล่อยน้ำจากเขื่อนในน้ำโขงเขตจีนตอนใต้ เนื่องจากปัจจุบันเรือสินค้าจีนแม้จะเป็นสัญชาติ สปป.ลาว แต่ก็มีการขนส่งสินค้าไปยังตลาดในประเทศจีนเช่นกัน โดยมีการนำเรือขึ้นฝั่งแม่น้ำโขงก่อนถึงประเทศจีน และขนส่งทางบกไปยังจีนตอนใต้ต่อไป

นอกจากนี้ช่วงเวลาการเดินเรือที่ขยายมากขึ้น ทำให้มีเรือสินค้าเข้าไปใช้บริการที่ท่าเรือเชียงแสน แห่งที่ 2 ซึ่งเปิดใช้ใหม่ที่บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคม 2555 มีเรือไปใช้บริการแล้วกว่า 829 ลำ เพิ่มขึ้นจากเดือนละไม่เกิน 500 ลำ ส่งผลให้ภาวะการค้าชายแดนค่อนข้างคึกคัก เพราะนอกจากจะมีสินค้าชนิดเดิมแล้ว ปัจจุบันยังมีสินค้าใหม่ ๆ หลายชนิด เช่น สมุนไพร ไม้ ปลากรอบ ฯลฯ รวมทั้งมีผู้ประกอบการหน้าใหม่เพิ่มขึ้น

หลายราย ล่าสุดพ่อค้าชาวจีนสั่งซื้อไก่แช่แข็งจากผู้ประกอบการชาวไทยกว่า 100,000 ตัน แต่สามารถจัดส่งไปให้ได้เพียง 30,000 ตัน จึงส่งผลให้เรือสินค้าขนสินค้าเดินเรือเป็นประจำทุกวัน

ด้านนายวีระ จินนิกร ผู้จัดการท่าเรือน้ำโขงอำเภอเชียงแสน แห่งที่ 2 เปิดเผยว่า การขนส่งสินค้าทางเรือในแม่น้ำโขงระหว่างไทย-จีน ระยะทาง 300 กว่ากิโลเมตร ล่าสุดยังคงเป็นปกติและดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เพราะปีนี้น้ำแห้งช้า ขณะเดียวกัน เรือสินค้าสัญชาติ สปป.ลาว มีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก ล่าสุดมีมากกว่า 200 ลำ จากเดิม 40-50 ลำ คาดว่าจะทำให้การค้าชายแดนเชียงรายคึกคักตลอดทั้งปี

สำหรับการค้าชายแดนผ่าน อ.เชียงแสน ในปี 2555 ที่ผ่านมา มีมูลค่าการค้ารวม 13,114.66 ล้านบาท แยกเป็นการส่งออก 13,626.88 ล้านบาท และนำเข้า 512.22 ล้านบาท

ส่วนในปี 2554 มีมูลค่ารวม 7,891.91 ล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออก 8,991.17 ล้านบาท นำเข้า 1,099.9 ล้านบาท โดยสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นไก่แช่แข็ง เนื้อกระบือแช่แข็ง สุกรมีชีวิต ฯลฯ โดยสินค้าส่วนหนึ่งถูกส่งด้วยเรือสินค้าสัญชาติ สปป.ลาว ขนาดเล็กไปขึ้นฝั่งที่ท่าเรือเมืองสบหรวย สหภาพเมียนมาร์ ซึ่งอยู่ห่างจากท่าเรือเชียงแสนประมาณ 182.1 กิโลเมตร ก่อนจะขนส่งทางบกไปยังตลาดเมืองลา ชายแดนพม่า-จีน และตลาดในจีนตอนใต้ต่อไป
 

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1361766669&grpid=03&catid=19&subcatid=1901


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 01 มีนาคม 2013, 07:00:18
อ้างจาก: WiiCHY;100765328
มีท่านใดเอามาลงแล้วหรือยัง

(http://image.ohozaa.com/i/53c/zjwnls.jpg)

(http://image.ohozaa.com/i/c17/UkFx6I.jpg)

https://webapp.reedtradex.co.th/enews/me12epostshow/image/preparation_of_infrastructure_and_efficient.pdf (https://webapp.reedtradex.co.th/enews/me12epostshow/image/preparation_of_infrastructure_and_efficient.pdf)


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 01 มีนาคม 2013, 07:35:42

วันศุกร์ ที่ 01 มีนาคม พ.ศ. 2556, 06.00 น.
tags : อุตฯตั้งนิคม, SME, รับทุนต่างชาติ,
 

นายประเสริฐ บุญชัยสุข รมว.อุตสาหกรรมกล่าวว่า ได้มอบหมายให้ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดำเนินการพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเพื่อรองรับกลุ่มอุตสาหกรรมของประเทศเป้าหมาย เพื่อรองรับการให้บริการด้านโลจิสติกส์ และการค้าชายแดน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวทางการค้า การลงทุน อุตสาหกรรม การเกษตร และบริการ นอกจากนี้จะเป็นการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) รวมทั้งรองรับกลุ่มนักลงทุนชาวต่างชาติ อาทิ ญี่ปุ่น จีน ที่ให้ความสนใจในการย้ายฐานการผลิตมาลงทุนในประเทศมากขึ้น

โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจจะประกอบด้วย 4 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี พลาสติก และกลุ่มอุตสาหกรรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตร

ทั้งนี้มีแนวทางในการดำเนินโครงการ คือ การพัฒนาพื้นที่เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของกลุ่มอุตสาหกรรม โดยการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม SMEs ในพื้นที่ 3 แห่งได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจังหวัดใกล้ชายทะเล อาทิ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา เป็นต้น การพัฒนาพื้นที่เพื่อรองรับการให้บริการด้านโลจิสติกส์และการค้าชายแดน โดยตั้งนิคมอุตสาหกรรมบริการด้านโลจิสติกส์ อ.เชียงของ จ.เชียงราย และการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมตามพื้นที่เป้าหมาย โดยจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงกับระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก โดยนำร่องในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีผลการศึกษาความเป็นไปได้ 8 จังหวัด คือ นครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี อุดรธานี มุกดาหาร สกลนคร นครพนม และหนองคาย

“ในการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวจะใช้พื้นที่ทั้งหมด 18,000 ไร่ โดยเป็นเงินลงทุนของภาคเอกชนในการก่อสร้างจำนวน 27,000 ล้านบาท จะทำให้มีการจ้างงาน 212,000 คน โดยคาดว่าจะมีมูลค่าประกอบการที่เข้ามาลงทุนทั้งสิ้น 517,000 ล้านบาท” นายประเสริฐกล่าว
 

 


 
- See more at: http://www.naewna.com/business/43259#sthash.1S5WybWr.dpuf


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 01 มีนาคม 2013, 07:39:15
อุตฯเพิ่มพื้นที่ 1.8 หมื่นไร่ตั้งนิคมฯ 12 แห่งรองรับนักลงทุนทะลักเข้า
วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา 16:36 น.

นายประเสริฐ บุญชัยสุข รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ที่ประชุมคณะกรรมการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)  เห็นชอบแนวทางการพัฒนาโครงการเพิ่มพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมใหม่ 12 แห่งในพื้นที่ 18,000 ไร่ รองรับการเข้าของนักลงทุนโดยเฉพาะ ญี่ปุ่นและจีน ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน และอิเล็กทรอนิกส์ ที่ต้องการเข้ามาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะว่าพื้นที่การลงทุนในนิคมฯ 47 แห่งพื้นที่กว่า 50,000 ไร่ใกล้เต็มความจุ


  สำหรับนิคมอุตสาหกรรมใหม่ทั้ง 12 แห่งประกอบด้วยนิคมอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (นิคมอุตสาหกรรมเอสเอ็มอี) ได้กำหนดเป้าหมายรวม 3 แห่ง ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกติดชายทะเล , นิคมอุตสาหกรรมโลจิสต์ติกส์ อ.เชียงของ จ.เชียงราย  และ.นิคมอุตสาหกรรมเพิ่มเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตกในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีก 8 แห่งประกอบด้วย นิคมฯในจังหวัดนครราชสีมา, ขอนแก่น, อุบลราชธานี, อุดรธานี, มุกดาหาร, สกลนคร, นครพนม, และหนองคาย


  “ทั้ง 12 นิคมอุตสาหกรรมใหม่ จะใช้พื้นที่รวม 18,000 ไร่  คาดว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนรวม 27,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นการร่วมทุนกับผู้พัฒนานิคมเอกชนและเงินลงทุนก็จะเป็นของเอกชนทั้งหมด ส่วนรัฐก็จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในการสร้างความสบายแก่นักลงทุน ซึ่งนิคมฯใหม่ทั้งหมดคาดว่าจะจ้างงานเพิ่มรวม 212,000 คน และมีเอกชนเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานมูลค่ารวม 517,000 ล้านบาท”


  นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการ กนอ. กล่าวว่า คณะกรรมการกนอ. ได้เห็นชอบให้กนอ.ร่วมกับบริษัทเอกชน ในการจัดตั้งหน่วยธุรกิจในรูปแบบบริษัทจำกัด ไปดำเนินการลงทุนตั้งนิคมอุตสาหกรรมในต่างประเทศ รวม 4 แห่ง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับนักลงทุนไทยที่ต้องการไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน  โดยนิคมอุตสาหกรรมใหม่จะมีความชัดเจนภายในปีนี้

http://m.dailynews.co.th/businesss/187542


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 01 มีนาคม 2013, 09:39:26
หอค้าเชียงรายผลัดใบ ได้คนชายแดนนั่ง ปธ.คนใหม่ เน้นลุยจีเอ็มเอสก่อนเออีซี

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   28 กุมภาพันธ์ 2556
เชียงราย - หอการค้าเมืองพ่อขุนผลัดใบ ได้ตัวประธานคนใหม่จากแม่สาย หัวเมืองชายแดนสำคัญ หวังดัน “เชียงราย” เป็นทั้งประตู และศูนย์กลาง “จีเอ็มเอส” เน้นตลาดที่จับต้องได้ ทั้งพม่า ลาว จีน เวียดนาม ที่ค้ากันมานาน ก่อนก้าวสู่เออีซี
       
       วันนี้ (28 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย ว่าการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2556 หอการค้าจังหวัดเชียงราย มีวาระสำคัญ คือ การเลือกตั้งประธานคนใหม่แทนนายชวลิต สุธรรมวงศ์ อดีตประธานที่หมดวาระลง ซึ่งผลการเลือกตั้งปรากฏว่า นายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ รองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย และประธานหอการค้าอำเภอแม่สาย ได้รับเลือกตั้งด้วยเสียงเป็นเอกฉันท์
       
       นายบุญธรรมกล่าวว่า จะจัดตั้งคณะกรรมการอย่างเป็นทางการ เพื่อกำหนดนโยบายไปแถลงต่อที่ประชุมใหญ่หอการค้าอีกครั้งในวันที่ 22 มีนาคม แต่เบื้องต้นมีแนวนโยบายกว้างๆว่า จะพยายามผลักดันให้เชียงรายเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว และการส่งออกสินค้า เชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (จีเอ็มเอส) ให้ได้ เพราะถือว่าเป็นจังหวัดที่มีภูมิศาสตร์ดีเลิศที่สุดแล้ว ทั้งด่านการค้ากับประเทศพม่า ลาว เชื่อมไปถึงจีนตอนใต้ มีเส้นทางคมนาคมที่หลากหลาย ทั้งทางบก ทางเรือในแม่น้ำโขง และทางอากาศ
       
       “ส่วนการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในอีก 2 ปีข้างหน้านั้น ที่จริงแล้วการผลักดันให้เชียงรายเป็นศูนย์กลางจีเอ็มเอสก็เป็นส่วนหนึ่งของเออีซีเช่นกัน และประจวบเหมาะกับการดำรงตำแหน่งประธานหอการค้าที่จะมีการพิจารณากันทุก 2 ปี ก็สอดรับการกับเข้าสู่เออีซีในปี 2558 พอดีด้วย”
       
       นายบุญธรรมกล่าวว่า แนวทางการทำงานของหอการค้าในอนาคต คงไม่มองในมิติที่กว้างมากเกินไป จะไม่เน้นกลุ่มเออีซีซึ่งครอบคลุมถึง 10 ประเทศ ประชากรร่วม 600 ล้านคน เพราะถือว่าใหญ่เกินไป แต่จะมองในมุมที่ภาคธุรกิจภูมิภาคสามารถปฏิบัติได้จริง อาศัยภูมิศาสตร์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมอยู่แล้วเป็นตัวขับเคลื่อน รวมทั้งอาศัยหน่วยงานภาครัฐและสื่อมวลชนช่วยเหลือผลักดันเรื่องจีเอ็มเอส เพราะปัจจุบันมีการติดต่อค้าขายกันอยู่ เป็นตลาดรองรับสินค้าจากไทยอยู่แล้ว เช่น พม่าที่มีประชากรกว่า 60 ล้านคน เวียดนาม 90 ล้านคน จีนตอนใต้ร่วม 200 ล้านคน ยังไม่รวมลาว ที่ค้าขายกันเป็นปกติ
       
       “ปัจจุบันเชียงรายมีการค้ากับท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่าอย่างมหาศาล หากเราใช้พม่าเป็นฐานกระจายสินค้าไปยังประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอาหาร และการเกษตรจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ เช่น กระจายไปบังกลาเทศ อินเดีย และจีน ซึ่งต้องผลักดันตั้งแต่วันนี้ เพราะเชื่อว่าอีก 5-10 ปี เส้นทางคมนาคมในพม่าจะสะดวกมากขึ้ ขณะเดียวกัน เมื่อดูทางลาวและจีนตอนใต้เห็นได้ว่าหลังเกิดเหตุเรือสินค้าจีนถูกปล้นฆ่าดินสินค้าในแม่น้ำโขง ทำให้การค้าด้าน อ.เชียงของ ผ่านถนนอาร์สามเอเข้าไปลาว มีปริมาณมาเป็นอันดับ 1 แทนที่ อ.แม่สาย และ อ.เชียงแสน ซึ่งจะต้องผลักดันเรื่องความสะดวกในการส่งสินค้าไทยไปยังตลาดจีนที่มีขนาดใหญ่ต่อไป”
       
       นายบุญธรรมกล่าวว่า ด้านการท่องเที่ยวเราจะเห็นได้ว่าปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวชาวจีนทะลักลงมาจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ดังนั้น หอการค้ายุคใหม่จึงจะผลักดันให้กลุ่มคนเหล่านี้พักในเชียงราย หรือ 17 จังหวัดภาคเหนือ ก่อนที่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะเดินทางต่อไปยังภูมิภาคอื่นต่อ เพื่อจะได้มีเม็ดเงินสะพัดในพื้นที่
       
       “แนวทางหลัก คือ ต้องผลักดันให้เชียงรายเป็นทั้

งศูนย์กลาง เป็นประตูสู่จีเอ็มเอส และส่งเสริมให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของภูมิภาคนี้ด้วย ส่วนที่เหลือเป็นวิธีการที่เราในฐานะภาคธุรกิจจะได้นำเสนอต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นเรื่องๆ ไป อย่างไรก็ตาม ภาคการเมืองของไทยยังมีปัญหากันอยู่ ดังนั้น ภาคธุรกิจอย่างเราต้องมีความเข้มแข็ง เพื่อยืนหยัดผลักดันนโยบายต่อไป”

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000025201


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 02 มีนาคม 2013, 19:01:40

อดีตเลขาฯอาเซียน ระบุเชียงใหม่มีภูมิศาสตร์เหมาะสมเชื่อมโยงกับเออีซีและคู่ทางการค้าจีน แนะพัฒนาโครงข่ายคมนาคม

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน ปาฐกถาพิเศษเรื่อง"โอกาสความร่วมมือประชาคมอาเซียน+จีน"ในงาน 40 ปีผสานใจนักธุรกิจไทยจีนเชียงใหม่ ที่อาคารศูนย์ประชุมนานาชาติ โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่ ว่า ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) มีประชากรรวมกันทั้ง 10 ประเทศสมาชิกราว 600 ล้านคน จะรวมตัวกันเป็นประชาคมในอีก 2 ปีข้างหน้าหรือในปี 2558 และจะกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก แต่เมื่อรวมจีดีพีของทั้ง 10 ประเทศมีประมาณ 2.4 ล้านล้านหรียญสหรัฐ แต่ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจีดีพีของประเทศจีน ซึ่งมีจีดีพีสูงถึง 7.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จีนจึงมีความสำคัญกับเออีซีอย่างมาก โดยประเทศที่มีพรมแดนติดจีน เช่น พม่า ลาว เวียดนาม แต่ทั้ง 3 ประเทศไม่ใช่ผู้ก่อตั้งอาเซียน แต่ไทยคือผู้ก่อตั้ง ซึ่งไทยมีเศรษฐกิจอยู่ในอันดับ 2 ของเออีซีรองจากอินโดนีเซีย ด้วยความผูกพันระหว่างไทยจีนที่มีพรมแดนห่างกันเพียง 200 กม.โดยมีแม่น้ำโขงและสายการบินเป็นตัวเชื่อมโยง

นอกจากนี้ไทยยังมีนักธุรกิจที่มีเชื้อสายจีนจึงสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่อยู่ในภูมิศาสตร์ที่มีส่วนช่วยเชื่อมโยงความร่วมมือและผลักดันประชากรในเออีซีทั้ง 600 ล้านคน เพราะความพร้อมของไทยจะนำโอกาสมาสู่เออีซี และคู่เจรจาเช่นจีน ขณะนี้ทั้งประเทศไทยตื่นตัวกับเออีซี แต่ยังเป็นการตื่นตัวแบบตระหนก กลุ่มที่มีความพร้อมที่สุด คือ นักธุรกิจ และประชาชนไทยที่มีเชื้อสายจีน ซึ่งไปผูกโยงกับประเทศจีนที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก หลังจีนเปิดประเทศ กลุ่มคนจีนโพ้นทะเลในเอเชียใต้เข้าไปลงทุนในจีนมากที่สุด แม้ช่วงแรกไม่ประสบผลสำเร็จแต่เป็นเรื่องปกติของการลงทุน เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

ดร.สุรินทร์ กล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่ชายฝั่งตะวันออกของจีนเต็มหมดแล้ว ฉะนั้นจุดภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมสำคัญนักลงทุนในเออีซี คือ จังหวัด รัฐ และมณฑลภายในของจีน ซึ่งเมืองเล็กๆเหล่านี้มีประชากรไม่น้อยกว่า 10 ล้านคน ทำอย่างไรที่จะให้เฉินตู คุนหมิง กวางสี เป็นจุดเศรษฐกิจที่เอกชนในเออีซีเข้าไปผูกโยงได้ ต้องทีระบบการเชื่อมโยง โครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค เช่นโครงข่ายคมนาคมทั้ง รถไฟ เครื่องบิน ฯลฯ เหล่านี้ถือเป็นจิตวิญญาณของข้อตกลงความร่วมมือของกลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง หรือ จีเอ็มเอส ที่รัฐบาลจีนพยายามมุ่งเน้นสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์ขึ้นมาเชื่อมโยง ทั้งเส้นทางคมนาคมทางบก เส้นทางรถไฟ สายการบิน รวมทั้งสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ที่จีนออกเงินสร้างคนละครึ่งกับรัฐบาลไทย จะเป็นจุดเชื่อมโยงที่สะดวกที่สุดไปยังมณฑลตอนใต้ของจีน คือ เชียงรุ้ง ยูนาน และคุนหมิง ที่เป็นเมืองใหญ่สุดในภูมิภาคตอนใต้ที่จีนให้ความสำคัญอย่างมากในเวลานี้เมื่อมีการเชื่อมโยงเกิดขึ้นแล้วเชียงใหม่จะได้รับประโยชน์พัฒนาในจีเอ็มเอส และก้าวต่อไปคือ บิมสเทค

"สิ่งที่ต้องตระหนักคือโอกาสของจังหวัดเชียงใหม่มีมากในเออีซี ทั้งด้านการลงทุน การพัฒนาและการแลกเปลี่ยนด้านท่องเที่ยว การศึกษา การคมนาคม ฯลฯ แต่การแข่งขันมีสิ่งท้าทายที่สำคัญสุด คือ เราพร้อมจะออกไปแข่งขันในเวทีเออีซีหรือไม่ คนไทยยังเคยชินและติดกับอดีต แม้ตื่นตัวแต่ยังตื่นตัวกันแบบผิดๆ เช่น หน่วยงานภาครัฐของบประมาณมาทำเรื่องเออีซี แต่ละกระทรวงมีงบประมาณรวมกันมากกว่าหมื่นล้านบาทมาทำเรื่องเออีซี สิ่งที่ต้องทำ คือ เปลี่ยนวิสัยทัศน์ใหม่ เชื่อว่านักธุรกิจไทยเปลี่ยนมานานแล้ว แต่สิ่งที่ไทยควรเปลี่ยนแปลงคือ ระบบการศึกษาที่ต้องปรับเปลี่ยน ไม่จำเป็นต้องสอนให้ท่องจำ แต่ควรสอนให้รู้จักคิด วิเคราะห์ และสังเคราะห์ ต้องมีการปฎิรูประบบราชการและการศึกษา ในอดีตระบบราชการเคยเป็นเสาหลักของประเทศ แต่ปัจจุบันระบบราชการเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา"ดร.สุรินทร์ กล่าว

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20130302/492954/สุรินทร์ชี้เชียงใหม่เหมาะเชื่อมเออีซี.html




หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 03 มีนาคม 2013, 07:52:12
 
“ผมลงพื้นที่เก็บข้อมูลมาหลายประเทศในอาเซียน มีเพียงประเทศไทยที่ดูเหมือนจะบ้าจี้ไปกับเรื่องเออีซีมากเป็นพิเศษเพียงประเทศเดียว อะไรๆก็เออีซีไว้ก่อน แม้แต่การของบประมาณของหน่วยงานราชการก็ต้องพ่วงท้ายด้วยเออีซี  แต่ไม่มีความเข้าใจว่าเออีซีคืออะไร เป็นแค่ข้ออ้างในการใช้งบประมาณเท่านั้น”

ประโยคสนทนาอันดับต้นๆจาก รศ.ดร.รุธิร์ พนมยงค์ อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หัวหน้าสาขาวิชาบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ โลจิสติกส์และการขนส่ง  เป็นการให้ข้อมูลระหว่างเดินทางสำรวจโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์มาเลเซียและการอำนวยความสะดวกทางการค้าเส้นทางไทย-มาเลเซีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย “การสังเคราะห์ผลกระทบต่อประเทศไทยจากการจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์และการปรับรูปแบบโซ่อุปาทานภายใต้บริบทประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” โดยเป็นงานวิจัยที่ทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยและสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกันสนับสนุน

รศ.ดร.รุธิร์ได้ฉายภาพการตื่นตัวของประเทศต่างๆเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีต่อว่า ทางประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานเลขาธิการอาเซียนยังมองว่า เรื่องเออีซียังไม่ใช่ประเด็นหลัก เนื่องจากเงื่อนไขด้านภูมิศาสตร์ของประเทศมีเกาะกว่า 17,000 เกาะ ต้องสร้างระบบเชื่อมโยงภายในประเทศทั้งโครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบภายในประเทศให้มีประสิทธิภาพได้เสียก่อน ขณะเดียวกันหากจะมองเรื่องที่ว่าการรวมตัวของเออีซีทำให้ตลาดใหญ่ขึ้น  ทางอินโดนีเซียก็มองว่า ประชากรของอินโดนีเซียมีจำนวน 255 ล้านคน เป็นตลาดใหญ่จึงให้ความสำคัญมุ่งเน้นตลาดในประเทศก่อนที่จะให้ความสำคัญกับเออีซี


เช่นเดียวกับประเทศฟิลิปปินส์ ที่ลักษณะพื้นที่มีเกาะจำนวนมาก ยังมีปัญหาเรื่องการเชื่อมโยงภายในประเทศ ดังนั้น เรื่องเออีซีจึงเป็นเรื่องที่ยังห่างไกลมากและสาเหตุที่ฟิลิปปินส์ต้องซื้อข้าวจากไทย ไม่ใช่เพราะปลูกข้าวไม่เพียงพอสำหรับบริโภคในประเทศ  แต่แหล่งปลูกข้าวอยู่ในเกาะตอนใต้ค่าขนส่งทางเรือมากรุงมะนิลาแพงกว่าการซื้อข้าวจากไทยและเวียดนาม ส่วนประเทศสิงคโปร์ให้ความเห็นว่าการขับเคลื่อนเออีซีไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์มากนัก เพราะที่ผ่านมาสิงคโปร์ก็เปิดกว้างอยู่แล้ว จึงสามารถทำธุรกิจได้เหมือนเดิมและการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของสิงคโปร์ก็ทันสมัยมาก มองไปไกลกว่าภูมิภาคอาเซียนด้วยซ้ำ

ขณะที่ประเทศเวียดนามมองว่า การเปิดเออีซีไม่ใช่ปัญหาเพราะในเงื่อนไขขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่เวียดนามเป็นสมาชิกจะต้องเปิดเสรีทุกอย่างในปี 2014 เวียดนามจึงให้ความสำคัญกับกรอบของ WTO มากกว่าเออีซี ส่วนประเทศมาเลเซียถ้ามองในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ ทางมาเลเซียมีเป้าหมายก้าวไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วในปี 2020 จึงไม่น่าแปลกใจที่มาเลเซียไม่ค่อยสนใจเรื่องกรอบเออีซีมากนัก แค่พัฒนาให้ท่าเรือรองรับการให้บริการตลาดหลักอย่างจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง ได้ ตลาดก็ใหญ่เพียงพอแล้ว

ในระหว่างทีมงานวิจัยได้พบปะหารือกับผู้บริหารของการท่าเรือกลังของมาเลเซีย ที่มีหน้าที่กำกับดูแลท่าเรือสำคัญ 3 แห่งคือ Northport, Southport และ Westport ปัจจุบันสามารถรองรับสินค้าได้ปีละกว่า 100 ล้านตัน ได้ข้อมูลที่สำคัญคือ มาเลเซียมีการจัดการเรื่องฮาลาลแบบครบวงจร ทั้งเรื่องของตู้คอนเทนเนอร์ คลังสินค้า แพ็กเกจ พนักงาน ทุกอย่างต้องสำหรับอาหารฮาลาลเท่านั้น ไม่มีการใช้ปะปนกัน  เป็นการเพิ่มมูลค่าของการให้บริการท่าเรือยกระดับขึ้นไปอีก ไม่ใช่เน้นเฉพาะแค่ตัวสินค้าเท่านั้นที่เป็นฮาลาล ส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญที่ประเทศไทยจะมองข้ามไปไม่ได้หากยังคิดจะเดินหน้าอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลต่อไปในอนาคต

รศ.ดร.รุธิร์ยังให้มุมมองในการจะสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงร่วมกันในภูมิภาคอาเซียนว่า หากจะให้เออีซีได้รับความสำคัญ ต้องให้ทุกฝ่ายมีความเข้าใจและได้ประโยชน์ร่วมกัน มีการพูดคุยหารือปรับระบบให้เชื่อมโยงต่อเนื่องกันได้ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำไปคนละทิศละทาง รวมไปถึงกฎระเบียบระหว่างประเทศในภูมิภาคด้วยที่ต้องปรับให้ไปในทิศทางเดียวกัน เดินไปพร้อมๆกัน ที่สำคัญต้องรู้เขารู้เรา รู้ว่าประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งในปัจจุบันต้องยอมรับว่าประเทศไทยรู้น้อยมาก

“การรวมกลุ่มเศรษฐกิจในอาเซียน การสร้างตลาดร่วมกันเป็นเรื่องที่แต่ละประเทศต้องทำงานร่วมกัน ไม่ใช่แค่คิดเพียงว่าเป็นคู่แข่งขันกัน จะหาประโยชน์จากประเทศอื่นได้อย่างไร หรือจะปกป้องประโยชน์ของประเทศตัวเองได้อย่างไร ถ้าคิดแบบนี้เดินหน้าเออีซีไม่ได้แน่ ต้องมองว่าจะทำอย่างไรให้ทุกประเทศได้ประโยชน์ร่วมกัน ทั้งเรื่องการพัฒนาจุดข้ามแดน การอำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง การพัฒนาเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน หลายกรอบข้อตกลงในอดีตที่เดินหน้าไม่ได้ก็เพราะต่างคนต่างจะคิดหาแต่ประโยชน์ ปกป้องตัวเองกันทั้งนั้น”

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะเปรียบเทียบการรวมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กับการรวมกลุ่มของสหภาพยุโรปจะมีความแตกต่างกัน ในยุโรปมีกองทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน หรือ European Infrastructure Fund เป็นแหล่งเงินในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน แต่ของอาเซียนไม่มี ต้องใช้งบ ประมาณของแต่ละประเทศเองและแต่ละประเทศก็มีระดับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแตกต่างกัน ดังนั้น จึงเกิดปัญหาตามจุดผ่านแดนและยิ่งเปิดเออีซีในปี 2558 จะยิ่งมีการค้าระหว่างกันมากขึ้น ถ้าไม่มีการปรับปรุงจุดผ่านแดนจะกลายเป็นคอขวดในที่สุด จุดผ่านแดนยังถือว่าเป็นจุดอ่อนที่สุดอยู่ในขณะนี้.

 

โดย: ทีมข่าวเศรษฐกิจ

http://www.thairath.co.th/content/eco/329767




หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 03 มีนาคม 2013, 21:45:14
คนเชียงรายแห่ร่วมมหกรรม SET-TFEX ล้นห้อง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   3 มีนาคม 2556


เชียงราย - ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดห้องจัดมหกรรม SET-TFEX ที่เชียงราย พบคนสนใจแห่ร่วมงานจนล้นห้อง
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงรายแจ้งว่า มหกรรม SET-TFEX เชื่อมชาวเหนือสู่การลงทุน ที่จัดขึ้น ณ ห้องประชุมดอยตุง โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์รีสอร์ท อ.เมือง จ.เชียงราย สุดสัปดาห์นี้ โดยมีนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นประธานเปิดงานฯ และมีผู้ทรงคุณวุฒิทั้งภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเข้าร่วม เช่น นายชาติชาย สงวนพงษ์ ปลัด จ.เชียงราย นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ นายชวลิต สุธรรมวงศ์ ประธานหอการค้า จ.เชียงราย นายเกรียงไกร วีระฤทธิพันธ์ ประธานสภาอุตสาหกรรม จ.เชียงราย ปรากฏว่า ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม จนที่นั่งที่โรงแรมจัดเอาไว้ 500 ที่นั่งไม่เพียงพอและมีการยืนฟังกันเต็มบริเวณด้านข้าง
       
       นายจรัมพรกล่าวว่า ในปี 2556 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ร่วมมือกับพันธมิตรในตลาดทุนมีกำหนดจัดกิจกรรมนี้ใน 10 จังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งเปิดศูนย์ SET Investment Center รวมทั้งกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน โดย จ.เชียงรายถือเป็นหนึ่งในจังหวัดดังกล่าวที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญเพราะเชื่อมโยงกับพม่า สปป.ลาว และจีนตอนใต้ รวมทั้งมีเส้นทางคมนาคมที่กำลังพัฒนาและการค้าชายแดนที่มีมูลค่ามหาศาล จึงถือเป็นพื้นฐานเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่สอดคล้องกับการค้าการลงทุนภายใต้โลกที่ไร้พรมแดน และการเปิดกว้างของประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ ดังกล่าวมากขึ้น
       
       นายจรัมพรกล่าวอีกว่า การค้าชายแดนด้าน จ.เชียงราย มีมูลค่าสูงถึงปีละกว่า 30,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นประจำทุกปี ปัจจุบันรัฐบาลได้เข้าไปพัฒนาโครงการเศรษฐกิจชายแดนมากมาย เช่น ผลักดันการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดน 3 อำเภอชายแดน คือ แม่สาย เชียงแสน และเชียงของ พัฒนาระบบลอจิสติกส์ ขณะที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปในพื้นที่ปีละเกือบ 3 ล้านคน มีฐานเงินออมที่สูงเป็นอันดับ 3 ของภาคเหนือ และมีปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์สูงเป็นอันดับ 2 ดังนั้นจึงเชื่อว่ากิจกรรมจะช่วยสนับสนุนการค้าการลงทุนและให้ความรู้แก่ประชาชนที่สนใจได้เป็นอย่างดี

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000026370


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 04 มีนาคม 2013, 20:20:20
ห้าง-โรงแรมดังเชียงราย จับมือเปิดมิติธุรกิจใหม่ดึงลูกค้า

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   4 มีนาคม 2556 12:32 น.   

   



คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น





   
เชียงราย - โรบินสันเชียงรายจับมือเลอ เมอริเดียน ดึงลูกค้าเข้าใช้บริการ แลกส่วนลดในห้างสูงสุด 30% และส่วนลดร้านอาหาร-เครื่องดื่ม-สปาในโรงแรม 20%
       
       วันนี้ (4 มี.ค.) นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานกเปิดงานความร่วมมือทางธุรกิจ ระหว่างโรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท และห้างสรรพสินค้าโรบินสัน เชียงราย ที่ตกลงร่วมมือให้บริการลูกค้าที่ใช้บริการในแต่ละธุรกิจสามารถนำไปใช้รับประโยชน์จากอีกธุรกิจหนึ่งได้ ภายใต้ชื่อ “Summer Fresh and Fabulous” หากลูกค้าเข้าพักที่โรงแรมจะได้รับคูปองซื้อสินค้าที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน เชียงราย ด้วยส่วนลดตามที่ระบุในคูปองสูงสุด 30% หนึ่งคูปองใช้ได้หนึ่งครั้ง วงเงินไม่เกิน 30,000 บาท
       
       โดยกรณีลูกค้าคนไทยเพียงแสดงบัตรสมาชิกเลอคลับ หรือคีย์การ์ดที่เข้าพักที่โรงแรม ต่อเคาน์เตอร์บริการลูกค้าของห้างสรรพสินค้าก็จะได้รับคูปองเช่นเดียวกัน และหากลูกค้าที่ไปใช้บริการห้างสรรพสินค้าได้แสดงบัตรเดอะวันการ์ดที่โรงแรมก็จะได้รับสิทธิพิเศษในการสมัครสมาชิกเลอ คลับ ฟรี พร้อมส่วนลดอาหารและเครื่องดื่ม บริการสปา 20% เป็นต้น ทั้งนี้ข้อตกลงดังกล่าวจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 6-24 มีนาคมนี้
       
       นายพิพัฒน์กล่าวว่า เป็นเรื่องน่าสนใจมากที่ภาคธุรกิจคนละประเภทมีการตกลงร่วมมือกัน ซึ่งเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีสามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเชียงรายให้มีสีสันมากขึ้น โดยเฉพาะปัจจุบันมีทั้งห้างสรรพสินค้า และโรงแรมหลายแห่ง ความร่วมมือจึงเป็นทางเลือกของผู้บริโภค และช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วย เพราะนักท่องเที่ยวที่มาเชียงรายต่างไปใช้บริการในทั้ง 2 ภาคธุรกิจนี้จำนวนมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ทะลักลงมาท่องเที่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ
       
       ดร.เสฎฐวุฒิ ทัตสุระ ผู้จัดการทั่วไปห้างสรรพสินค้าโรบินสัน เชียงราย กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวเข้าใช้บริการที่ห้างอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งพบว่าเป็นลูกค้าชาวจีนและต่างชาติกว่า 10-15% ดังนั้นจึงได้แสวงหาความร่วมมือทางธุรกิจดังกล่าว
       
       ขณะที่ มร.สตีเฟน โมราฮาน ผู้จัดการทั่วไปโรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท กล่าวว่า โรงแรมพยายามแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ได้ร่วมกับไร่แม่ฟ้าหลวง ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเชียงราย เปิดให้ลูกค้าที่เข้าพักโรงแรม ได้รับสิทธิในการเข้าชมไร่แม่ฟ้าหลวงฟรีมาแล้ว และครั้งนี้นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ที่ทั้ง 2 ภาคธุรกิจมีข้อตกลงกันอีก ซึ่งเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จด้วยดี


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 04 มีนาคม 2013, 21:34:02
ไทยยื่นจดจีไอข้าวสังข์หยดบุกตลาดอียู


วันจันทร์ที่ 04 มีนาคม 2013 เวลา 17:23 น.    ศรีอรุณ จังติยานนท์    ข่าวรายวัน    - คอลัมน์ :



ไทยเตรียมยื่นขอจดจีไอ ข้าวสังข์หยดจังหวัดพัทลุง กับทางอียู รวมทั้งเส้นไหมในภาคอีสานกับเวียดนาม ดันสินค้าไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก

ด้านจีนชวนจดจีไอข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาหลังได้รับความนิยมสูง ขณะวุฒิสภามีมติให้เลื่อนบังคับใช้กฎหมายเครื่องหมายการค้าประเภทกลิ่น และเสียง อ้างเป็นเรื่องใหม่ ผู้ประกอบการหวั่นล่าช้าถูกสวมรอย

นางปัจฉิมา ธนสันติ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา (ทป.) เปิดเผยว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญา เตรียมยื่นขอจดสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์(จีไอ ) ข้าวสังข์หยดจังหวัดพัทลุง กับทางคณะกรรมาธิการยุโรป   ซึ่งข้าวสังข์หยดถือว่าเป็นข้าวที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ช่วยแก้ปัญหาโรคเบาหวาน และปัจจุบันมีการส่งออกไปในตลาดยุโรปอยู่แล้ว หลังจากก่อนหน้านี้ทางอียู ได้ขึ้นทะเบียนข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ของไทยเป็นสินค้าจีไอ มีผลในวันที่ 4 มีนาคม 2556 ณ กรุงบรัสเซลส์ สาธารณรัฐเบลเยียมถือเป็นสินค้าข้าวรายแรกในอาเซียนที่ได้รับจดจีไอในอียู

 ส่วนในกลุ่มประเทศอาเซียน ไทยยังมีแผนจะ ยื่นขอจดจีไอในสินค้าเส้นไหมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือในเวียดนามและในสหภาพยุโรป (อียู) ตามลำดับ ทั้งนี้เนื่องจาก เส้นไหม จะจัดอยู่ ในรายสินค้าหัตถกรรม ที่ไม่ใช่สินค้าเกษตร (non –agriculture items  ) ที่สามารถยื่นขอจดจีไอได้ ซึ่งไทยมีสินค้าผ้าไหมที่โด่งดังไปทั่วโลก  นอกจากนี้ยังมี ชาเชียงราย ,กาแฟดอยช้าง ,กาแฟดอยตุง  ซึ่งในส่วนของกาแฟดอยช้างประเทศไทยได้มีการส่งออกไปยังตลาดยุโรปบ้างแล้ว ส่วนกาแฟดอยตุงคาดว่าน่าจะไปทำตลาดได้ในอนาคตนี้เพราะเริ่มเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น   
“สำหรับชา น่าทำมากเพราะชาไทยมีประวัติศาสตร์ยาวนาน แต่ติดตรงที่ว่าเรื่องที่มาว่าชาควรจะใช้ชาจากที่ไหนดี สุดท้ายก็มาเป็นชาเชียงราย  ซึ่งตอนนี้ทางผู้ประกอบการได้ยื่นเรื่องมาที่กรมเพื่อขอจดทะเบียนเป็นชาเชียงรายแล้ว หลังจากนั้นก็จะมีการประกาศประชาสัมพันธ์ชาเชียงรายต่อไป นอกจากชาแล้ว ยังมีมะพร้าวจากเกาะพะงันที่กำลังขอขึ้นทะเบียน”


นางปัจฉิมา กล่าวเพิ่มเติมอีกว่าขณะนี้รัฐบาลจีนได้ เสนอที่จะขอทำเอ็มโอยู เกี่ยวกับสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์กับไทย และ ได้ชักชวนให้ไทยนำข้าวหอมมะลิไปจดทะเบียนจีไอที่จีนด้วย  เนื่องจาก คนจีนมีความนิยมในข้าวหอมมะลิไทยอยู่แล้ว  และข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ของไทยเป็นข้าวที่ปลูกในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งครอบคลุม 5 จังหวัด ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย   ได้แก่ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ มหาสารคาม ศรีสะเกษ และยโสธร ซึ่งถือเป็นดินแดนที่มีทั้งความแห้งแล้ง ธาตุอาหารและความเค็มของดิน ผนวกกับสภาพอากาศ ส่งผลให้ข้าวเกิดความเครียด และหลั่งสารหอมส่งผลให้ข้าวมีความหอมมากกว่า ข้าวหอมมะลิอื่น

การที่ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ของไทยได้รับการจดทะเบียนคุ้มครองเป็นสินค้าจีไอ ของสหภาพยุโรปจะมีผลทำให้ข้าวดังกล่าวใช้ตรา Protected Geographical Indication ของอียูติดที่สินค้าได้ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า จะเป็นการสร้างรายได้ กระจายตลาดส่งออกให้กับข้าวหอมมะลิในเขตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ของไทย ให้สามารถขายข้าวได้ในราคา premiumในตลาดโลก     
                                                   
 สำหรับความคืบหน้าในการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าโดยเพิ่มเรื่องกลิ่นและเสียง ให้สามารถจดเป็นเครื่องหมายการค้าได้นั้น ล่าสุดจากการพิจารณาของที่ประชุมวุฒิสภาที่ประชุมมีความเห็นว่าให้เลื่อนการบังคับใช้กฎหมายเครื่องหมายการค้าเรื่องกลิ่นและเสียงออกไป อีก 2 ปี โดยให้เหตุผลว่า  เรื่องกลิ่นและเสียง ยังเป็นเรื่องใหม่ สำหรับผู้ประกอบการ และคนไทยจึงทำให้กฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ ล่าช้าออกไปเป็นเดือนสิงหาคม 2558 ซึ่งการบังคับใช้ที่ล่าช้าก็จะมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการ ที่ทำธุรกิจ ทำให้ไม่สามารถยื่นจดกลิ่น และเสียงในสินค้าที่ตนเองคิดค้นขึ้นมาใหม่ได้

http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=172153:2013-03-04-10-23-43&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 มีนาคม 2013, 18:14:27
พาณิชย์เจาะช่องทางการค้าผ่านชายแดนไปยังตลาดโลก
วันพุธที่ 06 มีนาคม 2013 เวลา 10:53 น.


กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับผู้ประกอบการในจังหวัดชายแดนเพื่อปรับยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนการค้าในแต่ละสาขาเชื่อมโยงทั้งส่วนกลางและภูมิภาคในการขยายธุรกิจเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการแข่งขันและขยายธุรกรรมการพาณิชย์ไทย ก้าวสู่ความเป็นผู้นำทางการค้าของASEAN เพื่อกระจายการค้าไปยังประเทศคู่ค้าเช่น อินเดีย จีน และตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่

นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ดำเนินโครงการพัฒนาช่องทางการค้าระหว่างไทยกับประเทศ เพื่อนบ้านใน ASEAN+6 ผ่านเครือข่ายโลจิสติกส์ เพื่อหาช่องทางใหม่ๆ (New Trade Infrastructure) ขยายช่องทางการค้าไทยสู่เพื่อนบ้าน CLMV และกำหนดกลไกในการอำนวยความสะดวกทางการค้าในมิติต่างๆ สนับสนุนSMEs ไทยขยายมูลค่าการค้าทั้งในท้องถิ่นและกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านช่องทางเหมาะสมสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล 4 ประการในการสร้างฐานเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืน

กิจกรรมภายใต้โครงการฯ จัดเวทีระดมความเห็นเพื่อวางแผนงานเชิงรุกในการหาช่องทางการค้าใหม่ๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลาง  และจังหวัดที่มีระเบียงเศรษฐกิจ (Economic Corridor) มีเส้นทางสามารถเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ กาญจนบุรี(สู่ทวาย ออกอ่าวเบงกอล) เชียงราย (สปป. ลาว เข้า จีนยูนนาน) และมุกดาหาร (ผ่านลาวเข้าเวียดนาม ไปจีนกวางสี)สระแก้ว (เข้ากัมพูชา พนมเปญ ไปเวียดนาม โฮจิมินห์)  โดยกลุ่มจังหวัดที่เป็นประตูการค้ายกระดับจากการค้าชายแดน สู่ประตูการค้าในภูมิภาค ASEAN และคาดว่าหากโครงการเสร็จสิ้น (ปลายเดือนมีนาคม 2556) จะสามารถกระตุ้นมูลค่าทางการค้าให้เพิ่มมากขึ้น

โดยเฉพาะการค้าชายแดนกับประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงCLM มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 43.3 (มาเลเซีย 56.6%) ในปี 2555 เป็นร้อยละ 48 ร้อยละ 53  และร้อยละ 55 ในปี 2556 , 57 และ 58 ตามลำดับ  และในส่วนของการส่งออกสินค้าไปยังประเทศในอาเซียนโดยภาพรวม ขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ต่อปี ตลอดในช่วง 3 ปี ดังกล่าวเป็นอย่างน้อย
 
ทั้งนี้  กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์  จะจัดประชุมสรุปผลการศึกษาในวันจันทร์ที่11 มีนาคม 2556เวลา 08.30-13.30 น. ณ ห้องมิราเคิล แกรนด์ ซี โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯเพื่อเสนอความเห็นและแลกเปลี่ยนมุมมอง เพื่อนำข้อเสนอแนะไปประกอบการปรับปรุงผลการศึกษาให้สามารถนำไปใช้ประกอบการกำหนดยุทธศาสตร์การค้าในแต่ละท้องถิ่น รวมทั้งธุรกิจในส่วนกลาง สร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนตามความเหมาะสมของแต่ละสาขา และขนาดธุรกิจ

โดยการบรรยายสรุป จาก ผศ.ดร.พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านโลจิสติกส์ม.บางมด(Log –Ex)และการเสวนาในหัวข้อ “การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของกลุ่มประเทศ CLMV”รวมทั้งได้มีการจัดเตรียมผลการศึกษาฉบับเผยแพร่สำหรับผู้สนใจเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไปสนใจสำรองที่นั่งได้ที่ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านโลจิสติกส์ ม.บางมด โทรศัพท์ 02-470-8439


http://www.thanonline.com/index.


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 มีนาคม 2013, 18:15:48
ททท.ร่วมงานไอทีบี 2013 อย่างยิ่งใหญ่เน้นเจาะตลาดเฉพาะที่มีศักยภาพ

สร้างแบรนด์ประเทศไทยในเวทีการขายระดับโลก
     นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า การนำภาคเอกชนร่วมงานในแต่ละปี นอกจากจะเปิดบูธให้ผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมเจรจาธุรกิจตามปกติ และเสริมด้วยรูปแบบการขายแบบใหม่ในรูปแบบมินิมาร์ท ซ้อนในงานเพื่อเปิดตลาดใหม่แล้ว ยังส่งเสริมการเปิดตลาดเฉพาะที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายด้วย
     ขณะที่ นางจุฑาพร เริงรณอาษา รองผู้ว่าการ ททท. ด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา กล่าวว่า ในปีนี้ ทางททท.ได้จัดพื้นที่ห้องประชุมโซน 26 บี ทั้งหมดเป็นพื้นที่การขายของประเทศไทย ซึ่งจะมีผู้ประกอบการไทยมากกว่า 100 ราย เข้าร่วมในครั้งนี้ นับเป็นการสร้างแบรนด์ประเทศไทยในเวทีการขายระดับโลกได้เป็นอย่างดี  โดยปีนี้จะเน้นทำตลาดเฉพาะกลุ่ม ส่วนตลาดอื่นๆ ททท. จะใช้รูปแบบการจัดงานในลักษณะมินิมาร์ทซ้อนอยู่ภายในงานไอทีบี เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยที่อยู่ภายในบูธ ได้พบปะกับผู้ประกอบการทางยุโรป โดยเฉพาะตลาดใหม่ และกลุ่มบายเออร์ ที่ไม่ได้มาเข้าร่วมงานไอทีบี ในช่วงหลังวันที่ 8 มีนาคม 2556   
     “ทางสำนักงาน ททท.ในยุโรป ทั้งหมด 7 สำนักงาน อาทิ ลอนดอน ปารีส แฟรงก์เฟิร์ต และโรม ทำการดึงตลาดที่ตัวเองรับผิดชอบมาเข้าร่วมด้วย เช่น สำนักงานโรม นอกจากจะนำบายเออร์จากอิตาลีมาร่วมงานแล้ว ยังนำบายเออร์จากตุรกี สเปน เข้ามาในมินิมาร์ทด้วย  ซึ่งการจัดงานในรูปแบบดังกล่าว ปีนี้ได้จัดขึ้นเป็นปีที่ 2  โดยปีแรกประสบความสำเร็จ และได้รับการตอบรับที่ดีมาก” นางจุฑาพร กล่าว
     สำหรับตลาดเฉพาะกลุ่มนี้ ทางททท.ได้มุ่งไปที่ตลาดฮันนีมูนที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้สภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศแถบยุโรปจะไม่ดีนักก็ตาม ทั้งนี้เป็นเพราะคู่รักทุกคา ยังต้องการที่จะแต่งงาน และเดินทางฮันนีมูน ซึ่งประเทศไทยเป็นเดสติเนชั่นหนึ่งของนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวนี้ เนื่องจากประเทศไทยมีความสวยงามของหาดทรายชายทะเล มีพูลวิลล่า มีเรื่องวัฒนธรรม อาหารไทย แหล่งช็อปปิ้ง ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว อีกทั้งในปีนี้ ททท. ยังได้มีการทำเอกสารไปแจกให้กับโอเปอเรเตอร์ สำหรับกลุ่มฮันนีมูนโดยเฉพาะ ภายในเอกสารดังกล่าวจะจัดทำเป็นรูปเล่ม ที่มีรายละเอียดต่างๆ ทั้งสถานที่ฮันนีมูนในทุกภูมิภาคของไทย เช่น จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย เลย ภูเก็ต เป็นต้น


http://www.siamrath.co.th


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 มีนาคม 2013, 22:38:48
วันที่ 6 มีนาคม 2556 09:00
เชียงของ 1 เมือง 2 แบบ

โดย : นิภาพร ทับหุ่น


เมื่อเมืองเล็กๆ ริมแม่น้ำโขงกำลังถูกกระแส AEC เจาะจงให้เป็น "เมืองเศรษฐกิจ" ชีวิตของผู้คนในเมืองนั้นจะเป็นอย่างไร และ "ใคร" กำหนด

รถยุโรปคันนั้นจอดนิ่งอยู่บนลานจอดรถบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยมีรถหรูป้ายทะเบียนภาษาจีนอีกเกือบ 20 คัน จอดไล่เรียงกันไปเต็มพื้นที่ นี่ยังไม่นับรวมที่จอดระเกะระกะอยู่ตามซอกเล็กๆ หน้าอาคารต่างๆ หรือแม้แต่บนช่องทางจราจรที่มีป้าย "ห้ามจอด" ก็ดูเหมือนจะไม่มีความหมายใดๆ เพราะทุกมุมกลายเป็นพื้นที่ "จอดได้" สำหรับรถป้ายทะเบียนจีนไปหมดแล้ว

เมืองเล็กๆ ที่เคยสงบงามอยู่ริมลำโขงอย่าง เชียงของ กำลังถูกรุกรานอย่างหนักจากคาราวานรถยนต์ของจีนที่เพิ่มจำนวนขึ้นทุกปี โดยเฉพาะปีนี้ (2556) ที่ภาพยนตร์ Lost in Thailand ได้รับความนิยม ทำให้เกิดกระแสท่องเที่ยวตามรอยหนังและมีคาราวานรถยนตร์จากจีนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวภายในประเทศไทยผ่านการใช้ท่าเรือบั๊คเป็นจำนวนมากกว่า 2,000 คันภายในเวลา 2 เดือน

ไม่เพียงเท่านั้น รถบรรทุกคันโตอีกวันละหลายสิบคันก็ใช้ถนนเล็กๆ ภายในตัวเมืองเชียงของเป็นทางผ่านในการขนถ่ายสินค้า เมื่อรถบรรทุกขนาดใหญ่โคจรมาพบกับรถหรูไร้วินัย ปัญหาการจราจรจึงเกิดขึ้นและลุกลามจนเกือบจะกลายเป็นการจราจลให้คนเชียงของต้องปวดหัวไปตามๆ กัน

ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) กำลังคืบคลานเข้ามาในอีก 2 ปี สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) กำลังจะเปิดใช้บริการในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ถามว่า ในฐานะจุดเชื่อมต่อที่อยู่ใกล้กับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่อย่างจีน เชียงของเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่ใกล้เข้ามานี้หรือยัง เพราะไม่เพียงแค่เรื่องของถนนหนทาง หรือสาธารณูปโภคพื้นฐานเท่านั้นที่จะกลายเป็นปัญหา แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นยังกระทบไปถึงวิถีชีวิต เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และสังคมของคนเชียงของในทุกๆ ด้านอีกด้วย

เมื่อการพัฒนาเพื่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจการค้าเป็นนโยบายระดับชาติที่ไม่อาจทัดทานได้ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่คนเชียงของจะต้องเตรียมตัวตั้งรับโดยที่ไม่ลืมที่จะรักษา "รากแห่งวัฒนธรรม" และความเป็น "เชียงของ" ที่งดงามไว้ด้วย

เมืองสงบในวันวาน

แม้จะเป็นเมืองในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยกับเมืองหิรัญนครเงินยาง(เชียงแสน) แต่ก็ดูเหมือนว่า "เชียงของ" เพิ่งจะเป็นที่รู้จักในหมู่สาธารณชนวงกว้างเมื่อราว 20 กว่าปีที่ผ่านมานี้เอง

ปี 2532-2533 พลเอกชาติชาย ชุณหวัณ นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ได้ดำเนินนโยบายทางการทูตแนวใหม่ คือ "เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า" และมีการสำรวจแม่น้ำโขงตั้งแต่ประเทศจีนลงมา กระทั่งถึงเชียงของซึ่งเคยเป็นเมืองค้าขายที่สำคัญในอดีตแต่ถูกปิดตัวลงเพราะปัญหาสงครามและการเมือง บทบาทศูนย์กลางการค้าขายจึงกลับมาสู่เมืองเชียงของอีกครั้ง ในยุคนั้นเริ่มมีผู้คนอพยพเข้ามาทำการค้า และก็มีอาชีพใหม่เกิดขึ้น นั่นก็คือ การท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยวประเภทแบกเป้ไม่มีใครไม่รู้จักเชียงของ เพราะที่นี่เป็นจุดล่องเรือที่จะพาทุกคนไปสู่เมืองมรดกโลก-หลวงพระบางได้อย่างง่ายดายที่สุด แน่นอนว่า สินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นที่พัก ร้านอาหาร แต่ทั้งหลายนั้นก็ยังมี "ขนาดเล็ก" ล้อกันไปกับเมืองเล็กๆ อย่างเชียงของ

นิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานเครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง-ล้านนา เล่าว่า เชียงของเริ่มเติบโตอีกครั้งเมื่อมีโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ อันประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ คือ จีน พม่า ลาว และไทย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และเพิ่มอำนาจการเจรจาต่อรองทางการค้า เมื่อมองว่าอนาคตของเชียงของยังไปได้อีกไกลจึงมีคนต่างถิ่นและนายทุนเข้ามากว้านซื้อที่ดินไว้มาก จากราคาไม่ถึงหนึ่งแสนบาทต่อไร่ก็ขยับมาซื้อขายกันที่ 1 ล้านบาท และตลาดที่ดินก็ถูกปั่นขึ้นไปจนถึง 5-6 ล้านบาท เมื่อมีการประกาศเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน รวมถึงโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย)

"ทุกคนเข้ามาเพราะอ่านเกมได้ว่า นี่คือเมืองหลวงของการค้าขาย แล้วสะพานเชียงของไม่เหมือนสะพานหนองคาย ไม่เหมือนสะพานมุกดาหาร สะพานนี้(เชียงของ-ห้วยทราย)จะเป็นสะพานที่คนใช้มาก อาจจะเรียกว่ามากที่สุดก็ได้ เพราะว่าคนจีนก็เข้ามา คนลาวก็เข้ามา ฉะนั้นเมืองเชียงของจะต้องเปลี่ยนไปมากมายแน่นอน"

แต่ยังไม่ทันที่สะพานมิตรภาพแห่งล่าสุดจะเปิดใช้ คนทั้งอาเซียนก็ได้ทำความรู้จักกับถนนมิตรภาพที่เรียกว่า R3A ถนนสายนี้เป็นถนนที่เชื่อมโยงประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงไว้ด้วยกัน โดยมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ตัดเข้าสู่ สปป.ลาว ที่เมืองห้วยทรายแขวงบ่อแก้ว แล้วไปจบที่แคว้นสิบสองปันนา มณฑลคุนหมิงในจีน ซึ่งความสำคัญของถนนสายนี้ไม่ใช่แค่การคมนาคมธรรมดาทั่วไป แต่ยังถูกวางให้เป็นเส้นทางขนส่งสินค้า(โลจิสติกส์) ที่ทั้งสะดวกสบายและย่นระยะเวลาได้มากมายทีเดียว

"จากการใช้เส้นทาง R3A ใน 2-3 ปีที่ผ่านมา เราพบการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นว่า การนำเข้าสินค้าจากเพื่อนบ้านเราไม่ว่าลาวหรือจีน ส่วนใหญ่เป็นสินค้าจากจีนจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ ผักผลไม้เมืองหนาว และสินค้าราคาถูกหลายๆ ตัวที่มีความต้องการในประเทศ ผมดูว่ามันเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ส่วนสินค้าบ้านเราผ่านตู้คอนเทนเนอร์ไปก็มีเหมือนกัน ผักผลไม้เมืองร้อนเฉพาะฤดูกาล แต่ในบางช่วงที่เราเข้าไปขายในบ้านเขาปัญหาอุปสรรคที่เราเจอคือ ต้องมีใบรับรอง เชียงของมีสวนผลไม้ในพื้นที่เหมือนกับจันทบุรี แต่เราไปจีนไม่ได้เพราะขาดใบอนุญาตจากภาครัฐ" สงวน ซ้อนกลิ่นสกุล รองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย ฝ่ายพัฒนาระบบโลจิสติกส์ พ้อ

นิวัฒน์ เสริมว่า นอกจากจะเป็นต้นทางของถนนสาย R3A หรือจุดเริ่มต้นของการขนส่งสินค้าชายแดนแล้ว เชียงของยังเป็นจุดผ่านของการท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ใช้เส้นทางนี้ผ่านเข้าประเทศไทย แล้วมาแวะใช้บริการหลายๆ อย่างในเมืองเชียงของ จนเกิดภาพแห่งความโกลาหลขึ้น

"ทุกวันนี้รถของจีนเข้ามาเยอะมาก แล้วก็เกิดอุบัติเหตุ ทะเลาะกับคนท้องถิ่น เพราะใช้กฎจราจรไม่เหมือนกัน ผมคิดว่านี่เป็นตัวอย่างของวิธีคิดของรัฐไทยด้วยนะ เรื่องการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ถ้าคิดแบบนี้ตายเลย ถ้าเป็นผมท่องเที่ยวแบบนี้ไม่ได้ คนจีนเข้ามาเที่ยวประเทศไทยได้ แต่รถเข้ามาต้องเสียแพงนะ ยกตัวอย่างว่า เสียคันละ1-2 หมื่นถึงจะเข้าได้ แต่ถ้าเข้ามาเที่ยวได้ ผมมีรถให้คุณ มีไกด์ให้ มีคนขับให้ มีเส้นทางท่องเที่ยว แบบนี้คนท้องถิ่นถึงจะอยู่ได้ แต่นี่ปล่อยรถเข้ามาเป็นพันๆ คัน แล้วก็ไปเรื่อยๆ เลย แบบนี้มันเป็นวิธีคิดการจัดการท่องเที่ยวที่ไม่มีกึ๋น...คำว่าเสรี บ้านเรามันปิดเสรี ไม่รู้ว่าเสรีคืออะไร เราเข้าไปเมืองจีนยากมาก แต่ทำไมเขาเข้ามาบ้านเราง่ายมาก เมืองจีนเราเข้าไปเขาวางกินเราไว้ตลอดทาง แต่บ้านเรา...คือวิธีคิดมันคนละอย่างกัน เชียงของขณะนี้อยู่ในช่วงของวิกฤต ถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนต้องมาช่วยกัน"

มองอนาคตแล้วประธานเครือข่ายฯ มองเห็นแต่ภาพเชียงของในด้านลบ ทั้งการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไร้ขีดจำกัด และวัฒนธรรมพื้นถิ่นที่จะค่อยๆ ถูกกลืนไป นั่นทำให้คนเชียงของเกิดการตื่นตัวครั้งใหญ่ นำมาสู่การระดมความเห็นและวางอนาคตที่ควรจะเป็นให้กับอำเภอเชียงของ

"ที่ผ่านมาคนเชียงของก็ได้พูดคุยกัน เรามีการตั้งโจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้เมืองเชียงของเจริญเติบโตได้ และอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเอง ในเชิงวิถีวัฒนธรรมจะใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างไร เรื่องการค้าก็ปฏิเสธไม่ได้ แต่คิดว่าจะทำยังไงให้สองแบบนี้อยู่ด้วยกันได้ ก็มีการพูดคุยกันถึงเรื่อง 1 เมือง 2 แบบ ขึ้นมา"

ภาพฝันบนการเปลี่ยนแปลง

รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม หัวหน้าคณะผู้วิจัยโครงการภูมิวัฒนธรรม ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวว่า มองโดยรวมภาคประชาคมของเชียงของถือว่ามีศักยภาพมาก เพราะทุกภาคส่วนสามารถประสานงานกันได้อย่างราบรื่น

"ผมว่ามีศักยภาพในการต่อรองกับรัฐได้ แต่ต้องระมัดระวังให้การวางแผนมันรอบคอบ ผมสนใจที่บอกว่าจะแยกเมืองเป็น 2 แบบ ผมเห็นด้วย จุดเด่นของเชียงของอยู่ที่เมืองโบราณตรงนี้ ซึ่งแม่สายไม่มี ไม่ชัด เชียงแสนไม่ต้องพูดถึง เพราะมันละลายเป็นที่ของเอกชนไปหมด เลอะเทอะ แต่ภาพของผังเมืองเชียงของยังเพอร์เฟกต์ที่สุด มีกำแพงคูน้ำคันดิน แล้วคนที่อยู่ด้วยก็อยู่ด้วยกันได้ รวมทั้งวัดต่างๆ ที่รวมอยู่ มันทำให้เชียงของเป็น Living Historic Cityเพราะฉะนั้นมันจะต้องมองเป็นภาพ Living Historic City แล้วรักษาตรงนี้ไว้ และจะเป็นไฮไลท์สำหรับการพัฒนาเรื่องต่างๆ ผมว่าเชียงของสร้างเมืองประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตได้ดีที่สุด เพราะว่าคนในยังอยู่ ขอให้จัดการให้ได้จะเห็นภาพ และจะเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เราไม่แชร์กับใคร ไม่ต้องง้อใครเขา ต้องวางแผนให้ดี"

ด้านประธานเครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง-ล้านนา อธิบายว่า สาระสำคัญของแนวคิดในการพัฒนาอยู่ที่การจัดแบ่งพื้นที่อำเภอเชียงของจากเอกลักษณ์ที่มีอยู่ ตามบริบททางประวัติศาสตร์และฐานการผลิตเดิม แล้วนำมาต่อยอดให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ซึ่งเชียงของสามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ นั่นคือ เขตเมืองเก่าและเขตเมืองใหม่

เขตเมืองเก่า (เวียงเชียงของ) กินพื้นที่เมืองเก่าและพื้นที่โดยรอบที่เป็นฐานการผลิตทางเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยวเดิม รวมถึงวัดในเขตเมืองหลายแห่ง ส่วนเขตเมืองใหม่จะมีโครงการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าการลงทุนเข้ามารองรับ โดยกำหนดให้อยู่นอกเมืองเก่าออกไปบริเวณโดยรอบเชิงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 และพื้นที่ใกล้เคียง

"เมืองเก่าเมืองใหม่เป็นลักษณะการวางรูปธรรมของการพัฒนาที่ไม่ให้สับสน ให้มีความชัดเจนเพื่อตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ที่เราจะเดิน ตอนนี้เป็นขั้นการเตรียมและพูดคุยกัน ภายในเดือนมีนาคม-เมษายน 2556 ยุทธศาสตร์จะต้องเสร็จ ซึ่งเราคิดว่าการทำยุทธศาสตร์ครั้งนี้จะเป็นการทำยุทธศาสตร์ของบ้านเมืองที่มีส่วนร่วมของภาคประชาชนมากที่สุด เพราะที่ผ่านมายุทธศาสตร์ของเชียงของถูกจัดการโดยคนบางกลุ่ม หรือไม่มีส่วนร่วมของภาคประชาชนโดยแท้จริง ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่ 1 หรือครั้งสำคัญ ครั้งเปลี่ยนแปลง พ่อค้า ประชาชน ชาวบ้าน ภาคประชาสังคมทุกส่วนมาร่วมกันทำ"

ด้าน ธวัชชัย ภูเจริญยศ ปลัดอำเภอ หัวหน้ากลุ่มบริหารงานปกครอง อำเภอเชียงของ กล่าวว่า ในฐานะเมืองชายขอบที่เป็นประตูสู่อาเซียน เชียงของจำเป็นต้องออกแบบเมืองให้ชัดเจน

"ผมเคยได้คุยกับท่านเจ้าแขวงหลวงพระบาง ท่านเล่าให้ฟังว่า หลวงพระบางเขาแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือเมืองเดิมกับเมืองใหม่ ในประเทศจีนก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน เขาใช้วิธีบังคับได้ แต่บ้านเราทำไม่ได้เพราะว่า จารีต เสรีชน เสรีภาพ มันทำให้ต่างคนต่างคิด ข้าราชการบอกให้คุณย้ายออกไปจากตรงนี้ เดี๋ยวเขาร้องศาลปกครอง มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ยากมาก แต่ถ้าเราค่อยๆ จัดระบบ อาจจะเริ่มจากส่วนราชการตรงนี้ก่อน ผมได้แนวคิดจากครูตี๋(นิวัฒน์ ร้อยแก้ว) ว่าอยากได้ตรงนี้เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรม หน้าที่ของพวกผมคือต้องออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด"

ปลัดอำเภอเชียงของหมายถึง การย้ายศูนย์กลางการติดต่อราชการออกไปอยู่ในเขตเมืองใหม่ แล้วยกพื้นที่เดิมนั้นให้เป็น "ศูนย์วัฒนธรรมนิทัศน์อำเภอเชียงของ" เพื่อเป็นศูนย์กลางของเมืองในการทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมความรู้ทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาด้านต่างๆ ของคนในชุมชนเชียงของ รวมถึงเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวทั้งระบบ เพื่อให้เกิดการพัมนาอย่างยั่งยืน

"หน้าที่ของราชการคือต้องขับเคลื่อนตรงนี้ให้ได้ ที่สำคัญคือต้องนำเสนอให้ถึงรัฐบาล ทำยังไงก็ได้ขอให้เสนอถึงรัฐบาล ให้รัฐบาลให้ความสำคัญและโฟกัสลงมาก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ซึ่งรัฐบาลจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องต้องร้อนรน เพราะถ้าเราให้คนเชียงของเดินได้ และเขาเข้าใจ ผมว่าสุดท้ายแล้วรัฐบาลต้องเอาตาม"

และคำยืนยันสุดท้ายของปลัดหนุ่มแห่งลุ่มน้ำโขง ก็ทำให้ภาพ "ประชาคม" ที่แข็งแรงของชาวเชียงของแจ่มชัดขึ้น

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/lifestyle/20130306/493270/%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-1-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87-2-%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A.html


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: alintacai999 ที่ วันที่ 07 มีนาคม 2013, 13:25:25
รับทราบครับ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 มีนาคม 2013, 19:28:15
อ้างจาก: WiiCHY;101429443
[SIZE="4"][COLOR="Red"]ผลการออกแบบ The River of Ar[/COLOR][/SIZE]t

(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/35005_513458252029004_322551542_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-snc7/577577_513458265362336_1033075218_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/579900_513458355362327_156634041_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/601418_513458758695620_437764834_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/486511_513459028695593_1714049429_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-snc6/221746_513459778695518_978902740_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/386492_513482362026593_78224826_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/487478_513482608693235_881776072_n.jpg)

https://www.facebook.com/media/set/?set=a.513458138695682.1073741828.134475629927270&type=3 (https://www.facebook.com/media/set/?set=a.513458138695682.1073741828.134475629927270&type=3)


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 มีนาคม 2013, 19:31:22
หอค้าเชียงรายจัดเวทีพบสื่อ ชี้ทศวรรษใหม่สู่จีเอ็มเอส

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   20 มีนาคม 2556

เชียงราย - หอการค้าเมืองพ่อขุนตั้งโต๊ะโชว์ตัวประธานคนใหม่ พร้อมประกาศยุทธศาสตร์เดินหน้าดัน GMS เต็มที่ ลุ้นพม่าพัฒนาถนนเชื่อมเชียงตุง-ตองจี-มัณฑะเลย์ให้เสร็จ เชื่อหนุนสินค้าไทยครองตลาดพม่าได้อีกมหาศาล
       
       วันนี้ (20 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย ว่าหอการค้าจังหวัดเชียงรายได้แถลงข่าวเปิดตัวนายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ เจ้าของร้านเม็งรายแอนติคส์ อ.แม่สาย ประธานหอการค้าจังหวัดคนใหม่ ขึ้นที่ร้านอาหารภูแล อ.เมือง โดยคณะกรรมการหอการค้าชุดใหม่จะแถลงนโยบายต่อที่ประชุมใหญ่ วันที่ 22 มีนาคมนี้
       
       นายบุญธรรมกล่าวว่า เชียงรายมีศักยภาพเป็นยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ซึ่งสมควรที่จะได้รับการสนับสนุนและพัฒนาจากภาครัฐและเอกชนให้มากขึ้นเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศและภาคเหนือ โดยจะมุ่งเน้นไปยังการพัฒนาเชื่อมเป็นประตู หรือเชื่อมกับกลุ่มความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศหรือจีเอ็มเอส (Greater Mekong Subregion : GMS) เพราะถือว่าเราอยู่ใกล้ชิดและเกี่ยวข้องกับกลุ่มนี้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นพม่า ลาว และจีนตอนใต้ ซึ่งในปัจจุบันมีถนนเชื่อมผ่านลาว-จีนตอนใต้ หรือถนนอาร์สามเอ โดยมีการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ ที่จะเปิดใช้งานได้อย่างเป็นทางการราวเดือนมิถุนายนนี้ ส่วน อ.เชียงแสนก็มีท่าเรือแม่น้ำโขงและมีการค้าทางเรือที่คึกคัก
       
       นายบุญธรรมกล่าวว่า ด้าน อ.แม่สาย ที่เป็นประตูทางเศรษฐกิจที่สำคัญก็มีกระแสว่าถนนอาร์สามบีเชื่อมชายแดนแม่สาย-พม่า-จีนตอนใต้กำลังจะมีการเปิดด่านต้าลั้ว ที่เมืองลา เชื่อมกับจีนตอนใต้อีกครั้ง ซึ่งจะทำให้การคมนาคมทะลุไปถึงจีนตอนใต้ได้อีกเส้นทางหนึ่ง
       
       ขณะเดียวกัน พบว่าพม่าเป็นตลาดใหญ่ที่รองรับสินค้าจำนวนมหาศาลจากประเทศไทย ผ่านทางจุดผ่านแดนถาวร อ.แม่สาย ซึ่งตนเห็นว่าหากพม่าพัฒนาถนนเชื่อมจากชายแดน หรือเชื่อมต่อจากเส้นทางอาร์สามบีไปถึงเมืองอื่นๆ จะทำให้สินค้าไทยกระจายเข้าไปได้มากขึ้น โดยล่าสุดทราบว่าทางการพม่าเองก็กำลังพัฒนาเส้นทางจากเมืองเชียงตุงไปยังเมืองตองจี ศูนย์กลางของรัฐฉาน ระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร ขณะเดียวกันก็พัฒนาจากเมืองตองจีไปยังเมืองมัณฑะเลย์ อดีตเมืองหลวงเก่าของพม่า ซึ่งถือเป็นเมืองใหญ่อีกเมืองหนึ่ง ระยะทางประมาณ 600 กิโลเมตร หากถนนทั้ง 2 สายได้รับการพัฒนาจนแล้วเสร็จจะสามารถขนส่งสินค้าไทยผ่านทาง จ.เชียงรายได้จำนวนมหาศาลแน่นอน
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000033914


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: VALUE ที่ วันที่ 21 มีนาคม 2013, 10:34:23
 ::) ::)   เป็นความรู้  ทั้งนั้นเลย ดีจริงๆๆๆๆ :o :o :o :o


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 มีนาคม 2013, 12:43:02
บีซีเอช วาดแผนลงทุน 3 ปี ก่อนเปิดเออีซี  รุกตลาดรักษาพยาบาลครบทุกเซ็กเมนต์  หลังครองผู้นำกลุ่มระดับกลาง  เตรียมขยายโปรเจ็กต์จับตลาดบน "World medical center"  แห่งที่ 2 ที่พัทยา

(http://www.thanonline.com/images/stories/article2013/2828/102.jpg)

พร้อมซุ่มสร้างแบรนด์โรงพยาบาลจับตลาดล่างและผู้ป่วยประกันสังคม  ชูโมเดลธุรกิจ Sun and Satellite Model ขยายเครือข่ายโรงพยาบาล ปูทางสร้างรายได้หมื่นล้าน
    น.พ.เฉลิม  หาญพาณิชย์  ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท  บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน)  หรือ BCH  เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"  ถึงแผนการขยายธุรกิจและการเตรียมตัวรองรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ในปี 2558 ว่าเป้าหมายของกลุ่มบีซีเอชภายในระยะเวลา 3 ปี ให้ความสำคัญใน  3 เรื่องคือ 1. การขยายการรักษาให้ครบทุกกลุ่มเป้าหมาย  ทั้งตลาดระดับบน ระดับกลาง และระดับล่าง
    2. การขยายธุรกิจสินค้าที่เกี่ยวข้องวงการแพทย์  หรือ Medical Device เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยต้องนำเข้าสินค้าอุปกรณ์ทางการแพทย์  รวมถึงยาเข้ามาจากต่างประเทศ 100% ทั้งที่ประเทศไทยมีวัตถุดิบจำนวนมาก จึงมีโอกาสที่ประเทศไทยจะสามารถพัฒนาและผลิตสินค้าในกลุ่มนี้สำหรับใช้ในประเทศและยังสามารถส่งออกไปยังกลุ่มประเทศในอาเซียนได้ด้วย   และ 3.การดูแลกลุ่มผู้สูงอายุทั้งในประเทศและต่างประเทศ
    "กลุ่มโรงพยาบาลเกษมราษฎร์จะขยายตลาดการให้บริการกับลูกค้าครบทุกเซ็กเมนต์  จากเดิมที่จับเฉพาะตลาดในกลุ่มระดับกลางเป็นหลัก   โรงพยาบาลในเซ็กเมนต์นี้  ได้แก่  โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ทั้ง 6 สาขา  คือ สาขาบางแค, สุขาภิบาล 3, สระบุรี,รัตนาธิเบศร์, ประชาชื่น และศรีบุรินทร์ จ.เชียงราย "
    ด้านแผนการลงทุนในปีนี้บริษัทเตรียมงบประมาณ 3.1 พันล้านบาท  เพิ่มจำนวนเตียงขึ้นอีก  600 เตียง  จากปัจจุบันที่มีจำนวนกว่า 2 พันเตียง  แบ่งเป็นการ World medical center  แห่งที่ 2  จำนวนประมาณ 250 เตียง  บนเนื้อที่ 14 ไร่  ที่พัทยา จ.ชลบุรี ด้วยงบลงทุนประมาณ 1.5 พันล้านบาท เริ่มก่อสร้างปลายปี 2557 กำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2559  เพื่อรองรับกับตลาดระดับบนหรือ กลุ่มเอ
    ขณะที่ก่อนหน้านี้ได้ลงทุน 2.2 พันล้านบาท  ในโครงการ World medical center  บนถนนแจ้งวัฒนะ  ซึ่งจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 22 มีนาคมนี้  และล่าสุดได้มีการซื้อที่ดินบริเวณด้านข้างเพิ่มอีกมูลค่า 675 ล้านบาท  เพื่อใช้ขยายโครงการต่อเนื่องในอนาคตด้วย
    ในขณะที่ตลาดระดับกลาง หรือ กลุ่มบี  เตรียมขยายโรงพยาบาลเกษมราษฎร์  ศรีบุรินทร์  จ.เชียงรายเพิ่มเติมอีก 100 เตียง ด้วยงบลงทุน 600 ล้านบาท  เริ่มก่อสร้างช่วงต้นปี 2557 และจะแล้วเสร็จในปี 2558 นอกจากนี้ยังลงทุนก่อสร้างโรงพยาบาล บนถนนรามคำแหงเพิ่มอีก 1 แห่ง จำนวน 250 เตียง ใช้งบประมาณ 1 พันล้านบาท เริ่มก่อสร้างในปี 2557 และจะแล้วเสร็จในปี 2558  ส่วนกลุ่มตลาดระดับล่าง หรือ กลุ่มซี  บริษัทมีแผนจะลงทุนขยายโรงพยาบาลเพื่อรองรับกลุ่มผู้ป่วยประกันสังคมโดยเฉพาะ   ซึ่งอยู่ระหว่างการวางแผนว่าจะใช้แบรนด์อะไรและการลงทุนก่อสร้าง
    "การขยายธุรกิจของกลุ่มบีซีเอช  ได้นำโมเดลที่เรียกว่า " Sun and Satellite  Model "  อย่างกรณีที่ขยายโรงพยาบาลเกษมราษฎร์  ศรีบุรินทร์ จ.เชียงราย  ในขณะเดียวกันยังมีการตั้ง Poly Medicine ในอำเภอรอบๆ เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ใกล้เคียง  เมื่อมีความต้องการเพิ่มก็จะขยายเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กต่อไป  ไม่จำเป็นต้องขยายโรงพยาบาลจำนวนมาก  แต่โพลีเมดิซีนดังกล่าวจะมีหมอในสาขาหลักให้บริการในแต่ละสาขาครบ  ในลักษณะโรงพยาบาลขนาดเล็ก  ต่างจากโพลีคลินิกที่มีหมอคนเดียวรักษาทุกโรค  โดยที่อำเภอแม่สายได้ใช้โมเดลดังกล่าวในการขยายธุรกิจแล้ว  และในอนาคตจะขยายเพิ่มที่อำเภอฝาง  เชียงแสน และเชียงของต่อไป" น.พ. เฉลิม กล่าวและว่า
    แผนการดำเนินและขยายธุรกิจของกลุ่มบีซีเอชดังกล่าว   คาดว่าภายในปี 2558  บริษัทจะมีรายได้ประมาณ  1 หมื่นล้านบาท   เนื่องจากมีปริมาณของโรงพยาบาลในเครือเพิ่มมากขึ้น  อีกทั้งการขยายตลาดระดับบน จะผลักดันทำให้บริษัทมีผลประกอบการที่เติบโตเพิ่ม  จากปัจจุบันโรงพยาบาลทั้ง 6 สาขาเดิมมีการเติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่าปีละ 10%
    ส่วนโรงพยาบาลใหม่ที่ช่วงแรกอาจจะเติบโตไม่สูง  แต่ระยะหนึ่งจะโตแบบก้าวกระโดดได้เช่นกัน  ซึ่งเฉพาะปีนี้บริษัทคาดจะมีรายได้เติบโตในอัตรา 20-25% หรือมูลค่ารวมประมาณ  5 พันล้านบาท  จากปีก่อนหน้าที่มีรายได้เติบโตเพียง  13%
    "โรงพยาบาลทั้ง 6 แห่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน   บริษัทมีการลงทุนเพื่อปรับปรุงและพัฒนาให้โรงพยาบาลมีความทันสมัย   ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในแต่ละปีเติบโตอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10%  ส่วนโครงการ World medical center จะเริ่มรับรู้รายได้ในปีนี้เป็นปีแรก  ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มบีซีเอชก็มีอัตรากำไรที่เติบโตด้วยดี  โดยปี 2554 มีกำไร 672 ล้านบาท ปีที่ผ่านมามีกำไร 910 ล้านบาท  ซึ่งแนวคิดในการขยายธุรกิจโรงพยาบาลกลุ่มบีซีเอชจะพิจารณาจากกลุ่มตลาดที่เราต้องการจะเข้าไปทำ  พิจารณาจากความต้องการของตลาด  กำลังซื้อ  และทำเลที่ตั้ง  ต้องสะดวกต่อการเดินทาง  พื้นที่ต้องติดถนน" น.พ. เฉลิม กล่าว และว่า
    ขณะที่ภาพรวมการแข่งขันของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน  ทุกกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนต่างก็มุ่งการขยายตลาดเพื่อจับกลุ่มเป้าหมายครบทุกเซ็กเมนต์  แต่จะแตกต่างกันในเรื่องของการรักษาพยาบาล  เทคโนโลยีทางการแพทย์  และค่ารักษาพยาบาลที่อาจจะแตกต่างกัน   ซึ่งเชื่อว่าการแข่งขันยังคงรุนแรงต่อไป  แต่การรุกธุรกิจพยาบาลในลักษณะการซื้อกิจการ หรือการควบรวมกิจการระหว่างกลุ่มโรงพยาบาล  เชื่อว่านับจากนี้จะไม่เห็นในลักษณะการร่วมทุนใหญ่ๆ อย่างเช่นที่ผ่านมาแล้ว  ต่อไปจะเป็นลักษณะการเข้าซื้อกิจการโรงพยาบาลขนาดเล็ก   ที่มีอยู่ในต่างจังหวัดเพื่อนำมาพัฒนาเป็นโรงพยาบาลในเครือต่อไป

 จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,828  วันที่  21- 23  มีนาคม พ.ศ. 2556


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 มีนาคม 2013, 14:13:19
หึ่ง สะพานน้ำโขง 4 เมษาฯ นี้อาจไม่เสร็จ ส่อเลื่อนเปิดปลายปี 56

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   21 มีนาคม 2556 10:05 น.   

