เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย

บอร์ดกลุ่มชมรม => ชมรมนักกลอน => ข้อความที่เริ่มโดย: Siranoi ที่ วันที่ 23 เมษายน 2012, 06:13:33



หัวข้อ: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 23 เมษายน 2012, 06:13:33
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2555
.........................
***วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - เปิดการจราจรบนสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ 1 (หนองคาย-เวียงจันทน์)***


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Yim sri ที่ วันที่ 23 เมษายน 2012, 07:13:32
ขยันจริงๆเลยนะคะ ท่านอาจารย์ศิรา
สมแล้วกับตำแหน่งนักถอดกลอนประตู

ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  ;D
เอิ๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Number9 ที่ วันที่ 23 เมษายน 2012, 11:06:14
ขยันจริงๆเลยนะคะ ท่านอาจารย์ศิรา
สมแล้วกับตำแหน่งนักถอดกลอนประตู

ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  ;D
เอิ๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

นอนเดิ๊ก ลุกเจ๊าแต้น่อท่านผู้คุม ... อิอิ  :D



หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 24 เมษายน 2012, 08:31:47
     วันที่ 24 เมษายน 2555
...............
***วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) - ไปรษณีย์ไทยให้บริการโทรเลขเป็นครั้งสุดท้ายของประเทศไทย*


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: ♡♡<Fairy>♡♡ ที่ วันที่ 24 เมษายน 2012, 09:11:55
:D...ได้ความรู้...เพิ่มอีก...วันละ ๑ อย่าง.....ขอบพระคุณท่านพี่ศิราฯ เจ้าค่ะ.... ;)


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 25 เมษายน 2012, 05:37:48
     วันที่ 25 เมษายน 2555
....................
***วันนี้ในอดีตพ.ศ. 2148 (ค.ศ. 1605) - สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จสวรรคต ณ ตำบลทุ่งดอนแก้ว เมืองหลวงหรือเมืองห้างหลวงหรือเมืองห่างหลวง หรือเมืองหางหลวง ขณะกรีฑาทัพไปตีเมืองนายและกรุงอังวะขณะมีพระชนมพรรษาได้ 50 พรรษา รวมระยะเวลาในการครองราชย์ได้ 15 ปี สมเด็จพระเอกาทศรถ พระอนุชาจึงเสด็จขึ้นครองราชย์***
......................
 


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Yim sri ที่ วันที่ 25 เมษายน 2012, 05:47:00
ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่ได้สรรหาความรู้ต่างๆมาให้ค่ะ


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 26 เมษายน 2012, 05:39:01
     วันที่ 26 เมษายน 2555
............................................
     ***วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2436 (ค.ศ. 1893) - พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้ง สภาอุณาโลมแดงแห่งชาติสยาม ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นสภากาชาดไทย***
..............................................
 


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 27 เมษายน 2012, 01:04:40
...................................         
          วันนี้..วันที่ 27 เมษายน 2555
          ***วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ทรงเปิดพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ณ โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร***
............................

          จอมพลเรือ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก (พระราชสมภพ 1 มกราคม พ.ศ. 2434 - ทิวงคต 24 กันยายน พ.ศ. 2472) ทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชชนก ในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลฯ พระอัฐมรามาธิบดินทรและพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีคุณูปการแก่กิจการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของประเทศไทยเป็นอย่างมาก ประชาชนโดยทั่วไปมักคุ้นเคยกับพระนามว่า "กรมหลวงสงขลานครินทร์"หรือ"พระราชบิดา"และบางครั้งก็ปรากฏพระนามว่า "เจ้าฟ้าทหารเรือ"และ"พระประทีปแห่งการอนุรักษ์สัตว์น้ำของไทย" ส่วนชาวต่างประเทศเรียกพระนามว่า "เจ้าฟ้ามหิดล"



หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: little girl ที่ วันที่ 27 เมษายน 2012, 01:08:55

ขอบคุณสำหรับสาระดีๆ ค่ะ  :D    


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 28 เมษายน 2012, 05:24:41
...................................         
          วันนี้..วันที่ 28 เมษายน 2555
          ***วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) - ความไม่สงบในภาคใต้ของประเทศไทย: เหตุการณ์รุนแรงที่มัสยิดกรือเซะ จังหวัดปัตตานี***
............................
          เหตุการณ์ที่เป็นที่รู้จักกันในชื่อกรณีมัสยิดกรือเซะเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 บริเวณมัสยิดกรือเซะ ตำบลตันหยงลูโละ อำเถอเมือง จังหวัดปัตตานี มัสยิดกรือเซะเป็นโบราณสถานและมัสยิดเก่าแก่ของจังหวัดปัตตานี ความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปล้นปืนในค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 ซึ่งเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องดังกล่าว
 
ความเป็นมา
          ก่อนเหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะในวันที่ 28 เมษายน 2547 นั้น ได้มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อการก่อนหน้านั้น โดยในวันที่ 26 เมษายน 2547 กลุ่มคนประมาณ 30 คนได้ประชุมวางแผนเตรียมการโจมตีจุดตรวจมัสยิดกรือเซะที่บ้านนายฮามะ สาและ ซึ่งตั้งอยู่ที่ ควนโนรี อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี โดยมีบุคคลระดับแกนนำเข้าร่วมประชุมหลายคนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ความไม่สงบในหลายพื้นที่ในเขตจังหวัดปัตตานี ในวันที่ 28 เมษายน 2547
          ในระหว่างการประชุมเตรียมการได้มีการกำหนดพื้นที่โจมตีหลายจุด ซึ่งรวมถึงจุดตรวจมัสยิดกรือเซะด้วย

ลำดับเหตุการณ์
          วันที่ 27 เมษายน 2547 เวลาประมาณ 15.00 น. กลุ่มบุคคลประมาณ 30 คนแต่งกายในลักษณะบุคคลทั่วไปที่เดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจ ได้เดินทางโดยรถกระบะและรถเก๋ง พร้อมด้วยกระเป๋าสัมภาระไปยังมัสยิดกรือเซะ และได้นำกระเป๋าสัมภาระเข้าไปไว้ในมัสยิด ต่อมาเวลาประมาณ 17.00 ถึง 20.00 น. กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ทำละหมาดร่วมกัน โดยอุสต๊าซโซ๊ะได้พูดปลุกระดมให้มุ่งมั่นในการปฏิบัติการประกาศเอกราช และได้ทำการนัดหมายอีกครั้งว่า จะโจมตีจุดตรวจกรือเซะในเวลา 05.00 น. ของวันที่ 28 เมษายน 2547 เพื่อแย่งชิงอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่และให้หลบหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ภายในมัสยิด
          เวลาประมาณ 20.00-20.30 น. กลุ่มชายประมาณ 20 คนแต่งกายในชุดดะอ์วะฮ์ได้เข้าไปรับประทานอาหารที่ร้านชื่อ “มะกาแม” ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านข้างมัสยิดทางทิศเหนือ ซึ่งคนกลุ่มดังกล่าวเดินทางมาจากสถานที่ต่างๆ กัน จากจังหวัดสงขลาและจังหวัดยะลา เวลาประมาณ 23.00 น. ได้มีชาย 2 คน ออกมาจากมัสยิด และนำรถจักรยานยนต์ขี่วนเวียนไปมาตามเส้นทางระหว่างมัสยิดและจุดตรวจกรือเซะ และหลังจากที่ได้กลับเข้าไปในมัสยิดแล้วชายทั้งสองก็ไม่ได้ออกมาจากมัสยิดอีก
          เช้าตรู่วันที่ 28 เมษายน 2547 เวลาประมาณ 02.30 น. กลุ่มบุคคลที่เดินทางไปยังมัสยิดเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2547 ประมาณ 15-18 คนได้ออกมานั่งรวมกลุ่มกันที่ลานหน้ามัสยิดด้านทิศตะวันออก โดยคนในกลุ่มได้พูดคุยและแสดงท่าทางในลักษณะของการวางแผน โดยคนอีกกลุ่มจำนวน 6-8 คน ได้รวมกลุ่มกันที่ระเบียงทางขึ้นมัสยิดด้านทิศใต้ จากนั้นได้มีรถกระบะไม่ทราบยี่ห้อ สีน้ำเงินดำได้แล่นเข้ามาจอดบริเวณมัสยิดและมีกลุ่มบุคคลจำนวนหนึ่งลงมาจากรถโดยบางคนแต่งกายชุดดะอ์วะฮ์เดินเข้าไปในมัสยิด
          เวลาประมาณ 04.50 น. มีกลุ่มบุคคลที่มัสยิดประมาณ 30 กว่าคนได้แยกออกเป็น 2 กลุ่มกลุ่มละประมาณเกือบ 20 คน โดยกลุ่มที่หนึ่งเดินทางไปทางถนนด้านสถานีอนามัย อีกกลุ่มหนึ่งเดินไปทางถนนด้านทิศเหนือฝั่งเดียวกับที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลตันหยงลูโละมุ่งหน้าไปทางจุดตรวจกรือเซะ
          ต่อมากลุ่มบุคคลประมาณ 32 คน ได้เดินมุ่งไปยังจุดตรวจกรือเซะฝั่งป้อมยามด้านสุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ขณะเดียวกันนั้น สิบตำรวจเอก อันวาร์ เบ็ญฮาวัน สังกัดกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดน 444 ซึ่งปฎิบัติหน้าที่อยู่ ณ จุดตรวจฯ ได้รับแจ้งเตือนจากทหารจำนวน 3 คนที่วิ่งมาจากจุดตรวจฝั่งสถานีอนามัยว่าให้ระวังกลุ่มบุคคลดังกล่าวด้วย และต่อมาทหารที่เหลืออยู่อีก 1 คน ที่อยู่ ณ จุดตรวจได้ถูกฟันทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ
          กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบดังกล่าว ได้โจมตีป้อมตำรวจที่อยู่ใกล้ๆ กับมัสยิดกรือเซะ และได้มีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทหาร ผลจากการปะทะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเสียชีวิต 3 นาย และบาดเจ็บ 17 นาย
          หลังจากนั้นกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบทั้ง 32 คน ได้หลบหนี้เข้าไปภายในมัสยิดกรือเซะ พลเอก พัลลภ ปิ่นมณี รองผอ.กอ.รมน. ได้เดินทางไปถึงที่เกิดเหตุ มีประชาชนประมาณ 2,000-3,000 คน รวมตัวกันอยู่ที่บริเวณมัสยิด
          เจ้าหน้าที่ปิดล้อมมัสยิดอยู่นานราว ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ถึง 14.00 น.
ทางตำรวจทหารตัดสินใจบุกเข้าไปในมัสยิด ใช้ระเบิดมือและอาวุธ จนเป็นเหตุให้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่อยู่ภายในมัสยิดทั้ง 32 คนเสียชีวิต

ผลกระทบจากเหตุการณ์
          ข่าวการบุกเข้าไปสังหารกลุ่มบุคคลภายในมัสยิดกรือเซะแพร่กระจายไปทั่วโลก ซึ่งก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เจ้าหน้าที่รัฐถึงการกระทำปราบปรามเกินกว่าเหตุ ดังนั้นเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รัฐบาลจึงได้ตั้งคณะกรรมการอิสระไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีมัสยิดกรือเซะ ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 104/2547 ลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2547 ซึ่งประกอบด้วยคณะกรรมการจากหลายภาคส่วนได้แก่

1. นายสุจินดา ยงสุนทร อดีตเอกอัครราชทูตและอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นประธานกรรมการ

2. นายอารีย์ วงศ์อารยะ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ทรงคุณวุฒิประจำจุฬาราชมนตรี

3. นายจรัญ มะลูลีม นักวิชาการมหาวิทยาลัย เป็นรองประธาน

4. นายภุมรัตน ทักษาดิพงศ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เป็นกรรมการ

5. นายมหดี วิมานะ อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน เป็นกรรมการ

6. นายอาศิส พิทักษ์คุมพล ประธานกรรมการกลางอิสลามประจำจังหวัดสงขลา เป็นกรรมการ

7. นายศักดิ์ทิพย์ ไกรฤกษ์ อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน เป็นกรรมการ


หลังจากมีการดำเนินการไต่สวนหาข้อเท็จจริงกรณีเหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะ นายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) ได้แถลงผลการสอบสวนเหตุการณ์กรณีกรือเซะและตากใบ เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2548
....................


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Yim sri ที่ วันที่ 28 เมษายน 2012, 07:33:42
ได้รื้อฟื้นความรู้ค่ะ ขอบพระคุณท่านอาจารย์ค่ะ


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 29 เมษายน 2012, 09:48:57
     วันนี้วันที่ 29 เมษายน 2555
.................
     ***วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) - วันประสูติของเจ้านายองค์น้อยของไทย พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ***
..............
 


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 30 เมษายน 2012, 05:56:44
วันนี้วันที่ 30 เมษายน 2555
................
          ***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2231 (ค.ศ.1688) สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทอดพระเนตรสุริยุปราคาร่วมกับคณะบาทหลวงเยซูอิต จากฝรั่งเศส ณ พระที่นั่งเย็นทะเลชุบศร เมืองละโว้***
.........................
ในประเทศไทย การเกิดสุริยุปราคามีขึ้นไม่บ่อยนักแต่เชื่อกันว่ามีสุริยุปราคาที่เกิดขึ้นและเห็นได้ในประเทศไทยหลายครั้งด้วยกัน เท่าที่มีการบันทึกไว้พออ้างอิงได้ คือ
ภาพวาดสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  ทรงเสด็จทอดพระเนตร การเกิดสุริยุปราคา  เมื่อปี พ.ศ. 2231  ณ  พระตำหนักเย็น

-  สุริยุปราคาที่เกิดในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช 2 ครั้งด้วยกัน ซึ่งพระองค์เสด็จทอดพระเนตรร่วมกับบาทหลวงเยซูอิต ชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์และได้นำความรู้ทางดาราศาสตร์สมัยใหม่เข้ามาเผยแพร่และดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาในสมัยนั้น ครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2228 ซึ่งเป็นสุริยุปราคาเต็มดวงโดยเสด็จทอดพระเนตรที่เมืองละโว้ ผ่านกล้องโทรทรรศน์ และครั้งที่สองเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2231 ซึ่งเป็นสุริยุปราคาบางส่วน สันนิษฐานว่าทรงเสด็จทอดพระเนตร ณ พระตำหนักเย็น ทะเลชุบศรทั้ง 2 ครั้งโดยทอดพระเนตรภาพดวงอาทิตย์บนฉากที่รับภาพจากกล้องโทรทรรศน์ที่บาทหลวงตั้งถวายให้ทอดพระเนตร

          หลังจากนั้นประเทศไทยก็ว่างจากข่าวคราวการเกิดสุริยุปราคา จนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระปรีชาสามารถทางด้านดาราศาสตร์ โดยทรงศึกษาวิชาการด้านนี้ด้วยพระองค์เองจากตำราโหราศาสตร์ไทยและตำราโหราศาสตร์สากล ที่ทรงสั่งซื้อจากต่างประเทศ ทรงวัดเส้นรุ้งเส้นแวงด้วยพระองค์เองทรงคำนวณว่าจะเกิด สุริยุปราคาเต็มดวง ที่บ้านคลองลึกตำบลหว้ากอ อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ได้อย่างแม่นยำ ทั้งๆที่ทรงคำนวนไว้ล่วงหน้าถึง 2 ปี โดยทรงใช้กล้องโทรทรรศน์ส่วนพระองค์ในการทอดพระเนตร ทำให้พระองค์ทรงได้รับการยอมรับจากนานาอารยประเทศ และทรงได้รับการยกย่องว่าทรงเป็น "พระบิดาแห่งดาราศาสตร์ไทย" และในวันนี้คือวันที่ 18 สิงหาคม ก็ได้รับการกำหนดให้เป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ" ของทุกปี การเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงในครั้งนี้ จึงนับว่ามีความสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยเหตุการณ์หนึ่งทีเดียว
ภาพถ่ายขณะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงที่หว้ากอ  เมื่อปี  พ.ศ. 2411
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 4  ขณะเสด็จทอดพระเนตรการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงที่หว้ากอ
กล้องโทรทรรศน์ส่วนพระองค์ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ  ทรงใช้ทอดพระเนตรการเกิดสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ  เมื่อพ.ศ.  2411  เป็นกล้องที่นับว่าทันสมัยที่สุดในสมัยนั้น

           การเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงที่เกิดขึ้นครั้งต่อมาคือในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 6 เมษายน ปี พ.ศ. 2418 กินเวลามืดนาน 4 นาที 42 วินาที เห็นได้ชัดที่แหลมเจ้าลาย จังหวัดเพชรบุรี

          ในสมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2472 เป็นสุริยุปราคาเต็มดวง กินเวลามืดนาน 6 นาที เห็นได้ชัดที่อำเภอโพธิ์  จังหวัดปัตตานี

           และในสมัยรัชกาลปัจจุบันเห็นสุริยุปราคาเต็มดวง  2 ครั้งด้วยกัน  คือ เมื่อวันที่  20 มิถุนายน  พ.ศ.  2498 เห็นได้ชัดที่อำเภอบางประอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และอีกหลายจังหวัด รวมทั้งกรุงเทพฯ ด้วย กินเวลามืดนาน 6 นาทีและครั้งที่ 2 ซึ่งกินเวลาห่างกันถึง 40 ปี คือ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2538 เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงซึ่งเห็นได้ชัดในหลายจังหวัดของประเทศไทย นานเกือบ 2 นาที โดยจังหวัดที่เห็นได้ชัดเจนและมากอำเภอที่สุด คือจังหวัดนครสวรรค์ ครั้งต่อไปที่ประเทศไทยจะมีโอกาสได้เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงได้อีก คือ ในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2613 หรืออีก 75 ปีข้างหน้า โดยเงามืดจะเคลื่อนผ่านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
 
 
 


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 01 พฤษภาคม 2012, 05:40:01
     วันนี้วันที่ 1 พฤษภาคม 2555 และเป็นวันแรงงานแห่งชาติด้วย
....................
     ***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2503 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เริ่มบินเที่ยวแรก เป็นสายการบินทั้งภายในและระหว่างประเทศ และมีสภาพเป็นกิจการ การบินแห่งชาติของประเทศไทยในปัจจุบัน และมีดอกกล้วยไม้เป็นสัญลักษณ์ประจำการบิน***
........................

      01 พฤษภาคม พ.ศ. 2503  : การบินไทย สายการบินประจำชาติของประเทศไทยเริ่มบินเที่ยวแรก

      1 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 การบินไทย สายการบินประจำชาติของประเทศไทยเริ่มบินเที่ยวแรก โดยเครื่องบินใบพัด ดักลาส ดีซี-6 บี (Douglas DC-6B) พร้อมผู้โดยสารเต็มลำจำนวน 60 คน ออกเดินทางจากท่าอากาศยานกรุงเทพฯ ไปสู่ฮ่องกง ไทเป และโตเกียว การบินไทยเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม ดำเนินกิจการในด้านการบินพาณิชย์ในประเทศและระหว่างประเทศ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2502 โดยการร่วมทุนระหว่าง บริษัท เดินอากาศไทย จำกัด กับ สายการบินสแกนดิเนเวียน แอร์ไลน์ ซิสเต็ม (Scandinavian Airlines System : SAS) มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินธุรกิจการบิน ระหว่างประเทศ ได้จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2503 ภายหลัง เอส. เอ. เอส. ได้โอนหุ้นทั้งหมดให้บริษัท เดินอากาศไทย จำกัด ในปี 2531 ได้เพิ่มทุนจดทะเบียเป็น 2,230 ล้านบาท โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ปีต่อมาได้นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) มาจนทุกวันนี้ การบินไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกก่อตั้งของเครือข่ายพันธมิตรสายการบินสตาร์อัลไลแอนซ์ (Star Alliance) มีฉายาว่า เจ้าจำปี การบินไทยได้ระดับความปลอดภัย A ซึ่งเป็นระดับที่ปลอดภัยที่สุด วัดจากสถิติสะสมตั้งแต่ปี 2513 การบินไทยถือเป็นรัฐวิสาหกิจที่สามารถทำกำไรต่อเนื่องเรื่อยมา ทั้งยังได้รับการยกย่องในด้านความปลอดภัยและการบริการให้อยู่ในระดับสายการบินชั้นนำของโลกเสมอมา
..................................
วันแรงงานแห่งชาติ และสากล
 
          เพื่อเป็นการยกย่องและชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของแรงงาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาทั้งในคุณภาพ ความเป็นอยู่ ตลอดจนสิทธิอันชอบธรรมที่ผู้ใช้แรงงานสมควรจะได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างจริงจัง รัฐบาลจึงได้กำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคม ของทุกปีเป็น "วันแรงงานแห่งชาติ" ตามที่คณะพรรคสังคมนิยมระหว่างชาติได้กำหนดไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2432

          ในประเทศยุโรปส่วนมาก ก็กำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคม เป็นวันแรงงานเช่นเดียวกัน และเรียกว่า "วันกรรมกรสากล" หรือ "วันเมย์เดย์" ยกเว้น ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา ที่ถือเอาวันจันทร์แรกของเดือนกันยายนเป็นวันแรงงาน
 
ความเป็นมา

ในระบบเศรษฐกิจ แรงงานถือเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ก่อให้เกิดผลผลิต พลังของผู้ใช้แรงงานจะแฝงอยู่ในผลผลิตทุกชิ้น ดังนั้นความมั่นคงก้าวหน้าหรือความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ แรงงานย่อมมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีผู้ใช้แรงงานถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง ทั้งในด้านผลประโยชน์ค่าตอบแทน และสวัสดิการ

              ดังนั้นเพื่อเป็นการยกย่องและชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของแรงงาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาทั้งในคุณภาพ ความเป็นอยู่ ตลอดจนสิทธิอันชอบธรรมที่ผู้ใช้แรงงานสมควรจะได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างจริงจัง รัฐบาลจึงได้กำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคม ของทุกปีเป็น " วันแรงงานแห่งชาติ " ตามที่คณะพรรคสังคมนิยมระหว่างชาติได้กำหนดไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2432
ในประเทศยุโรปส่วนมาก ก็กำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคม เป็นวันแรงงานเช่นเดียวกัน และเรียกว่า "วันกรรมกรสากล" หรือ วันเมย์เดย์ ยกเว้น ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา ที่ถือเอาวันจันทร์แรกของเดือนกันยายนเป็นวันแรงงาน
       
              ในเมืองไทยเริ่มมีการจัดการบริหารแรงงานขึ้นใน พ.ศ.2475 เมื่อรัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติจัดหางานประจำท้องถิ่น พ.ศ.2475
       
               เมื่อ พ.ศ. 2477 ได้มีการจัดตั้งกองกรรมกรขึ้น ทำหน้าที่ด้านการจัดหางานและศึกษาภาวะความเป็นอยู่ของคนงานทั่วไป พ.ศ. 2499 รัฐบาลได้ ขยายกิจการด้านแรงงานสัมพันธ์มากขึ้นและประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับแรกในปี พ.ศ. 2508 และปีเดียวกันได้มีการตั้งกรมแรงงานขึ้น อีกทั้งประกาศใช้ พระราชบัญญัติกำหนดวิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน ปัจจุบัน การบริหารแรงงานอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมมีงานสำคัญเกี่ยวข้อง กับแรงงานดังนี้
               
1. การจัดหางาน ด้วยการช่วยเหลือคนว่างงานให้มีงานทำ ช่วยเหลือนายจ้างให้ได้คนมีคุณภาพดีไปทำงาน รวบรวมเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับการทำงาน แหล่งงาน ภาวะตลาดแรงงาน
2. งานแนะแนวอาชีพ ให้คำปรึกษาแก่เยาวชนและผู้ประสงค์จะทำงาน เพื่อให้สามารถเลือกแนวทางประกอบอาชีพที่เหมาะสมตามความถนัด ความ สามารถทางร่างกาย คุณสมบัติ บุคลิกภาพและความเหมาะสมแก่ความต้องการทางเศรษฐกิจ
3. การพัฒนาแรงงาน ส่งเสริมพัฒนาฝีมือแก่คนงานและเยาวชนที่ไม่มีโอกาสศึกษาต่อโดยการฝึกแบบเร่งรัด
4. งานคุ้มครองแรงงาน วางหลักการและวิธีการเกี่ยวกับชั่วโมงทำงาน วันหยุดงาน ตลอดจนการจัดให้มีสวัสดิการต่างๆ
5. งานแรงงานสัมพันธ์ทำการส่งเสริมและสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจถึงลักษณะและสภาพของปัญหา ตลอดจน วิธีการที่เหมาะสมที่จะช่วยขจัดความเข้าใจผิดและข้อขัดแย้ง
 
หน้าที่ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

หน้าที่ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
1.    การจัดหางาน ด้วยการช่วยเหลือคนว่างงานให้มีงานทำ ช่วยเหลือนายจ้างให้คนมีคุณภาพในการทำงาน รวบรวมเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับการทำงาน แหล่งงาน ภาวะตลาดแรงงาน
2.    งานแนะแนวอาชีพ ให้คำปรึกษาแก่เยาวชนและผู้ประสงค์จะทำงานเพื่อให้สามารถเลือกแนวทางประกอบอาชีพเหมาะตามความถนัด ความสามารถทางร่างกาย คุณสมบัติ บุคลิกภาพและความเหมาะสมแก่ความต้องการเศรษฐกิจ
3.    การพัฒนาแรงงาน ส่งเสริมพัฒนาฝีมือแก่คนงานและเยาวชน ที่โอกาสศึกษาต่อ
4.    งานคุ้มครองแรงงาน วางหลักการและวิธีการเกี่ยวกับชั่วโมงการทำงาน วันหยุดงาน ตลอดจนสวัสดิการต่าง ๆ
5.    งานแรงงานสัมพันธ์ ทำการส่งเสริมและสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง

ด้านกรรมกร ได้จัดตั้งกลุ่มสหภาพแรงงานขึ้นหลายกลุ่ม และรวมกันตั้งสภาองค์การลูกจ้างขึ้น ทำหน้าที่พิทักษ์สิทธิให้กับผู้ใช้แรงงาน ปัจจุบันมี 3 สภา ได้แก่
1.    สภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย
2.    สภาองค์การลูกจ้างแห่งประเทศไทย
3.    สภาองค์การแรงงานแห่งประเทศไทย
..........................