   
   
เชียงราย - พบงานก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขง 4 เชื่อมไทย-ลาว-จีน ยังอืด ส่อเสร็จไม่ทันตามกำหนดในเดือนเมษาฯ 56 จนอาจต้องเลื่อนเปิดใช้ยาวไปจนถึงปลายปี เผยงานทำถนนฝั่งลาวเพิ่งเริ่มบดอัด ขณะที่การก่อสร้างอาคารยังเหลือเนื้องานอีกเพียบ
       
       หลังรัฐบาลไทย สปป.ลาว และจีน ได้ร่วมกันก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 อ.เชียงของ กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เพื่อเชื่อมกับถนนอาร์สามเอไปยังจีนตอนใต้ โดยมีการทำพิธีเชื่อมสะพานกันเมื่อ 12 ธ.ค. 2555 พร้อมประกาศจะก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน และเปิดให้ทันเดือนมิถุนายน 56 ที่จะถึงนี้ ล่าสุดมีกระแสว่าโครงการดังกล่าวอาจจะไม่เสร็จตามกำหนด จนอาจต้องเลื่อนการเปิดไปเป็นเดือนกันยายน 2556 แล้ว
       
       นายสงวน ซ้อนกลิ่นสกุล รองประธานหอการค้า จ.เชียงราย ฝ่ายอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือจีเอ็มเอส และพัฒนาระบบลอจิสติกส์ กล่าวว่า จากการสำรวจความคืบหน้างานก่อสร้างสะพาน รวมทั้งส่วนประกอบอื่นๆ เช่น ถนน อาคารด่านพรมแดน ฯลฯ พบว่าในส่วนของสะพาน ซึ่งเอกชนจีนรับดำเนินการนั้นค่อนข้างจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ ทำให้มีรถบรรทุกวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างข้ามไปมาเป็นประจำ แต่พบว่าอาคารด่านพรมแดนฝั่ง สปป.ลาว ซึ่งเอกชนไทยรับก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่อสร้างถนนระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร ซึ่งตามแผนเมื่อพ้นจากคอสะพานฝั่งลาวแล้วจะไปเชื่อมกับถนนอาร์สามเอ ปรากฏว่ายังคงเหลือเนื้องานที่จะต้องทำอีกมาก จึงไม่แน่ใจว่าจะแล้วเสร็จตามกำหนดหรือไม่ เพราะปัจจุบันเพิ่งมีการบดอัดพื้นผิวดินที่จะสร้างถนนและยังไม่มีการก่อสร้างเพิ่มเติม
       
       นายสงวนกล่าวอีกว่า ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ต้องนำไปติดตั้ง เครื่องใช้และการตกแต่งภายในอาคารต่างๆ เพื่อรองรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ฯลฯ ก็คาดว่าคงต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการอีกระยะ เช่นเดียวกับศูนย์กระจายสินค้าฝั่งไทยที่มีโครงการจะก่อสร้างบนเนื้อที่ประมาณ 280 ไร่ ซึ่งมีกระแสว่าอาจจะรอให้มีการใช้งบประมาณจากเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาทจากรัฐบาลก่อน แต่ล่าสุดกรมทางหลวงก็ได้ไปจัดประชุมรับทราบข้อมูลจากประชาชนในพื้นที่ อ.เชียงของ เกี่ยวกับศูนย์กระจายสินค้าดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 19 มี.ค. 56 แล้ว เชื่อว่าจะดำเนินการได้ในเร็ววัน แต่ก็คงจะไม่ทันเดือนมิถุนายน 56 นี้
       
       “ผมเชื่อว่าการเปิดใช้สะพานอย่างเป็นทางการอาจจะเลื่อนไปถึงสิ้นปี 56 เลยทีเดียว”
       
       อย่างไรก็ตาม นายวิรัตน์ แสนอุดม นายช่างแขวงการทางเชียงรายที่ 2 กล่าวว่า ตอนนี้โครงการยังคงเดินหน้าก่อสร้างไปตามสัญญาก่อสร้างเดิมอยู่ โดยทุกฝ่ายได้พยายามเร่งรัดก่อสร้างอย่างเต็มที่แล้ว และเมื่อดูจากข้อตกลงเดิมเอกชนก็ยังคงดำเนินการตามสัญญาเช่นเดิม
       
       สำหรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ดังกล่าว ทางรัฐบาลไทย จีน และ สปป.ลาวได้ทำสัญญาว่าจ้างกลุ่มซีอาร์ 5-เคที จอยท์เวนเจอร์ ซึ่งเป็นกลุ่มทุนร่วมระหว่างบริษัทไชน่า เรลเวย์ โน.5 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด จากประเทศจีน และบริษัท กรุงธนเอ็นยิเนียร์ จำกัด ของประเทศไทย ด้วยงบประมาณรวมทั้งสิ้นจำนวน 1,486.5 ล้านบาท โดยไทยและจีนออกค่าใช้จ่ายฝ่ายละ 50% เริ่มสัญญาก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย. 2553 และเดิมสิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธ.ค. 2555 รวมระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน แต่ช่วงกลางปี 2554 มีปัญหาเรื่องการใช้ค่าเงินจ้างเอกชนทำให้ล่าช้าออกไปถึงเดือน มิ.ย. 2556 ดังกล่าว
       
       ทั้งนี้ ตัวสะพานมีความยาวประมาณ 480 เมตร มีเสาตอม่อ 4 ตอม่อ มีความกว้าง 14.70 เมตร มีสองช่องจราจรๆ ละ 3.50 เมตร และไหล่ทางข้างละ 2 เมตร และทางเท้าข้างละ 1.25 เมตร และเอกชนไทยทำการก่อสร้างถนนทั้งฝั่งไทยและ สปป.ลาว รวม 11 กิโลเมตร แบ่งเป็นฝั่งไทย 5 กิโลเมตรและ สปป.ลาว 6 กิโลเมตร รวมทั้งอาคารด่านพรมแดนทั้งสองฝั่ง
       
       สำหรับชายแดนไทย-สปป.ลาว ด้าน อ.เชียงของ ดังกล่าวมีการค้าชายแดนในปี 2554 มูลค่ารวมประมาณ 8,199 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้า 2,268.3 ล้านบาท ส่งออก 5,931.1 ล้านบาท และในปีนี้ 2555 มีมูลค่าการค้ารวมประมาณ 12,500 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้า 3,071 ล้านบาท และส่งออก 9,453.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 33% สินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าพืชผัก เครื่องจักร รถยนต์ ฯลฯ จากประเทศจีนซึ่งมีอัตราเพิ่มขึ้นประมาณ 7% ส่วนสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง สินค้าอุปโภคบริโภค ฯลฯ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 มีนาคม 2013, 09:54:20

วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556 ปีที่ 22 ฉบับที่ 8149 ข่าวสดรายวัน


ดีเอชแอลทุ่ม180ล้านรับเออีซี ลุยทั้งในประเทศ-ภูมิภาค



นางชนัญญารักษ์ เพ็ชร์รัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทย และภาคพื้นอินโดจีน ผู้ให้บริการขนส่งด่วนทางอากาศ "ดีเอชแอล" เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีความได้เปรียบในด้านภูมิศาสตร์ในการเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค แต่ต้องเร่งขยายโครง สร้างพื้นฐานให้รองรับความต้องการ รวมถึงปรับปรุงการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า ส่งออกสินค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะความรวดเร็ว และความสะดวกในการนำเข้าและส่งออก เพราะมองว่าหลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 แล้ว จะมีปริมาณสินค้าเข้า-ออก ประเทศไทยเพิ่มขึ้นสูงมาก



ขณะเดียวกันบริษัทมองว่าภาพรวมธุรกิจขนส่ง และโลจิสติกส์ ยังคงเติบโตได้อีกอย่างต่อเนื่อง เพราะเศรษฐกิจภายในประเทศและภูมิภาคที่ขยายตัวอย่างมาก รวมถึงความชัดเจนในเรื่องเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศแถบยุโรป และสหรัฐ สำหรับดีเอชแอลปัจจุบันมีความพร้อมในการให้บริการลูกค้าทั้งในประเทศ และภูมิภาค ซึ่งไทยเป็น 1 ใน 4 ของเอเชีย ที่เป็นศูนย์กลางกระจายสินค้า ร่วมกับสิงคโปร์ จีน และฮ่องกง



ทั้งนี้ เพื่อรองรับการเปิดเออีซี ในปีนี้บริษัทได้เตรียมงบประมาณไว้ 180 ล้านบาท เพื่อศูนย์กระจายสินค้าอีก 1 แห่ง จากปัจจุบันมีอยู่ 10 แห่ง เน้นจังหวัดแถบชายแดน ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาทั้งภาคเหนือ จ.เชียงราย หรือภาคอีสาน จ.หนองคาย รวมถึงเพิ่มจุดให้บริการจาก 38 แห่ง ให้เป็น 42 แห่งภายในสิ้นปีนี้ เพื่อให้เข้าถึงและเพิ่มความรวดเร็ว สะดวกสบายให้ กับลูกค้าหลักกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ที่มีสัดส่วนคิดเป็น 80% ของลูกค้าทั้งหมดกว่า 20,000 ราย ได้ดียิ่งขึ้น

หน้า 22


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 มีนาคม 2013, 15:22:27
ระดับน้ำโขงวิกฤติ เรือสินค้าตกค้างท่าเชียงแสนเพียบ
http://www.thairath.co.th/content/region/334325


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 มีนาคม 2013, 21:55:45

เชียงราย - จีนปิดประตูระบายน้ำเขื่อนจิ่งหง ซ่อมเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า ทำน้ำโขงแห้งรวดเดียวร่วมเมตร จนเรือสินค้าทั้งใหญ่-เล็กต้องจอดเทียบริมฝั่งกันระนาว หยุดบริการขนส่งสินค้าสิ้นเชิงชั่วคราว
       
       วันนี้ (26 มี.ค.) รายงานข่าวจากจ.เชียงราย แจ้งว่าระดับน้ำในแม่น้ำโขง ด้าน อ.เชียงแสน แห้งลงจากช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา เกาะแก่งและหาดทรายโผล่ขึ้นมาหลายจุด ทำให้เรือสินค้าทั้งขนาดเล็กและใหญ่เกือบทุกชนิด ไม่สามารถแล่นออกจากฝั่งได้ แม้แต่เรือสินค้าสัญชาติลาว ที่ขนสินค้าได้ 50-80 ตัน ก็ต้องเทียบท่าอยู่ที่ท่าเรือเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ตรงกันข้าม อ.เชียงแสน ขณะที่เรือสินค้าจีนที่มีขนาดใหญ่หลายลำ จอดอยู่ข้างฝั่งท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 1 มีเพียงเรือบุคคลหรือเรือโดยสารขนาดเล็กเท่านั้นที่ยังให้บริการนักท่องเที่ยวและผู้เดินทางข้ามฝั่งไปมา
       
       นายอรรภภัณฑ์ รังษี ประธานที่ปรึกษาชมรมผู้ประกอบการค้าชายแดน อ.เชียงแสน กล่าวว่า ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ระดับน้ำในแม่น้ำโขงลึกมากกว่า 2.30 เมตร ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถใช้ขนส่งสินค้าได้ ทำให้เรือสินค้าโดยเฉพาะเรือลาว ขนสินค้าจากท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ที่เป็นท่าเรือหลักที่ ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน และท่าเรือเอกชนที่สามเหลี่ยมทองคำให้บริการได้ตามปกติะบางครั้งก็มีเรือสินค้าจีนขนาดใหญ่ด้วย
       
       แต่ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม ทางการจีนได้หยุดปล่อยน้ำจากเขื่อนจิ่งหง เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ทำให้วันต่อมา (20 มี.ค.) ระดับน้ำในแม่น้ำโขงลดลงทันทีเหลือ 2.03 เมตร และวันที่ 21 มีนาคม ระดับน้ำลดลงเหลือเพียง 1.86 เมตร กระทั่งวันที่ 22 มีนาคม ลดลงเหลือ 1.53 เมตร เรือสินค้าไม่สามารถแล่นออกจากฝั่งไทยได้
       
       “คนเดินเรือบอกว่าจะปิดเขื่อนจนถึงสิ้นเดือนนี้ ด้วยเหตุผลการซ่อมแระบบผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งระดับน้ำที่ลดลง ทำให้เรือสินค้าสัญชาติจีนตกค้างอยู่ที่ฝั่งเชียงแสนกว่า 20 ลำ ส่วนเรือสินค้าอื่นๆก็ไม่สามารถทำการขนส่งได้ ต้องรอไปจนกว่าระดับน้ำจะเพิ่มขึ้น”
       
       ด้านนางเกศสุดา สังขกร รองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย และประธานชมรมผู้ประกอบการค้าชายแดน อ.เชียงแสน กล่าวว่า นอกจากระดับน้ำโขงที่ลดลงทำให้การขนส่งสินค้าทางเรือต้องหยุดชะงักแล้วยังประสบปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นอีก ซึ่งผู้ประกอบการต้องหันไปใช้เส้นทางอื่น โดยเฉพาะทางบกผ่านถนนอาร์สามเอ อ.เชียงของ-ลาว-จีนตอนใต้ รวมทั้งบางส่วนสามารถเชื่อมจากเมืองเชียงกก ประเทศลาว ไปตามถนนสายเชียงกก-แขวงหลวงน้ำทา-จีนตอนใต้
       
       ด้านนายทรงกลด ดวงหาคลัง ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 1 สาขาเชียงราย กล่าวว่า ได้รับแจ้งว่าทางการจีนจะซ่อมเครื่องปั่นกระแสไฟฟ้าให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนนี้ และจะปล่อยน้ำให้ไหลลงมาได้เหมือนเดิม จะทำให้ระดับน้ำกลับมาอยู่ที่ประมาณ 2 เมตรกว่า ตั้งแต่เดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป
       
       สำหรับการค้าชายแดนด้าน อ.เชียงแสน ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าการค้าผ่านช่องทาง อ.เชียงของ เชื่อมถนนอาร์สามเอไทย-ลาว-จีนตอนใต้ จะสะดวกมากขึ้น และกำลังจะมีสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อมไทย-ลาว ก็ตาม โดยในปี 2554 มีการค้ามูลค่า 7,891.91 ล้านบาท แยกเป็นส่งออก 8,991.17 ล้านบาท นำเข้า 1,099.9 ล้านบาท ปี 2555 มูลค่าการค้ารวมเพิ่มขึ้นเป็น 13,114.66 ล้านบาท แยกเป็นการส่งออก 13,626.88 ล้านบาท และนำเข้า 512.22 ล้านบาท


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 28 มีนาคม 2013, 07:32:27
วิสัยทัศน์'นายกอบจ.เชียงราย'รับเออีซี

สร้างศักยภาพรับประชาคมอาเซียน วิสัยทัศน์'นายกอบจ.เชียงราย'

             การเปิดประชาคมอาเซียน ในปี พ.ศ.2558 ซึ่งคาดการณ์กันว่า ประเทศสมาชิกจะได้รับประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจการค้าระหว่างกัน เนื่องจากมีการลงเงื่อนไขอุปสรรคทางการค้าและเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆเพื่อรองรับความร่วมมือทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก นั้น จังหวัดเชียงราย เป็นเมืองชายแดน ซึ่งถือเป็นประตูการค้าสำคัญ โดยเฉพาะและเป็นประตูที่เปิดประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง พม่า ลาว โดยเฉพาะจีนซึ่งต้องการหาทางเชื่อมโยงออกทะเล ทิศทางการพัฒนา ภายใต้การกุมบังเหียนของ นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายจึงเป็นเรื่องที่น่าจับตา

บทเรียนของจังหวัดท่องเที่ยวหลายแห่งที่เมื่อขยายความเป็นเมืองมากขึ้นก็เต็มไปด้วยปัญหาต่างๆทำอย่างไรเชียงรายจะไม่เดินไปในทิศทางนั้น
             นโยบายและยุทธศาสตจังหวัดเชียงรายคือ เป็นเมืองการค้า การท่องเที่ยว และการเกษตรที่สำคัญของประเทศ รองรับการเปิดประชาคมอาเซียนในปี 2558 ซึ่งในการประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกันระหว่าง จ.เชียงรายผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 18 อำเภอในเขต จ.เชียงราย และส่วนราชการต่างๆ  ครั้งล่าสุด เราพยายามทำความเข้าใจร่วมกันว่า ทิศทางการดำเนินงานในภาพรวมของ อปท.ในเขต จ.เชียงรายจะเดินไปอย่างสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ โดยยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด กลุ่มจังหวัด และการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาของ อปท. จะต้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการประสานงานทรัพยากรการบริหารจัดการ โดยกระบวนการแบบมีส่วนร่วมของ อปท. ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และภาคประชาชน ตามนโยบายการขับเคลื่อนประเทศอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เรามีต้นทุนด้านการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ การเกษตร สิ่งเหล่านี้ต้องเป็นไปอย่างสมดุล

พอจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพได้ไหม
             อย่างเรื่องการท่องเที่ยว ถ้าใครมีโอกาสใช้เส้นทางจากเชียงแสนไปเชียงของซึ่งเป็นถนนเลียบแม่น้ำโขงจะพบว่าเป็นเส้นทางที่มีความงดงามตามธรรมชาติที่สุดเส้นทางหนึ่ง โดยจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติใช้เป็นเส้นทางขี่จักรยานเป็นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ซึ่งเป็นต้นทุนที่เรามีอยู่แล้วเพียงแต่จะต้องทำให้เส้นทางนั้นมีความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวใช้มาตรการด้านการจัดการจราจรเข้าไปดูแลให้เกิดความปลอดภัยเพราะหากเรามีชื่อเสียงติดอันดับโลกในแง่สถิติการเกิดปัญหาจราจรก็จะกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวแน่นอน

การเปิดประชาคมอาเซียนจะทำให้การแข่งขันมีสูงขึ้นหลายคนเป็นห่วงภาคเกษตรบ้านเรา
             เราไม่อยากมองด้านบวกแต่อย่างเดียว ภาคเกษตรของเราหากไม่แข็งแรงพอจะไปสู้เพื่อนบ้านยาก ดังนั้นเราต้องเข้าไปสนับสนุนกลุ่มคนเหล่านี้ เรากำลังจะมีโครงการนำร่อง โดยร่วมมือกับสถาบันการศึกษา ตั้งโรงเรียนชาวนาในทุก
             ตำบลเพื่อให้เกิดการร่วมมือกันแทนที่เราจะแข่งกับเขาตัวคนเดียวมาร่วมแรงร่วมใจกันดีกว่า ถ่ายทอดความรู้แลกเปลี่ยนช่วยเหลือกันและกัน เช่นการพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น  ลดการใช้สารเคมี นำเทคโนโลยีการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร อย่าง  ตอซังข้าว เลิกเผาเพราะไหนจะก่อให้เกิดปัญหาหมอกควันและมลพิษต่างๆ เรานำมาย่อยสลายเป็นปุ๋ยชีวภาพ  เครื่องจักรเครื่องกลการเกษตร เราใช้ร่วมกัน แทนที่จะต้องมีต้นทุนในการซื้อหรือจ้างเครื่องจักรเหล่านี้เราจัดคิวตารางแล้วช่วยกันบำรุงรักษา เบื้องต้นได้ประสานกับไร่เชิญตะวัน ของพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ที่ตำบลห้วยสัก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เพื่อดำเนินการตามแผนแล้ว
              นอกจากนี้เรายังต้องวางแนวทางเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาผลผลิตตกต่ำ ไว้ด้วยเพราะไม่ใช่แค่ข้าวอย่างเดียว ผลผลิตทางเกษตรของจังหวัดเชียงรายมีทั้งกาแฟ ผลไม้ตามฤดูกาล ลำไย สัปปะรด บางครั้งเราต้องเข้าไปแทรกแซงและพยุงราคาขณะเดียวกันเราต้องหาทางแปรรูปเพื่อต่อยอดกับโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ โอท็อป ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล เราจะส่งเสริมพัฒนาการแปรรูปผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์  การจัดคาราวานโอท็อปไปยัง 18 อำเภอ ขายกันในจังหวัดตลอดจนนำผู้ผลิตโอท็อปในท้องถิ่นไปดูงานยังจังหวัดต่างๆเพื่อมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเอง

ดูเหมือนว่าการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันจะต้องให้ความสำคัญค่อนข้างมาก
             เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้น่ะ เด็กเยาวชนของเราเหมือนกัน ตอนนิ้ทางอบจ.เชียงราย เตรียมจัดสรรงบประมาณ ว่าจ้างครูสอนภาษาอังกฤษ จีน และพม่า ไปประจำตามโรงเรียนต่างๆ ทั้ง 18 อำเภอ เราเน้นการสอนภาษาเพื่อสื่อสารเป็นหลัก เราคิดเรื่องการยกระดับคุณภาพการศึกษาให้เท่าๆกัน เช่นแนวคิด  โรงเรียนพี่โรงเรียนน้อง ใช้ครูของโรงเรียนเก่งๆเวียนมาสอนโรงเรียนที่ยังด้อยคุณภาพกว่า เด็กๆไม่ต้องขวนขวายมาเรียนในเมือง นอกจากเรื่องวิชาการ เด็กและเยาวชนต้องมีทักษะด้านกีฬา มีโอกาสพัฒนาศักยภาพและความสามารถของตัวเองสู่วงการกีฬาอาชีพเป็นตัวแทนของท้องถิ่นและประเทศ เรามีทีมฟุตบอลประจำจังหวัด มีสถาบันสอนฟุตบอลให้กับเยาวชนจ้าง ซึ่งปกติเขาก็จ้างโค้ชที่เก่งๆจากเมืองนอกมาอยู่แล้ว เราสามารถร่วมมือกันตรงนี้ได้

ต่อไปเชียงรายรถจะติดเหมือนกรุงเทพ-เชียงใหม่ไหม
             นโยบายรัฐบาลกับการพัฒนาศักยภาพของประเทศรับการเปิดประชาคมอาเซียน ประเด็นหนึ่งคือ พัฒนาเส้นทางคมนาคมเพื่อรองรับการเดินทางและการขนส่งสินค้า การพัฒนาเส้นทางคมนาคมสายหลัก ขณะที่ อบจ.เราจะเข้าไปหนุนเสริมเช่น การพัฒนาเส้นทางสายรองเพื่อเชื่อมต่อเส้นทางสายหลัก การสร้างเส้นทางเลี่ยงเมืองแก้ไขปัญหาการจราจร การเชื่อมโยงกับพื้นที่เกษตรกรรม แหล่งท่องเที่ยว ตอนนี้เรากำลังศึกษาการจัดสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าวิ่งในจังหวัดตรงนี้ก็เพื่อรองรับการเติบโตของเมืองที่จะมีขึ้น

ในแง่ปัญหาสังคมที่จะเกิดตามมากับการพัฒนาเศรษฐกิจจะรับมืออย่างไร
              ทุกวันนี้จังหวัดเชียงรายมีข่าวแทบทุกวัน ปฎิเสธไม่ได้ว่าเพราะสภาพที่ตั้งการเป็นเมืองชายแดน ทำให้จังหวัดเป็นเส้นทางผ่านของยาเสพติด ซึ่งจะเห็นได้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจับได้ครั้งละมากๆ ตรงนั้นแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการ
             ทำงานเชิงบูรณาการร่วมกันของตำรวจหลายหน่วยทั้งพื้นที่และส่วนกลาง ต้องยอมรับว่า นายตำรวจหลายท่านในจังหวัดเชียงรายรับราชการในพื้นที่มากนานดังนั้นความต่อเนื่องในการทำงานถือเป็นจุดแข็งโดยเฉพาะท่านผู้การจังหวัด สามารถแสวงหาความร่วมมือจากภาคเอกชนให้เข้ามาสนับสนุนการทำงานของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เป็นอย่างดี บางครั้งไม่ว่าจะเป็นรถสายตรวจ กล้องวงจรปิดต่างๆมาจากการบริจาคของเอกชนและประชาชน

http://www.komchadluek.net/


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 28 มีนาคม 2013, 08:06:45
ร.ฟ.ท.ดันงบระบบราง1.2 ล้านล.
วันอังคารที่ 26 มีนาคม 2013 เวลา 13:06 น.    กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ    อสังหา REAL ESTATE    - คอลัมน์ : อสังหาฯ REAL ESTATE
User Rating: / 0
แย่ดีที่สุด
"ประภัสร์" เปิดหวูดสั่งขับเคลื่อน 28 โครงการภายใต้กรอบพ.ร.ก.เงินกู้ 2 ล้านล้าน จัดทีมตั้งแต่ระดับรองผู้ว่าการเกาะติดความคืบหน้า เผยเปิดประมูลอี-ออกชัน โดยรถไฟทางคู่ต้องเร่งรัดประมูล 1 เส้นทาง 1 สัญญา เร่งคัดคุณสมบัติผู้ที่จะมาเสนอราคาต้องเด่นเรื่องเงินทุนและเทคนิค  ส่วนไฮสปีดเทรนปลายปีนี้ชัดเจนแน่

    นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งขับเคลื่อนแผนการพัฒนา 28 โครงการของร.ฟ.ท.ที่ได้รับงบประมาณภายใต้แผนโครงการสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศภายใต้กรอบวงเงิน 2 ล้านล้านบาท โดยต้องการให้มีการเปิดประมูลโดยเร็วเพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้าต่อการพัฒนาโครงการเนื่องจากหลายโครงการมีความพร้อมเปิดประมูลได้แล้ว
    "โดยเฉพาะรถไฟทางคู่จำนวนกว่า 10 สายทางหากเส้นทางไหนได้รับการรับรองผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้เปิดประมูลได้ทันที ส่วนอื่นๆก็เร่งทีโออาร์ให้พร้อมไว้แล้ว  โดยได้มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบตั้งแต่รองผู้ว่าการไปติดตามควบคุมดูแลความคืบหน้าทุกระยะในแต่ละโครงการ  ส่วนการคัดเลือกผู้ที่จะมาเสนอราคาย้ำต้องเป็นมืออาชีพจริงๆเนื่องจากเป็นการเปิดประมูลอี-ออกชัน  ส่วนรถไฟความเร็วสูงปลายปีนี้ชัดเจนแน่"
    สำหรับโครงการแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ ปี2556-2563 ในแผนงานพัฒนาและปรับปรุงโครงข่ายทางรถไฟที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เป็นโครงข่ายการขนส่งหลักของประเทศของการรถไฟจำนวน 28 โครงการ วงเงินรวมประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายลพบุรี-ปากน้ำโพ วงเงิน 1.6 หมื่นล้านบาท 2.รถไฟทางคู่สายปากน้ำโพ-เด่นชัย วงเงิน 3 หมื่นล้านบาท 3.รถไฟทางคู่สายมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ วงเงิน 2.1 หมื่นล้านบาท 4.รถไฟทางคู่สายถนนจิระ-ขอนแก่น วงเงิน 2.9 หมื่นล้านบาท 5.รถไฟทางคู่สายขอนแก่น-หนองคาย วงเงิน 1.8 หมื่นล้านบาท 6.รถไฟทางคู่สายชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี วงเงิน 3.2 หมื่นล้านบาท 7.รถไฟทางคู่สายนครปฐม-หัวหิน วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท 8.รถไฟทางคู่สายหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ วงเงิน 9.5 พันล้านบาท 9.รถไฟทางคู่สายประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร วงเงิน 1.7 หมื่นล้านบาท 10.รถไฟทางคู่สายชุมพร-สุราษฎร์ธานี วงเงิน 1.7 หมื่นล้านบาท 11.รถไฟทางคู่สายสุราษฎร์ธานี-ปาดังเบซาร์ วงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท
    12.โครงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ(ปรับปรุงทาง ราง หมอน สะพาน และติดตั้งรั้ว)วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท จำแนกเป็นงานเสริมความมั่นคงโครงสร้าง วงเงิน 406 ล้านบาท  งานเปลี่ยนหรือเสริมความมั่นคงสะพานที่ชำรุดหรือรับน้ำหนักกดเพลามาตรฐาน 20 ตัน/เพลา วงเงิน 1.1 หมื่นล้านบาท และงานติดตั้งรั้ว 2 ข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ วงเงิน 3.4 พันล้านบาท 13.โครงการติดตั้งเครื่องกั้นเสมอระดับ และปรับปรุงเครื่องกั้น วงเงิน 4.3 พันล้านบาท 14.โครงการปรับปรุงระบบอาณัติสัญญาณไฟสีทั่วประเทศ วงเงิน 7.2 พันล้านบาท 15.โครงการติดตั้งระบบโครงข่ายโทรคมนาคม วงเงิน 2.1 พันล้านบาท 16.โครงการก่อสร้างโรงรถจักรแห่งใหม่ที่แก่งคอย วงเงิน 1 พันล้านบาท
    ส่วนโครงการตามแผนงานพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบเพื่อเชื่อมโยงกับฐานการผลิตและฐานการส่งออกที่สำคัญของประเทศ มีดังนี้คือ 17.โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายบ้านภาชี-อ.นครหลวง เชื่อมโยงกับท่าเรือในแม่น้ำป่าสัก ที่ อ.นครหลวง วงเงิน 1 พันล้านบาท
    เช่นเดียวกับโครงการตามแผนงานพัฒนาโครงข่ายเชื่อมต่อภูมิภาค ได้แก่ 18.โครงการรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ วงเงิน 3.8 แสนล้านบาท  19.รถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-หนองคาย วงเงิน  1.7 แสนล้านบาท  20.รถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ วงเงิน 1.6 แสนล้านบาท  21.รถไฟความเร็วสูงเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(แอร์พอร์ตลิงค์) ต่อจากสุวรรณภูมิ-ชลบุรี-พัทยา-ระยอง วงเงิน 1 แสนล้านบาท  22.โครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ วงเงิน 7.7 หมื่นล้านบาท 23.รถไฟทางคู่สายบ้านไผ่-นครพนม วงเงิน 4.2 หมื่นล้านบาท
    โครงการตามแผนยุทธศาสตร์พัฒนาและปรับปรุงระบบขนส่งเพื่อยกระดับความคล่องตัว ตามแผนงานพัฒนาระบบขนส่งในเขตเมือง ประกอบด้วย  24.โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อนช่วงบางซื่อ-มักกะสัน-หัวหมาก และสายสีแดงเข้มช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง วงเงิน 3.8 หมื่นล้านบาท 25.โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต-ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต วงเงิน 5.4 พันล้านบาท 26.โครงการรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ส่วนต่อขยายช่วงดอนเมือง-บางซื่อ-พญาไท วงเงิน  2.8 หมื่นล้านบาท 27.โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อนช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน วงเงิน  6.2 พันล้านบาท 28.โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อนช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา วงเงิน 7.5 พันล้านบาท

 จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,830  วันที่  28- 30  มีนาคม พ.ศ. 2


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 28 มีนาคม 2013, 11:17:16
ทางหลวงฯทุ่มงบทำถนนเชียงรายปี 55-57 เกือบ 6 พันล้านแต่กลางเมืองรถยังติดหนึบ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   28 มีนาคม 2556


เชียงราย - แขวงการทางเชียงราย ตั้งโต๊ะแจงยิบ โชว์ผลงานปรับปรุงถนนทั่วเมืองพ่อขุนฯวงเงิน 5.6 พันล้าน แต่ยอมรับเส้นทางผ่ากลางเมืองรถยังติดหนึบ แถมแผนเจาะอุโมงค์-ทางยกระดับติดปัญหา ต้องรอทางเลี่ยงเมืองช่วยบรรเทาเป็นหลัก

(http://pics.manager.co.th/Images/556000003916403.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/556000003916404.JPEG)
       
       นายจิระพงศ์ เทพพิทักษ์ ผอ.แขวงการทางเชียงรายที่ 1 ได้จัดแถลงผลการดำเนินโครงการที่ได้ทำในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทั้งที่แล้วเสร็จและกำหนดจะแล้วเสร็จว่า มีมูลค่ารวมกันประมาณ 5,600 ล้านบาท ประกอบด้วยถนนสาย อ.เมืองเชียงราย-อ.เชียงของ 110 กิโลเมตร โดยระยะแรก 29.9 กิโลกรัม งบประมาณ 984 ล้านบาท แล้วเสร็จในเดือนกันยายน 55 ส่วนระยะที่สองระยะทาง 25 กิโลเมตร งบประมาณ 850 ล้านบาท กำลังหาผู้รับจ้าง ขณะที่ระยะสุดท้ายระยะทาง 46 กิโลเมตรอยู่ระหว่างออกแบบในแผน 5 ปี
       
       นายจิระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับถนนสี่ช่องจราจรสายเลาะชายแดน อ.แม่สาย-เชียงแสน-เชียงของ ช่วงแม่สาย-เชียงแสน ระยะแรก 27 กิโลเมตร งบประมาณ 598 ล้านบาท แล้วเสร็จตั้งแต่เดือนกันยายน 55 และระยะที่สอง 8.9 กิโลเมตร งบประมาณ 222 ล้านบาท แล้วเสร็จเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ส่วนช่วงเชียงแสน-เชียงของ เลาะแม่น้ำโขงระยะแรก 10.022 กิโลเมตร งบประมาณ 204.98 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือนพฤศจิกายน 57 ระยะที่สอง 20.10 กิโลเมตร งบประมาณ 555 ล้านบาท อยู่ระหว่างหาผู้รับจ้าง และระยะสุดท้าย 21 กิโลเมตร งบประมาณ 950 ล้านบาท ได้เสนอเข้าสู่งบประมาณปี 2557
       
       นายจิระพงศ์ กล่าวต่อว่า ด้านถนนเชื่อมจาก อ.แม่จัน - อ.เชียงแสน ระยะทาง 30.24 กิโลเมตร งบประมาณ 1,168 ล้านบาทนั้น ระยะแรก 19.20 กิโลเมตร งบประมาณ 631 ล้านบาท แล้วเสร็จไปแล้วตั้งแต่วันที่ 14 มิ.ย55 ส่วนระยะที่สอง 11.04 กิโลเมตร งบประมาณ 537 ล้านบาทกำลังก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จเดือนเมษายน 56
       
       นอกจากนี้ในปี 2556 ยังมีโครงการที่กำลังดำเนินการอีกหลายโครงการ เช่น ฉาบผิวถนนทางขึ้นพระธาตุดอยตุง วงเงิน 9.97 ล้านบาท เริ่มดำเนินการ 15 ม.ค.-14 พ.ค.นี้ งานเสริมผิวจราจรในเขตเทศบาลนครเชียงมาบรรจบถนนพหลโยธิน วงเงิน 9.949 ล้านบาท เริมดำเนินการ 30 ม.ค.-20 พ.ค.นี้ การซ่อมผิวจราจร อ.แม่จัน-ห้วยมะหินฝน วงเงิน 9.949 ล้านบาท เริ่มดำเนินการ 30 ม.ค.-20 พ.ค.นี้ เป็นต้น
       
       นายจิระพงศ์ กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตามแม้จะมีโครงการมากมายดังกล่าวแต่ปัจจุบันก็ถือว่าน้อย และเมื่อเปรียบเทียบกับการจราจรที่คับคั่งขึ้นทำให้มีแนวโน้มจะแออัดมากขึ้น ดังนั้นตนจึงได้ประสานคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้ศึกษาถนนพหลโยธินที่ผ่าใจกลางเมืองเชียงราย และกำลังเป็นปัญหาเรื่องรถติดอยู่ในขณะนี้ ช่วงตั้งแต่สี่แยกแม่กรณ์ ผ่านตัวเมืองไปจนถึงหน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ระยะทาง 12 กิโลเมตร แต่มีทางกลับรถหรือยูเทิร์นมากถึง 9 จุด และมีจุดทางแยกทั้งที่มีสัญญาณไฟจราจร และไม่มีรวมกันกว่า 20 จุด หรือเรียกได้ว่าทุกๆ 300-400 เมตรก็จะต้องหยุดรถตามจุดต่างๆ ตลอด
       
       "หลายคนเสนอให้ขุดอุโมงค์ที่แยกสำคัญกลางเมือง แต่กรณีนี้ต้องใช้วงเงินจุดละกว่า 400-600 ล้านบาท เกรงว่าจะต้องผลักดันกันในระดับนโยบาย ขณะเดียวกันพื้นที่ที่จะก่อสร้างก็คับแคบ เช่น ห้าแยกพ่อขุนฯ เพราะการจะสร้างอุโมงค์จะต้องมีที่ด้านข้างกว้างขวางแต่ถนนผ่านตัวเมืองเชียงรายมีแต่อาคารบ้านเรือน นอกจากจากนี้แต่ละแยกบนถนนสายนี้อยู่ใกล้กันมากเมื่อทำอุโมงค์จุดใดแล้วรถที่ขับลอดอุโมงค์ก็จะไปติดในแยกถัดไป ดังนั้นการสร้างอุโมงค์จึงไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องแก้ปัญหารถติดในตัวเมืองเชียงรายแต่อย่างใด"
       
       สำหรับการสร้างทางยกระดับนั้นตนเกรงว่าจะเกิดปัญหาเหมือนที่เชียงใหม่ ซึ่งชาวบ้านไม่ต้องการให้มีการบดบังทัศนียภาพ หรือถ้าจะปิดทางกลับรถก็จะมีประชาชนที่ใช้ประโยชน์จากทางกลับรถนั้นร้องเรียนเข้าไปอีกแน่นอน
       
       ดังนั้น แนวทางแก้ไขก็คือ การก่อสร้างถนนเลี่ยงเมือง แต่ทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกก็ยังไม่แล้วเสร็จ โดยทางเลี่ยงเมืองที่กรมทางหลวงรับผิดชอบอยู่ทางฝั่งตะวันตก ระยะทาง 18 กิโลเมตร เริ่มต้นตั้งแต่โรงเรียนอนุบาลเชียงรายทางไป อ.แม่ลาว อ้อมตัวเมืองฝั่งตะวันตกไปบรรจบกับถนนพหลโยธินพื้นที่ ต.นางแล ใช้งบประมาณ 1,300 ล้านบาท ปัจจุบันสถานะโครงการอยู่ระหว่างออกแบบโครงการและจะเสนอของบประมาณดำเนินการในปี 2558 โดยถนนเลี่ยงเมืองสายนี้จะ
       
       ส่วนฝั่งตะวันออกนั้นกรมทางหลวงชนบท อยู่ระหว่างดำเนินการ รวมทั้งได้มีการศึกษาเรื่องถนนวงแหวนรอบนอกเอาไว้รองรับแล้ว ขั้นตอนกำลังศึกษา วางแผน แนวทางของเส้นทาง งบประมาณ ฯลฯ เมื่อแล้วเสร็จก็ต้องมีการนำแบบเสนอของบประมาณ ซึ่งอย่างเร็วที่สุดคือปี 2558


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000037585 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000037585)


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 01 เมษายน 2013, 11:11:38
กทพ.จ่อพิพาทปรับค่าผ่านทางรอบใหม่ ปิ๊งผุดทางด่วนเชื่อมเชียงใหม่-เชียงราย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   

กทพ.ยอมรับต้องปรับค่าผ่านทางปี 56 ตามสัญญา และเลี่ยงข้อพิพาทกับBECL ยาก เหตคิดไม่ตรงกัน "อัยยณัฐ"ที่ผ่านมามีข้อพิพาทกรณีค่าผ่านทางกับเอกชนรวม 3 คดีแล้ว ยันยึดแนวเจรจาตามสัญญาและความเห็นอัยการสูงสุด มีเศษต้องปัดลง พร้อมเสนอไอเดียผุดทางด่วนสายใหม่เชื่อมเชียงราย-เชียงใหม่ รับนักท่องเที่ยวจีน ด้านBECLยันสงวนสิทธิ์ยึดสัญญาปรับค่าผ่านทาง ปัดเศษขึ้น
       
       นายอัยยณัฐ ถินอภัย ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยถึงการปรับอัตราค่าผ่านทางพิเศษ ซึ่งจะครบ5ปี ตามสัญญาในวันที่ 1 กันยายน 2556 ว่า ในส่วนของกทพ.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการมาพิจารณาการปรับอัตราค่าผ่านทางเพื่อเจรจากับบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BECLและจะเริ่มกระบวนเจรจาในเดือนมีนาคมนี้เพื่อให้ได้ข้อยุติภายในเดือนสิงหาคมก่อนประกาศอัตราค่าผ่านทางใหม่ 1เดือน โดยปัญหาการปรับค่าผ่านทางที่ผ่านมาเกิดจากการใช้ฐานที่ไม่ตรงกันโดยหากการคำนวนตามสูตรที่ใช้ตัวเลขดัชนีผู้บริโภค (CPI) สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2556 ออกมาไม่ถึง 10 หรืออยู่ระหว่าง 6-9 กทพ.จะใช้หลักปัดเศษลงคือ ปรับขึ้นค่าผ่านทาง 5 บาท ส่วน BECLจะใช้หลักปัดขึ้น เป็น 10 บาท ดังนั้นในครั้งนี้ คงหลีกเลี่ยงการเกิดข้อพิพาทไม่ได้เพราะเอกชนคงจะต้องสงวนสิทธิ์เหมือนที่ผ่านมาในการยื่นข้อพิพาทหากการปรับค่าผ่านทางไม่เป็นไปตามที่ต้องการ
       
       " หลักของกทพ.คือยึดตามความเห็นของอัยการสูงสุด และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญา อะไรที่เอกชนเห็นว่าไม่ได้ก็ว่ากันไปตามสิทธิ์ ปัจจุบันกทพ.มีข้อพิพาทกับBECL รวม 11 คดี โดยเป็นข้อพิพาทในเรื่องค่าผ่านทาง 3 คดี ของทางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ดและทางด่วนศรีรัช (ขั้นที่2) ตั้งแต่การปรับค่าผ่านทางเมื่อปี 2541"นายอัยยณัฐกล่าว
       
       สำหรับสัญญาสัมปทานระบบทางด่วนขั้นที่1 และ2ที่จะครบอายุในปี 2563 นั้น นายอัยยณัฐกล่าวว่า โครงสร้างทั้งหมดจะตกเป็นของกทพ.ตามสัญญา ส่วนการบริหารงานนั้นมี 2 แนวทาง คือ กทพ.บริหารเอง หรือ ให้สัมปทานกับ BECL ซึ่งจะต้องมีการเจรจาตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าร่วมงานในกิจการของรัฐ โดยตามหลัก BECL จะต้องเสนอขอเจรจามายังกทพ.เพื่อแสดงความประสงค์ในการต่อสัญญาสัมปทาโดยเรื่องอายุสัญญาและอัตราค่าผ่านทางและส่วนแบ่งรายได้จะต้องเจรจากับใหม่ทั้งหมด ทั้งนี้หาก BECL ไม่แสดงเจตนาเจรจาต่อสัญญามากทพ. ในฐานะที่เป็นภาครัฐคงไม่สามารถยื่นข้อเสนอให้เอนได้ก่อน และจะถือว่า ไม่ต้องการใช้สิทธิ์ตามสัญญา และกทพ.จะบริหารทางด่วนเองทันที
       
       ทังนี้ยอมรับว่า กรณีข้อพิพาทระหว่างกทพ.และ BECL เป็นไปได้ที่เอกชนจะนำมาเป็นส่วนหนึ่งในเงื่อนไขการเจรจาเพื่อต่อสัญญาใหม่
       
       ด้านนางพเยาว์ มริตตนะพร กรรมการผู้จัดการ BECL กล่าวว่า บริษัทจะเจรจาปรับค่าผ่านทางตามขั้นตอนที่ระเบุไว้ในสัญญา โดยยืนยันว่าหากคำนวยออกมาแล้วเกิน 5 แต่ไม่ถึง 10 จะต้องปัดขึ้นเป็น 10 บาท เป็นต้น ซึ่งยอมรับว่าเป็นความเห็นที่ไม่ตรงกับกทพ. ซึ่งบริษัทไม่ต้องการให้มีข้อพิพาท แต่ต้องสงวนสิทธิ์แน่นอน ส่วนการต่อสัญญาสัมปทานทางด่วนขั้นที่1 และ2 หลังครบกำหนดปี 2563นั้น ตามเงื่อนไขเดิม ระบุว่า BECL จะได้สิทธิ์เจรจาต่อสัญญา 10+10 ปี ส่วนจะเริ่มเจรจาเมื่อไรนั้นอยู่ที่รัฐ
       
       ***ปิ๊งผุดทางด่วาเชียงใหม่-เชียงรายรับนักท่องเที่ยวจีน
       
       นายอัยยณัฐกล่าวว่า ขณะนี้นี้มีแนวคิดในการก่อสร้างโครงการทางพิเศษสายเชียงใหม่ – เชียงราย ระยะทางประมาณ 100 กว่ากิโลเมตร ซึ่งจะเป็นเส้นทางรองรับ AEC และนักท่องเที่ยวจากจีนที่เดินทางผ่านทางลาวลงมาไทยที่เชียงรายจำนวนมาก โดยหากมีทางด่วนนอกจากจะเพิ่มความสะดวกในการเดินทางแล้วจะย่นระยะเวลาในการเดินทางจากเชียงราย ไปเชียงใหม่ ลงได้ถึง 1 ชั่วโมงจากเดิมที่ต้องใช้ระยะเวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง ซึ่งจะเป็นช่องทางในการทำให้มีนักท่อเที่ยวเพิ่มขึ้น ส่วนผลกระทบสิ่งแวดล้อมนั้นจะต้องพิจารณาแนวเส้นทางไม่ให้กระทบต่อพื้นที่ป่าสงวน ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดเพื่อนำเสนอรัฐบาลต่อไป
       
       ***สงกรานต์ใช้ทางด่วนบางนาฟรี 6 วัน
       
       นอกจากนี้ กทพ.อยู่ระหว่างเตรียมเสนอกระทรวงคมนาคม เพื่อขอเว้นยกการเก็บค่าผ่านทางพิเศษ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 10 – 16 เมษายน 2556 โดยจะเสนอขอยกเว้นค่าผ่านทางในช่วงเส้นทางบางนา- ชลบุรี ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์


http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000039010


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: hjphqp ที่ วันที่ 18 เมษายน 2013, 01:03:13
รับทราบคับท่าน


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 เมษายน 2013, 19:09:58
ทุนใหญ่รุกอสังหาฯ เชียงใหม่-เชียงรายรับเออีซี

วันที่ 25 เมษายน 2556 11:20

โดย : วรัทยา ไชยลังกา


ด้วยเหตุผลที่เชียงใหม่เป็นหัวเมืองหลักด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวของภาคเหนือ เช่นเดียวกับเชียงราย ถูกพลิกโฉมเป็นประตูหน้าด่านเชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ถือเป็นแรงดึงดูดให้บรรดายักษ์ใหญ่ต่างขยับเข้ามาลงทุนหวังจะครองตลาดที่อยู่อาศัยก่อนการเปิดประชาคมอาเซียนในปี 2558

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เชียงใหม่เป็นตลาดที่มีความน่าสนใจ มีศักยภาพสูง ลูกค้าที่มีกำลังซื้อ สังเกตจากยอดขายของ บริษัทที่มาลงทุนเชียงใหม่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งโครงการบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียม พบว่าลูกค้ามีการซื้อเพื่อลงทุน ซื้อด้วยเงินสดมากกว่าจังหวัดอื่น ที่ไปลงทุน เช่น ภูเก็ต ขอนแก่น อุดรธานี สุราษฎร์ธานี การขอสินเชื่อจากธนาคารได้รับการปฏิเสธในสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับภูเก็ต

ขณะเดียวกันเชียงใหม่ยังมีสิ่งสนับสนุนให้เกิดโครงการใหม่ทั้งผังเมืองรวมจังหวัดเชียงใหม่ที่มีความชัดเจน กำหนดความสูงของอาคาร ยังพบว่าโมเดิร์นเทรดด้านวัสดุก่อสร้างก็มาลงทุนเชียงใหม่หลายโครงการทั้ง โฮมโปร , โกลบอลเฮ้าส์ , โฮมเวิร์ค, ดูโฮม

"ธอส."โชว์ตัวเลขอสังหาฯรอขาย'555หมื่นล.
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวว่าเชียงใหม่ มีที่อยู่อาศัยระหว่างการขายปี 2555 จำนวน 149 โครงการ กว่า 19,800 หน่วย มูลค่ารวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 105 โครงการ จำนวน 13,700 หน่วย มูลค่าโครงการกว่า 4 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยพื้นที่โครงการ 21-50 ไร่ ส่วนใหญ่มีไม่เกิน 150 หน่วยต่อโครงการ โดยอ.สันทราย มีบ้านจัดสรรมากที่สุด รองลงมาเป็นอ.เมือง หางดง ดอยสะเก็ด และสันกำแพง ส่วนอาคารชุดมีทั้งหมด 44 โครงการ จำนวน 6,100 หน่วย ส่วนใหญ่มีไม่เกิน 200 หน่วยต่อโครงการ

ทั้งนี้เป็นโครงการอาคารชุดที่เปิดขายในรอบ 2 ปีคือช่วงปี 2554-2555 มีโครงการที่ใกล้จะขายหมดแล้ว 10 โครงการ และมีโครงการที่เพิ่งเปิดขายใหม่ช่วงต.ค.2555-ก.พ.2556 อีก19 โครงการ หรือกว่า 3,000 หน่วย มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยระดับราคา68% อยู่ในช่วง 1-2 ล้านบาท รองลงมา 17% อยู่ในช่วงราคา 2-3 ล้านบาท และ10 % อยู่ในช่วงราคา 3-5 ล้านบาท

TIS-Cชี้อสังหาฯ56แนวโน้มดีต่อเนื่อง
นายณรงค์ ตนานุวัฒน์ ศูนย์บริการข้อมูลการค้า-การลงทุน เชียงใหม่ (TIS-C) กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯของเชียงใหม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จากที่เป็นการลงทุนที่พักอาศัยแนวราบ แต่ปัจจุบันเริ่มมีการลงทุนแนวสูงที่เป็นห้องชุดหรือคอนโดฯมากขึ้น ขณะนี้มีที่อยู่อาศัยระหว่างการขายทั้งสิ้น 149 โครงการ หรือประมาณ 19,800 หน่วย เป็นบ้านจัดสรร105 โครงการ ประมาณ 13,700 หน่วย และอาคารชุด 44 โครงการ ประมาณ 6,100 หน่วย

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะช่วงสุญญากาศของกฎหมายผังเมืองทำนักลงทุนอสังหาฯเร่งขออนุญาตจัดสรรที่ดินจำนวนมาก ส่งผลให้ที่ดินมีราคาสูงเท่าตัว การลงทุนด้านอสังหาฯที่เติบโต ทำให้การลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการก่อสร้าง รวมถึงภาคแรงงาน แต่การลงทุนที่มักกระจุกตัวอยู่บริเวณตัวเมืองเชียงใหม่ การจราจรที่แออัด ทำให้กลุ่มทุนหลายรายต่างจับจองทำเลลงทุนใหม่บริเวณวงแหวนรอบกลางมากขึ้น คาดปีนี้ตลาดอสังหาฯในเชียงใหม่จะยังคงมีแนวโน้มที่ดี

เชียงรายเนื้อหอมอสังหาฯ-ค้าวัสดุปักหลักลงทุน
นายชวลิต สุธรรมวงศ์ ประธานอาวุโสหอการค้าจังหวัดเชียงราย กล่าวว่าจากตัวเลขของสำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย ปีนี้พบมีการขออนุญาตการใช้พื้นที่กว่า 16 โครงการมีคอนโดอยู่ระหว่างการก่อสร้างไม่ต่ำกว่า 10 โครงการ รวมถึงกลุ่ม"สุวรรณรายา" ทุนท้องถิ่นก็เตรียมเปิดบ้านจัดสรรเพิ่ม ขณะที่กลุ่มทุนขนาดใหญ่ทั้งแลนด์แฮนเฮ้าส์ ก็มีการซื้อที่ดินเตรียมเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรร ขณะเดียวกันยังมี"พีดี เฮ้าส์" ศูนย์รับสร้างบ้านรายใหญ่ ได้เปิดสำนักงานรับ สร้างบ้านโดยเฉพาะ เพื่อตอบโจทย์ตลาดต่างจังหวัดที่ผู้รับเหมาก่อสร้างบ้านหายาก รวมทั้ง โกลบอล เฮ้าส์ และไทวัสดุ เตรียมเปิดสาขาให้บริการ

"ยอมรับว่าเชียงรายตอนนี้มีการลงทุนอสังหาฯเพิ่มขึ้น มีปัจจัยเกื้อหนุนหลายอย่างทั้งสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ซึ่งจะสร้างเสร็จเดือน มิ.ย.นี้ มีด่านการค้าชายแดนถึง 3 ด่านทั้งด่านศุลกากรแม่สาย ด่านศุลกากรเชียงแสน และด่านศุลากรเชียงของ มีเส้นทางอาร์สามเอเชื่อมต่อกลุ่มจีเอ็มเอส การเติบโตของเชียงรายมีการกระจายตัวตั้งแต่อ.แม่จัน อ.แม่สาย อ.เชียงแสน" นายชวลิต กล่าว

จับตา 3 อำเภอชายแดนอสังหาฯบูม
นายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯเชียงรายเติบโตขึ้นมาก โดยเฉพาะอ.แม่สาย อ.เชียงของ และอ.เชียงแสน ถือเป็นพื้นที่ชายแดนที่มีความสำคัญด้านเศรษฐกิจ มีอาณาเขตติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้มีการขยายตัวด้านการค้าและการลงทุนสูงค่อนข้างสูง

อุปสรรคสำคัญต่อการขยายเมืองของเชียงราย คือผังเมืองรวมทั้ง 3 อำเภอยังไม่มีผังเมือง โซนนิ่ง เข้ามาควบคุมการพัฒนาเมือง ในส่วนของอสังหาฯในพื้นที่เขตเมืองพบมีบ้านจัดสรรและคอนโดฯเพิ่มขึ้นปีนี้ไม่ต่ำกว่า 30% เทียบกับปีที่ผ่านมา " นายบุญธรรม กล่าว

แลนด์แอน์เฮ้าส์เคลื่อนทัพบุกตลาดบ้านจัดสรรเชียงราย
นายไพศาล ภู่เจริญ รองประธานกรรมการ บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เชียงราย เป็นหัวเมืองที่กำลังเติบโต เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในซีกที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศในกลุ่มเออีซี ถือว่าได้รับประโยชน์หลายประการจากการเข้าสู่เออีซี มีศักยภาพในการเติบโตของเมือง ขณะที่คู่แข่งตอนนี้ยังไม่มีรายใหญ่เข้ามา มีเพียงกลุ่มทุนท้องถิ่นรายเล็กๆ เท่านั้น ดังนั้น การแข่งขันยังไม่รุนแรง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก ทั้งนี้ บริษัทได้ซื้อที่ดินเตรียมเปิดหลายโครงการในเชียงราย โดยรูปแบบโครงการวางไว้หลายแบบ คาดว่าจะเปิด ได้ภายในปีนี้
รายงานแจ้งว่าว่า กลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ได้ซื้อที่ดินบริเวณต.บ้านดู่ กว่า 90 ไร่ เพื่อเตรียมเปิดโครงการบ้านจัดสรร

http://www.bangkokbiznews.com/


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 เมษายน 2013, 19:15:52
อัพเดต "นาคราชนคร" โปรเจ็กต์ ประตูสู่การค้า ไทย-ลาว หมื่นล้านริมฝั่งโขง
Prev1 of 1Next
updated: 26 เม.ย 2556 เวลา 08:22:23 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

"นาคราช นคร" หรือ Nakaraj Nakhon เป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่เพื่อสร้างเศรษฐกิจริมแม่น้ำโขง ภายใต้การลงทุนนับหมื่นล้านบาท ของ "บริษัทเอเอซี กรุ๊ป" แห่งครอบครัว "สิงห์สมบุญ" โดยมีกลุ่มทุนจากเกาหลีเป็นพันธมิตรร่วมทุน

โครงการ ดังกล่าว ตั้งอยู่เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ติดแม่น้ำโขง ตรงข้ามบ้านดอนมหาวัณ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ครอบคลุมพื้นที่ 1,200 ไร่ ห่างจากจุดก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 ไม่ถึง 1 กิโลเมตร และห่างจากถนนสาย R3a เพียง 6 กิโลเมตร

ล่า สุด โครงการนาคราชนคร รุดหน้าไปมาก "ดร.สิชา สิงห์สมบุญ" ประธานบริษัทเอเอซี กรุ๊ป เผยว่า โครงการนี้ได้สัมปทานจากรัฐบาล สปป.ลาว เป็นระยะเวลา 80 ปี (ตั้งแต่ พ.ศ. 2550-2630) เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งการค้าและการท่องเที่ยว ในลักษณะ "เขตเศรษฐกิจเฉพาะ" ซึ่งได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบไปด้วยโรงแรม อาคารพาณิชย์ศูนย์รวมร้านค้าปลอดภาษี (Duty Free) ศูนย์กระจายสินค้า สถานีขนส่งทางรถและเรือ ปั๊มน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ฯลฯ

"พื้นที่แห่งนี้จะเป็นภูมิศาสตร์สำคัญของประเทศไทย และผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะการเป็นประตูสู่อาเซียนเชื่อมโยงไปถึงประเทศจีนตอนใต้ อันเป็นตลาดขนาดใหญ่สำหรับขนส่งสินค้าไทย รวมทั้งนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลที่จำเป็นต้องเดินทางผ่านถนน R3a มาท่องเที่ยวยังประเทศไทย"

ดร.สิชากล่าวว่า จังหวัดเชียงรายมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวสูง ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นจำนวนมากและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่นิยมเดินทางมามากขึ้นเรื่อย ๆ

ทางโครงการจึงเชิญชวนผู้ประกอบการไทยให้เข้าร่วมลงทุนโดยเฉพาะในอาคารพาณิชย์และดิวตี้ฟรีโซน

"เรา ไม่มีเวลาจะมาขัดแย้งกันเองภายในประเทศอีกแล้ว เนื่องจากเมื่อสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 เราจะต้องการแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ดังนั้นโครงการนาคราชนครจึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบ การไทย" ดร.สิชากล่าว

ด้าน "ดร.เหมโชค สิงห์สมบุญ" รองประธานโครงการนาคราชนคร กล่าวว่า ปัจจุบันได้ดำเนินโครงการมาถึงระยะที่ 3 แล้วจากทั้งหมด 6 เฟส โดยเริ่มเฟสแรกตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา ได้มีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ถนน ไฟฟ้า แหล่งน้ำ จากนั้นจึงก่อสร้างโรงแรมและออกแบบเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ดิวตี้ฟรี ร้าน อาหาร สปา ฯลฯ มาตามลำดับ และจะดำเนินการไปจนถึงปี 2559 ซึ่งจะมีการพัฒนาศูนย์การค้า อาคารพาณิชย์ สถานีบริการรถบรรทุก ฯลฯ ให้มีความสมบูรณ์ ก่อนจะเข้าสู่เฟส 4 ในปี 2559 ซึ่งจะมีโรงแรมอีกแห่งหนึ่งพร้อมกับศูนย์รวมเอ็นเตอร์เทนเมนต์และศูนย์กีฬา

"ดร.เหมโชค" บอกว่า การดำเนินโครงการต่าง ๆ คืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว และคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในสิ้น ปี 2557 เพราะเมื่อโครงการออกแบบให้มีถนน R3a ตัดผ่านโครงการ ทำให้มีการเร่งก่อสร้างเพื่อให้ทันต่อการเปิดใช้สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ในกลางปีนี้ ทำให้โรงแรมแห่งแรกจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคมนี้แล้ว โดยสามารถมองเห็นเป็นอาคารสีเหลืองอยู่ติดแม่น้ำโขงพร้อมอาคารอื่น ๆ ได้อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ ด้านดิวตี้ฟรีโซนและอาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ก็จะก่อสร้างแล้วเสร็จเช่น กัน โดยปัจจุบันมีการเปิดให้ผู้ประกอบการไทยนำสินค้าไปวางจำหน่ายเป็นประตูของ สินค้าไทยบนถนน R3a ส่วนโรงแรมขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งกำลังก่อสร้างเพื่อเปิดให้ทันภายในปี 2557 อีก ด้วย ล่าสุด มีสินค้าแบรนด์เนมเข้ามาจับจองพื้นที่เพื่อจำหน่ายแล้วกว่า 4,000 แบรนด์เนมจาก 10 ประเทศทั่วโลก ซึ่งเชื่อว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมาก

"โครงการจะให้ความ สำคัญกับการท่องเที่ยวเพื่อเชื่อมกับ จ.เชียงราย อย่างมาก จึงพัฒนาให้มีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เราไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องการจะไม่มีคนมาเยือน เพราะอยู่ในภูมิประเทศที่เป็นประตูเชื่อมประเทศไทยกับกลุ่มลุ่มน้ำโขงโดย เฉพาะจีน จึงคาดว่าเมื่อเปิดใช้สะพานตลาดแห่งนี้ก็จะให้บริการรองรับคาราวานนักท่อง เที่ยวได้ต่อไป"

"ดร.เหมโชค" ทิ้งท้ายเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน พื้นที่โครงการที่สถานีบริการรถบรรทุกได้รับใบอนุญาตทั้งทางการค้าและขนส่ง ซึ่งจะมีการก่อสร้างสถานีรถเพื่อเป็นศูนย์โลจิสติกส์ ดังนั้นจะทำให้มีความคึกคัก โดยเตรียมห้องพักรองรับผู้เข้าพักไว้ประมาณ 500 ห้อง แต่อาจไม่เพียงพอในบางช่วง

...แน่นอนว่าเมื่อสะพานข้ามแม่น้ำ โขงแห่งที่ 4 ใกล้แล้วเสร็จและเปิดใช้ในเดือนมิถุนายนนี้ นี่คือเส้นทางและประตูการค้าเศรษฐกิจสำคัญแห่งใหม่ระหว่างไทยและลาว


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 15 พฤษภาคม 2013, 07:56:15

มฟล.เปิดแพทย์ฯรุ่นแรก ชูสร้างหมอคุณภาพที่พึ่งชุมชน


วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 ปีที่ 23 ฉบับที่ 8203 ข่าวสดรายวัน

พล.ท.นพ.นภดล วรอุไร คณบดีสำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) กล่าวภายหลังการจัดสอบสัมภาษณ์และตรวจสุขภาพสำหรับผู้ผ่านการคัดเลือกเข้าศึกษาในหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มฟล. ปีการศึกษา 2556 ณ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ซึ่งนับเป็นนักศึกษาแพทยศาสตร์รุ่นแรกของมฟล. โดยคณบดีสำนักวิชาแพทยศาสตร์ มฟล. ว่า เนื่องจากปัญหาขาดแคลนแพทย์ จึงทำให้ รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดี มฟล. และคณะผู้บริหารมีความมุ่งมั่นอย่างมากที่จะตั้งสถาบันผลิตแพทย์ขึ้น เพื่อช่วยแก้ปัญหาความขาดแคลนนั้น ซึ่งขณะนี้หลักสูตรแพทยศาสตร์ มฟล. ได้รับอนุมัติจากแพทยสภา และเริ่มรับนักศึกษารุ่นแรกสำหรับ ปีการศึกษา 2556 โดยตั้งเป้ารับนักศึกษาปีละ 32 คน ในปีแรกๆ ก่อนจะเพิ่มจำนวนรับในระยะต่อไป ประมาณ 100 คน เนื่องจากต้องการเป็นโรงเรียนแพทย์ขนาดกลาง



"จะมุ่งผลิตแพทย์ที่มีคุณภาพและมีคุณธรรม จริยธรรม และที่สำคัญคือมีความรักในชุมชน สามารถเป็นที่พึ่งแก่ชุมชน อยู่ร่วมกับชุมชนและช่วยแก้ไขปัญหาได้ นอกจากนี้หลักสูตรแพทย์ มฟล. ยังให้ความสำคัญเรื่องภาษาอังกฤษและภาษาจีน เพื่อรับประชาคมอาเซียน เมื่อจบการศึกษาแล้วจะต้องใช้ภาษาอังกฤษได้ในระดับดี และสามารถสื่อสารด้วยภาษาจีนได้เป็นเบื้องต้น" พล.ท.นพ.นภดล กล่าว



คณบดีสำนักวิชาแพทยศาสตร์ มฟล. กล่าวว่า สำหรับการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตร 6 ปีนั้น ในชั้นปีที่ 1-3 ศึกษาวิชาเตรียมและปรีคลินิก ณ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย สำหรับชั้นปีที่ 4-6 ศึกษารายวิชาคลินิก ณ โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ กรุงเทพฯ และโรงพยาบาลกลาง กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสถาบันร่วมผลิตแพทย์ มีประสบการณ์ร่วมผลิตแพทย์มากว่า 15 ปี โดยสอนทั้งนักเรียนแพทย์ เภสัชและทันตแพทย์ ทั้งในระดับปริญญาตรีและหลังปริญญาตรี และมีโรงเรียนแพทย์เก่าแก่ที่ให้ความไว้วางใจส่งแพทย์มาฝึกด้วยเช่นกัน



นอกจากนี้หลักสูตรแพทย์ มฟล. ยังมีโรงพยาบาลร่วมผลิตสมทบอีก 2 แห่ง และโรงพยาบาลชุมชนอีก 7 แห่งในจ.เชียงราย ที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับเวชศาสตร์ชุมชน ครอบครัวเป็นอย่างดี โดยมีโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเป็นฐานของสำนักวิชาแพทย์ มฟล. ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เพื่อรองรับการเรียนการสอนในหลักสูตรแพทย์ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

หน้า 23


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 พฤษภาคม 2013, 20:02:35
ฟายน์โฮมขึ้นราคา-รับต้นทุนพุ่ง



นายสุกิจ ตรัยวนพงศ์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท ฟายน์โฮม เปิดเผยว่าในเดือนมิ.ย.นี้ บริษัทพร้อมเปิดการขายอย่างเป็นทางการรวม 2 โครงการ มูลค่า 1.5 พันล้านบาท ภายใต้โครงการแอม ฟายน์ บางนา 43 เยื้องเซ็นทรัล บางนา เป็นคอนโดมิเนียม 8 ชั้น 3 อาคาร บนที่ดิน 6 ไร่ เป็นห้องชุดพร้อมตกแต่งมีขนาด 1 และ 2 ห้องนอน เริ่มที่ 30-60 ตร.ม. รวม 600 ยูนิต ซึ่งล่าสุดผ่านการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) แล้ว และสิ้นเดือนมิ.ย. จะเริ่มตอกเสาเข็มได้ โดยกำหนดแล้วเสร็จในปลายปี 2557 ขณะที่สำนักงานขายและห้องตัวอย่างจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดการขายในเดือนมิ.ย. โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้เปิดขายอย่างไม่เป็นทางการทำให้มียอดขายราว 20% และปัจจุบันจำเป็นต้องขยับราคาขึ้นเป็นตร.ม. 55,000 บาท จากช่วงแรกที่ขายตร.ม. 50,000 บาท เพื่อรองรับต้นทุนค่าก่อสร้างและแรงงานที่แพงขึ้น

ส่วนโครงการเดอะฟายน์เรสซิเดนซ์ จ.เชียงราย ถ.เชียงราย-เทิง เป็นบ้านเดี่ยวบนที่ดิน 62 ตร.ว. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยรวม 150 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.9 ล้านบาท รวม 98 ยูนิต ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตกแต่งบ้านตัวอย่าง ส่วนสาธารณูปโภคภายในโครงการได้รับการก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งถนน สโมสร สระว่ายน้ำ เป็นต้น เพื่อให้ลูกค้าเชียงรายเชื่อมั่นมากขึ้น และจะจัดกิจกรรมการตลาดเพื่อเปิดการขายอย่างเป็นทางการในปลายเดือนมิ.ย.นี้ โดยปัจจุบันเริ่มมีลูกค้าเข้ามาจองแล้ว 10% โดยมากจองบ้านหลังใหญ่ 200 ตร.ม. 5-6 ล้านบาท

หน้า 9


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 พฤษภาคม 2013, 07:16:35
เชียงราย - “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” มท.1 เซ็นประกาศเปิดจุดผ่านแดนถาวรแห่งที่ 4 ของเชียงราย ที่สามเหลี่ยมทองคำ ตั้งแต่ 19 พ.ค.นี้ แถมเปิดได้ถึง 2 ทุ่ม ทั้งที่ไม่เคยมีการค้าใหญ่โต ทำคนสงสัยเอื้อกาสิโนยักษ์ทุนจีนในฝั่ง สปป.ลาว
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า กระทรวงมหาดไทย ได้มีประกาศลงนามโดยนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาไทย วันที่ 3 พ.ค.2556 เรื่องการเปิดจุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำ บ้านสบรวก ม.1 ต.เวียง อ.เชียงแสน ชายแดนไทย-พม่า-สปป.ลาว ฝั่งตรงกันข้ามเป็นเมืองห้วยผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว โดยมีเนื้อหาว่า เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทย-สปป.ลาว เชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งระหว่าง 2 ประเทศ และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยว เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน จึงอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองปี 2522 ประกาศเปิดโดยมีกำหนดเปิดตั้งแต่เวลา 06.00-20.00 น. ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค.นี้เป็นต้นไป
       
       การเปิดจุดผ่านแดนถาวรดังกล่าว ได้ส่งผลทำให้ในพื้นที่ จ.เชียงราย มีจุดผ่านแดนเพิ่มมากขึ้นเป็น 4 จุดแล้ว จากเดิมมีด่านฯ อยู่ที่ชายแดนไทย-พม่า ด้าน อ.แม่สาย หน้าที่ว่าการ อ.เชียงแสน และท่าเรือ อ.เชียงของ ชายแดนไทย-สปป.ลาว และส่งผลทำให้ อ.เชียงแสน มีจุดผ่านแดนถาวรเพิ่มมากขึ้นเป็น 2 จุด รวมทั้งได้รับสิทธิพิเศษกว่าด่านอื่นๆ ที่สามารถเปิดได้ 20.00 น. ขณะที่จุดอื่นๆ จะเปิดตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น.เท่านั้น
       
       ขณะที่ฝั่งตรงกันข้ามกับจุดผ่านแดนถาวรที่กำลังเปิดขึ้นนี้ เป็นโครงการ Kings Romans of Laos Asian & Tourism Development Zone ซึ่งดำเนินการโดยกลุ่มุทุนดอกงิ้วคำ นำโดยบริษัทจิน มู่ เหมิน จำกัด จากประเทศจีน เนื้อที่ประมาณ 7,500 ไร่ โดยมีสัญญาเช่ากับรัฐบาล สปป.ลาว เป็นเวลา 75 ปี สามารถขยายได้เป็น 99 ปี ปัจจุบันมีการก่อสร้างเป็นโรงแรม บ่อนกาสิโน เขตการค้า ท่าเรือ เขตพาณิชยกรรม อุตสาหกรรมแปรรูป พื้นที่การเกษตร ฯลฯ และมีนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นจีน และคนไทย โดยเฉพาะในโซนของบ่อนกาสิโนที่มีการเงินสะพัดมหาศาล และมีการสร้างเป็นด่านสากลเป็นรูปโดมสีทองให้เห็นอย่างชัดเจนจากฝั่งไทยเพื่อรองรับเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
       
       ด้านนายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ ประธานหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่า ทางหอการค้าได้ลงพื้นที่ และพบปะกับนักธุรกิจท้องถิ่นแล้ว ทำให้มีข้อสงสัยว่า การเปิดจุดผ่านแดนถาวรใหม่ที่สามเหลี่ยมทองคำดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมการค้าชายแดนให้แก่ผู้ประกอบการได้อย่างไร เพราะจุดดังกล่าวไม่ใช่จุดขึ้นลงสินค้าชายแดนที่สำคัญ ดังนั้น เมื่อมีการเปิดจุดผ่านแดนถาวรใหม่จนถึงเวลากว่า 2 ทุ่ม แล้วจุดอื่นๆ ที่ใช้ประโยชน์เพื่อการค้าจะสามารถเปิดได้หรือไม่ หรือยังคงให้ปิดในเวลา 18.00 น. เช่นเดิม ซึ่งตนจะสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
       
       ขณะที่ นายอรรถภัณฑ์ รังษี ประธานที่ปรึกษาชมรมผู้ประกอบการค้าชายแดน อ.เชียงแสน กล่าวว่า ปัจจุบันชายแดนเชียงแสนมีจุดผ่านแดนถาวรอยู่แล้ว 1 จุด คือ ท่าน้ำหน้าที่ว่าการ อ.เชียงแสน โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ไปประจำการอยู่ และมีอาคารสถานที่ชัดเจน ดังนั้น เมื่อมีการเปิดจุดผ่านแดนถาวรที่สามเหลี่ยมทองคำเพิ่มเติมขึ้นอีก ก็ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า สถานะของจุดผ่านแดนที่หน้าที่ว่าการอำเภอจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะจุดผ่านแดนถาวรจะต้องมีเจ้าหน้าที่ไปประจำการอยู่พร้อมสรรพ การจะมี 2 จุดในระยะทางที่ไกลกันไม่ถึง 10 กิโลเมตร จะเป็นไปได้หรือไม่
       
       สำหรับการค้าชายแดนด้าน อ.เชียงแสน มีการค้ากับพม่า ลาว และจีน ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นการค้าผ่านท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน และท่าเรือเอกชน โดยเฉพาะท่าเรือพาณิชย์ล้านช้าง หรือห้าเชียง ห่างจากจุดผ่อนปรนที่กำลังจะได้รับการยกสถานะดังกล่าวเล็กน้อย โดยปี 2555 มูลค่าการค้ารวมเพิ่มขึ้น 13,114.66 ล้านบาท แยกเป็นการส่งออก 13,626.88 ล้านบาท และนำเข้า 512.22 ล้านบาท สินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นไก่แช่แข็ง เนื้อกระบือแช่แข็ง สุกรมีชีวิต ฯลฯ สินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นทับทิมสด เมล็ดทานตะวัน กระเทียม ฯลฯ

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000059703


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 พฤษภาคม 2013, 13:01:38
         
วันจันทร์ ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556, 06.00 น.

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ที่โรงแรมเลอ เมอริเดียน จ.เชียงใหม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายทองสิง ทำมะวง
นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี (ครม.)ทั้งสองประเทศ เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย-ลาว ครั้งที่ 2 (The2nd Tha -Lao Joint Cabinet Retreat) เพื่อร่วมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในประเด็นสำคัญทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม

ภายหลังการประชุม ที่ประชุมมีมติความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง ได้แก่ 1.การรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน โดยจะร่วมมือตรวจตราสอดส่องและป้องกันการกระทำของกลุ่มผู้ไม่หวังดีต่ออีกประเทศ หากพบเบาะแส หน่วยงานความมั่นคงจะแจ้งและประสานงานอย่างรวดเร็ว โดยไทยยืนยันนโยบายไม่ให้บุคคลใดใช้ประเทศไทยเป็นที่พักพิง หรือวางแผนก่อความไม่สงบหรือต่อต้านรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน

2.ความร่วมมือสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันเร่งสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนให้เสร็จ 3.การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยจะยกระดับความร่วมมือในการป้องกันปัญหายาเสพติด ปราบปรามและนำส่งผู้กระทำความผิดและผู้หลบหนีการจับกุมลงโทษคดียาเสพติด โดยใช้ช่องทางติดต่อที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและสั่งการได้รวดเร็ว

4.ความร่วมมือด้านแรงงานและการป้องกันการค้ามนุษย์ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมมือป้องกันและปราบปรามการล่อลวงเด็กและสตรีเข้าสู่กระบวนการค้ามนุษย์ โดยฝ่ายไทยพร้อมแก้ปัญหาแรงงานลาวผิดกฎหมายที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทย และพร้อมอำนวยความสะดวกเรื่องการนำเข้าแรงงานลาวที่ถูกกฎหมายตามบันทึกความเข้าใจด้านการจ้างแรงงานไทย-ลาว โดยครม.ไทยมีมติขยายเวลาดำเนินการของศูนย์ One Stop Service เพื่อให้การพิสูจน์สัญชาติแรงงานลาวไปอีก 120 วัน นับตั้งแต่วันที่ 14 เมษายนเป็นต้นมา

สำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ครม.ทั้งสองประเทศแสดงความมุ่งมั่นที่จะร่วมกันส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและการค้า ได้แก่ 5.อำนวยความสะดวกในการผ่านแดนโดยเฉพาะการดำเนินการเรื่องการตรวจปล่อยสินค้า ณ จุดเดียว หรือ Single Stop Inspection (SSI) และปรับปรุงพื้นที่จุดผ่านแดนและเส้นทางคมนาคมที่ต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาความล่าช้าในการเดินทางผ่านแดนและความแออัดของการสัญจรบริเวณจุดผ่านแดนสำคัญ 6.การส่งเสริมการค้าไทย-ลาว ซึ่งฝ่ายไทยพร้อมส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อช่วยสร้างรายได้ของประชาชน สปป.ลาว และเพื่อประโยชน์ร่วมกันของไทยและลาว 7.การใช้ประโยชน์จากเส้นทางถนนหมายเลข 8 และ 12 เป็นเส้นทางเชื่อมโยงทางโครงสร้างพื้นฐานของภูมิภาค และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนตามแนวเส้นทางทั้งสอง โดยฝ่ายไทยพร้อมส่งเสริมภาคเอกชนไทยให้ไปลงทุนบริเวณเส้นทางดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมและฝ่ายลาวจะอำนวยความสะดวกและปรับปรุงการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้เส้นทางให้ได้มาตรฐาน ในส่วนของการท่องเที่ยว

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องในการพัฒนาความเชื่อมโยง (Connectivity)ด้านการคมนาคม เพื่อเชื่อมโยงกับอนุภูมิภาค และระหว่างไทย-ลาว-จีน เช่น การสร้างสะพานเชื่อมต่อทางรถไฟ (หนองคาย- ท่านาแล้ง) เพื่อเป็นเส้นทางเชื่อมโยงกับทางรถไฟความเร็วสูงกับจีน ตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor)

การประกาศเปิดจุดผ่านแดนถาวรไทย-ลาว 2 แห่ง ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค. ได้แก่ จุดผ่านแดนภูดู่ จ.อุตรดิตถ์ โดยในส่วนของฝ่ายลาวจะยกระดับด่านท้องถิ่นบ้านผาแก้ว เมืองปากลายแขวงไซยะบุรี เป็นด่านสากล เมื่อการก่อสร้างเส้นทางบ้านผาแก้ว-ปากลายแล้วเสร็จช่วงกลางปี 2557 และจุดผ่านแดนบ้านสบรวก จ.เชียงราย ซึ่งฝ่ายลาวได้เปิดด่านสากลสามเหลี่ยมทองคำ แขวงบ่อแก้วไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังได้หารือในด้านการท่องเที่ยว โดยฝ่ายไทยสนับสนุน

8.ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว จะร่วมกันส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค และเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวไปมาระหว่างไทยและลาว รวมทั้งสนับสนุนการใช้ ACMECS Single Visa (ASV) เพื่อเป็นแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างรายได้ในภูมิภาคและอาเซียน ซึ่งไทยและกัมพูชาเริ่มโครงการนำร่องก่อนหน้านี้แล้ว

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังร่วมกันพิจารณาการลงนามเอกสาร 3 ฉบับ ได้แก่ แถลงการณ์ร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย-ลาว ครั้งที่ 2 บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรไทย-ลาว และความตกลงว่าด้วยกรรมสิทธิ์ การนำใช้ การบริหารและการบูรณะรักษาสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย)

 
ที่มา: http://www.naewna.com/politic/52368
 


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 18:58:42
กรมขนส่งฯ เดินหน้าจับมือเพื่อนบ้าน เชื่อมเส้นทางรถโดยสารรับอาเซียน

นายสมชัย ศิริวัฒนโชค อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบกได้ทำความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางถนน ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางด้วยรถโดยสารระหว่างสองประเทศ โดยล่าสุดอยู่ระหว่างสำรวจเส้นทางการเดินรถโดยสารเพิ่มเติม ได้แก่ เส้นทางเชียงของ-บ่อแก้ว ฯลฯ และรอลงนามความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกผู้โดยสารข้ามแดน เส้นทางเดินรถไทย-ลาว-จีน ณ จุดผ่านแดนเชียงของ-ห้วยทราย และบ่อเต็น-โมฮาน ระหว่างกระทรวงคมนาคมไทยและกระทรวงคมนาคม สปป.ลาว

ปัจจุบัน กรมการขนส่งทางบก ได้ออกใบอนุญาตประกอบการขนส่งผู้โดยสาร รถโดยสารไม่ประจำทางและส่วนบุคคลจำนวน 285 ราย รถโดยสาร 677 คัน เส้นทางการเดินรถ 10 เส้นทาง ได้แก่ หนองคาย-นครหลวงเวียงจันทร์ อุดรธานี-นครหลวงเวียงจันทร์ อุบลราชธานี-ปากเซ มุกดาหาร-สะวันนะเขต ขอนแก่น-นครหลวงเวียงจันทน์ กรุงเทพฯ-นครหลวงเวียงจันทน์ นครพนม-ท่าแขก เชียงใหม่-เชียงราย-บ่อแก้ว-หลวงน้ำทา-อุดมไชย-หลวงพระบาง เส้นทางอุดรธานี-หนองคาย-วังเวียง และเส้นทางกรุงเทพฯ-อุบลราชธานี-ปากเซ

นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางบก ยังได้ทำความตกลงระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม และ ไทย-กัมพูชา-เวียดนาม เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยว โดยให้สิทธิซึ่งกันและกันในการขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศ โดยไม่จำกัดจำนวนรถ จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการ เพื่อการท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศอาเซียน ต้องศึกษากฎระเบียบต่างๆ และเรียนรู้วัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนของประเทศอาเซียน เพื่อเตรียมพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน หรือ AEC

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 พฤษภาคม 2013, 17:09:06
หึ่ง! เปิดด่านถาวรสามเหลี่ยมทองคำ เอื้อกาสิโนฝั่งลาว-เอกชน จวกค้าชายแดนไร้ค่า

25 พ.ค. 2556 เวลา 14:01:48 น.