 
 
  


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 02 พฤษภาคม 2012, 07:45:10
     วันนี้วันที่ 2 พฤษภาคม 2555
....................................................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2476 (ค.ศ.1933) มีรายงานการปรากฏตัวของ สัตว์ประหลาดลอคเนสส์ (เนสซี )ครั้งแรกในยุคใหม่ ตั้งแต่สมัยนางมาร์กาเรต แทตเชอร์ เป็นนายกรัฐมนตรี และอยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองและอนุรักษ์สัตว์ป่าของอังกฤษที่ครอบคลุมทั้งสัตว์ที่รู้จักและไม่รู้จักหลายชนิด***

...............
          ลักษณะเชื่อว่าเนสซีมีรูปร่างคล้ายเพลสสิโอซอรัส (Plesiosaurus spp.) หรือ อีลาสโมซอรัส (Elasmosaurus spp.) สัตว์เลื้อยคลานที่อาศัยในทะเลยุคเดียวกับไดโนเสาร์ มีผู้อ้างว่าเคยพบเห็นถึงปัจจุบันกว่า 4,000 ครั้ง และมีรูปถ่ายทั้งภาพนิ่งและภาพยนตร์มากมาย โดยเอกสารแรกสุดที่กล่าวถึงเนสซี คือ บันทึกของบาทหลวงเซนต์โคลัมบา เมื่อราว 1,400 ปี ที่แล้ว กล่าวถึงมังกรที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ และท่านเองก็เคยทำพิธีขับไล่มังกรตัวนี้ด้วย

         การพบเห็นและการพิสูจน์ใน ค.ศ. 1933 ได้มีการตัดถนนผ่านทะเลสาบล็อกเนสส์ จึงมีผู้พบเห็นเนสซีมากขึ้น โดยมีผู้อ้างว่า ขณะเขาขับขี่มอเตอร์ไซค์นั้น เห็นเนสซีขึ้นมาบนบก ไฟจากหน้ารถที่ส่องไปถูกตัวทำให้เห็นว่าเนสซีมีรูปร่างคล้ายเพลสิโอซอรัส และต่อมาก็ได้มีผู้ถ่ายรูปไว้ได้มากมายทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงเงาตะคุ่ม ๆ หรือคลื่นน้ำที่เคลื่อนไหวบนผิวน้ำเท่านั้น ต่อมา ทางมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมได้ทำการค้นคว้าเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยใช้เรือติดสัญญาณโซนาร์หลายลำแล่นไปบนพื้นผิวน้ำ เรียกว่า "ปฏิบัติการดีปสแกน" (Deepscan Operation) ปรากฏว่า โซนาร์ได้สะท้อนถึงเงาของวัตถุบางอย่างขนาดใหญ่ที่กำลังเคลื่อนตัวใต้น้ำ แต่บางคนคิดว่าอาจเป็นเพียงฝูงปลาธรรมดา ๆ

 
รูปจากจอโซนาร์เรื่องราวเกี่ยวกับเนสซีมีทั้งผู้ที่เชื่อและผู้ที่ไม่เชื่อ โดยผู้ที่เชื่อนั้นเชื่อว่า เนสซีอาจเป็นไดโนเสาร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ โดยสภาพทางภูมิศาสตร์ของทะเลสาบล็อกเนสส์ในยุคโบราณนั้นเคยเป็นทะเลมาก่อน ไดโนเสาร์ในสมัยนั้นอาจเข้ามาอยู่อาศัยจนสภาพของพื้นที่เปลี่ยนไป กลายเป็นพื้นที่ปิดและปราศจากสิ่งรบกวน สัตว์ที่อาศัยอยู่ในนี้จึงยังหลงเหลืออยู่และมีสภาพไม่เปลี่ยนแปลงจากครั้งแรกที่เข้ามาอาศัย ไม่เพียงเท่านั้นแหล่งน้ำหรือทะเลสาบที่มีลักษณะใกล้เคียงกับล็อกเนสส์ที่อื่น ๆ และบริเวณใกล้เคียงกันก็มีรายงานของสิ่งประหลาดที่คล้ายกับเนสซีด้วย ขณะที่ฝ่ายที่ไม่เชื่อนั้นเชื่อว่า รูปถ่ายหรือภาพเคลื่อนไหวที่ได้นั้น อาจไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับเนสซีเลย และทั้งหมดทำขึ้นก็เพื่อสร้างชื่อเสียงให้ทะเลสาบแห่งนี้โด่งดังขึ้น โดยบางรูปเชื่อว่าเป็นเพียงหางของตัวนากที่กำลังดำน้ำหรือเป็นขอนไม้หรือวัสดุต่าง ๆ ที่กำลังลอยน้ำอยู่

ทุกวันนี้ เรื่องราวของเนสซีก็ยังเป็นเรื่องลึกลับที่เป็นที่สนใจของคนทั้งโลก มีผู้ไปสำรวจและศึกษามากมาย แต่ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดได้หลักฐานของเนสซีที่หนักแน่นสักราย อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของเนสซีก็สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาลสกอตแลนด์และชุมนุมใกล้เคียงเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก

 
ภาพนิ่งที่มีชื่อเสียงอีกภาพหนึ่งของเนสซี ซึ่งเป็นภาพนิ่งที่ชัดเจนที่สุด ถ่ายในปี ค.ศ. 1977[แก้] ปัจจุบันปัจจุบันทางบริษัทวิลเลียมฮิลล์ บริษัทพนันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ได้ประกาศออกมาว่าจะให้เงินรางวัลจำนวน 1 ล้านปอนด์หรือประมาณ 70 ล้านบาทแก่ผู้ที่สามารถหาหลักฐานได้ว่าเนสซีมีอยู่จริง ในวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 2007 นายกอร์ดอน โฮล์มส เจ้าหน้าที่เทคนิคห้องแล็บได้อ้างว่า สามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวของสิ่งที่เชื่อว่าเป็นเนสซีได้ด้วยความยาวถึง 2 นาทีครึ่งขณะนั่งชมทิวทัศน์อยู่ริมทะเลสาบล็อกเนสส์ ซึ่งภาพของนายโฮล์มสครั้งนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นของเนสซีที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยมีมา นายเอเดียน ไชน์ นักชีววิทยาสัตว์น้ำ ได้ตรวจสอบภาพของนายโฮล์มสแล้วมีความเห็นว่า เป็นการยากที่จะเป็นการตกแต่งหรือทำปลอมขึ้น เพราะภาพไม่ได้จับเฉพาะแต่สัตว์ประหลาด แต่ยังถ่ายไปถึงภูเขารอบทะเลสาบด้วย จึงสามารถเปรียบเทียบความเร็วและขนาดของสิ่งที่เคลื่อนไหวในน้ำได้ด้วย โดยเชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่มีความยาวประมาณ 15 เมตร เคลื่อนที่ด้วยการว่ายน้ำด้วยความเร็วถึง 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และภาพบางส่วนยังจับให้เห็นสิ่งที่คล้ายครีบด้วย ซึ่งวีดีโอภาพชุดนี้เป็นที่ฮือฮาและกล่าวขานอย่างมากในสหราชอาณาจักร เมื่อได้ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะโดยสำนักข่าวบีบีซีในอีก 3 วันถัดมา มีผู้คนมากมายที่ทั้งเชื่อและไม่เชื่อ และต่อมาไม่นานได้มีการเปิดเผยว่ารัฐบาลสหราชอาณาจักรเพิ่งจะเปิดเผยข้อมูลลับว่า ทางรัฐบาลเชื่อว่า เนสซีมีอยู่จริง ตั้งแต่สมัยนางมาร์กาเรต แทตเชอร์เป็นนายกรัฐมนตรี และอยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองและอนุรักษ์สัตว์ป่าของอังกฤษที่ครอบคลุมทั้งสัตว์ที่รู้จักและไม่รู้จักหลายชนิด

ในปี ค.ศ. 2009 มีข่าวปรากฏว่า ดาวเทียมกูเกิลเอิร์ธสามารถจับภาพของสิ่งที่เชื่อว่าเป็น เนสซี ได้ที่ทะเลสาบล็อกเนสส์ ในพิกัดละติจูดที่ 57 องศา 12.52 ลิปดา 13 ฟิลิปดาเหนือ และลองติจูดที่ 4 องศา 34.14 ลิปดา 16 ฟิลิปดาตะวันตก[1] 57°12′52.13″N 4°34′14.16″E / 57.2144806°N 4.5706°E
.......................
exgUgV8p2vM





หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 03 พฤษภาคม 2012, 05:06:50
     วันนี้วันที่ 3 พฤษภาคม 2555
.....................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2427 เป็นวันประสูติของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ กรมหมื่นสรรควิสัยนรบดี ทรงเป็นพระโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นคนไทยคนแรกที่จบการศึกษาด้าน เศรษฐศาสตร์ เป็นเจ้านายพระองค์แรก และเป็นคนไทยคนที่๒ที่จบการศึกษาในวิชาระดับ ปริญญาเอก***
......................

พระประวัติ
     พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ กรมหมื่นสรรควิสัยนรบดี [2] พระนามเดิม พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ พระราชโอรสองค์ที่ ๔๔ ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่ เจ้าจอมมารดาเจ้าทิพเกษร ณ เชียงใหม่ เจ้านายฝ่ายเหนือใน "ราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ (เจ้าเจ็ดตน)" ประสูติเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2427 ในพระบรมมหาราชวัง

ขณะที่มีพระชนมายุได้เพียง 16 พรรษา เจ้าจอมมารดาเจ้าทิพเกษร ณ เชียงใหม่ พระมารดาก็ได้ถึงแก่พิราลัย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2443 เป็นต้นมา จึงทรงอยู่ในความดูแลของ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา

พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐได้ทรงเสกสมรสกับเจ้าหญิงศิริมา ณ เชียงใหม่[ต้องการอ้างอิง] พระญาติซึ่งกล่าวกันว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งเมืองเหนือที่มีพระสิริโฉมยิ่งนัก ทรงครองรักอยู่ได้ไม่นาน พระชายาก็ถึงแก่พิราลัยอย่างกระทันหัน ด้วยทรงเป็นตะคริวขณะกำลังสรงน้ำในสระน้ำภายในพระราชวังดุสิต พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ทรงเสียพระทัยอย่างมิอาจจะหักห้ามได้ ทรงประชวรหนักและท้ายที่สุดได้ทรงตัดสินพระทัยปลงพระชนม์เองด้วยพระแสงปืนในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2455 หลังจากทรงกรมได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น สิริพระชนมายุ 28 พรรษา

แต่ในหนังสือ เลาะวัง ซึ่งเขียนโดยจุลลดา ภักดิภูมินทร์ (หม่อมหลวงศรีฟ้า ลดาวัลย์) ให้ข้อมูลว่า "...ไม่ปรากฏว่าทรงมีหม่อมห้ามและโอรส ธิดา จึงไม่มีทายาทสืบสกุล" และ "ว่ากันว่า ทรงขัดข้องพระทัยเรื่องราชการงานเมือง เมื่อไม่ได้ดังที่ตั้งพระทัยดีเอาไว้ ก็ทรงน้อยพระทัย หุนหัน ไม่ได้มีเรื่องเกี่ยวกับรักๆใคร่ๆส่วนพระองค์แต่อย่างใด"[3]

[แก้] พระอัจฉริยภาพด้านการศึกษาพระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ได้เสด็จเข้ารับการศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ในคราวที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก (พ.ศ. 2440) ขณะมีพระชันษาได้ 13 ปีบริบูรณ์ การเสด็จประพาสยุโรปครั้งนั้นมีพระราชโอรสตามเสด็จ 4 พระองค์ คือ

สมเด็จเจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์
สมเด็จเจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์
พระองค์เจ้าวุฒิไชยเฉลิมลาภ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร และ
พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ กรมหมื่นสรรควิสัยนรบดี
เมื่อถึงอังกฤษ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ได้ทรงเข้าเรียนที่โรงเรียนวอร์เรนฮิลล์ เพื่อศึกษาในระดับประถมศึกษาตอนปลาย ก่อนที่จะย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมชาร์เตอร์เฮาส์ ทั้งๆ ที่โรงเรียนมัธยมกินนอนอีตัน ได้ตกลงรับเข้าศึกษาแล้ว โดยจะเป็นนักเรียนไทยคนแรกที่นั่น เหตุผลที่ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ มิได้เสด็จไปเข้าอีตัน ก็เพราะเจ้าพระยาพระเสด็จฯ เมื่อยังเป็น พระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ ผู้ซึ่งได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้เป็นผู้ดูแลการศึกษาของพระราชโอรสในอังกฤษขณะนั้น มีความดำริเห็นว่าพระเจ้าลูกยาเธอยังขาด "ความพร้อม" ที่จะไปเรียนที่อีตัน

ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2443 พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ได้เสด็จกลับกรุงเทพฯ เพราะ เจ้าจอมมารดาเจ้าทิพเกษร ณ เชียงใหม่ พระมารดาป่วยหนัก และถึงแก่พิราลัย คราวนั้น พระองค์ได้ประทับอยู่ในเมืองไทยนานถึง 8เดือน จนกระทั่งเสร็จสิ้นงานปลงพระศพของพระมารดา จึงทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เสด็จกลับไปศึกษาต่อที่อังกฤษในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2444

การว่างเว้นการเรียนไปนานหลายเดือนทำให้พระองค์ทรงเรียนตามพระสหายในชั้นเรียนไม่ทัน จึงต้องทรงย้ายไปเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมของเอกชนที่แครมเมอร์ และได้ทรงย้ายไปศึกษาที่เยอรมนีในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2444 ในระหว่าง พ.ศ. 2444-2446 พระองค์ได้ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนมัธยมที่เมืองฮาลเล ภายใต้การควบคุมดูแลของ ดร.ตริน ศาสตราจารย์ชาวเยอรมัน พระองค์ทรงมีความขยันหมั่นเพียรเป็นอย่างสูง จนสามารถเรียนรู้ภาษาเยอรมันได้อย่างแตกฉาน และสำเร็จชั้นมัธยมศึกษาภายในเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น

ใน พ.ศ. 2446 เมื่อมีพระชันษา 19 ปีบริบูรณ์ และได้ประทับอยู่ในยุโรปมาแล้วกว่า 6 ปี พระองค์ได้ทรงเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยมิวนิกในหลักสูตรวิชา เศรษฐกิจการเมือง หรือที่รู้จักกันในสมัยนี้ว่าวิชา เศรษฐศาสตร์ พระองค์ทรงเลือกศึกษาวิชาที่เน้นในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม, ลัทธิเศรษฐกิจ, เศรษฐศาสตร์แรงงาน ตลอดจนวิชารัฐศาสตร์ คือวิชาที่เกี่ยวกับการเมืองและการปกครอง พระองค์ทรงเริ่มการค้นคว้าเพื่อเรียบเรียงวิทยานิพนธ์เรื่อง "เกษตรกรรมในสยาม : บทวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของราชอาณาจักรสยาม" ใน พ.ศ. ๒๔๔๗ โดยทรงขอข้อมูลจากเมืองไทย ซึ่งกระทรวงเกษตราธิการได้รวบรวมส่งไปถวาย นอกจากนั้นก็ยังทรงค้นคว้าจากหนังสือและเอกสารอีกมากมายที่มีอยู่ในห้องสมุดมหาวิทยาลัย ทั้งที่เป็นภาษาเยอรมัน, ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส รายชื่อหนังสือและเอกสารเหล่านี้ปรากฏในบรรณานุกรมต่อท้ายพระวิทยานิพนธ์ของพระองค์ วิทยานิพนธ์เรื่องนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ถือเป็นเอกสารสำคัญสำหรับนักเศรษฐศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ด้านเศรษฐกิจโลกที่สนใจประเทศไทย

ภายหลังที่ได้ทรงศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยมิวนิกเป็นเวลา 2 ปี พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐก็ได้ทรงย้ายไปศึกษาในแขนงวิชาเดียวกัน ณ มหาวิทยาลัยทูบิงเงน (University of Tübingen) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงของเยอรมนีตอนใต้อีกแห่งหนึ่ง (เมืองทึบบิงเงนอันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ใกล้กับเมืองชตุทท์การ์ท และอยู่ไปทางทิศตะวันตกของเมืองมิวนิก) ณ มหาวิทยาลัยแห่งใหม่นี้ พระองค์ได้ทรงสำเร็จการศึกษาในหลักสูตรปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า ดอกเตอร์วิทสตาตส์วิสเซนชัฟท์ ใน พ.ศ. 2450 ขณะทรงมีชันษาได้ 23 ปี ภายหลังที่ได้ทรงพิมพ์พระวิทยานิพนธ์เป็นหนังสือขนาดกะทัดรัดฉบับภาษาเยอรมันในชื่อว่า "เกษตรกรรมในสยาม : บทวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของราชอาณาจักรสยาม" โดย ปรินซดิลก ฟอน สิอาม พระนามเรียกในภาษาเยอรมันของพระองค์ ผลงานของพระองค์เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง และถือเป็นเอกสารสำคัญสำหรับนักเศรษฐศาสตร์และนักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของโลกที่สนใจประเทศไทยจักต้องค้นหามาศึกษา

ในพระอัจฉริยภาพด้านการศึกษานั้น กล่าวสรุปได้ว่า พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ

ทรงเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับปริญญาทางเศรษฐศาสตร์
ทรงเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ทำการศึกษาวิจัยสถานภาพและปัญหาเศรษฐกิจแห่งประเทศไทย
ทรงเป็นเจ้านายพระองค์แรกและเป็นคนไทยคนที่ ๒ ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก
นอกจากนั้น พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรส 1 ใน 4 พระองค์ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงสำเร็จการศึกษาด้านพลเรือนได้รับปริญญาจากมหาวิทยาลัย อันได้แก่

พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงได้รับปริญญาโท (บี.เอ.)จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ
สมเด็จเจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ ทรงได้รับปริญญาโท (บี.เอ.) จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ
สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย ทรงได้รับปริญญาโท (บี.เอ.) จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ
พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ กรมหมื่นสรรควิสัยนรบดี ทรงได้รับปริญญาเอก (ดอกเตอร์วิทสตาตส์วิสเซนชัฟท์) จากมหาวิทยาลัยทึบบิงเงน ประเทศเยอรมนี
[แก้] พระกรณียกิจสำคัญ
จากซ้าย:พระองค์เจ้ารังสิตประยุรศักดิ์, พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ, สมเด็จเจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร, พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ, พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์, พระองค์เจ้าสุริยงประยุรพันธุ์หลังจาก พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ได้โดยเสด็จ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชบิดาในคราวที่เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2450) นิวัติกลับสู่ประเทศไทยแล้ว ทรงเริ่มเข้ารับราชการในกระทรวงมหาดไทย ในตำแหน่ง ปลัดกรมพิเศษ แผนกอัยการต่างประเทศ ก่อนจะย้ายไปเป็น ปลัดสำรวจ กรมมหาดไทยฝ่ายเหนือ

ต่อมาได้ทรงดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมเลขานุการ ปฏิบัติงานขึ้นตรงต่อ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ) ในปี พ.ศ. 2453 พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ทรงได้รับพระราชทานยศเป็น อำมาตย์เอก (เทียบยศทหารพันเอก) และได้ดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมพลำภัง (อธิบดีกรมการปกครอง)

ในรัชกาลที่ ๖ ทรงได้เลื่อนยศขึ้นเป็น มหาอำมาตย์ตรี (เทียบยศทหารพลตรี) และได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น ผู้ช่วยราชปลัดทูลฉลอง ขณะที่ยังคงรั้งตำแหน่ง เจ้ากรมพลำภัง (อธิบดีกรมการปกครอง) ต่อไปด้วย

ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2455 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรควิสัยนรบดี ซึ่งมีข้อความในประกาศว่า

"อนึ่ง ทรงพระราชดำริว่า พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ได้เสด็จออกไปทรงศึกษาวิชชา ณ ประเทศยุโรปที่เมืองอังกฤษก่อน แล้วได้เสด็จไปศึกษาในประเทศเยอรมนีต่อไป จนทรงสอบไล่ได้ประกาศนียบัตรเป็นเปรียญรู้ในอรรถคดี ครั้นรัตนโกสินทร์ศก 126 (2450) เสร็จการศึกษาแล้ว ได้เสด็จกลับมารับราชการในกระทรวงมหาดไทย ในหน้าที่ปลัดกรมพิเศษ แผนกอัยการต่างประเทศ แล้วเป็นปลัดสำรวจกรมมหาดไทยฝ่ายเหนือ และเป็นเจ้ากรมเลขานุการเป็นลำดับมา ในบัดนี้ได้ดำรงพระเกียรติยศในตำแหน่งผู้ช่วยราชปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทย และเจ้ากรมพลำพัง ทรงพระปรีชาสามารถ อาจให้ราชกิจในหน้าที่นั้นๆ สำเร็จโดยเรียบร้อยตลอดมา บัดนี้ก็ทรงวัยวุฒิสมควรจะได้รับพระเกียรติยศเป็นเจ้าต่างกรมพระองค์หนึ่งได้ จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้สถาปนาพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัตรว่าพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรควิสัยนรบดี อัชนาม ทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐ ตามพระราชกำหนดอย่างพระองค์เจ้าต่างกรมในพระบรมมหาราชวัง จงทรงเจริญพระชนมายุ พรรณ สุข พล ปฏิภาน คุณสารสมบัติ สรรพสิริสวัสดิ์ พิพัฒนมงคล วิบุลยศุภผลมโหฬาร ทุกประการ"

     นอกจากราชการในกระทรวงมหาดไทยแล้ว พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ยังสนพระทัยในการศึกษาระดับอนุบาล (คินเดอร์การ์เต้น) ซึ่งเป็นการศึกษาที่ริเริ่มขึ้นในเยอรมนี และได้ทรงเคยพบเห็นมาในระหว่างที่ศึกษาอยู่ในประเทศนั้น เมื่อเสด็จกลับมาจากยุโรปใหม่ๆ ได้ทรงเป็นบรรณาธิการวารสารชื่อ กุมารใหม่ ซึ่งพิมพ์ออกมาได้ไม่กี่ฉบับอีกด้วย

พระอิสริยยศ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
ฐานันดรศักดิ์ พระองค์เจ้า
ราชวงศ์ ราชวงศ์จักรี
ข้อมูลส่วนพระองค์
ประสูติ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2427
สวรรคต 12 มกราคม พ.ศ. 2455 (27 พรรษา)
พระราชชนก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระชนนี เจ้าจอมมารดาเจ้าทิพเกษร ณ เชียงใหม่


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 04 พฤษภาคม 2012, 05:31:38
     วันนี้วันที่ 4 พฤษภาคม 2555
..........................
***วันนี้ในอดีต พ.ศ.2469 ครูพยงค์ มุกดา เกิดบนเรือกลางแม่น้ำแม่กลอง บริเวณตำบลท่าเสา จังหวัดราชบุรี มีชื่อเสียงจากการเป็นนักแต่งเพลงเป็นจำนวนมาก ได้รับการเชิดชูเกียรติเป็น ศิลปินแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2534 และได้รับรางวัลนราธิป ประจำปี พ.ศ.2550 เป็นผู้ประพันธ์เพลง สหมาร์ชราชนาวี ,มาร์ชสามัคคีสี่เหล่า,นาวีบลู***
................................
 