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ภาคเอกชนเชียงรายฟันธง เปิดด่านถาวรสามเหลี่ยมทองคำ เอื้อประโยชน์กาสิโนฝั่งลาวมากกว่าใช้เพื่อการค้า-ส่งออกชายแดนทั้งๆ ที่การค้าชายแดน 3 ด่านพุ่งสูงกว่าปีละ 10,000 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ฝ่ายปกครอง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ได้จัดพิธีเปิดจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ริมฝั่งแม่น้ำโขงชายแดนไทย-สปป.ลาว และพม่า พื้นที่บ้านสบรวก ม.1 ต.เวียง อ.เชียงแสน ติดถนนสาย อ.แม่สาย-เชียงแสน โดยจุดผ่านแดนถาวรดังกล่าวเป็นท่าน้ำขนาดเล็ก มีเพียงทุ่น หรือโป๊ะลอยน้ำสำหรับให้คนขึ้นลงจากเรือเล็กหรือเรือหางยาว ส่วนบนฝั่งมีการจัดทำเป็นตู้ให้บริการของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.)

จุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่นี้ถือเป็นแห่งที่ 4 ของ จ.เชียงราย เปิดตั้งแต่เวลา 06.00-20.00 น. ส่วนอีก 3 จุด ได้แก่ 1.ด่านพรมแดนไทย-พม่า อ.แม่สาย 2.จุดผ่านแดนไทย-สปป.ลาว ที่หน้าที่ว่าการ อ.เชียงแสน ห่างจากสามเหลี่ยมทองคำ 9 กิโลเมตร และจุดผ่านแดนไทย-สปป.ลาว ท่าเรือแม่น้ำโขง อ.เชียงของ อนุญาตให้เข้าออกเวลา 06.00-18.00 น.

นายวีระศักดิ์ ศิริสิทธิ์ นายอำเภอเชียงแสน กล่าวว่า พื้นที่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำมีประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือนจำนวนมาก และมีคนเดินทางเข้าออกแดนเฉลี่ยเดือนละกว่า 10,000 คน การมีจุดผ่านแดนถาวรเพิ่มขึ้น จึงเป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้เดินทางเข้าออกแดนเชื่อมกับ สปป.ลาวได้เป็นอย่างดี โดยทางอำเภอจะให้บริการทำบัตรผ่านแดนชั่วคราวหรือบอร์เดอร์พาส ณ ที่ว่าการอำเภอให้ถึงเวลา 20.00 น.ด้วย

ขณะเดียวกันจะมีการก่อสร้างอาคารด่านพรมแดนบนที่ดินหนังสือสำคัญของหลวง (นสล.) ติดกับจุดผ่านแดนถาวร ซึ่งได้ประสานกับท่าเรือพาณิชย์ล้านนาของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของเครือไทยเบฟเวอเรจที่อยู่ถัดไปด้วย โดยเสนอของบประมาณปี 2557 จำนวน 15 ล้านบาท

นายสุทีป ใจอารีย์ สารวัตรศุลกากร ทำหน้าที่ฝ่ายปราบปราม ด่านศุลกากร อ.เชียงแสน กล่าวว่า จุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่ไม่เหมาะสำหรับการเข้าออกของเรือสินค้าชายแดน ดังนั้นจึงต้องใช้ท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสน แห่งที่ 2 บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสนต่อไป ที่ผ่านมาการค้าชายแดนด้านอำเภอเชียงแสน มีมูลค่าเกินกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีมูลค่าเดือนละประมาณ 1,200 ล้านบาท

นางเกศสุดา สังขกร ประธานชมรมผู้ประกอบการค้าชายแดน อำเภอเชียงแสน กล่าวว่า การเปิดจุดผ่านแดนถาวรดังกล่าวคงจะมีผลดีทำให้ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวชายแดนเชียงแสนคึกคักขึ้น และเขตเศรษฐกิจพิเศษในฝั่ง สปป.ลาวก็จะได้รับประโยชน์ด้วย

ด้านนายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ตนได้ลงพื้นที่พบปะกับภาคธุรกิจในพื้นที่แล้ว พบว่าจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่นี้ไม่ได้เป็นจุดเพื่อการค้าหรือขนส่งสินค้าชายแดน จึงสงสัยว่าจุดผ่านแดนถาวร หรือท่าเรือสินค้าจุดอื่น ๆ ในบริเวณเดียวกันจะได้รับการผลักดันให้เปิดถึงเวลา 20.00 น.ได้หรือไม่ โดยเฉพาะในจุดที่เป็นประโยชน์มากต่อการค้าภาคธุรกิจไทย

รายงานข่าวแจ้งว่า ในปัจจุบันฝั่งตรงกันข้ามจุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำ เป็นที่ตั้งของโครงการ Kings Romans of Laos Asian & Tourism Development Zone ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษของ สปป.ลาว ดำเนินการโดยกลุ่มทุนดอกงิ้วคำของ สปป.ลาว บริษัท จิน มู่ เหมิน จำกัด จากจีน ได้รับสัมปทานเนื้อที่ 7,500 ไร่ มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าออกจากฝั่งไทยทุกวัน และมีการก่อสร้างด่านสากลไว้รองรับก่อนหน้านี้แล้ว


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 27 พฤษภาคม 2013, 22:01:03
เซ็นจูรี่ 21ฯ ชี้ราคาที่ดินแตะตรว.ละ 2ล้าน, CBD และชานเมืองความต้องการยังสูง

วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม 2013 เวลา 15:39 น.   
เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) ที่ปรึกษาด้านการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ชี้ราคาที่ดินพุ่ง มีการเสนอราคาขายถึง 2 ล้านบาท ต่อตารางวา อยู่ระหว่างรอการตัดสินใจจากผู้ซื้อ ทำเล ราชดำริ เพลินจิต สุขุมวิท วิทยุ ราคายังไปได้สวย แนวโน้มสูงขึ้นอีก ล่าสุดเสนอขายกว่า ตารางวาละ 1.5 ล้านบาท


บริษัท เซ็นจูรี่ 21 เรียลตี้ แอฟฟิลิเอทส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เผยการสำรวจราคาที่ดินต่อตารางวา ที่ซื้อขายกันขณะนี้มีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และในบางพื้นที่มีราคาเพิ่มขึ้นกว่า 100% จากการประเมินราคาที่ดินของปี พ.ศ. 2555 – 2558 เช่น ถนนเพลินจิต ราชดำริ และวิทยุ เป็นต้น สาเหตุของราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้น อันดับหนึ่งคงหนีไม่พ้นเรื่องทำเลที่ตั้ง ที่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า การเดินทางสะดวกสบาย เป็นย่านที่มีความนิยมของชาวต่างชาติ และแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก  แต่ในบางพื้นที่ก็อาจเกิดการพัฒนาอย่างหนาแน่นแล้ว เช่น ถนนสุขุมวิท สีลม สาทร โดยหากมองในอีกมุมหนึ่ง พื้นที่ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าทั้ง BTS และ MRT กลับกลายเป็นที่ดินที่น่าลงทุน เช่นถนนรัตนาธิเบศ, บางใหญ่, แจ้งวัฒนะ, เพชรเกษม, พระราม 2 และ ราชพฤกษ์ เป็นต้น เพราะมีที่ดินราคายังไม่สูงมากนัก คุ้มค่าแก่การลงทุนหากมองในระยะยาว นอกจากนี้โครงการ Mega Project ของภาครัฐในการสร้างรถไฟความเร็วสูง ก็ส่งผลให้ราคาที่ดินเส้นทางผ่านของรถไฟฟ้ามีราคาสูงขึ้นตามกัน ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดอยุธยา พิษณุโลก เชียงใหม่ เป็นต้น และนักพัฒนาบางรายได้เข้าไปจับจองที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ๆ ต่อไป ซึ่งอสังหาฯ ไม่ได้ส่อแววชะลอตัว แต่กระจายตัวมากกว่า
   
ด้านนายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวถึงราคาที่ดินที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นว่า “ขณะนี้ราคาเสนอขาย หรือ Asking Price ในย่านทำเลดีเป็นที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก สูงถึง 2,000,000 บาท ต่อตางรางวา ในขณะที่ราคาซื้อขายของ สุขุมวิท สูงถึง 1,500,000 บาท ต่อตารางวา จากราคาประเมินอยู่ที่ 520,000 บาท ต่อตารางวาเท่านั้น เท่ากับเพิ่มขึ้นถึง 188.46% เช่นเดียวกับ สุขุมวิท-ทองหล่อ ที่ราคาสูงถึงตารางวาละ 1,200,000 – 1,500,000 บาท และอย่างถนนสาทร ราคาประเมินอยู่ที่ 450,000-600,000 บาท แต่ราคาขายจริง น่าจะสูงถึง 1,000,000 บาท แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถนนสาทรไม่มีที่ดินขนาดใหญ่ หรือเพียงพอต่อการพัฒนาโครงการใหม่ ซึ่งหากราคาที่ดินมีมูลค่าสูงเพียงนี้ สิ่งที่เป็นปัญหาต่อมาคือ หากเมื่อมีการพัฒนาโครงการแล้ว ราคาต่อยูนิต หรือต่อตารางเมตรเท่าไหร่ ถึงจะคุ้มค่าแก่การลงทุน”


จากตารางข้างต้น จะเห็นได้ว่าย่านสุขุมวิท ตอนต้น-ตอนกลาง มีอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินสูงถึง 300% เมื่อเทียบจากราคาประเมิน คือมีการเสนอขายกันในราคา 1,600,000 บาท ต่อตารางวา หากมีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในเส้นทางนี้ จะต้องขายในราคา ไม่ต่ำว่า 250,000 บาท ต่อตารางเมตร ถึงจะคุ้มค่าแก่การลงทุน เช่นเดียวกับย่านทองหล่อ และสุขุวิท ตามลำดับ แต่ในขณะเดียวกันหากเปรียบเทียบจากตาราง ย่านเจริญนคร และกรุงธนบุรี ที่ดินมีอัตราการเพิ่มขึ้นสูง ซึ่งส่งผลให้เห็นว่าการลงทุนในพื้นที่ส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้านั้น มีความคุ้มค่าเกิดขึ้น
   
นายกิติศักดิ์ยังกล่าวต่ออีกว่า “อัตราการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินใจกลางเมือง หรือ  CBD นั้น อันเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วในด้านความได้เปรียบของทำเลที่ตั้ง แต่ลองสังเกตุในจุดที่เป็นชานเมือง หรือนอกใจกลางเมืองอย่าง ถนนบางนา-ตราด กรุงธนบุรี เจริญนคร เพชรเกษม และสมเด็จพระเจ้าตากสิน ที่มีราคาที่ดินสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะย่านเจริญนคร ที่มีรถไฟฟ้า สาธารณูปโภค คอนโดมิเนียม ห้างสรรพสินค้า และ Community Mall ทำให้ที่ดินในบริเวณนี้มีราคาสูงขึ้น หากเปรียบเทียบ 3 - 4 ปีก่อน ยกตัวอย่างที่ดินย่านบางใหญ่ ราคาซื้อขายอยู่ที่ 30,000 บาท ต่อตารางวา แต่ปัจจุบัน ราคาอยู่ที่ 100,000 บาทต่อตารางวา ราคาเพิ่มขึ้นถึง 233.33% ดังจะเห็นได้ว่าผู้พัฒนาโครงการเริ่มหันไปพัฒนาตัวเมืองชั้นนอก หรือตามแนวส่วนขยายต่อของรถไฟฟ้า และรถไฟฟ้าใต้ดินมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ถนนรัตนาธิเบศ, บางใหญ่, แจ้งวัฒนะ, เพชรเกษม, พระราม 2 และราชพฤกษ์ เพราะมีแนวโน้มการเติบโตสูงในอนาคต ซึ่งอีกไม่กี่ปีข้างหน้าราคาที่ดินในระแวกนี้ก็จะราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทำเลใจกลางเมืองก็ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่องอยู่ดี และด้วยโครงการ Mega Project ของภาครัฐ อย่างโครงการรถไฟความเร็วสูง (HSR) ทำให้พื้นที่ในหลายจังหวัดมีการปรับราคาขึ้นตามๆ กัน นับว่าเป็นอีกหนึ่งทางออกของผู้พัฒนาโครงการรายเล็กกับปัญหาราคาที่ดิน CBD ที่ปรับเพิ่มขึ้นรายวัน” Source: Century21 Thailand
   
ไม่เพียงแต่ราคาที่ดินในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น ที่มีการปรับตัว เพราะจากงานแถลงข่าวเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) จำกัด ได้เผยผลสำรวจความต้องการของประชาชนที่มีต่อโครงการรถไฟความเร็วสูง (HSR) ว่า หากเส้นทาง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ เกิดขึ้นก่อน จะเป็นเส้นทางที่คุ้มค่าแก่การลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะสามารถโดยสารคนได้เป็นจำนวนมาก และเป็นเส้นทางระยะไกล ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์จากเส้นทางนี้มากที่สุด ด้วยเหตุนี้ ส่งผลให้ราคาที่ดินของจังหวัดอยุธยา พิษณุโลก รวมไปถึงเชียงใหม่ และเชียงราย มีราคาที่ดินสูงขึ้นทันที และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ จากโครงการดังกล่าวยังส่งผลในด้านการปรับราคาที่ดินในเส้นทางอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น กรุงเทพ-หัวหิน, กรุงเทพ-ระยอง และกรุงเทพ-นครราชสีมา ด้วยเหตุนี้ผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่ที่เริ่มมีแนวโน้มหันไปพัฒนาโครงการตามเส้นทางของรถไฟความเร็วสูง (HSR) ที่กำลังจะเกิดขึ้น หรือรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นในจังหวัดแถบภาคอีสานอย่าง อุดรธานี ขอนแก่น เป็นต้น แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องระวังเรื่องกำลังซื้อในต่างจังหวัดด้วย เพราะอาจจะไม่มากเท่า
   
จากการเปรียบเทียบราคาที่ดินทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล กับแนวโน้มการพัฒนาที่จะเกิดขึ้น จะเห็นได้ว่าประเทศไทยกำลังมีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครอบคลุมไปในหลายพื้นที่มากยิ่งขึ้น ไม่เพียงกระจุกตัวอยู่แต่ในใจกลางเมืองเพียงอย่างเดียว ซึ่งเมื่อการพัฒนาไปสู่พื้นที่ต่างจังหวัด ก็ทำให้ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ เกิดการใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น ย้อนกลับมาเป็นภาษีซึ่งจะนำไปพัฒนาพื้นที่ส่วนอื่นๆ ต่อไป ดูเหมือนว่า ปัจจัยด้านราคาที่ดินปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ราคาต้นทุนที่สูงขึ้น การมีข้อจำกัดด้านแรงงาน อาจเป็นเหตุที่ส่งผลให้เกิดการชะลอตัวในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บ้าง แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง อาจส่งผลให้เกิดการพัฒนารูปแบบใหม่ๆ การกระจายตัวของโครงการไปสู่รอบนอก และภูมิภาคอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น ในฐานะที่อยู่ในวงการ เราอาจต้องมองโอกาสเหนือข้อจำกัด แต่ก็ยังมีบางปัจจัยที่ทำให้การพัฒนานั้นไปไม่ถึงที่วางไว้ อย่างปัจจัยด้านราคาที่ดินที่ปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงค่าแรงขั้นต่ำ และราคาวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้น อาจส่งผลให้เกิดการชะลอตัวด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพียงเล็กน้อย แต่เป็นการกระจายตัวสู่ภูมิภาคอื่นๆ มากกว่า


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 30 พฤษภาคม 2013, 12:31:59
เชียงราย - เจ้าเมืองต้นผึ้ง สปป.ลาวที่ตั้งกาสิโนยักษ์ทุนจีนยกคณะข้ามฝั่งโขงหารือไทย รับเปิดจุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำ เชื่อมด่านสากลลาว แถมขยายเวลาให้คนเข้า-ออกได้ถึง 2 ทุ่ม
       
       วันนี้ (30 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงรายว่า หลังจากประเทศไทยเปิดจุดผ่านแดนถาวรที่บ้านสบรวก หมู่ 1 ต.เวียง อ.เชียงแสน ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนถาวรแห่งที่ 2 ของอำเภอ และแห่งที่ 4 ของจังหวัด พร้อมขยายระยะเวลาการเปิด ที่ปกติอนุญาตให้เข้าออกตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น. ได้ขยายให้ถึงเวลา 20.00 น.
       
       นายวีระศักดิ์ ศิริสิทธิ์ นายอำเภอเชียงแสน ได้มีโอกาสให้การต้อนรับคณะของท่านจอมสี ลัดตะนะบัน เจ้าเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ซึ่งตั้งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำโขง พรมแดนไทย-ลาว ตั้งแต่สามเหลี่ยมทองคำถึงเขต อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ที่เดินทางมาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ในฐานะเป็นบ้านพี่เมืองน้อง ด้วยการจัดขบวนรถม้าและรถไฟฟ้าไปรับที่ริมฝั่งน้ำโขงหน้าที่ว่าการอำเภอ ก่อนนำชมทัศนียภาพรอบตัวเมืองเชียงแสน และแวะไหว้พระธาตุเจดีย์หลวง
       
       จากนั้นได้นำคณะเข้าร่วมประชุมหารือกับฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคง ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.)เชียงแสน ตำรวจน้ำ หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) ตำรวจตระเวนชายแดน ตำรวจภูธรเชียงแสน ด่านตรวจพืช ด่านตรวจสัตว์ ศุลกากร ที่ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอเชียงแสน
       
       ที่ประชุมได้แจ้งถึงเรื่องการเข้าออกไทย-ลาวด้าน อ.เชียงแสน ที่มีความสะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะเมืองต้นผึ้งที่มีการเปิดด่านสากลที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภายในโครงการคิงส์โรมันของกลุ่มทุนดอกงิ้วคำ จากประเทศจีน ที่มีส่วนบริการเป็นกาสิโนขนาดใหญ่อยู่ด้วย ซึ่งประเทศไทยเปิดจุดผ่านแดนถาวรที่บ้านสบรวก พร้อมขยายระยะเวลาการเปิดด่านมากกว่าจุดอื่น ที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า เมื่อพระอาทิตย์ตกหรือเมื่อค่ำแล้วให้เรือทุกลำที่จะใช้จุดผ่านแดนถาวรทั้งสองฝั่งมีไฟฟ้าส่องสว่างชัดเจน โดยกำหนดให้ใช้ไฟสีแดงที่กาบซ้ายของเรือ ติดไฟสีเขียวที่กาบขวาของเรือ ติดไฟสีขาวที่ท้ายเรือ นอกจากนี้ เรือที่แล่นในแม่น้ำโขงทุกลำต้องติดธงของแต่ละประเทศเพื่อแสดงสัญชาติตามมาตรฐานสากลในการเดินเรืออย่างชัดเจนด้วย
       
       ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยได้ผ่อนผันกรณีผู้ป่วยสามารถเข้ามารักษาตัวแบบเร่งด่วนที่โรงพยาบาลเชียงแสนได้ตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนการค้าขายที่มีการอำนวยความสะดวกมากขึ้น ก็ต้องอยู่ในกรอบกฎหมายของทั้งสองประเทศเป็นหลัก
       
       นายวีระศักดิ์กล่าวว่า นับเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองประเทศได้เจรจาเรื่องความสัมพันธ์กัน เพราะทั้งไทยและลาวต่างมีความรู้สึกว่าเป็นพี่น้องกันอยู่แล้ว และยิ่งได้มาพูดจาหารือกัน ก็เป็นการสร้างความเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดเจนจากการค้า และการที่มีนักท่องเที่ยวข้ามจากฝั่งไทยไปยัง สปป.ลาววันละกว่า 1,000 คน และจะมีจำนวนมากกว่านี้ในช่วงวันหยุดยาว ซึ่งจะมีเม็ดเงินสะพัดจากทั้งสองฝั่ง
       
       ท่านจอมสีกล่าวว่า ดีใจที่ได้มาเยือนเมืองเชียงแสน และได้มีการพูดคุยกับทางฝ่ายไทย เพราะเมืองต้นผึ้งและเมืองเชียงแสนติดต่อค้าขายกันมานานนับร้อยปี แต่ปัจจุบันสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นจึงต้องมีการพบปะหารือกันให้บ่อยครั้งขึ้น เพื่อการปรับตัว ปรับรูปแบบการสานความเข้าใจ อันจะเป็นประโยชน์ของประชาชนทั้งสองฝ่ายต่อไป

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000064832


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 02 มิถุนายน 2013, 23:46:19
เพื่อไทยรุกจัดเวทีปราศรัย "เชียงราย-เชียงใหม่" แจงความคืบหน้าโครงการรัฐบาล
วันที่ 01 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 12:05:05 น.
   
 



วันที่ 1 มิ.ย. นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า พรรคเพื่อไทยเตรียมจัดเวทีปราศัย "เพื่อไทย เพื่ออนาคตประเทศไทย" ในวันนี้ ตั้งแต่เวลา 16.00 - 21.00 น. ที่หอประชุมนานาชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และวันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน ตั้งแต่เวลา 16.00 - 21.00 น. ที่โรงยิม 2 สนามกีฬา 700 ปี จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อชี้แจงความคืบหน้าโครงการต่างๆ ของรัฐบาลและอุปสรรคปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น ความคืบโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ความคืบหน้างานไทยแลนด์ 2020 การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการทำความเข้าใจเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม โดยมีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม , นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการทระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายจาตุรนต์ ฉายแสง กรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย และนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ร่วมปราศัย

bqPn8w6dxdw


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 03 มิถุนายน 2013, 00:19:09
bqPn8w6dxdw

สรุปที่ฟังจบแล้วจาก งบ 2.2 ล้านล้าน ของรัฐบาล ที่เชียงรายได้รับ

งบภาคเหนือได้ 5 แสนกว่าล้าน
- รถไฟรางคู่ เด่นชัย-เชียงของ ประมาณ 77000 ล.
- หยอดคำหวาน อนาคตรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชียงใหม่- เชียงราย
- ถนนสร้างในภาคเหนือ 61000 ล. เชียงราย ปรับปรุงพหลโยธิน ทำใหม่หมด
เส้นสำคัญ เช่น เชียงราย-เชียงของ / ดอกคำใต้ -เทิง 4350 ล้าน/ เส้น 118 เชียงใหม่ - เชียงราย ขยายเป็น 4 เลน 5800 ล้าน / ตัดถนนใหม่ เชียงราย - ขุนตาล 1000 ล้าน
- พัฒนาพหลโยธิน(ภาคเหนือ) 11000 ล้าน  เชียงราย-แม่สาย ทำใหม่หมด
- ถนน เชียงแสน 3 โครงการ 2700 ล้าน
- ศูนย์กระจายสินค้าที่เชียงของ 2336 ล้าน
- ศูนย์รวบรวมสินค้า อีก 5 จังหวัด เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ตาก พิษณุโลก นครสวรรค์ 4400 ลล้าน
- วงแหวน รอบที่ 1 รอบเมืองเชียงราย
- ปีนี้ ผดส.สนามปินแม่ฟ้าหลวงปีนี้ 1 ล้านคน
- รถไฟรางคู่
- ถนนเลี่ยงเมืองฝั่งตะวันออกจะเสร็จแล้ว
- ถนนเลี่ยงเมืองตะวันตกกำลังของบสร้างปีหน้า
- ถนนวงแหวน รมต.จะรับไปออกแบบ เชียงใหม่มี 3 วงแล้ว..


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: AOWTHAI ที่ วันที่ 03 มิถุนายน 2013, 14:04:23
ถนนใหม่เจียงฮาย-ขุนตาล

อ้างอิง http://www.tescogis.com/chiangrai-khuntan/about.php


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 มิถุนายน 2013, 23:18:01
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/482604_546890398681024_620369029_n.jpg)


http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=185637:2013-06-04-06-10-50&catid=106:-marketing&Itemid=456


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 12 มิถุนายน 2013, 23:39:25
รมว.อุตฯ คาดยอดขอบีโอไอปีนี้ทะลุ 1 ล้านล้านบาท

updated: 12 มิ.ย. 2556 เวลา 16:45:56 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

นายประเสริฐ บุญชัยสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า สืบเนื่องจากขณะนี้พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมลดน้อยลง แต่เศรษฐกิจประเทศไทยเติบโต ทำให้นักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้น

เห็นได้จากตัวเลขที่นักลงทุนยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนเฉพาะผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ปี 2555 เติบโตสูงมาก มียอดรวมกว่า 1.47 ล้านล้านบาท จากที่ปี 2554 มียอดกว่า 700,000 ล้านบาท และในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.) มียอดขอรับส่งเสริมการลงทุนแล้วกว่า 500,000 ล้านบาท จึงคาดว่าตลอดปี 2556 จะมียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท จากเดิมตั้งเป้าหมายไว้ที่ 700,000 ล้านบาท
 
ทั้งนี้ เนื่องจากประเทศไทยได้รับความเชื่อมั่นจากชาวไทยและต่างประเทศจึงมีการลงทุนเพิ่มขึ้น เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจแข็งแกร่งและมีนโยบายภาครัฐที่ดำเนินโครงการป้องกันน้ำท่วมวงเงินรวม 350,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมอีก 2 ล้านล้านบาท อีกทั้งผลจากนโยบายคอนเน็คทิวิตี้ หรือนโยบายเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านที่ประเทศไทยมีถนนเชื่อมเข้ากับระเบียงเศรษฐกิจทิศเหนือถึงใต้ และด้านตะวันออกไปยังทิศตะวันตกของประเทศ
 
สำหรับการพัฒนาพื้นที่เพื่อการอุตสาหกรรมนั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จะเน้นเสริมสร้างความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมในลักษณะกลุ่มอุตสาหกรรมหรือคลัสเตอร์ เบส โดยการดำเนินการผ่านการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเอสเอ็มอี มีการพัฒนาพื้นที่นิคมฯ เพื่อรองรับการให้บริการด้านโลจิสติกส์ และการค้าชายแดนที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ในรูปแบบนิคมอุตสาหกรรมบริการด้านโลจิสติกส์ และด่านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี การพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมตามพื้นที่เป้าหมาย (AREA base) โดยดำเนินโครงการผ่านการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
 
ส่วนความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่เพื่อการอุตสาหกรรมนั้น กนอ.มีภาคเอกชนยื่นเสนอพื้นที่จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมรวม 28 โครงการ เป็นนิคมฯ เอสเอ็มอี 18 โครงการ วงเงินลงทุนรวมทั้งหมด 21,245 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 530,000 คน และคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนต่อเนื่องในพื้นที่ประมาณ 891,750 ล้านบาท คาดว่าจะเสร็จต้นปี 2558


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 15 มิถุนายน 2013, 21:14:40
ฟันธง! เออีซีดันเชียงรายขึ้นชั้นประตูสามเหลี่ยม เชื่อมจีน-อินเดีย-อาเซียน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   14 มิถุนายน 2556 13:21 น.   
 
เชียงราย - การท่องเที่ยวฯ เปิดห้องเวิร์กชอปเตรียมพร้อมรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อดีต รมว.ท่องเที่ยวฯ ขึ้นเวทีฟันธง เชียงรายสำคัญ อนาคตเป็นจุดเชื่อมโยงจีน-อินเดีย-อาเซียน
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงรายแจ้งว่า ระหว่างวันนี้ (14 มิ.ย.)-17 มิ.ย. 56 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับสมาคมท่องเที่ยวเชียงรายได้จัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชื่อมโยงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน “วางแผนเชิงยุทธ์ ติดอาวุธรับเออีซี” ณ ห้องประชุมดอยตุง โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์รีสอร์ท เชียงราย อ.เมือง
       
       โดยมีนายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการ ททท.เป็นประธานในพิธีเปิด และมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิไปทำการบรรยายหลายคน เช่น นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีต รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, ม.ร.ว.ปิยฉัตร ฉัตรชัย และ น.ส.จุฑารัตน์ วิบุลสมัย ฯลฯ ท่ามกลางตัวแทนภาครัฐ เอกชน และประชาชนสนใจเข้ารับฟังร่วม 500 คน
       
       นายวีระศักดิ์กล่าวว่า การรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีของ 10 ประเทศในกลุ่มอาเซียนได้เลื่อนระยะเวลาออกไปอีกประมาณ 1 ปีหรือถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2558 เนื่องจากเห็นว่าบางประเทศยังไม่มีความพร้อม
       
       ดังนั้น ประเทศไทยจึงมีเวลาในการเตรียมพร้อมเข้าสู่เออีซี แต่หากถามว่าประเทศไทยพร้อมหรือยังนั้น ตนเห็นว่าน่าจะพุ่งเป้ามาที่เชียงรายว่ามีความพร้อมหรือยังมากกว่า เพราะจากภูมิศาสตร์แล้วเชียงรายจะต้องเตรียมความพร้อมมากกว่าประเทศไทยเสียอีก เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกันทั้งผ่านพม่า สปป.ลาว และจีนได้ทั้งทางบก-แม่น้ำโขง
       
       นายวีระศักดิ์กล่าวอีกว่า และเมื่อผ่านเส้นทางในพม่าก็จะเชื่อมไปถึงประเทศอินเดีย ดังนั้นเชียงรายจึงยังเป็นศูนย์กลางอาเซียนบวกอินเดีย และบวกจีนไปพร้อมๆ กันได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ราคาที่ดินในพื้นที่จะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่เคยพุ่งสูงในยุคปี 2532 ยุค พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วก็ลดลง และนิ่งเงียบเรื่อยมา
       
       กระทั่งในช่วง 10 ปีหลังมานี้กลับพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ปัจจัยสำคัญเกิดจากการเชื่อมโยงไทย-จีน โดยเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2555 ปีที่ผ่านมาก็มีการเชื่อมโยงสะพานไทย-สปป.ลาว-จีน กันที่ อ.เชียงของมาแล้ว จุดนี้จะเชื่อมไปถึงด่านปาดังเบซาร์ที่ภาคใต้ในอนาคต
       
       “คาดว่าอีก 10 ปีข้างหน้านอกจากจะมีการเชื่อมไทย-จีนดังกล่าวแล้ว เชียงรายจะมีศักยภาพในการเชื่อมไทย-จีน-อินเดีย และอาเซียนเข้าด้วยกันทั้งหมด ซึ่งถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก และระยะเวลา 10 ปีนี้ไม่ถือว่ายาวนานเลย บรรดานักศึกษาที่เพิ่งเรียนอยู่ก็จะต้องออกมาเผชิญกับสถานการณ์นั้นแน่นอน จึงยังมีเวลาในการเตรียมตัวอยู่”
       
       นายวีระศักดิ์กล่าวอีกว่า ตอนนี้จีนเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกอยู่แล้ว ส่วนอินเดียก็กำลังเติบโตขึ้น ดังนั้นเมื่อมีการเชื่อมจีน อินเดีย และอาเซียนเข้าด้วยกันจึงจะกลายเป็นสามเหลี่ยมเศรษฐกิจใหม่ของโลกที่มีอำนาจมหาศาล โดยเชียงรายจะมีบทบาทในด้านนี้อย่างมากในฐานะเมืองเชื่อม
       
       อดีต รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากล่าวต่อว่า เมื่อมองในมุมย่อยลงมาคือ พม่า ยิ่งน่าสนใจ เพราะกำลังมีความสำคัญมากขึ้นเนื่องจากเพิ่งเปิดประเทศ และมีทรัพยากรมหาศาลทั้งภายในประเทศ และมหาสมุทรอินเดีย ทั่วโลกจับตามองพม่าแม้แต่นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็ยังเดินทางไปเยือนพม่าตอนเข้ารับตำแหน่งใหม่ และที่สำคัญคือ จ.เชียงรายก็มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับพม่าพอดีด้วย
       
       นายวีระศักดิ์กล่าวด้วยว่า ตนเคยพิมพ์คำว่า Chiang-Rai ในกูเกิล พบศัพท์คำนี้ในกว่า 69.4 ล้านเว็บเพจ ขณะที่เชียงใหม่มีแค่ 45 ล้านเว็บเพจ แม้แต่เมืองคุนหมิง เมืองหลวงของมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ก็มีระบุแค่ 12 ล้านเว็บเพจ และยูนนานมี 26 ล้านเว็บเพจ ทั้ง 2 ชื่อนำมารวมกันยังไม่เท่าเชียงราย ขณะที่เมืองเสิ่นเจิ้นมี 5.4 ล้านเว็บเพจ โกลเดนไทรแองเกิลหรือสามเหลี่ยมทองคำมี 26 ล้านเว็บเพจ
       
       แต่ถ้าพิมพ์เป็นภาษาไทยเข้าไปพบว่า เชียงรายมีจำนวน 39 ล้านเว็บเพจ ขณะที่เชียงใหม่มีจำนวน 130 ล้านเว็บเพจ แสดงให้เห็นว่าคนทั่วโลกตื่นตาตื่นใจกับ จ.เชียงรายมากกว่าแห่งอื่นๆ ขณะที่คนไทยให้ความตื่นตาตื่นใจกับเชียงรายน้อยอยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสามารถดึงให้มากขึ้นได้
       
       “ในอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลง และผลกระทบก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องเตรียมตัว ทั้งการรองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งสภาพของเชียงรายเหมือนของทั้งประเทศคือ มีคนไทยเที่ยวไทยราว 80% ต่างประเทศ 20% แต่คงจะต้องมีสิ่งที่มากกว่าการท่องเที่ยวเสียแล้วจากความยิ่งใหญ่ของสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ ดังนั้นทุกฝ่ายจึงต้องร่วมมือกัน ทั้งการอพยพเข้าไปของผู้คนต่างถิ่น ต่างด้าว คนไทยด้วยกันเอง ฯลฯ สะท้อนได้จากสถิติอุบัติเหตุที่เชียงรายมีเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศก็อาจจะมากขึ้นอีก การเข้มงวดกวดขันใช้กฎหมายก็ควรจะเข้มข้นตามมาเพื่อรองรับ เป็นต้น” นายวีระศักดิ์กล่าว


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 มิถุนายน 2013, 21:33:36
นายชัชวาลย์ บุญเจริญกิจ อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การเปิดใช้สะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่บริเวณ อ.เชียงของ-ห้วยทราย พื้นที่ สปป.ลาว จะเลื่อนจากเดือนมิถุนายน 2556 ออกไปอีก 2-3 เดือน หรือเปิดในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้

เนื่องจากผู้รับเหมาก่อสร้าง คือ กลุ่มทุนร่วมระหว่างบริษัท ไชน่า เรลเวย์ โน.5 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด จากประเทศจีน และบริษัท กรุงธนเอนยิเนียร์ จำกัด ผู้รับเหมาของประเทศไทย ประสบปัญหาในช่วงระหว่างการก่อสร้าง อาทิ ปัญหาจากการที่ปริมาณน้ำโขงขึ้นสูงจนทำให้เข้าไซต์ก่อสร้างไม่ได้ ปัญหาภายในบริษัทผู้รับเหมาเอง และการเบิกจ่ายเงินที่ล่าช้า เป็นต้น

"จากปัญหาดังกล่าวทำให้ที่ผ่านมาบริษัทได้ขอขยายเวลามา 1 ครั้งเมื่อปีที่แล้ว จากเดิมกำหนดแล้วเสร็จจะเป็นวันที่ 10 ธันวาคม 2555 แต่ผู้รับเหมาขอขยายเวลาออกไปอีก 6 เดือนเป็นในเดือนมิถุนายนนี้ แต่จนถึงขณะนี้การก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จตามแผนงาน ปัจจุบันผลงานคืบหน้าไปกว่า 70% ส่วนใหญ่งานหลัก ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเก็บงานบางส่วนเท่านั้น ตอนนี้หวังว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จทันในช่วงเวลา 2-3 เดือนนี้"

นายชัชวาลย์กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการนี้ใช้เงินก่อสร้างทั้งสิ้นจำนวน 1,486.5 ล้านบาท  โดยเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและจีนออกค่าใช้จ่ายฝ่ายละ 50% ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน เริ่มสัญญาก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2553

รูปแบบตัวสะพานยาวประมาณ 480 เมตร มีเสาตอม่อ 4 ตอม่อ กว้าง 14.70 เมตร มีขนาด 2 ช่องจราจรพร้อมไหล่ทางข้างละ 2 เมตร รวมถึงมีการก่อสร้างถนนทั้งฝั่งไทยและ สปป.ลาวรวม 11 กิโลเมตร แบ่งเป็นฝั่งไทย 5 กิโลเมตร และ สปป.ลาว 6 กิโลเมตร รวมทั้งอาคารด่านพรมแดนทั้ง 2 ฝั่ง

นอกจากนี้ กรมอยู่ระหว่างจะขอจัดสรรงบประมาณจากโครงการอื่นที่ยังไม่ถึงกำหนดการใช้เงิน มาดำเนินการศึกษาความเหมาะสมโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 5 จังหวัดบึงกาฬ คาดว่าจะใช้งบประมาณสำหรับศึกษาโครงการประมาณ 30-40 ล้านบาท และเริ่มงานได้ประมาณ 1-2 เดือนนี้หลังจากที่ได้ตัวบริษัทที่ปรึกษาเรียบร้อยแล้ว จะใช้เวลาศึกษา 1 ปี จากนั้นถึงจะเริ่มก่อสร้างได้

"โครงการนี้ทางประเทศไทยจะช่วยเรื่องศึกษาและออกแบบรายละเอียดโครงการ หาจุดที่ตั้งโครงการว่าควรจะอยู่ตรงไหน ส่วนค่าก่อสร้างยังไม่สรุปว่าใครจะรับผิดชอบ หรือรับผิดชอบร่วมกันในสัดส่วนเท่าไรระหว่างประเทศไทยกับ สปป.ลาว เพราะโครงการนี้เป็นการร่วมมือกันของ 2 ประเทศเหมือนสะพานข้ามโขงอีก 4 แห่งที่ผ่านมา" อธิบดีกรมทางหลวงกล่าว


http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1371531418&grpid=00&catid=07&subcatid=0700




หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 มิถุนายน 2013, 11:32:46
กนอ.เข็นครกนิคมอุตฯอีสาน

วันพุธที่ 19 มิถุนายน 2013 เวลา 10:42 น.    กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ    ลงทุน-อุตสาหกรรม   

ลุยเข็นตั้งนิคมฯภาคอีสานต่อ หลังรอบแรกเอกชนลงทุนพลาดเป้า ก.ค.นี้ชงบอร์ดประกาศอีกใน 4 จังหวัด หวังดำเนินการให้เสร็จภายในปีนี้ ก่อนขยายพื้นที่ไปภาคเหนือในปีหน้า ขณะที่การตั้งนิคมฯเอสเอ็มอี และนิคมฯเชียงของ 22 แห่ง ที่เสนอมา รอลุ้น กนอ.ยันไม่ได้สนับสนุนทุกโครงการจะได้เกิด

วีรพงศ์ ไชยเพิ่ม    นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากที่กนอ.ได้ประกาศเชิญชวนเอกชนเสนอพื้นที่เพื่อจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใน 8 จังหวัดเป้าหมาย ได้แก่ ขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี หนองคาย นครพนม มุกดาหาร สกลนคร และอุบลราชธานี ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน - 31 พฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมา ตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวและเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของจังหวัด ที่จะเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตก รองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีนั้น
    "ปรากฏว่ามีเอกชนเสนอพื้นที่จัดตั้งนิคมมาเพียง 6 โครงการใน 4 จังหวัด ได้แก่ บริษัท เมืองอุตสาหกรรมอุดรธานี พื้นที่นิคมประมาณ 999 ไร่ บริษัท เอเชีย เอ็กซ์เพรส จำกัด จังหวัดขอนแก่น พื้นที่ประมาณ 4 พันไร่ บริษัท โรงแรม โกลเด้นแลนด์ จำกัด จังหวัดนครราชสีมา พื้นที่ประมาณ 1 พันไร่ บริษัท นาคา คลีนเพาเอวร์ จำกัด จังหวัดหนองคาย พื้นที่ประมาณ 2.3 พันไร่ บริษัท โรยัล เอ็กซเพรส ทรานสปอร์ต แอนด์ โลจิสติกส์ จำกัด จังหวัดหนองคาย พื้นที่ประมาณ 500 ไร่ และบริษัท สวนอุตสาหกรรม จังหวัดนครราชสีมา พื้นที่ประมาณ 973 ไร่ คิดเป็นพื้นที่รวม 9.799 พันไร่  ซึ่งถือว่ายังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กนอ.กำหนดไว้"
    ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมการบริหาร(บอร์ด) ที่จะมีขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้ กนอ.จะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณากำหนดให้มีการประกาศเชิญชวนภาคเอกชนเสนอพื้นที่จัดตั้งนิคมในอีก 4 จังหวัดที่เหลือ ได้แก่ มุกดาหาร สกลนคร อุบลราชธานี และนครพนม ต่อไป เพื่อให้การดำเนินงานในปีนี้บรรลุตามวัตถุประสงค์และนโยบายของรัฐบาล และในปีหน้าจะได้วางยุทธศาสตร์การจัดตั้งนิคมในจังหวัดภาคเหนือต่อไป
    "ที่ผ่านมากนอ.ได้ไปชักชวนเอกชนมาจัดตั้งนิคมทั้ง 8 จังหวัด แต่ 4 จังหวัดที่เหลือ อาจจะยังไม่มีความพร้อม เนื่องจากระยะเวลาการเชิญชวนอาจจะสั้นเกินไป และอาจจะยังไม่ทราบศักยภาพทั้งหมดของจังหวัดตัวเองว่าจะสามารถดำเนินการตั้งนิคมได้ ซึ่งหลังจากนี้ไปกนอ.จะไปประสานงานกับ สภาอุตสาหกรรมจังหวัด หอการค้าจังหวัด เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในส่วนนี้ขึ้นมา และเมื่อดำเนินการได้ครบทุกจังหวัดตามเป้าหมายแล้ว ในแต่ละปีกนอ.จะประกาศเชิญชวนเอกชนเข้ามาจัดตั้งนิคมในภาคอื่นๆ ต่อไป"
    นายวีรพงศ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการเสนอพื้นที่จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอีนั้น ได้เสนอมาจำนวน 18 โครงการ กระจายอยู่ในจังหวัด นครราชสีมา ชลบุรี ระยอง หนองคาย ขอนแก่น อุบลราชธานี ยโสธร นครพนม ฉะเชิงเทรา พิจิตร กาญจนบุรี และอยุธยา รวมพื้นที่ประมาณ 1.924 พันไร่ ขณะที่การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเชียงของ จังหวัดเชียงราย เสนอมาจำนวน 4 โครงการ รวมพื้นที่ประมาณ 2.44 พันไร่
    "ทั้งหมดนี้กนอ.จะใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ในการตรวจสอบเอกสารของเอกชนแต่รายที่เสนอมา ว่าเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้หรือไม่ โดยเฉพาะพื้นที่ตั้งนิคมไม่ขัดต่อการใช้ที่ดินเพื่ออุตสาหกรรมหรือเป็นพื้นที่สีเขียว เป็นต้น ขณะที่การจัดตั้งนิคมฯเอสเอ็มอี และนิคมฯเชียงของที่เสนอเข้ามาเป็นจำนวนมาก อาจจะคัดเลือกพื้นที่ที่มีความเหมาะสมจริงๆ พื้นที่ไหนที่มีความซ้ำซ้อนกันอาจจะไม่ได้รับการพิจารณาสนับสนุนการจัดตั้ง ซึ่งหลังจากตรวจสอบเอกสารทั้งหมดแล้ว คาดว่าจะนำเสนอบอร์ดกนอ.ได้ในเดือนกรกฎาคมนี้ และจะแจ้งให้ผู้ประกอบการรับทราบเป็นรายๆ ต่อไป คาดว่าภายในปีนี้จะมีนิคมที่สามารถเดินหน้าโครงการได้ประมาณ 10 แห่ง ก่อน เพื่อให้ทันรองรับการเปิดเออีซีในปี 2558"
    ส่วนเม็ดเงินลงทุนนั้น เบื้องต้นประมาณการว่า จะใช้เงินลงทุนพัฒนาโครงการไม่รวมค่าที่ดินตกไร่ละประมาณ 1.5 ล้านบาท หรือใช้เงินลงทุนในการจัดตั้งนิคมฯภาคอีสาน 6 แห่งที่เสนอมาประมาณ 1.469 หมื่นล้านบาท 

 จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,854 วันที่  20 - 22  มิถุนายน พ.ศ. 255


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 มิถุนายน 2013, 19:41:36
"ศุภชัย"ชี้ทางรุ่งธุรกิจไทยในเออีซี ชูสินค้าบริการ-พัฒนาโลจิสติกส์-เชื่อมตลาดจีน

Prev1 of 1Next
คลิกภาพเพื่อขยาย
updated: 26 มิ.ย. 2556 เวลา 14:30:01 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

"ศุภชัย พานิชภักดิ์" เลขาธิการอังค์ถัด ชี้ไทยอยากรุ่งนำประเทศอาเซียนเร่งสปีดธุรกิจบริการ ชูโมเดล "เอาต์ซอร์ซ" ฟิลิปปินส์แบบอย่างเด่น พร้อมพัฒนาโลจิสติกส์ใน-นอกประเทศควบคู่ทั้งระบบ

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานจากสัมมนาในวาระครบรอบก่อตั้ง 50 ปี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยมีนายศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ UNCTAD กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ "Thailand"s Future : How to Lead Trade and Investment in the ASEAN"s Frontier ? Lessons & Learns from My Whole Life Experience"



นายศุภชัยกล่าวว่า สินค้าบริการเป็นอนาคตของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากเกี่ยวพันกับการค้า การออกไปลงทุนต่างประเทศ และการเดินทางติดต่อของโลกธุรกิจปัจจุบัน เพราะเมื่อนักธุรกิจหรือนักท่องเที่ยวเดินทางไปต่างประเทศต้องพึ่งพาธุรกิจบริการเสมอ กระทั่งปัจจุบันการใช้ธุรกิจบริการจากต่างประเทศขณะที่อยู่ในประเทศตัวเองก็เป็นที่แพร่หลาย เป็นการบริการข้ามแดน ธุรกิจนี้จึงสำคัญมาก

"ทั้งนี้ หากไทยมุ่งพัฒนาสินค้าบริการ จะทำให้ไทยเติบโตได้ในอนาคตอย่างดี เพราะสอดคล้องกับการเป็น "ฮับอาเซียน" ที่ไทยต้องการ และรองรับสิ่งที่ไทยจะทำในอนาคต อยากให้มองประเทศฟิลิปปินส์เพราะเป็นอีกประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการพัฒนาธุรกิจบริการ โดยเฉพาะการเอาต์ซอร์ซจนช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น"

"ไทยควรส่งเสริมธุรกิจนี้ด้วย เพราะฟิลิปปินส์เติบโตอย่างมากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะการรับจ้างบริหารระบบธุรกิจ หรือ Business Process Outsourcing ที่ฟิลิปปินส์มุ่งพัฒนาเติบโตสูง ซึ่งหากต้องการพัฒนาในด้านนี้ต้องมีแรงงานจำนวนมาก ที่ต้องได้รับการอบรมด้านเทคโนโลยี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษ นี่เป็นหนึ่งในสาขาธุรกิจบริการที่โดดเด่น กระทั่งประเทศในแถบแอฟริกาเริ่มพัฒนาเรื่องนี้แล้ว" นายศุภชัยกล่าว

นายศุภชัยกล่าวถึงภาพรวมธุรกิจสินค้าบริการของอาเซียนว่า ข้อตกลงด้านนี้มีมานาน แต่ไม่เดินหน้า ยังย่ำอยู่กับที่ และจำเป็นต้องปรับปรุงให้เกิดมาตรฐานกลางของอาเซียนเป็นมาตรฐานเดียวกัน ส่วนการถือหุ้นภายในอาเซียนควรเท่าเทียมกันทั้งหมด ไม่ให้เกิน 70% ในทุก ๆ สาขาบริการ โดยไม่มีการยกเว้น เพราะอุปสรรคสำคัญคือ ยังมีกฎระเบียบภายในของบางประเทศที่พยายามกีดกันและเลือกปฏิบัติไม่เท่าเทียมกัน

ทั้งนี้การสร้างกฎหมายกลางระหว่างกันเป็นเรื่องยากที่จะบังคับใช้ แต่จำเป็นต้องมีอย่างยิ่งในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายทางการเงินที่ควรมีหน่วยงานกลางดูแล ทั้งยังต้องลดการกีดกันการค้าที่มีสูง โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซียและอินเดีย ที่ต้องเปิดมากกว่านี้

นายศุภชัยเพิ่มเติมว่า "รัฐบาลต้องมุ่งพัฒนาระบบโลจิสติกส์ในประเทศเพื่อเชื่อมอาเซียนและประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) โดยหากอ้างอิงจากดัชนีความสามารถในการแข่งขันด้านโลจิสติกส์ (Logistics Performance Index : LPI) ของธนาคารโลกปีล่าสุด (2555) จะเห็นว่า CLMV และไทยยังต้องพัฒนาด้านนี้เทียบกับระดับโลก ขณะที่สิงคโปร์นั้นดีมากระดับโลกเช่นกัน"

ดัชนี LPI ปี 2555 ระบุว่า จากคะแนนเต็ม 5 สิงคโปร์อยู่ที่ 4.13, มาเลเซีย 3.49, ฟิลิปปินส์ 3.02, ไทย 3.18, อินโดนีเซีย 3.02, เวียดนาม 3.00, เมียนมาร์ 2.37, กัมพูชา 2.56 และลาว 2.50

อย่างไรก็ตาม นายศุภชัยเห็นว่า นักลงทุนต้องฉวยโอกาสจากเส้นทางถนนที่กำลังจะเสร็จสมบูรณ์ โดยเฉพาะเส้นทาง R3A ที่เชื่อมเมืองเชียงรุ้ง มณฑลคุนหมิงในจีนตอนใต้ ลงมาเมืองห้วยทรายในลาว และเชียงของ จ.เชียงรายในไทย ซึ่งสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 กำลังจะเปิดใช้ โดยภาครัฐประเทศต่าง ๆ ต้องดูแลภาพรวมกฎระเบียบ และข้อตกลงศุลกากรให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

"เอกชนไทยต้องเข้าถึงตลาดจีนให้ได้มากที่สุด ปัจจุบันจีน-อาเซียนค้าขายระหว่างกันอยู่ที่ร้อยละ 16 และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่การค้าอาเซียน-ยุโรป และอาเซียน-อเมริกา ลดลงมาอยู่ราวร้อยละ 10-11 โจทย์ขณะนี้คือ ใครเข้าถึงจีนได้มากกว่าได้เปรียบ"


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 มิถุนายน 2013, 08:32:40
เชียงราย - สะพานข้ามน้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อมชายแดนเชียงราย-ลาว-จีน ผ่านถนน R3a ไม่เสร็จตามกำหนด ต้องเลื่อนวันเปิด 135 วันถึงสิ้นปี แต่มูลค่าการค้ายังเพิ่มขึ้น
       
       วันนี้ (28 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย ถึงความคืบหน้าการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม ต.ดอนมหาวัน อ.เชียงของ กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ประเทศลาว ว่ายังคงมีคนงาน และเครื่องจักรก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ากำหนดแล้วเสร็จตั้งแต่ 10 มิถุนายนนี้ก็ตาม อีกทั้งกระทรวงคมนาคม คาดว่าจะแล้วเสร็จเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ปรากฏว่า การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จทั้งตัวสะพาน และอาคารด่านพรมแดนทั้งฝั่งไทยและลาว รวมถึงการติดตั้งระบบรองรับการเปิดสะพาน ทำให้การขนส่งสินค้า และการข้ามแดนของประชาชน รวมทั้งนักท่องเที่ยวยังคงต้องใช้เรือข้ามแม่น้ำโขง ผ่านท่าเรือบั๊ก ท่าเรือแม่น้ำโขง
       
       นายธวัชชัย ภู่เจริญยศ ปลัดอาวุโส อ.เชียงของ กล่าวว่า ได้เลื่อนกำหนดแล้วเสร็จไปอีก 135 วัน หรือจนถึงปลายปีนี้ โดยเอกชนอ้างว่าเกิดจากการเร่งรัดเชื่อมระหว่างไทยลาว เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2555 หรือฤกษ์ดี 12/12/12 ทำให้เนื้องานต้องรวบรัดลง อีกทั้งดปัญหาน้ำท่วม และกระแสน้ำโขงในช่วงที่ผ่านมาด้วย ทำให้สะพานเล็กซึ่งเชื่อมกับสะพานใหญ่ในฝั่งลาว ที่มีอยู่ 2 แห่งแล้วเสร็จไปแค่ 80%
       
       อย่างไรก็ตาม สะพานใหญ่ก่อสร้างแล้วเสร็จ 98% แล้ว ส่วนอาคารสิ่งปลูกสร้าง ถนน การติดตั้งระบบเพื่อรองรับเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ กำลังดำเนินการอยู่ บางส่วนเสร็จแล้ว แค่รอให้เจ้าหน้าที่เข้าไปประจำการเท่านั้น
       
       นายธวัชชัย กล่าวว่า การจะเปิดใช้งานสะพานอย่างเป็นทางการยังมีขั้นตอน คือ ต้องก่อสร้างให้เสร็จสมบูรณ์ก่อน จากนั้นคณะรัฐมนตรีของทั้ง 2 ประเทศ จะพิจารณาเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องใช้ร่วมกันทั้ง 2 ประเทศ เพื่อให้การเปิดใช้งานสามารถทำได้โดยไม่มีข้อขัดข้องต่อผู้ใช้บริการ สุดท้ายคือ กำหนดให้มีพิธีเปิดร่วมกันอย่างเป็นทางการ
       
       ด้านนายศรชัย สร้อยหงษ์พราย นายด่านศุลกากรเชียงของ กล่าวว่า การค้าชายแดนด้าน อ.เชียงของ ในปีที่ผ่านมีมูลค่าการค้ารวม 12,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิม 30% และช่วง 9 เดือนแรกของปีงบ 2556 มูลค่าการค้ากว่า 10,000 ล้านบาท คาดว่าดทั้งปีจะมีมูลค่าการค้า 14,000 ล้านบาท
       
       ทั้งนี้ สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ไทย-จีน ตกลงจะออกค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างฝ่ายละ 50% ภายใต้งบประมาณรวม 1,486.5 ล้านบาท และได้ว่าจ้างกลุ่มซีอาร์ 5-เคที จอยท์เวนเจอร์ ที่เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท ไชน่า เรลเวย์ โน.5 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด จากประเทศจีน และบริษัท กรุงธน เอ็นยิเนียร์ จำกัด ของประเทศไทย เดิมกำหนดก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2553 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธันวาคม 2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน แต่ต้องเลื่อนออกไปด้วยปัญหาเรื่องการจ่ายงบประมาณของแต่ละประเทศ และอื่นๆ
       
       ตัวสะพานแห่งนี้ออกแบบเป็นคอนกรีตรูปกล่อง มีเสาตอม่อ 4 เสา กว้าง 14.70 เมตร ขนาด 2 ช่องจราจร ช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางข้างละ 2 เมตร ทางเท้าข้างละ 1.25 เมตร ความยาว 480 เมตร เมื่อรวมกับถนนขอบฝั่งจะยาวประมาณ 630 เมตร และโครงการก่อสร้างถนนตัดแยกจากถนนหมายเลข 1020 หรือสายเชียงราย-เชียงของ ในฝั่งไทยเพื่อเป็นจุดสลับการจราจร ก่อนไปถึงตัวสะพานอีกประมาณ 5 กิโลเมตร และถนนในฝั่งลาว อีกประมาณ 6 กิโลเมตร
       
       ด้านอาคารด่านพรมแดนทั้งฝั่งไทยและลาว ถูกออกแบบให้มีรูปทรงล้านนาประยุกต์ เพื่อใช้เป็นจุดตรวจปล่อยร่วมกัน ณ จุดเดียวตามหลักประตูเดียว รวมเนื้อที่ฝั่งไทยประมาณ 400 ไร่ เดิมกรมทางหลวงมีแผนจะก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้า หรือลอจิสติกส์ ใกล้กับถนนทางเข้าสะพาน แต่มีปัญหาเรื่องการจัดหาที่ดินประมาณ 280 ไร่ เพราะประชาชนบางส่วนไม่ต้องการให้เวนคืน แต่ต้องการให้ซื้อซึ่งมูลค่าสูงกว่า

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000078522


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 01 กรกฎาคม 2013, 09:02:40
วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน 2013 เวลา 11:41 น.    กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ    อสังหา REAL ESTATE    - คอลัมน์ : อสังหาฯ REAL ESTATE
User Rating: / 0
แย่ดีที่สุด
กรมทางหลวงเร่งสรุปแผนแม่บทมอเตอร์เวย์ ชี้แนวโน้มมีการปรับเปลี่ยนแผนเดิมให้สอดคล้องเออีซีและการเชื่อมโยงประตูการค้าชายแดนปัจจุบัน ลุ้นงบก่อสร้าง-เวนคืนจากกองทุนโครงสร้างพื้นฐานและเงินกู้ 2 ล้านล้าน
    นายชัชวาลย์ บุญเจริญกิจ อธิบดีกรมทางหลวง(ทล.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ขณะนี้เร่งสรุปแผนการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองของประเทศไทยหรือมอเตอร์เวย์ โดยอาจจะปรับเปลี่ยนแนวเส้นทางจากเดิมหลายส่วน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน โดยมุ่งเน้นไปที่การให้เกิดการเชื่อมโยงประตูด่านการค้าชายแดนและเมืองท่องเที่ยวสำคัญๆมากขึ้น
    "เส้นทางบางปะอิน-นครราชสีมาและเส้นบางใหญ่-กาญจนบุรีมีลุ้นงบประมาณค่าเวนคืนและค่าก่อสร้างในโครงการ 2 ล้านล้านบาท เส้นทางพัทยา-มาบตาพุดยังเตรียมใช้งบในเส้นทางสาย 7 และสาย 9 มาลงทุนเช่นเดิม ส่วนงบจากกองทุนโครงสร้างพื้นฐานยังรอความชัดเจนจากกระทรวงการคลังพิจารณา คาดว่าเมื่อสรุปแผนแม่บทแล้วเสร็จหลายเส้นทางคงจะเห็นภาพการพัฒนาชัดเจนยิ่งขึ้นโดยเฉพาะเส้นทางเชียงราย-เชียงใหม่เพื่อรองรับการเปิดประตูการค้าช่วงสะพานเชียงของ-ห้วยทรายที่จะเปิดอย่างเป็นทางการในปลายปีนี้"
    แหล่งข่าวระดับสูงกรมทางหลวงกล่าวว่าในเบื้องต้นตามผลการศึกษาเส้นทางเชียงใหม่-เชียงราย อยู่ระหว่างการสรุปแนวเส้นทางและศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เส้นทางบางปะอิน-นครสวรรค์อยู่ระหว่างการพิจารณาทบทวนเส้นทาง มีแผนก่อสร้างปี 2561-63 เส้นทางวงแหวนตะวันตก อยู่ระหว่างการปรับเป็นมอเตอร์เวย์ เส้นทางกาญจนบุรี-บ้านพุน้ำร้อน อยู่ระหว่างการศึกษาโดยมีแผนก่อสร้างปี 2559-61
    เส้นทางบางใหญ่-กาญจนบุรี มีแผนก่อสร้าง ปี 2557-59 เส้นทางนครปฐม-ชะอำ มีแผนก่อสร้างมี 2559-61 เส้นทางวงแหวนตะวันตก-ทางหลวงสาย 4 อยู่ระหว่างการเร่งศึกษา เส้นทางชะอำ-ชุมพร อยู่ระหว่างการพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เส้นทางหาดใหญ่-ชายแดนไทย-มาเลเซีย อยู่ระหว่างการศึกษาทบทวนและศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม
    เส้นทางบางปะอิน-นครราชสีมา มีแผนก่อสร้างปี 2557-59 เส้นทางสระบุรี-บางปะกง อยู่ระหว่างการพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เส้นทางวงแหวนรอบที่ 3 อยู่ระหว่างการทบทวนผลการศึกษา เส้นทางส่วนต่อขยายยกระดับอุตราภิมุข-บางปะอิน อยู่ระหว่างการศึกษาทบทวนและผลกระทบสิ่งแวดล้อม มีแผนก่อสร้างปี 2558-60 เส้นทางชลบุรี(ท่าเรือแหลมฉบัง)-ปราจีนบุรี อยู่ระหว่างการศึกษาทบทวนและผลกระทบสิ่งแวดล้อม เส้นทางพัทยา-มาบตาพุด อยู่ระหว่างการทบทวนผลการศึกษา ผลกระทบสิ่งแวดล้อม มีแผนก่อสร้างปี 2558-60
    โดยโครงการศึกษาตามแผนแม่บทของทล.ในครั้งนี้ระยะเวลาดำเนินการทั้งหมด 15 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2554 - สิงหาคม 2555 ใช้งบประมาณ 40 ล้านบาท เป็นการทบทวนจากที่องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่นหรือไจก้า ศึกษาไว้เมื่อปี 2540 โดยการทบทวนผลการศึกษารอบใหม่กลุ่มบริษัททีมคอนซัลติ้งเอ็นจิเนียริ่ง แอนด์เเมเนจเมนต์ จำกัด เป็นผู้ดำเนินการ
    "เส้นทางใหม่นี้จะมีเพิ่มจากเดิมอีกบางส่วนเพื่อให้ตอบโจทย์ในปัจจุบัน การวางโครงข่ายจะเป็นไปในลักษณะตารางมากกว่า ล่าสุดได้สรุปเส้นทางในเขตพื้นที่เชียงใหม่-เชียงราย และแผนตามงบประมาณปี 2557 เสนออธิบดีกรมทางหลวงไปแล้ว ซึ่งโครงการอีกส่วนหนึ่งจัดอยู่ในพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทโดยมอเตอร์เวย์ที่ศึกษาใหม่โครงข่ายจะเปลี่ยนแปลงไปเยอะกว่าเดิม ตลอดจนการศึกษาว่าจะมีการสร้างอุโมงค์จุดใดบ้าง ซึ่งเน้นเพื่อการขนส่งระหว่างประเทศมากขึ้น"
    แหล่งข่าวกล่าวอีกว่าในเบื้องต้นทล.มีแผนก่อสร้างมอเตอร์เวย์ระยะเร่งด่วนระหว่างปี 2550-60 จำนวน 5 เส้นทาง คาดว่าวงเงินลงทุนรวมใช้ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ได้แก่ 1.เส้นทางบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ระยะทางประมาณ 199 กม. วงเงินประมาณ 6 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าเส้นทางนี้มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะดำเนินการก่อสร้างได้ก่อน เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวจะได้รับผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเป็นอย่างดี ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณางบประมาณของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา 2.เส้นทางชลบุรี-พัทยา-มาบตาพุด ระยะทาง 89 กม. 3.เส้นทางบางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี ระยะทาง 98 กม. 4.เส้นทางบางปะอิน-นครสวรรค์ ระยะทาง 180 กม. และ 5.เส้นทางนครปฐม-สมุทรสงคราม-ชะอำ ระยะทาง 134 กม. 
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,857
วันที่  30  มิถุนายน  - 3   กรกฎาคม  พ.ศ. 2556


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 04 กรกฎาคม 2013, 21:43:38

ทุนเคลื่อนยึดสะพานมิตรภาพ4

วันอังคารที่ 02 กรกฏาคม 2013 เวลา 15:56 น.    กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ

กรมทางหลวงถือฤกษ์ 11-12-13 เปิดสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 เชียงของ-ห้วยทรายอย่างเป็นทางการ เผยงานก่อสร้างล่าสุดคืบหน้า 95% บริษัทกรุงธนฯยอมจ่ายค่าปรับเหตุล่าช้า วันละ 1.5 แสน  ยื่นขอขยายเพิ่มอีก 60 วันไปถึง 9 สิงหาคมนี้  กลุ่มที่ปรึกษายันพร้อมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าติดตั้งพร้อมทดสอบระบบประมาณตุลาคมก่อนเปิดทดลองใช้ตั้งแต่พฤศจิกายนนี้ ปลุกราคาที่ดินพุ่งรับ
    แหล่งข่าวระดับสูงกรมทางหลวง(ทล.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า เตรียมเปิดใช้สะพานมิตรภาพข้ามโขงแห่งที่ 4 เชียงของ-ห้วยทราย โดยถือฤกษ์ 11-12-13 นั่นคือวันที่ 11  เดือน 12 (ธันวาคม ) ปีค.ศ.2013(พ.ศ.2556) โดยปัจจุบันความคืบหน้างานก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ โดยจะเปิดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ฯลฯ เข้าติดตั้งและทดสอบการใช้งานด้านต่างๆ ได้ตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป ต่อจากนั้นคาดว่าประมาณเดือนพฤศจิกายน 2556 จะเปิดให้ทดลองใช้อย่างไม่เป็นทางการ ก่อนที่จะเปิดใช้อย่างเป็นทางการตามวันและเวลาที่กำหนดไว้ ล่าสุดงบประมาณของโครงการเพิ่มเป็น 1.6 พันล้านบาท โดยการขอขยายสัญญาไปถึงวันที่ 9 สิงหาคมนั้นบริษัท กรุงธน เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด จะต้องจ่ายค่าที่ปรึกษาควบคุมงานเพิ่มอีกวันละไม่เกิน 6 หมื่นบาทหรือคิดเป็น 4 ล้านบาทกับระยะเวลา 1 เดือนจนกว่างานจะเสร็จเรียบร้อย
    ด้านนายธวัช เบญจพลชัย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด ในฐานะบริษัทผู้ควบคุมงานก่อสร้างสะพานดังกล่าว กล่าวว่า ขณะนี้งานก่อสร้างคืบหน้ากว่า 95% เหลือเพียงงานตกแต่งเท่านั้น หลังจากนั้นก็เปิดให้หน่วยงานต่างๆ ที่จะเข้าติดตั้งทดสอบระบบตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป ให้พร้อมก่อนเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ
    สำหรับโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) จังหวัดเชียงราย กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา แต่บริษัท กรุงธน เอ็นจิเนียริ่งฯ ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างโครงการดังกล่าวไม่สามารถส่งมอบงานได้ตามเป้าหมาย  กรมทางหลวงได้ขยายเวลาให้ 6 เดือน หรือถึงวันที่ 9 สิงหาคม นี้ จากการประเมินล่าสุดคาดว่าจะต้องใช้เวลาก่อสร้างอีกประมาณ 1-2 เดือนจึงจะแล้วเสร็จ ซึ่งกรมทางหลวงยืนยันจะไม่มีการขยายสัญญาให้ผู้รับเหมาอีกแล้ว ดังนั้นหากพ้นกำหนดสัญญางานยังไม่แล้วเสร็จผู้รับเหมาจะต้องจ่ายเงินค่าปรับประมาณวันละ 1.5 แสนบาทจนกว่าโครงการก่อสร้างจะแล้วเสร็จสมบูรณ์
           ด้านนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทย เขตพื้นที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย กล่าวว่าหากงบประมาณกว่า 9 หมื่นล้านบาทที่อยู่ในโครงการพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทผ่านการอนุมัติจากรัฐบาลจะส่งผลให้การเชื่อมโยงเส้นทางโลจิสติกส์ในเขตพื้นที่เมืองเชียงรายที่เชื่อมโยงกับการเปิดใช้สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีส่วนสร้างรายได้แก่ประเทศอย่างมาก
    ประการสำคัญทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องก็ควรต้องเร่งปรับตัวโดยเร็ว เพราะสิ่งที่เห็นได้ชัดในขณะนี้คือราคาที่ดินปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพบว่าบางแปลงราคาสูงกว่า 1.5 ล้านบาทต่อไร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งริมเส้นทางที่มุ่งสู่สะพานแห่งใหม่ ซึ่งปัจจุบันจะพบว่ากำลังจะถูกพัฒนากลายเป็นศูนย์รับส่งสินค้าขนาดใหญ่ จุดจอดรับส่งตู้คอนเทนเนอร์ ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ก็กำลังก่อสร้างบนพื้นที่นี้อีกไม่ต่ำกว่า 2 แห่ง ไม่นับรวมธุรกิจบริการอื่น ๆ ที่เตรียมจะเปิดให้บริการอีกนับไม่ถ้วน เช่นเดียวกับสินค้าประเภทพืช ผัก ผลไม้จากกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านก็นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศเพิ่มมากขึ้น แต่ที่น่าเป็นห่วงคือบ่อนการพนันในประเทศเพื่อนบ้านมีมากอาจจะส่งผลเสียตามมาในภายหลังได้ซึ่งภาครัฐต้องเร่งป้องกันไว้ตั้งแต่วันนี้
           ทั้งนี้สะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศไทย-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) และสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยไทยและจีนให้การสนับสนุนงบประมาณในการก่อสร้างฝ่ายละ 50% วงเงิน 44.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(ประมาณ 1,566 ล้านบาท) ต่อมาเพิ่มอีก 2.54 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(ประมาณ 80 ล้านบาท) โดยมีกลุ่ม CR5-KT Joint Venture (บริษัท ไชน่าเรลเวย์ นัมเบอร์ 5 เอ็นจิเนียริ่งกรุ๊ป จำกัด ร่วมทุนกับบริษัท กรุงธน เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด) เป็นผู้รับจ้าง รูปแบบสะพานความยาว 630 เมตร ถนนฝั่งไทยความยาว 5 กิโลเมตร ก่อสร้างขนาด 4 ช่องจราจร ฝั่งสปป.ลาวความยาว 6 กิโลเมตร ขนาด 2 ช่องจราจร พร้อมอาคารด่านชายแดนฝั่งไทยและสปป.ลาว เป็นโครงข่ายถนนสายเอเชียหมายเลข AH3 แล้วเสร็จสมบูรณ์ ทำให้การขนส่งสินค้าและการบริการการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจากจังหวัดเชียงรายของประเทศไทย กับเมืองห้วยทรายของสปป.ลาว และจีนทางตอนใต้มีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,858 วันที่  4  - 6   กรกฎาคม  พ.ศ. 2556


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 05 กรกฎาคม 2013, 22:22:40
เชียงราย - ผู้ประกอบการชิปปิ้งไทยยกคณะสำรวจเส้นทางเชื่อมไทย-ลาว-จีน (R3a) พบการขนส่งสินค้าขยายตัวแบบก้าวกระโดด จากระยะ 10 ปีก่อนมีแค่ 7 หมื่นตัน/ปี ล่าสุดทะลุ 1.27 ล้านตันต่อปีแล้ว แถมทั้งรถ-คนเข้าออกเพียบ
       
       นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เปิดเผยถึงผลการได้เดินทางไปพบปะท่านคำมั่น สูนวิเลิด เจ้าแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ณ ศาลากลางแขวงบ่อแก้ว ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าฯ เชียงราย ว่า ได้เดินทางไปดูโครงการก่อสร้างสะพานแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ในฝั่ง สปป.ลาว ทราบว่าคืบหน้าไปแล้วกว่า 90% เหลือเพียงการทำถนนเชื่อมตัวอาคารด่านตรวจพรมแดนไปยังสะพาน และสะพานย่อยอีก 2 จุด คาดว่าจะเสร็จทันก่อนสะพานใหญ่ แต่ก็ยังมีข้อติดขัดอยู่บ้าง ซึ่งจะได้นำข้อเสนอและปัญหาทั้งหมดนี้แจ้งต่อทางรัฐบาลไทยให้ทราบต่อไป
       
       ขณะเดียวกัน กรมการค้าต่างประเทศได้นำสมาคมชิปปิ้งแห่งประเทศไทย นำโดยนายยรรยง ตั้งจิตต์กุล นายกสมาคมชิปปิ้งแห่งประเทศไทย เดินทางไปสำรวจถนน R3a จาก อ.เชียงของ ข้ามแม่น้ำโขงไปยังเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว-เมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา ชายแดน สปป.ลาว-จีน ก่อนข้ามไปพบปะหารือด้านการค้า การลงทุน ความคืบหน้าโครงการต่างๆ กับภาครัฐและเอกชนของประเทศจีนที่ศาลาว่าการเขตปกครองพิเศษโมฮาน มณฑลยูนนาน โดยมีนางชไมพร เจือเจริญ กงสุลไทย ฝ่ายการพาณิชย์ ณ นครคุนหมิง ประเทศไทย และคณะจากด่านภาษีเมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา สปป.ลาว ร่วมหารือด้วย
       
       นายหลี่ ซือ หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ เขตปกครองพิเศษโมฮาน ได้นำคณะให้รายละเอียดถึงสภาพทางกายภาพ การคมนาคมที่คืบหน้าอย่างต่อเนื่องจนสามารถใช้ถนน R3a จาก อ.เชียงของ-โมฮาน ระยะทาง 245 กิโลเมตรได้โดยสะดวก การพัฒนาเศรษฐกิจของเมืองโมฮาน หลังจากนั้นคณะจากสมาคมฯ ได้เสนอความเห็นให้มีการเปิดด่านเมืองบ่อเต็น หลวงน้ำทา-โมฮาน ตลอด 24 ชั่วโมง สร้างห้องเย็น ณ จุดขนถ่ายสินค้าในฝั่งประเทศจีนให้เอื้อต่อการขนส่งสินค้าที่ส่วนใหญ่จะเป็นผักสด-ผลไม้อย่างเต็มที่
       
       นายหลี่ซือกล่าวอีกว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีปริมาณสินค้าผ่านถนน R3a ถึงด่านเมืองโมฮานประมาณ 70,000 ตันต่อปี แต่ปรากฏว่าในปี 2555 ที่ผ่านมามีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1.27 ล้านตันแล้ว มูลค่าทั้งหมดประมาณ 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ มีรถเข้าออกกว่า 270,000 คัน และมีคนเข้าออกรวมกัน 810,000 คัน หากสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เปิดใช้สถิติจะเพิ่มจากนี้อีกมากแน่
       
       ด้านท่านบุณแผง พันทะวง หัวหน้าด่านภาษีบ่อเต็น แจ้งว่า ปัจจุบันด่านศุลกากรของ สปป.ลาว ได้เปลี่ยนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสําหรับงานศุลกากรมาเป็นระบบ ASYCUDA เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
       
       “รถบรรทุกสินค้า 1 คันใช้เวลาเพียง 15 นาทีในการผ่านพิธีการ ซึ่งที่ผ่านมาได้ให้บริการกับรถบรรทุกสินค้าที่วิ่งผ่านเข้าออกด่านทั้ง 3 ประเทศไม่ต่ำกว่า 120 เที่ยวต่อวัน”
       
       ด้านนายยรรยงกล่าวว่า หลังจากผู้ประกอบการ นักธุรกิจ และชิปปิ้ง มีโอกาสหารือ 3 ฝ่าย ทำให้ได้เห็นโอกาส และหากสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ก่อสร้างแล้วเสร็จก็จะทำให้มูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล
       
       สำหรับสถิติการค้าชายแดนผ่าน อ.เชียงของไปยัง สปป.ลาว และถนน R3a ในปี 2554 มีการนำเข้า 2,268.311,388.94 บาท ส่งออก 5,931,142,766.61 บาท, ปี 2555 นำเข้า 3,071,105,387.65 บาท ส่งออก 9,453,687,905.03 บาท และตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2556 จนถึงเดือน มิ.ย. 56 มีการค้าเกิดขึ้นมากกว่า 12,000 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 30% สินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าพืชผัก เครื่องจักร รถยนต์ ฯลฯ ส่วนสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง สินค้าอุปโภคบริโภค ฯลฯ

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000081952


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 13 กรกฎาคม 2013, 09:20:06
รถไฟทางคู่20ปีแห่งการรอคอย

 12 July 2556 - 00:00

     ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ร.ฟ.ท. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างขยายเครือข่ายทางรถไฟบริเวณเขตพื้นที่ภาคเฉียงเหนือตอนกลาง โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม โครงการดังกล่าวรอมาเกือบ 20 ปี เนื่องจากที่ผ่านมาติดปัญหาอุปสรรคนานับประการ กับช่วงที่ผ่านมาประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ได้รับผลกระทบขาดสภาพคล่องด้านงบประมาณ
    สำหรับการก่อสร้างรถไฟสายนี้จะเป็นเส้นทางประวัติศาสตร์สายที่ 2 ของ ร.ฟ.ท. ที่จะสามารถก่อสร้างได้ หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการตั้งแต่ปี 2537 โดยสายแรกที่จะดำเนินการได้ก่อน คือ รถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย ที่ได้ผลักดันมาเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม จะแล้วเสร็จอีก 1-2 เดือน หลังจากนั้นจึงจะยื่นอีไอเอและนำเข้าสู่การพิจารณาของ  ครม.ปลายปีนี้ คาดว่าจะก่อสร้างได้ต้นปี 2557
    แต่มาวันนี้ ร.ฟ.ท.ได้ลงนามว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา ซึ่งมีบริษัท เอ็ม เอ เอ คอลซัลแตนท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาหลัก เข้าสำรวจออกแบบรายละเอียดทางวิศวกรรมและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทาง 347 กม. ใช้ระยะเวลาศึกษา 15 เดือน  จากนั้นจึงจะยื่นอีไอเอใช้เวลาประมาณ 6 เดือน คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ต้นปี 2558 ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 3-4 ปี แล้วเสร็จพร้อมเปิดบริการได้ประมาณปี 2561
    สำหรับแนวเส้นทางก่อสร้างส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ว่าง เช่น ไร่ปลูกมันสำปะหลัง จึงไม่มีปัญหาที่ส่งผลกระทบกับประชาชนมากนัก มีเพียงพื้นที่ จ.มุกดาหารและ จ.นครพนม ที่ต้องเวนคืนสิ่งปลูกสร้าง เพราะสถานีอยู่ในเมือง โดยจะเวนคืนที่ดินในเขตทางประมาณ 80 เมตร เผื่อไว้สำหรับการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงในอนาคต ซึ่งจะใช้แนวเส้นทางเดียวกันบริษัทต้องลงพื้นที่สำรวจแนวเส้นทางใหม่ทั้งหมด เพราะเป็นเส้นทางใหม่ ไม่มีแนวเส้นทางเดิม ลักษณะโครงการเป็นรางขนาด 1 เมตรและเป็นทางคู่ 
    “รถไฟสายนี้จะเป็นรถไฟรางคู่สายใหม่ที่ไม่ได้ก่อสร้างตามแนวเส้นทางเดิม สามารถวิ่งได้ความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม. อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและการขนส่งสินค้าในพื้นที่ภาคอีสานได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันยังเป็นเส้นทางที่จะเชื่อมการขนส่งทางภาคตะวันออกและภาคตะวันตกของประเทศเข้าด้วยกัน ส่วนพื้นที่ที่ต้องเวนคืนมากที่สุด คือ จ.มุกดาหารและ จ.นครพนม เพราะต้องเชื่อมโยงกับสถานีขนถ่ายสินค้าในพื้นที่ เพื่อขนถ่ายสินค้าเชื่อมต่อไปยังประเทศลาวผ่านสะพานมิตรภาพ”
    นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. กล่าวว่า รถไฟสายนี้มีทั้งหมด 14 สถานี ผ่าน 6 จังหวัด คือ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร มุกดาหาร และนครพนม เชื่อมการขนส่งสินค้าและการเดินทางกับประเทศเพื่อนบ้านที่มุกดาหาร บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 สามารถเชื่อมต่อได้ถึงเวียดนาม และนครพนม ที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 โดยเป็นโครงการภายใต้ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท จึงคาดหวังว่า พ.ร.บ.จะผ่านการพิจารณา เพราะหากไม่ผ่านจะส่งผลกระทบกับโครงการแน่นอน
    “หากเริ่มการก่อสร้างโครงการได้จะถือว่าเป็นอีกเส้นทางที่จะเชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านได้ ซึ่งจะทำให้การขนส่งทางรางมีความสะดวกขึ้น ทั้งนี้ เส้นทางดังกล่าวถือว่าเป็นเส้นทางที่มีการศึกษารายละเอียดมาตั้งแต่ปี 2537 แต่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากติดปัญหาเรื่องงบประมาณ ถ้าโครงการนี้ไม่ผ่านก็เสียดายโอกาส“
    สำหรับงบประมาณเบื้องต้นในการสำรวจแนวเส้นทางใหม่ทั้งหมด คาดว่าจะต้องใช้เงินเวนคืนที่ดินประมาณ 3,000 ล้านบาท ส่วนค่าก่อสร้างประมาณ 38,000 ล้านบาท แนวการก่อสร้างทั้งหมดไม่ผ่านเขตอุทยาน หรือสถานที่สำคัญใดๆ โดยพื้นที่ที่จะต้องเวนคืนมากที่สุด คือ มุกดาหารและนครพนม  เพราะต้องเชื่อมโยงกับสถานีขนถ่ายสินค้าในพื้นที่ ต่อไปยังลาวผ่านสะพานมิตรภาพ และเผื่อการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง  (ไฮสปีดเทรน) ในอนาคต ที่ใช้แนวเส้นทางเดียวกันด้วย
    นี่ก็ถือว่าเป็นอีก 1 โครงการที่เป็นความหวังให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ภาคเฉียงเหนือตอนกลาง ที่จะสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างจังหวัดได้สะดวกยิ่งขึ้น หากภาครัฐให้ความมั่นใจและจริงใจในการดำเนินโครงการ อย่างไม่มีวาระซ่อนเร้น แอบแฝงเพื่อผลประโยชน์พวกฟ้องและตัวเอง ก็ต้องเร่งเดินหน้าโครงการอย่างโปร่งใส จริงใจและดำเนินการให้เห็นเป็นรูปธรรม อย่าปล่อยให้ผ่านเลยไปจนต้องมีการศึกษาครั้งแล้ว ครั้งเล่า ซ้ำไป ซ้ำมาก อย่างไม่มีที่สิ้นสุด สุดท้ายก็จะไม่ได้อะไรกลับไปสู่วังวนเดิม ศึกษาไม่เลิกลาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด.

http://www.thaipost.net/news/120713/76284


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 กรกฎาคม 2013, 20:07:26



"ปลอด"ลงพื้นที่ติดตามการจัดตั้งเมือง ศก.ชายแดนเชียงราย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   20 กรกฎาคม 2556 16:37 น.   

   


       นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการตรวจติดตามการปฏิบัติราชการในครั้งนี้ว่า เป็นการตรวจติดตามการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ที่สืบเนื่องมาจากการลงพื้นที่ใน จ.เชียงราย ของนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในการพิจารณาจัดตั้งเมืองเศรษฐกิจชายแดนของ จ.เชียงราย ในพื้นที่ อ.แม่สาย เชียงแสน และ อ.เชียงของว่า มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด และมีปัญหาอุปสรรคที่จะต้องดำเนินการในระดับสูงด้วยหรือไม่ ซึ่งการดำเนินการในครั้งนี้อยู่ในกระบวนการขั้นตอนของการศึกษาตามความเหมาะสม และผลกระทบ
          ทั้งนี้ นายปลอดประสพ ได้ขอให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องน้ำตามหลัก 2 พี 2 อาร์ และการปลูกป่าต้นน้ำ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับน้ำในระยะยาว รวมถึงการพัฒนา และการจัดตั้งศูนย์โอทอปประจำจังหวัด และการพัฒนาพื้นที่ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ทั้งในส่วนการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ที่ใช้งบประมาณฟังก์ชั่น และงบยุทธศาสตร์ที่เป็นเมกะโปรเจ็กต์ 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาล


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 กรกฎาคม 2013, 16:36:08

เชียงรายสุดคึกคัก เงินสะพัดเข้าพรรษา 200 ล้าน "จีน-มาเลย์" แห่เที่ยว

วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15:09:36 น.
   
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม บรรยากาศบริเวณหน้าด่านพรมแดนไทย-พม่า ด้าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา ทั้งชาวไทยและต่างประเทศกันอย่างคึกคัก ทำให้ตลอดทั้งวันช่องทางขาเข้าและขาออกของด่านพรมแดนไปยังตลาดท่าขี้เหล็ก เนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยว ที่ข้ามไปเพื่อซื้อสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะการซื้อสินค้าราคาถูก อาทิ เสื้อผ้า เครื่องใช้ที่ผลิตจากประเทศจีน ตลอดจนขนมขบเคี้ยวเพื่อนำกลับไปฝากคนทางบ้าน ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องทำหน้าที่กันอย่างหนัก เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว

ขณะที่ประชาชนทั้งคนไทย ลาวและพม่า ตลอดจนชาวจีนบางส่วนต่างหลั่งไหลเดินทางมากราบไหว้ขอพรพระพุทธนวล้านตื้อ ขนาดใหญ่สูงกว่า 9 เมตร ซึ่งตั้งตระหง่านริมฝั่งแม่น้ำโขงบริเวณเวณสามเหลี่ยมทองคำ บ้านสบรวก ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว เนื่องในวันอาสาฬหบูชา และเทศกาลเข้าพรรษา ก่อนที่หลายคนพากันลอดท้องช้างปูนปั้น และลูบฆ้องขนาดใหญ่ เพื่อเป็นการเสริมบารมี ขณะที่หลายคนพากันจับจ่ายซื้อสินค้าและนั่งเรือชมทิวทัศน์ในแม่น้ำโขง ทำให้มีเรือข้ามฝั่งไปมาระหว่าง 3 ประเทศ คือ ลาว ไทยและพม่ากันอย่างคึกคักตลอดทั้งวัน

นายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ ประธานหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่า ปีนี้ช่วงเทศกาลเข้าพรรษา ซึ่งมีวันหยุดยาวถึง 4 วัน ทำให้การค้าและการท่องเที่ยวของจังหวัดเป็นไปอย่างคึกคัก เนื่องจากเชียงรายเป็นเมืองล้านนา และมีโบราณสถานเก่าแก่หลายอำเภอ ทำให้คนต่างถิ่นอยากมาสัมผัส โดยปีนี้ก็พบว่าคึกคักกว่าทุกปี สังเกตว่ามีนักท่องเที่ยวที่เป็นชาวต่างชาติโซนยุโรปเข้ามาเที่ยวแล้ว ยังมีนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวมาเลเซียมาเป็นเป็นกลุ่มทัวร์ใหญ่ๆ  ทำให้การท่องเที่ยวและการบริการด้านการค้าต่างๆ เจริญเติบโต คาดว่าจะมีเงินสะพัดในช่วงวันหยุดยาว 4 วัน ที่ผ่านมาไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท

Cr. มติชน


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 24 กรกฎาคม 2013, 13:13:47
แพทยสภาหวังผลิตหมอได้ปีละ2,800 คนหลังม.สยาม-ม.แม่ฟ้าหลวงเปิดคณะแพทย์

UploadImage

แพทยสภาผลิตแพทย์ปี 2556 ได้ 2,300 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ถึงพันคน เผยอนุมัติเพิ่มคณะแพทย์อีก 2 แห่ง ที่ ม.สยาม และ ม.แม่ฟ้าหลวง คาดผลิตแพทย์เพิ่มได้อีกปีละ 2,800 คน หนุนลงชนบทมากขึ้น การันตีแพทย์ไทยเจ๋งจริง ชี้ต้องผ่านการทดสอบระดับชาติ 3 ครั้ง

UploadImage       
 
 
       น.อ.(พิเศษ) นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า จากโครงการผลิตแพทย์เพิ่มทั่วประเทศของแพทยสภา โดยคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย 19 แห่งทั่วประเทศ ทำให้ในปี 2556 สามารถผลิตแพทย์จบใหม่ได้ถึง 2,300 คน เพิ่มจากปี 2552 ที่มีแพทย์จบใหม่เพียง 1,356 คน และล่าสุด ปีนี้ได้มีการอนุมัติเพิ่มคณะแพทยศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยอีก 2 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยสยาม และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ทำให้มีมหาวิทยาลัยที่ผลิตแพทย์เพิ่มเป็น 21 แห่งทั่วประเทศ ด้วยเหตุนี้จะทำให้สามารถเพิ่มแพทย์จบใหม่ได้เป็นปีละ 2,800 คนในอนาคต เพื่อดูแลประชาชนในส่วนที่ขาดแคลนโดยเฉพาะชนบท
       
       น.อ.(พิเศษ) นพ.อิทธพร กล่าวอีกว่า นอกจากการผลิตแพทย์ แพทยสภายังให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพการศึกษาที่ต้องพัฒนาควบคู่ด้วย โดยเน้นให้มีการทดสอบและประเมินแพทย์ก่อนจบใหม่ทุกคน ที่จะต้องผ่านการรับรองจากแพทยสภาอีกชั้น ด้วยการทดสอบความสามารถวิชาชีพแพทย์ระดับชาติ เพื่อเป็นการการันตีวิชาชีพแพทย์ว่า แม้ผ่านการศึกษาจากสถาบันคนละแห่งแต่ต้องมีคุณภาพมาตรฐาน โดยมีความรู้ความสามารถผ่านเกณฑ์เดียวกันจึงออกไปดูแลประชาชนได้ ซึ่งไม่ว่าจะศึกษาจากสถาบันไหนทั้งที่จบในและต่างประเทศ ก็ต้องมาทดสอบเหมือนกันทั้งหมด
       
       “นักศึกษาแพทย์ทุกคนจะต้องทดสอบและประเมินความรู้ความสามารถก่อนจบเป็นแพทย์ ด้วยการเข้าทดสอบกับศูนย์ประเมินและรับรองความรู้ความสามารถในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม (ศ.ร.ว.) ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามข้อบังคับแพทยสภา โดยกำหนดให้นักศึกษาแพทย์ทุกคนต้องผ่านการทดสอบ 3 ครั้ง แบ่งเป็นทดสอบวิชาการช่วงชั้นปีที่ 3 ทดสอบความรู้โรคต่างๆ ช่วงชั้นปีที่ 5 และทดสอบภาคปฏิบัติในการตรวจคนไข้ช่วงชั้นปีที่ 6 ซึ่งนักศึกษาทุกสถาบันต้องผ่านทดสอบกับ ศ.ร.ว.ทั้งสิ้น โดย ศ.ร.ว.จะมีการปรับปรุงข้อสอบมาตรฐานที่ใช้ในการทดสอบอัปเดตทุกปี เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเน้นการดูแลประชาชนครอบคลุมทั้งการตรวจ วินิจฉัย รักษา ป้องกันโรค ให้คำแนะนำ และคุณธรรมจริยธรรม” รองเลขาธิการ กล่าวและว่า ข้อบังคับนี้กำหนดให้แพทย์ที่จบจากต่างประเทศ ที่จะได้รับใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมแบบถาวรเพื่อทำงานในประเทศไทย ก็ต้องทำการทดสอบและผ่านการประเมินจาก ศ.ร.ว.ในมาตรฐานเดียวกันด้วยเช่นกัน

ที่มา - โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กรกฎาคม 2556


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 01 สิงหาคม 2013, 22:33:08
คมนาคมเล็งเปิดสะพานน้ำโขง 4 เชื่อมไทย-ลาว-จีน “11/12/13”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   1 สิงหาคม 2556 15:14 น.   

   

เชียงราย - กระทรวงคมนาคม เล็งใช้ฤกษ์ 11/12/13 เปิดใช้สะพานข้ามโขง 4 เชื่อมไทย-ลาว-จีน ผ่านเส้นทาง R3a หลังเลื่อนมาแล้วหลายรอบ
       
       วันนี้ (1 ส.ค.) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมประชุมคณะทำงานด้านคมนาคมขนส่ง ครั้งที่ 17 ภายใต้กรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (จีเอ็มเอส) ณ โรงแรมดุสิต ไอส์แลนด์ รีสอร์ท อ.เมือง จ.เชียงราย โดยมีตัวแทนกระทรวงคมนาคม 6 ประเทศจีเอ็มเอส ประกอบด้วย ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม จีน และตัวแทนจากธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือเอดีบี เข้าร่วม
       
       โดยตัวแทนแต่ละประเทศได้รายงานโครงการการพัฒนาด้านการคมนาคมเพื่อเชื่อมโยงเขตจีเอ็มเอสเข้าด้วยกันในอนาคต จากนั้นได้เดินทางไปดูการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงไทย-ลาว แห่งที่ 4 ที่ อ.เชียงของ และท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ที่ อ.เชียงแสน
       
       นายชัชชาติกล่าวว่า กลุ่มจีเอ็มเอส 6 ประเทศมีประชากรรวมกันกว่า 300 ล้านคน แต่ละประเทศได้ทุ่มงบประมาณเพื่อการพัฒนาเส้นทางคมนาคม และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงกันไปแล้วกว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เช่น ลาวแจ้งว่ามีโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อม จ.บึงกาฬ ของไทยกับปากซัน ของลาว และอีกหลายโครงการ โดยสะพานดังกล่าวถือว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศไทยมาก เพราะพื้นที่แถบนี้มีการปลูกยางพาราเป็นจำนวนมาก หากมีสะพานก็สามารถขนส่งผ่านลาวไปยังประเทศจีนได้ต่อไป
       
       และหลังการแถลงโครงการของแต่ละประเทศต่างๆ แล้วก็จะได้มีการนำข้อมูลไปหารือกันว่าจะมีการเชื่อมโยงโครงการของประเทศต่างๆ ให้กลายเป็นการเชื่อมโยงกันในจีเอ็มเอสให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร จากนั้นจะประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่กันอีกครั้งราวเดือนพฤศจิกายนนี้
       
       สำหรับไทยได้มีการแถลงเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟ จากเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท ทั้งเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมถึงเชียงใหม่ และรถไฟรางคู่จาก อ.เด่นชัย จ.แพร่ ถึง อ.เชียงของ จ.เชียงราย เพื่อเชื่อมกับสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 อ.เชียงของ-เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ต่อไปยังถนนอาร์สามเอ ไทย-ลาว-จีนตอนใต้
       
       สะพานดังกล่าวได้ถูกเลื่อนระยะเวลาแล้วเสร็จมาหลายครั้ง เพราะก่อสร้างด้วยเอกชน 2 รายจากประเทศไทย และจีน ทำให้เกิดปัญหาข้อขัดข้องด้านการบริหาร และระดับน้ำ แต่ตอนนี้คืบหน้าจนใกล้แล้วเสร็จแล้ว และในเดือนพฤศจิกายนนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จ หรืออาจเหลือเพียงรายละเอียดอีกเล็กน้อยเท่านั้น โดยล่าสุดได้กำหนดเบื้องต้นว่าจะเปิดสะพานได้ในวันที่ 11 ธันวาคม 2556 หรือวันที่ 11 เดือน 12 ค.ศ. 2013 หรือ 11/12/13 ต่อไป
       
       สำหรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 สร้างโดยกลุ่มซีอาร์ 5-เคที จอยท์เวนเจอร์ ซึ่งเป็นการร่วมทุนของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ โน.5 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด จากประเทศจีน และบริษัท กรุงธนเอ็นยิเนียร์ จำกัด ของประเทศไทย โดยรัฐบาลไทยและจีนร่วมกันก่อสร้าง ด้วยงบประมาณ 1,486.5 ล้านบาท กำหนดก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2553 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธันวาคม 2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน แต่ได้เลื่อนเรื่อยมา
       
       อย่างไรก็ตาม ได้มีพิธีเชื่อมสะพานไปแล้วเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2555 โดยสะพานสร้างเป็นรูปแบบคอนกรีตรูปกล่องมีเสาตอม่อ 4 ตอม่อ ความกว้าง 14.70 เมตร เป็นสะพานขนาดสองช่องจราจร ช่องละ 3.50 เมตร และไหล่ทางข้างละ 2 เมตร และทางเท้าข้างละ 1.25 เมตร ความยาว 480 เมตร เมื่อรวมกับถนนติดขอบฝั่งก็จะยาวประมาณ 630 เมตร มีการก่อสร้างถนนและจุดสลับการจราจรในฝั่งไทย 5 กิโลเมตร และลาว 6 กิโลเมตร เชื่อมกับถนนอาร์สามเอ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 สิงหาคม 2013, 08:02:58
จีนผลักดัน “เขตการค้าชายแดน จีน-ลาว-พม่า-ไทย”         

THURSDAY, 08 AUGUST 2013 23:11
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครคุนหมิง รายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ ทางเขตปกครองตนเองสิบสองปันนาชนชาติไต ได้มีการแถลงข่าวเกี่ยวกับการเร่งผลักดัน “เขตการค้าชายแดน จีน-ลาว-พม่า-ไทย” เพื่อรองรับเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน และเพื่อให้มณฑลยูนนานเปิดกว้างสู่ภายนอก

 

                นางชไมพร เจือเจริญ กงสุล (ฝ่ายการพาณิชย์) ณ นครคุนหมิง กล่าวว่า เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา ตั้งอยู่ที่ทางตอนใต้ของมณฑลยูนนาน มีดินแดนติดกับประเทศอาเซียน คือ ลาว พม่าและเวียดนาม ยังตั้งอยู่ใกล้กับไทยมากที่สุด และมีความใกล้ชิดและติดต่อกับไทยมานานตั้งแต่มีความร่วมมือกันภายใต้กรอบความร่วมมือสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ แม้ว่าจะไม่มีพรมแดนติดต่อกันโดยตรง แต่สามารถใช้เส้นทางถนนเส้นทางรถยนต์ R3E โดยผ่านประเทศลาว(เชียงของ-บ่อหาน ระยะทาง 245 กิโลเมตร) (คุนหมิง – ลาว - กรุงเทพฯ ระยะทาง 1,800 กิโลเมตร)   และสามารถใช้เส้นทางการขนส่งทางแม่น้ำโขงหรือชางเจียง (สิบสองปันนา - เชียงของ) รวมทั้ง สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 (เชียงของ - ห้วยทราย) จะแล้วเสร็จในปลายปี 2556 ทำให้จีน ไทย ลาวและพม่า สามารถติดต่อค้าขายกันโดยตรงทางการค้าชายแดน

 

                ภายใต้แผนความร่วมมือการค้าข้ามแดนบ่อหาน-บ่อเต็น (จีน-ลาว) ได้มีการผลักดันก่อตั้ง “เขตการค้าชายแดน” ครอบคลุมเขตบ่อหานในสิบสองปันนา หลวงน้ำทา-บ่อแก้วในลาว เชียงของ จังหวัดเชียงรายของไทย และเชียงตุงของพม่า รวม 4 ประเทศ และยกระดับการเปิดกว้างการค้าของมณฑลยูนนาน เพื่อให้เขตสิบสองปันนาเป็นเมืองหน้าด่านหรือประตูสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

                นายหลัว หง เจียง ผู้ว่าการเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา เปิดเผยว่า ได้กำหนดให้เขตความร่วมมือการค้าข้ามแดนบ่อหาน-บ่อเต็น เป็นจุดเปิดสำหรับความร่วมมือและการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน และยังมีเส้นทางขนส่งทางถนนคุนมั่นกงลู่ ที่สร้างเสร็จแล้ว หรือทางรถไฟฟ่านย่าที่กำลังจะก่อสร้างซึ่งเป็นข้อได้เปรียบสำหรับพื้นที่แห่งนี้ นอกจากนี้ จะเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมยาแผนโบราณของชนชาติไต ชาผูเอ่อร์ และอาหารชีวภาพที่ปลอดภัยต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนให้สิบสองปันนา “เขตการค้าชายแดน” อย่างสมบูรณ์แบบ

 

                นอกจากนี้ ยังมีการก่อสร้างและยกระดับความสามารถของท่าเรือจิ่งหง และท่าเรือกวานเหล่ย รวมทั้งเร่งโครงการ “ผักสดแลกน้ำมัน” “ดอกไม้แลกผลไม้” “ผลไม้เมืองหนาวแลกผลไม้เมืองร้อน”  ตลอดจนก่อสร้างตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าในแนวชายแดน (จีน-ลาว-ไทย) และผลักดันเชียงตุงของพม่าเข้ามามีส่วนร่วม พร้อมเร่งแก้ปัญหา “ผ่านแต่ไม่คล่อง” ของการขนส่งสินค้าทางรถยนต์

 

                มูลค่าการค้าระหว่างประเทศของเขตปกครองตนเองสิบสองปันนาปี 2555 อยู่ที่ 1,360 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 40.5 มีบริษัทลงทุนจากต่างประเทศ 57 บริษัท ซึ่งได้เข้ามาลงทุนแล้วกว่า 63,840,000 เหรียญสหรัฐ คาดว่าภายในสองปีข้างหน้ามูลค่าการค้าระหว่างจะมีมากกว่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

Written by :

กระแสหุ้นออนไลน์

 


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 10 สิงหาคม 2013, 20:07:39
รายการ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม 2556

ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย

และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์

ประเด็นเกี่ยว คมนาคม

http://thainews.prd.go.th/centerweb/news/NewsDetail?NT01_NewsID=TNPOL5608100010003


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 สิงหาคม 2013, 19:11:52
   

หอการค้าฯ จับมือมหาดไทย เปิดโอกาสทองการค้าสะพานเศรษฐกิจเชียงของ - ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--20 ส.ค.--หอการค้าไทย

          นายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการที่กระทรวงมหาดไทยได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชน ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ประกอบกับหอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าจังหวัด ก็ได้มีการจัดทำยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของภาคเอกชนขึ้น เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งมีความสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของภาครัฐ ดังนั้น จึงมีความเห็นร่วมกันว่า ด่านชายแดนอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย บริเวณสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 4 ซึ่งกำลังจะแล้วเสร็จและมีกำหนดเปิดใช้ประมาณปลายปี 2556 มีศักยภาพในการแข่งขันทั้งทางด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เนื่องจากสะพานดังกล่าวจะเชื่อมโยงการคมนาคมในกลุ่มประเทศอนุภาคลุ่มน้ำโขง ตามกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Sub-Region : GMS) ถือเป็นความร่วมมือสำคัญในการเชื่อมโยงและพัฒนาเส้นทางเศรษฐกิจภายในภูมิภาคอินโดจีน โดยเฉพาะการพัฒนาเส้นทางตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ (North – South Economic Corridor : NSEC) ที่จะนำมาซึ่งประโยชน์และก่อเกิดรายได้มหาศาลกับประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มจังหวัดภาคเหนือและกลุ่มประเทศที่อยู่บนเส้น ทาง R3A
          หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จึงได้ร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย โดยสำนักพัฒนาและส่งเสริมการบริหารราชการจังหวัด สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และจังหวัดเชียงราย จัดการสัมมนา “สะพานเศรษฐกิจเชียงของ : โอกาสทองการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว” ขึ้นในวันที่ 23 สิงหาคม 2556 ณ โรงแรมดุสิต ไอส์แลนด์ เชียงราย จังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นการส่งเสริมและสร้างโอกาสในการแข่งขันด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวของจังหวัด 17 จังหวัดภาคเหนือ ซึ่งจะเป็นการเตรียมความพร้อมและแสวงหาช่องทางในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเพิ่มมากขึ้น นอกจากนั้น ยังเป็นการระดมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะยุทธศาสตร์การพัฒนาและการแก้ไขปัญหาของพื้นที่เศรษฐกิจเชียงราย และจังหวัดภาคเหนือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ รวมทั้งยังเป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้บริหารจังหวัดภาคเหนือ หน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชนที่เกี่ยวข้อง ภายใต้กระบวนการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศของรัฐบาล โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมสัมมนาดังกล่าวจำนวน 400 คน


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: corolado4 ที่ วันที่ 23 สิงหาคม 2013, 08:22:01
http://www.chiangrai.net/cpoc/appointment/AppView.aspx
ตารางงานของผู้บริหารจังหวัด
ถ้าคลิกเข้าไปดูได้ จะเห็นมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาจังหวัดเยอะเลย



หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: bitthailand2012 ที่ วันที่ 23 สิงหาคม 2013, 10:30:57
น่าสนใจน่ะ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 สิงหาคม 2013, 10:20:11
เอกชน-นักวิชาการชี้จีนรุกทุกระดับรับเออีซี สะพานข้ามโขง 4

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   24 สิงหาคม 56

   
เชียงราย - ตัวแทนภาคเอกชน-นักวิชาการ ชี้กลุ่มทุนจีนเปิดเกมรุกพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตอนบนผ่านช่องทางเชื่อมไทย-พม่า-ลาว-จีน ทุกระดับ และทุกช่องทาง แต่รัฐกลับละเลย “เชียงราย” หัวเมืองยุทธศาสตร์ ระบุแม้แต่เขตเศรษฐกิจพิเศษฯ ที่พูดกันมาร่วม 20-30 ปี วันนี้ยังไปไม่ถึงไหน
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า ในเวทีเสวนาพร้อมระดมความคิดเห็น และข้อเสนอแนะเรื่อง “สะพานเศรษฐกิจเชียงของ : โอกาสทองทางการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว” เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับหอการค้าไทย จัดขึ้นที่ห้องประชุมดอยตุง โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์รีสอร์ท อ.เมืองเชียงราย นักวิชาการ ตลอดจนตัวแทนภาคเอกชนได้แสดงความเห็นถึงการรุกเข้าลงทุนในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงของจีนเกิดขึ้นอย่างหนักและต่อเนื่อง
       
       นายนิยม ไวยรัชพานิช รองประธานกรรมการและประธานคณะกรรมการความร่วมมือเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไทยมีการค้ากับประเทศจีนมหาศาล โดยเฉพาะจีนตอนใต้ ที่เชื่อมกับเชียงราย ผ่านถนนอาร์สามบี อ.แม่สาย-พม่า-จีนตอนใต้ แม่น้ำโขงจาก อ.เชียงแสน ไปยังจีนตอนใต้ และถนนอาร์สามเอ อ.เชียงของ-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ซึ่งกำลังจะมีการเปิดใช้สะพานข้ามแม่น้ำโขงไทย-สปป.ลาว แห่งที่ 4 ในปลายปีนี้ โดยปี 2555 มีการค้ากับมณฑลเสฉวน มูลค่ารวม 11,780 ล้านบาท มณฑลยูนนาน 22,878 ล้านบาท
       
       “ที่ผ่านมา จีนรุกลงมาอย่างต่อเนื่อง และไม่ได้มุ่งทำการค้าด้วยเส้นทางใดเป็นการเฉพาะ แต่เลือกหลายเส้นทาง”
       
       นายนิยม กล่าวอีกว่า สำหรับบนถนนอาร์สามเอ เชื่อมสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 นั้น เอกชนจีนได้ทำการขนสินค้าด้วยรถบรรทุกสินค้าจากจีนตอนใต้ลงมาอย่างต่อเนื่อง มีการทำข้อตกลงระหว่างจีน-สปป.ลาว ให้รถบรรทุกสินค้าของจีนมีทะเบียนรถบรรทุกของ สปป.ลาว ได้ด้วย ทำให้รถบรรทุกสินค้าจีน สามารถเดินทางผ่านด่านโมฮาน-บ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา สปป.ลาว เข้ามาได้โดยไม่ต้องตรวจสอบ และมุ่งหน้าสู่ถนนอาร์สามเอ มายังด่าน อ.เชียงของ ของไทยได้เลย และเมื่อมีการดำเนินการตามข้อตกลงกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง หรือจีเอ็มเอส ที่อนุญาตให้รถสินค้าของแต่ละฝ่ายผ่านอีกประเทศหนึ่งได้ 500 คัน เพิ่มขึ้นปีละ 100 คัน ก็ยิ่งทำให้ในอนาคตการขนส่งสินค้าผ่านถนนอาร์สามเอ จะคึกคักมากขึ้น
       
       “ในอนาคตจีนคงต้องการเป็นแบบไทย-มาเลเซีย ที่มีรถ 2 สัญชาติ เข้าออกประเทศไทยได้เลย และที่น่าจับตาสำหรับไทยคือ การมีรถนอมินีที่มีป้ายทะเบียนรถถึง 3 สัญชาติ เข้ามาทั้งไทย และจีนได้”
       
       นอกจากนี้ จีนยังสามารถอาศัยเส้นทางอาร์สามเอใน สปป.ลาว จากแขวงหลวงน้ำทาแยกไปนาเตย-เวียดนาม ระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร และอีกเส้นทางลงไปทางปากแบ่ง จ.น่าน ระยะทางแค่ 144 กิโลเมตร ล่าสุด ทางลาวเองก็กำลังจะได้เงินกู้ยืมจากเอดีบี จำนวน 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำถนนแยกจากถนนอาร์สามเอที่แขวงหลวงน้ำทา ไปทางแขวงอุดมไชย และเชื่อมถึง จ.อุตรดิตย์ ของไทยด้วย
       
       นายนิยม กล่าวอีกว่า ส่วนถนนอาร์สามบี ก็มีความสำคัญ เพราะสามารถแยกไปทางเมืองยอง และข้ามสะพานแม่น้ำโขงพม่า-สปป.ลาว ก่อนจะเชื่อมมายัง จ.เชียงราย ห่างจากจีนตอนใต้แค่ 180 กิโลเมตร ซึ่งใกล้กว่าทุกสาย
       
       ด้านนายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ ประธานหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่า จีนตอนใต้มีประชากรร่วม 300 ล้านคน ขณะที่เชียงราย มีศักยภาพด้านการเชื่อมโยงในทุกด้าน แต่ที่ผ่านมา ยังไม่ได้รับการสนับสนุนด้านการพัฒนาอย่างเต็มที่ แม้แต่เรื่องการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดน ก็พูดกันมาร่วม 20-30 ปีแล้ว แต่ยังไปไม่ถึงไหน
       
       ทั้งที่ศักยภาพของจังหวัดถือว่าเดินตามภูมิศาสตร์ เพราะมีตลาดใหญ่ที่ท่าขี้เหล็ก ตรงกันข้าม อ.แม่สาย มีประชากรร่วม 1 ล้านคน ใช้สินค้าอุปโภคบริโภค และก่อสร้างจากไทยทั้งหมด 90% แม้แต่เกลือยังนำเข้าจากไทย 70-80% ไข่ไก่นับล้านฟองต่อวัน ส่วนทางแม่น้ำโขงก็มีโครงการของจีนไปตั้งอยู่อย่างใหญ่โตที่สามเหลี่ยมทองคำ และเป็นเส้นทางการเดินเรือ ขณะที่ อ.เชียงของ มีสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายจะต้องหันมายอมรับความจริงว่าเรายังไม่พัฒนายังขับเคลื่อนเพื่อรับผลประโยชน์เหล่านี้น้อยมาก
       
       ขณะที่ ดร.จุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าวว่า เมื่อด่านพรมแดนที่ อ.เชียงของ แล้วเสร็จ รถบรรทุกสินค้าทั้งขาเข้าและออก จะได้รับการอำนวยความสะดวกทางการค้ามาก โดยรถบรรทุกที่กำหนดเป็นสีแดง จะแล่นข้ามจากฝั่งไทยข้ามสะพานไปโดยไม่ต้องตรวจ และไปตรวจที่ด่านพรมแดนฝั่งลาว ซึ่งมีการทำงานร่วมกัน เช่นเดียวกับรถบรรทุกสินค้าขาเข้า ซึ่งทางประเทศไทยกำลังจะก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของรองรับอยู่
       
       ดร.ธงชัย ภูวนาถวิจิตร อาจารย์ประจำสาขาวิชาบ้านและชุมชน คณะมนุษศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า จีนมีความพร้อมในเรื่องการท่องเที่ยวมาก โดยจัดกิจกรรมที่จีนตอนใต้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ ยังมาลงทุนประชิดชายแดนไทยด้านสามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ตรงกันข้าม อ.เชียงแสน โดยบริษัทกลุ่มดอกงิ้วคำ จำกัด ที่ได้สัมปทานเนื้อที่กว่า 60,000 ไร่ โดยเบื้องต้นเช่าก่อน 7,500 ไร่ ระยะเวลา 99 ปี มีการจัดตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่มีทั้งโรงแรมหรู สถานบันเทิง สนามกอล์ฟ สถานเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ฯลฯ ซึ่งจะเห็นได้ว่ายุทธศาสตร์ของจีนโดยเอกชนที่มีความสามารถสูงรุกลงมาอย่างอย่างหนัก


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 สิงหาคม 2013, 14:21:37
ค้าปลีกชายแดนสุดคึก เทสโก้ฯ-เซเว่นฯ-เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ แห่เปิดสาขาติดเพื่อนบ้าน ตามยุทธศาสตร์เส้นทางเศรษฐกิจเชื่อมอาเซียน รับเปิดเออีซีปี 2558 ยักษ์เทสโก้ฯเพิ่มโฟกัสต่างจังหวัด-ชายแดน รับโอกาสมหาศาล ล่าสุดผุดสาขาเชียงของ ด้านบิ๊กบอสเซเว่นฯ "ปิยะวัฒน์" ชี้ตัวเลขค้าชายแดนโตต่อเนื่อง เฉพาะชายแดนใต้มีกว่า 70 สาขา เบอร์ลี่ยุคเกอร์ ชูยุทธศาสตร์ขยายค้าปลีกตามเส้นทางการค้าเชื่อมอินโดจีน

การขยายสาขาถือเป็นยุทธศาสตร์หลักที่ผลักดันการเติบโตของ "ค้าปลีก" ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มกระจายตัวไปตามต่างจังหวัดมากขึ้น จากทำเลในกรุงเทพฯ ที่เริ่มหนาแน่นและหายากขึ้น ขณะที่ตลาดต่างจังหวัดยังมีโอกาสอีกมาก จากการขยายตัวของเมืองและกำลังซื้อ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีแรงบวกจากโครงการส่งเสริมเศรษฐกิจของภาครัฐเป็นแรงหนุนให้การค้าชายแดนคึกคักยิ่งขึ้น

ถือเป็นอีกยุทธศาสตร์ของค้าปลีกแต่ละค่ายขณะนี้ ในการฉกฉวยโอกาสเข้าไปปักธงตามเส้นทางการค้าอาเซียนรับการเปิดเออีซีที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้

เทสโก้ฯลุยเปิดสาขาติดเพื่อนบ้าน

นางสาวสลิลลา สีหพันธุ์ รองประธานกรรมการฝ่ายกิจการ บรรษัทเทสโก้ โลตัส บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แม้กำลังซื้อผู้บริโภคจะชะลอตัว แต่แผนการลงทุนของบริษัทยังเป็นไปตามปกติ ทั้งในแง่การขยายสาขาใหม่ตามแผนที่วางไว้จะเปิดสาขาขนาดเล็ก 300 สาขา สาขาขนาดใหญ่ 10 สาขา โดยตั้งแต่ต้นปีได้เปิดไปกว่า 100 สาขา ปัจจุบันมี 1,500 สาขา และสิ้นปีจะเปิดเป็น 1,700 สาขา





จากแนวทางดังกล่าวบริษัทเน้นขยายสาขาในต่างจังหวัดมากขึ้น เนื่องจากทำเลในกรุงเทพฯ เริ่มแน่น จึงมองหาทำเลที่ยังมีช่องว่างและโอกาสอย่างจังหวัดที่ติดประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเริ่มเห็นภาพการขยายสาขามาตลอดช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยมองว่ามีโอกาสจากกำลังซื้อของคนต่างจังหวัดและประเทศเพื่อนบ้านที่อาศัยติดชายแดน รวมทั้งไลฟ์สไตล์ความเป็นเมืองที่ขยายตัวออกไปมากขึ้น

อาทิ สาขาแม่สอดที่มีการปรับโมเดลจากไฮเปอร์มาร์เก็ตเป็น "เอ็กซ์ตร้า" และล่าสุดเพิ่งเปิดให้บริการเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา คือเชียงของ ในโมเดลไฮเปอร์มาร์เก็ต ส่วนจังหวัดอื่น ๆ ที่มีอยู่แล้วคืออุดรธานี เป็นต้น

"สาขาแม่สอดปรับจากไฮเปอร์มาร์เก็ตเป็นเอ็กซ์ตร้า มีลูกค้าเยอะ ทั้งคนท้องถิ่นและคนพม่า ส่วนที่อุดรธานีก็มีลูกค้าคนลาวข้ามมาซื้อสินค้า โดยเฉพาะช่วงวันหยุดที่มีการจับจ่ายสินค้าเป็นวอลุ่มใหญ่ ทั้งซื้อไปใช้เองและซื้อไปขายต่อ จากนี้จะเดินหน้าขยายต่อเนื่องในที่ที่มีกลุ่มลูกค้า มีกำลังซื้อ การขออนุญาตในพื้นที่ หากได้รับการยินยอม เราก็พร้อมจะขยายไป"

การค้าชายแดนสุดบูม

ด้านนายกลินท์ สารสิน กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า โดยภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในครึ่งปีแรกยังคงชะลอตัว แต่ก็ยังมีหลายช่องทางที่ยังมีโอกาสเติบโตคือการค้าชายแดน โดยตัวเลขการค้าชายแดนแทบทุกด่านของไทยเห็นชัดเจนว่ามีการขยายตัวทางการค้าเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน เชื่อว่าครึ่งปีหลังจะยังเป็นตัวจักรสำคัญที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจของไทยและทดแทนกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัวลง

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายด่านที่เตรียมจะเปิดการค้าชายแดน อาทิ ด่านชายแดนอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 ซึ่งกำลังจะแล้วเสร็จและกำหนดเปิดใช้ปลายปีนี้ มีศักยภาพในการแข่งขันทั้งด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว เนื่องจากสะพานดังกล่าวจะเชื่อมโยงการคมนาคมในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง

"เทสโก้ โลตัส ก็เพิ่งไปเปิดสาขาใหม่ที่เชียงของ เพราะสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเพิ่งเปิด สมาชิกหอการค้าหลายรายก็จะเข้าไปลงทุน"

เซเว่นฯ-แม็คโครโดดร่วมวง

สอดคล้องนายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานคณะกรรมการค้าปลีกและค้าส่ง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉายภาพค้าปลีกโดยรวมว่า แนวโน้ม 5 เดือนที่เหลือนี้ยังไม่เห็นสัญญาณบ่งบอกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ยกเว้นการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวกำลังเติบโตและขยายตัวดี ที่ผ่านมาผู้ประกอบการค้าปลีกปรับตัวมาตลอด เพื่อตอบโจทย์ของตลาดและความต้องการของผู้บริโภค ตัวอย่างแม็คโครมีการเปิดสาขาในจังหวัดที่มีการค้าชายแดน พบว่ามียอดขายที่ดี

"ค้าปลีกไซซ์ใหญ่หันมาลงทุนไซซ์เล็ก เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจในภาพใหญ่ยังไม่ดี ลงทุนไปก็อาจไม่ได้เป้า อย่างดิสเคานต์สโตร์ก็หันมาทำไซซ์เล็ก หันมาสนองเรื่องความรวดเร็ว จากไลฟ์สไตล์คนที่เปลี่ยนไป พร้อมสร้างสินค้าให้มีความแตกต่างและเสนอบริการที่ดีขึ้น"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันแม็คโครมีสาขาที่ติดชายแดนคือหนองคาย มุกดาหาร อุบลราชธานี สระแก้ว สตูล โดยสาขาล่าสุดที่เพิ่งเปิดให้บริการก็คือมุกดาหารและสตูล

ด้านนายสุวิทย์ กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทยระบุว่า การขยายสาขาของเซเว่นอีเลฟเว่น

พิจารณาจากทำเลที่มีศักยภาพ ซึ่งจังหวัดที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านก็มีฐานลูกค้าที่หลากหลาย ทั้ง 1.กลุ่มคนท้องถิ่น 2.นักท่องเที่ยวคนไทย 3.นักท่องเที่ยวต่างชาติและประชาชนในประเทศเพื่อนบ้าน

ปัจจุบันเซเว่นฯมีกว่า 7,300 สาขา มีการเปิดตามจังหวัดที่มีเขตติดต่อกับประเทศกัมพูชา พม่า มาเลเซีย จำนวนมาก อาทิ สาขาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีกว่า 70 สาขา

"ประเทศรอบบ้านพัฒนาไปมาก ปัญหาชายแดนไม่มี การคมนาคมขนส่งดีขึ้น ยิ่งกระแสเปิดเออีซีทำให้การค้าชายแดนเพิ่มความคึกคักยิ่งขึ้น ทั้งแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาทำงานในไทย ทำให้คุ้นเคยกับสินค้าไทย ดังนั้นเมื่อกลับบ้านก็จะแนะนำญาติพี่น้องให้รู้จักสินค้าไทยว่ามีคุณภาพและมีการซื้อขายกันเป็นจำนวนมาก"

บีเจซีปักธงค้าปลีกเวียดนาม-ลาว

นายพิษณุ พงษ์วัฒนา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายธุรกิจค้าปลีก บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือบีเจซี เปิดเผยว่า หลังจากให้ความช่วยเหลือด้านการเงินกับบริษัท ภูไท กรุ๊ป จอยส์ สต็อก ซื้อคืนกิจการร้านสะดวกซื้อในเวียดนามจากอิโตชู ญี่ปุ่น เจ้าของร้านแฟมิลี่มาร์ท ซึ่งร่วมทุนกับ "ภูไท กรุ๊ป" มาก่อนหน้านี้ บริษัทได้ทำการปรับโฉมและเปลี่ยนชื่อร้านจากแฟมิลี่มาร์ททั้ง 41 สาขา เป็น "บีสมาร์ท" พร้อมเดินหน้าเปิดสาขาตั้งเป้า 3 ปี จะมี 300 สาขา และตั้งเป้าสร้างเป็น "รีจินอลแบรนด์"

เป้าหมายต่อไปคือการขยายเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน เริ่มจากลาวในสิ้นปีนี้ ซึ่งยังเป็นตลาดที่บริสุทธิ์มาก ยังไม่มีคู่แข่ง และโอกาสอีกมหาศาล ต่อด้วยกัมพูชาและพม่า เนื่องจากต้องใช้เวลาในการสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ส่วนไทยคาดว่าจะเปิดภายหลังปี 2558

หลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เนื่องจากต้องการสร้างระบบต่าง ๆ ที่แข็งแกร่งก่อนจะนำโมเดลเต็มรูปแบบเข้ามาเปิดในไทย ซึ่งมีการแข่งขันที่รุนแรงมาก

ทั้งนี้ การขยายค้าปลีกในภูมิภาคอินโดจีนนั้นเป็นการวางยุทธศาสตร์ตามเส้นทางการค้าชายแดนที่มีการสร้างถนนเชื่อมต่ออาเซียน เพื่อให้เอื้อต่อโลจิสติกส์ การขนส่งสินค้า และเส้นทางค้าขาย โดยสเต็ปแรกวางการขยายสาขาทางด้านตอนบน เริ่มจากเวียดนาม-ลาว ตามเส้นชายแดนของทางรัฐบาลลาวที่เรียกว่า "ไฮเวย์ 309" จุดเริ่มต้นที่ลาว ตัดผ่านเวียดนาม และเชื่อมไทยที่พิษณุโลก หลังขยายได้ครอบคลุมแล้ว ก็จะเริ่มขยายไปอีกเส้นทางโดยเชื่อมระหว่างกัมพูชากับพม่า



http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1377751207&grpid=02&catid=11&subcatid=1100



หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 กันยายน 2013, 12:49:56
เชียงราย - กลุ่มทุนหลากหลายกลุ่มแห่เข้าชายแดนเชียงของ วางแผนพัฒนาสารพัดรูปแบบ รอรับสะพานข้ามโขงเปิดปลายปีนี้ ทำราคาที่ดินพุ่งขึ้นเป็นไร่ละ 5-6 ล้านบาทแล้ว
       
       วันนี้ (8 ก.ย.) นายธนิสร กระฎุมพร ประธานหอการค้าอำเภอเชียงของ จ.เชียงราย กล่าวว่า หลังกระทรวงคมนาคม กำหนดเปิดใช้สะพานข้ามแม่น้ำโขงไทย-ลาว แห่งที่ 4 ระหว่าง อ.เชียงของ กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เพื่อเชื่อมถนน R3a ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ วันที่ 11 ธันวาคมนี้ ทำให้กลุ่มทุนเข้ามาลงทุนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จนราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นเป็นไร่ละ 5-6 ล้านบาทแล้ว และเชื่อว่าหลังสะพานเสร็จเมืองเชียงของจะขยายตัวอีกมาก
       
       เพราะถัดจากตัวสะพาน และตัวเมืองเชียงของ ยังมีทุ่งสามหมอนที่กว้างขวางที่ ต.ศรีดอนชัย และ ต.สถาน ติดถนนเชียงของ-เชียงราย ที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เคยเข้าไปสำรวจ และกำหนดเป็นพื้นที่สีม่วงสำหรับก่อตั้งนิคมอุตสาหกรรมเอาไว้ประมาณ 16,000 ไร่ ซึ่งมีกลุ่มทุนเข้าไปถมดิน และประกอบกิจการแปรรูปทางการเกษตรแล้วหลายแห่ง ล่าสุด กำลังเสนอให้รัฐบาลพิจารณารูปแบบการลงทุนอยู่
       
       ด้านนายกฤษฎาพงศ์ แสงสว่าง ผู้จัดการทั่วไปโครงการเชียงของเมืองใหม่ กลุ่มทุนเกรทเทสท์ โลจิสติก บริษัท อภิพัฒนกิจ จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้ลงทุนก่อสร้างอาคารพาณิชย์ 3 เฟส รวม 74 คูหา แล้วเสร็จราวปี 2557 เพื่อเปิดขายในราคา 4-4.5 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งมีผู้สนใจจองกันอย่างคึกคัก หากได้รับการตอบรับดีก็จะขยายการลงทุนเพิ่มอีก เพื่อพัฒนาให้เป็นตลาดสินค้าชายแดน พืชผัก ผลไม้ อาหารทะเล ห้องแถว โดยมีโซนตลาดที่อยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันเปิดให้เช่าเฉลี่ยล็อกละ 3,000 บาทต่อเดือน และจะมีการบริหาร และพัฒนาตลาด และอื่นๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผู้จับจองคุ้มทุนอย่างยั่งยืน
       
       นอกจากนี้ ยังมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล อาคารพาณิชย์ ที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะอพาร์ตเมนทต์และหอพัก ซึ่งเริ่มก่อสร้างกันแล้วหลายแห่ง
       
       ขณะที่พื้นที่ติดสะพานในฝั่งเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว มีบริษัท เอเอซี กรุ๊ป จำกัด เช่าพื้นที่รัฐบาลลาว 1,200 ไร่ ระยะเวลา 80 ปี ยังคงเดินหน้าก่อสร้างโครงการต่างๆ ทั้งโรงแรม อาคารพาณิชย์ ตลาดชายแดน พื้นที่เกษตร เขตปลอดภาษี หรือดิวตี้ฟรีโซน เอ็นเตอร์เทนเมนต์
       
       รายงานข่าวจากด่านศุลกากรเชียงของ ระบุว่า ปีงบประมาณ 2556 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2555 ถึงเดือนสิงหาคม 2556 มีมูลค่าการส่งออกสินค้าผ่านด่านศุลกากรเชียงของไปยัง สปป.ลาว และจีนตอนใต้ 3,056,783,986 บาท และนำเข้า 9,437,007,570.69 บาท สินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นยางพารา เศษยางพารา เนื้อสัตว์แช่แข็ง เครื่องอุปโภคบริโภค น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ผลไม้สด สินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นผลไม้สด พืชผัก เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ ถ่านหิน ดอกไม้ ไม้ประดับ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 กันยายน 2013, 19:25:16
เชียงราย - มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ฉลองครบรอบ 15 ปี น้อมนำประราชปณิธานสมเด็จย่า-พระบรมราโชวาท เป็นแนวทางพัฒนาต่อเนื่อง พร้อมเตรียมเปิดสอนทัตแพทยศาสตร์ สำนักวิชาแพทย์แผนจีน ปีการศึกษา 2557
       
       วันนี้ (25 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย ว่า มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) อ.เมือง ได้ทำพิธีเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 15 ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัย ด้วยการทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 160 รูป พร้อมพิธีกรรมทางศาสนาที่หอประชุมสมเด็จย่า โดยมีนายกสภามหาวิทยาลัย คณะทูตานุทูต และผู้แทนจากประเทศอินโดนีเซีย ลาว ภูฏาน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเช็ก และฝรั่งเศสเข้าร่วม
       
       รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดี มฟล. กล่าวว่า มฟล.ได้นำพระราชปณิธานในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือสมเด็จย่า และพระบรมราโชวาท พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นแนวการพัฒนามาโดยตลอด โดยหวังพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น และพร้อมก้าวไปสู่มหาวิทยาลัยต้นแบบของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการตั้งมั่นต่อการเป็นมหาวิทยาลัยแห่งโอกาสแก่ผู้ยากไร้ ผลิตบัณฑิตให้เป็นผู้มีความรอบรู้ในวิชาที่ศึกษา มีทักษะทางภาษาต่างประเทศที่ใช้ได้ในระดับสากล มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนความรู้ และเทคโนโลยีสู่การปฏิบัติ และมีน้ำใจ
       
       “มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษ และภาษาจีนมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง เพื่อให้ผู้เข้าเรียนพร้อมก้าวไปทำงานในอาเซียน และสังคมโลกต่อไป ซึ่งที่ผ่านมา บัณฑิต มฟล.ที่จบออกไปประมาณ 10,000 คน สามารถทำงานในแวดวงต่างๆ ได้เป็นอย่างดี มีการต่อยอดการศึกษาระดับสูงขึ้นไปอีกเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มีผู้เข้าเป็นนักศึกษามากขึ้นทุกปี”
       
       รศ.ดร.วันชัย กล่าวว่า มฟล.เริ่มต้นด้วยการมีนักศึกษารุ่นแรกเพียง 62 คน จากทั้งหมด 2 หลักสูตร ปัจจุบันเติบโตเป็น 11,000 คน จาก 74 หลักสูตร มีนักศึกษาจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ 48% ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก 30% ภาคอีสาน 9% และภาคใต้ 13% นอกจากนี้ยังมีนักศึกษาต่างชาติจาก 23 ประเทศ กว่า 500 คนด้วย
       
       ทั้งนี้ มฟล.ให้ความสำคัญด้านงานวิจัย โดยส่งเสริม และผลักดันให้อาจารย์ทำงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง มีผลงานวิจัยเชิงประยุกต์สามารถที่จะนำไปสู่การปฏิบัติได้เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นทางด้านวัสดุศาสตร์ อุสหกรรมเกษตร ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ รวมทั้งด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งผลงานหลายชิ้นได้จดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ยังมีงานบริการวิชาการแก่ชุมชนปีละไม่น้อยกว่า 30 เรื่อง มูลค่าไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท
       
       และสิ่งที่น่าภาคภูมิใจคือ โครงการด้านการพัฒนาคุณภาพครูชนบท โดยจัดตั้งมูลนิธิมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงขึ้น เพื่อการพัฒนาครูชนบท ส่งเสริมสนับสนุนการยกระดับคุณภาพครูผู้สอน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการศึกษาข้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทุกกลุ่มสาระใน จ.เชียงราย จาก 22 โรงเรียน และจะเพิ่มเป็น 43 โรงเรียน ในปี 2557 พัฒนาครูสอนภาษาจีนให้แก่ครูสังกัด สพฐ.ต่อเนื่องมาเป็นเวลา 6 ปี และโครงการต้นแบบศูนย์ทางไกลเพื่อการศึกษาและพัฒนาชนบทมา 4 ปี เป็นผลให้การศึกษาของโรงเรียนในโครงการพัฒนาดีขึ้น
       
       ในปี 2557 มฟล.เตรียมที่จะเปิดสำนักวิชาทันตแพทยศาสตร์ โดยตั้งเป้าหมายจะรับนักศึกษารุ่นแรกประมาณ 30 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างการรออนุมัติหลักสูตรจากทันตแพทยสภา ทั้งยังมีเป้าหมายที่จะรวมศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ ทั้งแพทย์แผนไทยปัจจุบัน แพทย์แผนจีน กายภาพบำบัด สาธารณสุข พยาบาล แพทยศาสตร์ และทันตแพทยศาสตร์ พัฒนาให้เป็นศูนย์การแพทย์ในอีก 5 ปีข้างหน้าด้วย
       
       นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดสำนักวิชาแพทย์แผนจีน หลักสูตร 5 ปี ร่วมกับมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีน ของประเทศจีนด้วย


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 ตุลาคม 2013, 17:25:23
วันที่ 06 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ปีที่ 23 ฉบับที่ 8347 ข่าวสดรายวัน


"ชัชชาติ"ลั่นฆ้อง2ล้านล้าน นำร่องถนน4เลน-รถไฟทางคู่

คอลัมน์ รายงานพิเศษ



หลังจากร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งประเทศผ่านสภาผู้แทนราษฎรแล้ว

ขณะนี้กำลังเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา รัฐบาลคาดว่ากระบวนการพิจารณาจะแล้วเสร็จภายใน 2 เดือน และมั่นใจว่าจะสามารถผ่านออกมาเป็นกฎหมายบังคับใช้ได้

ล่าสุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงเปิดตัวโครงการ "สร้างอนาคตไทย 2020" อย่างเป็นทางการเมื่อ วันที่ 26 ก.ย. 2556 ที่ผ่านมา พร้อมเดินหน้าชี้แจงให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจวัตถุ ประสงค์ของโครงการ

นายกฯ ย้ำชัดว่างานนี้จัดขึ้นเพราะรัฐบาลต้องการนำเสนอข้อมูลรายละเอียดโครงสร้างพื้นฐาน ไปยังประชาชนในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ ให้คนไทยทุกคนรวมพลังวาดภาพอนาคตประเทศไทยปี 2020 ว่า อยากจะเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไร ขณะที่รัฐบาลก็พร้อมจะนำโครงสร้างพื้นฐานไปเชื่อมโยงกับภาคประชาชนไม่เฉพาะเรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น แต่จะรวมไปถึงการเชื่อมโยงทางสังคม ที่จะสามารถเชื่อมโยงความอบอุ่น ความสุขของคนไทย

ที่สำคัญคือการเชื่อมโยงความรู้สึก ระหว่างคนรุ่นปัจจุบันที่จะวางอนาคตให้กับลูกหลานในอนาคตอีก 7 ปีข้างหน้า ว่าลูกหลานจะมีสิ่งที่ดีเกิดขึ้นได้อย่างไร รัฐบาลจะทำให้โครงสร้างพื้นฐานเป็นอนาคตของประเทศที่ทุกคนจับต้องได้

สำหรับการโรดโชว์นโยบาย ได้มอบหมายให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคม เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบจัดเสวนาและนิทรรศการ รวมถึงชี้แจงที่มา ที่ไป กับประชาชนใน 12 จังหวัดทั่วประเทศ

โดยเริ่มนำร่องที่ จ.หนองคาย เป็นแห่งแรก ระหว่างวันที่ 4-6 ต.ค.นี้ ตามมาด้วย จ.นครราชสีมา วันที่ 11-13 ต.ค.2556 จ.ชลบุรี วันที่ 15-17 ต.ค.2556 จ.อุบลราชธานี วันที่ 18-20 ต.ค.2556 จ.ขอนแก่น วันที่ 25-27 ต.ค.2556 จ.นครสวรรค์ วันที่ 1-3 พ.ย.2556

จ.ฉะเชิงเทรา วันที่ 1-3 พ.ย.2556 จ.เพชรบุรี วันที่ 8-10 พ.ย.2556 จ.พระนครศรีอยุธยา วันที่ 8-11 พ.ย.2556 จ.เชียงใหม่ วันที่ 15-17 พ.ย.2556 จ.นคร ศรีธรรมราช วันที่ 22-24 พ.ย.2556 และ ปิดท้ายที่ จ.สงขลา วันที่ 29 พ.ย.-1 ธ.ค.2556

ด้าน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ระบุว่า การชี้แจงข้อมูลให้ภาคประชาชนได้รับรู้ และเข้าใจถือเป็นหัวใจสำคัญในความสำเร็จของโครงการ ที่ผ่านมารัฐบาลได้รับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย เพื่อให้การดำเนินนโยบายมีประสิทธิภาพ และโปร่งใส

หลายๆ ข้อเสนอแนะมีประโยชน์ ซึ่งรัฐบาลก็พร้อมปฏิบัติ เช่น การจัดทำกระบวน การตรวจสอบจากภาคเอกชน การคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษาการก่อสร้างที่เหมาะสม การประเมินราคากลางการก่อสร้างให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง รวมไปถึงการพิจารณาความคุ้มค่าของโครงการก่อสร้างต่างๆ

ขณะนี้ร่างพ.ร.บ.ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และมีแนวโน้มที่จะเป็น รูปธรรมมากขึ้น ซึ่งถือเป็นแค่ก้าวแรกในการทำงานของรัฐบาล ยังมีอีกหมื่นก้าวที่ต้องเดินต่อไปกว่าจะถึงจุดหมาย ต้องเดินให้ตรง หนักแน่น ถึงจุดหมายให้ตรงเวลา ต้องไม่ทำให้คนไทยทุกคนผิดหวัง

และเชื่อว่าความตั้งใจดีของรัฐบาลจะทำให้ร่างพ.ร.บ.กำลังเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา จะผ่านการพิจารณาได้ภายใน 2 เดือน จากนั้นเป็นขั้นตอนการตีความของศาลรัฐธรรมนูญ คาดว่ากระบวนการพิจารณาจะเสร็จปลายปีนี้

นายชัชชาติกล่าวว่า ตนได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดเตรียมความพร้อม โดยเร่งจัดทำแผนการก่อสร้างและแผนประชาพิจารณ์ ระบบขนส่งทั้งทางบกและทางน้ำ คู่ขนานไปกับการรอผ่านกฎหมาย เนื่องจากประชาพิจารณ์ต้องใช้เวลานาน

รวมทั้งทุกโครงการยังจะต้องนำเสนอ เข้าสู่การพิจารณาของสำนักงานคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ตามนโยบายรัฐบาลที่เน้นย้ำเรื่องความโปร่งใส ถูกต้องและเป็นธรรม

นอกจากนี้ ยังสั่งให้จัดตั้งสำนักงานพิเศษขึ้นมาทำหน้าที่ติดตามและประเมินผล ความคืบหน้าโครงการ โดยมอบหมายให้นายสมชัย ศิริวัฒนโชค ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพ จัดทำดัชนีชี้วัดความสำเร็จของโครงการ 2 ส่วนคือ 1.การดำเนินโครงการตามเป้าหมาย และ 2.ผลการดำเนินงาน ของโครงการ โดยจะเชิญผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลกและธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย ร่วมเป็นคณะทำงานด้วย

"ผมสั่งให้ทุกหน่วยเตรียมพร้อม หากกฎหมายผ่านเราจะเดินหน้าเปิดประมูลก่อสร้างทันที เพราะโครงการเหล่านี้มีความสำคัญกับการสร้างอนาคตประเทศไทย ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและอำนวยความสะดวกด้านการคมนาคมแก่ประชาชนทั้งในชนบท พื้นที่เมือง และพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญรวมไปถึงรอบภูมิภาคด้วย"

ส่วนการเบิกจ่ายงบประมาณถือเป็นหัวใจสำคัญ ดังนั้นเพื่อให้โครงการเดินหน้าไม่สะดุด กระทรวงคมนาคมได้จัดทำแผนการเบิกจ่ายเงินงบประมาณไว้ชัดเจนแล้ว โดยแบ่งการใช้เงินเป็น 7 ปี (2557-2563) ปีที่ 1 วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท ปีที่ 2 วงเงิน 2.9 แสนล้านบาท ปีที่ 3 วงเงิน 4.2 แสนล้านบาท ปีที่ 4 วงเงิน 4.7 แสนล้านบาท ปีที่ 5 วงเงิน 3.7 แสนล้านบาท ปีที่ 6 วงเงิน 1.7 แสนล้านบาท และปีที่ 7 วงเงิน 1 แสนล้านบาท

นายชัชชาติกล่าวว่า สำหรับโครงการเร่งด่วนในปีแรก จะเน้นการก่อสร้างทางบกก่อนตามมาด้วยทางน้ำ โดยในปี 2557 ตั้งเป้า 4 โครงการ คือ 1.โครงการขยายถนน 4 เลน และซ่อมแซมถนนที่ชำรุดทั่วประเทศ 2.โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-โคราช วงเงิน 84,600 ล้านบาท

3.โครงการรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง คือ สายมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กิโลเมตร, นครปฐม-หนองปลาดุก-หัวหิน ระยะทาง 165 กิโลเมตร, สายลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 118 กิโลเมตร, นครราชสีมา-ขอนแก่น ระยะทาง 185 กิโลเมตร และ ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กิโลเมตร รวมระยะทาง 767 กิโลเมตร

และ 4.โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เช่น รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม ช่วงแบริ่ง-สมุทร ปราการ เป็นต้น ส่วนการก่อสร้างระบบขนส่ง ทางน้ำจะเร่งรัดในปีถัดไปและจะทยอยก่อสร้างให้ครบ 53 โครงการ รวม 533 สัญญา ให้แล้วเสร็จทันตามเป้าหมายในปี 2563

ขณะที่ นายพ้อง ชีวานันท์ รมช.คมนาคม ซึ่งรับผิดชอบโครงการก่อสร้างทางน้ำทั้งระบบ ประกาศเร่งเดินหน้าเต็มสูบ ซึ่งโครงการที่ต้องเร่งดำเนินการคือ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพขนส่งในแม่น้ำป่าสัก เพื่อสนับสนุนการพัฒนาการเดินทางและขนส่งสินค้าภายในและต่างประเทศ โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึกปากบารา จ.สตูล เพื่อเป็นประตูการค้าทางทะเลฝั่งอันดามันเชื่อมโยงการขนส่งไปยังฝั่งเอเชียใต้ ตะวันออก กลางและทวีปยุโรป

โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกสงขลา แห่งที่ 2 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของท่าเรือน้ำลึกฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง

โครงการก่อสร้างท่าเรือเชียงแสน แห่งที่ 2 จ.เชียงราย และโครงการก่อสร้างท่าเรือที่จ.ชุมพร

"รัฐบาลใช้งบประมาณ 2 หมื่นล้านปฏิวัติการคมนาคมทางน้ำครั้งใหญ่ เพื่อให้ประชาชน และผู้ประกอบการเอกชน มั่นใจว่ารัฐบาลต้องการส่งเสริมให้เกิดความสะดวกใน การเดินทางและขนส่งของประชาชนและ ผู้ประกอบการ รวมทั้งสร้างความมั่นใจในความสามารถแข่งขันด้านต้นทุนโลจิสติกส์ ให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ" นายพ้องกล่าว

จากนี้เป็นหน้าที่ของคนไทยต้องช่วยกันลุ้นว่าภาพอนาคตประเทศไทยจะสวยงามมากน้อยแค่ไหน

หน้า 8


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 12 ตุลาคม 2013, 08:00:14
แสนสิริแจง 9 เดือนยอดขาย 37,000 ล. เล็งผุด 7 โครงการ Q4 มูลค่า 8,700 ล้านบาท

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   11 ตุลาคม 2556 13:57 น.        


   

       แสนสิริโชว์ยอดขาย 9 ทะลุ 37,000 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 80% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ 48,000 ล้านบาท พร้อมเผยแผนธุรกิจไตรมาสสุดท้าย เตรียมเปิดอีก 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 8,700 ล้านบาท จ่อเปิด 2 โครงการในเชียงราย และบ้านเดี่ยวเชียงใหม่
       
       นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลการดำเนินธุรกิจในช่วง 9 เดือนของปี 2556 ว่า บริษัทสามารถสร้างยอดขาย(พรีเซล) ได้ 37,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นการสร้างยอดขายที่สูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในขณะนี้ และคิดเป็นประมาณ 80% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ 48,000 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขายในช่วง 9 เดือน ที่ประมาณ 26,000 ล้านบาท
       
       โดยแบ่งเป็นยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสแรก มูลค่ารวมกว่า 21,000 ล้านบาท และยอดขายในช่วงไตรมาส 2 จำนวน 8,000 ล้านบาท รวมทั้งยอดขายในช่วงไตรมาส 3 ที่บริษัทสามารถปิดการขายได้อีก 8,000 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันบริษัทยังคงครองยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ที่อยู่ระหว่างรอรับรู้รายได้ (Presale backlog) ในอีก 5 ปีข้างหน้าสูงถึงประมาณ 65,457 ล้านบาทแล้ว ซึ่งนับเป็นยอดขายล่วงหน้าที่สูงที่สุดในระบบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยในขณะนี้เช่นเดียวกัน รวมทั้งยังนับเป็นยอดรอรับรู้รายได้ที่สูงที่สุดที่บริษัทเคยทำได้ตั้งแต่ดำเนินธุรกิจ
       
       สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 บริษัทจะมีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่อีกประมาณ 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8,700 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 5,700 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยว 2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2,200 ล้านบาท รวมทั้งการพัฒนาทาวน์เฮาส์อีก 1 โครงการ มูลค่ารวม 800 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายในช่วงไตรมาสสุดท้ายไว้ 11,000 ล้านบาท
       
       นอกจากนี้ บริษัทได้วางแผนพัฒนาธุรกิจในตลาดต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง โดยได้เตรียมเปิดตัว “ดีคอนโด ฮาย” ซึ่งนับเป็นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดเชียงรายเป็นครั้งแรก รวมทั้งแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยในแนวราบ ซึ่งนับเป็นการพัฒนาบ้านเดี่ยวโครงการแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้แบรนด์เศรษฐสิริ ในชื่อโครงการ “เศรษฐสิริ สันทราย” หลังจากที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จกับการพัฒนาคอนโดมิเนียมในโครงการ ดีคอนโด แคมปัส รีสอร์ท และดีเวียง สันติธรรม จังหวัดเชียงใหม่มาแล้ว โดยได้เตรียมเปิดการขายทั้ง 2 โครงการใหม่ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2013, 21:27:33
แหล่งที่มา : สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยเชียงใหม่
    วันที่ข่าว : 21 พฤศจิกายน 2556
จังหวัดเชียงรายเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ในการเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 ในเดือนธันวาคมนี้
นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 ของจังหวัดเชียงรายว่า ขณะนี้เสร็จสมบูรณ์เกือบร้อยเปอร์เซ็นแล้ว และได้จัดเตรียมการทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 11 ธันวาคมนี้ ทั้งนี้สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 นี้ เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างประเทศไทย กับ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยหวังว่าภายหลังการเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแล้ว ซึ่งการมีความสะดวกในการเดินทางมากขึ้นนี้ จะทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการขนถ่ายสินค้า ก็จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน จึงต้องเตรียมความพร้อมในด้านการตรวจคนเข้าเมือง การเสียภาษีศุลกากร และการขนถ่ายสินค้าด้วย
สำหรับประโยชน์ที่ชาวจังหวัดเชียงรายจะได้รับนั้น นอกจากความสะดวกด้านการท่องเที่ยว และการขนส่งสินค้าแล้ว ยังจะช่วยสร้างรายได้จากการจำหน่ายสินค้าท้องถิ่น ซึ่งจังหวัดเชียงรายจะเปิดเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ และศูนย์กระจายสินค้า ที่อำเภอแม่สาย อำเภอเชียงแสน และอำเภอเชียงของด้วย


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2013, 22:05:59
แหล่งที่มา : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
    วันที่ข่าว : 22 พฤศจิกายน 2556
นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เป็นประธานร่วมกับคณะผู้บริหารบริษัท โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด(มหาชน) ในการเปิดโฮมโปรสาขาที่ 63 ที่เชียงราย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และรองรับการพัฒนาและการขยายตัวในธุรกิจการการสร้างบ้านและที่อยู่อาศัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย รวมถึงรองรับการขยายตัวธุรกิจดังกล่าวในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง พม่าและลาว ภายหลังการเปิดใช้งานสะพานข้ามน้ำโขงแห้งที่ 4 อย่างเป็นทางการในเดือน ธันวาคมที่จะถึงนี้ อีกทั้งการเตรียมความพร้องการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิถาคภายหลังการก้วเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558
นายวีระพันธ์ อังสุมาลี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกลุ่มปฏิบัติการ บริษัท โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงทุนกว่า 500 ล้านบาท ในการเปิดดำเนินการ โฮมโปร สาขาเชียงราย ซึ่งเป็นสาขาที่ 63 ใช้พื้นที่กว่า 25 ไร่ บนเส้นทางถนน เชียงราย เทิง ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 4 กิโลเมตร เพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าที่เกี่ยวกับบ้าน คลอมคลุมทั้งการซ่อมแซม ปรับปรุง ตกแต่ง รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อความบันเทิงด้วยสินค้าคุณภาพมาตรฐานและบริการที่ครบวงจร


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2013, 15:29:23
แหล่งที่มา : สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยเชียงใหม่
    วันที่ข่าว : 27 พฤศจิกายน 2556
ด่านศุลกากรเชียงแสนนำเข้าส่งออกพุ่ง 2.6 หมื่นล้านบาท คาดสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 เปิดใช้ส่งผลกระทบส่งออกทันที
นายเมธา ภมรานนท์ นายด่านศุลกากรเชียงแสน กล่าวว่า ภาพรวมการค้าชายแดนทั่วประเทศ ปี 2555 พบว่ามีมูลค่า 1 ล้านล้านบาท มาเลเซีย 7 แสนล้านบาท, สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา 2 แสนล้านบาท, สปป.ลาว 1 แสนล้านบาทและกัมพูชา 9 หมื่นล้านบาท เชียงรายมีด่านศุลกากร 3 แห่ง ได้แก่ ด่านศุลกากรแม่สาย, ด่านศุลกากรเชียงแสนและด่านศุลกากรเชียงของ ภาพรวมการค่าขายชายแดนของจังหวัดเชียงราย ปี 2555 มูลค่า 36,000 ล้านบาท แบ่งเป็นของด่านเชียงของ 12,000 ล้านบาท ด่านศุลกากรแม่สาย 10,000 ล้านบาท และด่านเชียงแสน 14,000 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าค้าขายชายแดนตลอด 3 ปี ที่เปิดใช้ท่าเรือแห่งที่สอง พบว่ามีมูลค่าการค้าชายแดนเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดโดยในปี 2554 มีมูลค่า 12,000 ล้านบาท ปี 2555 มูลค่า 14,000 บาทและปี 2556 มีมูลค่า 26,000 บาททีเดียว
สินค้านำเข้าได้แก่ผักผลไม้ กระเทียม ปี 2554 มูลค่า 1,000 ล้านบาท ปี 2555 มูลค่า 512 ล้านบาทและปี 2556 มูลค่า 615 ล้านบาท มูลค่าการนำเข้ามีตัวเลขลดลงเกิดจากเหตุการณ์ความไม่สงบในแม่น้ำโขงที่ผ่านมา ทำให้การขนส่งสินค่าที่ใช้เส้นทางในแม่น้ำโขงเปลี่ยนเส้นทางไปทางด่านเชียงของผ่านถนน R3A ใน สปป.ลาวเข้าจีน เมื่อเหตุการณ์ความไม่สงบในแม่น้ำโขงคลี่คลายลง ทำให้การขนส่งสินค้าทางน้ำผ่านแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้น ซึ่งเรือส่วนใหญ่ที่วิ่งให้บริการขนส่งสินค้าในแม่น้ำโขงเป็นของลาวถึง 200 ลำ เป็นเรือขนาดเล็ก สามารถบรรทุกตู้คอนเทรนเนอร์ได้ครั้งละ 2 ตู้เท่านั้น เรือจีนขนาด 150-50 ตัน จำนวน 180 ลำ ในขณะที่เป็นเรือสัญชาติไทยเพียง 2 ลำ ซึ่งเป็นเรือท่องเที่ยวในแม่น้ำโขง ส่วนการส่งออก ปี 2554 มูลค่า 8,900 ล้านบาท ปี 2555 มูลค่า 11,000 ล้านบาท ปี 2556 มูลค่า 19,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 800 ล้านบาท
สินค้าส่งออก 3 อันดับที่เป็นสินค้าข้ามแดน ประกอบด้วยอาหารแช่แข็ง ได้แก่ เนื้อไก่ โค กระบือและอาหารทะเล อันดับที่ 2 รถยนต์ อันดับที่ 3 คือ ไม้ข้ามแดนที่มาจากลาวผ่านแดนไปยังประเทศที่พม่า สินค้านำเข้า 3 อันดับแรกได้แก่ผลไม้สด อันดับที่สอง เครื่องอุปโภคบริโภคและอันดับที่ 3 คือ กระเทียม ปริมาณเที่ยวเรือปี 2554 จำนวน 3,900 เที่ยวเรือ ปี 2555 จำนวน 5,800 เที่ยวเรือและ ปี 2556 จำนวน 9,900 เที่ยวเรือ ในปี 2557 คาดว่าจะทะลุ 10,000 เที่ยวเรือและน่าจะมีมูลค่านำเข้าส่งออกเส้นทางแม่น้ำโขงทางด่านศุลกากรเชียงแสน ไม่น้อยกว่า 28,000 ล้านบาท ปัจจัยสำคัญน่าจะเกิดจากค่าระวางการบรรทุกสินค้าทางเรือกับสินค้าที่ไม่เร่งด่วนและส่งไปมายัง 4 ประเทศ จีน เมียนมา ลาว และไทย ผ่านด่านศุลกากรเชียงแสนเพิ่มขึ้น
นายเมธา กล่าวอีกว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงและน่าจะส่งกระทบต่อการค้าขายชายแดนผ่านด่านศุลกากรเชียงแสน ก็คือ เหตุการณ์ที่ผู้ประกอบการเรือลาวที่มีการรวมตัวเป็นชมรมและไม่เกี่ยวข้องกับทางการลาว ได้มีการยื่นข้อเสนอผ่านมาว่าอยากจะขอจัดระเบียบการขนส่งสินค้าด้วยเรือลาวไปยังเมียนมา, จีน และลาว ด้วยอัตราค่าขนส่งที่สูงกว่าเดิมจากตู้คอนเทรนเนอร์ละ 30,000-40,000 บาทต่อเที่ยว เป็น 52,000 -55,000 บาทต่อเที่ยว ซึ่งทางผู้ประกอบการนำเข้าและส่งออกฝ่ายไทยยังไม่ยินยอม เพราะจะทำให้ต้นทุนด้านขนส่งเพิ่มมากขึ้นและมีราคาใกล้เคียงกับการขนส่งทางบก ผ่านด่านศุลกากรเชียงของและหากสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 เปิดใช้ก็จะทำให้ผู้ประกอบการไทยหันไปใช้เส้นทางดังกล่าวอย่างแน่นอน แต่ในทางกลับกันหากสะพานเปิดจะส่งผลให้แพขนานยนต์ขนาดใหญ่ที่เคยให้บริการที่บริเวณท่าเรือเชียงของหันมาให้บริการที่เชียงแสน เพราะขณะนี้ถนนที่เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เชื่อมไปยังถนน R3A สร้างเสร็จสมบรูณ์แล้ว ก็จะทำให้มีผู้ประกอบการหันมาใช้เส้นทางนี้เพิ่มขึ้นเช่นกัน
จักรภัทร ข่าว/ภาพ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 03 ธันวาคม 2013, 14:46:38

10 เดือนแรก ของปี 2556 มี 69 โครงการ ที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ภาคเหนือ

แหล่งที่มา : สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเชียงใหม่
    วันที่ข่าว : 2 ธันวาคม 2556
10 เดือนแรก ของปี 2556 มีจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ส่งเสริมการลงทุน ของ BOI ภาคเหนือ จำนวน 69 โครงการ โดยอุตสาหกรรมการเกษตรและผลิตผลจากการเกษตร ได้รับการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด
นายศักดิ์ชัย เหลืองสถิตกุล ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 1 (BOI ภาคเหนือ) เปิดเผยถึงภาวะการลงทุนภาคเหนือ 10 เดือนแรก ของปี 2556 มีจำนวนโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน 77 โครงการ ลดลงจากปี 2555 ที่มีจำนวนโครงการ 91 โครงการ เป็นโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ส่งเสริมการลงทุนแล้ว จำนวน 69 โครงการ มูลค่าการลงทุนกว่า 11,500 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 8,138 คน อุตสาหกรรมที่ได้รับการอนุมัติให้ส่งเสริมการลงทุนใน 3 อันดับแรก ได้แก่ อุตสาหกรรมการเกษตรและผลิตผลจากการเกษตร จำนวน 26 โครงการ มีมูลค่าการลงทุนกว่า 4,700 ล้านบาท เช่น ผลิตภัณฑ์น้ำมันรำข้าว กิจการผลิตยางแท่ง กิจการผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ และกิจการผลิตสารปรับปรุงดิน เป็นต้น สถานที่ตั้งโครงการที่มีมูลค่าการลงทุนสูงที่สุด อยู่ที่ จังหวัดเชียงราย พิจิตร พิษณุโลก นครสวรรค์ เชียงใหม่ สุโขทัย ลำปาง พะเยา อุทัยธานีและจังหวัดแพร่ ตามลำดับ
รองลงมา คือ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า จำนวน 17 โครงการ มีมูลค่าการลงทุนกว่า 2,800 ล้านบาท ได้แก่ กิจการ Electronic Parts กิจการผลิตซอฟต์แวร์ สถานที่ตั้งโครงการที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด คือ จังหวัดลำพูน เชียงใหม่ และเชียงราย ตามลำดับ และมีการลงทุนในกิจการบริการและสาธารณูปโภค จำนวน 9 โครงการ มีมูลค่าการลงทุนกว่า 3,100 ล้านบาท ได้แก่ กิจการผลิตไฟฟ้าจากไบโอแมสและพลังงานแสงอาทิตย์ กิจการศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมหรือศูนย์ศิลปวัฒนธรรมและกิจการ call center สถานที่ตั้งโครงการที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดอยู่ที่ จังหวัดพิจิตร ตาก กำแพงเพชร เชียงใหม่ นครสวรรค์ และสุโขทัย ตามลำดับ นักลงทุนต่างชาติที่ได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริม เช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลี เยอรมัน สหรัฐอเมริกา โดยโครงการที่ได้รับการอนุมัติส่วนใหญ่เป็นการลงทุนขนาดไม่เกิน 200 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนของต่างชาติที่ได้รับการอนุมัติ ส่งเสริม เป็นอันดับหนึ่งในภาคเหนือตอนบน คือ การลงทุนจากญี่ปุ่น จำนวน 11 โครงการ เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมผลิตโลหะและชิ้นส่วนโลหะ อุตสาหกรรมการผลิตพลาสติก รองลงมา เป็นการลงทุนจากฮ่องกง และเกาหลี ประเทศละ 3 โครงการ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 04 ธันวาคม 2013, 19:00:54
จังหวัดมุกดาหาร ประชุมคณะกรรมการเตรียมความพร้อมจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
วันนี้ (4 ธ.ค. 56) เวลา 13.30 น. นายสรสิทธิ์ ฤทธิ์สรไกร รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยมี นายธวัชชัย ธรรมรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร และหัวหน้าส่วนราชการผู้แทนองค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2556 เห็นชอบแนวทางการศึกษาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ที่มีศักยภาพ โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ดำเนินการจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาทำการศึกษาวิจัยความเหมาะสมในการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งได้ดำเนินการศึกษามาตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2556 โดยของเขตพื้นที่การศึกษาประกอบด้วย ภาคเหนือ ได้แก่ อำเภอแม่สาย, เชียงแสน, เชียงของ จังหวัดเชียงราย และอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดมุกดาหาร, นครพนม และหนองคาย ภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดสระแก้ว และจังหวัดตราด ภาคตะวันตก จังหวัดกาญจนบุรี และภาคใต้ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และจังหวัดนราธิวาส ประกอบกับรัฐบาลได้ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ.2556 ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2556
สำหรับการประชุมในครั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาถึงความเหมาะสม ด้านองค์ประกอบในการแต่งตั้งคณะทำงานเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดมุกดาหาร เพื่อให้การเตรียมการมีความพร้อม มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ.2556
นายแสงทอง อนันตภักดิ์ ส.ปชส.มุกดาหาร รายงาน


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 04 ธันวาคม 2013, 19:02:57
ค้าชายแดนเชียงรายพุ่ง2หมื่นล. ขนส่งทางน้ำกลับมาคึกคัก-หลังไร้เหตุรุนแรง



เชียงราย - นายเมธา ภมรานนท์ นายด่านศุลกากรเชียงแสน จ.เชียงราย เผยว่า เชียงรายมีด่านศุลกากร 3 แห่ง ได้แก่ ด่านศุลกากรแม่สาย, ด่านศุลกากรเชียงแสน และด่านศุลกากรเชียงของ ภาพรวมการค้าชายแดนของเชียงราย ปี 2555 มูลค่า 36,000 ล้านบาท แบ่งเป็นด่านเชียงของ 12,000 ล้านบาท ด่านศุลกากรแม่สาย 10,000 ล้านบาท และด่านเชียงแสน 14,000 ล้านบาท



นายเมธากล่าวว่า มูลค่าค้าขายชายแดนตลอด 3 ปี ที่เปิดใช้ท่าเรือแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 ทำให้มูลค่าการค้าชายแดนเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดโดยในปี 2554 มีมูลค่า 12,000 ล้านบาท ปี 2555 มูลค่า 14,000 ล้านบาท และปีนี้ 2556 มีมูลค่า 26,000 ล้านบาท สินค้านำเข้า ได้แก่ ผักผลไม้ กระเทียม ปี 2554 มูลค่า 1,000 ล้านบาท ปี 2555 มูลค่า 512 ล้านบาท และ ปี 2556 มูลค่า 615 ล้านบาท



"สำหรับมูลค่าการนำเข้ามีตัวเลขลด เนื่องจากเคยเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในแม่น้ำโขงเมื่อปี 2554 โดยกระทบต่อภาคการขนส่งสินค้าทางเรือในแม่น้ำโขง แต่ผู้ประกอบการเปลี่ยนไปใช้ถนนอาร์สามเอในประเทศลาว เข้าสู่จีนแทน ปริมาณเที่ยวเรือปี 2554 จำนวน 3,900 เที่ยวเรือ ปี 2555 จำนวน 5,800 เที่ยวเรือ และปี 2556 จำนวน 9,900 เที่ยวเรือ ในปี 2557 คาดว่าจะทะลุ 10,000 เที่ยวเรือ" นายด่านศุลกากรเชียงแสนกล่าว



นายเมธากล่าวอีกว่า ปัจจัยสำคัญน่าจะเกิดจากค่าระวางการบรรทุกสินค้าทางเรือ กับสินค้าที่ไม่เร่งด่วนและส่งไปมายัง 4 ประเทศ จีนพม่า ลาว และไทย ผ่านด่านศุลกากรเชียงแสนเพิ่มขึ้น ส่วนการส่งออก ปี 2554 มูลค่า 8,900 ล้านบาท ปี 2555 มูลค่า 11,000 ล้านบาท ปี 2556 มูลค่า 19,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 800 ล้านบาท สินค้าส่งออก 3 อันดับที่เป็นสินค้าข้ามแดนประกอบด้วยอาหารแช่แข็งได้แก่เนื้อไก่ โค กระบือและอาหารทะเล อันดับที่ 2 รถยนต์ อันดับที่ 3 คือไม้ข้ามแดนที่มาจากลาวผ่านแดนไปยังประเทศพม่า

หน้า 29


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 ธันวาคม 2013, 22:38:12

Prev1 of 2Next
คลิกภาพเพื่อขยาย
updated: 11 ธ.ค. 2556 เวลา 14:00:14 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เปิดสะพานข้ามโขงเชียงของ 11 ธ.ค. "ลงทุน-ค้าชายแดน-ท่องเที่ยว" รับอานิสงส์เต็มร้อย ทุนไทย-จีนแห่ยึดทำเลถนนอาร์สามเอ

หลังจากใช้เวลาก่อสร้างมานานกว่า 3 ปีครึ่ง "สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4" เชื่อม อ.เชียงของ จ.เชียงราย กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว และเชื่อมกับถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ มีกำหนดการเปิดใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 11 ธันวาคม 2556 นี้แล้ว ภายใต้งบประมาณก่อสร้าง 1,486.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนของไทยและจีนฝ่ายละ 50%

ดีเดย์เปิดสะพาน 11 ธ.ค.นี้

พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ขณะนี้ตัวสะพาน ถนนเชื่อมไปยังสะพาน และอาคารด่านพรมแดนเสร็จสมบูรณ์ 100% แล้ว ส่วนโครงการก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าในบริเวณติดกับด่านพรมแดนเชียงของต้องใช้พื้นที่ประมาณ 280 ไร่ งบประมาณ 2,000 ล้านบาทนั้น ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการเจรจาขอเวนคืนที่ดินจากชาวบ้านในพื้นที่ คาดว่าในปี 2559 จะแล้วเสร็จ โดยจะสามารถรองรับได้ทั้งรถบรรทุกสินค้าและระบบรางรถไฟที่จะเชื่อมต่อไปถึงในอนาคต ส่วนกรณีที่มีชาวบ้านขึ้นป้ายคัดค้านไม่ยอมให้มีการเวนคืนที่ดินนั้นก็ถือเป็นเรื่องปกติ ต้องมีการเจรจากันต่อไป

ด้าน นายชัชวาลย์ บุญเจริญกิจ อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวยืนยันว่า สะพานแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 จะเปิดในวันที่ 11 ธ.ค.นี้แน่นอน โดยมีกำหนดการตั้งแต่เวลา 10.00 น.