ชื่อเกิด พยงค์ มุกดา
เกิด 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2469
ตำบลท่าเสา อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี
เสียชีวิต 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 (83 ปี)
โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพฯ
ชื่ออื่น นาวาตรี พยงค์ มุกดาพันธ์
อาชีพ นักร้อง นักแสดง นักแต่งเพลง
แนวเพลง เพลงมาร์ช เพลงปลุกใจ เพลงลูกทุ่ง เพลงลูกกรุง
ศิลปินแห่งชาติ
 
พ.ศ. 2534 - สาขาศิลปะการแสดง (เพลงไทยสากล-เพลงลูกทุ่ง ประพันธ์)

นาวาตรีพยงค์ มุกดาพันธ์ หรือ ครูพยงค์ มุกดา (4 พฤษภาคม พ.ศ. 2469—12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553) นักร้อง นักแสดง นักแต่งเพลง ที่มีชื่อเสียงจากการเป็นนักแต่งเพลงเป็นจำนวนมาก ได้รับการเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2534 และได้รับรางวัลนราธิป ประจำปี พ.ศ. 2550

พยงค์ มุกดา เป็นชาวจังหวัดราชบุรี เป็นบุตรของนายแก้ว และนางบุญ มุกดา เกิดบนเรือกลางแม่น้ำแม่กลอง บริเวณตำบลท่าเสา จังหวัดราชบุรี จบชั้น ป.4 จากโรงเรียนเทศบาลวัดราชนัดดาราม และเข้าสู่วงการจากการเป็นนักร้องวงดุริยางค์กองทัพบก โดยการสนับสนุนของครูจำปา เล้มสำราญ ต่อมาจึงก่อตั้งวงดนตรีเป็นของตัวเองชื่อ วงพยงค์ มุกดา ซึ่งได้รับพระราชทานชื่อว่า "วงมุกดาพันธ์" และเป็นนามสกุลพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชอีกด้วย

ครูพยงค์ มุกดา มีผลงานออกมาเป็นจำนวนมาก เคยเป็นนักร้อง นักแสดง นักจัดรายการวิทยุ เคยแสดงภาพยนตร์ เช่นเรื่อง เสน่ห์บางกอก, ไซอิ๋ว เคยอยู่วงดุริยางค์กองทัพเรือ เป็นผู้ประพันธ์เพลงมาร์ช เช่น "สหมาร์ชราชนาวี", "มาร์ชสามัคคีสี่เหล่า", นาวีบลู

ในฐานะนักแต่งเพลง ครูพยงค์ มุกดา มีผลงานทั้งเพลงลูกทุ่ง ลูกกรุง และเพลงมาร์ช ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทานจากเพลง "นกขมิ้น" (ขับร้องโดย ธานินทร์ อินทรเทพ) "ช่อทิพย์รวงทอง" (ขับร้องโดย สมยศ ทัศนพันธ์) "นางรอง" และ "รักใครไม่เท่าน้อง" (ขับร้องโดย ทูล ทองใจ) "ลูกนอกกฎหมาย" (ขับร้องโดย ศรีสอางค์ ตรีเนตร) "รอพี่กลับเมืองเหนือ" (ขับร้องโดย พรทิพย์ภา บูรกิจบำรุง) "เด็ดดอกรัก" (ขับร้องโดย ชรินทร์ นันทนาคร) และ "ฝั่งหัวใจ" ขับร้องโดย บุษยา รังสี)

ในปี พ.ศ. 2532 ครูพยงค์ ได้รับรางวัลพระราชทานในงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย 2 รางวัล จากเพลง "สาวสวนแตง" (ขับร้องโดย สุรพล สมบัติเจริญ) และ "ล่องใต้" (ขับร้องโดย ชัยชนะ บุญนะโชติ) และในปี พ.ศ. 2534 ได้รับรางวัลพระราชทาน 3 รางวัล จากเพลง "ยอยศพระลอ" (ขับร้องโดย ชินกร ไกรลาศ) "น้ำตาสาวตก" (ขับร้องโดย ศรีสอางค์ ตรีเนตร) และ "ลูกทุ่งเสียงทอง" (ขับร้องโดย เพชร พนมรุ้ง)

ในปี พ.ศ. 2534 พยงค์ มุกดา ได้รับการเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ประพันธ์เพลงไทยสากล-เพลงลูกทุ่ง) นอกจากนี้ ลูกศิษย์ของท่านถึง 2 คน ก็ได้รับเชิดชูเป็นศิลปินแห่งชาติ เช่นกัน คือ ชัยชนะ บุญนะโชติ (พ.ศ. 2541) และ ชินกร ไกรลาศ (พ.ศ. 2542)

ในปี พ.ศ. 2551 ครูพยงค์ มุกดา ได้รับการเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินอาวุโส รางวัลนราธิป ประจำปี พ.ศ. 2550

ครูพยงค์ มุกดา ถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะและไตวายที่โรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 รวมอายุได้ 83 ปี[1]

ภาพยนตร์ที่ได้แสดงเสน่ห์บางกอก (2508)
ผู้หญิง 5 บาป (2545)


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 05 พฤษภาคม 2012, 05:54:22
     วันนี้วันที่ 5 พฤษภาคม 2555
..................
***วันนี้ในอดีต พ.ศ.2493 พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เป็น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราชบรมนาถบพิตร ***
................
            พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์ และพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิ เทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่ง มีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภู ทางใต้นครจำปาศักดิ์ ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132)
            ตามหลักเดิมของไทยนั้น เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่ จะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่า จะได้ทรงรับราชาภิเษก ในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น ไม่ใช่ 9 ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ
            ก่อนรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ไม่ได้มีหลักฐานบรรยายการทำพิธีบรมราชาภิเษกเอาไว้ เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ รับราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2275 ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีลัด
            ในรัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช สันนิษฐานว่าได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพราะได้พบหลักฐานที่อ้างพระบรมราชโองการของพระองค์ การใช้พระบรมราชโองการ แสดงว่าได้รับราชาภิเษก แล้ว
            เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัด ครั้งหนึ่งก่อน เนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่า จนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จ จึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ปีพ.ศ. 2328 และได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มา โดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ พราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็คงใช้แบบอย่างนี้ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน
            พิธีบรมราชาภิเษกสมัยนี้ แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก เพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง 8 แต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุด เพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์ ฆ้องชัย ฯลฯ พระอารามทั้งหลายย่ำระฆัง    แบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2 ตำรา คือ หลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธี การสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกัน ขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตร เป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกัน การขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อย ทำพอเป็นสังเขป การสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่ ทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวย  ถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหน ก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง
            งานพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ มีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพ ฯ ได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17 มณฑล เพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18 มณฑล  ส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตา และพระราชลัญจกรแผ่นดิน
 

            เมื่อถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก 3 วัน ครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงพระมุรธาภิเษกสนาน แล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยม ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศ ภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิต และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปด ผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศ กล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆ แล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัย เมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้ว กลับมาประทับทิศตะวันออก หัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออก กราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่ง แล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ
 

            พระมหาราชครู ร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์ แล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อน แปลเป็นไทยว่า
            " ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาส   แก่ข้าพระพุทธเจ้า  ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษก เป็นบรมราชาธิราช เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยาม  เหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท มีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวง พร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ขอขนานพระปรมาภิไธย ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้น  และขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันสมพระราชอิสริยยศ ขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้น และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้ ครั้นแล้ว ขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป "
ทรงรับว่า  " ชอบละ พราหมณ์ "


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 06 พฤษภาคม 2012, 06:31:19
     วันนี้วันที่ 6 พฤษภาคม 2555
................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2525 เปิดใช้สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน หรือรู้จักในนาม สะพานสาทร ***
...............
     สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน (อังกฤษ: King Taksin Bridge) หรือที่รู้จักในนาม สะพานสาทร เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เชื่อมถนนสาทร (เขตสาทร-เขตบางรัก) กับถนนกรุงธนบุรี (เขตคลองสาน) เป็นสะพานคู่แยกขาเข้า-ขาออก และเว้นเนื้อที่ระหว่างสะพานไว้เผื่อสร้างระบบขนส่งมวลชนอื่น โดยปัจจุบัน พื้นที่ระหว่างสะพานเป็นรางรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีลม และพื้นที่ในฝั่งพระนครยังเป็นที่ตั้งของสถานีสะพานตากสินอีกด้วย

     สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินเป็นที่รู้กันของชาวกรุงเทพฯ ว่าประสบปัญหาการจราจรอย่างหนัก โดยเฉพาะขาเข้าฝั่งพระนคร เนื่องจากปริมาณรถมาก และเชิงสะพานฝั่งพระนครมีสัญญาณไฟจราจร จึงเป็นการปิดกั้นกระแสรถจากฝั่งธนบุรีซึ่งมีปริมาณมากให้ไหลไปได้ช้า โดยเฉพาะชั่วโมงเร่งด่วนที่มีปริมาณรถมากเป็นพิเศษ

ข้อมูลทั่วไปวันที่ทำการก่อสร้าง : วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522
วันเปิดการจราจร  : วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2525
บริษัทที่ทำการก่อสร้าง :
Italian Thai Development Corporation Co., Ltd. ของประเทศไทย
Dragages of Travaux Publics Co., Ltd. ของประเทศฝรั่งเศส
Impresa Generale di Construzion (Italvie-Spa.) ของประเทศอิตาลี
ราคาค่าก่อสร้าง : 619,994,537.00 บาท
แบบของสะพาน : เป็นสะพานชนิดต่อเนื่อง
โครงสร้างส่วนบน : คอนกรีตอัดแรง
สูงจากระดับน้ำ : 12.00 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง
จำนวนช่วงสะพานกลางน้ำ : 3 ช่วง (66.00+92.00+66.00)
ตัวสะพานช่วงข้ามแม่น้ำความยาว : 224.00 เมตร
ช่วงกลางแม่น้ำมีความยาว : 92.00 เมตร
เชิงลาดสะพานฝั่งพระนครด้านเหนือน้ำ : 552.00 เมตร
เชิงลาดสะพานฝั่งพระนครด้านใต้น้ำ : 570.00 เมตร
เชิงลาดสะพาน ฝั่งธนบุรี : 475.00 เมตร
ความกว้างของสะพาน : 12.85 เมตร
ความกว้างผิวจราจรสะพาน : 19.50 เมตร
ความกว้างช่องละ : 3.25 เมตร
ทางเท้ากว้าง : 1.60 เมตร
ออกแบบรับน้ำหนัก : H-20-44
สูงจากระดับน้ำ : 1.20 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง
สร้างสะพานเป็นแบบสะพานคู่ ห่างกัน : 15.00 เมตร
จำนวนช่องทางวิ่ง : 6 ช่องทางจราจร
ทางเท้ากว้าง : 1.60 เมตร


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 07 พฤษภาคม 2012, 04:56:29
วันนี้วันที่ 7 พฤษภาคม 2555
........................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2419 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท***
........................
รายละเอียด :
     พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท คือหนึ่งในพระที่นั่งที่สำคัญในพระบรมมหาราชวัง เป็นพระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นท้องพระโรง ใน พ.ศ. 2418 ภายหลังเสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา โปรดเกล้าฯ ให้จ้างนายยอน คลูนิช ชาวอังกฤษ สถาปนิกจากสิงคโปร์ เป็นนายช่างหลวงออกแบบพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท นายเฮนรี คลูนิช โรส เป็นนายช่างผู้ช่วยออกแบบพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท โดยมีเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) เป็นแม่กอง พระยาเวียงในนฤบาลเป็นผู้กำกับดูแลการทุกอย่างในการสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และพระประดิษฐการภักดีเป็นผู้ตรวจกำกับบัญชีและของทั้งปวง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2419


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: >_อนัตตา_< ที่ วันที่ 07 พฤษภาคม 2012, 15:18:17
เข้ามานั่งอ่านข้อมูลของคน........ในอดีต....ค่ะ คิกๆๆๆๆๆๆๆ ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 08 พฤษภาคม 2012, 04:40:26
     วันนี้วันที่ 8 พฤษภาคม 2555
...................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2538 เติ้ง ลี่จวิน เสียชีวิตอย่างกะทันหันเนื่องจาก โรคหอบหืด ขณะอายุได้เพียง 42 ปี เป็นนักร้องสาวชาวไต้หวันชื่อดัง เพลงของเธอเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวไทย ชาวญี่ปุ่น ชาวเกาหลี ชาวเวียดนาม และประเทศอื่นทั่วโลก***
...............................
เติ้ง ลี่จวิน (Teresa Teng)

“เติ้ง ลี่จวิน” (เพลงของเธอ เป็นเพลงที่เสียงไพเราะและเสียงเธอใสมาก)
เสียชีวิตอย่างกะทันหันเนื่องจากโรคหอบหืด
ขณะเดินทางมาพักผ่อนที่จังหวัดเชียงใหม่
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 ขณะอายุ 42 ปี
เพลงของเธอยังคงอยู่ตราบนานเท่านาน
..................
RGzCF5UM0zs
..............................
...ทำไมถึงทำกับฉนได้...
............................................
JETUHR9M8Es&feature=related
........................................
...เทียนมีมี...(นึกว่าไม่มี) ;D
................................................
PVXbS0D-dME&feature=related
................................
...รักฉันนั้นเพื่อเธอ...


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 09 พฤษภาคม 2012, 08:32:48
     วันนี้วันที่ 9 พฤษภาคม 2555
...............................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2531 เขาค้อ แกแล็คซี่ สร้างประวัติศาสตร์เป็นแชมป์โลกคู่แฝดคู่แรกของโลก ในวันนี้เมื่อชิงแชมป์โลกรุ่นแบนตั้มเวท WBA ชนะคะแนน วิลเฟรโด วาสเควซ นักมวยชาวเปอร์โตริโก โดยแฝดน้อง คือ เขาทราย แกแล็คซี่ ครอบแชมป์โลกตั้งแต่ พ.ศ.2527***
..............
     เขาค้อ แกแล็คซี่ อดีตแชมป์โลกรุ่นแบนตั้มเวท (118 ปอนด์) ของสมาคมมวยโลก WBA เป็นคู่แฝดกับเขาทราย แกแล็คซี่ มีชื่อจริงว่า วิโรจน์ แสนคำ เกิดเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2502 ที่หมู่บ้านเฉลียงลับ ตำบลนาป่า อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยเขาค้อคลอดทีหลังเขาทราย แต่ความเชื่อของคนต่างจังหวัด แฝดที่คลอดทีหลังจะถือเป็นพี่ เพราะเชื่อว่าพี่จะดันให้น้องคลอดออกมาก่อน เขาค้อ จึงถือเป็นพี่ของเขาทรายไปด้วยความเชื่อนี้
     วัยเด็กเขาทราย และเขาค้อ เป็นบุตรของนายขัน และนางคำ แสนคำ มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน โดยมีเขาค้อเป็นคนโต เขาค้อเรียนหนังสือพร้อมกับเขาทราย และจบการศึกษาที่โรงเรียนเทคนิคเพชรบูรณ์เหมือนกัน
     ทั้งเขาทราย และเขาค้อ ชอบเล่นชกมวยมาตั้งแต่เด็ก ๆ พ่อของทั้งคู่จึงซื้อนวมอันเล็ก ๆ ให้ลูกชกกันเล่น ๆ ตามประสาเด็ก ต่อมาเมื่อได้พบกับครูมวยและเทรนเนอร์คนแรก คือ ปราการ วรศิริ และมานะ เหล่าประดิษฐ์ จึงได้ฝึกมวยอย่างเป็นจริงจัง
     ชกมวยไทยเขาค้อ ใช้ชื่อในการชกมวยไทยว่า "เด่นจ๋า เมืองศรีเทพ" โดยสอดคล้องกับเขาทราย คือ "ดาวเด่น เมืองศรีเทพ" ทั้งคู่ได้ตระเวนชกไปทั่วจังหวัดเพชรบูรณ์และจังหวัดใกล้เคียง จนกระทั่งมาพอกับ "แชแม้" นิวัฒน์ เหล่าสุวรรณวัฒน์ จึงได้รับทั้งคู่มาอุปการะให้ชกที่กรุงเทพ ฯ
     ชกมวยสากลการชกมวยสากลอาชีพของเขาค้อ เกิดขึ้นหลังจากเขาทรายได้เป็นแชมป์โลกแล้ว ก่อนหน้านั้นเขาค้อทำหน้าที่เป็นคู่ซ้อมลงนวมให้เขาทราย เมื่อเขาทรายประสบความสำเร็จได้เป็นแชมป์โลกแล้ว เขาค้อจึงรับการผลักดันให้ชกมวยสากลอาชีพบ้าง เขาค้อก็ชกได้ดี ชนะนักมวยฝีมือดีหลายต่อหลายราย จนได้แชมป์แบนตั้มเวทของเวทีมวยราชดำเนิน ต่อมาจึงได้ชกกับนักมวยชาวต่างชาติ และมีชื่อเข้าอันดับโลก
     แชมป์โลกคนที่ 12เขาค้อ แกแล็คซี่ ชิงแชมป์โลกครั้งแรกกับ วิลเฟรโด วาสเควซ นักมวยชาวเปอร์โตริโก้ โดยสามารถเอาชนะคะแนนไปได้ ชัยชนะครั้งนี้ของเขาค้อไม่ใช่เพียงทำให้เขากลายเป็นแชมป์โลกคนที่ 12 ของไทยเท่านั้น ยังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้เกิดขึ้นในวงการมวยไทยด้วย คือ เป็นนักมวยไทยรายแรกที่ได้แชมป์โลกในรุ่นแบนตัมเวท เพราะก่อนหน้านี้ มีนักมวยไทยขึ้นชิงแชมป์ในรุ่นมาแล้วถึง 6 คน แต่ไม่มีใครประสบความสำเร็จเลยแม้แต่คนเดียว และเป็นประวัติศาสตร์ใหม่ของวงการมวยโลกด้วย คือ เป็นคู่แฝดคู่แรกที่ครองแชมป์โลกในระยะเวลาเดียวกัน
     แต่ภายหลังที่ได้แชมป์โลกแล้ว เขาค้อไม่สามารถที่จะป้องกันตำแหน่งไว้ได้เลยแม้สักครั้งเดียว โดยป้องกันตำแหน่งครั้งแรกก็แพ้แตก "ไอ้ผมม้า" มูน ซัง กิล นักมวยเกาหลีใต้ ถึงกรุงโซล ประเทศของผู้ท้าชิง และเมื่อได้โอกาสแก้มือ แม้สามารถเอาชนะไปได้ ได้แชมป์โลกกลับคืน เมื่อต้องป้องกันตำแหน่งครั้งแรก ในสมัยที่ 2 แพ้ทีเคโอ หลุยส์ ซีโต้ เอสปิโนซา นักมวยชาวฟิลิปปินส์ ไปในยกแรก แบบไม่น่าเชื่อ เพราะการชกยังไม่ทันได้เริ่มขึ้นเท่าไหร่ เขาค้อ จู่ ๆ ก็ล้มลงบนเวทีเสียเฉย ๆ โดยไม่ได้ถูกหมัดของคู่ชก และกรรมการก็ได้โบกมือยุติการชกทันที ด้วยเวลาเพียง 2.13 นาทีของยกแรกเท่านั้น
     การล้มลงโดยไม่ทราบสาเหตุของเขาค้อครั้งนี้ เรียกกันว่า "โรควูบ" ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง เพราะเป็นการล้มลงแบบหมดสติโดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกตัว หัวพาดเชือกกั้นเวที ตาค้าง ขากรรไกรแข็ง บ้างก็เชื่อว่า เขาค้อโดนของเล่นงาน
     อนึ่ง หลังจากที่เขาค้อได้ครองแชมป์โลกสมัยแรกแล้ว ทางรายการตามไปดูทางช่อง 9 ได้จัดมวยคู่พิเศษตามคำเรียกร้องของผู้ชมรายการ คือ จัดชกระหว่าง เขาทราย และ เขาค้อ ที่เวทีราชดำเนิน โดยให้ทั้งคู่ชกกันจริง ๆ กำหนด 3 ยก เพื่อที่จะหาว่าใครเก่งกว่ากัน ผลการชกปรากฏว่า เขาทรายเป็นฝ่ายชนะคะแนนไปในที่สุด
     แขวนนวมหลังจากเสียแชมป์โลกในครั้งนี้ไปแล้ว ราว 2 เดือน เขาทราย และเขาค้อได้นั่งรถเบนซ์ด้วยกันเพื่อที่จะกลับบ้านที่เพชรบูรณ์ เกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ เขาค้อเจ็บหนักต้องเข้ารับการรักษาอยู่เป็นเดือน ขณะที่เขาทราย คู่แฝดที่นั่งไปด้วยกัน บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และสามารถกลับมาชกมวยได้ในเวลาไม่นาน
     เขาค้อ แกแล็คซี่ จึงต้องแขวนนวมไปโดยปริยายจากเหตุนี้ แต่ก็ยังคงช่วยเขาทรายเป็นคู่ซ้อมอยู่เหมือนเดิม และเมื่อเขาทรายได้แขวนนวมแล้ว เขาค้อก็เป็นผู้ดูแลกิจการต่าง ๆ ที่เขาทรายสร้างไว้ เช่น โต๊ะสนุกเกอร์ เป็นต้น

อีกทั้งยังได้แสดงภาพยนตร์ต้นทุนต่ำเรื่อง ข้าชื่อ..มหิงสา โดยรับบทเป็นตัวเอกด้วย

ปัจจุบัน เขาค้อ ทำหน้าที่เป็นเทรนเนอร์ให้แก่ แซมซั่น ส.ศิริพร แชมป์โลกหญิงคนแรกของไทย

     สถิติการชกของเขาค้อ แกแล็คซี่ชนะน็อกยก 3 ขวัญณรงค์ สวัสดิ์วารี ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 9 ตุลาคม พ.ศ. 2528
ชนะน็อกยก 3 เกียรติชัย เกียรติสนธยา ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 30 ตุลาคม พ.ศ. 2528
ชนะคะแนน รักชัย เกียรติสนธยา ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2528
ชนะน็อกยก 4 มันส์ ส.จิตรพัฒนา ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 8 มกราคม พ.ศ. 2529
ชนะน็อกยก 2 พันชัย เกียรติสนธยา ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529
ชนะคะแนน นาคราช เกียรติสนธยา ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 26 มีนาคม พ.ศ. 2529
ชนะน็อกยก 5 รักชัย เกียรติสนธยา ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 11 มิถุนายน พ.ศ. 2529
ชิงแชมป์แบนตั้มเวท เวทีราชดำเนิน ชนะน็อกยก 5 กวางทองน้อย ศิษย์อำนวย ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2529
ชนะน็อกยก 5 นาคราช เกียรติสนธยา ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 3 สิงหาคม พ.ศ. 2529
ชนะน็อกยก 5 สิงห์น้อย สิงห์กรุงธน ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 28 กันยายน พ.ศ. 2529
ชนะคะแนน 10 ยก เคนอิจิ โอซาก้า (ญี่ปุ่น) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 14 มกราคม พ.ศ. 2530
ชนะคะแนน 10 ยก ชอง ยอง มัน (เกาหลีใต้) ที่เวทีมวยพัทยา-ชลบุรี : 5 เมษายน พ.ศ. 2530
ชนะน็อกไม่ทราบยก เบน คาบายัค (ฟิลิปปินส์) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2530
ชนะน็อกยก 2 โทนี่ พรูอินท์ (สหรัฐอเมริกา) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 25 มิถุนายน พ.ศ. 2530
ชนะน็อกยก 3 รัสเซลล์ พินน์ (ออสเตรเลีย) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 6 กันยายน พ.ศ. 2530
ชนะน็อกยก 4 คอนสแตนติโน ดังกลา (ฟิลิปปินส์) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 12 ตุลาคม พ.ศ. 2530
ชนะน็อกยก 2 ดู บ็อก ชา (เกาหลีใต้) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 14 ธันวาคม พ.ศ. 2530
ครองแชมป์โลกรุ่นแบนตั้มเวท WBA ชนะคะแนน 12 ยก วิลเฟรโด้ วาสเกวซ (เปอร์โตริโก) ที่ อินดอร์ สเตเดี้ยม หัวหมาก : 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2531
เสียตำแหน่งแชมป์โลก แพ้คะแนน 6 ยก มูน ซัง กิล (เกาหลีใต้) ที่ โรงแรมนิวลามาด้า เรเนซองค์ กรุงโซล : 14 สิงหาคม พ.ศ. 2531
ชนะน็อกยก 3 จอห์น แม็คเคนน่า (ฟิลิปปินส์) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 12 กันยายน พ.ศ. 2531
ชนะน็อกยก 8 จอห์น โรดิเก้ (ฟิลิปปินส์) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531
ชนะน็อกยก 3 แช ฮวาน ดุ๊ก (เกาหลีใต้) ที่เวทีมวยชั่วคราว ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ : 15 มกราคม พ.ศ. 2532
ชนะน็อกยก 3 คอร์นิชิโอ โอแนน (ฟิลิปปินส์) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532
ชนะน็อกยก 4 สปิคลี่ คูดิชิ (ญี่ปุ่น) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 24 เมษายน พ.ศ. 2532
ครองแชมป์โลกสมัยที่ 2 ชนะคะแนน 12 ยก มูน ซัง กิล (เกาหลีใต้) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2532
เสียแชมป์โลกสมัยที่ 2 แพ้น็อกยกแรก หลุยส์ ซีโต้ เอสปิโนซา (ฟิลิปปินส์) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 18 ตุลาคม พ.ศ. 2532
รวมสถิติการชกทั้งหมด 26 ครั้ง ชนะ 24 ครั้ง แพ้ 2 ครั้ง (ชนะน็อก 18 ครั้ง)


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 10 พฤษภาคม 2012, 05:33:53
     วันนี้วันที่ 10 พฤษภาคม 2555
.................
 วันนี้ในอดีต 
   
 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2527  : สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 เสด็จเยือนประเทศไทยครั้งแรก

     10 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 (Pope John Paul II) ประมุขแห่งวาติกัน เสด็จเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรกระหว่างวันที่ 10-11 พฤษภาคม ในระหว่างการเยือนไทยนี้สมเด็จพระสันตะปาปาได้มีพระราชปฏิสันฐานกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นได้เสด็จไปเยี่ยมค่ายผู้อพยพที่พนัสนิคม และทรงรณรงค์เรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อพยพเหล่านั้น อีกทั้งยังทรงบริจาคเงินสดช่วยเหลือผู้ลี้ภัยอินโดจีนเป็นจำนวน 1 ล้านบาทอีกด้วย หลังจากเยือนประเทศไทยพระองค์ยังได้เสด็จเยือนสาธารณรัฐเกาหลี ปาปัวนิวกินี และหมู่เกาะโซโลมอน 
 
 


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 11 พฤษภาคม 2012, 08:08:36
     วันนี้วันที่ 11 พฤษภาคม 2555
.....................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2454 พระพรหมมังคลาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ) กำเนิดที่ ตำบลคูหาสวรรค์ อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม ใช้ชีวิตฆราวาสจนอายุได้ 18 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดอุปนันทนาราม จังหวัดระนอง เมื่ออายุครบ 20 ปี จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดนางลาด จังหวัดพัทลุง***
.............................
     พระพรหมมังคลาจารย์ (ปั่น ปัญญานันโท) (11 พฤษภาคม พ.ศ. 2454 - 10 ตุลาคม พ.ศ. 2550) หรือที่รู้จักกันดีทั่วไปคือ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ท่านเป็นที่รู้จักในฐานะพระสงฆ์ผู้ปฏิรูปแนวทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระสงฆ์ไทย ผู้เป็นสหธรรมิกร่วมอุดมการณ์คนสำคัญของพระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินทปัญโญ) และผู้อุทิศชีวิตให้กับการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจนวาระสุดท้ายของชีวิต

     พระพรหมมังคลาจารย์กำเนิดที่ ตำบลคูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พัทลุง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2454 เดิมมีนามว่า ปั่น เสน่ห์เจริญ หลังใช้ชีวิตฆราวาสจนมีอายุได้ 18 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดอุปนันทนาราม จังหวัดระนอง โดยมี พระรณังคมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดนางลาด อ.เมือง จ.พัทลุง โดยมี พระจรูญกรณีย์ เป็นอุปัชฌาย์เมื่อปี พ.ศ. 2474

     ท่านมรณภาพวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ด้วยอาการปอดอักเสบและไตวาย ที่โรงพยาบาลศิริราช สิริอายุรวม 96 ปี
1 ศึกษาหาหลักธรรม
2 เผยแพร่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ
3 สหายธรรมของท่านพุทธทาสภิกขุ
4 ประกาศธรรมแก่ชาวบ้านที่เชียงใหม่
5 วัดชลประทานรังสฤษฎ์
6 ผลงานและเกียรติคุณ
6.1 งานด้านการปกครอง
6.2 งานด้านการศึกษา
6.3 งานด้านการเผยแผ่
6.4 การปฏิบัติศาสนากิจในต่างประเทศ
6.5 งานด้านสาธารณูปการ
6.6 งานด้านสาธารณประโยชน์
6.7 งานพิเศษ
6.8 งานด้านวิทยานิพนธ์
6.9 เกียรติคุณที่ได้รับ
6.10 สมณศักดิ์ที่ได้รับ
7 มรณภาพ
      ศึกษาหาหลักธรรมหลังจากอุปสมบทได้ไม่นาน ได้เดินทางไปศึกษาหาหลักธรรมในบวรพุทธศาสนาหลายจังหวัดที่มีสำนักเรียนธรรมะ เช่น นครศรีธรรมราช สงขลา และกรุงเทพมหานคร จนหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุสามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรีเป็นที่ 1 ของสังฆมณฑลภูเก็ต และสามารถสอบได้นักธรรมชั้นโท และเอกในปีถัดมาที่ จ.นครศรีธรรมราช จากนั้นท่านได้เดินทางไปศึกษาต่อด้านภาษาบาลีจนสามารถสอบเปรียญธรรม 4 ประโยค ที่สำนักเรียนวัดสามพระยา กรุงเทพมหานคร แต่เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้หลวงพ่อต้องหยุดการศึกษาไว้เพียงเท่านั้น แล้วเดินทางกลับพัทลุงภูมิลำเนาเดิมและได้เริ่มแสดงธรรมในพื้นที่ต่างๆ ของภาคใต้ รวมทั้งเดินทางไปจำพรรษาที่วัดสีตวนารามและวัดปิ่นบังอร รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย ในระหว่างที่จำพรรษาอยู่นี้ก็ได้ศึกษาทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน เพื่อเป็นพื้นฐานในการเผยแพร่ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป

     เผยแพร่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศพ.ศ. 2475 หลวงพ่อมีโอกาสร่วมเดินทางไปประเทศพม่า กับพระโลกนาถชาวอิตาลีสหายธรรม ร่วมเดินทางแสวงบุญไปประเทศอินเดียและทั่วโลกโดยผ่านทางประเทศพม่าด้วยเท้าเปล่าเพื่อเป็นพุทธบูชา แต่เมื่อเดินทางถึงประเทศพม่าก็ต้องเดินทางกลับ
ระหว่างปี พ.ศ. 2475-2476 หลวงพ่อได้มีโอกาสเดินทางไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศหลายประเทศ จนหลวงพ่อได้ชื่อว่า เป็นพระสงฆ์รูปแรกของไทยที่ได้เดินทางไปประกาศธรรมในภาคพื้นยุโรป
[แก้] สหายธรรมของท่านพุทธทาสภิกขุพ.ศ. 2477 หลวงพ่อได้เดินทางไปจำพรรษากับพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ที่สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี และร่วมเป็นสหายธรรมดำเนินการเผยแพร่หลักธรรมที่แท้จริงตามหลักคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

     ประกาศธรรมแก่ชาวบ้านที่เชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2492 หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ได้รับอาราธนานิมนต์ให้ไปจำพรรษาที่วัดอุโมงค์ จ.เชียงใหม่ และได้เริ่มแสดงธรรมในทุกวันอาทิตย์และวันพระที่พุทธนิคม จ.เชียงใหม่ พร้อมกันนี้หลวงพ่อได้เขียนบทความต่างๆ ลงในหนังสือพิมพ์และเขียนหนังสือธรรมะขึ้นจำนวนหลายเล่ม นอกจากนี้ หลวงพ่อได้เดินทางไปประกาศธรรมแก่ชาวบ้าน ชาวเขาโดยใช้รถติดเครื่องขยายเสียง จนชื่อเสียงของหลวงพ่อดังกระฉ่อนไปทั่ว จ.เชียงใหม่ ในนาม "ภิกขุปัญญานันทะ"
ในยุคนี้เองที่หลวงพ่อได้ก่อตั้งมูลนิธิ "เมตตาศึกษา" ที่วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ และบำเพ็ญศีล กิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอีกมากมาย
วัดชลประทานรังสฤษฎ์ในปี พ.ศ. 2502 ม.ล.ชูชาติ กำภู อธิบดีกรมชลประทาน ในสมัยนั้น ระหว่างที่ไปเยือนเชียงใหม่มีความประทับใจ ในลีลาการสอนธรรมะแนวใหม่ของหลวงพ่อ จึงเกิดความศรัทธาปสาทะในหลวงพ่อ และในขณะนั้นกรมชลประทานได้สร้างวัดใหม่ขึ้น ชื่อ "วัดชลประทานรังสฤษฎ์" ที่ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี จึงได้อาราธนาหลวงพ่อไปเป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่ พ.ศ. 2503 จนถึงปัจจุบัน
     พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมโกศาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) ได้ดำเนินการเผยแพร่พระพุทธศาสนา โดยวิธีที่ท่านได้เริ่มปฏิวัติรูปแบบการเทศนาแบบดั้งเดิมที่นั่งเทศนาบนธรรมาสน์ถือใบลาน มาเป็นการยืนพูดปาฐกถาธรรมแบบพูดปากเปล่าต่อสาธารณชน พร้อมทั้งยกตัวอย่างเหตุผลร่วมสมัย ทันต่อเหตุการณ์ เป็นการดึงดูดประชาชนให้หันเข้าหาธรรมะได้เป็นเป็นอย่างมาก ซึ่งในช่วงแรกๆ ได้รับการต่อต้านอยู่บ้าง แต่ต่อมาภายหลังการปาฐกถาธรรมแบบนี้กลับเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปจนถึงบัดนี้ เมื่อพุทธศาสนิกชนทราบข่าวว่า หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุจะไปปาฐกถาธรรมที่ใดก็จะติดตามไปฟังกันเป็นจำนวนมาก จนในที่สุดหลวงพ่อได้รับอาราธนาให้เป็นองค์แสดงปาฐกถาธรรมในสถานที่ต่างๆ และเทศนาออกอากาศทั้งทางสถานีวิทยุกระจายเสียง และสถานีวิทยุโทรทัศน์ต่างๆ จนถึงปัจจุบัน
     นอกจากนี้ หลวงพ่อยังได้รับอาราธนาไปแสดงธรรมในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น และยังได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมและกล่าวคำปราศรัยในการประชุมองค์กรศาสนาของโลกเป็นประจำอีกด้วย
     โดยที่หลวงพ่อท่านเป็นพระมหาเถระผู้มีชื่อเสียงของประเทศไทย ได้สร้างงานไว้มากมายทั้งด้านศาสนาสังคมสงเคราะห์ตลอดจนงานด้านวิชาการ ดังนั้นหลวงพ่อจึงได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ได้รับรางวัลเกียรติคุณมากมาย และเป็นประธานในการดำเนินกิจกรรมทั้งที่เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาและสังคม เช่น สนับสนุนโครงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างแดน เป็นประธานจัดหาทุนสร้างตึกโรงพยาบาล กรมชลประทาน 80 ปี (ปัญญานันทะ) และเป็นประธานในการดำเนินการจัดหาทุนสร้างวัดปัญญานันทาราม ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ แม้ว่าคำสอนของหลวงพ่อจะเป็นคำสอนที่ฟังง่ายต่อการเข้าใจ แต่ลึกซึ้งด้วยหลักธรรมและอุดมการณ์อันหนักแน่นในพระรัตนตรัย หลวงพ่อปัญญานันทภิภขุ เป็นหนึ่งในบรรดาภิกษุผู้มีชื่อเสียง และเปี่ยมด้วยคุณธรรมเมตตาธรรม ผู้นำคำสอนในพระพุทธศาสนา ซึ่งเหมาะสมสำหรับชนทุกชั้นที่จะเข้าถึง หลวงพ่อเป็นพระสงฆ์รูปแรกที่กล้าในการปฏิรูปพิธีกรรมทางศาสนา ของชาวไทยที่ประกอบพิธีกรรมหรูหรา ฟุ่มเฟือย โดยเปลี่ยนเป็นประหยัด มีประโยชน์และเรียบง่าย ดังนั้น หลวงพ่อจึงได้รับการขนานนามว่า "ผู้ปฏิรูปพิธีกรรมของชาวพุทธไทย" ในปัจจุบัน
     ผลงานและเกียรติคุณ[แก้] งานด้านการปกครองพ.ศ. 2503 เป็นเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์
[แก้] งานด้านการศึกษาพ.ศ. 2503 เป็นเจ้าสำนักศาสนาศึกษา แผนกธรรมและบาลีวัดชลประทานรังสฤษฏ์
พ.ศ. 2512 เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนพุทธศาสนาวัดอาทิตย์ ระดับอนุบาล ประถม มัธยมศึกษา
พ.ศ. 2524 เป็นผู้อำนวยการจัดการการอบรมพระธรรมทายาทของวัดชลประทานรังสฤษฏ์
เป็นผู้อำนวยการจัดการอบรมพระนวกะที่บวชในวัดชลประทานรังสฤษฏ์
[แก้] งานด้านการเผยแผ่พ.ศ. 2492-2502 เป็นองค์แสดงปาฐกถาธรรมประจำวันพระและวันอาทิตย์ ณ พุทธนิคม สวนพุทธธรรม วัดอุโมงค์ จ.เชียงใหม่
พ.ศ. 2500 เป็นประธานมูลนิธิ "ชาวพุทธมูลนิธิ" จังหวัดเชียงใหม่
เป็นประธานก่อตั้งพุทธนิคม จ.เชียงใหม่
พ.ศ. 2503 เป็นองค์แสดงธรรมทางสถานีวิทยุกระจายเสียง และสถานีวิทยุโทรทัศน์
เป็นผู้ริเริ่มการทำบุญ ฟังธรรมในวันอาทิตย์ ณ วัดชลประทานรังสฤษฏ์
เป็นผู้ก่อตั้งทุนพิมพ์หนังสือเพื่อเผยแผ่ธรรมะแก่ประชาชน พ.ศ. 2520
เป็นผู้อบรมผู้ช่วยผู้พิพากษา
พ.ศ. 2525 รับเป็นองค์แสดงธรรมแก่วุฒิสมาชิก และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
พ.ศ. 2534 เป็นผู้ริเริ่ม ค่ายคุณธรรมแก่เยาวชน เรียกว่า "ค่ายพุทธบุตร" ในโรงเรียนต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย ฯลฯ
พ.ศ. 2536 จำพรรษา ณ วัดพุทธธรรม ชิคาโก สหรัฐอเมริกา
[แก้] การปฏิบัติศาสนากิจในต่างประเทศพ.ศ. 2497 เดินทางเผยแผ่ธรรมรอบโลก
ช่วยเหลือกิจการพุทธศาสนา เผยแผ่ธรรมะในต่างประเทศ คือ ประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เยอรมัน
เป็นเจ้าอาวาสววัดพุทธธรรม วัดไทยในชิกาโก สหรัฐอเมริกา
[แก้] งานด้านสาธารณูปการพ.ศ. 2516 เป็นประธานในการก่อสร้างกุฏิสี่เหลี่ยม เพื่อเป็นที่อยู่แก่พระภิกษุผู้บวชใหม่
พ.ศ. 2518 เป็นประธานในการก่อสร้างโรงเรียนพุทธธรรม
เป็นประธานในการก่อสร้างโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์
พ.ศ. 2537 เป็นประธานก่อสร้างกุฏิสองหลังเป็นกุฏิทรงไทยประยุกต์
[แก้] งานด้านสาธารณประโยชน์พ.ศ. 2533 เป็นประธานหาทุนสร้าง "ตึก 80 ปี ปัญญานันทะ" ให้โรงพยาบาลชลประทาน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
สร้างศูนย์ฝึกและปฏิบัติงาน มูลนิธิแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ที่ อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา
พ.ศ. 2534 บริจาคเงินสร้างอุโบสถวัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) จ.เชียงใหม่
พ.ศ. 2537 บริจาคเงินสร้างโรงอาหารแก่โรงเรียนประภัสสรรังสิต อ.เมือง จ.พัทลุง
บริจาคเงินซื้อเครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ให้โรงพยาบาลวชิระ จ.ภูเก็ต
รับมอบที่ดินและเป็นประธานหาทุนสร้างและอุปถัมภ์ วัดปัญญานันทาราม จ.ปทุมธานี
บริจาคเงินเป็นทุนอาหารกลางวันเด็กนักเรียนในโรงเรียนท้องถิ่นที่ขาดแคลนต่างๆ หลายจังหวัด
ได้แสดงธรรมเพื่อหาเงินสบทบทุนในจัดสร้างอาคารเรียน 100ปี โรงเรียนพัทลุง จังหวัดพัทลุง
แสดงธรรมเพื่อหาเงินสมบทในจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์แก่โรงพยาบาลพัทลุง จังหวัดพัทลุง
เป็นประธานหาทุนปรับปรุงและยกฐานะโรงพยาบาลชลประทานเป็นศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ-ชลประทาน
[แก้] งานพิเศษพ.ศ. 2503 เป็นองค์แสดงธรรมถวายสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ ณ ตำหนักจิตรลดารโหฐาน
พ.ศ. 2518 เป็นองค์แสดงธรรมถวายสมเด็จพรเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ ณ ศาลาการเปรียญ วัดชลประทานรังสฤษฏ์
เป็นองค์แสดงธรรมถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และ พระบรมวงศานุวงศ์ เนื่องในพระราชพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์รามาธิบดีอันมีศักดิ์ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
เป็นพระอุปัชฌาย์อุปสมบทแก่ช่าวต่างประเทศ ที่อุปสมบทในประเทศไทย เช่น ชาวอเมริกัน อังกฤษ ออสเตรเลีย เยอรมัน ญี่ปุ่น และศรีลังกา เป็นต้น
พ.ศ. 2529 ได้รับนิมนต์เข้าร่วมประชุมพุทธศาสนิกสัมพันธ์อาเชี่ยนเพื่อสันติภาพ ครั้งที่ 7 ที่ประเทศประชาธิปไตยประชาชนลาว (12th Asain Buddist Conference for Peace)
พ.ศ. 2536 ได้รับนิมนต์ไปร่วมประชุมและบรรยาย ในการประชุมสภาศาสนาโลก 1993 ณ นครชิคาโก สหรัฐอเมริกา (The 1993 Parliament of the world's Religion)
[แก้] งานด้านวิทยานิพนธ์ได้เขียนหนังสือที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาไว้มากมาย เช่น