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จฯเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด และทางฝ่าย สปป.ลาวจะมีรองประธาน สปป.ลาว ไปเป็นประธานฝ่ายลาว

สำหรับแนวทางการบริหารจัดการการใช้สะพานนั้น ได้มีการตกลงกันว่าจะมีการตั้งคณะกรรมาธิการบริหารและบำรุงรักษาสะพานมิตรภาพ 4 ร่วมไทย-สปป.ลาว โดยประชาชนสามารถใช้บริการข้ามสะพานได้ตั้งแต่เวลา 06.00 น.-22.00 น. อนุญาตให้เฉพาะยานพาหนะทุกประเภทที่ใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อน ยกเว้นรถสองแถวทุกประเภท รถสามล้อเครื่อง รถจักรยานยนต์ รวมทั้งรถที่ใช้เพื่อการเกษตรและรถดัดแปลงต่าง ๆ ใช้ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ในส่วนของค่าธรรมเนียมนั้น ประเภทรถยนต์นั่งชนิดไม่เกิน 7 คน และรถบรรทุก 4 ล้อ เก็บค่าธรรมเนียมคันละ 50 บาท หรือ 13,000 กีบ รถโดยสารขนาดกลาง ขนาดเกิน 12 ที่นั่งแต่ไม่เกิน 24 ที่นั่ง เก็บค่าธรรมเนียม 150 บาท หรือ 40,000 กีบ และรถโดยสารขนาดใหญ่ที่เกิน 24 ที่นั่งขึ้นไป เก็บค่าธรรมเนียม 200 บาท หรือ 54,000 กีบ รถโดยสารขนาดเล็กที่เกิน 7 ที่นั่งแต่ไม่เกิน 12 ที่นั่ง เก็บค่าธรรมเนียม 100 บาท หรือ 27,000 กีบ

รถบรรทุก 6 ล้อ เก็บค่าธรรมเนียม 250 บาท หรือ 67,000 กีบ รถบรรทุกสิบล้อเก็บค่าธรรมเนียม 350 บาท หรือ 94,000 กีบ และรถบรรทุกเกินสิบล้อขึ้นไปเก็บค่าธรรมเนียม 500 บาท หรือ 135,000 กีบ ทั้งนี้ การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมให้เก็บเป็นเงินบาทไทยกรณีขึ้นสะพานในฝั่งไทย และให้เก็บเป็นเงินกีบลาวเมื่อขึ้นสะพานทางฝั่ง สปป.ลาว



ทุนไทย-จีนแห่จับจองอาร์สามเอ

นายสุรนาถ ทวีทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีบี ทราเวล เอเจนซี่ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทดำเนินกิจการนำเที่ยวในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงมานาน ล่าสุดได้ขยายกิจการไปสู่การเปิดร้านอาหาร กาแฟ และเครื่องดื่ม ติดกับถนนอาร์สามเอเชื่อม อ.เชียงของ จ.เชียงราย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ตั้งอยู่ที่บ้านนาลือ เมืองหลวงน้ำทา แขวงหลวงน้ำทา ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 12 ไร่ ใช้เงินลงทุน 2,000 ล้านกีบ หรือประมาณ 8 ล้านบาท โดยเป็นกิจการร้านอาหารแห่งที่ 2 ในแขวงหลวงน้ำทา หลังจากเปิดร้านเฮือนลาวเมื่อ 5 ปีก่อนซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

การเข้าไปลงทุนบนถนนอาร์สามเอในแขวงหลวงน้ำทา เพราะเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างไทย-สปป.ลาว-จีน และเชื่อมไปยังบ้านนาเตย-เดียนเบียนฟู ประเทศเวียดนามได้อีกด้วย ซึ่งเส้นทางนี้เป็นทางผ่านที่สำคัญ โดยมีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและจีนตอนใต้ หรือเขตปกครองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน แวะพักก่อนเดินทางไปมาระหว่างสองประเทศ และที่สำคัญ เพื่อรองรับการเปิดใช้สะพานข้ามแม่น้ำโขงเชียงของอีกด้วย

นักท่องเที่ยวจีนทะลักเชียงราย

นางเฉิน หวินย่า ประธาน บริษัท หยิ้นต๋า จำกัด เอเย่นต์ทัวร์จีนผ่านถนนอาร์สามเอ กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา นักท่องเที่ยวจีนนิยมเดินทางผ่านถนนอาร์สามเอมายัง จ.เชียงราย ปีละกว่า 25,000 คน แต่ถือว่ายังมีปริมาณน้อย เพราะทางการจีนต้องการให้คนจีนเดินทางลงมาท่องเที่ยวตามเส้นทางนี้ให้มากขึ้น สาเหตุสำคัญเพราะปัญหาเรื่องการเดินทางที่ไม่มีสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมไทย-สปป.ลาว ทำให้ต้องนำรถยนต์ข้ามแพขนานยนต์เข้าสู่ อ.เชียงของ ดังนั้น หากสะพานเปิดใช้อย่างเป็นทางการก็จะทำให้การเดินทางสะดวกมากขึ้น คาดว่านักท่องเที่ยวจะทะลักลงมาเป็นจำนวนมากแน่นอน โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยปีละ 10%

"นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางผ่านเส้นทางนี้ นิยมไปเที่ยวทั้งใน จ.เชียงราย และเดินทางต่อไปยัง จ.เชียงใหม่ ภูเก็ต หรือชายทะเลภาคตะวันออกของไทย เช่น ระยอง จันทบุรี ฯลฯ โดยมีทั้งการนำรถเดินทางมาเอง และใช้บริการบริษัททัวร์" นางเฉินกล่าว

ค้าชายแดนพุ่ง 1.2 หมื่นล้าน

นอกจากธุรกิจการท่องเที่ยวจะได้รับอานิสงส์จากการเปิดใช้สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 นี้แล้ว การค้าชายแดนก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน ข้อมูลจากด่านศุลกากรเชียงของระบุว่า ในปี 2554 มีการนำเข้า 2,268 ล้านบาท ส่งออก 5,931 ล้านบาท ปี 2555 มูลค่าการนำเข้า 3,071 ล้านบาท ส่งออก 9,453 ล้านบาท ในช่วงปีงบประมาณ 2556 (ตุลาคม 2555-มิถุนายน 2556) มีมูลค่าการค้ารวมมากกว่า 12,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30% สินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าพืชผัก เครื่องจักร รถยนต์ ฯลฯ ส่วนสินค้าส่งออก ส่วนใหญ่เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง สินค้าอุปโภคบริโภค ฯลฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการลงทุนใหม่นั้น มีทั้งเอกชนไทยและต่างชาติหลายรายเข้าไปลงทุนอย่างคึกคักที่ อ.เชียงของ อาทิ เทสโก้ โลตัส โครงการเชียงของเมืองใหม่ของกลุ่มทุนบริษัท

เกรทเทสท์ โลจิสติกส์ และบริษัท อภิพัฒนกิจ จำกัด ซึ่งได้เข้าไปลงทุนอาคารพาณิชย์และตลาดการค้าครบวงจร บนเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ ติดถนนทางไปสะพานหน้าอาคารด่านพรมแดนฝั่งไทย และยังมีนักลงทุนรายย่อยเข้าไปจับจองที่ดินสร้างอาคารพาณิชย์ อพาร์ตเมนต์ หอพัก ฯลฯ

สำหรับการลงทุนภาครัฐนั้น การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้เข้าไปสำรวจพื้นที่ อ.เชียงของ เพื่อเตรียมก่อตั้งนิคมอุตสาหกรรมบริเวณตำบลศรีดอนชัย ห่างจากสะพานประมาณ 5 กิโลเมตรติดถนนสายเชียงของ-เชียงราย พื้นที่ประมาณ 16,000 ไร่

นอกจากนี้ อำเภอเชียงของได้เสนอของบประมาณปี 2557 วงเงิน 170 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างศูนย์ราชการแห่งใหม่ ที่บ้านตอง ตำบลครึ่ง เนื้อที่ประมาณ 200 ไร่

ขณะที่บิ๊กโปรเจ็กต์ในฝั่งเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว กลุ่มทุนไทยนำโดย ดร.สิชา สิงห์สมบุญ ในนามบริษัทเอเอซี กรุ๊ป เจ้าของโครงการนาคราชนคร ซึ่งได้เข้าไปเช่าพื้นที่จากรัฐบาล สปป.ลาว ระยะเวลา 80 ปี เนื้อที่ 1,200 ไร่ติดกับคอสะพาน ยังคงเดินหน้าก่อสร้างโครงการอย่างคึกคัก ทั้งโรงแรม รีสอร์ต พื้นที่เกษตร อาคารพาณิชย์ เขตปลอดภาษีหรือดิวตี้ฟรีโซน สถานเอ็นเตอร์เทนเมนต์ รวมทั้งระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ การเปิดใช้สะพานข้ามโขงเชียงของ จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของเศรษฐกิจเมืองเชียงรายและประเทศไทยในเร็ววันนี้


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 24 ธันวาคม 2013, 19:59:38
"โกลบอลเฮ้าส์"ลับ-ลวง-พรางธุรกิจค้าวัสดุ ปีหน้าบุก12ทำเลเหนือจดใต้-ปั๊มยอด2หมื่นล.

Prev1 of 1Next
คลิกภาพเพื่อขยาย
updated: 24 ธ.ค. 2556 เวลา 18:16:41 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ฟ้าฝนไม่เป็นใจ "โกลบอลเฮ้าส์" เลื่อนเปิดสาขา 5 แห่ง ขยับไปตัดริบบิ้นไตรมาส 1/57 แทน ปีหน้าทุ่มเม็ดเงิน 3.6 พันล้าน ขยายพรึ่บพรั่บ 12 สาขาทั่วไทย ประเดิมบุกภาคใต้ 2 สาขา "สุราษฎร์ฯ-เมืองคอน" ตั้งศูนย์กระจายสินค้า อ.วังน้อย พระนครศรีอยุธยา แผนธุรกิจขอโตเบาะ ๆ 30% ทะลุ 2 หมื่นล้านบาท ควบคู่งัดแผนลงทุนประกบคู่แข่งตามตะเข็บจังหวัดชายแดนรอดักกำลังซื้อเออีซี

นายวิทูร สุริยวนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจโมเดิร์นเทรดค้าวัสดุ "โกลบอลเฮ้าส์" เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า บริษัทตัดสินใจเลื่อนเปิดสาขาใหม่ 5 แห่ง จากกำหนดเดิมจะเปิดปลายปีนี้เลื่อนเป็นไตรมาสแรกปี 2557 ได้แก่ สาขาบ้านตาด จ.อุดรธานี, สาขาใน จ.ลพบุรี เพชรบูรณ์ จันทบุรี และตราด เนื่องจากการก่อสร้างล่าช้า เพราะก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบจากพายุเข้า มีฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ก่อสร้าง



การปรับแผนธุรกิจดังกล่าว ส่งผลให้การเปิดสาขาใหม่ปีนี้ลดลงเหลือ 8 แห่ง จากแผนเดิม 13 แห่ง ล่าสุดเพิ่งเปิดบริการสาขาที่ 8 จ.อุบลราชธานี วันที่ 21 ธันวาคม 2556

สำหรับแผนธุรกิจปี 2557 บริษัทเตรียมขยายสาขาเพิ่มอีก 12 แห่งทั่วประเทศ ใช้เงินลงทุนรวมกว่า 3,600 ล้านบาท ขณะนี้จัดซื้อที่ดินครบหมดแล้ว คาดว่าจะเริ่มทยอยเปิดบริการได้ในช่วงต้นไตรมาส 2 สาขาแรกอยู่ใน จ.บุรีรัมย์ ตามด้วย จ.หนองบัวลำภู

"ไฮไลต์แผนลงทุนปีหน้าคือการขยายสาขาลงภาคใต้เป็นครั้งแรก ได้แก่ สุราษฎร์ธานีกับนครศรีธรรมราช จะก่อสร้างไปพร้อมกัน นอกจากนี้ บริษัทใช้งบฯลงทุนกว่า 300 ล้านบาท เปิดศูนย์กระจายสินค้าที่ อ.วังน้อย พระนครศรีอยุธยา ช่วงปลายไตรมาส 2 หรืออย่างช้าต้นไตรมาส 3 เพื่อเสริมศักยภาพการกระจายสินค้าและระบบโลจิสติกส์ไปยังสาขาต่างจังหวัดทั่วประเทศ"

นายวิทูรกล่าวต่อว่า ปีนี้คาดว่าจะมียอดขายกว่า 15,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 40% ส่วนปี 2557 บริษัทยังลงทุนต่อเนื่อง มีเป้าหมายเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% คิดเป็นยอดขายกว่า 20,000 ล้านบาท มาจากการเปิดสาขาใหม่ และเพิ่มยอดขายในสาขาเดิมอีก 6-7%

ขณะที่แผนธุรกิจระยะกลาง 2-3 ปี บริษัทจะเพิ่มสัดส่วนสินค้าเฮ้าส์แบรนด์หรือสินค้าที่ผลิตภายใต้แบรนด์ตัวเองมากขึ้น เช่น อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เครื่องมือช่าง อุปกรณ์ประกอบ จากปัจจุบันมีสัดส่วน 10% ตั้งเป้าภายใน 2-3 ปีนับจากนี้จะเพิ่มสัดส่วนเป็น 15% โดยปีหน้าการแข่งขันน่าจะรุนแรงขึ้น เนื่องจากผู้เล่นรายอื่นๆ เช่น ไทวัสดุ เมกาโฮม ฯลฯ เร่งขยายสาขากันหมด บริษัทจึงเริ่มศึกษาโมเดลการขยายสาขาในรูปแบบอื่นๆ ทั้งร้านที่มีขนาดเล็ก-ใหญ่ขึ้น จากปัจจุบันร้านโกลบอลเฮ้าส์มีพื้นที่ประมาณ 2 หมื่นตารางเมตร บนที่ดิน 25-30 ไร่

ส่วนการลงทุนในต่างประเทศเพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558 ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาโอกาสและลู่ทางในการลงทุน โดยสนใจประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งสหภาพเมียนมาร์ เวียดนาม สปป.ลาว กัมพูชา และอินโดนีเซีย

ทั้งนี้ มองว่าตลาดการค้าชายแดนน่าสนใจมาก โดยเฉพาะ สปป.ลาวและกัมพูชา เนื่องจากมีกำลังซื้อหลักมาจากกลุ่มผู้ประกอบการส่งออกสินค้าเกษตรมาประเทศไทย ประกอบกับทั้ง 2 ประเทศอยู่ระหว่างการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง แม้ว่าขณะนี้จะยังไม่เห็นปริมาณการซื้อสินค้าลอตใหญ่ แต่แนวโน้มในอนาคตมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ปัจจุบันโกลบอลเฮ้าส์มีสาขาในจังหวัดชายแดน 3 แห่ง ได้แก่ มุกดาหาร นครพนม และหนองคาย รวมถึงมีที่ดินในจังหวัดเชียงรายที่เพิ่งซื้อเข้ามาปีนี้ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างอาคารภายในปี 2557 แล้วเสร็จช่วงปลายปีหรือต้นปี 2558 กลุ่มลูกค้าจากประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ยังเป็นลูกค้ารายย่อยที่ข้ามฝั่งมาซื้อสินค้าไปใช้เอง ส่วนกลุ่มร้านค้าช่วง (ยี่ปั๊ว-ซาปั๊ว)พอมีบ้าง

นายวิทูรกล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ขณะนี้ภาคธุรกิจมีความกังวลเรื่องความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรก 2557 จากยุบสภา แต่มองว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ยังมีแรงเหวี่ยงที่เป็นปัจจัยบวกส่งผลไปถึงปีหน้า รวมทั้งถึงแม้จะไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือยังไม่มีการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ภาครัฐก็ตาม แต่ยังมีงบประมาณประจำปีสำหรับพัฒนาประเทศอีก 3-4 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าไหลเข้าสู่ระบบในช่วงไตรมาส 2/57 ส่วนทิศทางเศรษฐกิจครึ่งปีหลังยังต้องจับตาดูในหลายส่วน เช่น การส่งออก อัตราจ้างงาน ฯลฯ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 24 ธันวาคม 2013, 20:00:01
   

ประเทศไทยในช่วงก่อนการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน - ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--24 ธ.ค.--คอลลิเออร์ส

          ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในช่วงปลายปีพ.ศ.2558 ซึ่งรัฐบาลและเอกชนต่างคาดว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในครั้งนี้เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียนตอนบน (ลาวกัมพูชาเมียนมาร์และเวียดนาม)ซึ่งน่าจะมีความสำคัญมากขึ้นหลังจากเข้าสู่AEC ในปีพ.ศ.2558 โดยเฉพาะเรื่องของการทำธุรกิจการค้าการท่องเที่ยวและธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้องกันจังหวัดตามแนวชายแดนสำคัญและจังหวัดเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในทุกภาคของประเทศไทยขยายตัวมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยก็มีการขยายตัวอย่างเห็นได้ชัดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

          สุรเชษฐกองชีพรองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยคอลลิเออร์สอินเตอร์เนชั่นแนลประเทศไทยได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า“กรุงเทพมหานครและจังหวัดข้างเคียงจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องต่อไปในอนาคตเพราะว่ากรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางการลงทุนและการทำธุรกิจส่วนใหญ่ของประเทศไทย”

          ตลาดอาคารสำนักงานกลับมามีความน่าสนใจมากขึ้นหลังจากที่มีการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในช่วงระหว่างปีพ.ศ.2554 - 2556
          “อัตราการเช่าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วง1 – 2 ปีที่ผ่านมาค่าเช่าเองก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะอาคารสำนักงานเกรดA ในพื้นที่ศูนย์กลางเขตธุรกิจ (CBD) โดยบางอาคารมีค่าเช่ามากกว่า800 บาทต่อตารางเมตรเพราะว่าในพื้นที่ศูนย์กลางเขตธุรกิจ (CBD) อุปทานพื้นที่อาคารสำนักงานมีจำกัดในขณะที่ความต้องการจากบริษัทในประเทศไทยและต่างชาติมีมากขึ้นอัตราการเช่าเฉลี่ยของอาคารสำนักงานเกรดA เพพิ่มขึ้นมากกว่า12% จากปีพ.ศ.2553” สุรเชษฐกล่าว

          แบรนด์สินค้าต่างชาติต่างก็มองหาลู่ทางในการเปิดร้านหรือขยายสาขาในศูนย์การค้าในกรุงเทพมหานครและจังหวัดอื่นๆดังนั้นตลาดพื้นที่ค้าปลีกมีความน่าสนใจและน่าดึงดูดมากกว่าช่วงหลายปีก่อนหน้านี้
          “แม้ว่าคอมมูนิตี้มอลล์จะยังคงเป็นรูปแบบพื้นที่ค้าปลีกที่มีความเคลื่อนไหวมากที่สุดในธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกแต่ยังมีศูนย์การค้าหลายแห่งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและบางแห่งจะมีผลกระทบต่อตลาดพื้นที่ค้าปลีกเมื่อเปิดให้บริการพื้นที่ที่มีที่อยู่อาศัยหนาแน่นมากได้กลายเป็นทำเลที่มีการพัฒนาโครงการพื้นที่ค้าปลีกมากขึ้นโครงการศูนย์การค้าขนาดใหญ่หลายโครงการเริ่มการพัฒนาโครงการใมนพื้นที่เหล่านี้แล้วเช่นโครงการเซ็นทรัลเวสต์เกทเมกาบางใหญ่และเมการังสิตนอกจากนี้จังหวัดตามแนวชายแดนและจังหวัดท่องเที่ยวบางจังหวัดทั่วประเทศไทยก็ได้กลายเป็นเป้าหมายใหม่ในการพัฒนาโครงการพื้นที่ค้าปลีก”เขากล่าว

          ผู้ประกอบการโครงการที่อยู่อาศัยหลายรายมีการเปิดขายโครงการใหม่ในบางจังหวัดทั่วประเทศไทยโดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมซึ่งนอกจากจังหวัดท่องเที่ยวและจังหวัดชายทะเลแล้วจังหวัดเชียงใหม่ขอนแก่นอุดรธานีก็ได้กลายเป็นเป้าหมายใหม่ในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม“โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายในกรุงเทพมหานครจะเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยมากขึ้นนอกจากนี้ในอีกหลายจังหวัดและโดยเฉพาะจังหวัดเศรษฐกิจสำคัญของแต่ละภาคมีโครงการคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและมีกำหนดแล้วเสร็จในช่วงระหว่างปีพ.ศ.2556 - 2558” สุรเชษฐกล่าวเพิ่มเติม
          จังหวัดขนาดใหญ่ทั่วประเทศไทยมีการขยายตัวค่อนข้างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดของแต่ละจังหวัดเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากหลายปีก่อนหน้านี้รายได้ขององค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นและรายได้ต่อหัวของประชากรในพื้นที่รวมทั้งจำนวนประชากรในแต่ละจังหวัดก็เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในจังหวัดเศรษฐกิขนาดใหญ่นอกจากนี้รัฐบาลก็มีแผนที่จะพัฒนาระบบสาธารณูปโภคเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศและตลาดให้มีความน่าสนใจมากขึ้น

          “หลายจังหวัดตามแนวชายแดนของประเทศไทยได้กลายเป็นเป้าหมายในการลงทุนใหม่ของนักลงทุนชาวไทยและชาวต่างชาติเพราะว่าอยู่ไม่ไกลจากเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกันเพราะว่าระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆในประเทศอื่นๆยังคงไม่มีความพร้อมดังนั้นชาวต่างชาติจำนวนมากเลือกที่จะพักอาศัยในประเทศไทยและข้ามชายแดนไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้านมูลค่าการค้าชายแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพิ่มสูงขึ้นโดยสถิตสูงที่สุดคือในปีพ.ศ.2555 ที่มีมูลค่าเกือบ 1 ล้านล้านบาทและอาจจะมากกว่านั้นในปีพ.ศ.2556 โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีเส้นทางติดต่อโดยตรงกับกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านทางสะพานมิตรภาพ”สุรเชษฐกล่าว

          “ในการเตรียมตัวเพื่อเข้าสูงAEC นั้นทุกประเทศได้มีการเปลี่ยนกฎหมายและกำระเบียบข้อบังคับต่างๆรวมทั้งมีการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหลายประเทศมีการประกาสเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนเพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติซึ่งประเทศเหล่านี้ต่างก็ต้องการการลงทุนจากต่างชาติเพื่อพัฒนาและยกระดับรายได้ของประเทศตนเองซึ่งบางความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นเขตเศรษฐกิจพิเศษในลาวและเมียนมาร์รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเช่นถนนในแต่ละประเทศให้มีการเชื่อมต่อกันทั้งภูมิภาคนั้นได้ส่งผลบวกต่อประเทศไทยโดยเฉพาะจังหวัดตามแนวชายแดน”เขากล่าว

          การที่รัฐบาลมีแผนจะพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษและพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับจังหวัดตามแนวชายแดนบางจังหวัดและจังหวัดที่อยู่ในแนวเส้นทางการพัฒนาซึ่งสุรเชษฐได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า“จังหวัดเชียงใหม่ขอนแก่นอุดรธานีนครราชสีมาอุบลราชธานีชลบุรีระยองเพชรบุรีปรจวบคีรีขันธ์นครศรีธรรมราชและสงขลาเป็นจังหวัดที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 ที่จะมีการขยายตัวต่อเนื่องต่อไปในอนาคตซึ่งการขยายตัวของจังหวัดเหล่านี้จะส่งผลให้จังหวัดขนาดเล็กที่อยู่รอบๆและจังหวัดชายแดนบางจังหวัดเช่นเชียงรายตากลำพูนราชบุรีกาญจนบุรีและหนองคายขยายตัวมากขึ้นนอกจากนี้บางจังหวัดอย่างเช่นพิษณุโลกจะมีความสำคัญมากขึ้นเพราะว่าตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ดีตามแนวเส้นทางการพัฒนาจังหวัดตามแนวชายแดนและจังหวัดเศรษฐกิจสำคัญมีความน่าสนใจมากขึ้นในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมาและจะคงความน่าสนใจต่อเนื่องไปในอนาคตแม้ว่าโครงการพัฒนาต่างๆของจากภาครัฐจะเลื่อนออกไปหรือว่าไม่เกิดขึ้นก็ตามเพราะว่าปัจจัยภายนอกประเทศอีกหลายอย่างจากประเทศเพื่อนบ้านเช่นเขตเศรษฐกิจพิเศษในลาวเมียนมาร์และกัมพูชารวมทั้งการที่บางประเทศรอบๆประเทศมีการเปิดประเทศต้อนรับนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น”

          ปัญหาทางการเมืองเป็นปัจจัยภายในเพียงอย่างเดียวที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยและการพัฒนาของประเทศนักลงทุนชาวไทยและชาวต่างชาติรวมทั้งคนไทยต่างก็หวังว่าจะมีทางออกที่นุ่มนวลต่อทุกฝ่ายในเร็ววันนี้


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 31 ธันวาคม 2013, 09:25:24
ชียงราย - เรือสินค้าจีนกลับสู่น้ำโขง ขนสินค้าจากไทยเข้าจีนตอนใต้คึกคัก แต่เลือกขึ้นฝั่งพม่า นำสินค้าเข้าสิบสองปันนาผ่านชายแดนรุ่ยลี่-มูเซ หนีมาตรการตรวจเข้มของท่าเรือ-กองเรือลาดตระเวนจีน
       
       ช่วงวันหยุดยาวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2557 นี้ พบว่าการค้าชายแดนด้านท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 มีความคึกคักมากเป็นพิเศษ บรรดาเรือสินค้าจีนที่เคยลดจำนวนลงหลังเกิดเหตุการณ์ปล้นเรือจีน 2 ลำ และฆ่าลูกเรือกว่า 13 ศพเมื่อเดือน ต.ค. 2554 กลับมารับขนส่งสินค้ากันอย่างคึกคัก
       
       ผู้ประกอบการค้าชายแดนที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ระบุว่า หลังเหตุการณ์รุนแรงเมื่อปลายปี 2554 ทำให้เรือสินค้าจีนมีปริมาณลดลง และมีเรือสินค้าสัญชาติ สปป.ลาวหันมาให้บริการแทน แต่ก็ให้บริการตามเส้นทางสั้นๆ และมีระวางบรรทุกน้อยกว่า 100 ตัน แต่ช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่ 2557 นี้พบว่าเรือสินค้าจีนที่มีระวางบรรทุกตั้งแต่ 159-450 ตัน ต่างมาจอดเรียงรายรอรับสินค้าขาออกที่ท่าเรือ อ.เชียงแสน และมีรายงานว่าสินค้าที่พวกเขานำกลับไปจะไม่เดินทางไปยังเมืองท่ากวนเหล่ยของจีนโดยตรง แต่จะนำขึ้นฝั่งที่ท่าเรือเมืองกวนเหล่ยของพม่าแทนกว่า 80-90% จนทำให้การขนส่งสินค้าที่ท่าเรือกวนเหล่ยซบเซาลงถนัดตา
       
       เนื่องจากท่าเรือสินค้าจีน โดยเฉพาะท่าเรือกวนเหล่ยห่างจาก อ.เชียงแสนไปทางทิศเหนือประมาณ 300 กิโลเมตร และเป็นเมืองท่าหน้าด่านของจีน รวมทั้งการลาดตระเวนที่เข้มงวดของทางการจีน ร่วมกับพม่าและ สปป.ลาว ทำให้เรือบรรทุกสินค้าทั้งสินค้าไทย-สินค้าผ่านแดน ต่างพากันขนสินค้าจากท่าเรือเชียงแสนไปขึ้นฝั่งที่ท่าเรือเมืองสบหรวย ประเทศพม่า ห่างจาก อ.เชียงแสน ประมาณ 200 เมตร เพื่อหันไปใช้เส้นทางทางบกผ่านพม่า ก่อนเข้าสู่มณฑลยูนนาน จีนตอนใต้ แทน
       
       “ผู้ประกอบการไม่อยากเสียเวลานำสินค้าขึ้นที่ท่าเรือกวนเหล่ย เพราะต้องใช้เวลานำขึ้นบกก่อนขนส่งไปยังเมืองเชียงรุ่ง หรือจิ่งหง เขตปกครองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน หรือเมืองต่างๆ อีกร่วม 1 วัน เพราะต้องเสียเวลาในการตรวจสอบสินค้าตามมาตรฐานของด่านจีน แต่การนำสินค้าขึ้นฝั่งเมืองสบหรวยทำได้รวดเร็วและพวกเขาสามารถขนส่งทางบกผ่านเข้าจีนทางชายแดนพม่า-จีน ที่ด่านรุ่ยลี่-มูเซ เพื่อให้สินค้าเข้าสู่ประเทศจีนได้โดยตรงด้วย” ผู้ประกอบการระบุ
       
       รายงานจากด่านศุลกากร อ.เชียงแสนแจ้งว่า ในปี 2555 ที่ผ่านมามีการค้าชายแดนผ่านด่านศุลกากร อ.เชียงแสน เป็นมูลค่ารวมประมาณ 14,000 ล้านบาท ต่อมาปี 2556 ได้เพิ่มเป็น 26,000 บาททีเดียว สินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นผัก ผลไม้ กระเทียม โดยในปี 2556 มีมูลค่านำเข้าประมาณ 615 ล้านบาท ส่วนสินค้าส่งออกในปี 2556 มีมูลค่ากว่า 19,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 800 ล้านบาท
       
       โดยสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นประเภทแช่แข็ง ได้แก่ เนื้อไก่ โค กระบือ และอาหารทะเล รถยนต์ ไม้ผ่านแดนที่มาจาก สปป.ลาว ฯลฯ ทั้งนี้ จีนตอนใต้ยังคงมีความต้องการสินค้าประเภทอาหารสูงมาก
       
       รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ในช่วงปลายเดือน ธ.ค.นี้ทางการจีนได้มีการจัดหมู่เรือรักษาความปลอดภัยตามลำน้ำโขง ซึ่งประกอบด้วยเรือตำรวจน้ำจีนขนาดใหญ่จำนวน 2 ลำ เรือตำรวจน้ำของพม่า 1 ลำ และเรือลาดตระเวนของ สปป.ลาวจำนวน 1 ลำ ทำการลาดตระเวนในแม่น้ำโขง ตั้งแต่ท่าเรือเมืองกวนเหล่ย-สามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ติดกับ อ.เชียงแสน ของไทยเป็นเวลาติดต่อกัน 4 วัน ตามแผนป้องกันและรักษาความปลอดภัยในแม่น้ำโขงด้วย


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000159735


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 01 กุมภาพันธ์ 2014, 11:16:43
บริษัทเมืองเงินฯเท 1,100 ลบ.พัฒนานิคมเชียงของ รวม 479 ไร่ รองรับธุรกิจด้านโลจิสติกส์, การกระจายสินค้า ทำเลดีเชื่อมโยงได้ทั้ง สปป.ลาวและจีน นักลงทุนทั้งไทย, ญี่ปุ่น, จีน, สิงคโปร์ รุมจีบแล้ว ด้าน กนอ.ระบุให้เวลานิคมใหม่เตรียมเอกสารก่อนลงนาม ด้านนิคมอุตสาหกรรมอีก 7 แห่งที่ตกรอบ ยังสามารถพัฒนาต่อได้ภายใต้สิทธิประโยชน์เดิม

นายไพรัช เล้าประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองเงิน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เตรียมที่จะพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมเชียงของ บนเนื้อที่ 497 ไร่ ตำบลสถาน อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ใช้เงินลงทุน 1,100 ล้านบาท รูปแบบจะเน้นการลงทุนด้านโลจิสติกส์



เนื่องจากนิคมเชียงของอยู่ใกล้พื้นที่เส้นทางการขนส่งสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สปป.ลาว และจีนที่ค่อนข้างสะดวก โดยสามารถใช้ถนนสาย R3A เชื่อมโยงจากประเทศไทยที่อำเภอเชียงของไปยังสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ที่ได้เปิดใช้อย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา เข้าสู่บ้านห้วยแก้ว แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว และยังสามารถเชื่อมต่อเส้นทางบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา เพื่อเข้าสู่เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ทางจีนตอนใต้ ซึ่งอยู่ห่างสะพานมิตรภาพฯเพียง 10 กิโลเมตร

สำหรับในพื้นที่นิคมเชียงของ ได้ถูกออกแบบและแบ่งพื้นที่ออกไป 1) โลจิสติกส์ปาร์ก โซน 2) อาคารคลังสินค้า 3) ศูนย์กระจายสินค้า 4) โรงงานอุตสาหกรรม และ 5) สำนักงานการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) นอกจากนี้จะเป็นพื้นที่สำหรับพาณิชยกรรม ระบบสาธารณูปโภค ซึ่งขณะนี้มีนักลงทุนทั้งไทย, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์ และจีน แสดงความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในพื้นที่แล้ว

"คอนเซ็ปต์ของนิคมเชียงของยังเน้นเพื่อรองรับการเปิดเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ที่จะเกิดขึ้นในปี 58 ที่ตลาดทั้งอาเซียนจะรวมเป็นตลาดเดียวกัน ที่สำคัญจีนได้มองที่จะใช้ไทยเป็นฐานในการกระจายและขนส่งสินค้าอาเซียนทางรถยนต์ด้วย"

นายไพรัชกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้พื้นที่นิคมเชียงของยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) ที่คาดว่าจะยื่นเสนอต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้ภายในปีนี้ หลังจากนั้นจะเริ่มการพัฒนาที่ดินและก่อสร้างได้ในช่วงต้นปี 2558 และโครงการจะแล้วเสร็จในปี 2560 ในส่วนของเงินลงทุนรวม 1,100 ล้านบาทนั้น แบ่งเป็นเงินลงทุนของบริษัทเมืองเงินฯ ร้อยละ 30 ส่วนอีกร้อยละ70 จะต้องดำเนินการขอกู้จากสถาบันการเงินต่อไป

ทั้งนี้ ในการพัฒนานิคมเชียงของดังกล่าว จะมีพันธมิตรทางธุรกิจที่มาจากวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบและควบคุมงานก่อสร้าง กลุ่มธุรกิจด้านโลจิสติกส์ และได้วางแผนที่จะนำเข้ารถบรรทุกหัวลากจากประเทศจีนด้วย

รวมถึงจะมีกลุ่มธุรกิจด้านพลังงานจากสปป.ลาว และกลุ่มธุรกิจด้านการบริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาร่วมลงทุนพัฒนาด้วย

ด้านนายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ผู้ได้รับอนุมัติให้พัฒนานิคมใหม่นั้นยังอยู่ในขั้นเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้อง ก่อนที่จะลงนามกับ กนอ.อย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้ และอยู่ภายใต้กรอบเวลาที่กำหนด ส่วนผู้ที่ไม่ได้รับการอนุมัตินั้น หากมีความประสงค์จะก่อสร้างและพัฒนานิคมในการสนับสนุนของ กนอ.สามารถทำได้ แต่จะได้รับสิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม ต่างจาก 6 นิคมอุตสาหกรรมที่ผ่านบอร์ด กนอ. ซึ่งจากการเปิดให้ยื่นตั้งนิคมครั้งนี้ บอร์ดพิจารณาจากหลักเกณฑ์ ด้านเทคนิค การเงิน การตลาด และด้านการส่งเสริมการลงทุน ขณะเดียวกันบอร์ด กนอ.ยังจะเข้าไปช่วยเหลือ สนับสนุน และส่งเสริมการประกอบกิจการนิคมอุตสาหกรรมใหม่เป็นพิเศษ ตามข้อเสนอที่ กนอ.ได้ให้ไว้ด้วย

สำหรับนิคมอุตสาหกรรมใหม่ 6 แห่งที่ได้รับการอนุมัติให้พัฒนาโดยคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (บอร์ด กนอ.) ตามที่ได้ประกาศเชิญชวนให้ภาคเอกชนยื่นเสนอพื้นที่จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเพื่อตอบสนองนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่มีศักยภาพตามยุทธศาสตร์ของประเทศในเชิง Area Base และ Cluster Base


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 01 กุมภาพันธ์ 2014, 11:26:26
เชียงราย - นักวิชาการ-ภาคธุรกิจเตือนทุนท้องถิ่นเชียงรายเสี่ยงหลุดขบวนกลายเป็นแค่ “ทางผ่าน” หลังเปิดสะพานข้ามโขง 4-เออีซี สารพัดทุนเทศหาช่องลงทุนยึดหัวหาด ทั้งอุตสาหกรรมยางพารา ขนส่งเนื้อ-ไก่แช่แข็งเข้าจีน
       
       วันนี้ (28 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการสัมมนาเชิงวิชาการด้านการจัดการลอจิสติกส์ และซัปพลายเชน เรื่อง “การเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว กับผลกระทบที่มีต่อไทย โดยเฉพาะ จ.เชียงราย” ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจัดขึ้นนั้น ได้มีการเสวนาเรื่องระเบียบกฎเกณฑ์การขนส่งผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว
       
       นายเฉลิมพล พงษ์ฉบับนภา พาณิชย์จังหวัดเชียงราย ผู้ร่วมเวทีเสวนา กล่าวว่า หลังสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 เชื่อมไทย-ลาว-จีน ผ่านถนน R3a ใน สปป.ลาว เปิดใช้ตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค. 2556 หรือ 11-12-13 ทำให้ช่องทางการค้า การลงทุนชายแดนเชียงรายเปิดกว้างขึ้น มีกลุ่มทุนทั้งจีน เกาหลีใต้ อินเดีย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย พยายามจะเข้ามาลงทุนมากมาย
       
       ที่ผ่านมามีกลุ่มทุนใช้ช่องทางนี้ในการขนส่งสินค้าระหว่างไทย-จีนมากขึ้น มีการนำเนื้อกระบือแช่แข็งจากอินเดีย หรือไก่แช่แข็งจากต่างประเทศเข้ามาทางท่าเรือแหลมฉบัง ส่งผ่านท่าเรือเชียงแสนเข้าสู่ตลาดจีน เป็นต้น จึงอยากให้ผู้ประกอบการทั้งในท้องถิ่นและระดับชาติร่วมลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านทั้งพม่า สปป.ลาว และจีนตอนใต้ให้มากขึ้น
       
       ทั้งนี้ เพราะเมื่อมองจากกลุ่มทุนต่างประเทศ จะพบว่าเขาพยายามจะหาโอกาสเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง เช่น ทุนจีนลงทุนปลูกยางพาราที่ อ.พญาเม็งราย และกำลังขออนุมัติการส่งเสริมการลงทุนตั้งโรงงานแปรรูป รวมทั้งลงทุนด้านยางพารา ปลูกแตงโม ใน สปป.ลาว เพื่อส่งกลับไปยังจีนตอนใต้ ซึ่งตนเกรงว่าหากเราออกตัวช้าไปจะเสียโอกาส
       
       ขณะที่ รศ.ดร.อภิชาต โสภาแดง จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวระหว่างร่วมเวทีเสวนาเรื่องทิศทางการค้าชายแดนกับการเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ว่าการค้าชายแดนด้าน จ.เชียงรายมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นทุกด่านเฉลี่ย 13% และถ้ามีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) คาดว่ามูลค่าการค้าจะเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 15% ซึ่งดึงดูดให้นักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุน
       
       ดังนั้น เชียงรายควรใช้กรณีศึกษาจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ที่ไม่มีทรัพยากรเลยนอกจากน้ำ สามารถพัฒนาเป็นผู้ผลิตชิปหรือไอซีเพื่อการส่งออกเมื่อ 10-20 ปีก่อน กระทั่งปัจจุบันสิงคโปร์เปลี่ยนเป็นประเทศวิจัยและการพัฒนา โดยมีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ออกไปลงทุนขนานใหญ่
       
       รศ.ดร.อภิชาตกล่าวว่า เชียงรายควรจัดให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่เช่นนั้นการขนส่ง และการโดยสารจะผ่าน จ.เชียงรายไปหมด เพราะจากการศึกษาพบว่า เมื่อมีการเปิดคมนาคมไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ผ่านสะพานน้ำโขงอย่างเต็มที่ พื้นที่ซึ่งจะได้ประโยชน์คือ จ.ลำพูน เพราะมีนิคมอุตสาหกรรม รองลงมาคือ เชียงใหม่ จากนั้นก็เป็นท่าเรือแหลมฉบัง และกรุงเทพฯ หากนิ่งอยู่โดยไม่มีกิจกรรม ทุนใหญ่ก็จะเข้ามาล้วงลูก และลงทุนหมดทุกอย่าง จะทำให้เขียงรายเสียโอกาส
       
       ด้านนายเกรียงไกร วีระฤทธิพันธ์ ประธานสภาอุตสหากรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ผู้ประกอบการท้องถิ่นขยายการลงทุนในพื้นที่ยาก เพราะมีปัญหาใหญ่คือ ผังเมืองเชียงรายระบุว่ามีพื้นที่ทางการเกษตรกว้างขวางมาก ถ้าจะลงทุนด้านอุตสาหกรรมเพื่อขอใบ รง.4 ก็จะถูกชี้ให้ไปลงทุนในเขต อ.เทิง เนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ อ.เชียงของ 5,000-6,000 ไร่ ซึ่งการที่จะตั้งโรงงานแปรรูปยางพาราเพื่อส่งออกไปจีน แทนการส่งน้ำยางไปแปรรูปที่ภาคตะวันออกหรือภาคใต้ แล้วค่อยขนกลับมาส่งออกที่เชียงรายก็ติดปัญหานี้เช่นกัน หากภาครัฐไม่ปรับโครงสร้างการบริหาร และเปิดการค้าเสรีมากขึ้น ทุนท้องถิ่นก็จะยิ่งอ่อนแอลงอีก
       
       ด้าน ดร.จักรกฤษณ์ ดวงพัสตรา คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการใช้ประโยชน์จากสะพานข้ามแม่น้ำโขงไทย-ลาว ที่ อ.เชียงของ ว่า เกี่ยวข้องกับระเบียบระหว่างประเทศมากมาย เช่น กรณีข้อตกลงอาเซียน จีเอ็มเอส องค์การการค้าโลก พบว่ามีข้อตกลงร่วมกันกว่า 25 ข้อ ส่วนข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสินค้า การโดยสาร และได้นำมาปรับเป็นพระราชบัญญัติของไทยได้ 40 ฉบับ และกฎกระทรวงหรือกฎระเบียบต่างๆ 155 ประกาศ
       
       ขณะที่ข้อตกลงระหว่างไทย-สปป.ลาว ก็มีระเบียบที่เป็นปัญหาต่อการค้าสินค้าข้ามแดน เช่น ยางพารา ยางรถยนต์ ใช้ระเบียบสินค้าต่างกัน 56 เรื่อง และมีอยู่ 121 เรื่องที่เป็นปัญหาต่อการค้าสินค้าผ่านแดน เช่น น้ำผลไม้ ผลไม้ ใช้ระเบียบสินค้าต่างกัน
       
       ดร.จักรกฤษณ์กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีระเบียบการขนส่งสินค้า และโดยสารระหว่างประเทศ และใน สปป.ลาวอีกมากมาย เช่น รถยนต์ไทยอยู่ใน สปป.ลาวได้ไม่เกิน 15 วัน ค่าขนส่งสินค้าและรถโดยสารสามารถตั้งราคาค่าขนส่งระหว่างกันได้อย่างเสรีแต่ต้องจดทะเบียนไทย-สปป.ลาวก่อน ศูนย์กระจายสินค้าจะคิดราคาขึ้นลงได้ต้องแจ้งให้รัฐบาลทราบล่วงหน้า 3 เดือน การใช้รถบรรทุกสินค้าในลาวต้องไม่ยาวเกิน 12.2 เมตร พ่วงไม่เกิน 16 เมตร กว้างไม่เกิน 2.50 เมตร เป็นต้น
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9570000010569


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: club88 ที่ วันที่ 01 กุมภาพันธ์ 2014, 21:15:34
 :)


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 03 มีนาคม 2014, 22:52:52

นักท่องเที่ยวหายจาก ′เชียงของ′ เพียง หอการค้าเชียงรายเชื่อจะลดลงอีก
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 20:37:02 น.

เผยนักท่องเที่ยวหายจาก ′เชียงของ′ กว่าค่อน หอการค้าเชียงรายเชื่อยังต่ำลงอีก สภาท่องเที่ยวชี้มีเงื่อนงำ-ย้ายจุดตรวจพลาสปอร์ต เตรียมทำถนนคนเดินริมโขงดึงนักท่องเที่ยวกลับ

นายสงวน ซ้อนกลิ่นสกุล รองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย เปิดเผยถึงสถานการณ์การท่องเที่ยวในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ซบเซา ภายหลังจากที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 เปิดใช้ว่า สะพานแห่งใหม่มีทั้งด้านดีและด้านลบ โดยภาพรวมข้อดีของการเปิดสะพานมาประมาณ 2 เดือน คือ การขนส่งทางบกเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็ว ทำให้การขนส่งระหว่างประเทศเร็วขึ้น ภาคการขนส่งทางบกสามารถลดต้นทุน ส่วนด้านลบ ก็คือ เมื่อการขนส่งทางบกง่าย เร็ว สะดวกหมายความว่านักท่องเที่ยวที่สามารถเอารถข้ามมาได้ เช่น กลุ่มจีน ก็ใช้รถส่วนตัวเข้ามาเฉลี่ยตอนนี้ประมาณเดือนละ 2,000 คน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลตรุษจีนพบว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวจีนนั้นนำรถมาใช้เองและแวะมาซื้อของร้านเล็กๆ บ้าง แต่ไม่มีการใช้จ่ายในประเทศไทย ทั้งเรื่องที่พัก เรือ ทำให้ภาคท่องเที่ยวกระทบมากที่สุด

"เดิมทีฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น หรือไทยที่เป็นพวกแบคแพค จะใช้เวลาในการแวะพักที่เชียงของประมาณวันละ 250 คน ตอนนี้เหลือราว 100 คน โดยกลุ่มแบคแพคจะใช้เวลาเดินเที่ยว แวะพักแล้วใช้บริการรถ เรือในท้องถิ่นไปส่งที่ท่าเรือเก่า ซึ่งตอนนี้ไม่เปิดบริการสำหรับผู้ถือพาสปอร์ต ดังนั้นกลุ่มแบคแพคที่ส่วนมากเป็นชาติตะวันตกก็ลดความสนใจลง กลับไปใช้บริการทางบกแล้วพักที่ลาว เพื่อเดินทางไปต่อยังเมืองใหญ่ ทั้งหลวงพระบาง วังเวียง ขณะเดียวกันก็เริ่มสื่อสารข้อมูลส่วนนี้ไปทั่วโลก ทำให้คนท้องถิ่นกังวลว่า ค่าใช้จ่ายที่นักท่องเที่ยวพึงจ่ายในเชียงของลดลง แต่ยังไม่รุนแรง เมื่อใดที่การค้าย่อยฝั่งท่าเรือเก่าของลาวเริ่มเคลื่อนตามจำนวนนักท่องเที่ยวไปที่สะพานใหม่ ก็อาจจะแย่กว่านี้ " นายสงวนกล่าว

รองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย กล่าวต่อว่า ความจริงแล้วการปิดท่าเรือเก่า โดยไม่ประทับตราหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตและวีซ่า แล้วรับเฉพาะกลุ่มใช้บัตรผ่านแดนชั่วคราวนั้น ไม่มีใครรู้ชัดว่าใครผิด ใครถูก แล้วใครควรรับผิดชอบ ตอนนี้เชียงของอยู่ในขั้นสุญญากาศ เพราะทางสภาหอการค้าฯ เคยคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจคนเข้าเมือง( ตม.) แล้วทราบว่า เจ้าหน้าที่ฝั่งลาวเลือกจะปิดบริการสำหรับผู้ถือพาสปอร์ตและผู้ถือวีซ่า แล้วย้ายทุกอย่างไปที่ฝั่งสะพานทำให้เรือที่จอดรอรับคนข้ามฝั่งดูเงียบเหงา และผลกระทบอีกด้านคือ คนไทยที่ขับรถฝั่งรับส่งนักท่องเที่ยวในตัวเมืองชั้นใน คือ เมืองเดิมเชียงของก็ใช้วิธีการปรับราคาค่ารถขึ้น เช่นส่งนักท่องเที่ยวรอบละ 80-100บาท ทำให้นักท่องเที่ยวที่มีน้อยอยู่เริ่มรู้สึกว่าของแพงซึ่งเป็นสาเหตุให้คนมาเที่ยวเชียงของเลือกจะข้ามฝั่งลาวทันที ซึ่งเคยคุยกับลาวหลายครั้งแต่เรื่องยังเงียบ แต่อย่างไรก็ตามหากยังเป็นสุญญากาศขนาดนี้ คนเชียงของคงต้องคุยกันเพื่อวางระบบท่องเที่ยวใหม่ หาจุดเด่นของเมืองให้ได้

ด้าน นส. สาริสา นวลใส กรรมการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเขต จังหวัดเชียงราย (เขตพื้นที่อำเภอเชียงของ) และอดีตประธานชมรมท่องเที่ยวเชียงของ กล่าวว่า ตามกฎหมายระหว่างประเทศการเปลี่ยนแปลงเรื่องสถานที่ตรวจพาสปอร์ตนั้น ต้องแจ้งล่วงหน้า 6 เดือนเพื่อให้นักท่องเที่ยวเตรียมตัวในการเดินทางและให้คนท้องถิ่นปรับตัว แต่กรณีเชียงของไม่มีการแจ้งก่อน โดยตั้งแต่เปิดสะพานมา พบว่าเจ้าหน้าที่ลาวเป็นผู้ประกาศยกเลิกการตรวจพาสปอร์ตในท่าเรือบั๊ก ซึ่งส่วนนี้คนที่รู้เรื่องน่าจะต้องเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของไทยและฝ่ายงานของกระทรวงต่างประเทศ ขณะที่คนเชียงของยังอยู่ในช่วงปรับตัว แต่สิ่งที่สะเทือนชัดเจนนอกจากคนขับเรือเล็กแล้ว คือ กลุ่มนักท่องเที่ยวแบบแบกแพ็คที่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายสูงขึ้น

"ส่วนมากพวกขาจร ไม่ได้ทำธุรกิจอะไร มักจะมาเชียงของโดยวางแผนล่วงหน้าและบางคนเลือกเดินจากท่ารถในตลาดเชียงของเข้ามายังเมืองเก่า เพื่อหาที่พัก ขณะที่บางคนจ่ายค่าโดยสารประมาณ 30-40 บาท ค้างคืนในเกสต์เฮาส์ราคาที่ตนพอใจ เริ่มต้นราว 250 บาทต่อคืน พอรุ่งเช้าก็เดินเท้าไปที่ท่าเรือเสียค่าเรือข้ามฟากได้แบบประหยัดเงิน ซึ่งในหลักความเป็นจริง หลังเปิดสะพานเขาน่าจะมีตัวเลือกว่าจะข้ามไปลาวฝั่งใด จะไปทางสะพานหรือท่าเรือ แต่ปัจจุบันทำไม่ได้ เพราะการข้ามลาวโดยใช้ขนส่งทางบกที่สะพานใหม่เป็นภาวะจำยอม หากใครถือพาสปอร์ตข้ามแดนแล้วอยากแวะชมเมืองเชียงของเก่าก็ต้องจ่ายเพิ่มกว่าเดิมประมาณ 3 เท่า เช่นจากเดิมจ่าย 40 บาทก็กลายเป็นจ่ายค่ารถไปสะพานราว 120-150 มันไม่คุ้ม ทีนี้นักท่องเที่ยวเมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ก็เกิดการกระจายข่าวสาร ส่งผลให้นักท่องเที่ยวแบคแพ็คลดลงทุกที" นส.สาริสา กล่าว

นส.สาริสา กล่าวต่อว่า กรณีเชียงของนั้นเห็นผลกระทบตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ฤดูกาลที่มีนักท่องเที่ยวมาก (High Season) ยังพบว่ามีจำนวนน้อยลงกว่าปีที่ผ่านมากว่า 50 % ร้านค้าที่เปิดบริการกลางคืนก็เงียบเหงา กลุ่มใดที่เช่าพื้นที่ทำธุรกิจก็ต้องขาดทุน ดั้งนั้นช่วงเดือนมีนาคมเป็นต้นไป ซึ่งมีนักท่องเที่ยวน้อย หรือ Low Season แน่นอนว่าสถานการณ์เมืองเชียงของจะเงียบกว่าเดิมแน่ๆ ดังนั้นสิ่งที่คนเชียงของทำได้ คือการเอาตัวรอดจากภาวะสุญญากาศของรัฐบาล ซึ่งไม่รู้ว่ามีเงื่อนงำใดระหว่างลาวกับไทย แต่คนลาวก็มักจะเกรงกลัวอำนาจรัฐและปิดข่าวเงียบ ส่วนคนไทยก็ต้องวางแผนใหม่ซึ่งขณะนี้สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและผู้ประกอบการบางส่วนเริ่มร่วมมือกับเทศบาล เพื่อพัฒนาศักยภาพท่องเที่ยวให้สามารถดึงนักท่องเที่ยวกลับมา หลังจากสะพานใหม่เปิดใช้ โดยอาจจะเปิดถนนคนเดินริมโขง ขึ้นมาเพื่อจูงใจให้คนมาเยี่ยมเมืองเชียงของต่อไป


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 มีนาคม 2014, 10:47:24
ทช.เร่งสร้างถนนเชื่อมสนามบินเชียงราย ชูฮับภาคเหนือหนุนการค้าชายแดน


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   5 มีนาคม 2557 16:50 น.        

   
กรมทางหลวงชนบทเพิ่มศักยภาพระบบลอจิสติกส์เชียงรายรองรับการใช้งานท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายและท่าเรือเชียงแสน เผยงานก่อสร้างถนนและทางลอดเชื่อมสนามบินเชียงรายวงเงิน 740 ล้านคืบหน้า 10% แล้วเสร็จปลายปี 58 ช่วยลดแออัดในเขตเมือง
       
       นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ทช.ได้เริ่มดำเนินการโครงการก่อสร้างถนนสายเชื่อม จ3-วงแหวนตะวันตก (ตอนที่ 1) หรือถนนเวียงบูรพา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย งบประมาณ 733.931 ล้านบาท โดยขณะนี้การก่อสร้างมีความก้าวหน้ากว่า 10% เร็วกว่าแผนที่กำหนด คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2558 โดยเป็นโครงการตามแผนพัฒนาระบบลอจิสติกส์ รองรับการจราจรและการขนส่งที่มุ่งสู่สนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวง และท่าเรือเชียงแสน และเชื่อมโยงกับแนวถนนวงแหวนด้านทิศตะวันตก ถนนเลี่ยงเมืองฝั่งตะวันออกเข้าด้วยกันช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรที่หนาแน่นในเขตเมือง เพิ่มศักยภาพจังหวัดเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางของภาคเหนือตอนบนในการเป็นประตูสู่การค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน
       
       โดยการก่อสร้างจะแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ งานก่อสร้างถนนและงานก่อสร้างทางลอด โดยมีจุดเริ่มต้นของถนนโครงการฯ เริ่มจากถนน จ3 หรือถนนเวียงบูรพา บริเวณหน้าองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย แนวถนนโครงการฯ ก่อสร้างปรับปรุงขยายถนนเดิมด้านหน้าท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง จากนั้นแนวถนนโครงการฯ เป็นถนนตัดใหม่ ตัดผ่านบ้านป่ากุ๊ก บ้านป่าห้า ไปทางเหนือ สิ้นสุดโครงการฯ บรรจบเชื่อมกับทางหลวงหมายเลข 1209 บริเวณ กม.ที่ 2+833 และงานก่อสร้างทางลอดตามแนวถนนโครงการ ช่วง กม.ที่ 3+052 ถึง กม.ที่ 3+565 บริเวณทางเข้าท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย
       
       อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวได้มีการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง และคำนึงถึงความปลอดภัยในการสัญจรของประชาชนเป็นหลัก และขออภัยในความไม่สะดวกขณะก่อสร้าง ผู้ที่สนใจสามารถติดตามความก้าวหน้าได้ที่ www.jor3-westringroad.com และหากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อโครงการฯ สามารถติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-6059-9130


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 10 มีนาคม 2014, 12:12:34
สะพานข้ามโขง 4 ทำย่านเศรษฐกิจชายแดนเชียงของเปลี่ยน


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   10 มีนาคม 2557 11:24 น.        


เชียงราย - 3 เดือนหลังเปิดใช้สะพานข้ามโขง 4 เชื่อมชายแดนเชียงราย-ถนนอาร์ 3 เอ ทำตัวเมือง “เชียงของ” ย่านเศรษฐกิจเดิมเหงา นักท่องเที่ยวประเทศที่ 3 - ขบวนสินค้าข้ามแดนหันไปด่านใหม่
       
       นายเฉลิมพล พงษ์ฉบับนภา พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า หลังเปิดใช้สะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมไทย-สปป.ลาว แห่งที่ 4 ระหว่างต.ศรีดอนชัย อ.เชียงของ กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว มาได้เกือบ 3 เดือน พบว่าระเบียบวิธีข้ามแดนเปลี่ยนไปหลายเรื่อง โดยกรณีการขนส่งสินค้านั้น ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้ เพราะเดิมใช้การขนส่งสินค้าทางแพขนานยนต์ แต่ปัจจุบันใช้การขนส่งทางรถบรรทุกเป็นหลัก
       
       แต่กรณีของการข้ามเข้า-ออกแดนของประชาชนทั้และนักท่องเที่ยว พบว่า ผู้ใช้หนังสือผ่านแดนชั่วคราวหรือบอเดอร์พาส ได้ที่ด่านแห่งเดิมตรงท่าเรือบั๊กในเขตต.เวียง แต่ผู้ที่ใช้หนังสือเดินทางหรือขอเป็นวีซ่า ต้องไปใช้บริการผ่านแดนที่ด่านพรมแดนสะพานข้ามแม่น้ำโขงเท่านั้น
       
       จึงทำให้บรรยากาศการเข้า-ออก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่ใช้วีซ่า และนั่งเรือโดยสารข้ามไปมา ต้องหันไปยื่นวีซ่าที่ด่านพรมแดนใหม่แทน ทำให้เมื่อเร็วๆนี้เกิดกระแสจากนักธุรกิจท้องถิ่นที่เรียกร้องให้มีการอนุญาตให้ด่านแห่งเดิมสามารถใช้วีซ่าได้ เพื่อคืนความคึกคักในเขตต.เวียง
       
       ซึ่งตนจะได้นำไปหารือกับภาคเอกชนในพื้นที่ และคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนต่อไป เพราะเรื่องนี้ถือเป็นระบบย่อยหรือซอฟท์แวร์ หลังจากที่ได้มีการเชื่อมโยงจุดใหญ่ คือ สะพานระหว่างประเทศ จนถึงถนนอาร์สามเอ-จีนตอนใต้แล้ว คงต้องแก้ไขปรับปรุงกันไปเรื่อยๆจนกว่าจะลงตัว
       
       นอกจากนี้จะนำเข้าหารือในการประชุมคณะกรรมการความร่วมมือสำนักงานพาณิชย์ไทย-สปป.ลาว ครั้งที่ 6 วันที่ 25-26 มีนาคมนี้ที่แขวงจำปาศักดิ์ สปป.ลาว
       
       สำหรับกรณีการขนส่งสินค้าผ่านสะพานนั้นกำลังอยู่ระหว่างเก็บข้อมูล เนื่องจากเพิ่งผ่านมาได้เพียง 2-3 เดือน แต่ก็เห็นได้ชัดว่า มูลค่าการค้าและนักท่องเที่ยวมากขึ้น แต่ก็ยังมีปัญหาที่ต้องตามแก้ไขปรับปรุงกันตามที่กล่าวข้างต้นอยู่อีกหลายเรื่อง เช่น ค่าใช้จ่ายสำหรับรถยนต์ส่วนตัวที่จะข้ามไปฝั่ง สปป.ลาว มีการคิดค่าธรรมเนียมสูงมาก และขับไปถึงด่านจีน-สปป.ลาว ระหว่างแขวงหลวงน้ำทากับเมืองโมฮาน ก็จะถูกเก็บค่าค้ำประกันคันละประมาณ 250,000 บาท ขณะที่รถจีนที่ขับผ่านสะพานมาไทย กลับมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่ามาก เป็นต้น
       
       สำหรับปี 2556 ที่ผ่านมา การค้าชายแดนผ่านด่านศุลกากรเชียงของ จ.เชียงราย มีมูลค่ารวม 14,063.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.64 แยกเป็นการส่งออก 10,877.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.70 นำเข้า 3,186.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 78.25 และเฉพาะที่มีการขนส่งสินค้าไปกับถนนอาร์สามเอเชื่อมไปจีนตอนใต้พบว่า มีมูลค่ารวมถึง 3,900.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 49.54 โดยสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าพืชผัก เครื่องจักร รถยนต์ จากประเทศจีน


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 25 มีนาคม 2014, 06:22:19
ทุนจีนทุ่มสุดตัว วางศิลาฤกษ์สนามบินสามเหลี่ยมทองคำแล้ว


เชียงราย - กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่จีน เจ้าของสัมปทานพัฒนาพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำฝั่ง สปป.ลาวทุ่มสุดตัวเดินหน้าสร้างสนามบินนานาชาติ ล่าสุดเริ่มวางศิลาฤกษ์แล้ว วางเป้าดึงนักท่องเที่ยวเข้า “Kings Romans of Laos”
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงรายแจ้งว่า หลังกลุ่มบริษัท ดอกงิ้วคำ จำกัด ในเครือจินหมู่เหมิน สาธารณรัฐประชาชนจีน เข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการ Kings Romans of Laos Asian & amp ; Tourism Development Zone เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (ส.ป.ป.) ติดกับสามเหลี่ยมทองคำ ตรงข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เสนอโครงการก่อสร้างสนามบินขนาดใหญ่ เพื่อทำให้เขตเศรษฐกิจสมบูรณ์ยิ่งขึ้นนั้น
       
       ล่าสุดโครงการก่อสร้างสนามบินได้เริ่มเดินหน้าแล้ว โดยนายจอมสี รัตนะปัน เจ้าเมืองต้นผึ้ง ร่วมกับนายจ้าว เหว่ย ประธานกลุ่มดอกงิ้วคำ ทำพิธีวางศิลาฤกษ์เพื่อก่อสร้างสนามบินนานาชาติ ภายในพื้นที่โครงการอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
       
       โครงการ Kings Romans of Laos Asian & amp ; Tourism Development Zone มีพื้นที่ดำเนินการประมาณ 7,500 ไร่ ด้วยสัญญาเช่ากับรัฐบาล สปป.ลาวนาน 99 ปี มีโครงการที่จะสร้างสนามบินรองรับนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนรวมทั้งจากทั่วโลกมานาน
       
       แต่กว่าจะสามารถวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างสนามบินนานาชาติแห่งใหม่นี้ได้มีการเจรจากับชาวบ้านกว้านและบ้านสีบุญเรือง ซึ่งอยู่ในพื้นที่เป้าหมายก่อสร้างสนามบิน กระทั่งนายอำพอน จนทะสมบูน รองเจ้าแขวงบ่อแก้ว ด้านเศรษฐกิจ ได้เข้าหารือกับชาวบ้านและโครงการ จนได้ข้อสรุปว่าจะจ่ายเงินให้กับชาวบ้าน 46 ครอบครัว ไร่ละประมาณ 116,400 บาท จากนั้นให้ย้ายบ้านเรือนไปอาศัยและทำกินอยู่ ณ สถานที่แห่งใหม่แทน
       
       อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่เปิดเผยว่าสนามบินแห่งนี้จะมีขนาดใหญ่เพียงใด และสามารถเปิดดำเนินการได้เมื่อไหร่ แต่ก่อนหน้านี้ได้วางแผนที่จะก่อสร้างสนามบินขนาดใหญ่ รันเวย์ยาว 3 กิโลเมตรเพื่อรองรับเครื่องบินโบอิ้ง 737 แอร์บัส A 320 เพื่อดึงนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศบินตรงเข้าภายในโครงการ
       
       ทั้งนี้ ปัจจุบันโครงการ Kings Romans มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้าไปใช้บริการอย่างต่อเนื่อง มีทั้งการเดินทางด้วยรถจากถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-มณฑลยูนนาน จีนตอนใต้ และทางเครื่องบินเช่าเหมาลำจากเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน มายังท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ก่อนเดินทางต่อไปยังจุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำ บ้านสบรวก หมู่ 1 ต.เวียง อ.เชียงแสน ซึ่งเปิดเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2556 ตั้งแต่เวลา 06.00-20.00 น.
       
       สำหรับกลุ่มดอกงิ้วคำจากจีนที่เข้ามาดำเนินโครงการ Kings Romans of Laos Asian & amp ; Tourism Development Zone มีแผนพัฒนาพื้นที่ซึ่งได้รับสัมปทานจาก ส.ป.ป.ลาวให้เป็นคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ ประกอบด้วย สิ่งปลูกสร้างเพื่อการพักผ่อนหลากหลาย เช่น โรงแรมขนาด 700 ห้อง กาสิโน เป็นต้น
       
       ปัจจุบันมีการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคภายใน เช่น ถนน ไฟฟ้า เกือบเสร็จหมดแล้ว รวมทั้งมีเขื่อนคอนกรีตริมแม่น้ำโขงเพื่อกันตลิ่งพังตลอดแนวกว่า 1 กิโลเมตร ท่าเรือในแม่น้ำโขง โรงแรมขนาด 700 ห้อง กาสิโน คาดว่ายังจะมีอีกหลายโครงการที่ยังไม่เริ่มดำเนินการเพราะเฟสแรกใช้เวลาประมาณ 10 ปี เช่น ก่อสร้างโรงแรมขนาด 1,200 ห้อง 5-6 แห่ง สนามกอล์ฟ 18 หลุม สนาม 2 แห่ง อาคารพาณิชย์สำหรับเช่าขายสินค้า ตลาดการค้าเสรีปลอดภาษี เป็นต้น
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9570000032974


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 เมษายน 2014, 20:24:45
"ททท." ส่งแผนฟื้นมู้ดเที่ยวตลาดยักษ์ "จีน-ญี่ปุ่น" ช่วงโกลเด้นวีคเดือนพฤษภาคมนี้ สายการบินแห่เปิดเส้นทางขนจีนเที่ยวไทยไปแหล่งท่องเที่ยวเมืองรองมากขึ้น แนะผู้ประกอบการทัวร์จีนเร่งปรับตัวรับตลาดเอฟไอทีเฟื่อง หลังเทรนด์การเติบโตเบียดสัดส่วนตลาดทัวร์เพิ่มขึ้นทุกปี

นางศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า หลังจากรักษาการรัฐบาลประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปเมื่อปลายมีนาคมที่ผ่านมา สัญญาณตลาดนักท่องเที่ยวจีนเริ่มเป็นบวกมากขึ้น ผู้ประกอบการทัวร์เริ่มกลับมาคึกคักอีกรอบ โดยปีนี้นักท่องเที่ยวจีนมีแนวโน้มเดินทางต่างประเทศเพิ่มขึ้น 18% จากปีที่แล้ว หรือมีจำนวนเพิ่มเป็น 98.2 ล้านคน

โดยขณะนี้ตลาดจีนมีปัจจัยบวกหนุนหลายอย่าง อาทิ สามารถยื่นขอวีซ่าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของไทย (Visa on Arrival) ได้ตั้งแต่ 18 มกราคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางอิสระ (เอฟไอที) ขยายตัวดีอย่างมาก เนื่องจากนักท่องเที่ยวสามารถช่วยอำนวยความสะดวกแก่คนจีนที่อยู่ในเมืองรองและเมืองเล็ก ไม่ต้องเดินทางเป็นเวลานาน

เพื่อขอวีซ่าที่สถานทูตและสถานกงสุลไทยที่เมืองหลักของจีน ประกอบกับมีเที่ยวบินจากจีนมาไทยเพิ่มมากขึ้น โดยในช่วงไฮซีซั่นมีจำนวนที่นั่งมาไทยมากถึง 5.5 ล้านที่นั่ง และในช่วงโลว์ซีซั่นมี 3 ล้านที่นั่ง ซึ่งแนวโน้มไม่ได้บินมาแค่กรุงเทพฯ และภูเก็ตเท่านั้น แต่ได้เพิ่มเที่ยวบินเข้าเชียงใหม่มากขึ้นด้วย อาทิ สปริงแอร์ ที่เพิ่งเปิดให้บริการเส้นทางบินใหม่ เซี่ยงไฮ้-เชียงใหม่ ความถี่ 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ด้วยเครื่องบินแอร์บัส เอ 320 เมื่อ 30 มีนาคมที่ผ่านมา และพบว่ายอดจองในช่วงเมษายนถึงมิถุนายนดีมากถึงขั้นเต็มแล้ว นอกจากนี้ยังมีสายการบินจุนเหยา เส้นทางเซี่ยงไฮ้-กระบี่ เริ่มบินพฤษภาคมนี้ ความถี่ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และมีแผนเปิดเส้นทางเซี่ยงไฮ้-เชียงรายด้วย หลังก่อนหน้านี้ได้บินเข้าเชียงใหม่แล้ว

"ตลาดจีนตอนนี้เริ่มไปเที่ยวเมืองรองในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินทางซ้ำ ซึ่งเคยมาเที่ยวกรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่แล้ว เป็นไปตามกลยุทธ์การกระจายนักท่องเที่ยว และหาตลาดทดแทนของ ททท.ที่พยายามโปรโมตชาวจีนให้ไปเมืองอื่น ๆ นอกจากกรุงเทพฯ อย่างตอนนี้ที่เกาะสมุย เชียงราย และกระบี่ ยอดจองซัพพลายห้องพักเต็มแล้ว เชียงรายก็ถือเป็นสถานที่ที่น่าสนใจ เราได้โปรโมตนักท่องเที่ยวจีนที่นิยมเดินทางขับรถมาเที่ยวมากขึ้น ซึ่งปีนี้คาดโตมากกว่า 20%"

ทั้งนี้ เป้าหมายของ ททท.ในการฟื้นตลาดนักท่องเที่ยวจีนคือในช่วงหยุดยาววันแรงงาน 9 วัน ในเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะมีชาวจีนมาเที่ยวไทยมาก ทำให้ไทยมีโอกาสได้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนกลับมาบ้าง โดยเมื่อพฤษภาคมปีที่แล้ว ไทยถือเป็นจุดหมายที่บูมอย่างมาก จากกระแสภาพยนตร์จีนชื่อดัง ลอสต์ อิน ไทยแลนด์ ทำให้ยอดชาวจีนเที่ยวไทยในเดือนนั้นสูงถึง 3.73 แสนคน เพิ่มขึ้น 93% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน

สำหรับช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ แม้จะไม่ใช่ช่วงที่ชาวจีนมาเที่ยวมาก เพราะต้องเก็บค่าใช้จ่ายไว้เที่ยวช่วงหยุดยาววันแรงงาน แต่ไทยก็ได้นักท่องเที่ยวจีนจากทางตอนใต้มาเที่ยวจำนวนมาก อย่างการบินไทยเองก็มียอดจองในช่วงนี้ 80% แล้ว เพราะชาวจีนตอนใต้ติดใจเทศกาลสงกรานต์ในเชียงใหม่ ส่วนแอร์เอเชียและไชน่าอีสเทิร์นแอร์ไลน์สก็มียอดจองตั๋วบินดีกว่า 70% แล้วเช่นกัน

"ตอนนี้กระแสนักท่องเที่ยวจีนตลาดเอฟไอทีดีมาก ทำให้ยอดนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางกับบริษัททัวร์ลดลงไป ซึ่งสัดส่วนปัจจุบันมีกลุ่มเดินทางกับทัวร์อยู่ที่ 54% และเป็นเอฟไอที 46% จากกระแสนักท่องเที่ยวจีนนิยมเปลี่ยนเที่ยวบินที่ฮ่องกงหรือมาเก๊าเพื่อจ่ายราคาตั๋วบินถูกลง นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น ทำให้ทิศทางการทำตลาด ททท.จึงหันไปจับช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยได้ร่วมกับเว็บไซต์ Baidu รวมถึง Weibo และ Youku" นางศรีสุดากล่าว   

จากรายงานการสำรวจของการท่องเที่ยว

ประเทศจีนระบุว่า ไทยได้รับความนิยมเป็นอันดับ 4 รองจากฮ่องกง มาเก๊า และเกาหลี และเมื่อดูความนิยมแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นเมืองแล้ว อันดับ 1 ยังเป็นฮ่องกง ตามด้วยภูเก็ต เชียงใหม่ กรุงเทพฯ บาหลี ซาบา และพัทยา ส่วนความนิยมแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นเกาะ อันดับ 1 ในใจชาวจีนคือภูเก็ต ตามด้วยบาหลี ซาบา โบราเคย์ เจจู มัลดีฟส์ พีพี และสมุย

สำหรับตลาดญี่ปุ่นช่วงโกลเด้นวีกปลายพฤษภาคมของทุกปี ก็เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวมีแผนเดินทางท่องเที่ยวอย่างมาก โดยได้มีบริษัทนำเที่ยวญี่ปุ่นรายใหญ่ ๆ อย่าง เอช.ไอ.เอส.ทัวร์ ก็มีแผนฟื้นฟูตลาดญี่ปุ่น ภายใต้แคมเปญ "เอนี่เวย์ ไอ เลิฟ แบงค็อก"

ทั้งนี้ การประกาศขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 5% เป็น 8% ในญี่ปุ่น ประเมินว่าในช่วง 3 เดือนแรก คนญี่ปุ่นอาจจะยังตื่นอยู่ แต่พฤติกรรมคนญี่ปุ่นยังชอบเที่ยว จึงมองว่าตลาดคนญี่ปุ่นเที่ยวต่างประเทศจะยังดีอยู่ แต่อาจโดนกระแสการท่องเที่ยวในประเทศแย่งส่วนแบ่งตลาดไปบ้าง เนื่องจากสายการบินต้นทุนต่ำ (โลว์คอสต์) ในญี่ปุ่นเติบโตดีมาก ราคาตั๋วบินโลว์คอสต์ถูกกว่ารถไฟ ต่างจากแต่ก่อนที่ค่าใช้จ่ายเที่ยวในญี่ปุ่นนั้นแพงกว่ามาเที่ยวไทยเสียอีก

cr.ประชาชาติ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 มิถุนายน 2014, 12:43:31
ผู้บริหารท่าขี้เหล็กข้ามฝั่งร่วมเปิด “แมคโครแม่สาย” วันแรกคนพม่าซื้อของตรึม
       
       วันนี้ (21 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทสยามแมคโคร จำกัด (มหาชน) นำคณะผู้บริหาร ทำพิธีเปิดห้างสรรพสินค้าแมคโคร สาขาแม่สาย เลขที่ 67 ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เมื่อวานนี้(20 มิ.ย.)
       