1.ทางสายกลาง
2.คำถามคำตอบพุทธศาสนา
3.คำสอนในพุทธศาสนา
4.หน้าที่ของคนฉบับสมบูรณ์
5.รักลูกให้ถูกทาง
6.ทางดับทุกข์
7.อยู่กันด้วยความรัก
8.อุดมการณ์ของท่านปัญญา
9.ปัญญาสาส์น
10.ชีวิตและผลงาน
11.มรณานุสติ
12.ทางธรรมสมบูรณ์แบบ
13.72 ปี ปัญญานันทะ
14.กรรมสนองกรรม เป็นต้น
[แก้] เกียรติคุณที่ได้รับพ.ศ. 2520 ได้รับรางวัล "สังข์เงิน" จากสมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ในฐานะพระภิกษุผู้เผยแผ่ธรรมะและศีลธรรมยอดเยี่ยมของประเทศไทย
พ.ศ. 2521 ได้รับรางวัล "นักพูดดีเด่น" ประเภทเผยแผ่ธรรม จากสมาคมฝึกพูดแห่งประเทศไทย
พ.ศ. 2525 ได้รับการคัดเลือกให้เป็นบุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระศาสนา เนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี จากกรมการศาสนา โดยได้รับรางวัลและประกาศเกียรติคุณ 2 รางวัล คือ ประเภท ก.บุคคล และประเภท ข.สื่อสารมวลชน (รายการส่งเสริมธรรมะทางสถานีวิทยุโทรทัศน์)
พ.ศ. 2524 ได้รับปริญญาพุทธศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาครุศาสตร์ จาก มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย
พ.ศ. 2531 ได้รับปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ จาก มหาวิทยาลัยรามคำแหง
พ.ศ. 2534 ได้รับปริญญาการศึกษาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
พ.ศ. 2536 ได้รับปริญญาอักษรศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พ.ศ. 2536 ได้รับปริญญาศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ปรัชญาและศาสนา) จาก มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
พ.ศ. 2537 ได้รับปริญญาศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พ.ศ. 2548 ได้รับการยกย่องเป็นศิษย์เก่าดีเด่น เนื่องในโอกาสงานครบรอบ 100 ปี โรงเรียนพัทลุง จากโรงเรียนพัทลุง
พ.ศ. 2550 ได้รับยกย่องเชิดชู ในฐานะ "ผู้สูงอายุแห่งชาติ" ประจำปี 2550 ผู้มีผลงานดีเด่นคนแรก (รูปแรก) ของประเทศ
[แก้] สมณศักดิ์ที่ได้รับวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2499 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ พระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ "พระปัญญานันทมุนี"
วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2514 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ พระราชาคณะชั้นราช ที่ "พระราชนันทมุนี"
วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2530 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ พระราชาคณะชั้นเทพ ที่ "พระเทพวิสุทธิเมธี"
วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2537 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ พระราชาคณะชั้นธรรม ที่ "พระธรรมโกศาจารย์ สุนทรญาณดิลก สาธกธรรมภาณ วิสาลธรรมวิภูษิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี"
วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ พระราชาคณะเจ้าคณะรองชั้นหิรัญบัฏหรือรองสมเด็จพระราชาคณะ ที่ "พระพรหมมังคลาจารย์ ไพศาลธรรมโกศล วิมลศีลาจารวินิฐ พิพิธธรรมนิเทศ พิเศษวรกิจจานุกิจ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี"
[แก้] มรณภาพพระพรหมังคลาจารย์ถึงแก่มรณภาพเมื่อเวลา 9.09 น. ในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยเหตุติดเชื้อในกระแสโลหิต สิริรวมอายุได้ 96 ปี 5 เดือน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานโกศแปดเหลี่ยมและรับศพไว้ในพระราชานุเคราะห์




หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 12 พฤษภาคม 2012, 08:07:15
     วันนี้วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม 2555
..............
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2551 เกิดเหตุแผ่นดินไหวในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน ตัวเลขอย่างเป็นทางการได้ประกาศออกมาแล้วว่า มีผู้เสียชีวิต 68,516 คน บาดเจ็บ 365,399 คน และสูญหาย 19,350 คน***
......................
เหตุการณ์แผ่นดินไหวในมณฑลเสฉวน พ.ศ. 2551 (จีน: 四川大地震; พินอิน: Sìchuān dà dìzhèn; อังกฤษ: Sichuan Earthquake) เกิดขึ้นเมื่อเวลา 14.28 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 6.28 น. ตามเวลาสากลเชิงพิกัด ในวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 มีศูนย์กลางอยู่ที่เขตเหวินฉวน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของนครเฉิงตู 90 กิโลเมตร ในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน วัดความรุนแรงเบื้องต้นได้ 7.8 ริกเตอร์ ต่อมา USGS ได้ปรับค่าความรุนแรงเป็น 7.9 ริกเตอร์ จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวมีระยะห่าง 90 กิโลเมตร จาก นครเฉิงตู เมืองเอกของมณฑลเสฉวน และมีความลึก 19 กิโลเมตร [1] แผ่นดินไหวสามารถรู้สึกได้จากระยะทางไกล เช่น ที่กรุงปักกิ่ง (ห่างออกไป 1,500 กม.) และ เซี่ยงไฮ้ (ห่างออกไป 1,700 กม.) ที่ที่อาคารสำนักงานได้รับแรงสั่นสะเทือน[2] แผ่นดินไหวก็ยังสามารถรู้สึกได้ในประเทศเพื่อนบ้านของจีน อาทิเช่น ประเทศไทย ประเทศบังกลาเทศ ประเทศอินเดีย ประเทศปากีสถาน เป็นต้น

ตัวเลขอย่างเป็นทางการ (วันที่ 29 พฤษภาคม) ได้ประกาศออกมาแล้วว่า มีผู้เสียชีวิต 68,516 คน บาดเจ็บ 365,399 คน และสูญหาย 19,350 คน [3]

ผลกระทบจากการสั่นสถานที่เรียงตามลำดับจากระยะทางจากจุดสั่น (หรือเวลา) :

 จีน : ทุกมณฑลยกเว้น ซินเจียง, จี๋หลิน และ มณฑลเฮย์หลงเจียง ถูกกระทบจากแผ่นดินไหว[4]
 ฮ่องกง : การสั่นสะเทือนรู้สึกได้สามนาทีหลังจากการสั่นจากจุดศูนย์กลาง ต่อเนื่องไปอีกครึ่งนาที [5][6][7]
 มาเก๊า : การสั่นสะเทือนรู้สึกได้สามนาทีหลังจากแผ่นดินไหว [8]
 เวียดนาม: การสั่นสะเทือนรู้สึกได้ห้านาทีหลังจากแผ่นดินไหวในทางเหนือของประเทศ[9][10]
 ไทย: ในบางส่วนของประเทศไทย การสั่นสะเทือนรู้สึกได้หกนาทีหลังจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวสั่น บรรดาตึกและอาคารต่าง ๆ ไหวเป็นเวลานานไปอีกหลายนาที [11]
 ไต้หวัน : การสั่นสะเทือนใช้เวลาแปดนาทีถึงไต้หวัน หลังจากนั้นก็ไหวต่อเนื่องอยู่หนึ่งถึงสองนาที; ไม่มีรายงานความเสียหายหรือผู้บาดเจ็บ[12]
 มองโกเลีย : การสั่นสะเทือนรู้สึกได้แปดนาทีหลังจากแผ่นดินไหวในบางส่วนของประเทศมองโกเลีย [13]
 บังกลาเทศ : การสั่นสะเทือนรู้สึกได้แปดนาทีครึ่งหลังจากแผ่นดินไหวในทุกส่วนของประเทศ [13]
 เนปาล: การสั่นสะเทือนรู้สึกได้ประมาณแปดนาทีครึ่งหลังจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว [13]
 อินเดีย: การสั่นสะเทือนรู้สึกได้ประมาณเก้านาทีหลังจากแผ่นดินไหวในบางส่วนของประเทศอินเดีย [13]
 ปากีสถาน: ในบางส่วนของปากีสถานเหนือ การสั่นสะเทือนรู้สึกได้สิบนาทีหลังจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวสั่น [13]
 ญี่ปุ่น: การสั่นสามารถรู้สึกได้ใน โตเกียว [13]
 รัสเซีย: การสั่นสะเทือนรู้สึกได้ใน ทูวา แต่ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บ [13]
[แก้] ความช่วยเหลือจากภายในและนอกประเทศ[แก้] ความช่วยเหลือภายในประเทศสภากาชาดของประเทศจีนได้ให้ 557 เต็นท์และผ้าห่ม 2,500 ผืน โดยรวม 788,000 หยวน ($113,000) [14]

 ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมข้อมูลในส่วนนี้ได้
[แก้] ความช่วยเหลือจากประเทศอื่น ๆ แอลจีเรีย : รัฐบาลอัลจีเรียให้ความช่วยเหลือเป็นจำนวน $1 ล้าน[15]
 กัมพูชา : สภากาชาดกัมพูชาบริจาคเงินจำนวน $10,000.[16] สมเด็จฮุนเซน สัญญาว่าจะบริจาคเงิน $100,000 โดยเป็นเงินบริจาคจากรัฐบาลกัมพูชา [17]
 แคนาดา : บริจาคเงิน $1 ล้าน.[18]
 เดนมาร์ก : กระทรวงต่างประเทศเดนมาร์กประกาศว่าจะบริจาคเงินเป็นจำนวน DKK750,000 ($150,000) โดยเป็นความช่วยเหลือฉุกเฉินไปยังสภากาชาดจีน ทั้งนี้ สภากาชาดประเทศเดนมาร์ก ได้บริจาคเงินจำนวน DKK1 ล้าน ($200,000) เพื่อช่วยเหลือด้วย[19]
 ฝรั่งเศส : ประเทศฝรั่งเศสจะส่งเครื่องบินขนสินค้าที่บรรจุ เต็นท์ กระเป๋านอนหลับ ผ้าห่ม และวัสดุอื่น ๆ เป็นเงินทั้งหมด $385,500.[20]
 เยอรมนี : รัฐบาลเยอรมันได้สัญญาว่าจะบริจาคเงิน $770,000 ผ่านสภากาชาดเยอรมันสำหรับความช่วยเหลือเพื่อเหยื่อแผ่นดินไหว[21]
 ฮ่องกง : รัฐบาลได้สัญญาว่าจะบริจาคเงินจำนวน $38.4 ล้าน[22]
 ไทย : ประเทศไทยได้อุทิศเงินจำนวน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยเหลือภัยพิบัติสำหรับผู้ที่ประสบภัยทั้งแผ่นดินไหวในประเทศจีน และ เหตุการณ์พายุหมุนนาร์กิส พ.ศ. 2551 ในประเทศพม่า[23]
 สหราชอาณาจักร : นาย กอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ประกาศว่าประเทศของเขา (สหราชอาณาจักร) สัญญาจะบริจาคเงินให้ 1 ล้าน ปอนด์สเตอร์ลิง (ประมาณ $2 ล้าน) เพื่อช่วยเหลือประเทศจีน[24]
 สหรัฐอเมริกา : สหรัฐฯ ได้กำหนดบริจาคเงิน $500,000 [25].
 


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 07:44:11
     วันนี้วันที่ 13 พฤษภาคม 2555
.............
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2471 เริ่มก่อตั้งโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง ตั้งอยู่บริเวณพระราชวังหลัง ขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาลศิริราช เป็นโรงเรียนสตรีประจำ และโรงเรียนอนุบาลแห่งแรกของประเทศไทย กิจการของโรงเรียนเจริญขึ้นทำให้สถานที่ตั้งโรงเรียนเดิมไม่สามารถรอบรับจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้นได้ จึงได้ย้ายโรงเรียนมาอยู่สุขุมวิท19 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ในปัจจุบัน***
...................
ประวัติความเป็นมา

         โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย สังกัดสำนักงานพันธกิจการศึกษา มูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย เริ่มก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2417 (ค.ศ. 1874) โดยมิชชันนารีคณะเพรสไปทีเรียมิชชันจากสหรัฐอเมริกา เดิมมีชื่อเรียกว่า โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง ตั้งอยู่บริเวณพระราชวังหลัง ขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาลศิริราช เป็นโรงเรียนสตรีประจำ และโรงเรียนอนุบาลแห่งแรกของประเทศไทย โดยมิสซิสแฮเรียต เอ็มเฮาส์ เป็นครูใหญ่คนแรก มีจุดมุ่งหมายจัดการเรียนการสอนด้านการอ่านเขียน การศึกษาคริสตจริยธรรม และวิชาเย็บปักถักร้อย ซึ่งเป็นวิชาสำหรับกุลสตรีสมัยนั้น ในปี พ.ศ. 2464 (ค.ศ. 1921) กิจการของโรงเรียนเจริญขึ้นทำให้สถานที่ตั้งโรงเรียนเดิมไม่สามารถรองรับจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้นได้ มิสเอ็ดน่า เซร่ะ โคล์ ครูใหญ่ในขณะนั้นได้ย้ายโรงเรียนมาอยู่ในสถานที่ปัจจุบันและเปลี่ยนชื่อเป็น “วัฒนาวิทยาลัย”
        ในปีการศึกษา 2554 โรงเรียนมีอายุ ครบ 137 ปี กุลสตรีวังหลัง-วัฒนาวิทยาลัย ซึ่งมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทยเป็นผู้รับใบอนุญาต โดยมี ศาสนาจารย์ ดร.ศึกษา เทพอารีย์ เป็นผู้ลงนามแทนผู้รับใบอนุญาต และเป็นประธานคณะกรรมการบริหารโรงเรียน 
 
 



หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 14 พฤษภาคม 2012, 05:11:44
     วันนี้วันที่ 14 พฤษภาคม 2555
.................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2339 เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ เริ่มทดลองใช้ฝีดาษวัว เป็นวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษ***
.....................
ชื่อ      เอ็ดเวิร์ด   เจนเนอร์ ( Edward  Jenner )                         
เกิดเมื่อ             ค.ศ.1749                                                                     สถานที่เกิด       ที่คลอนเตอร์เชียร์  ประเทศอังกฤษ                         
ผลงาน              เป็นผู้คิดค้นการรักษาไข้ทรพิษ                         
ถึงแก่กรรมเมื่อ  24 มกราคม 1823  ที่บาคลีย์ 
อายุ 83 ปี                           
ประวัติโดยย่อ    

          เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์มีอาชีพเป็นแพทย์เจนเนอร์มีโอกาศได้ไปรักษาคนเป็นโรคฝีดาษบ่อยๆเขาจึงเริ่มใช้เวลาค้นคว้าเพื่อหาทางรักษาโรคฝีดาษนี้เจนเนอร์สังเกตพบว่าหญิงที่มีแผลฝีวัวซึ่งติดมาจากวัวไม่เป็นโรคฝีดาษเลยวันหนึ่งค.ศ.1796หญิงรีดนมวัวเป็นแผลฝีวัวมาให้เจนเนอร์รักษาเขาจึงคัดเอาหนองฝีวัวออกมาเก็บไว้และลองเอาหนองฝีวัวมาทดลองฉีดให้เด็กชายอายุ8ขวบโดยกรีดผิวหนังที่แขนของเด็กแล้วเอาหนองฝีวัวใส่ลงไปปรากฏว่าได้ผลดีเด็กคนนั้นไม่เป็นฝีดาษเลยเจนเนอร์ค้นคว้าและทดลองให้มีประสิทธิภาพขึ้นจนแน่ใจว่าได้ผลแน่นอนจึงจึงประกาศการค้นพบวิธีปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษในปีค.ศ.1798
................
 


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 15 พฤษภาคม 2012, 07:37:19
     วันนี้วันที่ 15 พฤษภาคม 2555
....................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2394 ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระองค์ได้รับการเฉลิม พระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฏฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว***
................
     เมื่อสิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว   พระบรมวงศานุวงศ์และคณะเสนาบดีได้ประชุมพร้อมกันมีมติให้อันเชิญพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎขึ้นครองราชย์ วันรุ่งขึ้นเจ้าพระยาพระคลัง (ดิส บุนนาค) ว่าที่สมุหกลาโหม และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่     ได้ไปที่วัดบวรนิเวศน์เพื่ออันเชิญพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงรับอาราธนาด้วยดุษณียภาพยินดีจะเป็นพระมหากษัตริย์จึงเสด็จออกจากวัดบวรนิเวศไปประทับอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวังในค่ำวันนั้น และวันที่ 5 พฤษภาคม 2394 พระองค์ทรงลาผนวชต่อหน้าพระราชาคณะฐานานุกรมเปรียญ 30 รูป อันเป็นพระสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย แล้วเสด็จไปประทับ ณ พลับพลา หน้าคลังศุภรัตน์ข้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พอถึงวันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม 2394 พระองค์เสด็จสรงน้ำมุรธาภิเษกในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และเสด็จเฉลิมพระราชมณเฑียรสถาน ตามโบราณขัตติยราชประเพณี มีจารึกพระบรมนามาภิไธยในพระสุพรรณบัตรว่า
            “พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ สุทธิสมมุติเทพยพงศวงศาดิศรกษัตริย์ วรขัตติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ  อุภโตสุชาติสังสุทธิเคราะหณีจักรีบรมนารถ อดิศวรราชรามวรังกูล สุจริตมูลสุสาธิตอุกฤษฐวิบูลย บุรพาดูลยกฤษฎาภินิหาร สุภาธิการรังสฤษดิ ธัญญลักษณ์ วิจิตรโสภาคสรรพางค์ มหาชนโนตมางคประนต บาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพสุภผลอุดม บรมสุขุมาลยมหาบุรุษยรัตน ศึกษาพิพัฒนสรรพโกศล สุวิสุทธิวิมล ศุภศีลสมาจารย์ เพ็ชรญาณประภาไพโรจน์ อเนกโกฏิสาธุคุณวิบูลยสันดาน ทิพยเทพาวตาร ไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์เอกอัครมหาบุรุษ สุตพุทธมหากระวีตรี ปิฎกาทิโกศล วิมลปรีชามหาอุดมบันฑิต สุนทรวิจิตรปฏิภาณ บริบูรณ์คุณสารัสยามาทิโลกย ดิลกมหาปริวารนายก อนันต์ มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษสิรินทร มหาชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัตินพปดลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณ์มหาบรมราชาภิเศกาภิษิต สรรพทศทิศวิชัตชัย สกลมไหศวริยมหาสวามินทรมเหศวรมหินทรมหาราชาธิราชวโรดม บรมนารถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ อุกฤษฐศักดิ์อัครนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการ สกลไพศาลมหารัษฎาธิเบนทร ปรเมนทรธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนารถบรมบพิตร พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จเถลิงถวัลราชย์ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทรมหินทรายุธยา”




หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 16 พฤษภาคม 2012, 05:53:48
วันนี้วันที่ 16 พฤษภาคม 2555
................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2481 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เปิดอย่างเป็นทางการ เป็น     โรงเรียนสหศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายแห่งแรกของประเทศไทย อยู่ในความดูแลของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย***
          โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเปิดสอนอย่างเป็นทางการครั้งแรก
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดสอนอย่างเป็นทางการ โดยเป็นโรงเรียนสหศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย มีหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล เป็นผู้อำนวยการคนแรกของโรงเรียน เปิดการสอนในช่วงชั้นก่อนระดับอุดมศึกษา ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 17 พฤษภาคม 2012, 07:22:35
     วันนี้วันที่ 17 พฤษภาคม 2555
.................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2477 เปิดการเรียนการสอนครั้งแรก ของวิทยาลัยนาฏศิลป เดิมชื่อว่า โรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ ก่อตั้งโดย พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ***
...................

    วิทยาลัยนาฏศิลป เดิมมีชื่อว่า “ โรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์” เปิดสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ. ศ.2477 นับเป็นสถาบันของชาติแห่งแรกที่ให้การศึกษา ทั้งวิชาสามัญและวิชาศิลป ขึ้นอยู่กับกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนนี้คือ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ อธิบดีคนแรกของกรมศิลปากร ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2478 ทางการมีความประสงค์ที่จะให้วิชาศิลปทางโขน-ละคร และดนตรี มารวมอยู่ในสังกัดเดียวกัน จึงได้โอนครูอาจารย์ทางนาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ กับศิลปินประจำราชสำนักของพระมหากษัตริย์ รวมทั้งเครื่องดนตรี เครื่องโขน เครื่องละครของหลวงบางส่วนจากกระทรวงวัง ให้มาสังกัดกรมศิลปากร กรมศิลปากรจึงได้แก้ไขปรับปรุงการศึกษาของโรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ในวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2478 ได้มีคำสั่งตั้งโรงเรียนศิลปากร สอนวิชาช่างปั้น ช่างเขียน และช่างรักขึ้นอยู่กับกรมศิลปากร และให้โรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ไปรวมเป็นแผนกหนึ่งของโรงเรียน ศิลปากร เรียกชื่อเฉพาะแผนกนี้ว่า “โรงเรียนศิลปากรแผนกนาฏดุริยางค์” ให้การศึกษาวิชาศิลปทางดนตรี ปี่พาทย์ และละครแต่ยังไม่มีโขน ต่อมาวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2485 ได้ยุบกองโรงเรียนและให้ “ แผนกช่าง” ของโรงเรียนศิลปากรไปขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยศิลปากร และโอนกรมศิลปากรไปสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน พ.ศ.2485 กรมศิลปากรปรับปรุงกองดุริยางคศิลป์ เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกองการสังคีต และโอนแผนกนาฏดุริยางค์จากโรงเรียนศิลปากรขึ้นกับกองการสังคีต เปลี่ยนเป็น “โรงเรียนสังคีตศิลป” ขึ้นอยู่กับแผนกนาฏศิลป แต่เนื่องจากอุปสรรคและสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมทั้งราชการได้คืนสถานที่ไปใช้ราชการอย่างอื่น ระหว่าง พ.ศ.2485-2487 การศึกษาของโรงเรียนสังคีตศิลปจึงหยุดชะงักไปชั่วระยะหนึ่ง
พ.ศ.2488 หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 นายกรัฐมนตรีบัญชาให้แก้ไขปรับปรุงการศึกษาของโรงเรียนสังคีตศิลปใหม่และเปลี่ยนชื่อเป็น “ โรงเรียนนาฏศิลป” มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ
•เพื่อเป็นสถานศึกษานาฏศิลปและดุริยางคศิลป์ของทางราชการ
•เพื่อบำรุงรักษาและเผยแพร่นาฏศิลปและดุริยางคศิลป์ประจำชาติไทย
•เพื่อให้ศิลปทางดนตรีและโขน – ละคร ภายในประเทศมีฐานะเป็นที่ยกย่อง
เมื่อเปิดโรงเรียนนาฏศิลป ปี พ.ศ.2488 มีนักเรียนเก่าเหลืออยู่ในโรงเรียนสังคีตศิลป 33 คน เป็นนักเรียนหญิงทั้งสิ้น จึงเปิดรับสมัครนักเรียนชายเข้าฝึกหัดโขน จำนวน 60 คน นับแต่นั้นมา โรงเรียนนาฏศิลปก็ขยายการศึกษาทั้งนาฏดุริยางคศิลป์ไทยและสากล กองการสังคีตมาขึ้นกับกอง ศิลปศึกษา และได้รับการยกฐานะให้เป็น “ วิทยาลัยนาฏศิลป” เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ. ศ.2515

วิทยาลัยนาฏศิลปเป็นสถาบันการศึกษาที่มุ่งผลิตครูและบุคลากรสายอาชีพ ในด้านนาฏศิลป์ ดนตรี มีการจัดการเรียนการสอนอันประกอบด้วยการศึกษาวิชาสามัญและศิลปะตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ โดยจัดการศึกษาเป็น 3 ระดับ คือ