       ทั้งนี้ ในการเปิดแมคโคร สาขาแม่สายครั้งนี้ นอกจากจะมีนายชาติชาย สงวนพงษ์ ปลัด จ.เชียงราย และผู้บริหารจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา เช่น U Tin Win ผู้ว่าการ จ.ท่าขี้เหล็ก , Zaw Naing Oo ผู้บังคับการยุทธศาสตร์ จ.ท่าขี้เหล็ก และเจ้าหน้าที่ระดับสูงในเมียนมาอีกหลายคน ฯลฯ เดินทางมาร่วมพิธีด้วย
       
       นางสุชาดา เปิดเผยว่า แมคโคร เห็นถึงศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของ อ.แม่สาย ซึ่งตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ชายแดนติดกับประเทศเมียนมา อีกทั้งยังเป็นประตู และช่องทางสำคัญอย่างยิ่งในการระบายสินค้าสู่เมียนมาด้วยมูลค่าการค้าชายแดนนับหมื่นล้านบาทต่อปี รวมทั้งมีสะพานเชื่อมกันถึง 2 แห่ง ทำให้ผู้คนสามารถเดินทางทำการค้าขายได้อย่างเสรี ส่งผลธุรกิจ - การท่องเที่ยวขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น
       
       ดังนั้น เพื่อรองรับการเติบโตโดยเฉพาะการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทางแมคโคร จึงได้เปิดสาขาแม่สายขึ้น จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคครบวงจร ทั้งอาหารสด อาหารแห้ง อาหารสำเร็จรูปและสินค้าอื่นๆ ประมาณ 13,000 รายการ บนพื้นที่ประมาณ 8,000 ตารางเมตร
       
       สำหรับห้างสรรพสินค้าแมคโครสาขาแม่สาย ตั้งอยู่ตรงกันข้ามฝั่งถนนพหลโยธินกับห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส สาขาแม่สาย พอดี ห่างจากเทศบาล ต.แม่สาย ประมาณ 5 กิโลเมตร แต่ก็ถือว่าไม่ห่างจากพรมแดนไทย-เมียนมา มากนัก ดังนั้นที่ผ่านมาห้างสรรพสินค้าเหล่านี้จึงเป็นแหล่งที่ผู้บริโภคชาวเมียนมา ให้ความนิยมเข้ามาจับจ่ายซื้อสินค้า
       
       โดpจะเห็นได้ว่า วันแรกในการเปิดให้บริการของแมคโคร สาขาแม่สาย มีลูกค้าจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านพากันเข้าหาซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ขนกันไปเป็นคันรถเลยทีเดียว โดยสินค้าที่นิยมเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9570000069871


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 มิถุนายน 2014, 12:46:50
ชียงราย - กลุ่มทุนจีนเริ่มเดินหน้าสร้างสนามบินนานาชาติสามเหลี่ยมทองคำ ล่าสุดจ่ายเงินค่าที่ให้ชาวลาวแล้ว 200 ไร่ หวังใช้ดึงคนเข้าใช้บริการเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์-กาสิโนใหญ่
       
       วันนี้ (16 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังกลุ่มบริษัทดอกงิ้วคำ จำกัด ผู้ดำเนินโครงการคิงส์โรมันส์และเขตพัฒนาการท่องเที่ยว สปป.ลาว สามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ตรงกันข้าม ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ได้วางศิลาฤกษ์เพื่อก่อสร้างสนามบินนานาชาติภายในพื้นที่โครงการไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้นั้น ล่าสุดทางโครงการได้เริ่มจ่ายเงินค่าที่ดินให้ชาวบ้านในจุดที่จะก่อสร้างแล้ว
       
       โดยท่านบุญมี สุวันนะรังสี หัวหน้าเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมคำ บ้านต้นผึ้ง ร่วมกับนายจ้าว เหว่ย ประธานกรรมการบริษัทดอกงิ้วคำ จ่ายเงินให้ชาวลาวบ้านกว๊าน เมืองต้นผึ้ง จุดที่จะใช้สร้างสนามบินบนเนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ ในราคาไร่ละ 116,400 บาท มีชาวบ้านที่ต้องย้ายออก 24 ราย ซึ่งการดำเนินการเสร็จสิ้นด้วยดี คาดว่าจะมีการก่อสร้างในเร็วๆ นี้
       
       ซึ่งสนามบินแห่งนี้หากแล้วเสร็จจะเป็นสนามบินแห่งที่ 2 ของแขวงบ่อแก้ว ที่มีสนามบินเมืองห้วยทรายอยู่แล้ว มีการทำการบินกับนครเวียงจันทน์ เมืองหลวงของ สปป.ลาว เป็นประจำ แต่ที่สามเหลี่ยมทองคำแห่งนี้มีการระบุชัดเจนว่า เป็นสนามบินนานาชาติ ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าจะมีการบินเชื่อมไปถึงจีนเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาใช้บริการในโครงการ หลังจากก่อนหน้านี้คนจีนจำนวนมากได้เดินทางด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำผ่านท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เป็นหลัก
       
       สำหรับโครงการคิงส์โรงมันส์ฯ เช่าพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำจากรัฐบาล สปป.ลาว เนื้อที่ประมาณ 7,500 ไร่ นาน 99 ปี ภายในออกแบบให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายและครบวงจร ทั้งสถานที่พักผ่อน เดินป่า สถานที่ทางธรรมชาติ การพาณิชย์ ร้านอาหาร การค้าขาย การเดินเรือท่องเที่ยวแม่น้ำโขง ท่าเรือ การเกษตร สถานเอนเตอร์เทนเมนต์ หรือกาสิโน รีสอร์ต โรงแรม แหล่งพักผ่อน รวมทั้งมีแผนจะสร้างโรงพยาบาล ฯลฯ ด้วย

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9570000067321


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 มิถุนายน 2014, 12:49:58
ลุ้นคสช.ลากรถไฟเข้าเชียงของ/นครพนม

วันพุธที่ 11 มิถุนายน 2014 เวลา 11:57 น.

คมนาคม/ร.ฟ.ท.ชงคสช.เดินหน้า 2 โครงการแสนล้าน รถไฟทางคู่เหนือ-อีสานเชื่อมเออีซี เส้นทางเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และบ้านไผ่-นครพนม หลังพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านล่ม เผยเบื้องต้นคสช.ไฟเขียวแล้ว ลุ้นช่วงสุญญากาศ ใช้อำนาจยกเว้นทำอีไอเอ แย้มต้องเวนคืนกว่า 2 หมื่นแปลง ด้านเอกชนเชียงราย-นครพนมเชียร์สุดตัวชี้เป็นผลดีต่อการค้าชายแดนไทย-ลาว-เวียดนาม-จีน

แหล่งข่าวจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า กระทรวงคมนาคมได้เสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้เร่งรัดโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ 2 สายทางเชื่อมประเทศเพื่อนบ้านหรือรถไฟทางคู่เชื่อมอาเซียน(ดูแผนที่ประกอบ) ซึ่งในเบื้องต้นทางคสช. เห็นด้วยกับ 2 โครงการดังกล่าว เนื่องจากมีประโยชน์ต่อการค้าชายแดนและอยู่ในช่วงใกล้เปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีปลายปี 2558

ต่อเรื่องนี้แหล่งข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) กล่าวให้รายละเอียดถึงโครงการรถไฟทางคู่เชื่อมอาเซียนจำนวน 2 โครงการเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดนระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศคู่ค้าอย่างจีน รถไฟทางคู่ดังกล่าวประกอบด้วย 1.โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 324 กิโลเมตร จำนวน18 สถานี มูลค่า 7.7 หมื่นล้านบาท ออกแบบแล้วเสร็จอยู่ระหว่างพิจารณาอีไอเอ จากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และ2.โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สาย บ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด -มุกดาหาร-นครพนม ระยะทาง 347 กิโลเมตร มูลค่า 4.2 หมื่นล้านบาท อยู่ระหว่างออกแบบคาดว่าแล้วเสร็จเดือนกันยายน 2557 อย่างไรก็ดีหากผ่านขั้นตอนอีไอเอ ก็สามารถตั้งงบประมาณหรือกู้เงินเพื่อก่อสร้างได้ทันที โดยใช้เวลาก่อสร้าง 4 ปี โดยทั้ง 2 เส้นทางดังกล่าวนี้อยู่ในแผนพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทที่ล่มไป

++สบช่องขอคสช.เว้นอีไอเอ

อย่างไรก็ดีอุปสรรคสำคัญของการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานรัฐ คือ จะต้องผ่านอีไอเอ ถึงจะก่อสร้างได้ ซึ่งที่ผ่านมาต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปีในขั้นตอนนี้ ขณะที่โครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ในสมัยรัฐบาลชุดนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ติดปัญหาในเรื่องแนวสายทางผ่านพื้นที่อุทยานลุ่มน้ำชั้น1 เอ รอยต่อจังหวัดพะเยากับเชียงราย แต่ร.ฟ.ท.ชี้แจงว่า ไม่ได้ตัดผ่านพื้นที่โดยตรง แต่เป็นการปรับรูปแบบให้เป็นอุโมงค์มุดใต้พื้นที่อุทยาน

ขณะเดียวกันอุทยานก็มีปัญหาประชาชนบุกรุกแผ่วถางป่า ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหา ที่ผ่านมาได้นำกลับไปแก้ไขใหม่ อาจจะปรับแนวและทำอุโมงค์หลอดแก้วที่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อนำเข้าอีไอเออีกครั้ง คาดหมายว่าน่าจะผ่านแต่ปรากฏว่า เกิดยุบสภาผู้แทนราษฎรเสียก่อน ดังนั้นจึงต้องเริ่มกระบวนการใหม่ แต่ในทางกลับกันในยุคที่ คสช. สามารถใช้อำนาจยกเว้นขั้นตอนพิจารณาอีไอเอได้ หรือขอให้คสช.อนุมัติคำสั่ง ให้สผ.จัดทำแพ็กเกจให้ร.ฟ.ท. ทำกำแพงกันเสียง ระบบระบายน้ำ เป็นต้น เพื่อลดผลกระทบประชาชนและสิ่งแวดล้อม

"ที่ผ่านมาทั้ง2โครงการเคยเปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชนแล้วและคนในพื้นที่ส่วนใหญ่เข้าใจ โดยภาพรวมการเวนคืนที่ดินทั้ง 2โครงการรวมกว่า 20,000 แปลง เนื่องจากแต่ละโครงการมีสายทางที่ยาวกว่า 300 กิโลเมตร ทั้งนี้จากการลงสำรวจพื้นที่และการประกาศพระราชกฤษฎีกาเวนคืนก่อนหน้านี้เฉลี่ยโครงการละกว่า 10,000 แปลง ส่วนใหญ่จะเน้นผ่านพื้นที่ว่างที่เป็นเรือกสวนไร่นา โดยค่าเวนคืนที่ดินจะคำนวณจากราคาประเมินสถาบันการเงินและหน่วยงานราชการ ซึ่งถือว่าราคาไม่แพงมาก เช่น ที่ตำบลเวียงเชียงรุ้ง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ราคาที่ดินอยู่ที่ไร่ละ 10,000 บาทเท่านั้นในปัจจุบัน"

++เอกชนยกมือเชียร์สุดตัว

ต่อเรื่องนี้นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ เปิดเผยว่า จังหวัดกลุ่มล้านนาตะวันออก โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายและพะเยา มีข้อด้อยอย่างหนึ่ง ก็คือ ไม่มีเส้นทางรถไฟในพื้นที่ โครงการรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย จึงเป็นโครงการที่ทุกจังหวัดในล้านนาตะวันออก เรียกร้องผลักดันกันมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่าโครงการนี้จะเกิดประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจในดินแดนล้านนาตะวันออกเป็นอย่างมาก ทั้งในแง่ของการขนส่งคนและสินค้า ซึ่งหากดูในแง่ของการขนส่งคนที่เป็นการขนส่งมวลชน รถไฟจะเป็นทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่งของประชาชน ที่สามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัยและเสียค่าใช้จ่ายไม่สูง ในแง่ของการขนส่งสินค้านั้น การขนส่งสินค้าระบบรางได้มีการคำนวณกันแล้วว่ามีต้นทุนที่ต่ำและเหมาะสมกับสินค้าเกษตร

"เชียงรายที่เป็นจังหวัดปลายทางของเส้นทางนี้ การเกิดขึ้นของรถไฟเด่นชัย-เชียงราย จะทำให้ความเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนเชียงราย มีความสมบูรณ์ ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ คือ การขนส่งยางพาราจากพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้ ด้วยรถไฟขึ้นมาที่เชียงราย แล้วลงเรือต่อไปที่เมืองจีน การขนส่งยางพาราแผ่นจากภาคใต้มายังจังหวัดเชียงรายในขณะนี้ ยังต้องใช้การขนส่งทางบกด้วยรถยนต์เป็นหลัก ระบบรางจะทำให้ต้นทุนค่าขนส่งต่ำลง ยางพาราของไทยจะมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น" นายพัฒนา กล่าว

เช่นเดียวกับนายชาญยุทธ อุปพงษ์ ประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า หอการค้าจังหวัดนครพนมและผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมได้เสนอต่อคสช.ให้ผลักดันโครงการดังกล่าวไปแล้วเช่นกัน เพราะที่ผ่านมา มีเป้าหมายว่า จะเปิดใช้เส้นทางในปี 2562 แต่ยุบสภาเสียก่อน อย่างไรก็ดีถือว่าจะมีผลดีมาก ต่อการค้าชายแดน เพราะสปป.ลาวก็มีแผนลงทุนรถไฟทางคู่มาจ่อที่สะหวันนะเขตเช่นกัน

"ทุกวันนี้นครพนมถือเป็นเกตเวย์ค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะสปป.ลาว เวียดนาม จีน ที่ส่งออกสินค้าทางรถไฟเสริมกับสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 ได้ ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าส่งออก5หมื่นล้านบาท และปี 2557 คาดว่าจะทะลุแสนล้านบาท และยิ่งมีรถไฟทางคู่มาถึงก็ยิ่งเพิ่มมูลค่าได้สูงมากขึ้นเท่าตัวโดยเฉพาะช่วงเปิดเออีซี"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,956 วันที่ 12 - 14 มิถุนายน พ.ศ. 2557

http://www.thanonline.com/index.php?...7#.U5venPmSzDs


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 มิถุนายน 2014, 12:52:45
   
เชียงราย - เวที “Eastern Lanna Economic Forum 2014-มหกรรมการค้าลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 3” เริ่มแล้ว กูรูแนะผู้ประกอบการ-หน่วยงานรัฐเร่งพัฒนาคุณภาพ-ลดต้นทุน-ปรับสายพันธุ์การผลิต และกระบวนการแทรกแซงราคา ย้ำอนาคตไทยผลิตอะไรได้ อีก 9 ประเทศก็ผลิตได้
       
       วันนี้ (4 มิ.ย.) นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาทางธุรกิจ "Eastern Lanna Economic Forum 2014" ส่วนหนึ่งของมหกรรมการค้าลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 3 ที่ห้องประชุมดอยตุง โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์รีสอร์ท เชียงราย
       
       โดยมีนายเฉลิมพล พงษ์ฉบับนภา พาณิชย์ จ.เชียงราย ในฐานะตัวแทนกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน นำพาณิชย์จังหวัดจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ ตัวแทนนักธุรกิจในภาคเหนือ พม่า สปป.ลาว และจีนตอนใต้ เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
       
       นายพงษ์ศักดิ์กล่าวว่า เชียงรายเป็นเมืองเกษตรกรรม รายได้ของประชาชนส่วนใหญ่มาจากภาคการเกษตร แต่ก็มีภาคการค้าชายแดน การท่องเที่ยว ที่มีศักยภาพสูง จึงต้องมีการพัฒนา เพื่อขยายประโยชน์ไปสู่ภาคประชาชนให้มากขึ้น โดยยังคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ความเป็นล้านนาเอาไว้
       
       ขณะเดียวกันทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็มีแนวคิดจะสร้างรถไฟรางคู่มาถึงเชียงรายอยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าการเมืองจะเปลี่ยนแปลง และรัฐบาลใดจะเข้ามาบริหารประเทศ ก็ให้ความสำคัญต่อการเป็นเมืองยุทธศาสตร์ของเชียงราย
       
       ดังนั้น 17 จังหวัดภาคเหนือสามารถจับคู่ทางธุรกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน และใช้ประโยชน์จากช่องทางดังกล่าวได้ ในส่วนของจังหวัดฯ เองก็จะพยายามส่งเสริมระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เพื่อรองรับ
       
       นายเฉลิมพลกล่าวว่า ในอดีตเชียงรายเป็นจังหวัดห่างไกล และมีนัยว่าสินค้าอุปโภคบริโภคแพงเพราะต้นทุนค่าขนส่งสูง ส่วนผลผลิตทางการเกษตร ก็ไม่มีโรงงานแปรรูปรองรับ เพราะโรงงาน ตลาด ส่วนใหญ่อยู่ที่ภาคกลาง การส่งออกก็ห่างไกลท่าเรือเดินทะเล ส่งผลให้ประชาชนมีรายได้ต่ำ
       
       แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นจังหวัดที่มีด่านการค้าชายแดนมากที่สุดถึง 5 ด่านถาวร และ 10 จุดผ่อนปรน เชื่อมโยงกับพม่า สปป.ลาว และจีนตอนใต้ เป็นแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ ของภูมิภาค และอยู่ในกรอบความร่วมมือหลากหลาย เช่น เออีซี จีเอ็มเอส บิมสเทค ฯลฯ
       
       “ศักยภาพที่ว่านี้เริ่มบ่งชี้แล้ว เช่น เนื้อกระบือจากจีน ไก่แช่แข็งจากไต้หวัน ฯลฯ ถูกส่งเข้าท่าเรือแหลมฉบัง ผ่านทางท่าเรือแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงแสน ต่อไปยังตลาดจีนตอนใต้ บอกถึงความสำคัญของระเบียงเศรษฐกิจที่มีผลต่อการส่งออกของไทย ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการที่จะใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์หรือไม่ ซึ่งกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 จึงได้จัดกิจกรรมครั้งนี้เพื่อสนับสนุน”
       
       ด้านนายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และที่ปรึกษาอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า เรื่องที่ตนอยากอธิบายคือ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ซึ่งพูดกันมากมายจนเป็นกระแสไปทั่ว
       
       ตนอยากจะบอกว่า แท้ที่จริงมีการทยอยลดภาษีกับกลุ่มอาเซียนมาได้กว่า 14 ปีแล้ว ปัจจุบันเหลือเพียงสินค้าเกษตร 5 ชนิด ที่ลดเหลือเพียง 5% ที่เหลืออัตราภาษีเป็น 0% หมด จึงมีข้อถามว่าจะเอาเรื่องอะไรไปเข้าเออีซี
       
       ดังนั้น เรื่องเออีซีจึงไม่ใช่เรื่องการพูดถึงอัตราภาษี แต่คือการศึกษาเงื่อนไขอื่นในอีก 9 ประเทศที่ไม่ใช่เรื่องอัตราภาษี เช่น กรณีเราผลิตลำไย หรือสับปะรดกระป๋อง ที่ผ่านการตรวจจากองค์การอาหารและยา (อย.) ของประเทศไทย แต่อาจจะไม่ผ่านของอีก 9 ประเทศก็ได้ เป็นต้น
       
       “สิ่งเหล่านี้จะต้องศึกษาทั้ง 9 ประเทศเขาให้รอบคอบ”
       
       นายพรศิลป์กล่าวอีกว่า มาตรฐานการค้าของผู้ประกอบการในอนาคตไม่ใช่เรื่องต้นทุนอีกต่อไป เพราะมาตรฐานประเทศหนึ่งอาจมีปัญหาในอีกประเทศหนึ่ง ตนจึงแนะนำให้ดูหลายเรื่อง ซึ่งค่อนข้างซับซ้อน เช่น คุณภาพ ลดต้นทุน ปรับสายพันธุ์ แทรกแซงราคา ฯลฯ
       
       นายพรศิลป์ย้ำว่า หน่วยงานในประเทศไทยจะต้องร่วมกันทุกหน่วยไม่ใช่หน่วยงานพาณิชย์แห่งเดียว เพราะการรวมตลาดในเออีซีไม่ใช่การพาณิชย์เพียงอย่างเดียว เนื่องจากเมื่อผู้ประกอบการไทยผลิตสินค้าใดได้ด้วยต้นทุนใด ในอีก 9 ประเทศก็สามารถผลิต และนำเข้ามาได้เช่นกัน การบริโภคก็มีเหมือนกันด้วย
       
       ทั้งนี้ “มหกรรมการค้าลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 3” นอกจากจะมีเวทีสัมมนาดังกล่าวนี้ ตลอดการจัดการตั้งแต่ 3-8 มิ.ย. ยังมีการเปิดคลินิกให้คำปรึกษาด้านธุรกิจการค้า การเสวนา การสัมมนา และการจับคู่ทางธุรกิจ รวมทั้งมีมหกรรมสินค้า ณ สนามบินทหารอากาศ ฝูงบิน 416 (สนามบินเก่า) อ.เมือง ภายในอาคารชั่วคราวหรือพาวิเลียน ติดเครื่องปรับอากาศด้วย


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: metro761 ที่ วันที่ 01 กรกฎาคม 2014, 11:38:20
ดีครับ รับทราบ ถั่วต้มคับ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 16 กรกฎาคม 2014, 16:02:45
คสช.สั่งปรับความเร็วรางคู่เท่าไฮสปีดเทรน ฟื้นโมเดลปชป.ผุดรถไฟ1.435ม.เชื่อมจีนผ่านเชียงของ-หนองคาย


ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

"บิ๊กจิน" รื้อระบบราง สั่งคมนาคมศึกษาสร้างรถไฟทางคู่ 2 ระบบ ใช้ราง 1 เมตรกับ 1.435 เมตร เส้นทางยุทธศาสตร์ 2 สายจากภาชีไป "เชียงของ-หนองคาย" รับรถไฟจีนที่รอเชื่อมฝั่งลาว ดันไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียน การรถไฟฯถือโอกาสชงรื้อรางสายหลัก 2,516 กม. วงเงิน 1.1 ล้านล้านบาท จับตา คสช.ฟื้นโมเดลเก่าประชาธิปัตย์ สานต่อรถไฟไทย-จีน



แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบรางอาจมีการปรับเล็กน้อย หลังพล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ด้านเศรษฐกิจ มอบนโยบายใหม่ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเป็นไปได้การก่อสร้างรถไฟทางคู่โดยใช้รางมาตรฐานขนาด 1.435 เมตร หรือสแตนดาร์ดเกจ จากปัจจุบันประเทศไทยจะเป็นรางขนาด 1 เมตรหรือมิเตอร์เกจเป็นหลัก เหมือนกับประเทศในอาเซียน เช่น มาเลเซีย กัมพูชา

สั่งศึกษารางคู่ 1.435 เมตร

"รอง คสช.อยากให้การรถไฟฯคิดดู ถ้าสร้างรถไฟทางคู่เป็นราง 1.435 เมตรจะใช้เงินเท่าไหร่ เน้นการรองรับกับเส้นทางที่จะเชื่อมจีนที่จะสร้างรถไฟรางสแตนดาร์ดเกจมาจ่อที่ด่านชายแดนประเทศลาว"

เนื่องจากมีนักวิชาการนักธุรกิจ หอการค้า และสภาอุตสาหกรรมฯ นำเสนอแนวคิดให้พิจารณาความเป็นไปได้เนื่องจากหากใช้ราง1.435 เมตร จะทำให้รถไฟวิ่งด้วยความเร็วสูงขึ้นมากกว่ารถไฟที่สร้างด้วยราง 1 เมตร จะรองรับได้ทั้งสินค้าและผู้โดยสารมากขึ้น เพราะกำลังจะเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 2558 ที่เปิดเสรีการค้าและการท่องเที่ยว โดยเฉพาะจีนที่มีประชากร 1,000 ล้านคน บวกกับประเทศอาเซียนที่มีประชากรรวมกันประมาณ 600 ล้านคน

"มีคำแนะนำจากนักธุรกิจว่าตลาดประเทศจีนใหญ่มาก ดังนั้น ไทยซึ่งได้เปรียบที่ตั้งเป็นจุดศูนย์กลางน่าจะนำตรงนี้มาต่อยอดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการค้า ปัจจุบันจีนมีแผนพัฒนารถไฟมายังประเทศลาว ไทยก็น่าจะมีโครงการต่อเชื่อมด้วยเพื่อเปิดตลาดให้กว้างมากขึ้น"

เชื่อมจีนที่เชียงของ-หนองคาย

ทั้งนี้เมื่อดูแนวที่จะเป็นเส้นยุทธศาสตร์เชื่อมต่อกับรถไฟจีนมี 2 เส้นทาง คือ สายอีสานจากภาชี-หนองคาย ไปเชื่อมที่นครเวียงจันทน์ และสายเหนือจากภาชีไปตามเส้นทางสายเหนือถึงเด่นชัย เชื่อมกับรถไฟสายใหม่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ บริเวณด่านเชียงของ โดยทางประเทศจีนจะสร้างรถไฟมาถึงชายแดนลาวที่ห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว โดยใช้รางขนาด 1.435 เมตร ถ้าหากประเทศไทยสร้างรางขนาดเดียวกันไปเชื่อมกับประเทศจีน จะทำให้รถไฟวิ่งทะลุจากจีนมายังกรุงเทพฯได้

"รูปแบบการก่อสร้างยังไม่รู้จะเป็นแบบไหน สร้างราง 1.435 เมตรแยกต่างหาก วิ่งคู่ขนานไปกับแนวรถไฟเดิม หรือใช้ทางร่วมกัน แต่รองหัวหน้า คสช.ให้โจทย์ไปดูว่าถ้าสร้างรถไฟทางคู่ 2 สายนี้โดยใช้รางมาตรฐานจะใช้เงินลงทุนเท่าไหร่ ขอให้สรุปรายละเอียดโดยเร็วก่อนจะนำเสนอให้หัวหน้า คสช.พิจารณาต่อไป"

ที่ปรึกษาชี้ต้นทุนไม่ต่างกันมาก

แหล่งข่าวจากวงการบริษัทที่ปรึกษากล่าวเพิ่มเติมว่าค่าก่อสร้างรถไฟใช้ราง 1 เมตร และ 1.435 เมตรไม่ต่างกันมากขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ โดยราง 1 เมตร เฉลี่ย 300 ล้านบาท/กม. ส่วนราง 1.435 เมตร ราคาเฉลี่ย 400-500 ล้านบาท/กม.

"การก่อสร้างราง 1.435 เมตรจะใช้รถทั้งดีเซลและรถไฟฟ้ามาวิ่งร่วมกันได้ และหาซื้อง่ายเพราะทั่วโลกใช้ราง 1.435 เมตรกว่า 60% ขนได้ทั้งสินค้าและคน"

โดยรถไฟขนส่งสินค้าจะเป็นแบบวิ่งทางไกลไม่หยุดพัก มีความเร็ว 120-160 กม./ชม. และรถไฟโดยสารวิ่งความเร็ว 200-250 กม./ชม. ใกล้เคียงกับรถไฟความเร็วสูงที่ทำความเร็วสูงสุด 300-350 กม./ชม. แต่การลงทุนทางคู่จะถูกกว่าเพราะไม่ต้องใช้รถไฟหัวจรวด ส่วนราง 1 เมตร ความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม. เพราะต้องใช้เส้นทางร่วมกับรถขนส่งสินค้าที่วิ่งด้วยความเร็ว 80-120 กม./ชม.

งบฯอู้ฟู้ 1 ล้านล.รื้อราง 1 เมตร

แหล่งข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยว่าได้ประเมินค่าก่อสร้างรถไฟทางคู่ราง 1.435 เมตร ในสายหลักระยะทาง 2,516 กม. จากหนองคาย-ปาดังเบซาร์ และเชียงของ-ท่าเรือแหลมฉบัง ใช้เงินลงทุน1,156,519 ล้านบาท เช่น สายแหลมฉบัง-เชียงของอยุ่ที่ 490,000 ล้านบาท

"ยังไม่รู้ว่านโยบายจะยกเลิกรถไฟทางคู่เดิมที่ใช้ราง 1 เมตรเลยหรือไม่ ถ้าแบบนั้นเท่ากับต้องนับหนึ่งใหม่ เพราะทางคู่เฟสแรก 5 สายอยู่ในขั้นการพิจารณาอีไอเอแล้ว จะก่อสร้างได้ก่อน คือ สายจิระ-ขอนแก่น กับสายประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ถ้าหากเลือกวิธีการสร้างทางคู่ 2 ระบบโดยมีทั้งราง 1.435 เมตรวิ่งคู่กับราง 1 เมตร จะทำให้โครงการเดินหน้าต่อไปได้ ขึ้นอยู่กับนโยบาย คสช."

ฟื้นโมเดลประชาธิปัตย์

"จริง ๆ แล้วแนวคิดรื้อราง 1 เมตรเป็นราง 1.435 เมตรมีหลายรัฐบาลที่คิดจะทำ แต่ทำไม่ได้ ต้องรื้อรางรถไฟเดิมทั้งประเทศและเสียเงินลงทุนมาก ต้องเปลี่ยนทั้งรางและขบวนรถไฟ โดยไม่ได้รางรถไฟเพิ่ม เพราะยังคงเป็นทางเดี่ยวอยู่ แค่ทำความเร็วเพิ่มขึ้นเท่านั้น ที่สำคัญประเทศไทยจะต้องมีระบบรถไฟเชื่อมกับเพื่อนบ้านที่ใช้ราง 1 เมตรเช่น มาเลเซีย"

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ยุครัฐบาลประชาธิปัตย์เมื่อปี 2553 เคยผลักดันเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะเชื่อมต่อกับรถไฟของจีนที่สร้างมารอที่ชายแดน สปป.ลาว ที่นครเวียงจันทน์และห้วยทราย มีความคืบหน้าถึงขั้นตอนจะลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับรัฐบาลจีนเพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนรูปแบบรัฐวิสาหกิจ สัดส่วน 51 : 49 มีทุนจดทะเบียน 1 แสนล้านบาท โดยบริษัทนี้จะขอสัมปทานเช่าใช้เส้นทางจากการรถไฟฯเป็นเวลา 50 ปี แต่มีการยุบรัฐบาลไปก่อน ทำให้โครงการสะดุดลง

"ไม่รู้ว่าแนวคิดของรองหัวหน้า คสช.นี้ จะเป็นโมเดลเดียวกับที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เคยคิดไว้หรือไม่ ตอนนั้นจีนสนใจสายกรุงเทพฯ-หนองคายที่เชื่อมจากคุนหมิงผ่านเวียงจันทน์มากรุงเทพฯ ทะลุไปมาเลเซียและสิงคโปร์ ระยะแรกเริ่มสร้างจากหนองคายมากรุงเทพฯก่อน ค่าก่อสร้าง 180,000 ล้านบาท จากนั้นจึงต่อขยายไปถึงภาคใต้เชื่อมกับมาเลเซีย" แหล่งข่าวกล่าว



http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1405343358


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: เชียงรายพันธุ์แท้ ที่ วันที่ 17 กรกฎาคม 2014, 22:41:18
การเติบโตของพื้นที่ชายแดนเชียงของบนเส้นทางเศรษฐกิจคู่ขนาน

ที่มา
http://obels-mfu.com/content/การเติบโตของพื้นที่ชายแดนเชียงของบนเส้นทางเศรษฐกิจคู่ขนาน


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: เชียงรายพันธุ์แท้ ที่ วันที่ 17 กรกฎาคม 2014, 22:42:15
การเติบโตของพื้นที่ชายแดนเชียงของบนเส้นทางเศรษฐกิจคู่ขนาน

ที่มา
http://obels-mfu.com/content/การเติบโตของพื้นที่ชายแดนเชียงของบนเส้นทางเศรษฐกิจคู่ขนาน


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 กรกฎาคม 2014, 16:27:01
คสช.ลุย 5 เขตเศรษฐกิจพิเศษ "เอกชน-ท้องถิ่น" หนุนขับเคลื่อนเต็มสูบ
P21 ก.ค. 2557 เวลา 16:07:51 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
การจัดตั้ง "เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ" เป็นหนึ่งในนโยบายที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หยิบยกขึ้นมาสานต่อมีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น ล่าสุดคณะกรรมการนโยบายพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) หัวหน้า คสช.เป็นประธาน เห็นชอบพื้นที่จัดตั้งเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะแรก จำนวน 5 พื้นที่จากจำนวน 12 พื้นที่ ได้แก่ 1.ด่านศุลกากรแม่สอด จังหวัดตาก ติดประเทศเมียนมาร์ 2.ด่านศุลกากรอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ติดประเทศกัมพูชา 3.ด่านศุลกากรบ้านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ติดประเทศกัมพูชา
4.ด่านศุลกากรมุกดาหาร ติด สปป.ลาว และ 5.ด่านศุลกากรสะเดา และด่านปาดังเบซาร์ จังหวัดสงขลา ติดประเทศมาเลเซีย
ทั้ง 5 จุดนี้ถือเป็นประตูการค้าหลักที่มีมูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดนสูงสุดของไทย และเป็นเมืองหน้าด่านรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) และยังเป็นพื้นที่การพัฒนาสำคัญในแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor : EWEC) เชื่อมโยงเวียดนาม-ลาว-ไทย-พม่า
ส่วนพื้นที่อีก 7 แห่ง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย 3 แห่ง คือ อำเภอแม่สาย เชียงแสนและเชียงของ พื้นที่ชายแดนอำเภอเมือง จังหวัดนครพนม พื้นที่ชายแดนอำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย พื้นที่ชายแดนบ้านพุน้ำร้อน อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี และพื้นที่ชายแดนจังหวัดนราธิวาส
สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้คือ การจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษใน 4 เรื่อง คือ 1.สิทธิประโยชน์การลงทุนตามกฎหมายส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ 2.เขตปลอดภาษีของกรมศุลกากร การให้บริการจุดเดียวแบบเบ็ดเสร็จ 3.การสนับสนุนการใช้แรงงานต่างด้าว และ 4.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากรในพื้นที่ เพื่อรองรับกิจกรรมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจ และเชื่อมโยงประเทศในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ภาคเอกชน-ท้องถิ่นหนุนเต็มสูบ
"ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจความพร้อมและอุปสรรคของการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าว พบว่าภาครัฐ-เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่วนใหญ่ต่างให้การสนับสนุนเต็มที่ หลังจากได้พยายามผลักดันมานานกว่าสิบปีแล้ว
"สมพร สิริโปราณานนท์" ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา กล่าวว่า ขณะนี้ด่านสะเดาอยู่ระหว่างลงทุนขยายพื้นที่ด่านเก่าเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20 ไร่ เพื่อลดปัญหาการจราจรแออัด ใช้งบประมาณ 71 ล้านบาท โดยจะสร้างบริเวณด่านขาออกก่อน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 2 ปี และสาเหตุที่ไม่สามารถสร้างพร้อมกันได้ทั้งขาเข้าและขาออกเพราะการจราจรจะติดขัดอย่างหนัก โดยเฉพาะช่วงเวลาขนส่งสินค้าต้องรอคิวนานถึง 4 ชั่วโมง
หากสร้างเสร็จจะช่วยอำนวยความสะดวก และทำให้มูลค่าการค้าระหว่างไทย-มาเลเซีย บริเวณด่านสะเดา ขยายตัวเติบโตขึ้นปีละไม่ต่ำกว่า 30% โดยเฉพาะการขนส่งและการท่องเที่ยว ปัจจุบันมูลค่าการค้าผ่านด่านสะเดาปีละ 4 แสนล้านบาท และมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้า-ออกประมาณ 2 ล้านคน
สำหรับปัญหาอื่น ๆ ที่ฝ่ายความมั่นคงต้องเร่งแก้ไขคือ ปัญหาการก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้
สระแก้ว/ตราด ฮับสู่กัมพูชา-เวียดนาม
สำหรับจังหวัดสระแก้วได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2554 โดยการกำหนดพื้นที่เขตเศรษฐกิจไว้หลายพื้นที่ เช่น ตำบลป่าไร่ อำเภออรัญประเทศ และบ้านหนองใหญ่ ตำบลผักขะ อำเภอวัฒนานคร และจุดขนส่งสินค้าที่บ้านหนองเอี่ยน ตำบลท่าข้าม อำเภออรัญประเทศ เพื่อลดการแออัดที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก
"สุมิตร เขียวขจี" ประธานหอการค้าจังหวัดตราด กล่าวว่า แม้ว่าตราดจะเป็นจังหวัดเล็ก แต่เหมาะที่จะเป็นฮับหรือประตูสู่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะด่านบ้านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด มีศักยภาพมากในการเชื่อมโยงระหว่างไทย-กัมพูชา-เวียดนาม และจีน
ฉะนั้นภาครัฐต้องวางแผนและลงทุนโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อม เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้า การลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การขยายถนน 4 เลนไปสู่จุดชายแดน การสร้างท่าเทียบเรือ การบริหารจัดการท่าเทียบเรือในรูปแบบของการขนส่งด้วยตู้คอนเทนเนอร์
แม่สอดตื่นตัวเร่งคลอดแผนแม่บท
ขณะที่ฝั่งแม่สอด ถือเป็นพื้นที่แรกที่มีความพยายามแจ้งเกิดเขตเศรษฐกิจพิเศษมาก่อนพื้นที่อื่น ๆ ซึ่งในระดับท้องถิ่นมีการศึกษาเรื่องนี้ไว้แล้ว แต่รัฐบาลหลายยุคก็ไม่อาจขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นได้
"ประเสริฐ จึงกิจรุ่งโรจน์" เลขาธิการหอการค้าจังหวัดตาก เปิดเผยว่า หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในจังหวัดตากต้องเร่งสรุปพื้นที่ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ เบื้องต้นคาดว่าจะเลือกพื้นที่ 3 อำเภอชายแดน ได้แก่ แม่สอด แม่ระมาด พบพระ ประมาณ 5,600 ไร่ เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรีในปี 2547
"เร็ว ๆ นี้จะเร่งเขียนแผนแม่บทให้มีความชัดเจนมากขึ้น เช่น การวางผังโรงงานอุตสาหกรรม โซนคลังสินค้า, ผังเมือง รวมทั้งเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ที่นักลงทุนจะได้รับ และแนวทางการจัดเก็บภาษีเข้าท้องถิ่น เช่น ภาษีสิ่งแวดล้อม เป็นต้น"
อย่างไรก็ตาม สิ่งแรกที่จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จในเร็ว ๆ นี้ คือ ศูนย์วันสต็อปเซอร์วิส และการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเมยไปฝั่งเมียนมาร์แห่งที่ 2 ในตำบลท่าสายลวด วงเงินก่อสร้าง 1,000 ล้านบาท หากตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษสำเร็จ มูลค่าการค้าชายแดนด่านแม่สอดจะเพิ่มสูงถึง 1-2 แสนล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านบาท
คลังเคาะเรื่องสิทธิประโยชน์ ส.ค.นี้
"รังสรรค์ ศรีวรศาสตร์" ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านสิทธิประโยชน์ ขอบเขตพื้นที่และศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุนของ กนพ. กล่าวว่า ได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังไปพิจารณารายละเอียดสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ซึ่ง คสช.ต้องการให้ได้ข้อสรุปเรื่องสิทธิประโยชน์ภายในเดือนสิงหาคมนี้
แนวทางการให้สิทธิประโยชน์นั้น เบื้องต้นคงเป็นเรื่องการนำเข้าวัตถุดิบต่าง ๆ ซึ่งอาจจะมีมาตรการทางภาษี เช่น การยกเว้นอากรขาเข้า การจัดให้มีเขตปลอดอากร การให้สิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) โซน 3 ที่จะได้รับการลดภาษีนิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี และขยายได้อีก 5 ปี นอกจากนี้ยังมีการยกเว้นภาษีของกรมสรรพากรด้วย อาทิ การลดภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายอสังหาริมทรัพย์จากอัตรา 3% เหลือ 0.1% ทั้งนี้ต้องดูหลายมาตรการมาผสมกันแล้วออกเป็นกฎหมาย ซึ่งในแต่ละพื้นที่อาจจะต้องมีกฎหมายเฉพาะของตัวเอง
เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนำร่องทั้ง 5 แห่งนี้จะเป็นโมเดลให้กับพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 กรกฎาคม 2014, 17:46:56
ชียงราย – ตัวแทนภาครัฐ-เอกชน ทั้งไทย และพม่า ล่องเรือดูการก่อสร้างสะพานข้ามโขงเชื่อมพม่า-ลาวแห่งแรก พบคืบหน้าไม่หยุด เชื่อเสร็จตามกำหนดปลายปี 58 แน่
       
       วันนี้(22 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า และตัวแทนภาครัฐ-เอกชนในเชียงราย ได้เดินทางด้วยเรือกาสะลองคำ 1 ของบริษัท แม่โขง เดลต้า ทราเวล เอเจนซี่ จำกัด จากสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน ไปตามแม่น้ำโขงชายแดนไทยพม่า-สปป.ลาว
       
       ทั้งนี้ เพื่อสำรวจเส้นทางไปจนถึงจุดก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขง เชื่อมพม่า-สปป.ลาว ตรงเมืองเชียงลาบกับแขวงหลวงน้ำทา ห่างจาก อ.เชียงแสน ไปทางทิศเหนือประมาณ 82 กิโลเมตร
       
       การล่องเรือในแม่น้ำโขง เป็นไปด้วยความสะดวก และพบเรือลาดตระเวนของทางการพม่า ที่จัดตั้งขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์ปล้น-ฆ่าลุกเรือจีน 2 ลำเมื่อปลายปี 2554 ที่ผ่านมา จอดอยู่ในจุดสำคัญ ป้องกันเหตุร้ายด้วย
       
       เมื่อคณะฯไปถึงจุดก่อสร้างสะพานเชื่อมพม่า-สปป.ลาว พบว่า การก่อสร้างคืบหน้าอย่างรวดเร็ว มีการตั้งเสาตอม่อผ่านกลางแม่น้ำโขงแล้ว แต่กระแสน้ำในฤดูนี้เชี่ยวกราด ทำให้งานบางส่วนต้องหยุดชั่วคราว มีการงานก่อสร้างบนบกหรือส่วนที่อยู่เหนือน้ำเท่านั้น ที่ยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง
       
       ด้าน น.ส.ผกามาศ เวียร์ร่า ประธานหอการค้า อ.แม่สาย -ผู้บริหารบริษัทแม่โขงเดลต้าฯ กล่าวว่า จากการสำรวจเบื้องต้นพบว่าการก่อสร้างสะพานคืบหน้ามาก มีการวางเสาตอม่อจนเกือบสุดแล้ว
       
       ปัจจุบันจึงเป็นงานเกี่ยวกับการเชื่อมและวางตัวสะพาน ซึ่งแม้ว่าช่วงน้ำหลากงานบางส่วนต้องชะลอไปก่อนก็ตาม แต่เชื่อว่าสะพานแห่งนี้จะแล้วเสร็จในปลายปี 58 แน่นอน เพราะทางเจ้าหน้าที่ได้มีการควบคุมดูแลโครงการก่อสร้างอย่างเข้มงวด
       
       สำหรับสะพานแม่น้ำโขงเชื่อมพม่า-สปป.ลาว แห่งแรกนี้ ก่อสร้างระหว่างเมืองเชียงลาบ หรือเวียงแคว้นสา ในฝั่งประเทศพม่า ซึ่งเป็นที่อยู่เก่าแก่ของชาวไทลื้อ บางครั้งก็เรียกกันว่า เมืองโขงหรือโขงโค้ง ส่วนฝั่ง สปป.ลาว คือบ้านเชียงกก เมืองลอง แขวงหลวงน้ำทา ตั้งอยู่ห่างจาก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ไปทางทิศเหนือประมาณ 82 กิโลเมตร ในอดีตเป็นเมืองท่าเพื่อการพักค้างแรมของเรือในแม่น้ำโขง
       
       โดยทางพม่า และ สปป.ลาว ได้ลงนามก่อสร้างในปี 2554 ด้วยงบประมาณ 26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รูปแบบสะพานเป็นแบบเหล็กโครงถัก หรือยึด (Steel Truss) ยาว 691.6 เมตร กว้าง 10.9 เมตร ประกอบด้วยผิวจราจรจำนวน 2 ช่องทางจราจร รวมทั้งมีทางเดินเท้าทั้ง 2 ข้าง กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือน ส.ค.2558
       
       สะพานแห่งนี้นอกจากจะเชื่อม 2 ประเทศ ยังเชื่อมโยงเส้นทางสายอาร์สามบี (อ.แม่สาย จ.เชียงราย-พม่า-จีนตอนใต้) กับถนนอาร์สามเอ (อ.เชียงของ-สปป.ลาว-จีนตอนใต้)เข้าด้วยกันอีกด้วย


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9570000082791


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 28 กรกฎาคม 2014, 12:18:10

เชียงราย - สถิติการค้าผ่านด่านเชียงของ หลังเปิดใช้สะพานไทย-ลาว แห่งที่ 4 พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุด ยอดเฉียดหมื่นล้าน คาดครบ 4 ไตรมาสทะลุ 1.5 หมื่นล้านแน่
       
       วันนี้ (27 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นับตั้งแต่มีการเปิดใช้สะพานมิตรภาพไทย-สปป.ลาว แห่งที่ 4 เชื่อมระหว่าง อ.เชียงของ จ.เชียงราย กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ทำให้มูลค่าการค้าผ่านด่านศุลกากรเชียงของ เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
       
       โดยสุติล่าสุดจนถึงเดือนมิถุนายน พบว่า มีมูลค่าการค้า 9,800 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้า 1,800 ล้านบาท ส่งออก 8,000 ล้าบาท สินค้านำเข้าส่วนใหญ่ยังคงเป็นประเภทผัก ดอกไม้ ผลไม้ ส่วนสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ผลไม้ตามฤดูกาล วัสดุก่อสร้าง สินค้าอุปโภคบริโภค
       
       นายศรชัย สร้อยหงษ์พราย นายด่านศุลกากรเชียงของ จ.เชียงราย กล่าวว่า สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เคยให้ทางมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ทำการวิจัยการค้าชายแดน หลังมีการเปิดใช้สะพานแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ซึ่งผลการศึกษาระบุว่า มูลค่าการค้าหลังการเปิดสะพานจะเพิ่มไม่ต่ำกว่า 10% และเมื่อถึงปี 2560 มูลค่าการค้ารวมจะสูงถึงประมาณ 17,000 ล้านบาท ซึ่งก็สอดคล้องตามนั้น
       
       เนื่องจากเมื่อเปรียบเทียบการค้าชายแดนช่วงเข้าไตรมาสที่ 3 หลังมีการเปิดสะพานแล้ว พบว่ามีอัตราเพิ่มขึ้นราว 10.6% และเชื่อว่าเมื่อครบ 4 ไตรมาส ตัวเลขการค้ารวมจะสูงถึงประมาณ 15,000 ล้านบาท
       
       “ขณะนี้กำลังก่อสร้างด่านใหม่ จะเสร็จปลายปีนี้ จากนั้นจะนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาติดตั้งเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการแบบวันสต็อปเซอร์วิส ระหว่างไทย และสปป.ลาว ซึ่งถือเป็นความร่วมมือกับประเทศในกลุ่มอาเซียนตามข้อตกลงร่วมด้วย”


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 กรกฎาคม 2014, 16:12:25
ชงโครงสร้างพื้นฐาน2.4ล้านล้าน

สนข.เตรียมชง “ประยุทธ์”เคาะยุทธศาสตร์คมนาคม 8 ปี วงเงินกว่า 2.4 ล้านล้านบาท ชงรัฐบาลใหม่เดินหน้าได้ทันที หวังฟื้นเชื่อมั่นระยะยาว แต่ยังไม่รวมรถไฟความเร็วสูง ขณะสศช.เสนอโครงการระบบราง ยันสร้างทางคู่ขนาดราง 1 เมตรเพียงพอรองรับการขนส่งในประเทศ ส่วนรางมาตรฐาน 1.4.35 เมตรสำหรับรถไฟความเร็วสูง

แหล่งข่าวจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่าสนข.ได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมของไทยระยะเวลา 8 ปีช่วงปี 2558-2565 กระทรวงคมนาคมได้เตรียมที่จะนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อบริหารราชการแผ่นดินพิจารณาแล้ว โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.ต้องการให้ได้ข้อสรุปในเรื่องนี้ก่อนที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาลเนื่องจากต้องการให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ดำเนินการเรื่องนี้ได้ทันทีที่เข้ารับตำแหน่งบริหารประเทศในช่วงปลายเดือน ส.ค.นี้

นอกจากนี้การที่มีความชัดเจนเรื่องแผนการลงทุนด้านคมนาคมขนส่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว

สำหรับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทยที่กระทรวงคมนาคมเสนอให้ คสช.พิจารณา ประกอบด้วย 5 แผนงาน ซึ่งยังไม่รวมโครงการรถไฟความเร็วสูงที่ คสช.ให้มีการศึกษาเพิ่มเติม วงเงินรวมประมาณ 2.4 ล้านล้านบาท

แผนงานแรก การพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง วงเงินประมาณ 6.7 แสนล้านบาท โดยโครงการส่วนใหญ่เป็นโครงการในการดำเนินการของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เช่น โครงการรถไฟทางคู่ 17 เส้นทางวงเงินรวมกว่า 4.7 แสนล้านบาท โครงการปรับปรุงระบบอาณัติสัญญาณทั่วประเทศ โครงการซ่อมบำรุงรถจักร และรถจักรดีเซลไฟฟ้า โครงการจัดหารถโบกี้บรรทุกสินค้า และโครงการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่ เป็นต้น

ส่วนรถไฟความเร็วสูงตามแผนงานที่เสนอให้พิจารณา คสช.อาจจะทางอาจจะไม่รวมโครงการสร้างรถไฟความเร็วสูงไว้ในแผนยุทธศาสตร์เลย หรืออาจเลือกเอาบางโครงการที่มีศักยภาพและมีความจำเป็นในอนาคต ที่ สนข. ได้เสนอไปก่อนหน้านี้ ได้แก่ รถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพ - เชียงใหม่ 3.8 แสนล้านบาท คสช.อาจพิจารณาดำเนินการในระยะที่ 1 กรุงเทพ - พิษณุโลก วงเงิน 1.7 แสนล้านบาท

ส่วนเส้นทางกรุงเทพ - หนองคาย วงเงิน 1.7 แสนล้านบาท อาจมีการปรับแผนในการผลักดันโครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางท่าเรือแหลมฉบัง-หนองคาย ซึ่งเป็นเส้นทางที่เชื่อมกับ รถไฟความเร็วสูงในประเทศลาวและจีน ซึ่งจะเป็นโครงการที่มีศักยภาพในอนาคตหลังจากที่รถไฟความเร็วสูงในลาวจะสร้างเสร็จ โดยจะต้องมีการศึกษาวงเงินสำหรับโครงการดังกล่าวอีกครั้ง

พัฒนาขนส่งสาธารณะ-ถนนกทม.1.2 ล้านล้าน

แผนงานที่สอง การพัฒนาโครงข่ายขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร ใน กทม.และปริมณฑล วงเงินรวมประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท โดยโครงการสำคัญในแผนงานนี้คือโครงการรถไฟฟ้าและรถไฟความเร็วสูง โดยโครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพและปริมณฑล หรือโครงการรถไฟฟ้า 10 สาย โดยจะมีการประกวดราคาเพิ่มเติมอีก 112 กิโลเมตร หรืออีก 5 โครงการในระหว่างปี 2557 - 2558

นอกจากนี้ มีโครงการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวีจำนวน 3,183 คัน วงเงิน 13,416 ล้านบาท ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์สั่งให้มีการดำเนินการให้แล้วเสร็จในปีงบประมาณ 2558

นอกจากนี้ ยังมีโครงการก่อสร้างถนนและสะพานใน กทม.และปริมณฑลเพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ขยายตัว ได้แก่ โครงการก่อสร้างถนนเชื่อมต่อถนนราชพฤกษ์ - ถนนกาญจนาภิเษก แนวเหนือ-ใต้ และโครงการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย

สร้างทางหลวงเชื่อมฐานผลิต

สำหรับแผนงานที่ 3 เป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางหลวงเพื่อเชื่อมโยงฐานการผลิตที่สำคัญของประเทศสู่ประชาคมอาเซียน วงเงินประมาณ 6.4 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการโครงการสร้างโครงข่ายทางหลวงชนบทสนับสนุนการเกษตรและการท่องเที่ยว การสร้างโครงข่ายเชื่อมโยงระหว่างเมืองหลักและระหว่างฐานการผลิตหลักของประเทศ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง

นอกจากนี้ แผนงานที่ 4 พัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางน้ำเพื่อเพิ่มการขนส่งทางน้ำเพิ่มขึ้น 20% วงเงินประมาณ 1 แสนล้านบาท เช่น โครงการพัฒนาท่าเรือปากบารา โครงการพัฒนาท่าเรือสำราญขนาดใหญ่ โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งสินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง โครงการพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) ที่ท่าเรือแหลมฉบัง โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าในแม่น้ำป่าสัก โดยการก่อสร้างระบบป้องกันตลิ่งเพื่อพัฒนาร่องน้ำทางเดินเรือ เป็นต้น

พัฒนาสุวรรณภูมิเฟส2รวม8.9หมื่นล้าน

สำหรับการพัฒนาท่าอากาศยาน เป็นแผนงานสุดท้าย วงเงินรวมประมาณ 8.9 หมื่นล้านบาท เช่น แผนการเพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศยานในประเทศ เช่น แผนพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2 วงเงิน 6.2 หมื่นล้านบาท การพัฒนาท่าอากาศดอนเมืองระยะที่ 2 - 3 (2561 - 2565) รวมทั้งแผนพัฒนาท่าอากาศยานท่าอากาศยานภูเก็ต

"แผนงานที่ 5 นี้จะมีการหารือถึงความเหมาะสมในการลงทุน โดยโครงการลงทุนในการพัฒนาแผนงานนี้แนวทางการลงทุนอาจให้รัฐวิสาหกิจ เช่น บริษัทการท่าอากาศยาน จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ลงทุนเองเนื่องจากมีศักยภาพเพียงพอ หรืออาจให้เป็นการลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน (พีพีพี) รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโดยใช้กลไกกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เป็นทางเลือกในการลงทุนเช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ ที่มีขนาดการลงทุนเกินกว่า 1 แสนล้านบาทในแผนงานอื่นๆ ก็ให้มีการศึกษาทางเลือกของการลงทุนในรูปแบบต่างๆ"

เผยภาคเอกชนต้องการรางคู่ก่อน

ด้านแหล่งข่าวจากคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยด้วยว่าในการประชุม ร่วมกับ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง หัวหน้าคสช. ฝ่ายเศรษฐกิจ เมื่อเร็วๆนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนการคมนาคมขนส่งของประเทศ ได้แก่ กระทรวงคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ สนข.ได้ให้ข้อมูลกับ พล.อ.อ.ประจิน เกี่ยวกับการลงทุนในระบบรางของประเทศไทย ภายหลังได้มีข้อเสนอว่าในการลงทุนรถไฟทางคู่ที่ คสช.กำลังผลักดัน ควรจะมีการสร้างโดยใช้รางขนาด 1.435 เมตร เพื่อให้รองรับระบบรางในอนาคต

"ส่วนใหญ่เป็นข้อเสนอของภาคเอกชนที่ต้องการให้การลงทุนรถไฟทางคู่สามารถรองรับการขนส่ง ทั้งคนและสินค้าได้ในเวลาอันรวดเร็วขึ้น"

ใช้ราง1.435เมตรทั่วประเทศใช้ทุนสูง

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ชี้แจงให้ พล.อ.ประจิน ทราบว่าปัจจุบันเส้นทางรถไฟของประเทศไทยมีประมาณ 4,000 กิโลเมตร หากจะมีการเปลี่ยนแปลงรางเป็นขนาด 1.435 เมตร ทั้งหมด รวมทั้งสร้างรถไฟทางคู่ขึ้นมาใหม่ในขนาดรางเดียวกันจะต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล เนื่องจากจะต้องมีการจัดซื้อหัวรถจักรใหม่ด้วย โดยเพื่อให้ใช้วิ่งในรางใหม่ที่จะมีการสร้าง

ปัจจุบัน ค่าก่อสร้างรางรถไฟในแต่ละก.ม.ต้องใช้งบประมาณมากกว่าการก่อสร้างทางถนนประมาณ 10 เท่า

เล็งใช้รถไฟความเร็วสูงราง1.435เมตร

แหล่งข่าวกล่าวว่าข้อเสนอที่ต้องการให้ไทยสร้างราง ขนาด 1.435 เมตร เพื่อรองรับการเชื่อมต่อกับทางรถไฟของประเทศเพื่อนบ้านในอนาคต แหล่งข่าวกล่าวว่าปัจจุบันขนาดรางรถไฟในประเทศเพื่อนบ้านมีขนาดเท่ากับรางรถไฟของไทยคือขนาด 1 เมตร ซึ่งเมื่อมีการปรับปรุงให้มีสภาพดีขึ้นก็จะสามารถทำความเร็วได้ถึง 90 - 100 ก.ม./ช.ม. และเมื่อมีทางคู่อีกเส้นหนึ่งที่ขนานกันก็จะทำให้การขนส่งโดยระบบรางมีความคล่องตัวขึ้นโดยไม่ต้องเปลี่ยนรางใหม่ทั้งระบบ

ส่วนในอนาคตจะมีรางรถไฟที่ประเทศจีนลงทุนให้ สปป.ลาวขนาดราง 1.435 เมตรนั้นในอนาคตเมื่อไทยศึกษาเส้นทางสำหรับรถไฟความเร็วสูงก็จะมีการลงทุนโดยใช้ขนาดราง 1.435 เมตร ซึ่งก็จะเชื่อมต่อเส้นทางไปยังประเทศจีนได้โดยเบื้องต้นได้ศึกษาการเชื่อมต่อในเส้นทาง กรุงเทพ - หนองคาย

“ตอนที่มีการวางแผนที่จะมีการสร้างรถไฟความเร็วสูง เราได้วางแผนว่าจะสร้างรางขนาด 1.435 เมตรเอาไว้ เนื่องจากเป็นรางที่จะสามารถทำความเร็วได้ในระดับมากกว่า 150 ก.ม./ช.ม.ขึ้นไป ซึ่งตามแผนรถไฟความเร็วสูงจะใช้สำหรับการขนส่งคนหรือสินค้าที่มีมูลค่าสูง ขณะที่รถไฟขนาดรางปกติจะใช้สำหรับขนส่งสินค้าประเภทฮาร์ดแวร์ หรือผู้โดยสารที่ไม่ต้องการความเร่งรีบในการเดินทางมากนัก” แหล่งข่าวกล่าว

เครดิตในภาพ


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 29 กรกฎาคม 2014, 17:40:53
คสช.อนุมัติแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 8 ปี เดินหน้ารถไฟรางคู่ Tue, 29/07/2014 - 17:24Printer-friendly version Views: 10คสช.อนุมัติแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 8 ปี เดินหน้ารถไฟรางคู่
คสช.ได้อนุมัติกรอบหลักการโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง ที่จะดำเนินการในระยะ 8 ปี

คสช.อนุมัติกรอบหลักการยุทธศาสตร์คมนาคมขนส่งของไทยระยะเวลา 2558-2565 รวมทั้งกรอบหลักการของแผนงานระยะเร่งด่วน ซึ่งใช้งบประมาณปี 2557-2558 พร้อมสั่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนและจัดหาแหล่งเงินทุน ที่มี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ เป็นประธาน โดยให้จัดทำรายละเอียดโครงการ และแหล่งเงินทุน เพื่อเสนอคสช.ภายใน 30 วัน

นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า แผนลงทุนระยะเร่งด่วนที่ผ่านการอนุมัติจาก คสช.เช่น รถไฟรางคู่ 5 เส้นทาง ระยะทาง 887 กิโลเมตร วงเงิน กว่า 127,000 ล้านบาท รวมทั้งอนุมัติกรอบดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูง ซึ่งใช้รางคู่ขนาด 1.435 เมตร ความเร็ว 160 กิโลเมตร 2 เส้นทาง ได้แก่ หนองคาย - มาบตาพุด และ เชียงของ - บ้านภาชี วงเงินรวมกว่า 740,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่า เปิดประมูลได้ในปี 2559

#ThaiPBS


หัวข้อ: Re: .......อ่านก่อนโดนลบ........
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 01 สิงหาคม 2014, 15:27:50
เผยจีนมีแผนรถไฟคุนหมิง-บ่อเต็น แต่ยังอีกนาน



เชียงราย - กงสุลใหญ่ไทยประจำคุนหมิงบอก สป.จีนมีแผนสร้างทางรถไฟยูนนาน-บ่อหานจริงแต่อีกนาน พร้อมเตือนร่วมหุ้นจีน ทำได้แต่ต้องระวัง บอกเป็นนัย “ทุนจีน” หลายเรื่องต้องตรวจสอบ
       
       นายสุชาติ เลียงแสงทอง กงสุลใหญ่ประเทศไทยประจำนครคุนหมิง มณฑลยูนนาน สป.จีน เปิดเผยเมื่อคราวเดินทางมาร่วมประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) จ.เชียงราย ณ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ว่า สำนักงานกงสุลใหญ่นครคุนหมิง มีหน้าที่ดูแลพื้นที่ 3 มณฑลในจีน คือ ยูนนาน, กุ้ยโจว และหูหนาน ซึ่งมีประชากรรวมกันกว่า 180 ล้านคน ถือเป็นตลาดขนาดใหญ่ ซึ่งจากการพบปะหารือกับผู้บริหารจีนตอนใต้อย่างต่อเนื่อง
       
       รวมถึงการพบปะกันระหว่างกระทรวงการต่างประเทศไทย-จีน เมื่อ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา ทราบว่า สป.จีนให้ความสำคัญต่อการคมนาคมผ่านถนนอาร์สามเอ จากยูนนาน-สปป.ลาว-ไทย ทั้งด้านยุทธศาสตร์ และลอจิสติกส์ รวมทั้งยืนยันว่าจะยังคงเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของไทยต่อไป
       
       นายสุชาติกล่าวว่า ส่วนเรื่องโครงการรถไฟรางคู่เชื่อมจาก อ.เด่นชัย จ.แพร่-อ.เชียงของ จ.เชียงราย เพื่อเชื่อมโยงระบบรางกับจีนตอนใต้ที่กำลังพูดถึงกันนั้น ตนได้มีโอกาสพบกับผู้บริหารของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจของมณฑลยูนนานแล้ว ทราบว่า เส้นทางรถไฟที่จีนจะก่อสร้างเพื่อเชื่อมลงสู่ภาคใต้นั้นจะมุ่งสร้างผ่าน สปป.ลาว เข้าสู่ประเทศไทยที่หนองคายเป็นหลัก
       
       แต่จีนก็ยังคงให้ความสำคัญต่อถนนอาร์สามเออยู่ และไม่ได้ปิดกั้นการพัฒนาระบบรางผ่านด้านนี้ โดยระบุว่ามีแผนเกี่ยวกับเส้นทางรถไฟสายนครคุนหมิง เชื่อมกับด่านโม่ฮาน หรือบ่อหาน ตรงข้ามด่านบ่อเต็นของ สปป.ลาว ด้วยเช่นกัน
       
       “เส้นทางรถไฟคุนหมิง-โม่ฮาน อยู่ในช่วงเสนอโครงการ เป็นเส้นทางจากนครคุนหมิง-ยู้วชี หากว่าต้องสร้างก็ต้องใช้ระยะเวลาร่วม 5-35 ปีจึงจะแล้วเสร็จหมด เพราะภูมิประเทศเป็นป่าเขาสูงชันอยู่ ส่วนในกรณีการสร้างใน สปป.ลาว ก็ต้องใช้ระยะเวลาราว 5-8 ปี ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาก็พูดถึงความเป็นไปได้เอาไว้กว้างๆ”
       
       นายสุชาติ อีกว่า ในช่วงที่การพัฒนาต่างๆ กำลังเดินหน้าภาคเอกชนไทยควรจะใช้ช่องทาง และโอกาสที่มีอยู่ทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ โดยทางกงสุลฯ พร้อมให้การสนับสนุนเต็มที่ เช่น เมื่อวันที่ 9-14 พ.ค.มีการจัดงานแสดงสินค้าที่มณฑลยูนนาน ทางกงสุลใหญ่ก็จัดบูทให้เอกชนไทยถึง 4 บูท รวมทั้งงานแสดงสินค้าครั้งต่อไปในวันที่ 12-21 ก.ย. 57 ก็ยินดีจะให้การสนับสนุนเช่นเดิม
       
       ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่ากลุ่มทุนจีนได้รุกเข้าไปลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่องแล้ว ซึ่งเราสามารถเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจได้ แต่ต้องไม่อยู่ใต้ทุนจีน และหน่วยงานด้านกฎหมาย ก็ขอให้ทำอย่างยุติธรรมตรงไปตรงมาและเต็มที่ โดยบางเรื่องไม่ต้องเป็นข่าวเพื่อไม่ให้กระทบความสัมพันธ์
       
       “คงต้องยอมรับว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มทุนจีน หลายเรื่องต้องตรวจสอบ และหลายเรื่องเป็นสิ่งที่คนไทยต้องเรียนรู้อีกมาก เพราะทุนจีนมีความสามารถด้านการค้าสูง เช่น มีเงินทุนแค่ 4 ล้านบาท เข้ามาลงทุนจนมีแท็กซี่ในเครือข่ายได้กว่า 22 คัน เป็นต้น”
       
       อนึ่ง สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายแจ้งว่า ช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย. 57 เชียงรายมีการค้ากับจีนตอนใต้รวม 2,952.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 163.41 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.86% แยกเป็นการส่งออก 1,880.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 66.71 ล้านบาท หรือ 3.68% จากการเพิ่มขึ้นของการส่งออกสินค้าหมวดสินค้ากสิกรรม (อัลมอนด์, แมคคาเดเมีย, ถั่ววอลนัทแห้ง ผลไม้ ยางพารา, เศษยางพารา) สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร (ปลากระตักตากแห้ง) สินค้าเชื้อเพลิง ไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ เป็นสำคัญ
       
       ส่วนมูลค่าการนำเข้ามีมูลค่า 1,072.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 96.70 ล้านบาท หรือ 9.91% จากการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้าหมวด เครื่องจักรไม่ใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ สินค้ากสิกรรม (พืชผักสด สินค้าเกษตร ใบชา) บุหรี่ ของใช้ประจำวัน (อุปโภค-บริโภค) และโลหะ-อโลหะ

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9570000087169


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 03 ตุลาคม 2014, 11:44:54
ไฟเขียวกนอ.จับมือเอกชนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมใหม่2แห่ง"หนองคาย-เชียงราย"
วันที่ 02 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 14:12:51 น.

 
นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกนอ.(บอร์ด) ได้เห็นชอบให้ กนอ. ร่วมดำเนินงานกับเอกชนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมใหม่ 2 แห่ง เป็นไปตามแผนการขยายพื้นที่อุตสาหกรรมของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยทั้ง 2 โครงการจะมีพื้นที่รวม 3,422 ไร่ เอกชนจะเป็นผู้ลงทุน พัฒนา และให้บริการระบบสาธารณูปโภค

ขณะที่ กนอ.จะการสนับสนุนการก่อสร้างศูนย์บริการเบ็ดเสร็จครบวงจร (โอเอสโอเอส) พื้นที่ประมาณ 500 ตารางเมตร ในวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท ยกเว้นค่ากำกับบริการ 2 ปี โดยให้ชำระบริการในปีที่ 5 เป็นต้นไป พร้อมทั้งสนับสนุนในเรื่องการประชาสัมพันธ์โครงการ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ทั้งนี้คาดว่า 2 นิคมฯ ใหม่จะดึงดูดให้เกิดการลงทุนของอุตสาหกรรมต่างๆ รวม 1.1 แสนล้านบาท  จ้างงานไม่น้อยกว่า 2.5 หมื่นคน แยกเป็นนิคมอุตสาหกรรมหนองคาย จ.หนองคาย พื้นที่ประมาณ 2,960 ไร่ ตั้งใน ต.โพนสว่าง อ.เมือง จ.หนองคาย ดำเนินงานโดย บริษัท นาคา คลีนเพาเวอร์ จำกัด ที่ตั้งโครงการอยู่ใกล้ศูนย์กลางคมนาคม ห่างจากท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี ประมาณ 34 กม.  สถานีรถไฟนาทา ประมาณ 13 กม. และมีระบบถนนที่สามารถเชื่อมโยงไปยังภูมิภาคอื่นได้สะดวก  ซึ่งคาดว่าโครงการนี้จะมีการเข้ามาลงทุน  9.7 หมื่นล้านบาท จ้างงาน 2.2 หมื่นคน

โดยอุตสาหกรรมเป้าหมาย คือ แปรรูปผลิตผลทางการเกษตร อาหารและเครื่องดื่ม ประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ โดยโครงการนี้เป็นหนึ่งในนิคมฯ ภาคอีสานที่วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนภาคอุตสาหกรรมในจ.หนองคายเพิ่มขึ้น ตลอดจนรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ

ส่วนนิคมฯ เชียงของ จ.เชียงราย จะมีพื้นที่ประมาณ 460 ไร่  ตั้งอยู่ใน ต.สถาน อ.เชียงของ จ.เชียงราย ดำเนินงานโดย บริษัท เมืองเงิน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งพื้นที่นี้คาดว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ด้านเศรษฐกิจต่อพื้นที่ตามแนวชายแดนจ.เชียงราย โดยตั้งอยู่ใกล้ศูนย์กลางคมนาคมหลักของประเทศที่เชื่อมโยงไปยังภูมิภาคอื่นได้อย่างสะดวก อยู่ห่างจากท่าอากาศยานนานาชาติเชียงราย 60 กม. เข้าถึงโครงข่ายคมนาคมขนส่งระหว่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างท่าอากาศยานบ่อแก้ว สปป. ลาว  8 กม. และสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชียงของ – ห้วยทราย  13 กม.

คาดว่านิคมฯ เชียงของจะก่อให้เกิดมูลค่าการลงทุนไม่น้อยกว่า 1.35 หมื่นล้านบาท การจ้างงานไม่น้อยกว่า 3 หมื่นคน  โดยจะเป็นนิคมอุตสาหกรรมบริการโลจิสติกส์แห่งแรกของประเทศไทยที่มีการกำหนดอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ คลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า ครบวงจร

นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวว่า นิคมฯ 2 แห่งคาดว่าจะใช้เวลาในการพัฒนาประมาณ 2 ปี และเริ่มเปิดขายพื้นที่หรือดำเนินการได้ประมาณปี 2559 ซึ่งในส่วนของนิคมฯ หนองคายนั้นมีนักลงทุนแสดงความสนใจเข้ามาแล้วโดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ลงทุนในไทยอยู่แล้ว โดยเฉพาะนักลงทุนจีนกับญี่ปุ่น  ในขณะที่นิคมฯเชียงของกลุ่มที่เข้ามาตั้งคลังสินค้าหรือกิจการด้านโลจิสติกส์ต่างๆ อาจมีความหลากหลายเพราะที่ตั้งของนิคมฯ อยู่ในจุดที่เชื่อมโยงไปประเทศเพื่อนบ้านได้ทั้งไปลาวและต่อเนื่องขึ้นไปมณฑลยุนนานทางตอนใต้ของจีน

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1412234020


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: Manutpong ที่ วันที่ 08 มกราคม 2015, 11:53:22
อยากรู้จังเลย ว่าสร้างรางรถไฟ ที่เชียงราย ทับบ้านไครหรือเปล่า หรือว่าไม่มีโครงการนี้ล่ะ


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: goffy5452 ที่ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2017, 10:33:43
ดีมากๆเลยครับ
เกมส์สล็อตออนไลน์ (http://gcclub998.com/th/poker)


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 18 ธันวาคม 2017, 17:09:08
เชียงราย - กลุ่ม “กะตะธานี” เดินหน้าเทงบเพิ่มอีก 300 ล้าน ปรับ “ดุสิตไอส์แลนด์ฯเชียงราย” ใหม่หมด เริ่ม 1 เมษาฯนี้ ก่อนขึ้นป้ายชื่อใหม่ “เดอะริเวอร์รีฯ” พร้อมชื่อจีน “ลี่เจียง ต้าจิ่วเตี้ยน” เชื่อมแพกเกจภูเก็ต - พังงา ดึงลูกค้าพรีเมียมขึ้นเหนือ - รับท่องเที่ยวลุ่มน้ำโขง

นายสมบัติ อดิเศรษฐ์ ประธานบริหารกลุ่มโรงแรมกะตะธานี คอลเล็คชั่น และครอบครัว พร้อมด้วย ผู้บริหารชุดใหม่ของโรงแรมดุสิต ไอส์แลนด์ รีสอร์ท เชียงราย ริมฝั่งแม่น้ำกก อ.เมืองเชียงราย ได้แถลงเปิดตัวการเข้าซื้อกิจการและบริหารโรงแรมแห่งนี้อย่างเป็นทางการเมื่อเร็วๆ นี้

โดยมีการแจกเอกสารที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ประวัติการเข้าสู่ธุรกิจของนายสมบัติและกิจการต่างๆ ในเครือ ซึ่งส่วนใหญ่มีฐานธุรกิจในพื้นที่ภาคใต้เป็นหลัก ทั้งธุรกิจไม้และอุตสาหกรรมไม้ ไม้อัด และโรงแรม อยู่ที่ จ.พังงา และ จ.ภูเก็ต รวม 6 แห่ง

นายสมบัติ เปิดเผยว่า กลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง ตั้งแต่จีนตอนใต้ เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีบทบาทมากในภูมิภาคเอเชีย และหลายประเทศก็ตื่นตัว โดยมีการลงทุนหลายด้านทั้งสนามบิน รถไฟความเร็วสูง ฯลฯ



ส่วนเชียงรายยังเป็นเมืองธรรมชาติงดงาม เป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมล้านนาที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนที่อื่นรวมทั้งมีความเป็นโบราณสถาน ตนจึงตัดสินใจขยายธุรกิจโรงแรมมาทางภาคเหนือที่ จ.เชียงราย โดยเข้าซื้อโรงแรมดุสิต ไอส์แลนด์ รีสอร์ท เชียงราย ตั้งแต่วันที่ 14 ก.ย. 2559 จากนั้นจะพัฒนาปรับให้เป็นสไตล์ของกะตะธานี คอลเล็คชั่น

“รวมทั้งที่เข้าเทกโอเวอร์ และพัฒนาแล้ว จะใช้เงินลงทุนราว 1,400 ล้านบาท โดยจะมีการปิดปรับปรุงครั้งใหญ่ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.- 31 ก.ค. นี้ เป็นเวลา 4 เดือน”

นายสมบัติ บอกว่า จะมีการปรับปรุงภายในโรงแรมใหม่ทั้งหมด ให้เป็นรูปแบบไทยร่วมสมัย ผสมผสานความเป็นล้านนา เพิ่มอุปกรณ์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ปรับปรุงห้องน้ำทั้งระบบ แบ่งระดับห้องพักใหม่ ยกระดับห้องอาหาร สระว่ายน้ำ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมทั้งระบบสาธารณูปโภค เช่น ระบบปรับอากาศ ระบบไฟฟ้า ลิฟท์ ความปลอดภัย ฯลฯ โดยใช้งบประมาณ 300 ล้านบาท เพื่อให้เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวที่ได้มาตรฐานสากล

โดยจะยังคงใช้ชื่อโรงแรมดุสิต ไอส์แลนด์ รีสอร์ท เชียงาย ไปจนถึงวันที่ 31 มี.ค. 2561 จากนั้นจะเปลี่ยนไปใช้ชื่อว่า “โรงแรมเดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี” และใช้ชื่อภาษาจีนว่า “ลี่เจียง ต้าจิ่วเตี้ยน” แปลว่า “แม่น้ำที่งดงาม” เพราะตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำใจกลางเมืองเชียงรายพอดี

“เราจะเป็นโรงแรม 5 ดาวอย่างแท้จริง เพื่อมุ่งไปที่กลุ่มผู้เข้าพักระดับกลางถึงบน เพราะในอดีตนักท่องเที่ยว เมื่อเข้าพักที่เชียงรายแล้ว มักจะอยู่แค่ 2 - 3 คืน เที่ยวเสร็จแล้วก็กลับ แต่ถ้าเรามีสิ่งอำนวยความสะดวกควบคู่ไปกับการมีวัฒนธรรม ของเก่าแก่โบราณ ฯลฯ ให้ได้ท่องเที่ยวก็คงจะอยู่ได้นานขึ้นแน่นอน”

นายสมบัติ กล่าวอีกว่า การขยายกิจการที่เชียงรายครั้งนี้ จึงเป็นการร่วมกันพัฒนาการท่องเที่ยว เพิ่มมูลค่าโดยไม่แข่งขันกับห้องพักโรงแรมต่างๆ เพราะเราเน้นตลาดระดับบน และกลาง ซึ่งราคาห้องพักก็จะสอดคล้องกับการปรับมาตรฐาน แต่ก็จะมีระดับคนไทยและต่างประเทศด้วย ซึ่งหากเป็นกลุ่มลูกค้าระดับกลาง - ล่าง ก็ไปใช้บริการที่อื่นได้อย่างมากมายทำให้ไม่เกิดการกระจุกตัว แต่กระจายรายได้ร่วมกัน

นอกจากนี้ เราจะเน้นเชื่อมกับโรงแรมในเครือที่มีอยู่แล้ว 6 แห่ง ทั้งที่ภูเก็ต และพังงา ซึ่งปัจจุบันมีกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูงเข้าใช้บริการจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มยุโรป ออสเตรเลีย และช่วงหลังมีชาวจีนมากขึ้น ซึ่งรูปแบบคือ การพักผ่อนยาวริมชายทะเล

อย่างไรก็ตาม พบว่า นักท่องเที่ยวเหล่านี้ บางส่วนก็เดินทางขึ้นสู่ภาคเหนือ หรือจากภาคเหนือไปเที่ยวที่ภาคใต้ด้วย ดังนั้น เมื่อเรามีโรงแรมที่เชียงราย ก็สามารถจัดทำเป็นแพกเกจเชื่อมถึงกันได้ด้วย โดยตนจะพยายามดึงลูกค้าที่ภาคใต้มายังเชียงราย ให้ได้มากที่สุดต่อไป

https://mgronline.com/local/detail/9600000126474


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 มกราคม 2018, 22:46:30
คมนาคมเปิดตัวโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จ.เชียงราย
เผยแพร่: 18 ม.ค. 2561 19:36:00   โดย: MGR Online
วันนี้ (18 ม.ค.) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดตัวโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ ณ บริเวณหน้าด่านสะพานมิตรภาพไทย- ลาว แห่งที่ 4 อ.เชียงของ จ.เชียงราย พร้อมประกอบพิธีบวงสรวงการก่อสร้างและยกเสาเอกอาคาร โดยถือฤกษ์ในวันที่ 18 เดือน 1ปี 18 เวลา 13.18 น. โดยมีนายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมพิธีในครั้งนี้



ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกได้จัดสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าชายแดน พัฒนาให้เป็นประตูการค้าในแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ – ใต้ เชื่อมโยงอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง บนพื้นที่ก่อสร้างโครงการ 336 ไร่ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการระยะที่ 1 ในปี 2563

นอกจากนี้ ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ ได้จัดให้เป็นที่ทำการของหน่วยงานพิธีการศุลกากร การตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานการตรวจและกักกันพืชและสัตว์ เป็นการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว แบบ OSS (One Stop Service) ตลอดจนเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงการขนส่งสินค้ากับประเทศเพื่อนบ้านรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในอนาคต


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 มกราคม 2018, 22:51:56
'รมว.คมนาคม' ลงเสาเอกศูนย์ขนส่งสินค้าเชียงของ

18 มกราคม 2561  755
"รมว.คมนาคม" เปิดตัวโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย

วันที่ 18 มกราคม 2561 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย พร้อมประกอบพิธีบวงสรวงการก่อสร้างและยกเสาเอกอาคารสำนักงานกลางโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยถือฤกษ์ประกอบพิธีเวลา 13.18 น. เพื่อความเป็นสิริมงคลในการดำเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย เพื่อพัฒนาพื้นที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายให้เป็นประตูการค้าในแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor) เชื่อมอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง บนพื้นที่ก่อสร้างโครงการกว่า 336 ไร่ โดยจะก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการระยะที่ 1 ในปี พ.ศ. 2563 โดยมีนายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก หน่วยงานราชการและเอกชนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ผู้ประกอบการขนส่งสินค้า นักลงทุน ร่วมในพิธี ณ พื้นที่ก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตามนโยบายจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษของรัฐบาล กระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางบก จึงได้ดำเนินการพัฒนาศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าชายแดน เชื่อมไทย-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว)-สาธารณรัฐประชาชนจีน ผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 และถนนสาย R3A ยกระดับมาตรฐานการขนส่งสินค้า รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจอาเซียน การเติบโตของสาธารณรัฐประชาชนจีนฝั่งตะวันตก ซึ่งไม่มีทางออกสู่ทะเล (Landlocked) รวมถึงรองรับการเปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้า จากถนนสู่ระบบราง ตามแผนการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งจะทำให้อำเภอเชียงของกลายเป็นเมืองหลักด้านโลจิสติกส์ Logistic Hub เป็นอีกหัวใจสำคัญในการแปลงโฉมจังหวัดเชียงราย ให้เป็นโลจิสติกส์ซิตี้ของภูมิภาค พัฒนาให้เป็นประตูการค้าในแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor)

เส้นทางสาย R3A นับเป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งที่มีบทบาทความสำคัญต่อการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion หรือ GMS) ซึ่งเส้นทางดังกล่าว เริ่มต้นที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 เข้าสู่บ้านห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ฝั่งสปป.ลาว ผ่านแขวงหลวงน้ำทา ก่อนจะเข้าสู่สาธารณรัฐประชาชนจีนที่ชายแดนบ่อเต็น-บ่อหาน และตรงสู่เมืองเชียงรุ้ง และคุนหมิง รวมระยะทางประมาณ 1,100 กิโลเมตร โดยปัจจุบันมีสินค้าหลากหลายประเภท ทั้งสินค้าจำพวกผักและผลไม้สด สินค้าอุปโภค-บริโภค เครื่องจักร และวัสดุก่อสร้าง ถูกขนส่งผ่านเส้นทางดังกล่าว ซึ่งมูลค่าการค้าผ่านด่านเชียงมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีมูลค่าการนำเข้า-ส่งออกผ่านด่านกว่าปีละ 20,000 ล้านบาท

กระทรวงคมนาคม ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาประตูการค้าที่รองรับการค้าการลงทุนระหว่างประเทศไทย สปป.ลาว และสาธารณรัฐประชาชนจีนฝั่งตะวันตก จึงได้ริเริ่มโครงการพัฒนาศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย บริเวณประชิดด่านพรมแดนเชียงของ ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย บนเนื้อที่กว่า 336 ไร่ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยจะเป็นที่ทำการของหน่วยงาน CIQ คือ Custom (พิธีการศุลกากร) Immigration (การตรวจคนเข้าเมือง) และ Quarantine (การตรวจและกักกันพืชและสัตว์) ทำให้ผู้ประกอบการที่ขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนไปมา สามารถเข้าไปใช้บริการที่ศูนย์ฯ เชียงของ เพียงแห่งเดียว เป็นจุดบริการแบบ One Stop Service รวมถึงรองรับการพัฒนาเป็นพื้นที่ควบคุมร่วมกัน (CCA) ซึ่งเจ้าหน้าที่ไทยและสปป.ลาว สามารถตรวจปล่อยสินค้าร่วมกันได้ ณ จุดเดียว ช่วยลดขั้นตอนในการทำงาน และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการในอนาคตอีกด้วย

สำหรับการให้บริการของศูนย์ฯ เชียงของ แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ในระยะที่ 1 จะเน้นการให้บริการเปลี่ยนหัวลาก-หางพ่วง ระหว่างรถบรรทุกไทยกับรถบรรทุกต่างประเทศ มีการให้บริการอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ปลั๊กเสียบตู้แช่เย็น (Reefer) และอุปกรณ์ยกตู้คอนเทนเนอร์ (Reach Stacker) นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่คลังสินค้าศุลกากร คลังสินค้าทัณฑ์บน และอาคารสำหรับบรรจุสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ (CFS) รองรับให้บริการ ซึ่งจะสามารถรองรับปริมาณสินค้าได้กว่า 270,000 ทีอียู โดยจะก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการในระยะแรกในปี พ.ศ. 2563 สำหรับระยะที่ 2 ศูนย์ฯ เชียงของ จะรองรับการเปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสู่ระบบราง พร้อมพัฒนาพื้นที่Container Yard สำหรับการวางตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการในระยะที่ 2 ได้ในปี พ.ศ. 2566 สอดคล้องกับแผนการก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย

กระทรวงคมนาคม คาดการณ์ว่าโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงรายนี้ จะสามารถช่วยลดต้นทุนการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ ส่งผลให้จังหวัดชายแดนกลายเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อ (Hub) การขนส่งสินค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ อีกทั้งช่วยอำนวยประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบโลจิสติกส์เชิงบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพของประเทศในระยะยาวอย่างยั่งยืน


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 24 มกราคม 2018, 22:15:06
ทอท.จัดโปรดึงแอร์ไลน์เปิดเส้นทางบินเชียงราย https://www.posttoday.com/biz/gov/537125


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2018, 00:00:39
รถไฟเช็กความพร้อมไฮสปีด EEC รอบสุดท้าย-ดันประมูลทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เชื่อมจีนตอนใต้
เผยแพร่: 24 ก.พ. 2561 11:28:00   โดย: MGR Online
 

EEC เช็กความพร้อมรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินรอบสุดท้ายก่อนชง ครม. ด้าน ร.ฟ.ท.ยันออก TOR มี.ค. เปิดประมูลเอกชน PPP Net Cost พ่วงรัฐอุดหนุน แต่ไม่เกินมูลค่างานโยธา เหมือนโมโนเรลสีชมพู และสายสีเหลือง “อานนท์” จัดคิวรถไฟทางคู่เฟส2 ประเดิมสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ กว่า 7.29 หมื่นล้านประมูลก่อน เปิดพื้นที่ภาคเหนือตอนบนเชื่อมขนส่งจีนตอนใต้

นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม รักษาการในตำแหน่งผู้ว่า การการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมโยงท่าอากาศยาน 3 แห่ง (ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานอู่ตะเภา) มูลค่าโครงการกว่า 2.06 แสนล้านบาทว่า ขณะนี้รูปแบบการลงทุนมีความชัดเจนแล้ว ซึ่งตามเป้าหมายรัฐบาลต้องการให้ออกประกาศ (TOR) ในเดือน มี.ค.นี้ โดยคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กรศ.) จะประชุมในวันที่ 26 ก.พ.เพื่อกลั่นกรองประเด็นที่เหลือ เช่น ข้อกฎหมายอีกเล็กน้อย หากไม่มีปัญหาหรือข้อสงสัยเพิ่มเติมจะนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) และเข้าสู่ขั้นตอนการประมูล ซึ่งมีนักลงทุนจากญี่ปุ่น จีน ให้ความสนใจ

แนวทางรัฐร่วมลงทุนเอกชน PPP Net Cost เป็น PPP100% โดยรัฐอุดหนุน แต่ไม่เกินมูลค่างานโยธา โดยมีค่างานโยธารวมกับค่าระบบประมาณ 1.6 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู และสายสีเหลือง โดยจะทยอยผ่อนระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี อายุสัมปทานที่ 50 ปี (ระยะก่อสร้าง 5 ปี และบริหารการเดินรถ 45 ปี) โดยให้สิทธิเอกชนพัฒนาที่ดิน 2 แปลง ได้แก่ บริเวณมักกะสัน 145 ไร่ และศรีราชาไม่เกิน 30 ไร่ ซึ่งจะมีผลตอบแทนเรื่องที่ดินทั้งโครงการประมาณ 1-2 หมื่นล้านบาท   

*** รถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ 7.29 หมื่นล้าน เปิดพื้นที่ภาคเหนือเชื่อมจีนตอนใต้

ส่วนรถไฟทางคู่ระยะ 2 จำนวน 7 เส้นทาง และรถไฟทางสายใหม่ 2 เส้นทาง ระยะทางรวม 2,174 กม. มูลค่าโครงการรวม 427,012.03 ล้านบาทนั้น นายอานนท์กล่าวว่า ในสายเหนือมี 3 เส้นทาง ได้แก่ ปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง 285 กม. วงเงิน 62,883.55 ล้านบาท อยู่ระหว่างการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของ คชก. ช่วงเด่นชัย-เขียงใหม่ ระยะทาง 217 กม. วงเงิน 59,992.44 ล้านบาท เตรียมเสนอกระทรวงคมนาคม ส่วนช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323 กม. วงเงิน 72,921 ล้านบาท ซึ่งเป็นเส้นทางสายใหม่ กระทรวงคมนาคมกำลังพิจารณา เป็นเส้นทางที่ผ่าน EIA แล้วมีความพร้อมที่สุด หากบอร์ดสภาพัฒน์เห็นชอบจะเสนอ ครม.ได้ในเดือน มี.ค. และเปิดประมูลใน 3-4 เดือน

“ทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ จะเป็นเส้นทางสายใหม่ที่เชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่งกับ สปป.ลาว และจีนตอนใต้ และเปิดพื้นที่การพัฒนาและกระจายความเจริญไปสู่ภาคเหนือตอนบน บริเวณจังหวัดแพร่ พะเยา และเชียงราย ที่ไม่มีเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อ โดยจะมี Container Yard : CY จำนวน 5 แห่ง ที่สถานีแพร่, พะเยา, ป่าแดด, เชียงราย, เชียงของ ใช้เวลาก่อสร้าง 48 เดือน มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR ) 13.31% ผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) 1.02%”

อย่างไรก็ตาม รถไฟทางคู่ทั้ง 9 เส้นทางจะทยอยนำเสนอ ครม. และเปิดประมูลภายในปีนี้ ซึ่งนอกจากสายเหนือแล้ว ในส่วนของเส้นทางสายใต้ 3 เส้นทาง ได้แก่ ชุมพร-สุราษฎร์ธานี วงเงิน 24,293.54 ล้านบาท, สุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่ วงเงิน 51,823.28 ล้านบาท และหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ วงเงิน 57,374.70 ล้านบาท

ส่วนสายตะวันออกเฉียงเหนืออีก 3 เส้นทาง คือ ขอนแก่น-หนองคาย วงเงิน 26,662.40 ล้านบาท, ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี วงเงิน 37,431.22 ล้านบาท และช่วง บ้านไผ่-นครพนม วงเงิน 65,738.91 ล้านบาท ซึ่งเป็นเส้นทางสายใหม่


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 02 เมษายน 2018, 10:25:53
ปิดตำนาน รร.ดุสิตฯ เชียงรายแล้ววันนี้ อีก 4 เดือนพบโฉมใหม่เครือ “กะตะธานี”
เผยแพร่: 1 เม.ย. 2561 12:46:   ปรับปรุง: 1 เม.ย. 2561 15:26:   โดย: MGR Online
 
เชียงราย - กลุ่ม “กะตะธานี” ดีเดย์ปิดปรับปรุง “รร.ดุสิต ไอส์แลนด์รีสอร์ทเชียงราย” แล้วตั้งแต่วันนี้ หลังทุ่มทุนกว่า 1.4 พันล้าน เข้าเทกโอเวอร์ พร้อมเริ่มลุยปรับโฉม ก่อนเปิดใหม่สิ้นกรกฎาคมนี้ ภายใต้แบรนด์ใหม่ “เดอะ ริเวอร์ รี บาย กะตะธานี” หรือโรงแรมลี่ เจียง ต้าจิ่วเจี้ยน”

วันนี้ (1 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือ “กะตะธานี” ได้เริ่มปิดปรับปรุงโรงแรมดุสิต ไอส์แลนด์ รีสอร์ท เชียงราย เป็นเวลานาน 4 เดือนแล้ว เริ่มตั้งแต่วันนี้-31 ก.ค.61 หลังจากได้เทกโอเวอร์กิจการจากเครือดุสิตธานี มาตั้งแต่ปลายปี 2560 ที่ผ่านมา แต่ยังคงใช้ชื่อเดิมมาตลอด จนถึงวันที่เริ่มปิดปรับปรุง จากนั้นจะใช้ชื่อใหม่คือ “เดอะริเวอร์ รี บาย กะตะธานี” เพื่อเปิดให้บริการใหม่อีกครั้งในกลางปีนี้

ซึ่งนับตั้งแต่เครือกะตะธานี คอลเล็คชั่น เข้าเทกโอเวอร์โรงแรมนี้ ด้วยมูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาทแล้ว ได้ส่งผู้บริหารชุดใหม่เข้าดูแลกิจการ พร้อมส่งพนักงานเดิมเข้าฝึกอบรมที่โรงแรมในเครือ โดยเฉพาะที่ภูเก็ต และพังงา ที่มีโรงแรมในเครืออยู่ถึง 6 แห่งด้วยกัน เพื่อนำรูปแบบการบริหารแบบกะตะธานีมาใช้แทน


ขณะที่ นายสมบัติ อติเศรษฐ์ ประธานบริหารกลุ่มโรงแรมกะตะธานี คอลเล็คชั่น ประกาศว่า ต้องการปรับปรุงวัสดุอุปกรณ์ และบริการต่างๆ ให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกับเครือกะตะธานี คอลเล็คชั่น จึงได้มีการประกาศขายสินค้ามือสองโดยเฉพาะของใช้ในห้องพัก และอุปกรณ์ครัวอย่างขนานใหญ่ ซึ่งพบว่ามีผู้เข้าไปหาซื้อแล้ว ส่วนด้านการปรับปรุงภายในพบว่าก่อนหน้านี้มีการปรับปรุงไปบ้างแล้วบางส่วน โดยเฉพาะด้านห้องน้ำ และอื่นๆ กระทั่งมีการปิดครั้งใหญ่ยาวถึง 3 เดือนในครั้งนี้

นายสมบัติ กล่าวว่า เมื่อเปิดบริการใหม่อีกครั้งเราจะใช้ชื่อว่า เดอะ ริเวอร์ รี บาย กะตะธานี และใช้ชื่อภาษาจีนว่า “โรงแรมลี่ เจียง ต้าจิ่วเจี้ยน” ที่แปลว่าแม่น้ำที่สวยงาม เนื่องจากตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำกก ที่ร่มรื่นพอดี ซึ่งก่อนเปิดใหม่เราก็ต้องปรับปรุงเพื่อให้เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวที่แท้จริง ทั้งรูปแบบห้องพัก จำนวน 271 ห้อง ที่จะปรับใหม่หมดทั้งระบบเครื่องปรับอากาศ ลิฟต์ ห้องน้ำ ห้องอาหาร สระว่ายน้ำ เพื่อความทันสมัยภายใต้การตกแต่งแบบไทยร่วมสมัย ผสมผสานกับความเป็นล้านนาด้วย ทั้งนี้ การปรับปรุงจะใช้งบประมาณราว 300 ล้านบาท เมื่อแล้วเสร็จจะกลายเป็นที่พัก แหล่งพักผ่อน ประชุม จัดเลี้ยงชั้นนำของภูมิภาคนี้ต่อไป

สำหรับโรงแรมดุสิต ไอส์แลนด์ รีสอร์ท เคยเป็นโรงแรมที่เคยอยู่ในเครือดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล หรือบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นโรงแรมทันสมัยแห่งแรกๆ ของเชียงราย ได้รับการยอมรับว่ามีการรักษามาตรฐานความทันสมัย รองรับแขกทั้งชาวไทย และต่างประเทศมาเป็นเวลานานจนกลายเป็นสัญลักษณ์การให้บริการที่ทันสมัยของเชียงราย




หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 เมษายน 2018, 14:25:10
20 เมือง ที่มนุษย์ทำงานอยากหยุดงานไปเที่ยวมากที่สุด

 
ททท. เปิดตัวแคมเปญ “Take a Break” (เทค อะ เบรค) ชวนมนุษย์ทำงานหยุดพักจากการทำงาน แล้วออกเดินทางท่องเที่ยว หวังช่วยบำบัดความเครียดและจุดไฟสร้างสรรค์ให้คนทำงาน พร้อมเผยผลสำรวจออนไลน์ 20 เมืองที่มนุษย์ทำงานอยากไป Take a Break มากที่สุด ปรากฏว่าเชียงรายมาเป็นอันดับ 1 ตามด้วย แม่ฮ่องสอน และน่าน ตามลำดับ

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) จับมือพันธมิตร เปิดตัวแคมเปญ“Take a Break” (เทค อะ เบรค) แคมเปญท่องเที่ยวเพื่อมนุษย์ทำงาน โดยมุ่งชวนคนทำงานให้หยุดพักจากงาน แล้วออกเดินทางท่องเที่ยว หวังช่วยบำบัดความเครียด และจุดไฟสร้างสรรค์ให้คนทำงาน

นายนพดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า “ทุกวันนี้คนทำงานหนักกันมาก พักผ่อนน้อย เครียดมาก จนหมดพลัง หมดไฟในการทำงานไปเลย แคมเปญ Take a Break (เทค อะ เบรค) เกิดขึ้นเพื่ออยากจะเชิญชวนมนุษย์ทำงานทุกคนให้เห็นความสำคัญของการหยุดพักเบรคจากการทำงานแล้วออกเดินทางท่องเที่ยว งานวิจัยต่างๆ ก็ยืนยันมาแล้วว่า ข้อดีของการท่องเที่ยวช่วยบำบัดความเครียด ช่วยชาร์จพลัง จุดไฟสร้างสรรค์ให้กลับมาทำงานได้ดีมากขึ้น”

พร้อมกันนี้ ททท. ยังได้ทำการสำรวจทางออนไลน์ให้มนุษย์ทำงานโหวตเลือกเมืองที่อยากไป Take a Break (เทค อะ เบรค)มากที่สุด ผลปรากฏว่า 20 เมืองที่มนุษย์ทำงานโหวตเลือกอยากไป Take a Break หยุดพักงานไปเที่ยวมากที่สุด ได้แก่


1. เชียงราย
2. แม่ฮ่องสอน
3. น่าน
4. ระนอง
5. ชุมพร
6. ตรัง
7. เพชรบูรณ์
8. สตูล
9. ตราด
10. จันทบุรี
11. ราชบุรี
12. นครศรีธรรมราช
13. อุบลราชธานี
14. อุดรธานี
15. นครนายก
16. ปราจีนบุรี
17. สมุทรสงคราม
18. อุทัยธานี
19. สุโขทัย
20. พิษณุโลก

https://mgronline.com/travel/detail/9610000038032


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 20 เมษายน 2018, 16:52:20
ส่วนต่อขยายเซ็นทรัลเชียงราย


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 เมษายน 2018, 08:53:05
วนคืน 2.5 พันไร่ผุดศูนย์โลจิสติกส์ชายแดน-หัวเมืองหลัก

วันที่ 30 มกราคม 2561 - 11:20 น.

กรมการขนส่งฯเวนคืนที่ดิน 2.5 พันไร่ ปักหมุดสถานีขนส่งสินค้า 19 แห่งทั่วประเทศ วงเงินกว่า 1.5 หมื่นล้าน เกาะรัศมีเศรษฐกิจพิเศษชายแดนและเมืองหลัก เสริมแกร่งโลจิสติกส์ ประเดิม “เชียงของ” ใหญ่สุด 330 ไร่ เตรียมเปิดประมูลให้เอกชนร่วม PPP พันล้าน แลกรับสัมปทาน 15 ปีบริหารพื้นที่ เปิดปี’63 บูมการค้า-ท่องเที่ยวชายแดนไทย-ลาว-จีนใต้ คิวต่อไป นครพนม แม่สอด สงขลา สระแก้ว มุกดาหาร หนองคาย

นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เปิดเผยว่า กรมได้จัดทำแผนแม่บท (master plan) การพัฒนาสถานีขนส่งสินค้าใช้เวลาพัฒนา 7 ปี (2558-2565) จำนวน 22 แห่งทั่วประเทศ ปัจจุบันดำเนินการแล้วในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 3 แห่ง ได้แก่ พุทธมณฑล คลองหลวง และร่มเกล้า อีก 19 แห่งอยู่ในแผนดำเนินงาน มีขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ ขณะนี้กำลังจัดหาพื้นที่เพื่อดำเนินการ คาดว่าจะใช้เงินก่อสร้าง 15,967.42 ล้านบาท

แยกเป็น สถานีขนส่งสินค้าจังหวัดชายแดน 11 แห่ง ค่าก่อสร้าง 8,790.44 ล้านบาท เริ่มดำเนินการที่เชียงของเป็นแห่งแรก เนื้อที่ 330 ไร่ ค่าก่อสร้าง 1,360 ล้านบาท เสร็จปี 2563 จะเป็นศูนย์เปลี่ยนถ่ายขนส่งสินค้าระหว่างประเทศผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) และถนน R3A จากไทยผ่าน สปป.ลาว จีนตอนใต้ และเวียดนาม


ในปี 2561 จะดำเนินการที่นครพนม เนื้อที่ 115 ไร่ ค่าก่อสร้าง 846.23 ล้านบาท เปิดบริการปี 2564 จากนั้นเป็นที่แม่สอด เนื้อที่ 140 ไร่ ค่าก่อสร้าง 748.88 ล้านบาท สระแก้ว เนื้อที่ 100 ไร่ ค่าก่อสร้าง 584.65 ล้านบาท สงขลา เนื้อที่ 178ไร่ ค่าก่อสร้าง 1,268.43 ล้านบาท มุกดาหาร เนื้อที่ 108 ไร่ ค่าก่อสร้าง 534.65 ล้านบาท หนองคาย เนื้อที่ 139 ไร่ ค่าก่อสร้าง 755.57 ล้านบาท แม่สาย เนื้อที่ 78 ไร่ ค่าก่อสร้าง 512.31 ล้านบาท นราธิวาส เนื้อที่ 79 ไร่ ค่าก่อสร้าง 613.60 ล้านบาท ตราด เนื้อที่ 77 ไร่ ค่าก่อสร้าง 841.98 ล้านบาท จะเปิดบริการในปี 2565 ส่วนกาญจนบุรีจะชะลอการพัฒนาไว้ก่อน ตามแผนจะเสร็จในปี 2576 มีเนื้อที่ 171 ไร่ ค่าก่อสร้าง 723.98 ล้านบาท

อีก 8 แห่งเป็นสถานีขนส่งสินค้าเมืองหลัก ค่าก่อสร้าง 7,176 ล้านบาท ได้แก่ เชียงใหม่ เนื้อที่ 95 ไร่ ค่าก่อสร้าง 937 ล้านบาท พิษณุโลก เนื้อที่ 61 ไร่ ค่าก่อสร้าง 633 ล้านบาท ขอนแก่น เนื้อที่ 140 ไร่ ค่าก่อสร้าง 1,115 ล้านบาท นครราชสีมา เนื้อที่ 138 ไร่ ค่าก่อสร้าง 1,064 ล้านบาท สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 150 ไร่ ค่าก่อสร้าง 1,146 ล้านบาท จะเปิดบริการในปี 2566 ส่วนนครสวรรค์เปิดบริการปี 2569 มีเนื้อที่ 277 ไร่ ค่าก่อสร้าง 463 ล้านบาท อุบลราชธานี เนื้อที่ 109 ไร่ ค่าก่อสร้าง 863.34 ล้านบาท เปิดบริการปี 2573 และปราจีนบุรี เนื้อที่ 105 ไร่ ค่าก่อสร้าง 952 ล้านบาท จะชะลอโครงการออกไปก่อน

“การพัฒนาโครงการในเขตเศรษฐกิจชายแดนจะมีบางแห่งที่รัฐดำเนินการเองทั้งก่อสร้างและการบริหารจัดการ เช่น แม่สาย แม่สอด สระแก้ว นราธิวาส ตราด และให้เอกชนลงทุน PPP รับสัมปทานบริหารพื้นที่ โดยรัฐก่อสร้างและเวนคืนที่ดินให้ เช่น เชียงของ จะเปิดประมูลในปีนี้ ให้สัมปทานเอกชน 15 ปี นอกจากนี้มีนครพนม หนองคาย มุกดาหาร สงขลา ส่วนพื้นที่เมืองหลักที่รัฐจะดำเนินการเองมี พิษณุโลก นครราชสีมา ที่เหลือให้เอกชนบริหารจัดการ”

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า แผนการก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า 22 แห่งทั่วประเทศ ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนตามนโยบายรัฐบาล กรมการขนส่งทางบกนำร่องที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย เป็นแห่งแรก และใหญ่ที่สุดของแผนแม่บท

เนื่องจากเชียงของอยู่ในแนวเส้นทางการเชื่อมโยงระหว่างประเทศภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และ GMS มีการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 ที่เปิดบริการปี 2556 มีการขนส่งสินค้าจาก สปป.ลาว และจีน เพิ่มขึ้นทุกปี เฉลี่ยปีละ 10-15% ในปี 2560 อยู่ที่ 21,000 ล้านบาท และปี 2561 จะแตะที่ 30,000 ล้านบาท นับว่ามีมูลค่าสูง และทำให้เศรษฐกิจชายแดนดีขึ้น

“เปิดสะพานข้ามโขงแห่งที่ 4 ปริมาณรถบรรทุกก็เพิ่มขึ้นทุกปี ปีที่แล้วมีรถบรรทุกสินค้าที่วิ่งระหว่างชายแดนไทย-ลาว อยู่ที่ 1.25 แสนคัน หรือเฉลี่ยวันละประมาณ 160 คัน สูงสุด 200 คัน แนวโน้มจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องข้อกฎหมายการจราจรที่ไม่เหมือนกันของแต่ละประเทศ จึงทำให้ต้องลงทุนสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายขนส่งสินค้าที่เชียงของ เพื่อเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์รองรับรถบรรทุกสินค้าทุกประเทศที่ขนสินค้าผ่านแดน”

นอกจากนี้ ภาพของ อ.เชียงของจะเปลี่ยนไป หลังเปิดใช้สะพานเชื่อมพรมแดนไทย-ลาว และศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า จะทำให้เกิดความสะดวกสบายด้านการขนส่งสินค้าโดยรถบรรทุกระหว่างประเทศมากขึ้น ในอนาคตจะเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าจากรถยนต์ไปสู่ระบบรางมากขึ้น ตามแผนพัฒนาระยะที่ 2 จะมีการขนส่งเชื่อมกับรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323 กม. ที่จะสร้างจากสถานีเชียงของเข้ามายังศูนย์ขนส่งสินค้าเชียงของ ระยะทางประมาณ 6 กม. จะทำให้การขนส่งสินค้าจากจีนไปท่าเรือแหลมฉบังได้เร็วขึ้น

อีกทั้งที่เชียงของจะเป็นแห่งแรกที่จะแยกระหว่างผู้โดยสารกับสินค้าที่ผ่านด่านออกจากกัน และจะขอให้บรรจุด่านเชียงของเป็นด่านตรวจร่วมกันตามข้อตกลง GMS

“เชียงของจะเป็นศูนย์โลจิสติกส์ภาคเหนือ ทำให้การขนส่งสินค้าของไทยไปภาคใต้ของจีนสะดวกขึ้น ทำให้มูลค่าการค้าเพิ่มมากขึ้นอีก เพราะจะสามารถไปยังคุนหมิง มณฑลยูนนาน สิบสองปันนา เชื่อมต่อไปหลวงพระบาง เวียดนาม และหนานหนิง หรือว่าลงมาทางกวางเจาก็ได้ จะเป็นส่วนหนึ่งของการเกาะเกี่ยว One Belt One Road ของจีน” นายอาคมกล่าว

https://www.prachachat.net/property/news-109076


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 เมษายน 2018, 17:25:38
การท่าฯเดินหน้าปั้นสนามบินแม่ฟ้าหลวง ชูสภาพแวดล้อมสู้สิงคโปร์
เผยแพร่: 23 เม.ย. 2561 12:41:   โดย: MGR Online
 



เชียงราย – การท่าอากาศยาน เดินหน้าเทงบ 6 พันล้าน พัฒนา “สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย” วางเป้ารองรับเที่ยวบินให้ได้ 30 เที่ยว/ชั่วโมง-ผู้โดยสาร 3.7 ล้านต่อปี ชูสภาพแวดล้อมเป็นจุดเด่นสู้สิงคโปร์



วันนี้ (23 เม.ย.) บริษัทการท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้เปิดการประชุม "การศึกษาและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมกรณีการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย" ขึ้นที่ ที่ห้องธรรมปัญญา องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย

ที่ประชุมมีการให้ข้อมูลว่า บริษัทการท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) มีแผนพัฒนา 3 ระยะคือ ระยะที่ 1 ตั้งแต่ปี 2561-2565 มีเป้าหมายรองรับปริมาณจราจรทางอากาศถึงปี 2568 ให้ 16 เที่ยวบินต่อชั่วโมง เพิ่มหลุมจอดอากาศยานจากเดิม 5-7 หลุมจอด เป็น 10 หลุมจอด สามารถรองรับผู้โดยสารได้ไม่น้อยกว่า 3 ล้านคนต่อปี และมีที่จอดรถยนต์ 1,200 คัน

ระยะที่ 2 ตั้งแต่ปี 2564-2569 มีเป้าหมายรองรับปริมาณจราจรทางอากาศถึงปี 2573 ให้ได้เท่าเดิม แต่เพิ่มหลุดจอดอากาศยานให้มากขึ้นเป็นจำนวน 12 หลุมจอด รับผู้โดยสารได้ไม่น้อยกว่า 3.3 ล้านคนต่อปี และยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้

ระยะที่ 3 ตั้งแต่ปี 2569-2574 เป้าหมายเพื่อรองรับปริมาณจราจรทางอากาศได้ถึงปี 2578 รองรับเที่ยวบินได้ 30 เที่ยวบินต่อชั่วโมง หลุมจอดอากาศยาน 13 หลุมจอด และรองรับผู้โดยสารได้ไม่น้อยกว่า 3.7 ล้านคนต่อปี มีทางขับขนานด้านทิศเหนือ

โดยก่อนดำเนินการจะมีการประชาสัมพันธ์ และเปิดเวทีการมีส่วนร่วมไปจนถึงปลายเดือน มิ.ย.2561 นี้ ครอบคลุมพื้นที่ศึกษา 2 อำเภอ 8 ตำบลในเขต อ.เมืองเชียงราย และ อ.เวียงชัย เพื่อชี้แจงข้อมูลทั้งด้านกายภาพ เสียง ปริมาณฝุ่นละออง น้ำ ระบบจัดการน้ำเสีย ฯลฯ ที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานอยู่แล้ว





นายปรีชา กล่าวว่า ปัจจุบันพัฒนาการทางการบินรุดหน้าไปอย่างต่อเนื่อง ผู้โดยสารให้ความนิยมเดินทางกันมากขึ้น ทำให้กิจการการบินขยายตัว เกิดสายการบินราคาต่ำหรือโลว์คอสมากขึ้น โดยเฉพาะเชียงราย ที่มีผู้โดยสารใช้บริการท่าอากาศยานอย่างล้นหลามในช่วงเทศกาลท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าอาจจะมีผลกระทบบ้างแต่เชื่อว่าการพัฒนาเพื่อรองรับความเจริญทางการบินจะอยู่ในเกณฑ์ที่สังคมรับได้

ด้าน ดร.พุทธชาติ กล่าวว่า การศึกษาและจัดทำรายงานครั้งนี้เพื่อรองรับการพัฒนาทางการบิน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการให้บริการระดับนานาชาติ จึงต้องมีการดำเนินการให้มีความละเอียดรอบคอบ เพื่อให้เกิดความยอมรับไปทั่วโลก โดยเฉพาะปัจจุบันมีการแข่งขันเป็นศูนย์ทางการบินระหว่างประเทศมีสูง เช่น ประเทศสิงคโปร์มีการพัฒนาสนามบินขนาดใหญ่ด้วยงบประมาณมหาศาล ฯลฯ

สำหรับ จ.เชียงราย มีผู้โดยสารใช้บริการทะลุถึงปีละกว่า 2.5 ล้านคนแล้ว เราต้องถือว่ามีสภาพแวดล้อมของพื้นที่ที่ดีทั้งต้นไม้และทุ่งนารายรอบ ซึ่งชาวบ้านที่อยู่ในละแวกดังกล่าวก็เข้าใจการพัฒนาและสนับสนุนอย่างเต็มที่

รายงานข่าวจากบริษัทท่าอากาศยานไทย (จำกัด) มหาชน แจ้งว่าในปี 2558 ที่ผ่านมามีเที่ยวบินไปใช้บริการที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย จำนวน 11,866 เที่ยวบิน มีผู้โดยสารจำนวน 1,517,160 คน และปี 2559 มีเที่ยวบิน 13,021 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นประมาณ 9.73% และมีผู้โดยสารจำนวน 1,816,147 คน

ปัจจุบันมีสายการบินให้บริการหลากหลาย เช่น เชียงราย-สุวรรณภูมิ , เชียงราย-ดอนเมือง , เชียงราย-ภูเก็ต ฯลฯ และยังมีสายการบินเชื่อมต่อไปต่างประเทศ เช่น เชียงราย-ฮ่องกง , เชียงราย-สิบสองปันนา ประเทศจีน ฯลฯ

ดังนั้นคณะกรรมการบริษัทฯ จึงได้อนุมัติแผนแม่บทพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มูลค่า 6,000 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 15 ปี แบ่งเป็นระยะที่ 1 วงเงินประมาณ 3,700 ล้านบาท ระยะที่ 2 วงเงินประมาณ 600 ล้านบาท และระยะที่ 3 วงเงินประมาณ 1,900 ล้านบาทดังกล่าว.


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 02 พฤษภาคม 2018, 13:59:17
ทอท.เชียงราย” เตรียมเปิดเที่ยวบินเชื่อมโยงเหนือ-อีสาน


เชียงราย-นำคณะฯ สำรวจเส้นทางเชื่อมเชียงราย สู่อุดร ส่งเสริมการท่องเที่ยว เตรียม เปิดศูนย์ซ่อมเครื่องบินที่ทันสมัย ปรับปรุงขยายอาคารผู้โดยสารเป็น 3 ชั้น รองรับการขยายตัวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่า 3 ล้านคนต่อปี

เวลา 6.50 น. วันนี้ นายวิสูตร คำยอด ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย นำคณะ ผู้บริหาร ผู้นำชุมชนรอบท่าอากาศยานฯ และคณะสื่อมวลชน จำนวน 43 ชีวิต เดินทางโดยสายการบินไลน์ออนแอร์ ไปลงท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อเดินทางต่อ ไปยังจังหวัดอุดรธานี โดยสายการบินไลน์ออนแอร์ เช่นกัน เพื่อสำรวจเส้นทาง แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อต่างๆ ในจังหวัดอุดรธานี และจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งเป็นการนำร่องเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เกี่ยวข้องกับท่าอากาศยานทั้ง 2นายวิสูตร คำยอด กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งเชื่อมโยงการค้า การลงทุน มีชายแดนที่ติดกับประเทศเมียนมา และ สปป.ลาว ที่สามารถใช้เป็นเส้นทางเพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศจีน ได้อย่างสะดวก ในแต่ละปี จะมีนักท่องเที่ยว และประชาชนทั้งในและนอกประเทศ เดินทางเข้าออกมายังจังหวัดเชียงราย โดยสายการบินต่างๆ เป็นจำนวนมาก จากสถิติในปี 2559 มีผู้เดินทางเข้าออกสายการบินระหว่างประเทศ ในประเทศ รวมกันสูงถึง 2,059,940 คน, ปี 2560 จำนวน 2,492,728 คน ซึ่ง เห็นได้ชัดว่าตัวเลขของผู้เดินทางเข้าออกท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงรายมีการขยับตัวสูงขึ้นมากในแต่ละปี คาดหมายว่าในปีนี้จะแตะ 3 ล้านคน ในปัจจุบันมีจำนวนเที่ยวบินทั้งขาเข้า-ขาออก ทั้งในและต่างประเทศรวมกันมากถึง 62 เที่ยวบินต่อวัน เพื่อเป็นการรองรับผู้โดยสารที่คาดว่าจะมีจำนวนสูงกว่า 3 ล้านคน จึงได้มีการเตรียมปรับปรุงอาคารรองรับผู้โดยสาร ซึ่งจะมีการขยายเป็นอาคาร 3 ชั้น เพิ่มหลุมจอดเครื่องบินเป็น 7 หลุม รวมทั้งจะมีการเปิดอาคารศูนย์ซ่อมเครื่องบิน รวมแผนการพัฒนาทั้งหมดจะใช้วงเงินประมาณ 7000 ล้านบาท โดยการนำคณะฯ มาในวันนี้ เพื่อสำรวจเส้นทาง สำรวจแหล่งท่องเที่ยวในภาคอีสานเหนือ เตรียมการเปิดเที่ยวบินตรง เชียงราย-อุดร รองรับการท่องเที่ยว การลงทุน ของประชาชนทั้ง 2 ภูมิภาค ในอนาคตอันใกล้นี้ http://77kaoded.com/ทอท-เชียงราย-เตรียมเปิด/


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2018, 17:21:25
ททท.ระดม 5 ผอ.ทั่วจีนชี้ทางดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทยเพิ่ม เผยหนุ่มสาว 3 มณฑลกำลังซื้อสูง
เผยแพร่: 23 พ.ค. 2561
 


เชียงราย - ททท.ระดม 5 ผู้อำนวยสำนักงานทั่วจีนขึ้นเวที “Chinese Market Insight” แนะช่องทางบริษัทนำเที่ยวเหนือดึงนักท่องเที่ยวจีนทัวร์นอก 140 ล้านคนเข้าไทยเพิ่ม ชี้เป้าคนหนุ่มสาว-วัยทำงาน 3 มณฑลกำลังซื้อสูง





การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จัดสัมมนาเรื่อง “Chinese Market Insight” โดยนำ ผอ.ททท. 5 สำนักงานทั่ว สป.จีน คือ ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้, คุนหมิง, เฉิงตู และกว่างโจว ร่วมบรรยายให้ตัวแทนหน่วยงานรัฐ-เอกชนในภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงราย เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ห้องประชุมโรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท อ.เมืองเชียงราย

น.ส.รัญจวน ทองรุต ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออก ททท.ที่เดินทางมาเป็นประธานเปิดงาน กล่าวว่า เป็นการเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวในเชียงราย พะเยา และใกล้เคียง ในการต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนที่มีแนวโน้มเดินทางมาในพื้นที่มากขึ้น สร้างความพึงพอใจ ลดการเกิดผลกระทบในการลบ

ททท.มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบเฉพาะตัว หรือกลุ่มเล็กไม่เกิน 8 คน ด้วยโปรแกรมเดินทางแบบพิเศษที่แสวงหาความแปลกใหม่ ซึ่งจะทำให้เราได้นักท่องเที่ยวคุณภาพมากขึ้นด้วย โดยปี 2561 ตั้งเป้ารายได้จากนักท่องเที่ยวจีนไม่ต่ำกว่า 561,110 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 10%

นายจรัญ ชื่นในธรรม ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานเฉิงตู กล่าวว่า จีนมีประชากรกว่า 1,400 ล้านคน แต่มีประชากรที่มีหนังสือเดินทางระหว่างประเทศเพียงแค่ประมาณ 140 ล้านคน หรือ 10% ของประชากรทั้งหมด แต่แค่นี้ก็ถือว่ามากแล้ว และโชคดีที่ไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมายของนักท่องเที่ยวจีน รองจากประเทศญี่ปุ่น

เมืองที่ชาวจีนอยากไปเที่ยวมากคือ โตเกียว และโอซากา ของญี่ปุ่น อันดับ 3 คือ พัทยาของไทย อัตราเฉลี่ยของคนจีนที่ออกมาเที่ยวคือ 6 วัน แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยต้องพัฒนาคือ การอำนวยความสะดวกด้านระบบออนไลน์ ซึ่งชาวจีนจะไม่มีการใช้ไลน์ เฟซบุ๊ก กูเกิล ฯลฯ แต่จะใช้ในรูปแบบเฉพาะเพื่อการจับจ่ายใช้สอยด้วย รวมทั้งหาพันธมิตรในช่วงแรกเพื่อเจาะตลาดจีน และเข้าถึงเรื่องสายการบินด้วย



นางอัญชลี คุ้มวงษ์ ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานปักกิ่ง กล่าวว่า มณฑลทางตอนเหนือของจีนมีประชากรประมาณ 400 ล้านคน และนิยมออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศประมาณ 20 ล้านคน ในจำนวนนี้มาเที่ยวไทยกว่า 3 ล้านคน หรือประมาณ 15% สถานที่ที่นิยมคือทะเล วัฒนธรรมแปลกใหม่สำหรับพวกเขา โดยเฉพาะเมืองพัทยา กรุงเทพฯ กระบี่ เกาะสมุย เชียงใหม่ ฯลฯ ส่วนเชียงราย ถือว่ามีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ จึงสามารถขยายกลุ่มเป้าหมายดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ ซึ่งนักท่องเที่ยวโซนนี้มักเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง



ด้าน น.ส.พรนันท์ สัณหจันทร์ ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานคุนหมิง กล่าวว่า สำนักงานฯ ดูแลพื้นที่ 3 มณฑล คือ มณฑลยูนนาน ที่มีคนเดินทางมาไทยมากที่สุดปีละกว่า 600,000 คน, มณฑลกวางสี จำนวน 300,000 คน และมณฑลกุ้ยโจว จำนวน 200,000 คน รวมทั้งสิ้นประมาณ 1.1 ล้านคน

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าในปี 2561-2562 จะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมามากขึ้นถึง 1.3 ล้านคน หรือมากกว่านั้น เพราะทางการจีนและเอกชนนำเที่ยวในจีนจัดโปรโมชันต่างๆ มากมาย และคนจีนก็เข้าใจระเบียบ วัฒนธรรมและอื่นๆ ของไทยมากขึ้นด้วย

น.ส.พรนันท์กล่าวอีกว่า พฤติกรรมนักท่องเที่ยวโซนนี้นิยมเที่ยวแบบครอบครัวและเป็นคาราวานรถยนต์ แม้ในปี 2560 จะลดลงเพราะไทยปรับระเบียบการขับรถผ่านแดน แต่ปีนี้นักท่องเที่ยวชาวจีนเข้าใจมากขึ้น จึงคาดว่าจะมีคาราวานนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาตามถนนอาร์สามเอ ไทย-สปป.ลาว-มณฑลยูนนาน มากขึ้น และถนนอาร์สามเอก็จะเป็นสายหลักของคาราวานทัวร์จีนเหมือนเดิมต่อไป

“นักท่องเที่ยว 3 มณฑลนี้ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวและวัยทำงานรวมทั้งมีกำลังซื้อสูง จากการสำรวจพบว่านิยมท่องเที่ยวที่วัดร่องขุ่น ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมืองเชียงราย มากเป็นอันดับ 1 รองลงมาคือ วัดร่องเสือเต้น ไร่สิงห์ปาร์ค บ้านดำ ล่าสุดยังเรียกร้องให้จัดทัวร์ไปยังกว๊านพะเยาอีกด้วย”


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 19 มิถุนายน 2018, 13:57:21
เชียงราย - ผู้ว่าฯ ภาคธุรกิจ นักอนุรักษ์ ขึ้นเวทีชี้ทางพัฒนาเชียงรายรับทุนจีนทะลัก พ่อเมืองแนะเร่งแก้ 6 เรื่องใหญ่ ทั้งผังเมือง ภาษา อำนาจอนุมติ ฯลฯ เอ็นจีโอชงแนวคิดเปิด ม.สมุนไพร เชื่อได้ทั้งจีน-ท้องถิ่น



ในเวทีประชุมวิชาการด้านชายแดนศึกษาและการพัฒนาระหว่างประเทศ ครั้งที่ 1 ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-17 มิ.ย.นั้น นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้บรรยายพิเศษเรื่อง "โอกาสและความท้าทายในการสร้างความร่วมมือพัฒนาพื้นที่ชายแดนเชียงรายกับประเทศเพื่อนบ้าน"

นายณรงค์ศักดิ์กล่าวว่า ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ต่อมามีการพัฒนาชายฝั่งตะวันออก หรืออีสเทิร์นซีบอร์ด กระทั่งปี 40 ไทยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ก็ยังเหลืออีสเทิร์นซีบอร์ด ซึ่งทำให้รายได้ต่อหัวของคนระยองสูงถึง 4 แสนบาท แต่ไทยไม่ได้มีเฉพาะกรุงเทพฯ และภาคตะวันออก จึงเป็นที่มาของการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน ซึ่งเชียงรายก็ได้รับเลือกให้จัดตั้งระยะที่ 2 ในพื้นที่ 3 อำเภอ คือ แม่สาย เชียงแสน และเชียงของ

ปัจจุบันเชียงรายมีผลิตภัณฑ์มวลรวม หรือจีดีพี 99,827 ล้านบาท อยู่ในอันดับที่ 26 ของประเทศ รายได้เฉลี่ย 86,884 บาทต่อคนต่อปี อันดับที่ 46 ของประเทศ มีเศรษฐกิจสำคัญจากภาคการเกษตรคิดเป็น 65% และนอกการเกษตรคิดเป็น 35% แต่ผลผลิตการเกษตรราคาตกต่ำ จังหวัดจึงส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ที่ให้ราคาสูงกว่าเพื่อให้สัดส่วนเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเป็น 40% ให้ได้ต่อไป

ส่วนการค้าชายแดนนั้นถือว่าเป็นจุดเด่นที่มีมูลค่ามหาศาลในแต่ละปีอยู่แล้ว ส่วนการท่องเที่ยวยังมีความแตกต่างระหว่างฤดูท่องเที่ยวและฤดูฝน ดูได้จากเที่ยวบินช่วงไฮซีซัน สูงถึงสัปดาห์ละ 80 เที่ยว แต่ช่วงนี้ลดเหลือไม่เกิน 40-50 เที่ยว

จังหวัดจึงร่วมกับภาคเอกชนและเครือข่ายประชาชนส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ เช่น ท่องเที่ยวทางศิลปะ วัฒนธรรม ชุมชน ฯลฯ เพื่อลดช่องว่างระหว่างฤดูลงให้ได้ เพราะเศรษฐกิจนอกภาคเกษตรของจังหวัดคาดว่ามีอยู่ราว 30% หากรวมกับภาคการเกษตรที่จะทำให้สูงถึง 40% ก็จะกลายเป็น 70% ซึ่งถือเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเชียงราย นอกจากนี้ เศรษฐกิจเชียงรายยังขึ้นอยู่กับการศึกษาด้วย ซึ่งไม่น่าเชื่อว่ามีอยู่ถึงกว่า 10% เพราะมีคนนอกพื้นที่ และต่างประเทศมาเรียนจำนวนมาก ทำให้เกิดเงินหมุนเวียนอย่างมหาศาล

ผู้ว่าราชการ จ.เชียงรายสรุปถึงปัญหาและอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของ จ.เชียงรายว่ามีอยู่ 6 ประการหลักๆ คือ 1. ราคาที่ดินที่พุ่งสูง แม้แต่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 3 อำเภอราคาก็สูงมาก เช่น อ.เชียงแสน ชาวบ้านต้องการราคาที่ดินไร่ละกว่า 1-2 ล้านบาท ฯลฯ

2. อุปสรรคเรื่องผังเมือง เพราะกลุ่มที่ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจกับกลุ่มนักอนุรักษ์มองการพัฒนาคนละทิศทาง เช่น กรณียางพารา ราคาเฉลี่ยทั่วประเทศกิโลกรัมละประมาณ 42 บาท แต่เชียงรายขายได้ 18 บาทเพราะไม่มีโรงงานแปรรูปต้องรีบส่งไปขายจีน หรือ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพราะพื้นที่เป็นโซนผังเมืองสีเขียว และอื่นๆ หมด ทำให้สร้างโรงงานที่มีเครื่องจักรขนาดใหญ่กว่า 5 แรงม้าไม่ได้เลย ฯลฯ

ปัจจุบันกำลังแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อยู่เป็นจุดๆ โดยโซนที่ควรอนุรักษ์เราก็ควรอนุรักษ์ เช่น อ.เชียงของ ตรงริมฝั่งไม่ควรให้รถเข้าและอนุรักษ์เป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่รอบนอกควรพัฒนาให้สร้างพาณิชยกรรมได้บ้าง ไม่เช่นนั้นการพัฒนาเศรษฐกิจจะหยุดนิ่ง แต่ทั้งสองฝ่ายต้องหาจุดลงตัวกันให้ได้

3. อุปสรรคเรื่องแรงงาน ที่มีผู้คนที่ถือบัตรหลากหลายมาก ผู้ประกอบการแทบไม่กล้าจ้างงาน ขณะที่คนไทยก็ไม่ทำงานที่ใช้แรงงาน หากมีการจัดตั้งธุรกิจใหญ่ๆ ในประเทศเพื่อนบ้านแล้วแรงงานเหล่านี้ก็จะทะลักหายไปกันหมด 4. อุปสรรคการปรับตัวของคนในพื้นที่ เช่น การค้าชายแดนที่เสียเปรียบผู้ที่เชี่ยวชาญทางการค้าจากนอกประเทศ การทำเกษตรที่เน้นปริมาณ ปลูกพืชชนิดเดียวมากจนล้นตลาด ฯลฯ

5. อุปสรรคเรื่องเอกภาพในการลงทุน เช่น จีน สปป.ลาว พม่า สามารถตัดสินใจดำเนินโครงการต่างๆ ได้ทันทีในระดับแขวง มณฑล แต่ของไทยต้องขึ้นกับกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ทำให้ล่าช้าและขับเคลื่อนได้ยาก และ 6. อุปสรรคเรื่องภาษา ซึ่งในประเทศเพื่อนบ้าน และจีนทำได้ดีกว่ามาก

“ภาคเอกชน นักวิชาการ นักอนุรักษ์ ฯลฯ ต้องร่วมกันอุดช่องว่างอุปสรรคต่างๆ นี้ร่วมกัน หากทำได้จะทำให้เศรษฐกิจของเชียงรายขับเคลื่อนไปได้ดีแน่นอน”



ขณะที่เวทีอภิปรายเรื่อง "โอกาสและความท้าทายของการพัฒนา จ.เชียงราย กับบทบาทจีนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง" นั้น นายพรเทพ อินทะชัย ประธานหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่า การค้าและการลงทุนกับประเทศจีนถือเป็นปัจจัยสำคัญในการวางแผนการพัฒนาจังหวัด โดยเฉพาะโครงการ One Bell One Road ที่เอื้อให้กลุ่มทุนจีนทะลักลงใต้เข้าไทยมากขึ้น ดังนั้นทุกฝ่ายจำเป็นที่จะต้องปรับตัวเพื่อรองรับ

นายกิตติ ทิศสกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จ.เชียงราย กล่าวว่า ในปี 61 นี้คาดการณ์กันว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนทะลักสู่ประเทศไทยกว่า 10 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 1 ล้านล้านบาท ดังนั้น ในช่วง 1-2 ปีนี้เป็นต้นไปยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวคงต้องรองรับนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก



โดยเฉพาะเชียงรายที่อยู่ใกล้กับประเทศจีนมากที่สุดแค่ 300 กว่า กม. สิ่งที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเร่งพัฒนาคือเรื่องภาษา เรื่องเว็บไซต์ที่คนจีนใช้แตกต่างออกไป การดูแลความปลอดภัย ซึ่งคนจีนมีความอ่อนไหวต่อเรื่องนี้มาก และอุปสรรคสำคัญคือ กฎกติกาตามด่านพรมแดนไม่ชัดเจน ทำให้จากเดิมทัวร์จีนเคยทะลักลงมาจำนวนมากก็ลดลง เมื่อคณะทัวร์มาถึงยังต้องใช้เอกสารหลักฐานจำนวนมากอยู่ ต้องรอนาน ขัดนโยบายไทยแลนด์ 4.0 สิ้นเชิง

ด้านนายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว นักอนุรักษ์จากกลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าวว่า ตนเห็นว่าการทะลักลงมาของกลุ่มทุนจีนและนักท่องเที่ยวเป็นโอกาสที่จะทำให้ประเทศไทยและภาคประชาสังคมได้ปรับตัวไปสู่ความสมดุลในการพัฒนา เพราะเดิมเรามักตั้งธงรองรับการลงทุนของจีน แต่หากเราเอาท้องถิ่นไทยเป็นตัวตั้งแล้วพัฒนาเพื่อรองรับกลุ่มทุนจีนก็จะเกิดผลดี ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย



เช่น กรณีการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมที่ อ.เชียงของ ในอดีตเป็นการจัดการเพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มทุนจีน แต่พื้นที่ที่จะจัดตั้งไม่เหมาะสมทำให้ชาวบ้านคัดค้าน แต่หากมองอีกมุมว่าท้องถิ่นเชียงของต้องการพัฒนาการศึกษา และมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ เราก็หันมาตั้งมหาวิทยาลัยสมุนไพรอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงเสียเลยก็จะเป็นผลดี จีนก็มีความสนใจและต้องการพัฒนาในเรื่องนี้อยู่แล้ว หากทำได้ก็จะสร้างประโยชน์ให้แก่พื้นที่ ประชาชนก็มีรายได้ เกิดการพัฒนาองค์ความรู้และตรงกับยุทธศาสตร์การพัฒนาของ จ.เชียงรายอีกด้วย


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 สิงหาคม 2018, 15:05:28
ทุนค้าปลีกแห่ขยายสาขาเชียงราย ยึดทำเลทองปากทางสนามบิน-ม.ราชภัฏฯ
เผยแพร่: 26 ส.ค. 2561 07:28   ปรับปรุง: 26 ส.ค. 2561 10:58   โดย: MGR Online
 


เชียงราย - กลุ่มทุนค้าปลีกขนาดใหญ่แห่ขยายเครือข่ายสาขาเชียงราย ทั้งบิ๊กซี-โลตัส-ธนพิริยะ ยึดทำเลทองย่านปากทางเข้าสนามบินแม่ฟ้าหลวง-ม.ราชภัฏฯ ขณะที่กลุ่มเซ็นทรัลขยายพื้นที่ขาย-สร้างที่จอดรถสูง 7 ชั้น


ขณะนี้กลุ่มทุนค้าปลีกทั้งจากส่วนกลาง ทุนท้องถิ่นหน้าเก่าหน้าใหม่กำลังเร่งขยายเครือข่ายสาขาในพื้นที่เชียงรายอย่างต่อเนื่อง โดยศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงราย ที่เปิดสาขาติดถนนพหลโยธินในเขตเทศบาลนครเชียงรายมาตั้งแต่ปี 54 ได้ลงทุนสร้างอาคารที่จอดรถสูง 7 ชั้น ติดกับอาคารเดิม กำหนดแล้วเสร็จราวเดือน ธ.ค. 2561 รองรับฤดูท่องเที่ยวนี้ พร้อมปรับลานจอดรถเดิมเพิ่มพื้นที่ขาย

ด้านบิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ที่เปิดสาขาแรกติดถนนพหลโยธิน เยื้องกันกับศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงราย มาตั้งแต่ปี 2537 และว่ากันว่าเป็นสาขาที่โกยกำไรมหาศาลติดอันดับต้นๆ ของประเทศแล้ว ล่าสุดได้เดินหน้าก่อสร้างบิ๊กซีสาขาใหม่ ขนาด 5,400 ตร.ม.บนเนื้อที่รวม 49 ไร่ บริเวณมุมสี่แยกทางเข้าท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง บ้านขัวแคร่ ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย

ขณะที่ห้างแม็คโครได้เปิดกิจการในหมู่บ้านขัวแคร่ห่างออกไปเพียงเล็กน้อยมานานหลายปีแล้ว เช่นเดียวกับ “ห้างสรรพสินค้าธนพิริยะ” กลุ่มทุนค้าปลีกท้องถิ่นที่ได้ทุ่มทุนกว่า 90 ล้านบาทสร้าง "ธนพิริยะดิสบิวเตอร์" อยู่บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ห่างจากสี่แยกสนามบินแม่ฟ้าหลวงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนเมกาโฮมก็เพิ่งเปิดบริการที่หน้า ม.ราชภัฏเชียงรายไปเมื่อปลายปี 2560 ที่ผ่านมานี้เองด้วย



นายพัฒนพงษ์ โพธิ์เกตุ นายกเทศมนตรี ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย กล่าวว่า ตัวเมืองเชียงรายเริ่มมีสภาพแออัด และการเดินทางจากท่าอากาศยานไปยังเขตตัวเมืองก็ใช้ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร บนถนนพหลโยธินมีสัญญานไฟจราจรไปตลอดทางกว่า 9 แห่ง ดังนั้น พื้นที่ ต.บ้านดู่จึงเหมาะสมจะเป็นแหล่งรองรับผู้คนที่ไปถึงก่อนดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่จะเป็นสถานที่รองรับการขยายตัวของเมืองเชียงราย

นยพัฒนพงษ์กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาตนได้ลงนามอนุมัติการก่อสร้างโครงการของห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง ทั้งแม็คโคร เมกาโฮม ธนะพิริยะ ล่าสุดก็คือ บิ๊กซี ที่ตกลงเงื่อนไขจะใช้พนักงานในท้องถิ่น ต.บ้านดู่ 200 คน จาก 300 คนด้วย นอกจากนี้ ทราบว่าทางห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส ก็ได้จัดหาที่ดินประมาณ 60 ไร่ บริเวณสี่แยกท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง แต่อยู่คนละฝั่งถนนกับบิ๊กซีสาขาที่กำลังก่อสร้างอยู่ด้วย ซึ่งคาดว่าโลตัสจะยื่นขอก่อสร้างในเร็วๆ นี้



หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 สิงหาคม 2018, 15:07:16
ไทยทำ MOU ท่าเรือลาว พร้อมนัดเซ็นจีนกันยาฯ นี้ หนุนการค้าลุ่มน้ำโขง-ปั้นเชียงแสน Port City

เผยแพร่: 23 ส.ค. 2561 07:55 ปรับปรุง: 24 ส.ค. 2561 11:18 โดย: MGR Online


เชียงราย - ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน-เมืองมอมกรุ๊ป สปป.ลาว ทำ MOU พัฒนาการค้าลุ่มน้ำโขงตอนบน พร้อมนัดท่าเรือกวนเหล่ย สป.จีน ลงนามคิวต่อไป หนุนการค้า-ขนส่งสามเหลี่ยมทองคำ รับแผนปั้น “เชียงแสน” เป็น Port City



เรือโท กมลศักดิ์ พรมประยูร รอง ผอ.การท่าเรือแห่งประเทศไทย สายบริหารสินทรัพย์และพัฒนาธุรกิจ ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจส่งเสริมการค้าและการขนส่งทางลำน้ำโขง กับ ดร.คำหล้า นากคะวงค์ ประธานบริษัท เมืองมอม กรุ๊ป จำกัด ที่ห้องสิบสองปันนา โรงแรมอิมพีเรียล โกลเด้นท์ไทรแองเกิล อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เมื่อ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งสอดรับกับโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเชียงแสนที่จะพัฒนาเป็น Port City

นายรัฐพล รัชตะศิลปิน ผู้จัดการท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน จ.เชียงราย และท่านจอมแพง วิสัยสาน รองหัวหน้าแผนกแผนการและการลงทุนแขวงบ่อแก้ว ลงนามพยานของทั้ง 2 ฝ่าย และมีข้าราชการในพื้นที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ร่วมเป็นสักขีพยาน



ทั้งนี้ บริษัทเมืองมอมกรุ๊ปฯ เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากรัฐบาล สปป.ลาว ให้ลงทุนฟื้นฟู และบริหารจัดการท่าเรือบ้านมอม (เหนือสามเหลี่ยมทองคำ) เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เป็นเวลา 40 ปี มีแผนขยายพัฒนาท่าเรือด้วยเงินทุน 150 เหรียญสหรัฐ ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 5 ปี แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2565

โดยพัฒนาท่าเรือขนถ่ายสินค้าประเภทสัตว์มีชีวิต สินค้าทั่วไป จัดระบบการเข้าออกของเรือ มีลานจอดรถและลานรองรับตู้คอนเทนเนอร์ ตลาด โรงแรม 5-6 ชั้น โกดังสินค้า ศูนย์การค้าปลอดภาษี หรือดิวตี้ฟรี จุดตรวจมาตรฐานสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ ห้องประชุม ฯลฯ ตั้งเป้าจะเป็นศูนย์กลางสินค้าเกษตรกรรมที่เชื่อมระหว่างไทย-จีนตอนใต้ และท่าเรือที่มีความเป็นสากล

อนึ่ง ไทย จีน สปป.ลาว และพม่า มีข้อตกลงการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำโขงตอนบน 4 ชาติที่มีการลงนามกันตั้งแต่ปี 2543 โดยให้แต่ละฝ่ายอำนวยความสะดวกให้เรือสินค้าของประเทศสมาชิกและกำหนด 14 เมืองท่าที่ใช้ในการคมนาคมระหว่างกัน คือ ท่าเรือที่ อ.เชียงแสน และ อ.เชียงของ ของไทย, ท่าเรือปางทราย ปางเซียงก่อ เมืองมอม บ้านป่าลุน ห้วยทราย และหลวงพระบาง ส่วน สปป.ลาว, ท่าเรือซือเหมา จิ่งหงหรือเชียงรุ้ง เมืองหัง กวนเหล่ย ของจีน และท่าเรือบ้านจิง บ้านโป่งหรือเมืองพง ของพม่า

ในวันที่ 21-23 ก.ย.ที่จะถึงนี้ ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนยังมีกำหนดที่จะลงนามในบันทึกความเข้าใจในลักษณะเดียวกันนี้กับท่าเรือกวนเหล่ย เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน สป.จีน เพื่อร่วมพัฒนาการค้าในลุ่มน้ำโขงตอนบนตลอดเส้นทางด้วย


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 กันยายน 2018, 20:53:45
ล้มกระดาน ! เขตศก.พิเศษเชียงรายเริ่มนับหนึ่งใหม่รัฐยอมถอยให้เอกชนหาที่ตั้งเอง
เผยแพร่: 11 ก.ย. 2561 12:31   โดย: ผู้จัดการออนไลน์
 



เชียงราย -เขตเศรษฐกิจพิเศษเชียงรายล้มไม่เป็นท่าต้องเริ่มต้นนับหนึ่งไม่หลัง 3 อำเภอที่ถูกเล็งแต่แรกพบแต่อุปสรรค ล่าสุดรัฐยอมถอยและให้ภาคเอกชนที่สนใจหาพื้นที่ลงุทนเองแต่รัฐจะสนับสนุนเต็มที่

วันนี้ (11 ก.ย.) ที่ห้องประชุมโรงแรมทีคการ์เดน รีสอร์ท อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมสัมนาเรื่อง "เหลียวหลัง แลหน้า 3 ปี เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเชียงราย" จัดโดยสำนักงาน จ.เชียงราย โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนทั่วไปเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

ซึ่งกิจกรรมในการประชุมมีทั้งการบรรยายพิเศษจากผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษทั่วโลก การจัดตั้งที่ จ.ตาก รวมทั้งในวันที่ 12 ก.ย.ยังมีกำหนดจัดเสวนาภาคประชาชนในหัวข้อ "มุมมองภาคประชาชน เศรษฐกิจพิเศษเชียงราย ใครได้ ใครเสีย" โดยมีภาคเอกชน นักวิชาการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมเสวนา

นายประจญ กล่าวว่าคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) กำหนดให้มีการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเชียงราย 3 อำเภอคือ อ.แม่สาย อ.เชียงแสน และ อ.เชียงของ เพราะมีศักยภาพในการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านและยังต่อไปยังจีนตอนใต้ที่เป็นตลาดใหญ่แต่ในการจัดหาที่ดินเพื่อจัดตั้งตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาพบปัญหาไม่สามารถจัดหาที่ดินเพื่อจัดตั้งได้ โดยพื้นที่ อ.แม่สาย ก็ยังมีเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบที่อ้างว่ามีความจำเป็นต้องปลูกกันอยู่ ส่วน อ.เชียงแสน ส่วนใหญ่เป็นที่สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (สปก.) ที่ชาวบ้านใช้ประโยชน์ และ อ.เชียงของ บางส่วนเป็นป่าชุมชนและกรณีเป็นที่ดินเลี้ยงสัตว์ ต.ทุ่งงิ้ว ก็พบมีการขอค่าชดเชยกันสูงไร่ละกว่า 500,000 บาท เป็นต้น

นายประจญ กล่าวอีกว่าล่าสุดตนได้เข้าประชุมที่กระทรวงมหาดไทยเพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้แล้วซึ่งก็ได้รับแจ้งว่าในพื้นที่ที่มีการประกาศเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 3 อำเภอดังกล่าวถือว่าได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนดอยู่แล้วซึ่งนักลงทุนสามารถเข้าไปลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ดังกล่าวได้เลยทันทีหรือหากไม่เพียงพอก็สามารถแจ้งเพื่อขอเพิ่มเติมได้อีก

ทั้งนี้รัฐบาลได้ปรับมาให้การพัฒนาเขตเป็นไปตามกลไกทางเศรษฐกิจโดยจะไม่ใช้งบประมาณของรัฐไปซื้อที่ดินของรัฐมาดำเนินการแน่นอน และการจัดตั้งต้องได้ประโยชน์ทุกฝ่ายทั้งนักลงทุน ประชาชน คู่ค้า ฯลฯ ไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งดังนั้นหากกระทบกับสิ่งแวดล้อมหรือชุมชนก็คงจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก กระนั้นจังหวัดยืนยันจะเดินหน้าจัดตั้งต่อไปตามแนวทางใหม่ดังกล่าวโดยจะเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ในปีงบประมาณ 2562 นี้เป็นต้นไปเพื่อให้เป็นรูปธรรมให้ได้ในปีเดียวกันดังกล่าว

นายประจญ กล่าวเพิ่มเติมว่า เดิมเราพยายามหาที่หลวงมาจัดตั้งแล้วเข้าไปพัฒนาระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เพื่อดึงดูดนักลงทุนให้เข้าไปลงทุน แต่เมื่อทุกพื้นที่มีปัญหาเรื่องการจัดหาที่ดินจึงต้องปรับกันใหม่

โดยจากการประชุมล่าสุดก็ได้ข้อสรุปว่าจะเปิดให้ภาคเอกชนเป็นฝ่ายจัดหาที่ดินเองเมื่อได้ที่ดินที่เหมาะสมก็จะนำเสนอเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามกลไกลของตลาดและเศรษฐกิจเอง ซึ่งก็ยังไม่มีการกำหนดว่าจะต้องใช้เนื้อที่เท่าไหร่อย่างไรสำหรับเอกชนรายเก่าที่เคยพยายามเข้าไปจัดตั้งมาก่อนหน้านี้แล้วนั้นตนไม่ทราบเพราะเมื่อต้องเริ่มต้นกันใหม่ก็ต้องใช้แนวทางใหม่ดังกล่าวต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า กนพ.ประกาศให้ จ.เชียงราย ทั้ง 3 อำเภอดังกล่าวเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะที่ 2 พร้อมกับ จ.กาญจนบุรี จ.หนองคาย จ.นครพนม และ จ.นราธิวาส มาตั้งแต่ปี 2557 ครอบคลุมพื้นที่ 21 ตำบล และ จ.เชียงราย รับหน้าที่ศึกษาพื้นที่หลายแห่งได้แก่ อ.แม่สาย ของของกรมธนารักษ์ ติดถนนพหลโยธินสายแม่สาย-เชียงราย บ้านน้ำจำ ต.โป่งผา อ.แม่สาย เนื้อที่ 870 ไร่ 3 งาน 5 ตารางวา

อ.เชียงแสน พิจารณาใช้ที่ดินซึ่งส่วนใหญ่เป็นเขตปฏิรูปที่ดินใกล้ท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ต.บ้านแซว เนื้อที่ 651 ไร่ 3 งาน 52 ตารางวา และ อ.เชียงของ เป็นพื้นที่ป่าชุมชนเขต ต.บุญเรือง เนื้อที่ประมาณ 2,322 ไร่ และบางช่วงหันไปศึกษาเนื้อที่ 530 ไร่ บ้านทุ่งงิ้ว ต.สถาน ด้วยแต่ทุกพื้นที่ก็ประสบปัญหาดังกล่าว โดยมีภาคเอกชนรายหนึ่งพยายามเข้าไปร่วมศึกษาและผลักดันในแต่ละพื้นที่เพื่อจะเข้าไปลงทุนในเขตดังกล่าวโดยเฉพาะ อ.เชียงของ เป็นหลัก

ในการประชุมสัมมนาครั้งนี้ยังมีการแจ้งข้อมูลว่าตั้งแต่ปี 2557-2560 มีกิจการจดทะเบียนจัดตั้งในเขตที่จังหวัดศึกษาดังกล่าวจำนวน 755 ราย รวมกิจการเดิมที่จดทะเบียนอยู่แล้วมีทุนจดทะเบียน 3,900 ล้านบาท ธุรกิจที่ลงทุนกันมากคือก่อสร้างอาคารทั่วไป ขายส่งสินค้า อสังหาริมทรัพย์ ขนส่งสินค้า ขายส่งสินค้าเกษตร ฯลฯ โดยเป็นกิจการขนาดย่อมกว่า 99% และเป็นของนักลงทุนไทยรายย่อยเกือบทั้งหมดและเป็นของต่างชาติถือหุ้นร่วม 4%

สำหรับสิทธิพิเศษในเขตจัดตั้งที่ชัดเจนคือจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี (จำกัดวงเงินไม่เกินร้อยละ 100 ของเงินลงทุนไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ลดหย่อนภาษีจากกำไรร้อยละ 50 เป็นเวลา 5 ปี ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักร วัตถุดิบและวัสดุจำเป็นเพื่อการส่งออกเป็นเวลา 5 ปี อนุญาตใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือ เป็นต้น.