1.ระดับนาฏศิลป์ชั้นต้น รับผู้สำเร็จการศึกษาในชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เข้าศึกษาตามหลักสูตร 3 ปี ได้รับประกาศนียบัตรนาฏศิลป์ชั้นต้น
2.ระดับนาฏศิลป์ชั้นกลาง รับนักเรียนต่อเนื่องจากระดับนาฏศิลป์ชั้นต้นปีที่ 3 และนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3) เข้าศึกษาตามหลักสูตร 3 ปี ได้รับประกาศนียบัตรนาฏศิลป์ชั้นกลาง
3.ระดับนาฏศิลป์ชั้นสูง รับนักเรียนต่อเนื่องจากระดับนาฏศิลป์ชั้นกลางเข้าศึกษาต่อ 2 ปี ได้รับประกาศนียบัตรนาฏศิลป์ชั้นสูง หรือเทียบเท่าอนุปริญญา
ในปีการศึกษา 2519 ได้ขยายการศึกษาจนถึงระดับปริญญาตรี โดยสมทบกับสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ในคณะนาฏศิลป์และดุริยางค์ รับศึกษาที่สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยนาฏศิลปในระดับนาฏศิลป์ชั้นสูง เข้าศึกษาต่ออีก 2 ปี ได้รับปริญญาศึกษาศาสตรบัณฑิต (ศษ.บ.) ต่อมาในปีการศึกษา 2541 กรมศิลปากรได้จัดตั้ง “สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์” ขึ้น โดยจัดการศึกษาในระดับปริญญาตรีด้านช่างศิลป์ นาฏศิลป์ ดุริยางคศิลป์ ทั้งไทยและสากล รับนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาในระดับนาฏศิลป์ชั้นสูง เข้าศึกษาต่ออีก 2 ปี ในคณะศิลปนาฏดุริยางค์ และคณะศิลปศึกษา



หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 18 พฤษภาคม 2012, 05:26:32
     วันนี้วันที่ 18 พฤษภาคม 2555
.............
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2453 โลกเคลื่อนผ่านแนวหางของดาวหางฮัลเลย์ ดาวหางฮัลเลย์มีคาบโคจรรอบละประมาณ 75-76ปี ดาวหางฮัลเลย์โคจรเข้ามายังระบบสุริยะชั้นในครั้งล่าสุดเมื่อปี ค.ศ.1986 และจะกลับมาอีกครั้งในราวกลางปี ค.ศ.2061***
ดาวหางฮัลเลย์ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา 
ดาวหางฮัลเลย์ดาวหางฮัลเลย์ (อังกฤษ: Halley's Comet) มีชื่อตามระบบดาวหางอย่างเป็นทางการว่า 1P/Halley ตั้งชื่อตาม เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ ผู้ซึ่งคำนวณคาบโคจรและทำนายการปรากฏตัวของดาวหางได้อย่างถูกต้องเป็นครั้งแรก ดาวหางฮัลเลย์มีคาบโคจรรอบละประมาณ 75-76 ปี นับเป็นดาวหางแบบมีคาบโคจรที่มีชื่อเสียงที่สุด แม้ในทุกศตวรรษจะมีดาวหางคาบยาวอื่นๆ อีกหลายดวงที่สว่างกว่าและสวยงามมากกว่า แต่ดาวหางฮัลเลย์นับเป็นดาวหางคาบสั้นเพียงดวงเดียวที่มีความสว่างมากจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเป็นดาวหางที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเพียงดวงเดียวที่หวนกลับมาให้เห็นได้อีกในช่วงชีวิตของคนๆ หนึ่ง[1] ดาวหางฮัลเลย์โคจรเข้ามายังระบบสุริยะชั้นในครั้งล่าสุดเมื่อปี ค.ศ. 1986 และจะกลับมาอีกครั้งในราวกลางปี ค.ศ. 2061

[แก้] เหตุการณ์สำคัญในช่วงที่ดาวหางฮัลเลย์โคจรผ่านโลก1.พ.ศ. 1770 เจงกีสข่าน สิ้นพระชนม์
2.พ.ศ. 1843 พ่อขุนรามคำแหงมหาราช สวรรคต
3.พ.ศ. 2072 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 สวรรคต
4.พ.ศ. 2148 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สวรรคต
5.พ.ศ. 2231 สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สวรรคต
6.พ.ศ. 2302 กรุงศรีอยุธยาเกิดการผลัดแผ่นดินถึง 2 ครั้ง และเกิดสงคราม
7.พ.ศ. 2352 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สวรรคต
8.พ.ศ. 2415 สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต )พรหมรังสี มรณภาพ
9.พ.ศ. 2453 สมเด็จพระปิยะมหาราช สวรรคต
10.พ.ศ. 2486 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สิ้นพระชนม์
11.พ.ศ. 2529 กระสวยอวกาศชาเลนเจอร์ ระเบิดขณะถูกปล่อยสู่อวกาศ


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Ironmaiden ที่ วันที่ 18 พฤษภาคม 2012, 11:59:48
จะรอดูดาวหาง 2061 ...อิอิอิ


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 19 พฤษภาคม 2012, 10:05:24
     วันนี้วันที่ 19 พฤษภาคม 2555
................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2466 พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สิ้นพระชนม์ ด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ ที่ต.หาดทรายรี อ.เมืองชุมพร จังหวัดชุมพร ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2423 เป็นพระโอรสลำดับที่28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 กับเจ้าจอมโหมด มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ทรงสำเร็จการศึกษาด้านการทหารเรือ จากประเทศอังกฤษ เมื่อกลับมาเมืองไทยทรงวางรากฐานการบริหารงานของกองทัพเรือ ก่อตั้งโรงเรียนนายเรือ และฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี***
พระประวัติกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
              "องค์บิดาแห่งกองทัพเรือ"

     กำลังรบทางเรือของไทย   มีกำเนิดมาควบคู่กับ การสร้างอาณาจักรไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย  แต่ในอดีตไม่ได้มี การแบ่งแยกเป็น กองทัพบก หรือกองทัพเรือ ดังเช่นปัจจุบัน  เมื่อยาตราทัพไป ทางบก เพื่อทำสงครามก็เรียกว่า " ทัพบก "    หากเมื่อยาตราทัพ ไปทางเรือ ก็เรียกว่า   " ทัพเรือ " ในอดีต และปัจจุบันทหารเรือ ได้ยกย่อง พล.ร.อ. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เป็น " องค์บิดาแห่งกองทัพเรือ " ซึ่งนับเป็น การเทิดทูน พระเกียรติคุณ อย่างสูงสุด เนื่องจากพระองค์ ได้ทรงนำความ เจริญรุ่งเรือง มาสู่กองทัพเรือ และ ประเทศชาติ โดยทรงวางรากฐาน การบริหารงานของกองทัพเรือ  ระเบียบวิธีปฏิบัติต่าง ๆ ภายในกองทัพเรือ  จนทำให้ทัพเรือไทย มีความทันสมัย มีมาตรฐาน และ เจริญก้าวหน้า ทัดเทียมกับ อารยะประเทศ มาจวบจนทุกวันนี้ พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ทรงมี พระนามเดิมว่า " พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ " เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 28 ใน พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2423 เป็นพระเจ้าลูกยาเธอองค์ที่ 1 ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (  วร  บุนนาค  ) ผู้บัญชาการทหารเรือวังหลวง

     พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์ เป็นเจ้านายพระองค์แรก ที่สำเร็จการศึกษา วิชาการทหารเรือ  จากประเทศอังกฤษ พระองค์ทรงมีจุดประสงค์ อันแรงกล้าที่จะฝึก ให้ทหารเรือไทย เดินเรือทะเลได้อย่างชาวต่างประเทศ และ สามารถทำการรบ ทางเรือได้เนื่องจากในอดีต ประเทศไทย ได้ว่าจ้างชาวต่างชาติ มาเป็นผู้บังคับการเรือ มาโดยตลอด แม้แต่ในคราวที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จประพาสฯ ยุโรปครั้งแรก ก็ยังได้ว่าจ้าง " กัปตันคัมมิ่ง" และคณะนายทหาร เรืออังกฤษ เป็นผู้เดินเรือ ภายหลังจากที่พล.ร.อ. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สำเร็จการศึกษา และเข้ารับราชการ ทหารเรือแล้ว พระองค์ได้แก้ไข ปรับปรุงระเบียบการ  ในโรงเรียนนายเรือ ทรงเป็นครูสอนนักเรียนนายเรือ และริเริ่มการใช้ ระบบการปกครองบังคับบัญชา ตามระเบียบ การปกครองในเรือรบ คือการแบ่งให้นักเรียนชั้นสูง บังคับบัญชารองลงมา นอกจากนี้ยังทรงจัดเพิ่ม วิชาสำคัญสำหรับชาวเรือขึ้นเพื่อให้สำเร็จการศึกษา สามารถเดินเรือ ทางไกลในทะเลน้ำลึกได้คือ วิชา ดาราศาสตร์ ตรีโกณมิติ อุทกศาสตร์ การเดินเรือเรขาคณิต พีชคณิต ฯลฯ

     ในปี 2462 พระองค์ทรงเป็นผู้บังคับการเรือ โดยนำเรือหลวงพระร่วงจากประเทศอังกฤษ เข้ามายังกรุงเทพมหานคร นับเป็นครั้งแรกที่นายทหารเรือไทย เดินเรือได้ไกลข้ามทวีป ที่สำคัญพระองค์ทรงเป็นหัวเรี่ยวหัวเเรงที่สำคัญ
ที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงเห็นความสำคัญ และโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระราชวังเดิม ให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ เมื่อ วันที่  20  พ.ย. 2449 ทำให้กิจการทหารเรือมี รากฐานมั่นคงนับตั้งแต่บัดนั้น
และกองทัพเรือจึงยึดถือ วันดังกล่าวของทุกปีเป็น "วันกองทัพเรือ" จากการที่พระองค์ ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์ ที่เล็งเห็นการไกล พระองค์ได้ทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานที่ดินบริเวณอำเภอสัตหีบ เพื่อสร้างเป็นฐานทัพเรือ
เนื่องจากทรงพิจารณาแล้วเห็นว่า อ่าวสัตหีบเป็นอ่าว ที่มีขนาดใหญ่ น้ำลึกเหมาะแก่การฝึกซ้อม ยิงตอร์ปิโดได้และเกาะน้อยใหญ่ ที่รายล้อมรอบสามารถบังคับคลื่นลมได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเรือภายนอกเมื่อแล่นผ่าน
พื้นที่ดังกล่าว จะไม่สามารถมองเห็นฐานทัพได้เลย นอกจากพระองค์ ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์แล้ว ด้านการแพทย์พระองค์
ทรงศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง และเสด็จไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ให้กับประชาชนด้วยพระองค์เอง ไม่ว่าเป็นคนไทยหรือคนจีน จนกระทั่งชาวจีนย่านสำเพ็ง มีความทราบซึ้ง ในพระกรุณาธิคุณ  และได้เรียกพระองค์ท่านว่า "เตี่ย" ซึ่งหมายถึงพ่อ
ทำให้ในเวลาต่อมาทหารเรือได้เรียกพระองค์ว่า "เสด็จเตี่ย" สำหรับในหมู่คนไข้ชาวไทย ที่พระองค์รักษานั้น มักจะเรียกขานนามพระองค์ว่า "หมอพร"

     พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงประชวร และสิ้นพระชนม์ ในขณะที่ประทับอยู่ที่หาดทรายรี ปากน้ำเมืองชุมพร เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2466 เวลา 11.40 น. ยังความโศกเศร้ามาสู่บรรดาทหารเรือยิ่งนัก


บันทึกของเสด็จใน
กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์

เจอบันทึกนี้ให้เอาคำต่อไปนี้ของกูไปประกาศให้คนรู้ว่า
"กูกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักด์"
ผู้เป็นโอรสของพระปิยมหาราช ขอประกาศให้พวกมึงรับรู้ไว้ว่า
แผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษ ได้เอาเลือดเอาเนื้อเอาชีวิตแลกไว้
ไอ้อีมันผู้ใด คิดชั่วร้ายทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ฤา กระทำการทุจริต ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อส่วนรวม
จงหยุดการกระทำนั้นเสียโดยเร็ว
ก่อนที่ที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโคตรให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยาม
อันเป็นที่รักของกู
ตราบใดที่คำว่า "อาภากร"
ยังยืนหยัดอยู่ในโลก กูจะรักษาผืนแผ่นดินสยามของกู
ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมา
มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น
แผ่นดินใดที่ให้ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข
มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น

จากหนังสืออนุสรณ์พระนคร '39

แม้นว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์มาเป็นเวลานานแล้วก็ตาม
แต่พระราชกรณียกิจและคุณงามความดีของพระองค์
ที่ทรงมีต่อประเทศชาตินั้น  ยังคงจารึกไว้ในความทรงจำ
ของปวงชนชาวไทยอยู่อย่างมิลืมเลือน
ความเลื่อมใสศรัทธาของชาวไทยที่มีต่อพระองค์นั้น
จะเห็นได้จากอนุสาวรีย์และศาลของพระองค์ที่มีมากมาย
ทั่วประเทศกว่า  120  แห่ง




หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Yim sri ที่ วันที่ 19 พฤษภาคม 2012, 10:08:59
ความรู้ทั้งนั้นเลยนะคะ
มิน่าลูกศิษย์ของท่านอาจารย์เก่งกันทุกคน
สมแล้วกับที่เรียน รร.เป่าปี่วิทยาคม

ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก
๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
เอิ๊กกกกกกกกกกกกกกกก ;D(http://upic.me/i/nj/36_11_61.gif) (http://upic.me/show/3014462)


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 19 พฤษภาคม 2012, 10:23:47
กระนั้น..ก็สู้ ดอยฮางวิทยาคม
ของป้าไม่ได้เลยแม้แต่น้อย..
ท่าน ผอ. ;D


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Yim sri ที่ วันที่ 19 พฤษภาคม 2012, 10:43:25
รร.ดอยฮางวิทยาคม มีจริงหรือเปล่าคะ

แล้วดอยฮางแปลว่าหยังนิ  ดอยร้างเหรอ


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 19 พฤษภาคม 2012, 10:46:53
กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก...
กรั๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก...
แว๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก...
อุย! ;D


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Ironmaiden ที่ วันที่ 19 พฤษภาคม 2012, 10:47:08
โหว...ท่านสมาชิก สว แซวกัน...ตามมิทันเลย


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Yim sri ที่ วันที่ 19 พฤษภาคม 2012, 11:05:05
รร.ดอยฮางวิทยาคม มีจริงหรือเปล่าคะ

แล้วดอยฮางแปลว่าหยังนิ  ดอยร้างเหรอ
กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก...
กรั๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก...
แว๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก...
อุย! ;D



จ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวเราะแบบนี้   แสดงว่า มีลับลมคมในอีกแล้ว
แง  ใครรู้ช่วยบอกที


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 20 พฤษภาคม 2012, 08:08:22
     วันนี้วันที่ 20 พฤษภาคม 2555
.............
***วันนี้ในอดีต ประมาณปีพ.ศ.2040-2042 สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการค้นพบเส้นทาง การเดินเรือ จากยุโรป สู่อินเดีย โดยแล่นเรือตรงจากกรุงลิสบอน ไปถึงชายฝั่งมะละบาร์ ตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย***

     วาสโก ดา กามา ค้นพบเส้นทางการเดินเรือจากยุโรปสู่อินเดีย
วาสโก ดา กามา (Vasco da Gama) นักเดินเรือสำรวจชาวโปรตุเกส ค้นพบเส้นทางการเดินเรือจากยุโรปสู่อินเดีย ตามที่ได้รับมอบหมายจากกษัตริย์มานูเอล ที่ 1 (Manuel I of Portugal) เพื่อเปิดเส้นทางการค้าเครื่องเทศกับโลกตะวันออก และชาวตะวันตกในสมัยนั้นเชื่อว่าอินเดียเป็นเมืองคริสเตียน เพราะมีเรื่องเล่าว่ามีพระคริสเตียนรูปหนึ่ง คือ เปรสเตอร์ จอห์น เป็นพระคริสเตียนแห่งอินเดียครอบครองนคร 100 แห่งในตะวันออก




หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 21 พฤษภาคม 2012, 04:50:09
     วันนี้วันที่ 21 พฤษภาคม 2555
............
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2531 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง อย่างเป็นทางการ ตั้งอยู่ที่ตำบลตาเป๊ก อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์***

อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง  (อ.ส.ท.)

          ปราสาทพนมรุ้งตั้งอยู่ในเขตตำบลตาเป๊ก อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นโบราณสถานที่มีความสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่บนยอดภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว  เมื่อประมาณ ๙๐๐,๐๐๐ ปีก่อน คำว่า "พนมรุ้ง" หรือ "วนํรุง" ในภาษาเขมรแปลว่า "ภูเขาใหญ่" ปราสาทพนมรุ้งเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย (ไส-วะ) มีการบูรณะก่อสร้างต่อเนื่องกันมาหลายสมัย ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๗ และในพุทธศตวรรษที่ ๑๘  พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แห่งอาณาจักรขอมได้หันมานับถือพุทธศาสนาลัทธิมหายานเทวสถานแห่งนี้จึงได้รับการดัดแปลงเป็นศาสนสถานในพระพุทธศาสนาช่วงนั้น

          ปราสาทพนมรุ้งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ประกอบด้วยอาคารและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่ตั้งเรียงรายขึ้นไปจากลาดเขาจนถึงปรางค์ประธานบนยอด เปรียบเสมือนวิมานที่ประทับของพระศิวะ บันไดทางขึ้นช่วงแรกทำเป็นตระพัง (สระน้ำ) ๓ ชั้น ผ่านขึ้นมาสู่พลับพลาชั้นแรก จากนั้นเป็นทางเดินซึ่งมี เสานางเรียงปักอยู่ที่ขอบทางทั้งสองข้างเป็นระยะ ๆ ทางเดินนี้ทอดไปสู่ สะพานนาคราช ซึ่งเปรียบเสมือนจุดเชื่อมต่อระหว่างดินแดนแห่งมนุษย์และสรวงสวรรค์ ด้านข้างของทางเดินทางทิศเหนือมีพลับพลาสร้างด้วยศิลาแลง ๑ หลัง เรียกกันว่า โรงช้างเผือก สุดสะพานนาคราชเป็นบันไดขึ้นสู่ปราสาท ซึ่งทำเป็นชานพักเป็นระยะ ๆ รวม ๕ ชั้น สุดบันไดเป็นชานชาลาโล่งกว้าง ซึ่งมีทางนำไปสู่สะพานนาคราชหน้าประตูกลางของระเบียงคด อันเป็นเส้นทางหลักที่จะผ่านเข้าสู่ลานชั้นในของปราสาท และจากประตูนี้ยังมีสะพานนาคราชรับอยู่อีกช่วงหนึ่งก่อนถึงปรางค์ประธาน

          ปรางค์ประธาน ตั้งอยู่ตรงศูนย์กลางของลานปราสาทชั้นใน มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมมณฑป คือห้องโถงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเชื่อมอยู่ทางด้านหน้าที่ส่วนประกอบของปรางค์ประธาน ตั้งแต่ฐานผนังด้านบนและด้านล่าง เสากรอบประตู เสาติดผนัง ทับหลัง หน้าบัน ซุ้มชั้นต่าง ๆ ตลอดจนกลีบขนุนปรางค์ ล้วนสลักลายประดับ ทั้งลวดลายดอกไม้ ใบไม้ ภาพฤาษี เทพประจำทิศ ศิวนาฏราช ที่ทับหลังและหน้าบันด้านหน้าปรางค์ประธาน ลักษณะของลวดลาย และรายละเอียดอื่น ๆ ช่วยให้กำหนดได้ว่า ปรางค์ประธานพร้อมด้วยบันไดทางขึ้น และสะพานนาคราชสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ที่ลานชั้นในด้านตะวันตกเฉียงใต้มีปรางค์ขนาดเล็ก ๑ องค์ ไม่มีหลังคา    จากหลักฐานทางศิลปกรรมที่ปรากฏ เช่น ภาพสลักที่หน้าบัน ทับหลัง บอกให้ทราบได้ว่า ปรางค์องค์นี้สร้างขึ้นก่อนปรางค์ประธาน มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖

        นอกจากนี้ ยังมีฐานปรางค์ก่อด้วยอิฐซึ่งมีอายุเก่าลงไปอีก คือราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ อยู่ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือขององค์ประธาน และที่มุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือ  และทิศตะวันออกเฉียงใต้มีอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าก่อด้วยศิลาแลง อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ร่วมสมัยกันกับพลับพลาที่สร้างด้วยศิลาแลงข้างทางที่เรียกว่า  โรงช้างเผือก

          เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย ปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ได้มีพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้งอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นองค์ประธาน

          อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้งเปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา ๐๖.๐๐-๑๘.๐๐ นาฬิกา ค่าเข้าชม ชาวไทย ๑๐ บาท ชาวต่างชาติ ๔๐ บาท สอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง โทรศัพท์ ๐ ๔๔๖๓ ๑๗๔๖

           การเดินทาง  จากตัวจังหวัดบุรีรัมย์สามารถเดินทางไปปราสาทพนมรุ้งได้ ๒ เส้นทาง คือ 

          ๑. ใช้เส้นทางสายบุรีรัมย์-นางรอง (ทางหลวงหมายเลข ๒๐๘) ระยะทาง ๕๐ กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข ๒๔ ไป ๑๔ กิโลเมตร ถึงบ้านตะโก เลี้ยวขวาผ่านบ้านตาเป็ก  อำเภอเฉลิมพระเกียรติ ไปปราสาทพนมรุ้ง ระยะทางอีก ๑๒ กิโลเมตร

          ๒. ใช้เส้นทางสายบุรีรัมย์-ประโคนชัยทางหลวงหมายเลข ๒๓ ระยะทาง ๔๔ กิโลเมตร จากตัวอำเภอประโคนชัยมีทางแยกไปปราสาทพนมรุ้ง อีก ๒๑ กิโลเมตร (เส้นทางนี้ผ่านทางแยกเข้าปราสาทเมืองต่ำด้วย)

 


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 22 พฤษภาคม 2012, 08:37:41
(http://upic.me/i/1p/imagesca8ymssqwince.jpg) (http://upic.me/show/35916910)
..............
     วันนี้วันที่ 22 พฤษภาคม 2555
...............
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2451 พี่น้องตระกูลไรต์ จดสิทธิบัตรอากาศยานที่พวกเขาสร้างขึ้น***

พี่น้องตระกูลไรท์ จดสิทธิบัตรอากาศยานที่คิดค้นขึ้น
พี่น้องตระกูลไรท์ ออวิลล์ ไรต์ และวิลเบอร์ ไรต์ ได้จดสิทธิบัตรอากาศยานที่คิดค้นขึ้น ด้วยแรงบันดาลใจที่ต้องการจะบินบนท้องฟ้าเหมือนนก เครื่องบินรุ่นแรกๆ ของพวกเขามีความเร็ว 56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถบินผ่านช่องแคบอังกฤษได้ อาจกล่าวได้ว่าพี่น้องตระกูลไรท์เป็นผู้บุกเบิกการเดินทางทางอากาศด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีการบินให้ก้าวหน้า



หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Ironmaiden ที่ วันที่ 22 พฤษภาคม 2012, 09:47:31
(http://upic.me/i/1p/imagesca8ymssqwince.jpg) (http://upic.me/show/35916910)
..............
     วันนี้วันที่ 22 พฤษภาคม 2555
...............
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2451 พี่น้องตระกูลไรต์ จดสิทธิบัตรอากาศยานที่พวกเขาสร้างขึ้น***

พี่น้องตระกูลไรท์ จดสิทธิบัตรอากาศยานที่คิดค้นขึ้น
พี่น้องตระกูลไรท์ ออวิลล์ ไรต์ และวิลเบอร์ ไรต์ ได้จดสิทธิบัตรอากาศยานที่คิดค้นขึ้น ด้วยแรงบันดาลใจที่ต้องการจะบินบนท้องฟ้าเหมือนนก เครื่องบินรุ่นแรกๆ ของพวกเขามีความเร็ว 56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถบินผ่านช่องแคบอังกฤษได้ อาจกล่าวได้ว่าพี่น้องตระกูลไรท์เป็นผู้บุกเบิกการเดินทางทางอากาศด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีการบินให้ก้าวหน้า


อัจฉริยะ ได้มาเพราะอุตสาหะ...ใช่ว่าโชคช่วย...


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 23 พฤษภาคม 2012, 07:53:35
     วันนี้วันที่ 23 พฤษภาคม 2555
..................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2510 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯทรงเปิดอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทร จังหวัดภูเก็ต***
(http://upic.me/i/s7/46_wince.jpg) (http://upic.me/show/35949460)

วันนี้เมื่อ พ.ศ. 2510  พิธีเปิดอนุสาวรีย์ท้าวเทพกษัตรีและท้าวศรีสุนทร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ทรงเปิดอนุสาวรีย์ท้าวเทพกษัตรีและท้าวศรีสุนทรที่อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร เป็นวีรสตรีไทยที่ป้องกันเมืองถลางให้พ้นจากข้าศึกชาวพม่าได้ในสงครามเก้าทัพ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ด้วยกุศโลบายให้ทหารพม่าคาดการณ์กองกำลังของกองทัพเมืองถลางผิดพลาด
..................
 
(http://upic.me/i/5p/23_145wince.jpg) (http://upic.me/show/35949483)

วันนี้เมื่อ พ.ศ. 2482  อเมริกาเกิดอุบัติเหตุเรือดำน้ำจม
เรือดำน้ำ ยูเอสเอส สควอรัส (USS Squalus) สหรัฐอเมริกา เกิดอุบัติเหตุน้ำรั่วเข้าสู่ห้องเก็บตอร์ปิโดและห้องเครื่อง เป็นเหตุให้ตัวเรือจมลงในบริเวณชายฝั่งเมืองนิวแฮมไชร์ มลรัฐนิวอิงค์แลนด์ สหรัฐอเมริกา ระดับความลึกของน้ำ 73 เมตร มีผู้เสียชีวิต 26คน รอดชีวิต 32 คน

..............................



หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 24 พฤษภาคม 2012, 08:16:19
     วันนี้วันที่ 24 พฤษภาคม 2555
............
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2531 ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ครองตำแหน่งนางงามจักรวาล คนที่37***
     การประกวดนางงามจักรวาล ค.ศ. 1988การประกวดนางงามจักรวาล ค.ศ. 1988 จัดขึ้น ณ เมืองไทเป ประเทศไต้หวัน มีผู้เข้าประกวด 66 คน ตัวเก็งการประกวดในสายสื่อมวลชน คือ นางงามสหรัฐอเมริกา นางงามเม็กซิโก นางงามสาธารณรัฐโดมินิกัน นางงามนิวซีแลนด์ และนางงามไทยแลนด์ และสาวงามจากไอซ์แลนด์ ในปีนั้นเธอได้รับตำแหน่งรองอันดับ 2 Miss World ในปี1987 มาแล้ว ซึ่งก็พ่ายให้กับสาวในแถบเอเซีย ในการประกวดรอบแรก ภรณ์ทิพทำคะแนนในชุดว่ายน้ำได้ลำดับที่ 11 แต่เมื่อรวมคะแนนจากชุดราตรีและการสัมภาษณ์แล้ว สามารถเข้ารอบสิบคนสุดท้ายมาในลำดับที่ 4 โดยมีคะแนนตามหลัง นางงามสหรัฐอเมริกา นางงามสาธารณรัฐโดมินิกัน และนางงามเกาหลีใต้ ในการประกวดรอบ 10 คน เธอสร้างความประทับใจให้กับกรรมการอย่างมากระหว่างช่วงการประกวดรอบสัมภาษณ์ซึ่งทำให้เธอกวาดชัยชนะทั้งสามรอบ และกลายเป็นผู้ชนะอย่างขาดลอยของการประกวดนางงามจักรวาลในปีนั้น

     นอกจากได้รับมงกุฏนางงามจักรวาลแล้วยังได้รับรางวัลชุดประจำชาติยอดเยี่ยมอีกตำแหน่งอีกด้วย

การประกวดปี ค.ศ. 1988 เป็นที่น่าสังเกตว่าจำนวนของผู้เข้ารอบสุดท้าย 4 คน จาก 5 สาวงามเป็นผู้เข้าประกวดจากเอเชีย ประกอบด้วย

ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก นางงามจักรวาล
ยุง จุง ชาน จากเกาหลี รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง
อมานดา โอลิวาเรส จากเม็กซิโก รองชนะเลิศอันดับสอง
มิซุโฮะ ซะกะงุจิ จากญี่ปุ่น รองชนะเลิศอันดับสาม
พอลลีน หยัง เป่า หลิง จากฮ่องกง รองชนะเลิศอันดับสี่
สำหรับผู้เข้ารอบสิบคนสุดท้ายที่เหลือ คือ

แพทริเซีย จิมิเนซ จากสาธารณรัฐโดมินิกัน
ยาไจร่า เวร่า โรลแลน จากเวเนซูเอล่า
คอร์ทนี่ กิบบส์ จากสหรัฐอเมริกา
ไดอาน่า แพทริเซีย อเรวาโล จากโคลัมเบีย
เบนเต้ บรุนแลนด์ จากนอร์เวย์
[แก้] ผลงานสำคัญนางสาวไทยประจำพุทธศักราช 2531
ครองตำแหน่งนางงามจักรวาลคนที่ 37 เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2531
นางแบบขึ้นปกให้กับนิตยสารต่าง ๆ มากกว่า 90 ฉบับ ทั้งในและต่างประเทศ
ตัวแทนโฆษณาสินค้า ต่าง ๆ ระดับโลกเช่น เรฟลอน เป๊ปซี่ (ประเทศไทย) ชุดว่ายน้ำแคทาลิน่า วิดัล แซซูน คริสเตียน ดิออร์ และลาแมร์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับความงามในประเทศไทยและนานาชาติ
ผู้แทนประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวประเทศไทย ในสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก โคลัมเบีย ไต้หวัน เกาหลีใต้ และไทย
เจ้าของมูลนิธิสำหรับเด็ก "ปีกนางฟ้า หรือ แองเจิล วิงส์"
เคยเป็นโฆษกหลักรายการระดับโลกอย่าง "หกสิบนาที ภาคประเทศไทย (60 Minutes II in Thailand)"
เป็นทูตสันทวไมตรีกองทุนประชาคมของสหประชาชาติ
เป็นโฆษกรณรงค์โครงการเฟสทูเฟสสากล ของสหประชาชาติ
[แก้] ปัจจุบันภรณ์ทิพย์ สมรสกับนักธุรกิจชาวอเมริกัน เฮิร์บ ไซมอน เจ้าของบริษัทพัฒนาไซมอน หนึ่งในหุ้นใหญ่ของธุรกิจขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกา เช่น ห้างนอร์ดสตอร์ม มีบุตรชาย 1 คนชื่อ ฌอน ไซมอน และบุตรสาว 1 คน ชื่อ โซฟี ไซมอน ขณะนี้อาศัยอยู่ที่รัฐลอสแองเจิลลิส สหรัฐอเมริกา แต่ยังคงเดินทางไปกลับประเทศไทย เพื่อช่วยเหลือการกุศลอยู่เป็นประจำ อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งทูตสันถวไมตรีให้กับ โครงการเกี่ยวกับผู้หญิงและเด็กภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยความร่วมมือกับองค์การสหประชาติ
...................
ulVJycjweWA



หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 25 พฤษภาคม 2012, 05:22:41
     วันนี้วันที่ 25 พฤษภาคม 2555
...............
(http://upic.me/i/vo/25_147wince.jpg) (http://upic.me/show/36002751)

***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2411 เปิดใช้คลองดำเนินสะดวกอย่างเป็นทางการ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีการขุดคลองเพื่อทำให้การสัญจรระหว่างกรุงเทพฯ สมุทรสาคร และราชบุรี สะดวกมายิ่งขึ้น โดยอาศัยแม่น้ำแม่กลองและแม่น้ำท่าจีนเป็นสื่อกลางในการขุดคลองเชื่อม***
     ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้มีการเปิดใช้คลองดำเนินสะดวก เพื่อเป็นเส้นทางสัญจรระหว่างกรุงเทพฯกับสมุทรสงคราม ราชบุรี โดยสมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้อำนวยการขุดคลอง โดยใช้แม่น้ำแม่กลองเป็นสื่อกลางในการสัญจร เริ่มจากแม่น้ำท่าจีน ที่ปากคลองบางยาง อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร –แม่น้ำแม่กลอง ที่อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม เมื่อแรกขุดคลองมีความยาว 35 กิโลเมตร ขุดด้วยแรงงานคนทั้งหมด ปัจจุบันเป็น “ตลาดน้ำดำเนินสะดวก” แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดราชบุรี
................

(http://upic.me/i/03/54_wince.png) (http://upic.me/show/36002764)

วันนี้เมื่อ พ.ศ. 2524  ภาพยนตร์เรื่อง สตาร์ วอร์สออกฉายเป็นวันแรก
ภาพยนตร์เรื่อง สตาร์ วอร์ส (Star Wars) หรือยุทธการจักรวาล ภาพยนตร์ชุดแนวแฟนตาซีวิทยาศาสตร์ กำกับและเขียนบทภาพยนตร์โดยจอร์จ ลูคัส ออกฉายเป็นวันแรก
 


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 26 พฤษภาคม 2012, 05:55:43
     วันนี้วันที่ 26 พฤษภาคม 2555
.........
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2540 ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ถึงแก่อสัญกรรม สิริอายุได้ 92 ปี อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย***
26 พฤษภาคม พ.ศ. 2448  : วันเกิด ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย

     26 พฤษภาคม พ.ศ. 2448 วันเกิด ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เกิดที่ จ. นครสวรรค์ เป็นโอรสในพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ กับหม่อมแดง (บุนนาค) เป็นพี่ชายชอง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช จบการศึกษานิติศาสตร์จาก The Inns of Court School of Law (Grey’s Inn Place) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดย นับเป็นคนไทยคนแรกและเป็นชาวเอเชียคนแรกที่สอบได้คะแนนเป็นที่หนึ่ง เมื่อเดินทางกลับมายังประเทศไทยก็ได้ศึกษาวิชากฎหมายไทยเพิ่มเติมจนได้รับเนติบัณฑิตไทย แล้วได้เป็นผู้พิพากษา การงานก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ จนได้รับการแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านได้ประกาศนโยบายเป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับรัฐบาลในประเทศไทย คือ รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเข้าร่วมกับญี่ปุ่นและประกาศสงครามฝ่ายพันธมิตร ท่านได้รวบรวมคนไทยในอเมริกาจัดตั้ง ขบวนการเสรีไทย ขึ้นเพื่อต่อต้านญี่ปุ่นอย่างลับ ๆ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ท่านเดินทางมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 6 ของไทยเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2488 ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งท่านได้เจรจาให้การประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตรเป็นโมฆะ และดำเนินการเจรจาให้ไทยหลุดพ้นจากการเป็นอาณัติของอังกฤษ ส่งผลให้ไทยไม่ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 และไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ท่านหมุนเวียนเป็นนายกฯ อยู่ 4 ครั้ง ครั้งสุดท้าย ได้เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินเข้ายึดอำนาจ หลังจากพ้นตำแหน่ง ท่านได้ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และวางมือจากการเมือง ใช้ชีวิตสงบเงียบตลอดมา ท่านเป็นผู้ก่อตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ (Democrat Party) ขึ้นเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2489 โดยร่วมกับ นายควง อภัยวงศ์ และได้เป็นหัวหน้าพรรคคนที่ 2 ต่อจากนายควง เมื่อปี 2511 ลาออกในปี 2522 ท่านได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองที่เป็นสุภาพบุรุษ เล่นการเมืองด้วยความบริสุทธิ์ โปร่งใสคนหนึ่ง แต่เนื่องจากท่านและนายควงในฐานะผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับการใส่ร้าย นายปรีดี พนมยงค์ ต่อกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 อีกทั้งในพรรคก็มักจะเกิดความวุ่นวาย ท่านไม่สามารถควบคุมบริหารพรรคและรัฐบาลได้ สื่อมวลชนจึงตั้งฉายาว่า "ฤๅษีเลี้ยงลิง" หรือ "พระเจ้าตา" ท่านถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2540 รวมอายุได้ 92 ปีเศษ


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 27 พฤษภาคม 2012, 06:03:10
(http://upic.me/i/pk/sangha26wince.gif) (http://upic.me/show/36065084)
................

     วันนี้วันที่ 27 พฤษภาคม 2555
...................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2499 เป็นวันเกิดของท่านพุทธทาสภิกขุ ที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฏร์ธานี (ซึ่งก่อนนั้นยังเป็นจังหวัดไชยาอยู่)***
พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาส อินทปัญโญ)
วัดธารน้ำไหล (สวนโมกขพลาราม) อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี

"มนุษย์เราจะเป็นมนุษย์อยู่ได้ ก็เพราะกำลังประกอบอยู่ด้วย ธรรม มิฉะนั้นจะต้องสูญเสียความเป็นมนุษย์ หรือต้องตาย ในที่สุด โดยไม่ต้องสงสัย มนุษย์ที่ไม่ประกอบอยู่ด้วยธรรม ก็ต้องประกอบอยู่ด้วยอธรรม เป็นธรรมดา และจะต้องเป็น อมนุษย์ในร่างของมนุษย์ โลกนี้จะเป็นอย่างไร หากเป็นโลก ที่ประกอบอยู่ด้วยอมนุษย์ในร่างของมนุษย์ เต็มไปทั้งโลก "

นามเดิม เงื่อม พานิช กำเนิด 27 พ.ค. 2449 สถานที่เกิด ต.พุมเรียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี อุปสมบท อุปสมบท ณ วัดอุบล อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อพ.ศ. 2469 โดยมีพระครูโสภณเจตสิการาม เป็นพระอุปัชฌาย์ สมณศักดิ์ พระธรรมโกศาจารย์ มรณภาพ 8 ก.ค. 2536 อายุ 87 ปี 67 พรรษา

ท่านพุทธทาส อุปสมบทเมื่ออายุ 20 ปี ได้รับฉายาว่า "อินทปัญโญ" เมื่ออุปสมบทแล้วได้เดินทางมาศึกษาต่อ ที่วัดปทุมคงคา กรุงเทพมหานคร สอบได้นักธรรมเอก และเรียนภาษาบาลีได้เปรียญ 3 ประโยค สร้างสำนักปฏิบัติธรรม ที่วัดตระพังจิก ต.พุมเรียง อ.ไชยา สุราษฎร์ธานี เมื่อ 12 พ.ค. 2475 ให้ชื่อว่า "สวนโมกขพลาราม" ซึ่งแปลว่า สวนป่าเป็น กำลังหลุดพ้นจากทุกข์ ต่อมาเมื่อปีพ.ศ.2487 ได้ย้ายสวนโมกขพลาราม จากทมายังสถานที่แห่งใหม่ คือ วัดธารน้ำไหล ในปัจจุบัน ท่านสร้างผลงานทางธรรมไว้มากมายทั้งที่เป็นหนังสือ และเทปบันทึกเสียง รวมทั้งได้ไปแสดงปาฐกถาธรรม ทางสถานีวิทยุ สถานที่ และหน่วยงานหลายแห่ง ท่านได้อุทิศตนเพื่องานพระศาสนา และทำงานช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เพื่อให้ได้พบสันติสุข โลกมีสันติภาพ ตามปณิธานที่ตั้งได้ 3 ประการ ได้แก่

1. พยายามทำให้ทุกคนเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตน
2. พยายามทำความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา
3. พยายามนำโลกออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม

ผลจากการมุ่งมั่นศึกษา ฝึกฝนตนอย่างเข้มงวด และอุทิศชีวิตถวายแด่พระศาสนาของท่าน ทำให้ท่านได้รับการ นับถือยกย่อง จากพุทธศาสนิกชนทั้งในประเทศ และจากต่างประเทศ ผลงานของท่านได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ทั้งที่เป็นภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ กระทั่งได้รับการยอมรับจากชาวโลกว่าเป็น สมณปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีบทบาทอย่างสูง ต่อพุทธศาสนา


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 28 พฤษภาคม 2012, 08:54:32
     วันนี้วันที่ 28 พฤษภาคม 2555
.....................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2494 พระมิตซูโอะ คเวสโก เกิดที่ประเทศญี่ปุ่น อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ.2518 เป็นพระภิกษุชาวญี่ปุ่น บวชในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท คณะมหานิกาย ท่านเป็นศิษย์รุ่นแรกของพระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา) ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสุนันทวนาราม อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นวัดป่านานาชาติ สาขาที่117 ของวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี***
ประวัติและปฏิปทา
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
(Venerable Ajahn Mitsuo Gavesako)

วัดสุนันทวนาราม
ต.ไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี


๏ อัตโนประวัติ

เป็นที่ทราบกันดีว่า เจ้าประคุณพระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ท่านคือเอกอุพระกรรมฐานสายมหานิกาย ที่ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาไปในหลายประเทศทั้งยุโรปและอเมริกา ปัจจุบันหลวงพ่อชามีทายาทธรรมกว่า ๒๘๘ สาขาเป็นสักขีพยาน

จำเพาะวัดสาขาลำดับที่ ๑๑๗ ของวัดหนองป่าพง เพชรแท้แดนปลาดิบ “พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก” พระภิกษุชาวญี่ปุ่น เจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม บ้านท่าเตียน ต.ไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ยังทำหน้าที่เผยแผ่ธรรมเป็นกิจวัตร ศิษย์ท่านไซร้มีทั้งคนไทยและคนต่างแดน

พระอาจารย์มิตซูโอะ มีนามเดิมว่า มิตซูโอะ ชิบาฮาชิ เกิดเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ ตรงกับวันจันทร์ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ ปีเถาะ ณ จังหวัดอีวาเต้ ประเทศญี่ปุ่น จบการศึกษาระดับไฮสคูล (ปวช. หรือ มศ. ๕) สาขาเคมี ณ จังหวัดโมริโอก้า ประเทศญี่ปุ่น เมื่อสำเร็จการศึกษา ท่านทำงานเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งแล้ว จึงออกเดินทางสัญจรรอนแรมจากบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อแสวงหาสัจธรรมของชีวิต ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๔ โดยได้ท่องเที่ยวเพื่อศึกษาชีวิต สังคม ประเพณี และวัฒนธรรมของประเทศต่างๆ ในเอเชียใต้ ในตะวันออกกลาง เช่น อินเดีย, เนปาล, อิหร่าน และในยุโรป เป็นเวลา ๒ ปีเศษ แล้วเปลี่ยนความตั้งใจที่จะไปแอฟริกา วกกลับสู่อินเดีย

พ.ศ. ๒๕๑๗ เมื่อเดินทางถึงเมืองพุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ท่านจ้องมองเห็นพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ ก็ระลึกถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ และประจักษ์ขึ้นมาในใจว่า “นี่คือสิ่งที่แสวงหา สัจจะความจริงอยู่ภายในกายกับใจของเรานี้เอง ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ใจ ทุกคนทุกชีวิตสามารถพ้นทุกข์ได้” ท่านจึงหยุดการแสวงหาจากภายนอก เข้าสู่การแสวงหาภายใน

จากนั้นท่านก็ได้ไปฝึกโยคะอยู่ที่สำนักโยคีแห่งหนึ่งในประเทศอินเดียนั่นเอง และก็เริ่มมีประสบการณ์โยคะบ้าง ท่านเกิดความพอใจ คิดว่าจะเป็นโยคีอยู่ที่อินเดียตลอดชีวิต แต่บังเอิญวีซ่าหมดอายุ มีคนแนะนำให้เดินทางมายังประเทศไทย ต่อมาก็มีผู้แนะนำท่านให้ไปกราบหลวงพ่อชา สุภัทโท ที่วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ซึ่งท่านก็ได้เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อชาตั้งแต่บัดนั้น

 
๏ การบรรพชาและอุปสมบท

ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ขณะอายุ ๒๓ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ต่อมาเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ หลังจากบรรพชาเป็นสามเณรได้ ๓ เดือนก็พยายามแสวงหาสถานที่ปฏิบัติธรรม ทีแรกเพื่อนก็พาไปดูวัดที่ภาคใต้ ๓-๔ วัด เป็นวัดที่มีชาวต่างชาติไปปฏิบัติกัน แต่ท่านดูแล้วก็ยังไม่รู้สึกตกลงใจ หลังจากนั้นก็มีคนแนะนำให้ไปจังหวัดอุบลราชธานี ให้ไปหาหลวงพ่อชา ตอนนั้นก็มีพระชาวอินเดียที่พูดภาษาไทยได้พาไป นั่งรถทัวร์จากกกรุงเทพมหานครไปถึงจังหวัดอุบลราชธานี แล้วท่านก็ยืนงงๆ อยู่ว่าจะไปวัดหนองป่าพงได้อย่างไร

ณ วัดหนองป่าพง ท่านได้พบกับพระฝรั่งชื่อ ท่านเขมธัมโม ซึ่งก็เข้ามาช่วยแนะนำ เมื่อฉันจังหันเสร็จแล้วท่านสุเมโธและพระฝรั่งอีก ๔-๕ รูป ก็พาไปหาหลวงพ่อชาที่กุฏิ เมื่อบอกความประสงค์ที่จะมาขอปฏิบัติที่วัดหนองป่าพง หลวงพ่อชาซักถามว่ามาจากไหน มายังไง แล้วก็ถามชื่อ พระอาจารย์มิตซูโอะ ตอบว่า ชื่อ “ชิบาฮาชิ” (ชื่อมิตซูโอะ แต่ธรรมเนียมญี่ปุ่นจะใช้นามสกุลเป็นชื่อแนะนำตัวเอง) หลวงพ่อชาท่านก็จำเทียบเคียงเป็นภาษาไทยว่า สี่บาทห้าสิบ นับจากวันนั้นหลวงพ่อชาก็เรียกพระอาจารย์มิตซูโอะสั้นๆ ว่า “สี่บาทห้า” มาตลอด

“คำสอนข้อแรกที่หลวงพ่อชาสอน คือ เราต้องอดทน”

ครั้นเมื่อได้พบกับหลวงพ่อชาแล้ว ท่านเกิดความรู้สึกซาบซึ้งในหลักธรรมและข้อวัตรปฏิบัติ จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๘ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๘ ปีเถาะ เวลา ๑๒.๐๐ นาฬิกา ขณะอายุได้ ๒๔ ปี โดยมี เจ้าประคุณพระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระราชภาวนาวิกรม (หลวงพ่อเลี่ยม ฐิตธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง รูปปัจจุบัน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระวิฑูรย์ จิตฺตสัลโล เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “คเวสโก” (อ่านว่า คะ-เว-สะ-โก) ซึ่งแปลว่า “ผู้แสวงหาซึ่งฝั่ง” (seeker) ถือได้ว่าท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์รุ่นแรกที่หลวงพ่อชาอุปสมบทให้ จึงเรียกว่าเป็นสัทธิวิหาริกรุ่นแรกของหลวงพ่อชา



หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 29 พฤษภาคม 2012, 07:50:11
(http://upic.me/i/fc/200px-edmund_hillary__sherpa_tenzingwince.jpg) (http://upic.me/show/36140467)