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 กันยายน 2018, 23:44:58
เชียงราย - เครือกะตะธานีฯ ตัดริบบิ้นแกรนด์โอเพนนิ่งแล้ว “เดอะริเวอรี่เชียงราย” หลังทุ่มงบรวมกว่า 2 พันล้านเทกโอเวอร์-ปรับโฉม “ดุสิตไอส์แลนด์รีสอร์ตฯ” แบบยกกระบิ ทั้งตัวอาคาร-ปูรณฆฎะ ยันสวนผักอินทรีย์ และพนักงานมาค่อนปี


หลังจากกลุ่ม "กะตะธานี คอลเล็คชั่น" ได้ทุ่มเงินกว่า 1,400 ล้านบาทเข้าเทกโอเวอร์โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์รีสอร์ตเชียงรายที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำกก เมื่อปลายปี 60 และปิดปรับปรุงตั้งแต่ 1 เม.ย. 61 เป็นต้นมา ล่าสุดขณะนี้เครือกะตะธานีฯ ได้เปิดบริการโรงแรมดุสิตไอส์แลนด์ฯ เดิม ภายใต้ชื่อใหม่คือ “เดอะ ริเวอรี่ บาย กะตะธานี คอลเลคชั่น เชียงราย หรือ ลี่เจียง ต้าจิ่วเตี้ยน”

นายสมบัติ อติเศรษฐ์ ประธานบริหารกลุ่มโรงแรมกะตะธานี คอลเล็คชั่น กล่าวระหว่างนำผู้บริหารและพนักงานร่วม “Grand Opening of The Riverie by Katathani” ที่มีนายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าฯ เชียงราย เป็นประธานฯ ว่า เครือกะตะธานีใช้เงินลงทุนกว่า 600 ล้านบาทปรับปรุงให้เดอะ ริเวอรี่ บาย กะตะธานีฯ เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวของเชียงราย เป็นสถานที่พักผ่อน ประชุมและจัดเลี้ยงที่มีคุณภาพชั้นนำของเอเชีย ที่มีกลิ่นอายล้านนาและทัศนียภาพที่สวยงามของแม่น้ำกก

โดยได้ทำการปรับปรุงใหม่ทุกส่วน ทั้งห้องพัก 271 ห้อง ห้องประชุมที่รองรับได้ 700 ที่นั่ง ห้องอาหาร สิ่งอำนวยความสะดวก ระบบครัว ระบบปรับอากาศ ระบบน้ำ ไฟฟ้า สระว่ายน้ำ สวนน้ำเด็ก คลับ ทางเดินริมน้ำ สวนผักอินทรีย์ ศูนย์ของฝาก ห้องรับรองและบริเวณรอบโรงแรม ห้องอาหารที่มีทั้งเอกลักษณ์ของล้านนาภาคเหนือ สวนจีน อาหารจีน ห้องอาหารบนชั้น 10 ของโรงแรมที่มองเห็นตัวเมืองได้รอบทิศ ฯลฯ ทั้งหมดถูกตกแต่งอย่างประณีตบรรจงเพื่อให้มีความคลาสสิกผสานร่วมสมัย รวมทั้งพนักงานเดิมก็ผ่านการอบรมจากโรงแรมในเครือกะตะธานีฯ ที่มีถึง 6 แห่งในภูเก็ต-พังงา

“เพื่อร่วมเป็นความภาคภูมิใจของเชียงราย เดอะริเวอรี่ ได้ผสมผสานความสมบูรณ์แบบของวัฒนธรรมดั้งเดิม และดำรงความร่วมสมัยเพื่อรำลึกอดีตและชื่นชมอนาคต เห็นได้จากลวดลายหม้อดอก หรือปูรณฆฎะ ในห้องพัก เพื่ออำนวยอวยพรผู้เข้าพักให้เปี่ยมไปด้วยความสุขและความเจริญรุ่งเรือง หอค้าและเรือนแก้วด้านหน้าโรงเรม เพื่อต้อนรับแขกผู้มาเยือน บุษบกที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ หอระฆังล้านนา และเส้นสายรายละเอียดที่สื่อถึงความงดงามของศิลปะล้านนา”

นายสมบัติกล่าวอีกว่า ด้านการตลาดนั้นยังคงมีกลุ่มเป้าหมายระดับบนที่มีกำลังซื้อจากทั้งยุโรป เอเชีย และประเทศไทยซึ่งได้รับการตอบรับจากบริษัทตัวแทนนำเที่ยว และกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี ซึ่งเราขออยู่ร่วมกับชาวเชียงราย และเป็นมิตรกับผู้ประกอบการ พร้อมมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของเชียงรายต่อไป
https://mgronline.com/local/detail/9610000095128


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: nmonnmo ที่ วันที่ 28 กันยายน 2018, 11:58:12
so good ufabet (http://www.ufa007.com/ufabet)  :T


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: nmonnmo ที่ วันที่ 28 กันยายน 2018, 12:14:21
so good สมัคร ufabet/URL] :T (http://"http://www.ufa007.com/ufabet")


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: seomelon06 ที่ วันที่ 29 กันยายน 2018, 16:13:03
so good ufabet (http://www.ufa007.com/ufabet)  :T


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: seomelon06 ที่ วันที่ 29 กันยายน 2018, 16:15:05
so good แทงบอลออนไลน์ (http://www.ufa007.com) :T


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: lilyfirst ที่ วันที่ 01 ตุลาคม 2018, 11:06:11
ขอบคุณ สำหรับข้อมูลดีๆน่ะค่ะ :F
http://www.ufa007.com/แทงบอลโลก


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 พฤศจิกายน 2018, 20:15:41
แม่สาย...กำลังมีโกบอลเฮ้าส์


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 พฤศจิกายน 2018, 20:17:25
ธนพิริยะงวด 9 เดือนกวาดรายได้เฉียด 1.3 พัน ล.
เผยแพร่: 2 พ.ย. 2561 15:14   ปรับปรุง: 2 พ.ย. 2561 17:15   โดย: ผู้จัดการออนไลน์
 



ธนพิริยะ ร้านค้าปลีกเชียงราย เดินหน้าตามแผน อวดผลงานงวด 9 เดือนแรก ปี 61 รายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 1,292.90 ล้านบาท โตเกือบ 11% กำไรสุทธิกว่า 45 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 4% ผู้บริหารเผยผลงานเติบโตต่อเนื่อง จากแผนการขยายสาขาปีนี้วางไว้ 5 สาขา คาดทำได้ตามเป้าหนุน มอง Q4/61 พีกสุดของปี เหตุเป็นไฮซีซันธุรกิจ มั่นใจรายได้ทั้งปีนี้โตอีก 10-15%

นายธวัชชัย พุฒิพิริยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคในจังหวัดเชียงราย เปิดเผยถึงผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 1,292.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 126.95 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.89 เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,165.95 ล้านบาท กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 179.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 15.55% มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 13.85% กำไรสุทธิอยู่ที่ 45.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.55% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 43.58 ล้านบาท มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 3.48%

สำหรับงวดไตรมาส 3/2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 440.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.77 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10.48% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 62.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.55% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 14.11% กำไรสุทธิอยู่ที่ 15.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.63% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 3.52% เป็นผลมาจาก ความสำเร็จจากแผนการขยายสาขาของร้านธนพิริยะอย่างต่อเนื่อง รายได้จากสาขาใหม่สนับสนุนยอดขาย และได้รับค่าสนับสนุนการขายจากผู้จำหน่าย

“ผลงานที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจ รายได้จากการขายและการให้บริการเติบโต เป็นผลจากกลยุทธ์การขยายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่ศักยภาพในจังหวัดเชียงราย และจังหวัดใกล้เคียงได้ตามแผนงานที่วางไว้ ประกอบกับ การบริหารควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ต้นทุนขายและการให้บริการต่อรายได้จากการขายและการให้บริการในไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน รวมทั้งการนำสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงเข้ามาจำหน่าย เพื่อผลักดันมาร์จินเติบโตเพิ่มขึ้น ขณะที่ทิศทางภาพรวมเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงราย ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย กำลังซื้อของประชาชนในพื้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ชัดในสาขาที่ได้ทำการติดตั้งเครื่องรูดบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้บริการแล้วกว่า 10 สาขาจากปัจจุบันมีทั้งหมด 23 สาขา เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สนับสนุนให้บริษัทฯ มีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น” นายธวัชชัย กล่าว

ด้านเภสัชกรหญิง อมร พุฒิพิริยะ รองกรรมการผู้จัดการ เปิดเผยถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2561 คาดว่าจะเติบโตขึ้น รับยอดขายปลายปีซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจ และการท่องเที่ยว ในจังหวัดเชียงราย ส่งผลดีต่อธนพิริยะ ซึ่งในปัจจุบันมีสาขารวมกันอยู่ที่ 23 สาขา แบ่งเป็นสาขาในพื้นที่จังหวัดเชียงราย 21 สาขา และจังหวัดพะเยา 2 สาขา อีกทั้ง บริษัทยังมีศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่บนพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้ากระจายไปตามสาขาต่างๆ ได้อย่างคล่องตัว และช่วยการสต๊อกสินค้าให้เพียงพอรองรับกับความต้องการของผู้บริโภคอีกด้วย

สำหรับภาพรวมในปี 2561 บริษัทฯ มั่นใจผลการดำเนินงานทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ รายได้เติบโต 10-15% จากปีก่อนหน้าอยู่ที่ราว 1,600 ล้านบาท และตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มในปีนี้ 5 สาขา ที่จังหวัดเชียงรายทั้งหมด สนับสนุนให้สิ้นปีนี้จะมี 24 สาขา จากปลายปี 2560 มี 19 สาขา

“ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ ร้านธนพิริยะ ทยอยเปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 4 สาขา ที่สาขาพญาเม็งราย สาขาเหมืองแดง และสาขาพญาแควหวาย และสาขาล่าสุด สาขาประตูล้อ อำเภอเมือง เปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายนนี้ ส่วนสาขาสุดท้าย ที่เชียงของ นับเป็นสาขาที่ 24 ได้เริ่มทำการก่อสร้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดจะสามารถเปิดให้บริการภายในเดือนธันวาคม เป็นอีกแรงสนับสนุนผลประกอบการธนพิริยะ ให้โดดเด่นต่อเนื่องในปี 2562 ได้” เภสัชกรหญิง อมร กล่าว


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 26 ธันวาคม 2018, 16:50:40
ตฤณ นครา ทุ่ม 4 หมื่นลบ.ผุดบิ๊กโปรเจ็กต์กว่า 3 พันไร่เขตเศรษฐกิจพิเศษเชียงแสน


ตฤณ นครา ทุ่มงบ 4 หมื่นล้านบาท นำธงนักลงทุนนานาชาติผุดโปรเจ็กต์ยักษ์ “ตฤณ นครา โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล” เนรมิตพื้นที่ กว่า 3,139ไร่ พัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษเชียงแสน จ.เชียงราย ให้เป็น One Stop Service City ทันสมัยและครบครัน ภายใต้แนวคิด “เมืองแห่งความสุข” (The City of Harmonious Living) พร้อมจับมือไทรเด้นท์ ซัพพอร์ตฯ จากสหรัฐอเมริกาสร้างเสาธงชาติไทยสูงที่สุดในโลก ด้วยความสูง 189 เมตร ในโครงการฯ และบันทึกลงใน Guinness World Records ปักหมุดเชียงแสนบนแผนที่โลกและดันให้เป็นไอคอนของเชียงแสน แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของไทยที่รู้จักไปทั่วโลกหวังกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน สังคม การลงทุน จ.เชียงรายอย่างยั่งยืน



นายตฤณ นิลประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ตฤณ อินโนเวชั่น กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า เชียงแสนเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพทางยุทธศาสตร์สูงในหลากหลายมิติ จากที่รัฐบาลได้กําหนดให้จังหวัดเชียงรายคือหนึ่งในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ 2 ประกอบกับแผนพัฒนาจังหวัดเชียงราย ภายใต้แนวคิด “นวัตกรรมการท่องเที่ยวประเทศไทย 4.0”หรือ Tourism Innovation Thailand 4.0 ที่มุ่งสนับสนุนให้เชียงรายเป็น “เมืองแห่งการค้าการลงทุน การเกษตรและการท่องเที่ยว รุ่งเรืองด้วยวัฒนธรรมล้านนาประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข” บริษัทฯ เล็งเห็นถึงโอกาสเพราะการเปิดเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเชียงแสนเป็นการขยายโอกาสให้เด่นชัดขึ้น เนื่องจากเชียงแสนมีที่ตั้ง  ณ จุดยุทธศาสตร์ของแนวรอยต่อพรมแดน 3 ประเทศ ทั้งตั้งอยู่ ณ จุดศูนย์กลางของแนวเขตระเบียงเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงแนวเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor) ซึ่งมีการพัฒนาโครงการต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมโยงด้านการคมนาคมเพื่อความสะดวกด้านการค้าระหว่างประเทศจากประเทศจีนทางตอนใต้สู่ประเทศไทยผ่านเมียนมา และสปป.ลาว ดังนั้น การยกระดับทั้งสามอำเภอของเชียงรายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ภาครัฐฯ ก็มีการเตรียมความพร้อมรองรับการขยายตัว (Infrastructure & facilities) ไว้หลายด้านทั้งด้านการคมนาคมเพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อด้านการขนส่งนานาชาติในระดับภูมิภาค ด้านสิทธิประโยชน์ในด้านการลงทุน การเงิน และศุลกากร

 

จากศักยภาพของเชียงแสนตั้งอยู่ในแนวรอยต่อดินแดนของ 3 อารยธรรมที่มีการสืบทอดกันมายาวนาน ได้แก่ ประเทศไทย เมียนมา และสปป.ลาว นอกจากนี้ ยังมีอารยธรรมชนเผ่าที่หลากหลายที่สุดของภูมิภาคนี้ อีกทั้งยังมีธรรมชาติและภูมิประเทศที่สวยงาม มีศิลปวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงาม ผู้คนเป็นมิตร อีกทั้งมีแม่นํ้าโขงไหลผ่านอำเภอเชียงแสนแล้ว และเนื่องจากเคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรโยนกซึ่งเป็นยุคแรกของประวัติศาตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของไทย เชียงแสนจึงยังมีความโดดเด่นในด้านประวัติศาสตร์ มีมรดกทางโบราณสถานและวัฒนธรรมที่งดงาม ทำให้เชียงแสนวันนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ยังบริสุทธิ์     ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้นักลงทุนชาวต่างชาติมองเห็นความโดดเด่นและดึงดูดความสนใจด้านการลงทุน



“ตฤณ นครา โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล”  เป็นโครงการที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนจากหลากหลายประเทศ อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุน ฮ่องกง-จีน สหรัฐอเมริกา เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) โดยโครงการฯ จะตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 3,139 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 3 ตําบล คือ ต.เวียงนอก ต.ป่าสัก และตำบลโยนก ของอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมสูงถึง 40,000 ล้านบาท (ลบ.)ด้วยจุดเด่น 5 มิติ คือ

 1) Synergy ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและชุมชน

2) Economic Drive การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ สร้างการขยายตัวของ GDP และสร้างงานเพื่อการเชื่อมโยงและต่อยอดนวัตกรรมอุตสาหกรรมและธุรกิจบริการ

3) Ecology การให้ความสำคัญต่อเรื่องของสิ่งแวดล้อมในทุกๆด้าน

 4) Innovation การนำนวัตกรรมที่หลากหลายทั้งสถาปัตยกรรม วิศวกรรม และสิ่งแวดล้อม

 5) Smart Tourism การเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งอนาคตมาตรฐานสากลที่ครบวงจรทั้งสถานที่ ความเชี่ยวชาญ แหล่งความรู้ และแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม

 

ภายในโครงการฯ แบ่งออกเป็นโซนต่างๆ ประกอบด้วย ที่พักตากอากาศที่กลมกลืนกับธรรมชาติในมาตรฐานการบริการระดับห้าถึงเจ็ดดาว ศูนย์สุขภาพระดับโลก คอนโดมีเนียมและที่พักอาศัย ศูนย์การค้าระดับพรีเมียม ร้านสินค้าที่ระลึก ศูนย์การประชุมนานาชาติ ศูนย์กระจายสินค้า OTOP พื้นที่เกษตรกรรมเชิงท่องเที่ยว และแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม บริการการท่องเที่ยวนวัตกรรมเชิงการแพทย์ โดยในแต่ละโซนได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นด้วยนวัตกรรมการออกแบบและก่อสร้างที่ทันสมัย แต่ยังคงรักษาแนวคิดอันเป็นรากเหง้าสังคม และวัฒนธรรมของพื้นที่ รวมทั้งเน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้โครงการกับพื้นที่เดิมอยู่ด้วยกันอย่างกลมกลืนและสวยงาม โดยมี SPAN Consultants Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ในการออกแบบอาคารวางผังเมืองเป็นผู้ออกแบบและควบคุมงานก่อสร้าง



นอกจากนี้ ภายในโครงการฯ ยังจะมีการก่อสร้างเสาธงชาติไทยสูงที่สุดในโลก (Thailand World Tallest Flag Pole) ด้วยความสูง 189 เมตร และเพื่อสร้างให้เชียงแสนเป็นพื้นที่ปักหมุดแห่งใหม่ และเป็นที่จดจําในระดับโลก ติดตั้งธงชาติไทยผืนใหญ่ขนาด 60×40 เมตร กว้างเท่ากับสนามฟุตซอล 1 สนาม สามารถมองเห็นได้ในระยะไกลกว่า 20 กิโลเมตร ซึ่งจะดำเนินการโดยบริษัท ไทรเด้นท์ ซัพพอร์ต จํากัด (Trident Support LLC) ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญในการสร้างเสาธงชาติสูงซึ่งเป็นแลนมาร์คมาแล้วทั่วโลก 7 แห่ง และเสาธงที่จะสร้างขึ้นนี้จะได้รับ การบันทึกลงใน Guinness World Records อีกด้วย ส่งผลทำให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก สร้างการรับรู้ กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของเชียงแสนและเชียงรายได้เป็นอย่างดี โดยโครงการจะใช้เวลาดำเนินการนาน 1 ปีจะสร้างงานให้เกิดการกระจายรายได้ในทุกระดับตั้งแต่แรงงานมากกว่า 10,000 อัตรา ซึ่งโครงการฯ จะมีการทำความร่วมมือกับชุมชน หน่วยงานภาครัฐฯ และสถาบันการศึกษาเพื่อสร้างบุคคลากรและยกระดับมาตรฐานทรัพยากรมนุษย์



“โครงการ “ตฤณ นครา โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล” จึงเป็นมากกว่าโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดยักษ์ ในรูปแบบ One Stop Service City  อันทันสมัยเราภูมิใจในเชียงแสนแผ่นดินทองที่เรืองรองด้วยอารยธรรม เราจะสร้างความรุ่งเรือง พลิกผืนแผ่นดินเชียงแสนให้เป็นดินแดนแห่งทองคำ เพื่อ“ความสุข” ของชาวเชียงแสน นักลงทุน ผู้มาเยือน-นักท่องเที่ยว และชาวเชียงราย เพื่อให้เป็น “เมืองแห่งความสุข” หรือ The City of Harmonious Living อย่างแท้จริง

https://bit.ly/2EMrmWj


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 03 มกราคม 2019, 13:42:19
ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนแชมป์ ปีใหม่คนเที่ยวเยอะสุด

2 January 2019


ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ครองแชมป์คนเที่ยวเยอะสุด แซงอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ สหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือเชื่อเงินสะพัดเชียงรายมากกว่า 1,500 ล้านบาท


วันที่ 2 ม.ค.2561 ผู้สื่อข่าว"ฐานเศรษฐกิจ" รายงานจากจังหวัดเชียงรายว่า ช่วงวันหยุดยาวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ผ่านมา ไฮไลท์การท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงราย ซึ่งคาดหมายกันว่าน่าจะอยู่ที่วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อำเภอแม่สาย จากการสำรวจของ"ฐานเศรษฐกิจ"พบว่า โดยภาพรวมแล้วก็เป็นไปอย่างที่ได้คาดการณ์กันไว้
คลื่นนักท่องเที่ยวจำนวนมากได้ทะลักกันเข้าไปชมความงามของภาพวาดเดอะฮีโร่ ซึ่งบันทึกเหตุการณ์และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการช่วยเหลือ 13 หมูป่าออกจากถ้ำหลวง ซึ่งติดตั้งอยู่ภายในศาลานุสรณ์สถานถ้ำหลวง
และส่วนใหญ่ไม่พลาดที่จะถ่ายภาพกับ อนุสาวรีย์จ่าแซมวีรบุรุษถ้ำหลวง หรือ นาวาตรี สมาน กุนัน หน่วยซีลนอกราชการซึ่งเสียชีวิตจากปฏิบัติการช่วยเหลือ 13 หมูป่าออกจากถ้ำหลวง ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่หน้าศาลาอนุสรณ์สถานภายในที่ทำการวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน


กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช รายงานว่า ความร้อนแรงของวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ทำให้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก โดยวันที่ 30 ธันวาคม 2561 มีผู้ไปเยือน 14,901 คน วันที่ 31 ธันวาคม 2561 มีผู้ไปเยือน 24,968 คน และวันที่ 1 มกราคม 2562 มีผู้ไปเยือน 25,895 คน


เฉพาะวันที่ 1 มกราคม 2562 วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน มีผู้ไปเยือนมากเป็นอันดับ 1 ในจำนวนอุทยานทั่วประเทศ จำนวน 25,895 คน มากกว่าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อันดับที่ 2 ที่มีคนไปเยือน 18,725 คน มากกว่าอันดับ 3 เป็นอุทยานแห่งชาติภูขี้ฟ้า ที่มีคนไปเยือน 13,845 คน ขณะที่อุทยานแห่งชาติอินทนนท์ หล่นไปอยู่อันดับที่ 4 มีผู้ไปเยือน 9,168 คน


นายกิตติ ทิศสกุล นายกสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ผ่านมา สมาคมฯเชื่อว่าน่าจะมีเงินสะพัดในพื้นที่จังหวัดเชียงรายมากกว่า 1,500 ล้านบาท แต่ถ้ารวมกับเงินที่สะพัดในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งที่จังหวัดท่าขี้เหล็กและแขวงบ่อแก้ว สป.ลาว สมาคมฯเชื่อว่าน่าจะมากกว่า 2,000 ล้านบาท

http://www.thansettakij.com/content/368942


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 มกราคม 2019, 12:02:53


วันที่ 6 มกราคม 2562 นายวีระศักดิ์ ชั้นบุญใส ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย พร้อมพนักงาน และ เจ้าหน้าที่ ททท. ให้การต้อนรับเที่ยวบินปฐมฤกษ์ของสายการบิน Korean Air เส้นทางการบินอินชอน (ICN) -เชียงราย (CEI) - อินชอน (ICN) เที่ยวบิน KE96667 แบบอากาศยาน B737-800 เดินทางมาถึง ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เวลา 23.17 น. มีผู้โดยสารจำนวน 129 คน พร้อมนี้ได้มอบของที่ระลึกให้กับผู้โดยสาร ณ บริเวณประตูห้องผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
โทร 0 5379 8000 , 0 5379 8999
โทรสาร 0 5379 8049
#MaeFahLuangChiangraiAirport #AOT #AirportofThailand #AOT_CEI


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2019, 10:44:35
ลงพื้นที่เวนคืน 4 จังหวัดเหนือ สร้างรถไฟทางคู่สายมาราธอน เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ

วันที่ 30 January 2019 - 08:22 น.


นับจากปี 2503 ถึงปี 2562 เข้าสู่ปีที่ 59 ที่โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ “เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ” ที่ได้ยินชื่อกันมานานจะได้มีการลงเสาเข็มอย่างจริงจัง

หลังจาก “ครม.-คณะรัฐมนตรี” อนุมัติให้ “ร.ฟ.ท.-การรถไฟแห่งประเทศไทย” เปิดประมูลก่อสร้างเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา ล่าสุด “ร.ฟ.ท.” กำลังจ้างที่ปรึกษาสำรวจพื้นที่ที่จะเวนคืน เพื่อตรวจสอบจำนวนผู้ที่จะถูกเวนคืนจะตรงกับที่เคยศึกษาไว้หรือไม่ ก่อนจะออก พ.ร.ฎ.เวนคืนที่ดิน



ที่สำคัญ เป็นการปรับปรุงข้อมูลให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน ไม่ให้ซ้ำรอยมอเตอร์เวย์สาย “บางใหญ่-กาญจนบุรี” ที่ติดหล่มค่าเวนคืนพุ่งพรวดจาก 5,420 ล้านบาท ทะลุ 14,000 ล้านบาท จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ฉุดการก่อสร้างล่าช้าจากแผนร่วมปี

ในการประชุม “ครม.สัญจร” ที่ จ.เชียงราย เมื่อปลายเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ย้ำหนักแน่น รถไฟทางคู่สายนี้จะเริ่มก่อสร้างในปี 2563 ส่วนจะเป็นไปตามนี้หรือไม่ ยังต้องลุ้น

สำหรับรายละเอียดของโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ มีระยะทาง 323 กม. ใช้เงินลงทุน 85,345 ล้านบาท แบ่งเป็น ค่าก่อสร้าง 72,927 ล้านบาท ค่าที่ปรึกษา 1,764 ล้านบาท และค่าเวนคืนที่ดิน 10,660 ล้านบาท ซึ่งค่าเวนคืนเพิ่มขึ้นจากที่ประเมินไว้เมื่อปี 2554 ประมาณ 6,852 ล้านบาท ตามแผนจะใช้เวลาก่อสร้าง 4 ปี ซึ่ง ร.ฟ.ท.ตั้งเป้าจะเริ่มสร้างในปี 2562 เสร็จปี 2565 แต่ดูแนวโน้มแล้ว ฤกษ์ตอกเข็มคงจะขยับไปเป็นปี 2563 แล้วเสร็จในปี 2566 เพราะจนถึงขณะนี้ พ.ร.ฎ.เวนคืนก็ยังไม่ประกาศ การเปิดประมูลก็ยังไม่ได้เริ่มตั้งไข่ เพราะเป็นรถไฟที่ต้องเปิดพื้นที่สร้างใหม่ อาจจะใช้เวลาดำเนินการค่อนข้างนาน จึงทำให้ไทม์ไลน์อาจจะขยับออกไปอีก

ทั้งนี้ ในผลการศึกษาจะมีเวนคืน 4 จังหวัด ได้แก่ แพร่ ลำปาง พะเยา และเชียงราย โดยแนวเส้นทางจะเริ่มต้นที่สถานีเด่นชัย จ.แพร่ มุ่งไปทางทิศเหนือ ผ่าน จ.ลำปาง พะเยา และเชียงราย สิ้นสุดที่ด่านพรมแดนเชียงของ จ.เชียงราย ซึ่งพื้นที่เวนคืนจะมีเขตทางกว้าง 50 เมตร มีทั้งหมด 7,292 แปลง และที่ดิน 9,661 ไร่



ได้แก่ จ.แพร่ มี อ.เด่นชัย 2 ตำบล ที่ ต.เด่นชัย ต.ปงป่าหวาย, อ.สูงเม่น 6 ตำบล มี ต.น้ำชำ ต.สูงเม่น ต.พระหลวง ต.สบสาย ต.ดอนมูล ต.ร่องกาศ, อ.เมืองแพร่ มี 7 ตำบล มี ต.นาจักร ต.กาญจนา ต.เหมืองหม้อ ต.ทุ่งกวาว ต.ทุ่งโฮ้ง ต.แม่หล่าย ต.แม่คำมี, อ.สอง มี ต.หัวเมือง ต.แดนชุมพล ต.ทุ่งน้าว ต.ห้วยหม้าย ต.บ้านหนุน ต.บ้านกลาง, อ.หนองม่วงไข่ มี ต.หนองม่วงไข่, จ.ลำปาง อ.งาว มี 7 ตำบล มี ต.แม่ตีบ ต.หลวงใต้ ต.บ้านแหง ต.หลวงเหนือ ต.นาแก ต.ปงเตา และ ต.บ้านร้อง,จ.พะเยา มี อ.เมืองพะเยา มี 4 ตำบล คือ ต.แม่กา ต.จำป่าหวาย ต.แม่ต๋ำ และ ต.ท่าวังทอง, อ.ดอกคำใต้ มี 2 ตำบล คือ ต.ดอกคำใต้ ต.ห้วยลาน, อ.ภูกามยาว มี 3 ตำบล คือ ต.แม่อิง ต.ดงเจน ต.ห้วยแก้ว และ จ.เชียงราย อ.ป่าแดด มี 4 ตำบล คือ ต.สันมะค่า ต.ป่าแดด ต.โรงช้าง และ ต.ป่าแงะ, อ.เทิง ที่ ต.เชียงเคียน, อ.เมืองเชียงราย มี 4 ตำบล คือ ต.ดอยลาน ต.ห้วยสัก ต.ท่าสาย และ ต.รอบเวียง, อ.เวียงชัย มี 3 ตำบล คือ ต.เวียงชัย ต.เวียงเหนือ ต.เมืองชุม, อ.เวียงเชียงรุ้ง มี 2 ตำบล ที่ ต.ทุ่งก่อ ต.ป่าซาง, อ.ดอยหลวง ที่ ต.โชคชัย และ อ.เชียงของ มี 4 ตำบล คือ ต.ห้วยซ้อ ต.ศรีดอนชัย ต.สถาน ต.เวียง

ตลอดเส้นทางมี 26 สถานี ลานขนถ่ายสินค้า 4 แห่ง ลานกองเก็บตู้สินค้า 1 แห่ง ก่อสร้างอุโมงค์รถไฟ 4 อุโมงค์ ก่อสร้างถนนยกข้ามทางรถไฟ 40 แห่ง และถนนลอดใต้ทางรถไฟ 102 แห่ง

ขณะที่การเปิดประมูล ก่อนหน้านี้ “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในเบื้องต้นจะแบ่งสัญญาก่อสร้างออกเป็น 3 สัญญา ได้แก่ สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย-งาว ระยะทาง 104 กม. วงเงิน 26,704 ล้านบาท สัญญาที่ 2 ช่วงงาว-เชียงราย ระยะทาง 135 กม. วงเงิน 28,735 ล้านบาท และสัญญาที่ 3 เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 84 กม. เงินลงทุน 17,482 ล้านบาท โดยงานโยธาจะประกวดราคารูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bidding) และรูปแบบนานาชาติ (international bidding) สำหรับงานระบบอาณัติสัญญาณ อาจจะต้องแยกประมูลต่างหาก

เมื่อโครงการแล้วเสร็จจะรองรับการเดินทาง การค้าชายแดน การท่องเที่ยว และโลจิสติกส์ภาคเหนือตอนบน รวมถึงรองรับศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าเชียงของ เชื่อมการค้าระเบียงเศรษฐกิจแนวเหนือ-ใต้จากประเทศไทย ไปยัง สปป.ลาว เมียนมา และจีนตอนใต้

ที่สำคัญ จะช่วยบูตเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดเชียงรายที่รัฐบาลกำลังผลักดันให้แจ้งเกิดได้เร็วขึ้น


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2019, 10:16:47
ศูนย์โลจิสติกส์เชียงของลิ่ว 64% เร่งหาเอกชนบริหารเปิดใช้ปีหน้า

2019-02-10

รายงานข่าวจากกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) แจ้งว่า การก่อสร้างโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ อ.เชียงของ จ.เชียงราย บนเนื้อที่ 336 ไร่ วงเงิน 1,360 ล้านบาท ภาพรวมคืบหน้าแล้ว 63.49% เฉพาะงานถมคืบหน้าถึง 80% ส่วนงานสร้างอาคารขึ้นโครงสร้างได้หมดทุกหลัง รวมถึงเริ่มก่อสร้างระบบระบายน้ำตั้งแต่ปลายปี 61 จะเปิดบริการทันตามแผนที่กำหนดช่วงต้นปี 63 แน่นอน เพื่อให้มีระบบเปลี่ยนถ่ายหัวลาก-หัวพ่วงรองรับรถบรรทุกทั้งไทยและจากต่างประเทศมีจุดบริการอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน เช่น อุปกรณ์ยกตู้คอนเทนเนอร์ปลั๊กเสียบตู้แช่เย็นสินค้า คลังสินค้าศุลกากร คลังสินค้าทัณฑ์บนและอาคารบรรจุสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ได้กว่า 270,000 ทีอียู



นอกจากนี้คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของภาครัฐ (คกก. PPP) ซึ่งมีนายสมคิดจาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานได้เสนอเรื่องขออนุมัติโครงการเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) ต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.61 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) อยู่ระหว่างสอบถามความคิดเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคาดว่า ครม. จะอนุมัติโครงการได้กลางเดือน ก.พ. นี้จากนั้น ขบ.จะจ้างที่ปรึกษาร่างเอกสารสัญญาการร่วมลงทุน คาดว่าจะเริ่มคัดเลือกเอกชนได้กลางปีนี้ โดยภาครัฐเป็นผู้ลงทุนค่าที่ดินค่าก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่ภาคเอกชนลงทุนค่าอุปกรณ์ขนถ่ายสินค้าและงานระบบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารด้านโลจิสติกส์รวมถึงรับผิดชอบการบริหารจัดการและบำรุงรักษา (O&M) และรับความเสี่ยงรายได้

สำหรับระยะที่ 2 จะรองรับการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งกับทางรางโดยจะพัฒนาพื้นที่ลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ทั้งตู้เปล่าและตู้ที่บรรจุสินค้าแล้ว (Container Yard) โดย ขบ. จะเร่งเปิดบริการส่วนที่จะรองรับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่ครม.อนุมัติโครงการ เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 61 คาดว่าจะเปิดบริการปี 68 พร้อมกัน

https://www.dailynews.co.th/economic/692423


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 08 มิถุนายน 2019, 15:43:34
เสียงสะท้อนธุรกิจทัวร์จีน 'เดินสายกลาง'เจาะโอกาสโต
สะท้อนธุรกิจทัวร์จีน 'เดินสายกลาง'เจาะโอกาสโต
Source - กรุงเทพธุรกิจ
Saturday, June 08, 2019 06:04

          ขนาดเศรษฐกิจของ"เมืองรอง" ในจีนยังคงเป็นเป้าหมายใหญ่สำหรับตลาดท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะลูกค้า กรุ๊ปทัวร์จีน เส้นทางที่ได้รับความนิยม ส่วนใหญ่ยังคงไปกรุงเทพฯ-พัทยา รองลงมา คือภูเก็ตและเชียงใหม่ ส่งผลให้สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ขนผู้ประกอบการ ไทยกว่า 50 รายร่วมโรดโชว์เจรจาธุรกิจ ที่เมืองใหญ่ของ 3 มณฑล ได้แก่ ฝูเจี้ยน เจียงซี และหูหนาน เมื่อปลายเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา
          โจว จิง จิง รองผู้จัดการใหญ่ บริษัท หวน จิ้ง โกว๋ หลิ่ว จำกัด สะท้อนว่า ใน ฐานะที่บริษัทเป็นอันดับ 1 ในมณฑล เจียงซี และขายแพ็คเกจทัวร์ให้แก่ ชาวจีนไปไทยมากที่สุดในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา มองว่าศักยภาพของไทยยังเป็น "ตัวเลือกแรก" ที่ชาวจีนนิยมเดินทางไป ด้วยความพร้อมของสินค้า และบริการที่ต้อนรับอย่างอบอุ่น ขณะที่ราคาแพ็คเกจทัวร์อยู่ในระดับกลางๆ เมื่อเทียบกับจุดหมายอื่นๆ ในอาเซียน ส่วนสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ พบว่าไม่มีผลกระทบต่อกำลังซื้อของ ชาวจีนในปัจจุบัน
          สอดรับกับ อู๋ ฮุ่ย ตง รองผู้จัดการใหญ่ บริษัท เจียง หลุ่ย โกว๋ หลุ่ย จำกัด เล่าว่า ปัจจุบันสงครามการค้ายังไม่มี อิทธิพลต่อการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีน แต่ถ้าดูในระยะยาวอาจกระทบต่อค่าเงิน ของแต่ละครอบครัวได้ ทั้งนี้ไม่ว่าจะมี สงครามการค้าหรือไม่ พบว่าแนวโน้มชาวจีน ไปเที่ยวสหรัฐลดลง 5% ในปีที่ผ่านมา
          และเมื่อดูสัดส่วนการขายของ บริษัท กว่า 60% ขายแพ็คเกจทัวร์ไป ไทย อีก 40% คละกันไปทั้งญี่ปุ่น มาเลเซีย และยุโรป แม้ว่าคู่แข่งใหม่ของไทยใน อาเซียนที่กำลังมาแรงคือ "ญาจาง" ใน เวียดนาม แต่มองว่าตลาดจีนเที่ยวไทย ยังไปต่อได้ เพราะจีนมีฐานประชากร กว่า 1,400 ล้านคน มีผู้ถือพาสปอร์ตเพียง 100 ล้านคน ยังมีช่องว่างในการเติบโตอีกมาก โดยไทยมีพื้นฐานสินค้าท่องเที่ยวที่ดี ทั้งวัฒนธรรมที่หลากหลาย อาหารอร่อย ไปได้ซ้ำเรื่อยๆ
          "ส่วนนโยบายการโปรโมทเมืองรอง ของไทยแก่ชาวจีน อย่างแรกคือต้อง "สะดวก" ก่อน และมีสินค้าที่แตกต่าง จากเมืองหลัก ให้ความรู้สึกเหมือนได้ ไปเยือนที่ใหม่จริงๆ ส่วนจุดที่อยาก ให้ไทยเร่งแก้ไขคือการอำนวยความสะดวก ในการขอวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival : VoA) ให้เร็วขึ้น เพราะตอนนี้ชาวจีนต้องต่อคิวรอนานมาก และอยากให้พิจารณาต่ออายุมาตรการฟรีค่าธรรมเนียม VoA ไปอีกเพื่อกระตุ้นกระแสการเดินทางอย่างต่อเนื่อง"
          หยวน จิ้ง ผู้จัดการใหญ่สาขามณฑลเจียงซี บริษัท ไชน่า แทรเวล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทค้าส่งทัวร์รายใหญ่ของจีน เล่าว่า ชาวจีนในมณฑลเจียงซีชอบไป เส้นทางกรุงเทพฯ-พัทยามากเป็นอันดับ 1 รองลงมาคือภูเก็ต เชียงใหม่ และเกาะสมุย จะเห็นได้ว่าความสนใจหลักยังเป็น ทะเล แต่เที่ยวบินตรงเข้าไทยกว่า 15 เที่ยวบินต่อสัปดาห์จาก 4 สายการบิน ส่วนใหญ่ยังบินลงสนามบินในกรุงเทพฯ ทำให้ต้องใช้เวลาในการเดินทางอีกต่อกว่าจะถึงทะเล
          นอกจากไทยแล้ว ชาวจีนยังสนใจ เที่ยวเวียดนามมากขึ้น โดยเฉพาะญาจาง ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลมาแรง เนื่องจากใช้เวลาบินตรงสั้นกว่าไทย มีเที่ยวบิน เช่าเหมาลำ (ชาร์เตอร์ไฟลต์) จากมณฑลเจียงซีไปญาจาง 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ส่วนราคาแพ็คเกจทัวร์ถูกกว่ามาไทย 30%
          "แม้เวียดนามจะมีทะเลเหมือน กับไทย แต่เมื่อดูฟีดแบ็คแล้ว พบว่า ส่วนใหญ่ไปญาจางเพียงครั้งเดียว ต่างจากพฤติกรรมมาเที่ยวไทยที่นิยม เดินทางซ้ำ รอบแรกมากับบริษัททัวร์ก่อน และครั้งต่อๆ ไปเลือกเดินทางด้วยตัวเองหรือมากับกลุ่มเพื่อน เนื่องจากสามารถเที่ยวได้หลายรูปแบบ ทั้งไปทะเล ดูโชว์ ชมวัดและราชวัง และบริการของไทยยังได้เปรียบกว่าเวียดนามเรื่องการต้อนรับอย่างอบอุ่น"
          ด้าน เจียง เยี่ยน หนี ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หูหนาน โอเวอร์ซี แทรเวล จำกัด ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของมณฑลหูหนาน เล่าว่า ภาพรวมปัจจุบัน มีชาวจีนจากหูหนานไปเที่ยวไทยกว่า 1 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 10% ของ ตลาดจีนเที่ยวไทยทั้งหมดกว่า 10 ล้านคน ในปีที่แล้ว หลังจากเริ่มมีชาร์เตอร์ไฟลต์จากเมืองฉางซาไปกรุงเทพฯและภูเก็ตเมื่อปี 2008
          นอกจาก "โกลเด้นรูท" อย่างเส้นทางกรุงเทพฯ-พัทยา, ภูเก็ต และเชียงใหม่แล้ว พบว่าเมืองรอง เช่น เชียงราย และ สุราษฎร์ธานี ได้รับความสนใจจาก ชาวจีนในมณฑลนี้มากขึ้น มีเที่ยวบิน ตรงเข้า 2 เมืองนี้ ส่วนอีกจุดหมายที่ กำลังดัง คือ เกาะช้าง จ.ตราด ด้วยจุดขายเรื่องความสงบ คนยังไปเที่ยวไม่มาก และหาดทรายสวย
          "ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดจีนเที่ยวไทยขยายตัวรวดเร็วมาก มีสะดุดช่วง หนึ่งตอนปราบทัวร์ศูนย์เหรียญเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาและพอมีการต่ออายุมาตรการฟรีค่าธรรมเนียม VoA ล่าสุด ทำให้ชาวจีน กลับไปเที่ยวไทยเป็นปกติ และปัจจุบันถือว่าอยู่ในช่วง "เดินสายกลาง" ของตลาดจีนเที่ยวไทย ทั้งนี้อยากให้ฝั่งไทยมีการจัดระบบอำนวยความสะดวกแก่กลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (FIT) ตามเทรนด์การเติบโตของกลุ่มนี้มากขึ้น"
          จีนมีฐานประชากรกว่า 1,400 ล้านคน มีผู้ถือพาสปอร์ตเพียง 100 ล้านคนยังมีช่องว่างในการเติบโตอีกมาก

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: Number9 ที่ วันที่ 10 มิถุนายน 2019, 09:35:06
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีดีเจ้า


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 22 มิถุนายน 2019, 08:59:10
อสังหาฯเชียงใหม่-เชียงรายปีนี้หืดจับ พิษ LTV-ที่ดินพุ่ง 50% เหลือขายเฉียด 4 หมื่นล.
วันที่ 21 June 2019 - 09:30 น.


อสังหาฯเชียงใหม่-เชียงรายปีนี้ส่อเค้าวูบ เจอพิษหลายเด้ง ทั้งราคาที่ดินหลายพื้นที่ขยับจาก 15% ขึ้นไปถึง 50% ทำต้นทุนโครงการพุ่งกระฉูด ขณะที่กำลังซื้อหดจาก LTV แบงก์ชาติ ด้านศูนย์ข้อมูลอสังหาฯคาดปี 2562 สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคเหนือปี 2562 เชียงใหม่จะมีบ้านจัดสรรเหลือขายถึง 76.4% ส่วนเชียงรายจะมีบ้านจัดสรรเหลือขายถึง 84.5% ชี้สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคเหนือครึ่งหลังปี 2561 พบหน่วยเหลือขาย 13,221 หน่วย มูลค่ารวมกว่า 40,000 ล้านบาท
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยในงานสัมมนาวิชาการเรื่องสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยของจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงรายเมื่อเร็วๆ นี้ว่า จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายถือเป็นพื้นที่เศรษฐกิจการค้าการลงทุนที่สำคัญของภาคเหนือ ยังคงมีศักยภาพที่เอื้อต่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ พบว่ายังมีแนวโน้มการลงทุนในทิศทางที่ดีในแง่ของอุปทาน (supply) ใหม่ ๆ ที่จะเข้าสู่ตลาด แต่ขณะเดียวกันมีประเด็นที่ค่อนข้างน่าห่วงคือ ปัจจัยของรายได้คนในพื้นที่โตช้ากว่าราคาที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยเพราะราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จากเดิมต้นทุนราคาที่ดินในการทำโครงการเฉลี่ยอยู่ที่ 15% ปัจจุบันบางพื้นที่ขยับไปถึง 50% ส่งผลให้ราคาขายต่อหน่วยของโครงการปรับสูงขึ้นตามราคาต้นทุนที่ดิน ไม่สอดคล้องกับรายได้ของกลุ่มกำลังซื้อในพื้นที่




หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 11 สิงหาคม 2019, 20:41:10
จังหวัดเชียงราย ประชุมผู้เกี่ยวข้องการสำรวจออกแบบแก้ไขปัญหาจราจรถนนสาย ชร.5023 สายท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง
จังหวัดเชียงราย ประชุมผู้เกี่ยวข้องการสำรวจออกแบบแก้ไขปัญหาจราจรถนนสาย ชร.5023 สายท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง
กรมทางหลวงชนบทประชุมสำรวจออกแบบเพื่อแก้ไขปัญหาจราจรถนนสายท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายเส้นทางบายพาสทิศตะวันออกเชียงรายทางเชื่อมทั้ง 4 ทางแยก

วันนี้ 9 สิงหาคม 2562 ที่โรงแรมลักษวรรณ รีสอร์ท แอนด์สปา อำเภอเมืองเชียงราย นายสานิตย์ ศรีสุข วิศวกรใหญ่ กรมทางหลวงชนบท เปิดการประชุม ในโครงการสำรวจออกแบบเพื่อแก้ไขปัญหาจราจรบริเวณทางแยก บนถนนสาย ชร.5023 เป็นครั้งที่ 3 มีการสรุปผลการสำรวจออกแบบและศึกษาผลกระทบ โดยมีนายวีรเดช ชีวาพัฒนานุวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มสำรวจ กรมทางหลวงชนบท พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเจ้าหน้าที่ ประชาชน จำนวน 200 คน เข้าร่วมรับฟัง แสดงความคิดเห็นและเสนอข้อคิดเห็นในครั้งนี้ เพื่อแจ้งให้ประชาชน หน่วยงานและองค์กรในพื้นที่ได้รับทราบถึงวัตถุประสงค์ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการสำรวจออกแบบการแก้ไขปัญหาจราจรทั้ง 4 แยก จากการวิเคราะห์ด้านจราจร มาตรการในการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการดำเนินงานด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนให้เกิดประโยชน์ตามความต้องการในพื้นที่ โดยเป็นพื้นที่ศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาจราจรบริเวณทางแยกถนนสาย ชร.5023 เส้นทางบายพาสท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง ทางด้านทิศตะวันออกของจังหวัดเชียงราย จุดเริ่มต้นจากแยกท่าสาย ผ่านแยกดอยสะเก็น แยกสนามกีฬา แยกศูนย์ราชการ จนถึงแยกแม่ข้าวต้มทั้ง 4 ทางแยก รวมระยะทาง12 กิโลเมตร ในการปรับปรุงทางเชื่อมทางแยกให้การจราจรเดินรถสะดวกยิ่งขึ้นและมีความปลอดภัย


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 28 สิงหาคม 2019, 11:05:25
เชียงรายจัดใหญ่ถนนศิลปะล้านนา
Source - ข่าวสด
Wednesday, August 28, 2019 06:00
          เชียงราย - ว่าที่ ร.ต.ณรงค์ โรจนโสทร รอง ผวจ.เชียงราย เปิดเผยว่า สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับศิลปินสมาคมขัวศิลปะจังหวัดเชียงราย มีกำหนดจัดงาน "สืบสานงานศิลป์ล้านนามรดกล้ำค่าล้านนาตะวันออก" ที่ลานธรรม ลานศิลป์ ถิ่นพญามังราย ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย ระหว่างวันที่ 5-9 ก.ย.นี้ โดยกิจกรรมจะเป็นถนนศิลปะล้านนาตะวันออก เพื่อจัดแสดงผลงานของบรรดาศิลปินจากกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 หรือกลุ่มล้านนาตะวันออกคือ จ.เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน
          กำหนดกิจกรรมที่หลากหลายทั้งการแสดงบนเวที การจัดแสดงนิทรรศการ จัดประกวดการสร้างสรรค์ศิลปะ ฯลฯ ครบครัน โดยมีกำหนดจัดตลอดระยะเวลา 5 วันเต็ม ทั้งนี้ กลุ่มล้านนาตะวันออกมียุทธศาสตร์ในการอนุรักษ์เอาไว้ซึ่งความเป็นศิลปวัฒนธรรมล้านนา และส่งเสริมการท่องเที่ยวรวมทั้งนำศิลปวัฒนธรรมดังกล่าวมาเพิ่มมูลค่าด้านการท่องเที่ยว ดังนั้นในการจัดงานตลอด 5 วัน จึงคุ้มค่าอย่างมากที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่งประเทศจะได้ไปเยือน เพื่อชื่นชมความเป็นอัตลักษณ์ของศิลปวัฒนธรรมของกลุ่มล้านนาตะวันออกดังกล่าว
          นายสุวิทย์ ใจป้อม นายกสมาคมขัวศิลปะ เชียงราย กล่าวว่าศิลปินใน 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบนมีความหลากหลายครอบคลุมทุกแขนง ซึ่งเมื่อมารวมตัวกันในกลุ่มล้านนาตะวันออกแล้วคาดว่าภายในงานจะมีรวมกันไม่น้อยกว่า 500 คน ซึ่งต่างก็จะพยายามนำเอาผลงานต่างๆ มาจัดแสดงให้ยิ่งใหญ่ซึ่งก็ถือว่าเป็นการมาจัดร่วมกันเป็นครั้งแรก โดยลักษณะศิลปะจะมีทั้งแบบดั้งเดิมและศิลปะร่วมสมัยโดยเฉพาะ จ.เชียงราย นั้นถือว่าได้รับการยกฐานะเป็น 1 ใน 3 เมืองแห่งศิลปะและจะมีการจัดอาร์ต เบียนนาเล่ ในปี 2565
--จบ--

          --ข่าวสด ฉบับวันที่ 29 ส.ค. 2562 (กรอบบ่าย)--


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 21 กันยายน 2019, 13:42:06
รฟท.ถก'ไฮสปีด'23ก.ย. ปมใหม่ส่งมอบพื้นที่ซีพี
Source - กรุงเทพธุรกิจ
Saturday, September 21, 2019 02:26
          กรุงเทพธุรกิจ  การรถไฟฯ ถกด่วน 23 ก.ย. หลัง "ซีพี" ยื่นปรับแผน "ส่งมอบพื้นที่" ก่อนลงนาม ไฮสปีด 3 สนามบินภายใน 3 สัปดาห์ ด้านครม.เศรษฐกิจ อนุมัติชงรถไฟสายสีส้มตะวันตก 1.2 แสนล้านบาท เข้าครม. ชุดใหญ่อีก 2 สัปดาห์ เร่งเคาะอีก 13 โครงการ 5.5 แสนล้านบาท หวังเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ
          นายวรวุฒิ มาลา รักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการคัดเลือกของโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) กล่าวว่า วานนี้ (20 ก.ย.) กิจการร่วมค้าบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร (กลุ่มซีพี) ส่งหนังสือ ตอบกลับเอกสารแนบท้ายสัญญาเรื่องการส่งมอบพื้นที่พร้อมกำหนดวันลงนามสัญญา หากคณะกรรมการ คัดเลือกฯ เห็นชอบตามหนังสือตอบกลับของซีพี ก็พร้อมลงนามหลังจากนั้นภายใน 3 สัปดาห์
          "ต้องใช้เวลาตรวจสอบเอกสารของกลุ่มซีพี เพื่อเสนอคณะกรรมการคัดเลือกฯ พิจารณาสัปดาห์หน้า เบื้องต้นอาจประชุมวันที่ 23 ก.ย.นี้"
          ทั้งนี้การตรวจเอกสารที่กลุ่มซีพีเสนอมาจะดูข้อมูลที่อาจเปลี่ยนแปลงจากเอกสารฉบับเดิมที่ คณะกรรมการคัดเลือกฯ ส่งไป โดยหากไม่เปลี่ยนแปลงในประเด็นสำคัญและหากคณะกรรมการคัดเลือกฯ เห็นชอบรายละเอียดที่กลุ่มซีพีเสนอก็จะนัดวัน ลงนามได้ทันที โดยไม่ต้องนัดประชุมร่วมกันอีกเพราะนัดวันลงนามผ่านโทรศัพท์ได้
          รวมทั้ง หากคณะกรรมการคัดเลือกฯ ไม่เห็นด้วยกับเอกสารของกลุ่มซีพี จะพิจารณาว่าให้ดำเนินการอย่างไรต่อ แต่หากเห็นชอบก็นัดวันลงนามและจะรายงานให้นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รวมทั้งรายงานสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เพื่อให้นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบ
          เคาะสายสีส้มตะวันตก 1.2 แสนล้าน  จากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องถึงปี 2563 ทำให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงเร่งรัดการลงทุนภาคเอกชน และล่าสุดกำลังเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม เพื่อให้มีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
          นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบเสนอรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกศูนย์วัฒนธรรม-บางขุนนนท์ วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อเปิดบริการภายในปี 2569 ตามกำหนด
          ทั้งนี้เมื่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกเปิดบริการแล้วจะทำให้ผู้โดยสารที่ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีส้มเพิ่มเป็น 5 แสนคน ต่อวัน เพราะให้บริการครบตลอดเส้นทาง
          "โครงการนี้ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (พีพีพี) ตั้งแต่รัฐบาลที่ผ่านมา โดยในวันนี้ได้หารือการก่อหนี้ผูกพันตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินและการคลัง ซึ่ง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณชี้แจงว่าบรรจุไว้ในโครงการลงทุนปี 2563 ได้ และนายกรัฐมนตรีเร่งให้เสนอ ครม."
          13โครงการจ่อเข้า ครม.
          นอกจากนี้ ครม.เศรษฐกิจรับทราบความคืบหน้าโครงการเมกะโปรเจคด้านคมนาคม 44 โครงการ วงเงินลงทุนรวม 1.94 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่จะเสนอ ครม.ในระยะต่อไป 13 โครงการ วงเงิน 551,170 ล้านบาท ได้แก่ 1.ระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง และ ช่วงบางซื่อ-หัวหมาก ระยะทาง 25.19 กิโลเมตร
          2.ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว 3.การจัดหาเครื่องบิน ระหว่างปี 2562-2569 รวม 38 ลำ ของการบินไทย 4.การพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะสาม 5.การพัฒนา ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ระยะที่หนึ่ง 6.ศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรด้านการบินและอวกาศอู่ตะเภา ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และโครงการที่ 7-13 รถไฟทางคู่ ระยะที่สอง 7 สายทาง ระยะทางรวม 1,483 กิโลเมตร
          เร่งเคลียร์โปรเจคติดปัญหา
          สำหรับโครงการที่ ครม.อนุมัติแล้วและกำลังก่อสร้าง 17 โครงการ วงเงินรวม 7.82 แสนล้านบาท เช่น มอเตอร์เวย์พัทยามาบตาพุด เปิดเดือน ธ.ค.2563 มอเตอร์เวย์บางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา เปิดบริการ ปี 2565 และมอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรี มีความคืบหน้า 22% ช้ากว่าแผน 2 ปี เพราะมีปัญหาค่ากรรมสิทธิ์ที่ดินสูงขึ้นต้องขอเพิ่มวงเงินจาก ครม.
          ส่วนโครงการที่มีปัญหา คือ ศูนย์เปลี่ยนถ่ายคลังขนส่งสินค้าเชียงของ จ.เชียงราย ซึ่งเสนอ ครม.อนุมัติส่วนบริหารจัดการโครงการแบบพีพีพีไม่ได้ เพราะรอพิจารณาค่าตอบแทนการใช้ที่ดิน สปก.
          โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 1 จำนวน 7 สายทาง ระยะทางรวม 993 กิโลเมตร ปัจจุบันมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จได้แก่ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ส่วนอีก 6 โครงการอยู่ระหว่างก่อสร้าง ขณะที่โครงการรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพฯนครราชสีมา แบ่งงานโยธาออกเป็น 14 สัญญา อยู่ระหว่างก่อสร้าง 2 สัญญา และเตรียมก่อสร้างอีก 12 สัญญา
          เร่งโครงการ ครม.อนุมัติแล้ว
          กลุ่มโครงการที่ ครม.อนุมัติแล้ว และกำลังเตรียมดำเนินการมี 12 โครงการ วงเงินรวม 412,739 ล้านบาท พบว่ามี 6 โครงการต้องแก้ไขปัญหาระหว่างหน่วยงาน ต่างๆ หรือดำเนินการเพิ่มเพื่อให้เดินหน้า เช่น โครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง (ช่วงวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯด้าน ตะวันตก) ซึ่งใช้เงินกองทุนไทยแลนด์ ฟิวเจอร์ฟันด์ (TFF ) และได้ผู้ชนะประกวดราคาแล้ว 4 สัญญา แต่ยังลงนามสัญญาเพราะมีปัญหาข้อร้องเรียนของผู้เสนอราคา
          โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วง เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ อยู่ระหว่างออก พระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินและเตรียมประกวดราคา โครงการก่อสร้างเส้นทางสายใหม่ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ อยู่ระหว่างขอจัดสรรงบประมาณปี 2563 เพื่อจ้างที่ปรึกษาจัดการประกวดราคาและเวนคืนที่ดิน
          โครงการก่อสร้างเส้นทางสายใหม่ช่วงบางไผ่-มุกดาหาร-นครพนม อยู่ระหว่างขอรับจัดสรรงบประมาณปี 2563 เพื่อจ้างที่ปรึกษาจัดการประกวดราคาและเวนคืนที่ดิน โครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม อยู่ระหว่างจัดหาที่ดินก่อสร้าง ส่วนการบริหารจัดการโครงการ คาดว่าจะประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนต้นปี 2563
          ชี้บาทแข็งเหมาะสมเร่งลงทุน
          กลุ่มสุดท้ายคือโครงการที่คณะกรรมการพีพีพีเห็นชอบและเสนอให้สำนักงาน คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) พิจารณา เตรียมเสนอ ครม.มี 2 โครงการ วงเงิน 201,073 ล้านบาท ได้แก่ 1.รถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนตะวันตก ช่วงบางขุนนนท์มีนบุรี-สุวินทวงศ์ อยู่ระหว่างเสนอ ครม.อนุมัติงานโยธา และปรับรูปแบบการเดินรถตลอดสาย 2.มอร์เตอร์เวย์สายนครปฐมชะอำ กำลังออกกฎกระทรวงที่พักริมทาง ซึ่งได้หารือคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ข้อกฎหมายและจะเสนอให้ ครม.พิจารณา
          "โครงการเหล่านี้ควรลงทุนนานแล้ว โดยการเร่งรัดโครงการใหญ่เพราะต้องการให้มีการลงทุน จ้างงาน และใช้โอกาสช่วงเงินบาทแข็งค่าเร่งรัดการลงทุน ซึ่งเป็นโอกาสที่ดี โดยเฉพาะการนำเข้าวัสดุอุปกรณ์จากต่างประเทศ จะมีต้นทุนลดลง"
          รวมทั้งเป็นการรับมือกับเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวอีกระยะหนึ่ง ซึ่งโครงการลงทุนขนาดใหญ่จะช่วยลดผลกระทบ จากเศรษฐกิจภายนอกได้ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับปี 2551 ซึ่งรัฐบาลประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลก โดยไม่มีโครงการคมนาคมขนาดใหญ่เตรียมไว้ แต่ขณะนี้มีแผนรองรับแล้วเป็นเวลาที่เหมาะสมจะเร่งรัดการลงทุน

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 ตุลาคม 2019, 16:32:19
เชียงรายซ่อมถนนปรับภูมิทัศน์ถ้ำหลวงรับไฮซีชั่น-เปิดป้ายอุทยานฯ10ต.ค.นี้
Source - เว็บไซต์แนวหน้า

          เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่อุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน(เตรียมการ) ตำบลโป่งผาอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้มีการเร่งพัฒนาพื้นที่ถ้ำหลวง เพื่อรองรับการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีชั่นที่จะถึงนี้ โดยถนนทางเข้าระยะทางประมาณ 550 เมตร ได้รับความอนุเคราะห์จากบริษัทเชียงรายแลนด์จำกัด นำเครื่องจักนเข้าปรับปรุงถนนให้เป็นถนนที่ดีขึ้น
          ขณะที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชได้อุดหนุนงบประมาณร่วม 4 แสนบาท จัดทำป้ายอุทยานใหม่ขึ้น โดยมีการจัดทำเป็นผาหินจำลองรูปเทือกเขาดอยนางนอนเพื่อเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ทางกรมทรัพยากรน้ำบาดาลก็ได้อุดหนุนงบประมาณอีกกว่า 6 แสนบาท เข้าดำเนินการปรับภูมิทัศน์บอกเล่าเรื่องราวของการเจาะน้ำบาดาลเพื่อช่วยเหลือเยาวชน 13 ชีวิต ทีมหมูป่าอะคาเดมี แม่สาย บริเวณลานหินหน้าปากถ้ำหลวง
          ทั้งนี้ทางด้านนายกวี ประสมพล หัวหน้าอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ก็ได้มีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่เข้าทำการปรับภูมิทัศน์โดยรอบเขตพื้นที่อุทยานถ้ำหลวงและดำเนินการปรับสภาพพื้นที่บริเวณถ้ำหลวง เพื่อเตรียมการในการจัดทำถนนทางเข้าถ้ำหลวง เพื่อที่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมถึงบริเวณปากถ้ำบริเวณโถงที่ 1 ซึ่งได้มีการเสนอแผนและของบประมาณไปยังกรมอุทยานฯ ซึ่งให้ดำเนินการได้คาดว่าจะเปิดให้ชมได้ภายในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายนหรือเดือนธันวาคม ปลายปีนี้ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลท่องเที่ยวของจ.เชียงราย ซึ่งในวันที่ 10 ตุลาทคม 2562 ที่จะถึงนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีกำหนดที่จะเดินทางมาเปิดป้ายอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนอย่างเป็นทางการ
          นายกวี กล่าวว่า ภายหลังเหตุการณ์เยาวชน 13 ชีวิตทีมหมูป่าอะคาเดมี แม่สาย ติดถ้ำหลวงระหว่าง 23 มิถุนายน -10 กรกฎาคม 2561 ทำให้ถ้ำหลวงมีชื่อเสียงและมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนจนถึงเดือนกันยายนมีสถิตินักท่องเที่ยวกมากว่า 1.5 ล้านคน โดยช่วงนี้วันหยุดจะมีนักท่องเที่ยวกว่า 2,000 คน และวันปกติมีนักท่องเที่ยวพันกว่าคน แต่หากเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่จะถึงนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวมากกว่านี้หลายเท่าตัว โดยส่วนใหญ่จะมีชมถ้ำหลวง กราบไหว้เจ้าแม่นางนอนและเยี่ยมพิพิธภัณฑ์รูปภาพเดอะฮีโร่ อนุสาวรีย์จ่าแซม ส่วนการชมปากถ้ำหลวงกำลังอยู่ระหว่างเสนอกรมอุทยานฯเพื่อดำเนินการส่วนจะเปิดให้ชมได้เมื่อใดต้องรอการอนุมัติจากกรมฯ อีกครั้งหนึ่ง
          ทางด้านนายกมลไชย คชชา ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 เชียงราย กล่าวว่า เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนทางอธิบดีกรมอุทยานฯได้เดินทางมาตรวจพื้นที่ถ้ำหลวง ได้ให้นโยบายว่านักท่องเที่ยวอยากเข้าชมถ้ำหลวง แต่ช่วงนั้นมีฝนตกและอยู่ระหว่างปิดปากถ้ำอยู่ หากจัดระบบการท่องเที่ยวห้ดีนักท่องเที่ยวสามารถมาเข้าชมถึงปากถ้ำได้ ซึ่งทางสำนักฯ และทางอุทยานฯกำลังดำเนินการ หากไม่มีฝนตกคงไม่มีอันตรายใดๆ แต่ไม่อนุญาตให้เข้าไปเดินในถ้ำได้
          "ในช่วงการกู้ภัยกรมทรัพยากรน้ำบาดาลก็มีบทบาทสำคัญในการกู้ภัยช่วยเหลือ เจาะน้ำบาดาลถึง 3 บ่อหน้าปากถ้ำ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวดังกล่าวและสนับสนุนการท่องเที่ยว จึงนำเงินกองทุนน้ำบาดาลมาปรับภูมิทัศน์ด้านหน้าปากถ้ำหลวงเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมด้วย" นายกมลไชย กล่าว

ที่มา: www.naewna.com


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 06 ตุลาคม 2019, 16:32:59
21ปี มฟล.มุ่งสู่ศูนย์กลางการแพทย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขง
Source - เว็บไซต์เดลินิวส์
Sunday, October 06, 2019 15:00
          'จากผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก ปี 2020  มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง หรือ มฟล.ติดอันดับอยู่ในช่วงที่ 601-800 และเป็นปีแรกที่ มฟล.ติดอันดับ อีกทั้งยังมีคะแนนเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทยคู่กับมหาวิทยาลัยมหิดลด้วย
          "จากผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกปี2020มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงหรือมฟล.ติดอันดับอยู่ในช่วงที่601-800 และเป็นปีแรกที่มฟล.ติดอันดับ อีกทั้งยังมีคะแนนเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทยคู่กับมหาวิทยาลัยมหิดลด้วย ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจและดีใจมากของชาวมฟล.ทั้งหมดนี้มาจากการสะสมประสบการณ์มายาวนานจนแตกดอกออกผลเหมือนคนอายุ21ปีคือเติบโตเต็มวัยพอดีแสดงว่ามฟล.มีความเข้มแข็งทางวิชาการและในทศวรรษที่3ของมฟล.มุ่งจะเป็นผู้นำการศึกษาของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและมหาวิทยาลัยในระดับโลก”นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลการดำเนินงานของมฟล.ในช่วงที่ผ่านมาที่รศ.ดร.ชยาพรวัฒนศิริอธิการบดีมฟล.ได้รายงานให้ประชาชนชาวจังหวัดเชียงรายได้รับทราบในโอกาสครบรอบ21ปีของการสถาปนามฟล.ไปเมื่อเร็วๆนี้
          นอกจากนี้ อธิการบดีมฟล.ยังให้คำมั่นสัญญาที่จะมุ่งมั่นและนำพา มฟล.ก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคงพร้อมประกาศชัดเจนว่าจะขับเคลื่อน“ศูนย์การแพทย์มฟล.สู่ศูนย์กลางการแพทย์แห่งอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง“หรือMedical Education HubและMedical Service Hub โดยมุ่งหวังให้บริการคนไทยและนานาชาติ โดยเฉพาะชาวลุ่มแม่น้ำโขงทั้งไทยเมียนมาลาวเวียดนาม กัมพูชาจีนต่อไปโดยรศ.ดร.ชยาพรบอกว่าการพัฒนาศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเป็นเรื่องหลักที่ต้องดำเนินการซึ่งอยู่ในช่วงการเจริญเติบโตที่จะต้องขับเคลื่อนให้ถึงสมรรถนะในบริการการดูแลสุขภาพและสาธารณสุขของระดับประเทศไทยครบทุกด้านซึ่งต้องใช้สรรพกำลังและทรัพยากรจำนวนมากสิ่งนี้เป็นแนวทางสำคัญมุ่งหน้าของมฟล.ต่อไป
          จากเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนศูนย์การแพทย์มฟล.สู่ศูนย์กลางการแพทย์แห่งอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงนั้นเรื่องนี้รศ.ดร.วันชัยศิริชนะอธิการบดีผู้ก่อตั้งมฟล. ในฐานะประธานกรรมการอำนวยการศูนย์การแพทย์มฟล.เล่าให้ฟังว่าศูนย์การแพทย์มฟล.ประกอบด้วย3ส่วนคือ1.โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ มฟล. ให้บริการผู้ป่วยและประชาชนทั่วไป โดยให้บริการตรวจรักษาโรคทั่วไปและโรคเฉพาะทางส่งเสริมสุขภาพชุมชนแหล่งฝึกปฎิบัตินักศึกษา แหล่งศึกษาวิจัยทางการแพทย์ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์และแพทย์อาสาบรมราชกุมารี2.โรงพยาบาลมฟล.ให้บริการผู้ป่วยและประชาชนทั่วไป โดยเป็นแหล่งฝึกปฎิบัติด้านการแพทย์แบบบูรณาการ(Integrative Medicine)บริการตรวจรักษาด้วยแพทย์แผนไทยและบริการตรวจรักษาด้วยแพทย์แผนจีนและ3.ศูนย์บริการสุขภาพแบบครบวงจรแห่งภาคเหนือและอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงให้บริการผู้ไม่อยากป่วยซึ่งศูนย์บริการสุขภาพแบบครบวงจรฯ ถือว่าเป็นจุดเด่นของศูนย์การแพทย์มฟล. หรือจะมีการดูแลสุขภาพแบบ3 Pคือ ส่งเสริมและให้ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพ(Promotion)ให้รู้จักป้องกันการเกิดโรค(Prevention)และให้บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้นเพื่อการคัดกรอง(Prediction)รวมถึงการฟื้นฟูสุขภาพหลังการเจ็บป่วยและดูแลสุขภาพด้วยศาสตร์ชะลอวัย
          รศ.ดร.วันชัยเล่าอีกว่าศูนย์บริการสุขภาพแบบครบวงจรฯจะแยกออกมาจากโรงพยาบาล มฟล. เพราะต้องการนำคนไม่ป่วยออกจากคนป่วย เพื่อมาดูแลและให้บริการด้านสุขภาพ เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคก็จะส่งต่อไปรักษาตามอาการได้ทันทีถ้าเราสามารถทำได้ทั้ง 3P จะทำให้คนเราสุขภาพดีทุกช่วงวัยไม่เจ็บป่วย ลดค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาล ลดค่าใช้จ่ายของรัฐด้วย อีกทั้งทำให้เกิดการชะลอวัยอย่างมีความสุขอย่างไรก็ตามศูนย์บริการสุขภาพแบบครบวงจรฯนี้ถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ไม่เคยมีในประเทศไทยที่มีการแยกผู้ป่วยและผู้ไม่ป่วยออกไปอยู่คนละจุด
          “ศูนย์บริการสุขภาพแบบครบวงจรฯเป็นศูนย์ที่มีความสำคัญต่อบ้านเมืองที่สุดคือลดการเจ็บป่วยและการลดการเจ็บป่วยสำคัญกว่าการรักษา ถ้าต้องรักษาคือเงิน และเวลา ความทุกข์ทรมานของครองครัวจะเกิดขึ้นเราจึงให้ความสำคัญกับศูนย์นี้อย่างมากในอนาคต เน้นการดูแลคนทุกช่วงวัยให้มีสุขภาพดีและมีความสุขและองค์การอนามัยโลกยังประกาศแล้วว่าอนาคตแนวโน้มการบริการสุขภาพนั้นเรื่องการดูแลสุขภาพและป้องกันการเกิดโรคสำคัญที่สุดว่าศูนย์บริการสุขภาพแบบครบวงจรฯเปิดให้บริการมาเกือบ2ปีมีประชาชนมาใช้บริการ25,000คน จำนวนครึ่งที่มาใช้บริการรู้จักวิธีดูแลรักษาตัวเองอีกครึ่งได้รับการตรวจสุขภาพเบื้องต้นเพื่อคัดกรองโรคอีกทั้งค่าใช้จ่ายในการเข้ามารับบริการก็น้อยมากต่อปีต่อคนไม่ถึง3,000-5,000 บาท ผมเชื่อว่าในปี2565 ศูนย์การแพทย์ มฟล.จะสมบูรณ์แน่นอน ทั้งบุคลากร เครื่องมือ การดูแลรักษาให้บริการ และเป็นที่ฝึกปฎิบัติของนักศึกษาแพทย์ มฟล. โดยไม่ต้องไปฝึกปฎิบัติในโรงพยาบาลอื่น หากรัฐเข้ามาช่วยสนับสนุนเชื่อว่าศูนย์แห่งนี้จะช่วยคนยากจนได้มากกว่านี้และคุณภาพการรักษาไม่ต่างจากโรงพยาบาลชั้นนำทั่วไป ”รศ.ดร.วันชัย กล่าว
          ด้านนพ.พิษณุบุญประเสริฐแพทย์เฉพาะทางสาขาอายุรศาตร์โรคหัวใจและหลอดเลือดโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ มฟล.กล่าวเสริมว่า โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มฟล.เป็นโรงพยาบาลขนาด400เตียงตั้งอยู่บนเนื้อที่ประมาณ137ไร่ติดถนนพหลโยธินห่างจากที่ตั้งหลักของมฟล.ประมาณ1กิโลเมตรปัจจุบันมีประชาชนเดินทางไปใช้บริการสูงสุดวันละ340คนขณะที่เป้าหมายของโรงพยาบาลประมาณ600คนต่อวันส่วนจุดเด่นการรักษาโรคคือเฉพาะทางด้านกระดูกด้านหัวใจ คือการสวนหัวใจ และด้านสูตินารีแพทย์ ที่สำคัญเป็นโรงพยาบาลของรัฐ โดยสามารถเบิกจ่ายได้ตามสิทธิการรักษาของผู้ป่วย
          หวังว่าศูนย์การแพทย์ มฟล.จะเป็นอีกทางเลือกการดูแลและรักษาสุขภาพให้แก่คนไทยในภาคเหนือและในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง มุ่งสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการแพทย์แห่งอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงได้สำเร็จ
         

ที่มา: www.dailynews.co.th


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 16 ตุลาคม 2019, 08:30:00
  #15768
napoleon
Liberty, Equality, Frate
 
napoleon's Avatar
 
Join Date: Apr 2006
Posts: 100,732
Likes (Received): 6147

ลาวเผยเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ตรงข้ามเชียงแสน

จันทะจอน วางฟาเซง กรรมการบริหาร เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เปิดเผยกับสำนักข่าวสารประเทศลาวว่า นับแต่ปี 2012 ถึงกลางปี 2019 เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำได้จ่ายพันธะอากรให้กับรัฐบาลลาวแล้วรวม 458 ล้านดอลลาร์

ปี 2019 ณ สิ้นสุดเดือนกันยายน เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำมีรายรับรวม 150 ล้านดอลลาร์ คาดว่าปี 2025 จะเพิ่มเป็น 370 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 150% จากปัจจุบัน

เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ อยู่ในเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ตรงข้ามอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เป็นส่วนหนึ่งของสัมปทานโครงการ Kings Romans of LAOS Asian Economic & Tourism Development Zone ที่รัฐบาลลาวให้แก่กลุ่มดอกงิ้วคำจากจีนเมื่อปี 2007 และได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2009

สัญญาสัมปทานครั้งแรก ดอกงิ้วคำได้สิทธิ์เช่าที่ดิน 827 เฮคต้า(5,168 ไร่) จากรัฐบาลลาวเป็นเวลา 99 ปี เพื่อสร้างศูนย์บันเทิงครบวงจร ใช้เงินลงทุนประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์ เป็นเงินทุนของดอกงิ้วคำเองทั้ง 100% มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีน

ต่อมาวันที่ 29 ตุลาคม 2014 รัฐบาลลาวปรับปรุงสัญญาขยายพื้นที่สัมปทานขึ้นเป็น 2,173 เฮคต้า(13,581 ไร่) โดยปรับรูปแบบโครงการเป็นการสร้างเมืองใหม่ขึ้นมาอีก 1 แห่ง

จันทะจอนเปิดเผยว่า ปัจจุบันเขตเศรษฐกิจพิเศษฯมีพื้นที่ซึ่งได้รับสัมปทานจากรัฐบาลลาวรวม 10,000 เฮคต้า(6.25 หมื่นไร่) นอกจากพื้นในเขตพัฒนาตัวเมืองประมาณ 3,000 เฮคต้าแล้ว ยังได้รวมเขตป่าสงวนสายพูกิ่วลมเข้าไปด้วยอีก 7,000 เฮคต้า

ในเขตพัฒนาตัวเมืองนั้นได้วางระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานขึ้นมาใหม่ นอกจากนี้ยังได้สร้างวัด โรงเรียน โรงพยาบาล และสนามบินแห่งใหม่ รวมถึงสร้างสนามกอล์ฟและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในบริเวณที่อยู่ใกล้เคียงโครงการ

เขาบอกว่าปี 2018 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปในเขตเศรษฐกิจพิเศษฯรวม 452,571 คน โดยเป็นการเข้าผ่านด่านสากลสามเหลี่ยมทองคำ 131,593 คน

ทุกวันนี้ ในเขตเศรษฐกิจพิเศษฯมีโรงแรมไว้ให้บริการ 13 แห่ง จำนวนห้องพักรวม 1,303 ห้อง และสิ้นปีนี้จะมีโรงแรมเปิดให้บริการใหม่อีก 3 แห่ง

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คาสิโนซึ่งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษฯ ได้ประกาศรับสมัครคนลาวให้เข้าทำงานใน 9 ตำแหน่งงาน จำนวน 80 อัตรา กำหนดอัตราเงินเดือนเป็นเงินหยวน เริ่มต้นที่ 2,200 หยวนหรือประมาณ 10,000 บาท

cr. ປະເທດລາວ Pathedlao 13/10/2562


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: boondham ที่ วันที่ 30 กรกฎาคม 2021, 12:30:48
กรมทางหลวงเดินหน้าขยายสาย 118 เชียงใหม่-เชียงราย เป็น 4 ช่องจราจรตลอดสาย  ยกระดับโครงข่ายคมนาคมขนส่ง ส่งเสริมการค้าและการท่องเที่ยวภาคเหนือเชื่อมประเทศเพื่อนบ้าน



นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม  มอบนโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐานทางถนนให้กรมทางหลวงขยายทางหลวงหมายเลข 118 เชียงใหม่-เชียงรายเป็นถนนมาตรฐานขนาด 4 ช่องจราจรตลอดเส้นทาง 158.473 กิโลเมตร เพื่อเสริมสร้างโครงข่ายทางหลวงพื้นที่ภาคเหนือให้สมบูรณ์ โดยที่ผ่านมากรมทางหลวงขยายทางหลวงสายดังกล่าวแล้วเสร็จ 48 กิโลเมตร และได้ดำเนินโครงการก่อสร้างอีกระยะทาง 42.8 กิโลเมตร ช่วง อ.ดอยสะเก็ด-ต.แม่ขะจาน ระหว่าง กม.20+200 - กม.63+000 ซึ่งขณะนี้เหลือเพียง ตอน อ.ดอยสะเก็ด-ต.ป่าเมี่ยง ตอน 1  ระหว่าง กม.20+200 - กม.31+700  ระยะทาง 11.5 กม. ขณะนี้มีความคืบหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 93  คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกันยายน  ปี 2564  จะรวมเป็นระยะทาง 91 กิโลเมตร ทั้งนี้มีบางช่วงที่ดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดให้ใช้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้ใช้เส้นทางไปแล้ว

     รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจึงผลักดันให้เร่งขยายเส้นทางเป็น 4 ช่องจราจรในส่วนที่เหลืออีก 67.473กิโลเมตร   ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายโดยในพื้นที่ ต.บ้านโป่ง-บรรจบทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) ระหว่าง กม.91+000 – กม.158+473  ปัจจุบันมีขนาด  2  ช่องจราจร เนื่องจากสภาพเส้นทางมีลักษณะคดเคี้ยว  เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง  จำเป็นต้องปรับปรุงให้เป็นทางหลวงขนาด 4 ช่องจราจรตลอดเส้นทางเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก ปลอดภัยในการเดินทาง  ยกระดับความปลอดภัยด้านคมนาคมขนส่ง และรองรับปริมาณการจราจรและการขยายตัวทางเศรษฐกิจพื้นที่ภาคเหนือกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค และประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะภาคการขนส่งและการท่องเที่ยว 

     กรมทางหลวง ได้ขานรับนโยบายดังกล่าวเร่งดำเนินโครงการสำรวจและออกแบบทางหลวงหมายเลข 118 (สายเชียงใหม่-เชียงราย) โดยแบ่งเป็น 2 ตอน คือ

 ▪️ตอน บ.แม่เจดีย์ – อ.แม่สรวย ระยะทาง 50 กิโลเมตร  โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเก็บข้อมูลสำรวจผลกระทบสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เพื่อศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) และจัดทำรายงาน EIA เสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)  และเมื่อหากผ่านการพิจารณาแล้วโครงการจะมีความพร้อมเพื่อเสนอของบประมาณดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ประมาณ ปี พ.ศ.2567 แล้วเสร็จปี พ.ศ.2569

 ▪️และ ตอน อ.แม่สรวย - แยกจุดตัดทางหลวงหมายเลข  1  จ.เชียงราย ระยะทาง 17.473 กิโลเมตร  ปัจจุบันอยู่ระหว่างเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณจากแหล่งเงินกู้ (เพิ่มเติม)  โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และหากได้รับงบประมาณจะเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป  โดยใช้งบประมาณโครงการ  2,000 ล้านบาท  คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ประมาณปี พ.ศ. 2565 แล้วเสร็จปี พ.ศ. 2567

 สำหรับโครงการสำรวจและออกแบบทางหลวงหมายเลข 118 ตอน อ.แม่สรวย-แยกจุดตัดทางหลวงหมายเลข 1 จ.เชียงราย  มีจุดเริ่มต้นบริเวณ กม.141+000 ท้องที่ตำบลแม่สรวย และสิ้นสุดที่จุดตัดทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธินบริเวณ กม.910+123) ที่  กม. 158+473 ท้องที่ตำบลดงมะดะ ระยะทางประมาณ 17.473 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อ.แม่สรวย  อ.แม่ลาว  และ  3 ตำบล ได้แก่  ต.แม่สรวย ต.ดงมะดะ ต.จอมหมอกแก้ว
 โดยรูปแบบการก่อสร้างเป็นถนนคอนกรีตขนาด  4 ช่องจราจร ความกว้างช่องจราจรละ 3.50 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 2.50 เมตร แบ่งทิศทางการจราจรด้วยแบริเออร์คอนกรีตกว้าง 1.60 เมตร ซึ่งรูปแบบทางแยกมี 4 จุดตัด ดังนี้

    •1)  จุดตัดทางหลวงชนบทหมายเลข ชร.2113 (กม.146+994) ออกแบบเส้นทางสายหลักทางหลวงหมายเลข 118 เป็นสะพานยกระดับ ลดการตัดกระแสของการจราจรบริเวณทางแยกและมีการจัดการทางแยกระดับพื้นดินในลักษณะวงเวียน ออกแบบทางขนานเพื่อแยกการจราจรระหว่างการเดินทางในพื้นที่กับถนนสายหลัก และกำหนดจุดกลับรถใต้สะพานสำหรับความสูงไม่เกิน 5.50 เมตร
    •2)  จุดตัดทางหลวงหมายเลข 1211 (กม.154+647) ออกแบบเส้นทางสายหลักทางหลวงหมายเลข 118 เป็นสะพานยกระดับ ลดการตัดกระแสของจราจรบริเวณทางแยกและมีการจัดการทางแยกระดับพื้นดินในลักษณะวงเวียน ออกแบบทางขนานเพื่อแยกการจราจรระหว่างการเดินทางในพื้นที่กับถนนสายหลัก และกำหนดจุดกลับรถใต้สะพานสำหรับความสูงไม่เกิน 5.50 เมตร

    •3)  จุดตัดถนนเลียบคลองชลประทาน (กม.156+500) โดยรื้อสะพานข้ามคลองชลประทาน บนเส้นทางสายหลักทางหลวงหมายเลข 118 ในปัจจุบันออก เพื่อออกแบบเป็นสะพานยกระดับข้ามคลองชลประทาน โดยออกแบบทางขนานเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางในพื้นที่ และแยกกระแสจราจรของรถที่ใช้ความเร็วออกจากกันเพื่อความปลอดภัยบริเวณใต้สะพานออกแบบจัดการจราจรเป็นระบบวงเวียนของถนนเลียบคลองชลประทานทั้ง 2 ฝั่ง และกำหนดจุดกลับรถใต้สะพานสำหรับความสูงไม่เกิน 4.50 เมตร

     •4) จุดตัดถนนทางหลวงหมายเลข 1 ที่ กม.158+473 แนวเส้นทางตัดกับทางหลวงหมายเลข 1  ที่ กม.910+123 และเป็นจุดสิ้นสุดของโครงการ  สภาพพื้นที่ในปัจจุบันเป็น 3 แยกสัญญาณไฟแบบ channelize แต่เนื่องจากเป็นทางแยกหลักที่เชื่อมโยงระหว่าง 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดพะเยา ซึ่งปริมาณจราจรที่ผ่านจุดตัดนี้มีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้จำเป็นต้องพิจารณาออกแบบปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของทางแยกให้มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น โดยทำการออกแบบทางยกระดับข้ามทางแยก 1 ทิศทาง บนทางหลวงหมายเลข 1 ฝั่งมุ่งหน้าจากจังหวัดพะเยาไปตัวเมืองจังหวัดเชียงราย พร้อมทางขนานทางยกระดับ โดยทิศทางมุ่งหน้าจากตัวเมืองจังหวัดเชียงรายไปจังหวัดพะเยา จะทำการขยายถนนระดับพื้นดิน จากเดิม 2 ช่องจราจร เป็น 4 ช่องจราจร โดยออกแบบเกาะกลางรูปปีกนกสำหรับแบ่งรถในทิศทางตรงให้สามารถผ่านทางแยกได้คล่องตัว ไม่ต้องติดสัญญาณไฟจราจร ส่วนทิศทางเลี้ยวขวาเข้า – ออก จากทางหลวงหมายเลข 118 จะถูกควบคุมด้วยสัญญาณไฟจราจร ทำให้ลดการตัดกระแสจราจรบริเวณทางแยกและทำให้การจราจรบนทางหลวงหมายเลข 1 เกิดความคล่องตัว

     ทั้งนี้  เมื่อโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จจะช่วยเติมเต็มโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งทางหลวงหมายเลข 118 ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ช่วยลดอุบัติเหตุ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถรองรับปริมาณการจราจรที่มากขึ้นจากเดิม 1 - 1.8  หมื่นคันต่อวัน เป็น 3 หมื่นคันต่อวัน ช่วยลดระยะเวลาการเดินทางระหว่าง จ.เชียงใหม่ และ จ.เชียงราย จากเดิมที่ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ลดลงเหลือ 3 ชั่วโมง ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนให้สะดวกรวดเร็ว ช่วยส่งเสริมด้านเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงราย และเกิดโครงข่ายคมนาคมขนส่งในพื้นที่ภาคเหนือไปยังประเทศเพื่อนบ้าน


หัวข้อ: Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
เริ่มหัวข้อโดย: corolado4 ที่ วันที่ 11 สิงหาคม 2021, 11:54:11
แต่ล่ะภาพทางแยก น่าจะมีตัวหนังสือบอกสถานที่แบบชัดเจน
บางคนน่าจะมองไม่ออกว่าเป็นจุดไหนตรงอำเภอใดนะครับ
ผมมองภาพได้แค่สองภาพ สามแยกสายหลัก (แยกแม่สรวย)
กับ ทางข้ามคลองชลประทาน รร.ดงมะดะ
นอกนั้นต้องเอาหลัก กม. ไปลงพิกัดดูเอาเอง