     วันนี้วันที่ 29 พฤษภาคม 2555
............
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2496 เซอร์เอดมันด์ ฮิลลารี และ เทียนซิง นอร์เก เป็นบุคคลแรกที่พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์***
เอดมันด์ ฮิลลารี (อังกฤษ: Edmund Hillary) หรือ เซอร์ เอดมันด์ เพอร์ซิฝอล ฮิลลารี (อังกฤษ: Sir Edmund Percival Hillary) (20 กรกฎาคม พ.ศ. 2462 - 11 มกราคม พ.ศ. 2551[1]) นักสำรวจและนักปีนเขาชาวนิวซีแลนด์ เป็น 1 ใน 2 คนแรกของโลกที่สามารถขึ้นถึงยอดของยอดเขาเอเวอเรสต์ได้ อีกคนหนึ่งคือ เทียนซิง นอร์เก ชาวเชอร์ปา ซึ่งเป็นคู่ปีนเขาของเซอร์ เอดมันด์ (การปีกเขาสูงมักทำกันเป็นคู่เพื่อจะได้ช่วยเหลือกันเวลาเกิดปัญหา) ถึงแม้ว่าเซอร์ เอดมันด์ ฮิลลารีเป็นชาวนิวซีแลนด์และเทียนซิง นอร์เกเป็นชาวเชอร์ปา แต่ทั้งคู่ปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ในคณะของอังกฤษ

เซอร์เอดมันด์ ฮิลลารี กับ เทียนซิง นอร์เกขึ้นถึงยอดเขาเอเวอเรสต์ที่ความสูง 8850 เมตร เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2496 ประมาณเวลา 11:30 น. ณ เวลาท้องถิ่น (UTC-04:00)

ชื่อของเซอร์เอดมันด์ ฮิลลารี ถูกนำมาตั้งชื่อหน้าผาสูง 40 ฟุต ที่ระดับความสูง 28,840 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล ทางสันเขาด้านตะวันออกเฉียงใต้ของยอดเขาเอเวอเรสต์ ว่า ฮิลลารีสเตป (Hillary step) ซึ่งเป็นจุดที่ยากที่สุดของการปีนเขาช่วงสุดท้ายก่อนขึ้นถึงยอดเขา



หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 30 พฤษภาคม 2012, 03:15:56
(http://upic.me/i/j1/imagesca5o6ad0small.jpg) (http://upic.me/show/36168573)

     วันนี้วันที่ 30 พฤษภาคม 2555
................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2457 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สร้างขึ้นโดยพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว***
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

      เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช เสด็จสู่สวรรคาลัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำริ
ที่จะทรงบำเพ็ญพระราชกุศล พร้อมด้วยพระราชภาดาและพระราชภคินี เพื่อสนองพระเดชพระคุณสมเด็จพระบรมชนกนาถ ด้วยการจัดสร้าง
โรงพยาบาลขึ้นในที่ดินส่วนพระองค์ เพื่อให้เป็นถาวรประโยชน์ ใช้ใน การให้ความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ผู้บาดเจ็บ ผู้ป่วยไข้ ผู้ยากไร้โดยทั่วไป
สืบสานตามพระราชปณิธานของพระพุทธเจ้าหลวงเมื่อครั้งยังทรง พระชนมชีพอยู่โดยมีพระราชดำริจัดตั้ง สภากาชาดไทย (ซึ่งเรียกกันในเวลา
นั้นว่า “สภาอุณาโลมแดง”) ขึ้น การจัดสร้างโรงพยาบาลของสภากาชาดไทยนี้ เป็นไปตามแบบอย่างนานาอารยประเทศที่เจริญแล้ว เพื่อเป็นถาวรประโยชน์เฉลิมพระเกียรติยศถวายเป็นพระราชกุศล และยังเป็นเกียรติคุณแก่ ราชอาณาจักรไทยด้วย ดังนั้น บรรดาพระราชโอรส พระราชธิดาในพระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราชจึงทรงร่วมกันบริจาคทรัพย์สมทบกับทุนของสภากาชาดไทย จัดสร้างโรงพยาบาลอย่างทันสมัยขึ้น และ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อโรงพยาบาลของสภากาชาดไทยแห่งนี้ ตามพระปรมาภิไธยในสมเด็จพระบรมชนกนาถ พระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า “โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์” และได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
 

 
                  เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2457 นับเป็นโรงพยาบาลที่ทันสมัย ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ สืบมาจนถึงปัจจุบัน โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จึงเกิดขึ้นมาเพื่อสืบสานพระราชปณิธาน ในการมุ่งสร้างสรรค์ให้เป็นโรงพยาบาลที่ดีจริง ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ และเผยแผ่พระเกียรติคุณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับทั้งยังเป็นการเผยแพร่เกียรติคุณ ของชาติไทย ในด้านการแพทย์และการพยาบาล ช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาล



หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2012, 07:33:56
     วันนี้วันที่ 31 พฤษภาคม 2555
..............
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2423 สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี หรือ พระนางเรือล่ม อัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ฯ พระราชธิดา เสด็จทิวงคตในอุบัติเหตุเรือพระที่นั่งล่ม ระหว่างทางเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระราชวังบางปะอิน***
............
สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี หรือที่ชาวบ้านเรียกพระนามว่า สมเด็จพระนางเรือล่ม (10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2403 — 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 ) มีพระนามเดิมว่า “พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์” เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2403 เป็นพระเจ้าลูกเธอรุ่นเล็ก ลำดับที่ 50 ในจำนวนทั้งหมด 82 พระองค์ โดยรับราชการฝ่ายในเป็นพระภรรยาเจ้าในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยพระขนิษฐาร่วมพระโสทรทั้ง 2 พระองค์ ได้แก่ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) และ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง)

พระนางเธอ พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์สิ้นพระชนม์ด้วยอุบัติเหตุเรือพระประเทียบล่ม ณ ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (ปัจจุบันนี้คือ วัดกู้)พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพชรรัตน์ โสภางคทัศนิยลักษณ์ อัครวรราชกุมารี พระราชธิดา และพระราชบุตรในพระครรภ์ซึ่งยังไม่ทราบว่าเป็นพระราชโอรสหรือพระราชธิดาอีกด้วย ระหว่างการตามเสด็จฯพระบรมราชสวามีแปรพระราชฐานไปประทับยังพระราชวังบางปะอิน ภายหลังการสิ้นพระชนม์ ทรงได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ดำรงพระฐานันดรศักดิ์พระอัครมเหสีพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[1]
............................


(http://upic.me/i/gw/220px-1small.jpg) (http://upic.me/show/36194972)
(http://upic.me/i/jb/200px-sunanda_kumariratana_monumentsmall.jpg) (http://upic.me/show/36194980)


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 03 มิถุนายน 2012, 06:19:27
     วันนี้วันที่ 3 มิถุนายน 2555
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2546 องค์การอวกาศยุโรป ส่งยานมาร์สเอกซ์เพรส ยานสำรวจดาวอังคารขึ้นสู่อวกาศ องค์การอวกาศยุโรป หรือ อีเอสเอ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1975 โดยเป็นองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในยุโรป มีเป้าหมายเพื่อการสำรวจอวกาศ ปัจจุบันมีสมาชิก 17 ประเทศ***

ยานมาร์สเอกซ์เพรส ได้กำหนดวันที่ขึ้นสู่อวกาศใหม่แล้วเป็นวันที่ 2 มิถุนายน ที่ไบโคนอร์ ประเทศคาซัคสถาน

ยานมาร์สเอกซ์เพรสเป็นยานสำรวจดาวอังคารลำแรกและถือเป็นยานนำร่องของโครงการสำรวจดาวอังคาร ขององค์การอวกาศยุโรป เพราะหลังจากนี้ระหว่างปี 2546 ถึง 2547 จะมียานอวกาศจากอีเอสโอไปสำรวจดาวอังคารอีกไม่น้อยกว่าสี่ลำ

ก่อนหน้านี้ยานมาร์สเอกซ์เพรสมีกำหนดปล่อยในวันที่ 23 พฤษภาคม แต่เลื่อนออกไปเนื่องจากพบปัญหาบางอย่างในส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของยานจึงต้องเลื่อนกำหนดมาในวันดังกล่าว

หลังจากขึ้นสู่อวกาศแล้ว ยานจะใช้เวลาอีกประมาณ 6 เดือนจึงจะถึงดาวอังคาร เมื่อถึงดาวอังคาร ยานมาร์สเอกซ์เพรสจะปล่อยยานบีเกิล 2 ลงจอดบนดาวอังคารเพื่อสำรวจภาคพื้นดินในด้านชีววิทยานอกพิภพและเคมีภูมิศาสตร์ เครื่องมือสำคัญของบีเกิล 2 ประกอบด้วย กล้องทิวทัศนียภาพ กล้องมุมกว้าง แขนกลสำหรับเก็บหินเพื่อค้นหาร่องรอยของสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร และยังมียาน "ตุ่น" ทำหน้าที่ขุดดินเพื่อเก็บตัวอย่างดินและก๊าซกลับมาวิเคราะห์อีกด้วย

ในขณะเดียวกัน ยานมาร์สเอกซ์เพรสจะยังคงโคจรรอบดาวอังคารและสำรวจหาน้ำใต้ผิวดินด้วยเรดาร์ และทำแผนที่ภูมิประเทศของดาวอังคารด้วยกล้องสามมิติ

มาร์สเอกซ์เพรสและบีเกิล 2 มีอายุภารกิจยาวนานประมาณ 2 ปี หลังจากนั้นก็จะทำให้หน้าที่สนับสนุนภารกิจสำรวจดาวอังคารภารกิจอื่นต่อไป



หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 06 มิถุนายน 2012, 05:07:15
     วันนี้วันที่ 6 มิถุนายน 2555
.........
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2487 วันดี-เดย์ วันเริ่มต้นของ ยุทธการนอร์มังดี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่2 กองกำลังทหารฝ่ายพันธมิตรจำนวน 155,000 นาย พร้อมด้วยเรือรบ และเครื่องบิน ยกพลขึ้นบกที่ชายฝั่งเมืองนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ในการยึดครองของกองทัพนาซีเยอรมัน ทำให้กองทัพเยอรมันต้องถอยร่น***
การรุกรานนอร์มังดี คือการรบระหว่างกองทัพฝ่ายอักษะนาซีเยอรมนีที่ประจำการอยู่ในยุโรปตะวันตก กับกองกำลังสัมพันธมิตรกว่า 3 ล้านนายที่ทำการบุกข้ามช่องแคบอังกฤษมาจากฐานที่ตั้งชั่วคราวในแนวรบที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศอังกฤษ (ส่วนใหญ่มาจากเมืองพอร์ทสมัธ) มายังหัวหาดนอร์มังดีในฝรั่งเศสที่กองทัพเยอรมันยึดมาได้ ภายใต้ชื่อแผนปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด (Operation Overlord) เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2487 โดยทหารสัมพันธมิตรเรียกวันนี้ว่า ดี-เดย์ (D-Day)

กองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรนั้นประกอบไปด้วยทหารจากหลายประเทศด้วยกันได้แก่สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และแคนาดา นอกจากนี้ทหารจากกองกำลังฝรั่งเศสเสรีและโปแลนด์ก็ได้รวมเข้ากับกองกำลังสัมพันธมิตรด้วย เมื่อทหารที่ทำการจู่โจมจากเกาะอังกฤษเข้าสู่ฝรั่งเศสได้แล้ว ยังมีกองทหารจากหลายประเทศเข้ามาร่วมกับพันธมิตรหลังจากนั้นด้วย ได้แก่ เบลเยียม เชโกสโลวาเกีย กรีซ เนเธอร์แลนด์ และนอร์เวย์

การบุกหัวหาดนอร์มังดีอย่างแท้จริงเริ่มต้นตั้งแต่คืนวันที่ 5 มิถุนายน โดยมีเครื่องบินทิ้งพลร่มและเครื่องร่อนลงมา และกองทัพอากาศฝ่ายพันธมิตรเริ่มเปิดการทิ้งระเบิดใส่กองทัพเยอรมันที่ประจำอยู่ตามเมืองริมชายฝั่งของฝรั่งเศส รวมถึงการยิงปืนใหญ่จากเรือรบพันธมิตร จนกระทั่งการบุกข้ามทะเลของกองกำลังหลักเริ่มต้นขึ้นในตอนเช้าของวันที่ 6 และดำเนินต่อไปอีก 2 เดือน จนถึงการปลดปล่อยปารีสในตอนปลายของเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2487 ที่ปิดฉากการรบนี้ลง

แผนการครั้งนี้ ถูกกำหนดวันไว้คือวันที่ 5 มิถุนายน โดยจะมีพลร่มลงไปหลังแนวก่อน คือวันที่ 4 มิถุนายน แต่สภาพอากาศเลวร้าย จึงเลื่อนมาอีก 1 วัน เมื่อถึงเที่ยงคืนวันที่ 5 มิถุนายน พลร่ม และเครื่องร่อนได้ลงหลังแนวรบ เพื่อตัดกำลัง และ คุมสะพาน ไม่ให้พวกเยอรมันที่อยู่หลังแนวรบ ส่งกำลังมาหน้าแนวได้ทัน ได้มีการทิ้งหุ่นพลร่มปลอมในบางจุดด้วย

เมื่อเช้าวันที่ 6 มิถุนายน กองทัพเรือขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ยาตราเข้ามาในอ่าวนอร์มังดี บนหาดมีเครื่องกีดขวางมากมาย ทำให้แม้แต่เรือเล็กก็ไม่สามารถเข้าหาตัวหาดได้มากนัก เมื่อขึ้นไปบนหาด ถูกต่อต้านโดยปืนใหญ่ ปืนกลหนัก เครื่องยิงลูกระเบิด และปืนต่อต้านรถถังเป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีรั้วลวดหนาม คูดักรถถัง และกับระเบิดบนหาด ทำให้เป็นการเสียชีวิตทหารมากมายก่อนจะยึดหัวหาดได้ โดยเฉพาะที่หาดโอมาฮ่า

แผนการของนายพลรอมเมล คือต้องการสร้างเครื่องกีดขวางและเครื่องป้องกันหาดต่างๆบนหาดให้ได้มากที่สุด เพราะเมื่อหาดถูกบุก หาดจะถูกป้องกันพวกพันธมิตร จะต้องตายคาหาด แต่ฮิตเลอร์ไม่เห็นด้วย ท่านเห็นว่าการตั้งรับควรจะอยู่หลังแนวหาดมากกว่า คือถ้าหาดถูกบุก ควรจะปล่อยให้พวกพันธมิตรเข้ามาในแผ่นดินยุโรบก่อน แล้วค่อยจัดการบนบกหลังแนวดีกว่า ด้วยความคิดของฮิตเลอร์นี้เอง นอร์มังดีจึงแตก

[แก้] ประวัติสงครามโลกครั้งที่สอง นั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่ออดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำของเยอรมนีได้ประกาศสงครามกับโปแลนด์และสั่งเคลื่อนพลจำนวนมหาศาลบุกโปแลนด์ โดยใช้กลยุทธการบุกแบบการโจมตีสายฟ้าแลบ (Blitzkrieg) ในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2482 (1939) และสามารถยึดโปแลนด์ได้อย่างรวดเร็ว ขอบเขตของสงครามได้ขยายออกไปเมื่อเยอรมนีประกาศสงครามและทำการบุกนอร์เวย์ เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม และลักเซมเบิร์ก จนกระทั่งกองทัพเยอรมันสามารถยึดฝรั่งเศสได้สำเร็จ ทำให้เยอรมนีเป็นผู้ครอบครองยุโรปตะวันตกได้ทั้งหมด ยกเว้นเกาะบริเตนใหญ่ของสหราชอาณาจักร ที่ในตอนนี้เป็นเพียงชาติเดียวที่เผชิญหน้ากับนาซีเยอรมัน และเสี่ยงต่อการถูกบุกโดยเยอรมนีมากที่สุด แต่ก่อนที่จะทำการบุกเกาะอังกฤษ กองทัพเยอรมันพยายามที่จะทำลายกองทัพอากาศของสหราชอาณาจักรเสียก่อน เพื่อช่วงชิงความเหนือกว่าทางอากาศซึ่งจะทำให้การบุกเกาะอังกฤษง่ายยิ่งขึ้น และเปิดศึกแห่งบริเตนกับสหราชอาณาจักร

ผลการรบที่ออกมากลับเป็นชัยชนะของสหราชอาณาจักรภายใต้การนำของวินสตัน เชอร์ชิลล์ ทำให้กองทัพอากาศนาซีอ่อนแอลงอย่างมากและเบนความสนใจจากการยึดเกาะบริเตนไปยังการบุกสหภาพโซเวียตแทน เปิดโอกาสให้สหราชอาณาจักรได้ตั้งหลัก และผูกมิตรกับสหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียตที่ในขณะนี้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เมื่อกองทัพเยอรมันสามารถบุกทะลวงดินแดนโซเวียตได้อย่างรวดเร็ว แต่ท้ายที่สุดแล้วสามารถยับยั้งกองทัพเยอรมันไว้ได้ที่มอสโก และเริ่มทำการโจมตีสวนกลับ จนสามารถยึดดินแดนโซเวียตที่เยอรมนียึดมาได้แทบทั้งหมด ในปี พ.ศ. 2486 เยอรมนีกลับตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในสงคราม และฝ่ายพันธมิตรที่มีกำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มคิดแผนการที่จะตอบโต้การรุกรานของเยอรมนีด้วยการโจมตีส่วนใดส่วนหนึ่งของยุโรปตะวันตก ท้ายที่สุดในการประชุมที่เตหะราน ที่สามผู้นำหลัก (ประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์จากสหรัฐอเมริกา นายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิลล์จากสหราชอาณาจักร และโจเซฟ สตาลินจากสหภาพโซเวียตของฝ่ายสัมพันธมิตรตกลงที่จะเปิดการโจมตีที่หัวหาดนอร์มองดีฝรั่งเศส ตามข้อเรียกร้องของโซเวียตขอให้เปิดแนวรบที่สอง เพื่อลดความกดดันแนวรบทางตะวันออก และเพื่อบีบให้ฝ่ายอักษะต้องกระจายกำลังออกไปทั้งแนวรบตะวันออกและตะวันตก



หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 07 มิถุนายน 2012, 04:31:01
     วันนี้วันที่ 7 มิถุนายน 2555
..........
***วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) - ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย : กลุ่มคนร้ายพร้อมอาวุธสงคราม บุกเข้าปล้นอาวุธปืนของทางราชการในบ้านพักของอาสาสมัครป้องกันตนเอง อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ซึ่งมีทั้งปืนเอ็ม 16 พร้อมแม็กกาซีนและกระสุนปืน***


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Yim sri ที่ วันที่ 07 มิถุนายน 2012, 06:22:50
ขอบคุณค่ะ. ได้ความรู้มากมาย

เดี๋ยวให้โบนัสเพิ่มเป็นกรณีพิเศษไปรับรางวัลที่กรมสรรพากร เสียภาษีเพิ่มอีก๓๐เปอร์เซ็นต์

ก๊ากกกกก ;D


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 07 มิถุนายน 2012, 07:45:33
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วไปเช็คยอดบัญชีธนาคาร..
เงินเข้าบัญชี 3,000 บาทถ้วนโดยไม่ทราบสาเหตุ..จับมือใครดมไม่ได้
งงมาก ;D


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Yim sri ที่ วันที่ 07 มิถุนายน 2012, 10:12:32
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วไปเช็คยอดบัญชีธนาคาร..
เงินเข้าบัญชี 3,000 บาทถ้วนโดยไม่ทราบสาเหตุ..จับมือใครดมไม่ได้
งงมาก ;D

แว๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
เอาเงินเข้าผิดบัญชี
รบกวนท่านอาจารย์ กรุณาโอนเอาเข้าบัญชี ๑๐๔ ด้วยนะคะ

ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก ;D


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 07 มิถุนายน 2012, 22:34:19
ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก
 ;D


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: >_อนัตตา_< ที่ วันที่ 07 มิถุนายน 2012, 22:45:25
คิกๆๆๆๆๆๆ ผู้ใหญ่เค้าหยอกกัน  ;D ;D ;D

(http://upic.me/i/pi/cuteanimatedjapanesekittengrey5.gif) (http://upic.me/show/6326729)


หัวข้อ: Re: >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Siranoi ที่ วันที่ 08 มิถุนายน 2012, 05:52:44
วันนี้วันที่ 8 มิถุนายน 2555
............
***วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เฉลิมพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เป็น พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลฯ พระอัฐมรามาธิบดินทร
 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (20 กันยายน พ.ศ. 2468 - 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489) เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 11 ปีฉลู ณ เมืองไฮเดลแบร์ก ประเทศเยอรมนี ตรงกับวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2468 เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (ภายหลังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) และหม่อมศรีสังวาลย์ (ภายหลังดำรงพระยศเป็น "สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี") มีพระเชษฐภคินีและพระอนุชาร่วมพระชนกชนนีอีก 2 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช (ภายหลังทรงขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช)

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 8 แห่งราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 ขณะที่มีพระชนมายุเพียง 8 พรรษาและประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดังนั้น จึงมีการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินจนกว่าพระองค์จะทรงบรรลุนิติภาวะ

พระองค์เสด็จนิวัติพระนครครั้งแรกภายหลังทรงราชย์เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 และครั้งที่สองเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 ระหว่างกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์เพียง 4 วัน พระองค์เสด็จสวรรคตด้วยทรงต้องพระแสงปืนเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ณ ห้องพระบรรทม พระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง รวมระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติทั้งสิ้น 12 ปี
การเฉลิมพระปรมาภิไธยเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ไม่ได้ทรงประกอบการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณี ดังนั้น เพื่อเป็นการเฉลิมพระบรมขัติยราชอิสสริยยศ รวมทั้ง ยังได้ถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์บางองค์ เช่น นพปฎลเศวตฉัตร ซึ่งใช้ในการกางกั้นพระบรมศพและพระบรมอัฐิ จึงได้มีการประกาศเฉลิมพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลขึ้นเป็น "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล อดุลยเดชวิมล รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์ สยามินทราธิราช" โดยประกาศเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2489[17]

หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2539 ในวโรกาสพระราชพิธีฉลองทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เป็นพระปรมาภิไธยอันวิเศษตามแบบแผนโบราณราชประเพณีว่า

"พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล อดุลยเดชวิมลรามาธิบดี จุฬาลงกรณราชปรียวรนัดดา มหิตลานเรศวรางกูร ไอศูรยสันตติวงศวิสุทธ์ วรุตมขัตติยศักตอรรคอุดม จักรีบรมราชวงศนิวิฐ ทศพิธราชธรรมอุกฤษฎนิบุณ อดุลยกฤษฎาภินิหารรังสฤษฎ์ สุสาธิตบูรพาธิการ ไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ ธัญอรรคลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมงคประณตบาทบงกชยุคล อเนกนิกรชนสโมสรสมมต ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตฉัตราดิฉัตร สรรพรัฐทศทิศวิชิตไชย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวไศรย พุทธาทิไตรรัตน สรณารักษ์วิศิษฎศักตอัครนเรศรามาธิบดี พระอัฐมรามาธิบดินทร สยามินทราธิราชบรมนาถบพิตร"[18]

นอกจากนี้ ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขานพระปรมาภิไธยอย่างมัธยมว่า "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล สกลไพศาล มหารัษฎธิบดี พระอัฐมรามาธิบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร" และอย่างสังเขปว่า "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร"[5]